เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนมกราคม ๒๕๖๓
1 Attachment(s)
น้อมกล่าวขอขมาในวาระขึ้นปีใหม่ ณ บ้านเติมบุญ พระอาจารย์ให้พรว่า
"ในวาระดิถีขึ้นปีใหม่ อาตมภาพขออ้างคุณพระศรีรัตนตรัย มีพระพุทธรัตนะ ธัมมรัตนะ และสังฆรัตนะเป็นประธาน มีบารมีของครูบาอาจารย์ ตลอดจนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ท่านทั้งหลายเคารพนับถือ ได้โปรดดลบันดาลให้ท่านทั้งหลาย อยู่รอดปลอดภัยในทุกที่ทุกสถาน ในกาลทุกเมื่อ จะกระทำการสิ่งหนึ่งประการใดหรือปรารถนาสิ่งใด ถ้าเป็นไปโดยชอบประกอบด้วยธรรมวินัยแล้วไซร้ ก็ขอให้ความปรารถนาของท่านทั้งหลายจงพลันสำเร็จ จงพลันสำเร็จ จงพลันสำเร็จ สมดังมโนรถปรารถนา ทุกประการด้วยเทอญ" |
พูดถึงการทำบังสุกุล "มีคนถือผ้าขาวมา แล้วถามว่าต้องทำอย่างไร อาตมาบอกว่าถ้าอย่างนั้นกลับไปนอนที่บ้านเลย ไม่รู้แล้วเอามาทำไมวะ ? เอามาแปลว่ารู้ว่าต้องทำอย่างไร จึงปล่อยให้วางกำลังใจเอาเอง
บางคนเขาว่าอาตมาโหดเกิน ไม่ใช่หรอก...เวลามีน้อย จำเป็นต้องใช้สอยอย่างประหยัด" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปฏิบัติธรรมได้ก็ให้รักษาผลเอาไว้ ไม่จำเป็นต้องเอามาบอกกล่าวให้หลวงพ่อฟัง ประเภทเสียเวลามาเล่า พาให้ฟุ้งซ่านอีกต่างหาก ตั้งหน้าตั้งตาทำไปเหมือนเดิม ก็จะดีขึ้นไปเรื่อย ๆ"
|
ถาม : หลังจากที่หลวงพ่อกวยท่านมรณภาพ วัตถุมงคลที่หลวงพ่อกวยมาร่วมเสก ท่านจะสงเคราะห์ เหมือนเป็นวัตถุมงคลที่ท่านเสกเองหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ท่านบอกว่า “ถ้านึกถึงกู กูก็จะไปช่วย” ถ้าแค่นี้ยังไม่ชัดเจนพอก็เรื่องของคุณเถอะ..! |
ถาม : การไปพูดเสนอให้คนที่ถือศีลแปด ลดไปถือศีลห้า จะเป็นบาปไหม ?
