กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านเติมบุญ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=65)
-   -   เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนพฤษภาคม ๒๕๖๒ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=6607)

นายกระรอก 14-05-2019 22:05

พระอาจารย์กล่าวว่า “สมัยรัชกาลที่ ๙ มีสมเด็จพระพี่นางฯ ทรงกรม ๑ พระองค์เท่านั้น มารัชกาลที่ ๑๐ พอพระราชพิธีบรมราชาภิเษกก็พระราชทานตั้งให้ทรงกรมไป ๓ พระองค์แล้ว จะมีกรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ตำแหน่งสูงสุด มีในสมัยรัชกาลที่ ๕ ก็คือกรมสมเด็จพระสุดารัตนราชประยูร คือถ้าไม่ใช่ญาติใกล้ชิด เขาไม่ตั้งตำแหน่งนี้กันหรอก

กรมสมเด็จพระสุดารัตนราชประยูรนั้น ในหลวงรัชกาลที่ ๕ ทรงนับถือเป็นแม่ เรียก "แม่อ้วน" แล้วเป็นพระองค์เดียวในยุคนั้นที่อายุยืนสุด ๆ มาสิ้นตอนสมัยรัชกาลที่ ๙ อยู่มา ๙๐ กว่าปี คือปกติคนอ้วนขนาดนั้นไม่น่าจะอายุยืน แต่กรมสมเด็จพระสุดารัตนราชประยูรอายุยืนมาก สมัยนั้น ๔๐-๕๐ ปีก็ไปกันหมดแล้ว”


ถาม : มาจากสมัย ร.๔ ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : เป็นพระพี่เลี้ยงอภิบาลมาตั้งแต่เด็ก รัชกาลที่ ๕ ทรงนับถือเป็นแม่องค์หนึ่ง ก็เลยตั้งเป็นกรมสมเด็จพระสุดารัตนราชประยูร ผู้หญิงที่ขึ้นถึงระดับนี้ดูท่าจะมีคนเดียวในประวัติศาสตร์ ปรากฏว่ามาสมัยนี้สมเด็จพระกนิษฐาธิราชฯ ท่านขึ้นถึงเหมือนกัน

นายกระรอก 14-05-2019 22:05

พระอาจารย์กล่าวว่า “พลายเอกชัย ช้างเผือกคู่บารมีรัชกาลที่ ๑๐ งายาว ๒๘ นิ้ว ต้องบอกว่าของพระองค์ท่านบุญดีนะ คือยังไม่ทันจะขึ้นบรมราชาภิเษกเลย มีช้างเผือกมารออยู่ก่อนแล้ว”

นายกระรอก 14-05-2019 22:07

ถาม : ถ้าเราพิจารณาว่าร่างกายเราเป็นของสกปรก แบบนี้เป็นสมถะหรือวิปัสสนาครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่ายังเป็นแค่ความจำ ก็จะเป็นแค่สมถภาวนา ประมาณอสุภกรรมฐานหรือกายคตานุสติกรรมฐาน แต่ถ้าสภาพจิตยอมรับว่าเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ถึงจะเป็นวิปัสสนากรรมฐาน

ถาม : ถ้าเราเห็นกายว่าสกปรกจริง ๆ ก็เป็นวิปัสสนาใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่เห็นเฉย ๆ ต้องยอมรับด้วย

ถาม : (ไม่ชัด) ?
ตอบ : ถ้าไม่มีสมถะ กำลังในการยอมรับไม่พอ ถึงได้บอกว่าการปฏิบัติธรรมจริง ๆ แล้วต้องทำทั้งสองอย่างควบกัน

นายกระรอก 14-05-2019 22:08

ถาม : เวลาที่เราสนทนา เราสามารถภาวนาควบคู่ไปได้ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่ามีความคล่องตัวแล้วทำได้ จะ
เป็นไปโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องบังคับตัวเอง ก็คืออารมณ์ใจจะทรงอยู่ในระดับสมาธิที่เป็นอัปปนาสมาธิขั้นใดขั้นหนึ่ง ส่วนร่างกายก็ทำหน้าที่ไปตามปกติ

ถาม : พยายามที่จะทำ แต่ก็ทำไม่ได้ ?
ตอบ : ก็ฝึกซ้อมบ่อย ๆ สิวะ..!

นายกระรอก 14-05-2019 22:11

ถาม : เมื่อเดือนที่แล้วที่ถามพระอาจารย์ว่า คำภาวนาเป็นกรรมฐานกองหนึ่งหรือเปล่า พระอาจารย์บอกว่า ไม่เป็น จนกว่าจะทำตาม แล้วถ้าเรามองเหมือนคำภาวนาเป็นรูปภาพรูปหนึ่งด้วย แบบนี้คำภาวนานั้นจะเป็นกรรมฐานกองใดกองหนึ่งไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าไม่ตรงกับกรรมฐานกองไหนก็ไม่เป็น เพราะว่าการกำหนดภาพนั้นเป็นกสิณ คุณไม่ได้ภาวนากสิณอะไรสักอย่างแล้วจะเป็นไหม ?

ถาม : ถ้าเราภาวนากรรมฐาน ๖ กองรวมกัน อานิสงส์รวมจะเป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : อาจจะลงนรกไปเลย ถ้าหากว่าไม่เคยทำมาจนช่ำชองทุกกองแล้วอยู่ ๆ ไปรวมหลาย ๆ กอง มึงทำได้ก็เก่งมากแล้ว ฟุ้งซ่านมาก ๆ ดีไม่ดีก็จะลงนรกไปเลย..!

นายกระรอก 14-05-2019 22:13

ถาม : ถ้าเราภาวนาคาถาเงินล้านอย่างเดียวด้วยกำลังใจทรงตัว กับภาวนาด้วยภาพพระบวกกับคำภาวนา อานิสงส์สองแบบเท่ากันไหมครับ ?
ตอบ : ทำอย่างไหนได้มากกว่า สมาธิสูงกว่า อย่างนั้นก็มีอานิสงส์มากกว่า

ภาวนาสมมติว่าเป็นอานาปานสติ ภาพพระเป็นพุทธานุสติ คุณก็ได้สองอย่าง แต่ถ้าหากว่าคุณภาวนาอย่างเดียว ก็ได้แค่อานาปานสติ เป็นต้น


ถาม : (ไม่ชัด) ?
ตอบ : ส่วนใหญ่แล้วจะได้น้อยมากกว่า เพราะว่าถ้าไม่มีความคล่องตัวแล้วไปจับหลาย ๆ กอง อารมณ์ใจจะทรงตัวยาก เพราะว่ามัวแต่ไปพะวงหน้าพะวงหลังอยู่

ถาม : พูดง่าย ๆ ก็คือ วิธีไหนที่เราทำแล้วรู้สึกมั่นใจที่สุด ผลจะเกิดมากที่สุด ?
ตอบ : ไม่ใช่ ทำให้เข้าถึงจริง ๆ ให้มากที่สุด ไม่ใช่มั่นใจที่สุด มั่นใจแต่ทำไม่ถึงแล้วจะมีประโยชน์อะไร ?

นายกระรอก 14-05-2019 22:17

ถาม : สมมติมีคนที่ทำไม่ดีกับเรา ถ้าเราตอบแทนเขาโดยภาวนาว่า สัมปจิตฉามิ จะเป็นกรรมไหมครับ ?
ตอบ : แค่คุณคิด ก็กลายเป็นวิหิงสาวิตก มโนกรรมก็เกิดแล้ว

ถาม : แต่เราก็ไม่ได้คิดทำร้ายนะครับ แค่เอาของที่เขาให้เรากลับคืนไป ?
ตอบ : ไม่ได้คิดแล้วจะไปทำทำเหี้..อะไรครับ..!