ตอบ : น่าจะบาปมากด้วย ไม่ใช่บาปเฉย ๆ กำลังใจของเขารักษาศีลแปดที่เป็นศีลพรหมจรรย์ เป็นกำลังในระดับพระอนาคามี เราไปให้เขาลดลงมาถือศีล ๕ ซึ่งเป็นศีลของปุถุชนทั่วไป ซึ่งระดับสูงสุดไม่เกินพระโสดาบัน ต้องบอกว่าไปเพิ่มหนทางในการเวียนว่ายตายเกิดของเขาให้ยาวยิ่งขึ้น แทนที่จะไปช่วยตัดหนทางให้สั้นลง ถ้าเข้าใจผิดก็ถือว่าบาปไม่มากหรอก เพราะว่าบาปอยู่แค่คนเดียว...! |
ถาม : เมื่อก่อนฟังหลวงพ่อพูด กิเลสกินเราตลอดเวลา ก็แค่รับรู้แบบสมองรู้ เวลาพูดว่าตัวเองเลว ไม่ดี ก็พูดไปอย่างนั้น อาจทั้งเพื่ออวดว่าตนรู้หรือดีเท่านั้น มาขณะนี้จึงรู้สึกสงสัยว่า ทำไมคนเราถึงเห็นกิเลสของตัวเองยากกว่าเห็นกิเลสคนอื่นหลายเท่านัก จะมีวิธีจัดการกับกิเลสอย่างไร ? ในแต่ละวันรวมถึงตอนนอนหลับ รู้สึกว่ามีกิเลสเยอะมาก
ตอบ : "โทษคนอื่นมองเห็นเป็นภูเขา โทษของเรามองเห็นเท่าเส้นขน ตดคนอื่นเหม็นเบื่อเหลือจะทน ตดของตนถึงเหม็นไม่เป็นไร" เป็นเรื่องธรรมชาติ “มองออก” เห็นง่ายกว่า “มองเข้า” เห็นยาก การมองเข้ามาในกายต้องประกอบไปด้วย สติ สมาธิ โดยเฉพาะปัญญาอย่างสูงจึงจะมองเห็นได้ เพราะฉะนั้น..พยายามเร่งในเรื่องของการปฏิบัติสมาธิภาวนาให้มากขึ้น ถ้าเข้าถึงความสงบอย่างแท้จริงจนปัญญาเกิดขึ้น ก็จะแก้ไขตรงนี้ไปได้ |
ถาม : เวลาอ่านพระไตรปิฎกจะมีอาการความรู้งอกออกมา จนตอนหลังตัดสินใจไม่เปิดอ่านอีก ยกเว้นว่าจำเป็นจริง ๆ จะมีหลักตรวจสอบอย่างไรว่า ที่เรารู้งอกออกมาเชื่อถือได้หรือไม่ ?
ตอบ : ถ้าไม่หลุดไปจากกรอบของ ศีล สมาธิ ปัญญา ก็เชื่อถือได้ แต่ถ้าจะให้แน่ ๆ ให้ตรวจสอบกับวิสุทธิมรรค ถ้าวิสุทธิมรรคยังเล่มหนาไป ก็ตรวจสอบกับกรรมฐาน ๔๐ ของหลวงพ่อวัดท่าซุงก็ได้ ถ้าไม่หลุดไปจากกรอบนั้นก็ยังเชื่อถือได้อยู่ |
ถาม : การถอดแปลปริศนาธรรมกับปริศนางานที่มาแสดงในฝัน ต้องทำอย่างไรถึงถอดแปลออกมาได้ถูกต้อง ? บางปริศนานำมาคิดแปล รู้สึกเป็นไปได้หลายทางมาก จนงงตัดสินใจไม่ถูก กลัวว่าจะเลือกทำในทางที่ไม่ใช่
ตอบ : เป็นอาตมาก็โยนทิ้งไปเลย มาให้ทั้งทีก็มาให้ชัด ๆ สิวะ..! บอกไปเลยว่าถ้าจะมาให้แปล ก็ไม่ต้องมา เสียเวลาคิด ปัญญาข้าพเจ้าไม่ถึง..! |
ถาม : ผู้ปฏิบัติธรรมบางคนคล้ายจะหมดราคะ ไม่ว่าจะดูสื่อยั่วราคะอย่างไร กามราคะก็ไม่ขึ้น จึงคิดว่าตนเองเป็นพระอริยเจ้าแล้ว แต่วันหนึ่งมองหญิงชราอายุแปดสิบ เพียงขณะเดียวกัน กามราคะที่คิดว่าหมดแล้วก็มาทันที กรณีแบบนี้คือกำลังของฌานมีมากจนกดกามราคะไว้ได้สนิทใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ประมาณนั้น จะได้รู้ว่าว่าการปฏิบัติธรรมไม่พึงประมาทด้วยประการทั้งปวง อย่างที่พระสารีบุตรบอกกับพระท่านที่ถามว่า ถ้าผมเป็นพระอรหันต์แล้วไม่ต้องทำอะไรแล้วใช่ไหม ? ท่านบอกว่ายิ่งเป็นพระอรหันต์แล้วยิ่งต้องพิจารณาให้มากขึ้น เพื่อความไม่ประมาท |