ใจคิด ปากพูด กายทำ เป็นเรื่องธรรมชาติอยู่แล้ว ถ้าหากว่าไม่คิดแล้วจะทำได้อย่างไร ? ของบางอย่างตัวเราเอง ต่อให้บอกว่าเราไม่คิดร้ายกับคนอื่นขนาดไหน แค่คิดที่จะตอบแทนเขากลับไป ก็เท่ากับทำให้เขาเกิดสิ่งที่ไม่ดีอยู่แล้ว สรุปง่าย ๆ ก็คือ ทำชั่วโดยที่พยายามบอกว่าเราไม่ได้ชั่วนั่นแหละ

เพราะถ้าหากว่าจะวางใจเป็นอุเบกขาจริง ๆ ก็เฉยไปเลย ไม่ไปยุ่งอะไรกับใคร ไม่ใช่เฉยในลักษณะกำปั้นกูก็เหวี่ยงคืนไปด้วย..!

นายกระรอก 14-05-2019 22:20

ถาม : อานิสงส์ของบุญที่ส่งผล เป็นเหมือนแหล่งกำเนิดเสียงที่ว่า ระยะทางไกลขึ้นจะน้อยลง ๆ ไหมครับ ?
ตอบ : ก็ต้องดูว่าเราเจตนาในส่วนไหน ? ถ้าตั้งเจตนาในลักษณะที่ว่าสวดมนต์เผื่อภพภูมิอื่น ๆ เขา ถ้าอย่างนั้นยิ่งไกล ผลก็ยิ่งน้อย

ถาม : สงสัยว่าบุญบุญหนึ่งไม่สามารถที่จะส่งผลได้ตลอดเวลา เพราะว่าจะน้อยลงตามเวลาที่ผ่านไปใช่ไหมครับ ?
ตอบ : เรื่องของผลบุญมีทั้งที่ส่งผลอย่างฉับพลัน ส่งผลตามระยะเวลา ส่งผลในการสนับสนุน ส่งผลในการตัดรอน ฯลฯ ขึ้นอยู่กับว่าเราทำอะไร ดังนั้น..ของแบบนี้ไม่สามารถที่จะขี้ชัดลงไปได้ว่าสิ่งที่คุณทำ ต่อไปจะมีผลมากหรือมีผลน้อยเมื่อระยะเวลาผ่านนานไป

สำคัญอยู่ที่ว่าทำอะไร ? ถ้าสมมติว่าเราเพาะถั่วงอก พรุ่งนี้ก็ได้กินแล้ว ระยะเวลายาวนานไป ถั่วงอกก็ไม่เป็นถั่วงอก ขึ้นไปเป็นถั่วเขียวไปแล้ว ก็ไม่มีประโยชน์สำหรับเราที่จะใช้ถั่วงอก แต่ถ้าหากว่าคุณปลูกไม้ผล ผ่านไป ๓ ปี ๕ ปี ยิ่งผ่านไปนานเท่าไร ต้นยิ่งใหญ่ ผลก็ยิ่งมากขึ้น ดังนั้น..สำคัญอยู่ที่เราว่าทำอะไร ทำแบบไหน ไม่ใช่ไปเหมารวมว่าทุกอย่างเป็นอย่างนั้น

นายกระรอก 14-05-2019 22:21

ถาม : ถ้าเรามีพระพุทธรูปในห้องนอน เราควรที่จะกั้นผ้าในห้องนอนหรือเปล่า เพราะเกรงว่าอาจมีกิจกรรมที่ไม่เหมาะสม ?
ตอบ : ถ้าหากว่าเกรงใจพระก็กั้น เกรงว่าจะเกิดโทษกับตัวเองก็กั้น ถ้าไม่เกรงใจพระ ไม่เกรงว่าจะเกิดโทษก็ไม่ต้อง

ถาม : (ไม่ชัด) ?
ตอบ : ก็ลองดูสิว่าแก้ผ้าต่อหน้าพระเป็นการปรามาสไหมเล่า ? แล้วถ้าปรามาสพระรัตนตรัยจะเกิดโทษไหม ?

นายกระรอก 14-05-2019 22:23

ถาม : ทำเลสิกจริง ๆ แล้วดีไหมครับ ?
ตอบ : ไปถามหมอ ไม่มีอะไรร้อยเปอร์เซ็นต์หรอก คนหนึ่งทำแล้วดี อีกคนหนึ่งสร้างเวรสร้างกรรมไว้เยอะ ทำแล้วอาจจะตาเสียไปเลยก็ได้

นายกระรอก 14-05-2019 22:25

ถาม : ถ้ารู้สึกว่าบุญเรามีไม่พอ แล้วเราภาวนาเงินล้านไปเรื่อย ๆ ผลที่ได้จะเป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : ก็เพิ่มในส่วนของสมาธิขึ้นมา ในส่วนของทานก็ไม่มี ในส่วนของปัญญาก็ไม่มี ก็ได้แค่สมาธิ คราวนี้ผลของคาถาจะเกิดเท่าไรขึ้นมา ถ้าหากว่าคุณไม่ได้ทำทานมาเลยก็ไปไม่รอด และถ้าหากว่าไม่ได้ใช้ปัญญาในการพินิจพิจารณาอะไรเลย ต่อไปเต็มที่ก็ได้แค่นั้นแหละ ไม่เกินนั้นหรอก

ถาม : รบกวนพระอาจารย์ยกตัวอย่างการพิจารณาที่จะเกิดประโยชน์ได้มากที่สุด ?
ตอบ : อย่างเช่นว่า ถึงเวลาภาวนานาน ๆ ไปก็ "เหนื่อยฉิบหายเลยโว้ย ขึ้นชื่อว่าการเหนื่อยแบบนี้กูไม่เอาอีกแล้ว ตายแล้วไปพระนิพพานดีกว่า"

ถาม : อันนี้คือได้ในทางธรรม แล้วถ้าพูดถึงผลทางโลก อย่างเช่น ให้ทรัพยากรทุกอย่างบริบูรณ์ครบถ้วนในเวลาที่เหมาะสม ?
ตอบ : ก็ต้องดูว่าอายุคุณยืนยาวพอที่จะรอถึงตอนนั้นไหม ? ถ้าหากว่าวาระยังไม่ถึง อำนาจสิ่งที่เราทำยังไม่เกิดผล ก็แปลว่าม่องเท่งไปก่อน..!

สิ่งที่เราปรารถนาคือความสมบูรณ์บริบูรณ์ในทุกด้าน ซึ่งไม่ใช่การที่เราจะมาสร้างเสริมได้ภายในชาติเดียว ดังนั้น..ถ้าหากว่านั่งภาวนาคาถาเงินล้านอย่างเดียว โดยหวังว่าทุกสิ่งจะสมบูรณ์บริบูรณ์ให้คุณในชาตินี้ ก็คงจะตายเสียก่อนนั่นแหละ..!

นายกระรอก 14-05-2019 22:29

ถาม : การที่มารเขา ...(ไม่ชัด)... ?
ตอบ : ต้องดูว่าหน้าที่เขาหรือเปล่า ?

ถาม : มีด้วยหรือครับที่มีหน้าที่ ?
ตอบ : มี..เพชฌฆาตมีหน้าที่ประหารนักโทษ ไม่ได้ฆ่าด้วยความโกรธ โทษก็น้อยกว่าคนปกติเยอะ

ถาม : แล้วถ้าทำเพื่อป้องกันตัวเอง ?
ตอบ : ศาลจะพิจารณาเอง

ถาม : ถ้า ...(ไม่ชัด)... แล้วเราต่อยกลับ กลายเป็นว่าเราต่อยก่อน ?
ตอบ : แล้วเขาเรียกว่าป้องกันไหม ?