ถาม : ผู้ที่สามารถระลึกอดีตชาติตอนเป็นสัตว์เดรัจฉานและตอนอยู่อบายภูมิได้ คือผู้ที่กำลังวิปัสสนาและอภิญญาสูงมากใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ก็ไม่แน่นะ ถ้าความเป็นเดรัจฉานเพิ่งจะมาคั่นเมื่อชาติที่แล้วเอง...ประมาณนี้ โฆษกเทพบุตรเป็นคนอยู่ดี ๆ ไม่ชอบ อิจฉาหมาหน่อยเดียวก็ไปเกิดเป็นลูกหมา นั่นก็คือความเป็นเดรัจฉานที่มาคั่นเพราะอาสันนกรรมพาไป ฉะนั้น..เราระลึกชาติก่อนนี้ได้ว่าเป็นหมา ไม่ใช่ว่าชาติที่เป็นเดรัจฉานนั้นห่างไกล บุคคลที่ระลึกชาติได้แท้จริงโดยไม่จำกัดต้องได้มหาอภิญญา ซึ่งมีพระพุทธเจ้า พระโมคคัลลานะ พระสารีบุตร พระอนุรุทธ พระมหากัสสปะ พระนางภัททากัจจานา อย่างนี้เป็นต้น เพราะท่านทั้งหลายเหล่านี้สร้างบารมีมามาก เกิดมามาก ในเมื่อกำลังสูงถึงเวลาก็ระลึกได้ยาว ระลึกได้ไกล |
ถาม : เมตตาบารมีของพระอรหันต์ ท่านมีเท่ากันทุกองค์หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : มีเท่ากัน แต่ว่าท่านจะใช้แค่ไหน ? ฟังดูแปลก ๆ ไหม ? บางสถานการณ์จำเป็นก็ต้องดุด่าว่ากล่าว เพราะว่าตนเองทำหน้าที่พระอุปัชฌาย์อาจารย์ เป็นต้น ถึงเวลาเห็นลูกศิษย์เลี้ยวผิดทาง ก็จำเป็นต้องตำหนิติเตียนเพื่อปราบปราม บางคนก็ว่าท่านขาดเมตตา อาตมาว่าคนนั้นสู้หมายังไม่ได้เลย อาตมาตวาดไปหมาวัดท่าขนุนเลียแผล็บ สรุปก็คือเขารู้ว่าอาตมาด่าแต่ปาก |
ถาม : เมตตาบารมีของพระโพธิสัตว์กับพระสาวก แตกต่างกันอย่างไรครับ ?
ตอบ : พระโพธิสัตว์ส่วนใหญ่เมตตาไม่มีประมาณ เพื่อผู้อื่นแม้ตนเองจะต้องตกนรกก็ยอม ส่วนพระสาวกนั้นถ้าไม่เกินกฎของกรรมก็ช่วย แต่ถ้าเกินกฎของกรรมก็จะวางเฉยด้วยอุเบกขา |
ถาม : การแผ่เมตตากับการแผ่บุญกุศล ต้องมีสมาธิอย่างน้อยอุปจารสมาธิใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ถูกต้องแล้วครับ ไม่อย่างนั้นก็ไม่ต่อเนื่อง ถ้าทรงฌานได้สูงเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น เพราะว่าสามารถแผ่ได้นานและได้ไกล |
ถาม : กระผมมีเรื่องไม่เข้าใจเรื่องการรักษาอุโบสถศีล ระยะเวลาในการรักษา ๑ วัน ๑ คืน คือเริ่มเช้าวันพระ (เห็นลายมือใหญ่) ถึงรุ่งเช้าอีกวัน (เห็นลายมือใหญ่) ใช่หรือไม่ครับ หรือเริ่มสมาทานตอนเจ็ดหรือแปดโมงเช้าจึงเริ่มนับครับ ?