ถาม : ป้องกันไม่ให้เขามาต่อยเราครับ ?
ตอบ : ในสายตาชาวบ้านแล้ว คุณทำร้ายเขาก่อน

นายกระรอก 14-05-2019 22:31

ถาม : …(ไม่ชัด)... ป้องกันตัว ?
ตอบ : ถ้าสมมติว่าอาตมาตอนนี้คิดว่า ไอ้นี่อยู่ต่อไปนาน ๆ ต้องคิดร้ายกับกูแน่เลย เพราะฉะนั้น..กูฆ่ามันซะตอนนี้ก่อน แล้วคุณจะรับได้ไหม ?

ถาม : หมายถึงเหตุการณ์เกิดขึ้นเฉพาะหน้าแล้วเขาทำเรา ?
ตอบ : ถ้าหากว่าทำเราแล้ว ก็ถือว่าป้องกันตัวโดยทางโลก แต่คราวนี้ดูด้วยว่ากำลังใจของเราตอนนั้นเป็นอย่างไร ? ถ้าหากว่าประกอบไปด้วยโทสะ โทษก็มาก ศาลอาจจะตัดสินว่าคุณป้องกันตัว แต่โทษทางธรรมไม่ใช่อย่างนั้น

ถาม : ทางธรรมโทษเป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : ก็บอกแล้วว่า ต้องดูใจของเราตอนนั้น

ถาม : ถ้าเราใจเย็นละครับ แต่ว่าเขาตาย ?
ตอบ : สัตว์นั้นมีชีวิตอยู่ไหม ? เรารู้ว่าสัตว์นั้นมีชีวิตอยู่ไหม ? เราตั้งใจฆ่าไหม ? เราลงมือฆ่าหรือเปล่า ? เราฆ่าสำเร็จหรือเปล่า ? โทษก็เป็นไปตามส่วน

นายกระรอก 14-05-2019 22:32

ถาม : การที่เจ้านายกดขี่เรา จนเรารู้สึกว่าเราทำกรรมเอาไว้ หรือว่าเราบุญน้อยกว่าเขาถึงโดนกดขี่ ?
ตอบ : ไม่เคยสร้างกรรมเอาไว้ เรื่องทั้งหลายเหล่านี้จะมาไม่ถึงเราหรอก

ถาม : ไม่เกี่ยวว่าเราบุญน้อยกว่าเขาใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ได้เกี่ยว แล้วทำไมคนอื่นบุญน้อยแล้วเขาสงเคราะห์ ส่วนเราบุญน้อยแล้วโดนกดขี่ ?

นายกระรอก 14-05-2019 22:35

ถาม : ปีนี้ทอดกฐิน ๓ วัดหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : วัดเดียว วัดอื่นปล่อยให้เขายืนด้วยตัวเองบ้าง ถ้ามัวแต่ไปสงเคราะห์อยู่ตลอด ไม่มีเราเขาจะอยู่ไม่ได้

เพราะฉะนั้น..เลี้ยงลูกเลี้ยงหลานพยายามเลี้ยงแบบนี้ คือให้เขายืนด้วยตัวเองให้เร็วที่สุด ไม่มีเราแล้วเขาต้องอยู่ได้ จำไว้เลยนะ ถ้าไม่มีเราแล้วเขาอยู่ไม่ได้ ก็ปล่อยให้ตายไปเลย..!

นายกระรอก 14-05-2019 22:42

พระอาจารย์กล่าวว่า “ถ้าพวกเราทุกคนคิดอยู่เสมอว่า เราจะตายแล้ว ก็ไม่มีอะไรที่ทนไม่ได้ คือความรู้สึกนี้อยู่ในลักษณะที่ว่า เราจะตายพ้นไปจากตรงนี้แล้ว หรือไม่ก็ถ้าคิดยาวหน่อยก็คือ เราอยู่ได้แค่วันนี้ พรุ่งนี้จะมีหรือไม่ก็ช่าง เพราะฉะนั้น...ถ้าหากว่าเราคิดถึงมรณานุสติคือความตายเป็นปกติ จะปล่อยวางสิ่งต่าง ๆ ลงได้อีกมาก

แต่ถ้าจะให้ดีก็ต้องมองให้เห็นว่า ธรรมดาของทุกอย่างเป็นเช่นนั้น อะไรเกิดขึ้นกับเราก็ธรรมดา...เราทำเราถึงได้รับ ส่วนที่ดีเกิดขึ้น ก็ไม่ยินดีจนเกินไป ส่วนที่ไม่ดีเกิดขึ้น ก็ไม่ยินร้ายจนเกินไป วางกำลังใจให้เป็นกลาง ๆ ถึงเวลาไม่หวั่นไหว ความทุกข์ก็กินเราได้น้อย

ส่วนใหญ่เราทุกข์เพราะความคิดตัวเอง ในเมื่อเราคิดแล้วทุกข์ ทำอย่างไรจะหยุดคิดได้ ? ถ้าหยุดโดยตรงลำบาก ก็หาสิ่งดี ๆ มาคิด อย่างเช่นว่า คิดถึงความตายบ้าง คิดถึงพระบ้าง คิดถึงพระนิพพานบ้าง สลับผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนไป ให้แต่ละเวลามีงานให้ใจทำ ก็จะไม่ฟุ้งซ่านไปสร้างความทุกข์ให้กับเราอีก”

เถรี 18-05-2019 21:21

พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาแวะไปหาท่านอาจารย์บ๊ะ เจอญาติโยมเก่า ๆ ของวัดท่าซุงที่ไม่ได้เจอกันมา ๒๐-๓๐ ปี ก็ปรากฏว่ามีโยมคนหนึ่งเห็นอาตมาเฉย ๆ ก็ตัดสินใจเข้ามาทัก ถามว่าจำได้ไหม ? อาตมาก็บอกชื่อไป เขาก็ดีใจว่าอุตส่าห์อธิษฐานขอกับพระไว้ว่า ถ้าเป็นอาตมาจริงขอให้ทักเขาด้วยการออกชื่อ อาตมาก็ว่าไอ้นี่หาเรื่อง กลัวว่าพระจะว่างเกินไป เล่นจับพระเป็นตัวประกัน..!

ส่วนอีกรายหนึ่งบอกว่า ก็จำเขาได้แล้วทำไมไม่ทัก ? มายืนอยู่ตรงหน้าแล้วยังอุตส่าห์มาเคี่ยวเข็ญให้ทักเขาสิ ๆ อาตมาก็ได้แต่นึกในใจว่าแล้วกูจะทักไปทำไม ?

เรื่องของพระเรามีศีลอยู่ข้อหนึ่งที่ว่า ห้ามประทุษร้ายตระกูลด้วยการประจบคฤหัสถ์ เพราะฉะนั้น..ญาติโยมหลายคนอาจจะเห็นว่าอาตมาค่อนข้างจะแล้งน้ำใจ ไม่ค่อยจะทักทายพูดคุยกับใคร เพราะกลัวว่าจะเป็นการประจบคฤหัสถ์ แต่ที่น่าเสียดายกว่านั้นก็คือ โยมชุดนี้อยู่มาตั้งแต่สมัยหลวงพ่อวัดท่าซุง จนหลวงพ่อมรณภาพ อยู่มาในยุคของหลวงพ่อเจ้าคุณอนันต์ จนท่านเจ้าคุณมรณภาพ ป่านนี้ก็ยังเหมือนเดิม

คำว่า เหมือนเดิม ก็คือไม่ได้ไปไหนไกลกว่าเดิมเลย โดยเฉพาะมาบ่นให้อาตมาฟัง พออาตมาบอกวิธีแก้ไขให้ก็ไม่ฟัง แต่เถียงแทน ถ้าลักษณะอย่างนี้ทางญี่ปุ่นเขาถือว่า ทำตัวเป็นคนน้ำชาล้นถ้วย เติมอะไรก็ไม่เข้า ก็แปลว่าชาตินี้อย่าหวังว่าจะก้าวหน้าไปกว่านั้น"