ตอบ : ถ้าจะนับจริง ๆ ควรจะเริ่มตั้งแต่ได้อรุณ ถึงเวลาอรุณก็ตั้งใจสมาทาน คำว่า สมาทาน คือศึกษาทบทวนเฉย ๆ ไม่ต้องไปถามพระก็ได้ ถึงเวลาเราไปขอศีล เพราะเราไม่รู้ว่าศีลมีอะไรบ้าง พระท่านก็บอกให้ว่าต้องทำอย่างไรบ้าง ข้อ ๑ - ๒ - ๓ - ๔ - ๕ - ๖ - ๗ - ๘ เราก็มาตั้งใจปฏิบัติงดเว้นให้ได้ตามนั้น ในเมื่อเรารู้อยู่แล้วว่าศีล ๕ ศีล ๘ เป็นอย่างไร ตั้งใจจะศึกษาอันไหน ปฏิบัติอันไหนก็ได้เลย ถ้าจะเอาเต็มจริง ๆ ก็เริ่มตั้งแต่ได้อรุณของวันพระ แล้วก็ไปได้อรุณของวันถัดไป ถึงจะตรงกับบาลีที่ว่า อิมัญจะ รัตติง อิมัญจะ ทิวะสัง ก็คือได้ระยะเวลาหนึ่งวันและหนึ่งคืน |
ถาม : ศีลข้อสาม แตะตัวเพศตรงข้ามไม่ได้ใช่ไหมครับ แล้วถ้าลูกสาวตัวเล็กเข้ามากอด ผิดหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าเป็นพระท่านบอกว่า มาตุคามที่จะทำให้ศีลขาด นับตั้งแต่เด็กหญิงแรกเกิดในวันนั้น แต่ถ้าเป็นฆราวาสรักษาศีลแปด เลี่ยงได้ก็เลี่ยง เลี่ยงไม่ได้เด็กเล็กขนาดนั้นก็แล้วไป ระวังแค่อย่าให้มีอารมณ์กำหนัดก็พอ |
ถาม : หน่วยงานหนึ่งจัดเวรเอาไว้แล้ว ได้ตกลงกับผู้มีหน้าที่เข้าเวรให้มาเข้าเวรตอน ๐๘.๓๐ น. แล้วเจ้าของเวรไม่ไป โดยไม่ได้ทำการแลกเวรหรือแจ้งว่าเกิดเหตุสุดวิสัยใด ๆ ทางเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานรอจน ๑๐ โมงกว่า จึงได้ตามท่านอื่นที่สะดวกมาแทน ผู้ที่มาแทนเวลาลงชื่อทำงานมักจะลงว่ามาปฏิบัติหน้าที่ ๐๘.๓๐ น. เพื่อให้ผู้ที่ไม่ได้มาเข้าเวรมาทำใบมอบเวรทีหลัง โดยที่เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานก็ทราบดีว่ามีการปฏิบัติกันแบบนี้ การแทนเวรย้อนหลังกับการลงเวลาไม่ตรง จะเป็นการมุสาวาทที่หักรานประโยชน์หรือไม่ครับ ?
ตอบ : การลงเวลาไม่ตรงถือเป็นมุสาวาท ทำผิดโดยที่รู้ แล้วทำไมไม่ลงไปว่าได้รับการตามตัวมาเข้าเวรแทนตอน ๑๐ โมง ก็จบแล้ว |
ถาม : ช่วงนี้เขารณรงค์ให้ใช้ถุงผ้า ลูกมีถุงย่ามพระ ๑ ใบ ซึ่งเคยซื้อมาจากร้านสังฆภัณฑ์ เพื่อใช้ใส่ของตอนจะไปทำบุญ ถ้าลูกเอามาใช้ซื้อสินค้าตามร้านสะดวกซื้อจะมีโทษหรือไม่ครับ ?
ตอบ : มี..ทำให้คนเลียนแบบเยอะ ...(หัวเราะ)... ก็ใช้ไปสิ ไม่มีใครเขาว่า ยกเว้นว่าย่ามนั้นมี ๑.รูปพระพุทธหรือพระสงฆ์ ๒.พุทธภาษิต ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ไม่ควรวางในที่ต่ำ |
ถาม : อาชีพเสริมที่บ้านต่างจังหวัดทำเกษตร และมีการเลี้ยงไก่เพื่อเก็บไข่ขาย การเก็บไข่ขายนี้จะเกิดเป็นกรรมไม่ดีหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ต้องดูด้วย...ถ้าเป็นโรงเลี้ยงปิด เก็บขายไปเถอะ เพราะว่าเป็นไข่ไม่มีเชื้อ แต่ถ้าปล่อยทั่วไป ไข่มีเชื้อแน่ ๆ แบบนั้นแปลว่ามีโอกาสที่จะผิดศีลข้อปาณาติบาต |
ถาม : หนูอยากรู้ว่า ขันธ์ ๕ เกิดขึ้นเพราะสัญญาของจิต คือจิตมีสัญญา แล้วก็มีขันธ์ ๕ ถ้าดับสัญญานั้นได้ ขันธ์ ๕ จะทำอะไรเราไม่ได้ หรือว่าขันธ์ ๕ นั่นแหละคือสัญญาของจิต เป็นเหมือนโฮโลแกรมที่จิตแสดงออกไปเท่านั้น ถ้าดับสัญญาของจิตก็เท่ากับดับขันธ์ ๕ ?
ตอบ : เขาเรียกว่าเรียนรู้มากและฟุ้งซ่านมาก ขันธ์ ๕ เกิดเพราะอวิชชา ไม่ใช่เกิดเพราะสัญญา อวิชชาก็คือความรู้ไม่หมด เมื่อถึงเวลาตากระทบ หูได้ยิน จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัส ใจครุ่นคิด ไปยินดียินร้าย ก็เป็นสาเหตุต่าง ๆ ไล่ไปเรื่อย ๆ จนถึงการเกิด ส่วนเรื่องของสัญญายังไม่อันตรายมาก อันตรายมากคือสังขาร ตัวปรุงแต่งของใจ ถ้าตาเห็นรูป หูได้ยิน จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัส ใจไม่ครุ่นคิด สามารถหยุดแค่สักแค่ว่าได้เห็น สักแค่ว่าได้ยิน สักแค่ว่าได้กลิ่น สักแค่ว่าได้รส สักแค่ว่าสัมผัส สักแค่ว่าได้รู้ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่สามารถทำอันตรายเราได้ ญาติโยมทั่วไปไม่ต้องไปศึกษาตำรามาก แค่รู้ว่าหยุดคิดก็หมดทุกข์ ทุกวันนี้ญาติโยมส่วนใหญ่คิดก็เลยเป็นทุกข์ ถ้าเราหยุดคิด ความทุกข์จากการปรุงแต่งต่าง ๆ ไม่มีเหลือ เหลืออยู่อย่างเดียวคือทุกข์ตามสภาวะร่างกายเท่านั้น |
ถาม : ทำไมหนูฟังเสียงหลวงพ่อวัดท่าซุงแล้วอยากนอนฟังไปเรื่อย ๆ ไม่อยากทำอะไรเลย แม้กระทั่งไม่อยากไปทำงานด้วยเลยคะ ?
ตอบ : ก็เพราะว่าหนูอยากตกงานค่ะ..! เวลาใจเป็นสมาธิก็ไม่อยากจะคลายออกมา แต่ว่าเราก็ต้องมีสติรู้ด้วยว่าตอนนี้เราอยู่กับโลก หน้าที่ของเรามีอย่างไร ต้องทำหน้าที่เหล่านั้นให้ดีที่สุด พ้นจากหน้าที่แล้วค่อยกลับมาอยู่กับสมาธิจิตของเราใหม่ โดยมีสติรู้อยู่เสมอว่าเราต้องตาย ตายอย่างแน่นอน ตายเมื่อไรเราขอไปพระนิพพานที่เดียว |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 05:45 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.