เถรี 18-05-2019 21:22

"ในลักษณะของความเป็นสงฆ์อยู่ในอุดมเพศ คือฐานะที่สูงกว่า เขาเห็นเขาจำได้ เขาควรจะทักพระ แต่กลับแบกเอากิเลส คือสักกายทิฐิมาเต็มตัวว่า พระต้องทักเขาก่อน

ประการที่ ๒ ก็คือ เวลาติดขัดหลักธรรมที่ไหน บอกไปแทนที่จะฟัง กลับแบกกิเลสประมาณว่าอยู่กับหลวงพ่อมา ๒-๓ รูปแล้ว กูรู้มากแล้ว ไม่ได้คิดจะฟัง ไม่ได้คิดจะทำ สรุปก็คือเขาบ่นให้เหนื่อยเฉย ๆ ไม่ได้ต้องการคำแก้ไขอะไรจากอาตมา เจอลักษณะอย่างนั้นอาตมาก็เลยนั่งอ่านหนังสือ ปล่อยเขาพูดไปฝ่ายเดียว

ต้องบอกว่าน่าเสียดาย เพราะว่าระยะเวลาที่ผ่านไป ๆ นอกจากไม่ได้อะไรแล้ว ยังดูเหมือนจะเพิ่มกิเลสให้มากขึ้น เพราะถือว่าเป็นคนรุ่นเก่า มีความอาวุโสในการเข้าวัดเข้าวามากกว่าคนอื่น ก็คงต้องปล่อยให้เป็นทางใครทางมัน"

เถรี 18-05-2019 21:28

พระอาจารย์กล่าวว่า "โบราณเขาทำมีดหมอ เขาจะทำเป็นมีดโต้ เพราะว่าจุดประสงค์แรกของมีดหมอเอาไว้รักษาโรค จนกระทั่งเรียกติดปากกันว่ามีดหมอ ที่ทำเป็นมีดโต้เพราะมีเคล็ดว่าย้อนกลับ ตอบโต้ หรือไม่ก็ส่งคืน ถ้าไปเห็นมีดหมอรูปมีดโต้ที่ไหนก็ให้คว้าเอาไว้ก่อน"

เถรี 18-05-2019 21:40

พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวานอาตมาไปเพชรบุรี งานวันเกิดพระครูวัชรสุวรรณาทร ด็อกเตอร์ร่วมรุ่น ท่านเป็นเจ้าคณะอำเภอเมืองเพชรบุรี ขากลับรถติดจนท้อใจ เมื่อวานปิดถนนไม่กี่สายยังกระทบจนขนาดนี้ เพราะฉะนั้น ๒-๓ วันนี้อาตมาตั้งใจว่าจะไม่ขยับออกไปไหนเลย

บ้านเราความสิ้นเปลืองมากที่เกิดขึ้นกับเศรษฐกิจ ก็คือภาวะรถติด เพราะว่ารถทุกคันผลาญแก๊สผลาญน้ำมัน สร้างความร้อนให้กับบรรยากาศไม่หยุดยั้ง สาเหตุเกิดจากพื้นที่ใช้สอยบนท้องถนนของเรามีไม่พอกับจำนวนรถ แค่โดนปิดถนนแล้วรถไม่สามารถจะเลื่อนไหลได้แค่เล็กน้อยเท่านั้น ก็มีผลกระทบเป็นวงกว้างขนาดนี้

เคยพูดหลายต่อหลายครั้งว่า เราควรจะสร้างระบบขนส่งสาธารณะให้มีความคล่องตัวมากกว่านี้ แต่ก็ไม่มีรัฐบาลไหนที่ตั้งใจทำจริง ๆ เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า ถ้าทำแล้วบริษัทรถยนต์ที่เป็นกระเป๋าให้กับพรรคการเมืองจะขายรถไม่ได้"


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 14:40


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว