![]() |
เล่าสู่กันฟัง ภาค ๑
มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เถรีไปบ้านอนุสาวรีย์ แล้วอ่านหนังสือไม่รู้เรื่อง ไม่มีสมาธิ เพราะจิตมันว่อกแว่ก
ทีนี้หลวงพ่อเล็กท่านทราบ เลยเมตตาบอกว่า " ถ้าเราเพ่งสมาธิไปที่จุดใดจุดหนึ่งโดยเฉพาะ จะเป็นการตัดสิ่งรบกวนข้างนอกทั้งหลาย" เถรีรีบบอกกับหลวงพ่อว่า "มันยากค่ะ" ท่านก็บอกว่า "อะไรวะ ตัวเองหาช่องไม่เจอ เราอุตส่าห์บอกช่องให้ ยังจะมาบอกว่ายากอีก..!" |
นอกจากนี้ ท่านยังเล่าถึงเรื่องของหลวงปู่มหาอำพัน
ท่านบอกว่าลูกศิษย์บางคนอยู่กับหลวงปู่มาตั้งหลายปี แต่ไม่ได้อะไรจากท่านไปเลย เพราะว่าบางอย่างหลวงปู่ท่านทำให้ดูเลย เช่น หลวงปู่หยิบหนังสือมาอ่านให้ดู อ่านไปอ่านมาจนเพลิน จึงมีคนมาบอกท่านว่า ได้เวลาทำวัตรแล้ว หลวงปู่ก็ "อ้าว สองทุ่มแล้วหรือ ?" เพราะหลวงปู่มีสมาธิกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ตัดขาดจากสิ่งภายนอก ท่านทำให้เห็นเป็นตัวอย่าง หลวงพ่อเล็กท่านก็บอกว่า ตัวท่านเองทำให้คนอื่นดูด้วย ว่าท่านทำอย่างไร คนที่จะเป็นผู้นำได้นะ ต้องสอนให้ตาม ทำให้ดู อยู่ให้เห็น และตายให้เป็น หลวงพ่อเล็กก็กระซิบบอกว่า ตัวท่านเอง "เหลือแค่ตายให้เป็น....อีกไม่นานหรอก" แล้วท่านก็ยิ้มกริ่มตามแบบของท่าน |
เถรีเคยเล่าให้พี่ทิดตู่ฟัง ตอนไปงานศพคุณแม่ของหลวงพ่อเล็ก หลวงพ่อบอกว่า " อาตมาเคยจมน้ำตายตอนสองขวบ พอจมไปสมองขาดออกซิเจน สติปัญญาบางส่วนเลยหายไป นี่ขนาดหายไปนะ ถ้าอาตมาไม่จม คงอยู่บนโลกนี้ไม่ได้ ต้องไปอยู่ต่างดาว เพราะเก่งเกินคน "
พี่ทิดตู่ก็ว่า " รู้จักท่านมาเป็นสิบปียังไม่เคยเจอใครเหมือนท่านเลย นอกจากหลวงพ่อนะ" "สมัยก่อนอยู่กับท่านนะประจำเลย พอเขาว่ากันว่า เครื่องนั่นเครื่องนี่ เป็นของรุ่นใหม่เป็นนวัตกรรมใหม่ อ่านเจอในหนังสือ ท่านว่า เดี๋ยวคุณดูสิ ผมอยู่เฉย ๆ เดี๋ยวก็มีคนเอามาให้ พอไปสักไม่กี่วันก็เอามาโชว์แล้ว "นี่..โยมเขาเอามาถวาย ผมพูดผิดซะที่ไหน" |
หลวงพ่อเล็กเคยเล่าเรื่องเกี่ยวกับหลวงพ่อฤๅษีให้ฟังว่า หลวงพ่อฤๅษีเป็นพระที่มีความจำดีมาก ตอนนั้นหลวงพ่อฤๅษีท่านไปงานศพ แล้วมีวงปี่พาทย์ ท่านก็ชอบ ไปขอเรียนกับเขา แต่เขาไม่ให้เรียน หลวงพ่อฤๅษีก็เลยคิดว่า ไม่ให้เรียน อาศัยฟังเองก็ได้
เขาตีตอนเช้า ท่านก็ฟังพอที่จะจำได้บ้าง..... ตอนเพลเขาเล่นซ้ำเพลงเดิม จำได้เลย.... ตอนเย็นเล่นซ้ำอีกเที่ยว ได้ทวนย้ำ ทีนี้ละแม่นยำเลย..... สรุปว่าหลวงพ่อฤๅษีท่านไม่ต้องไปขอเขาเรียน เล่นเองได้เลย |
สลดใจว่าถ้าไม่จบในชาตินี้ จะไปหาครูบาอาจารย์ที่ไหนมาเข็นศิษย์ได้อย่างนี้อีก
|
หลวงพ่อท่านบอกว่า "ถ้ากำลังใจพร้อมที่จะสละออก สละออกในทุก ๆ เรื่อง ถ้าเรายังรู้สึกว่ายังหวงอยู่ ยังรู้สึกว่ายังจำเป็น นั่นแปลว่ากำลังใจยังไม่เต็ม หรือว่าถึงเต็มก็อาจเป็นกำลังใจสาวกภูมิทั่ว ๆ ไป แต่ถ้ากำลังใจพุทธภูมินี่ไม่ต้องพูดถึง ตัวเองไม่มีก็ไปหามาให้เขา"
|
หลวงพ่อบอกว่า "พระบรมสารีริกธาตุเป็นวัตถุมงคลที่สำคัญที่สุดในโลก เพราะว่าไม่มีวัตถุมงคลอะไรที่จะใกล้ชิดพระวรกายของพระพุทธเจ้ายิ่งไปกว่าพระบรมสารีริกธาตุอีกแล้ว สมัยโบราณ หายากสุด ๆ สมัยนี้ไม่รู้พวกเราบุญดีหรืออย่างไร ได้กันง่ายเหลือเกิน"
|
มีคนถามหลวงพ่อเล็กว่า ผ้ายันต์เกราะเพชรพับได้หรือไม่ ? ท่านบอกว่า "พับไปเถอะ ไม่มีใครว่าหรอก ให้พับด้านที่เป็นยันต์หรือเป็นหัวใจออก ถ้าเป็นยันต์พิชัยสงครามก็เอาที่เป็นรูปพระออก ถ้าหากว่าพระที่ท่าซุงบอกพับไม่ได้ ก็บอกว่าพระที่วัดท่าซุงนั่นแหละ พับก่อนเพื่อนเขาเลย เพราะหลวงพ่อสั่งพับแล้วอัดกรอบแจกเลย ตอนที่มีธงแดงคู่กับเหรียญกูผู้ชนะ"
|
หลวงพ่อเล็กท่านเล่าให้ฟังว่า มีโยมเขามาใหม่ ทีนี้หลวงพ่อยังไม่รู้จักชื่อนามสกุลของเขา ก็เลยบอกเขาว่า "เขียนชื่อนามสกุลใส่ซองให้หน่อย เดี๋ยวนายบัญชีเขาจะไม่รู้ว่าใครทำบุญ"
ท่านแซวเล่น ๆ ไปเท่านั้น ปรากฏว่ามีเสียงดังมาจากข้างหูท่านว่า "เทวดาเขาไม่ได้โง่เหมือนท่านนี่..!" หลวงพ่อเล็กหันไปดู เห็นนายบัญชียืนอยู่นั่นเอง หลวงพ่อท่านว่าไม่รู้ว่าย่องมาจากไหน แซวเล็กน้อยถึงกับมาเยือนถึงที่เลย |
หลวงพ่อเล็กบอกว่า "ทางสายพระป่านั้น ท่านที่จะบอกให้ใช้คาถาหรือสร้างวัตถุมงคล เป็นเรื่องที่ยากมาก ๆ อย่างหลวงปู่มั่น ท่านกลัวว่าจะเป๋ออกนอกทาง
แต่ว่าหลวงปู่มั่นท่านเคยทำตะกรุดทองคำ ท่านให้กับโยมที่เดือดร้อนเรื่องพวกผีมารบกวน หลวงปู่มั่นบอกว่าถ้าโยมหามาได้ท่านจะเขียนให้ และโยมก็หามาได้ คนที่ได้นี่ก็ถือเป็นประวัติศาสตร์ในชีวิตเลย พอ ๆ กับที่อาตมาขอหวยหลวงตาบัว ก็เป็นประวัติศาสตร์ในชีวิตจริง ๆ คนอื่นลองไปขอเถอะ โดนแหง ๆ... ที่ขอเพราะว่าอยากรู้ว่า พระที่ปฏิบัติสายวิสุทธิมรรคจริง ๆ ไม่ได้เอาฤทธิ์เอาเดช ท่านมีความสามารถอย่างนี้หรือเปล่า ? หลวงตาท่านก็รู้ว่าเราไม่ได้เล่น ท่านก็ให้ แล้วก็ออกจริง ๆ ด้วย เสียดายที่ไม่เล่น" |
หลวงพ่อเล่าต่ออีกว่า "สมัยวัยรุ่นวิ่งรับใช้พวกท่านอยู่ ท่านชอบเรียกใช้เพราะเด็ก ๆ วิ่งคล่องดี หลวงปู่หลวงพ่อสมัยนั้นนี่เจอแทบครบทุกรูปเลย วันก่อนเปิดหนังสือ พระดีสี่ภาค รูปเปิดออกมา บอกกับโยมได้เลย รูปนี้ลักษณะอย่างนี้ มีรอยสักนี้ อะไรบอกได้หมด เพราะว่าเคยรับใช้ท่านอยู่"
|
หลวงพ่อเล็กเล่าว่า "หลวงพ่อวัน วัดถ้ำภูผาเหล็ก (พระอาจารย์วัน อุตตะโม) ท่านรูปร่างสูงใหญ่ ช้อนของท่านเกือบ ๆ เท่าทัพพีของเรา ช้อนกินข้าวนะ คนอื่นเขาไปใส่บาตร อาตมาถือจานไปขอข้าวพระ ก็เรามันเด็กวัด แล้วพระปฏิบัติท่านฉันในบาตร
เราก็บอกพระว่า หลวงพ่อครับขอหน่อยครับ หลวงปู่ครับขอหน่อยครับ ท่านก็ตักให้คนละช้อนสองช้อน กินไม่หมดหรอก โดยเฉพาะของพระอาจารย์วัน จ้วงมาทีก็แทบจะสองทัพพี เพราะว่าท่านเล่นจับช้อนกับส้อมคู่กันเลย ส้อมท่านอันใหญ่ " "ท่านเล่าให้ฟังว่า มีอยู่ครั้งหนึ่งท่านไปอยู่ที่ภูผาเหล็กใหม่ ๆ ก็ปฏิบัติด้วยการอดอาหาร ๗ วัน ทางสายนั้นที่ต้องปฏิบัติเคร่งเพราะว่า อีสานนั้นบรรดาดินฟ้าอากาศและการดำเนินชีวิตมันยากลำบาก ในเมื่อยากลำบากจึงต้องต่อสู้ให้สามารถดำรงชีวิตได้ ความเข้มแข็งในใจจึงมีมาก ในเมื่อมีมากกิเลสก็แข็งไปด้วย ถ้าไม่ทรมานจนสุด ๆ จริง ๆ ไม่มีทางที่จะยอม ทางสายนั้นจึงปฏิบัติด้วยการอดอาหาร สามวันบ้าง ห้าวันบ้าง เจ็ดวันบ้าง แล้วแต่ร่างกายของใครจะทนได้ ท่านอยู่บนภูผาเหล็ก ๗ วัน ฉันแต่น้ำ พอลงมาบิณฑบาต บิณฑบาตเสร็จเดินกลับ ตอนนั้นสายมากแล้ว เดินบิณฑบาต ๗ กิโลเมตร ไปกลับก็ร่วม ๑๕ กิโลเมตร ท่านก็หยุดฉันก่อนที่ตีนเขา ฉันเสร็จท่านบอกขึ้นเขาไม่ได้ เดินไม่ออก ถามท่านว่า แล้วหลวงพ่อทำอย่างไรครับ ? ท่านบอกว่า เดินจงกรมอยู่เกือบสามชั่วโมง กว่าจะมีแรงพอเดินขึ้นเขาได้ เพราะว่าไม่ได้ฉันอยู่ ๗ วัน ฉันไปเรื่อยไม่รู้ตัว มารู้ตัวอีกทีแน่นไปหมดแล้ว เดินไม่ได้ ต้องค่อย ๆ ขยับ เดินจงกรมทีละนิด ทีละนิด " |
มีพี่คนหนึ่งเขามาถามเรื่องเป่ายันต์กับหลวงพ่อ ประมาณว่าจะมาให้หลวงพ่อเล็กท่านทำพิธีเป่ายันต์ให้ หลวงพ่อเลยแจงรายละเอียดไป ว่าพิธีเป่ายันต์ต้องขึ้นอยู่กับพระท่านสั่ง และกระทำเฉพาะเสาร์ห้าเท่านั้น
ท่านบอกว่า "ไม่ใช่โยมคนเดียวที่เข้าใจแบบนั้น มีโยมจำนวนมากก็เข้าใจแบบนั้น เมื่อสองอาทิตย์ก่อนมีโยมจากกรุงเทพฯ เช่ารถกันไปเลย ไปขอเป่ายันต์เกราะเพชร เพราะว่ามีคนเก่งที่สามารถเป่าวันอื่นได้ ถ้าตามตำราหลวงพ่อท่านที่รับมาจากหลวงปู่ปาน เราเป่าได้เฉพาะวันเสาร์ขึ้นห้าค่ำ แต่ปรากฏว่า แม้กระทั่งพระบางรูปที่ไปหาหลวงพ่ออยู่ตลอดเป็นสิบปี ไปจัดงานเป่ายันต์ที่วัดตัวเองวันอาทิตย์ แล้วบางรูปเก่งกว่านั้นอีก ไปเมื่อไรเป่าได้ทันที ไปบูชาพานครู ๒๙๙ บาทเมื่อไรก็เป่าเมื่อนั้น บอกไปว่า ท่านทั้งหลายเก่งมาก เราสู้ไม่ได้ แต่ท่านจะทำให้เราเพี้ยนไปด้วย เพราะว่าเขาจะมาเป่าทุกวัน ขอยืนยันว่าปีนี้เป่าวันที่ ๒๗ มิถุนายน" |
หลวงพ่อท่านเล่าถึงท่านป๊อบ(พระประยุทธ ฐานรโต)ให้ฟังว่า ท่านป๊อบเขาป่วยเป็นเบาหวาน แต่ตามใจปากตัวเองเลยยังไม่หาย ตัดนิ้วไปแล้ว ตอนนี้ก็ลามมาเรื่อย ๆ ท่านก็เลยบอกท่านป๊อบไปว่า "ถ้าจะให้ดี ตัดทีเดียวหาย ก็ตัดหัวไปเลย"
ตอนท่านป๊อบไปนอนที่โรงพยาบาล กำลังทำวัตรค่ำอยู่ ท่านป๊อบก็โทรมา "อาจารย์ครับขอเณรเฝ้าผมหน่อย" หลวงพ่อท่านเลยบอกว่า "เฮ้ย ไม่ให้....หมด" ท่านป๊อบบอกว่า "ถ้าไม่มีเณรเฝ้า หมอจะไม่ให้นอนโรงพยาบาล" ท่านเลยบอกว่า " เออ อย่างนั้นเอ็งคลานกลับมาตายที่วัด" หลวงพ่อเล็กบอกว่า รู้ว่าไม่ใช่หมอสั่ง แต่เป็นตัวเขาเองที่อยากกินอะไรก็จะใช้ให้เณรไปวิ่งซื้อ ทีนี้พอท่านไม่ให้เณรไป ท่านบอกว่า "ท่านน้อยใจเลยหนีกลับบ้าน วันก่อนแม่เขามาทำบุญก็ฝากแม่เขาไปบอกท่านป๊อบว่า อยู่บ้านตายก็ลำบาก..เดือดร้อนพ่อแม่ ไปอยู่วัดดีกว่า เณรก็มี เพื่อนพระช่วยสวดให้ฟรี ๆ ด้วย " แล้วท่านก็หัวเราะชอบใจ " รู้ว่าเดี๋ยวท่านเตลิดไปไกล พอเราพูดคำเดียวเดี๋ยวก็กลับมาหา" หลวงพ่อบอกว่า เวลารู้อะไรแล้วก็สนุกอยู่อย่างหนึ่ง คือ ปั่นคนอื่นเล่นได้ แต่อย่าทำบ่อย เดี๋ยวกรรมสนอง..! |
หลวงพ่อเล็กท่านกล่าวถึงในเรื่องการสร้างพระว่า ท่านพยายามสร้างให้ดีที่สุด สร้างออกมาคนจะรู้จักหรือไม่รู้จักก็ตาม แต่ถ้าสร้างออกมาสวย คนจะศรัทธา จึงต้องยอมลงทุน
|
พระอาจารย์เคยบอกว่า คนเราเลือกที่จะทำในสิ่งที่เขาคิดว่าถูกต้องเสมอ แต่ผลการคิดต่างกันเพราะสติปัญญาต่างกัน ผู้ร้ายฆ่าคนก็คิดว่าเขาทำถูก..เพราะเขามีสติปัญญาแค่นั้น
|
พระอาจารย์ท่านแนะนำว่า เรื่องอะไรก็ไม่สำคัญเท่าระวังรักษาอารมณ์ตัวเองให้ผ่องใส เพราะอาจารย์เคยแกล้งดุว่าคนบางคนแล้วท่านพบว่า เผลอหน่อยเดียวโทสะมันมาจริง ท่านเลยไม่สนใจประโยชน์ใครทั้งนั้น นอกจากระวังจิตตัวเอง
|
หลวงพ่อท่านบอกว่า "ตัวเราอย่าเป็นทุกข์แก่คนอื่น ทั้งกาย วาจาและใจเลย"
และ "เราวางก่อนสบายก่อน" |
"..ถ้าเราพึ่งตัวเองได้เมื่อไร จึงจะมีที่พึ่งที่แท้จริง.."
|
ท่านอาจารย์เคยพูดว่า เราต้องทำตัวเองเป็นเกาะ เป็นฝั่ง คือพึ่งตนเอง
|
มีคนถามคำถามว่า "ผมจะไปนิพพานได้ไหมครับ ?"
ท่านอาจารย์ได้เมตตาตอบว่า "ถ้ายังถามแบบนี้อยู่ อย่าหวังว่าจะไปได้เลย..!" |
มีพี่ผู้ชายคนหนึ่งเอาพระของหลวงปู่ปานมา พยายามจะถามหลวงพ่อเล็กให้ได้ว่า ใช่พระที่หลวงปู่ท่านปลุกเสกหรือไม่ ? เพราะไม่มั่นใจว่าใช่หรือเปล่า
หลวงพ่อเล็กเลยบอกว่า " หลวงปู่ท่านให้พรไว้ว่า พระท่านจะเก่าจะใหม่ จะจริงจะปลอม ถ้านึกถึงท่านก็มีอานุภาพเหมือนกันหมด" พี่ผู้ชายคนนั้นเลยเงียบไปเลย.. |
ไม่แน่ใจว่า ตอนนั้นหลวงพ่อเล็กคุยกับพี่เฟิร์สหรือพี่เอ๋ คุยกันเรื่องวัตถุมงคล พวกการจารพระต่าง ๆ
หลวงพ่อเล็กบอกว่า "ลักษณะลายมือคน เขาหนีตัวเองไม่ได้หรอก ดูรู้เลย ทุกองค์ลายมือเดียวกัน จะจารสูงจารต่ำอย่างไรก็ตาม ลายมือเดียว ถ้าเห็นปุ๊บจะจำได้เลยว่าของแท้ ขอให้เราจับจุดให้ได้ ว่าจุดตายของพิมพ์อยู่ตรงไหน มองดี ๆ ก็รู้" |
หลวงพ่อเล็กท่านเปรยออกมาว่า " ดูลีลาการเขียนหนังสือของพี่วิรัช(พระปลัดวิรัช โอภาโส)แล้ว พี่วิรัชเป็นพระที่เวลาคุยไม่เคยยกตัวเองขึ้นมาในด้านที่ทำให้คนอื่นศรัทธา มีแต่จะยกเอาความเสล่อเฟอะฟะของตัวเองขึ้นมาให้ดูเป็นตัวอย่าง ซึ่งคนลักษณะนี้หายาก เพราะถ้าคนยึดตัวเองเป็นใหญ่นั้นเผลอไม่ได้หรอก จะต้องมียกตัวเองขึ้นมาจนได้"
|
หลวงพ่อเล็กเล่าให้ฟังว่า ตอนที่ท่านประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์นั้น ได้เห็นอะไรหลายอย่าง
คือ ทันทีที่ขึ้นรถแล้วภาวนาจนชิน เกิดอะไรขึ้นมา บารมีพระท่านคุ้มครองได้จริง ๆ อย่างที่สองคือ พอเกิดเหตุเรามีสติ ไม่ได้ไปตกใจ มีแต่จะแก้ไขเหตุการณ์จากร้ายให้เป็นดี ลงจากรถไปนี่ไม่ได้ดูว่ารถเสียหายเท่าไร เข้าไปถามเขาก่อนว่า มีใครเจ็บไหม ? รถมีประกันไหม ? อย่าไปนั่งคร่ำครวญกับผลเสียหายของตัวเอง |
จำไว้ว่าผี เขาจะไปหาคนที่ไม่รู้ข่าว
ตอนนั้นน้องชายของพี่นันทนาเขาตกตึกตาย โทรไปบอกเพื่อนเขา เพื่อนบอกว่า "อย่ามาอำนะ เมื่อครู่มันยังช่วยยกเก้าอี้อยู่ในงานนี้เลย" คือเพื่อนเขาจัดงานอยู่อีกที่หนึ่ง แล้วก็นัดกันไว้ว่าจะเจอกัน ผีก็ไปช่วยเขาจัดสถานที่ เพื่อน ๆ ไม่เชื่อว่าเขาตาย จนกระทั่งต้องแห่กันมาที่วัด มาขอเปิดโลงดูว่าตายจริงหรือเปล่า :3070242c: |
หลวงพ่อเคยบอกว่า "คนที่เก่ง คือคนที่รู้ได้เท่าอาจารย์ คนที่ยอด คือคนที่มีความรู้มากกว่าอาจารย์ ส่วนคนที่เยี่ยม คือ คนที่บัญญัติทฤษฎีเองขึ้นมาใหม่ได้ พวกที่เยี่ยมนี้ส่วนมากจะเป็นพุทธภูมิ"
|
หลวงพ่อเล็กท่านเล่าให้ฟัง ท่านว่ามีพระที่ท่าซุงรูปหนึ่ง ท่านภาวนานับลูกประคำ ท่านภาวนานับว่า "กูจะฆ่ามึง กูจะฆ่ามึง กูจะฆ่ามึง....."
ตอนแรกเถรีก็นึกว่าพระรูปนี้ไปโกรธใครมา หลวงพ่อเล็กมาเฉลยตอนหลังว่า "กูจะฆ่ากิเลส" นั่นเอง |
หลวงพ่อเคยบอกว่า "สิ่งที่อยู่เหนือกรรมได้ คือ โลกุตระ"
|
หลวงพ่อเคยบอกว่า "พระที่ทรงฌานได้ดี เวลาที่ท่านจะไป ท่านจะป่วยหนักแล้วไปเลย ไม่เคยแสดงอาการป่วยเล็กน้อยให้เห็น เพราะท่านใช้กำลังฌานควบคุมร่างกายได้ ท่านต้องการสงเคราะห์คนเป็นสำคัญ จึงไม่ยอมแสดงอาการป่วยให้คนที่มาพึ่งนั้นขาดกำลังใจ คนจึงไม่รู้ว่าท่านป่วยมาก จนกระทั่งร่างกายแย่สุด ๆ จนล้มหมอนนอนเสื่อก็ไม่เหลือเวลาให้เยียวยาแล้ว
ฉะนั้นถ้าอยากให้ท่านอยู่กับเรานาน ๆ ก็ต้องพยายามอย่ารบกวนท่าน รักษาสติและกำลังใจตัวเองให้ดี" นึกถึงเมื่อคราวญาติโยมมากราบท่าน แล้วถามว่า "ท่านสบายดีหรือเปล่าคะ ?" ท่านก็ยิ้มแล้วตอบว่า "ยังไม่ตายจ้ะ" ยังไม่ตายของท่าน นี่ก็คงอาการร่อแร่เหมือนกัน แต่ว่าตอนที่ท่านรับแขกท่านจะแลดูสดใส แข็งแรง อันนี้ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกำลังฌาณ และบารมีพระท่านช่วยไว้หรือเปล่า พี่เฟิร์สเคยเล่าให้ฟังว่า พอญาติโยมกลับไปกันหมดแล้ว หลวงพ่อดูโทรมไปเลย พี่เฟิร์สก็เลยพูดว่า "หลวงพ่อแก่ขนาดนี้แล้วหรือ ?" ท่านก็ตอบว่า "เออ..ก็แก่แล้วสิวะ.." แต่ภาพที่เราเห็นท่านเวลารับสังฆทาน ยังแลดูหนุ่ม แข็งแรง และก็สว่าง.... |
หลวงพ่อเล็กเคยเล่าให้ฟังถึง "หลวงตาชาติ" (พี่เขยของท่าน)
ว่าตอนที่หลวงตาชาติบวช หลวงพ่อเล็กท่านมอบหมายหน้าที่อย่างหนึ่งให้ท่าน ก็คือให้เปิดเสียงตามสายช่วงเช้าและช่วงเย็น (เสียงเทศน์หลวงพ่อฤๅษี) พอดีช่วงนั้นหลวงตาชาติเปิดเสียงตามสายอยู่ กำลังตั้งใจฟังและปฏิบัติภาวนา ปรากฏว่า หงายท้องตึง... !!! เงียบไปเลย (ท่านมรณภาพ) หลวงพ่อเล็กจึงจัดงานศพให้ และก็เป็นที่ทราบกันดีว่าท่านตายแล้วไปดี ไปสบายมาก เลยไม่มีใครเศร้าโศกเสียใจ |
หลวงพ่อเล็กเคยเทศน์ว่า "การเป็นพ่อเป็นแม่ เป็นปู่ย่าตายาย วิธีการสอนไม่ใช่ท่านสอนอยู่ตลอดเวลา ถ้าหากท่านสอน ท่านสอนให้เราตาม ถ้าหากว่าท่านทำ ท่านทำให้เราดู ถ้าหากว่าอยู่ ท่านอยู่ให้เราเห็น และท้ายคือถ้าหากว่าท่านตาย ท่านก็ตายให้เป็น คือ ตายแล้วเป็นตัวอย่างที่ดี ว่าคนที่ปฏิบัติความดี ตายง่าย ตายสบายอย่างไร "
|
หลวงพ่อเล็กเคยบอกว่า " หลวงพ่อฤๅษีเคยปรารภว่า รูปครูบาอาจารย์นั้น ควรจะเป็นรูปที่ดูดีที่สุด เพื่อที่ศิษย์จะได้จับเป็นอนุสติ ไม่ใช่รูปอีเหละเขละขละอะไรก็ได้"
|
พระอาจารย์เคยบอกว่า " หลวงพ่อฤๅษีท่านบอกว่า เวลาพระหรือเทวดามาสงเคราะห์ในการพุทธาภิเษก ถ้าเคยให้เท่าไร ครั้งต่อไปก็ไม่ต่ำกว่านั้น ยกเว้นว่ามีเพิ่มเติมท่านจะบอกต่างหาก "
|
หลวงพ่อเล็กเคยเทศน์สอนว่า "ผลดีต่าง ๆ จะเกิดขึ้นแก่เรา ก็ต่อเมื่อเราทำบุญไว้เพียงพอ คนที่ทำบุญมาเพียงพอ บนอะไรก็ย่อมสำเร็จ ท่านที่บนอะไรไม่สำเร็จ ก็อย่าเพิ่งท้อถอย ให้ขยันหมั่นทำบุญไปเรื่อย ๆ เมื่อใดบุญกุศลถึงพร้อม ท่านก็จะสมปรารถนาเอง"
|
ในหนังสือกระโถนฯ มีกล่าวว่า "หลวงพ่อฤๅษีท่านบอกว่า ถ้าหากเพ่งภาพยันต์ทำน้ำมนต์ กำหนดเอาไว้อยู่บ่อย ๆ ทุกวัน ๆ จนภาพติดตา ท่านบอกว่าจะบรรเทากฎของกรรมได้ด้วย"
ในขณะเดียวกันเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา มีผู้หญิงคนหนึ่งมาปรึกษาปัญหากับพระอาจารย์เล็ก เกี่ยวกับเรื่องโรคภัยไข้เจ็บ (ถ้าเดาไม่ผิด เพราะเถรีมาไม่ทันตอนคนถาม แต่ทันตอนหลวงพ่อตอบ) ท่านแนะนำให้ใช้วิธี กำหนดใจลากเส้นตามภาพยันต์ทำน้ำมนต์ ลากตามเส้นไปเรื่อย ๆ และก็สวดด้วยคาถา อิติปิ โสฯ ๓ ห้อง ๗ จบ นะมะพะธะอีก ๑๕ จบ หลวงพ่อบอกว่า วิธีนี้พระบอกว่า ได้ผลยิ่งกว่าใช้เหรียญทำน้ำมนต์เสียอีก |
ในเรื่องการสงเคราะห์คน หลวงพ่อเล่าให้ฟังว่า "พระ....เวลาท่านมองคนอื่น ท่านมองว่า คนนี้สงเคราะห์ได้หรือไม่ อย่างพระพุทธเจ้าที่ตั้งใจสงเคราะห์ในลักษณะที่เป็นอัปปมัญญา
เราหว่านเมล็ดพันธุ์เอาไว้ ส่วนเขาจะไปเจริญเติบโตงอกงามที่ไหน ในชาติหน้าหรือชาติปัจจุบันก็แล้วแต่ ถือว่าเราได้ทำหน้าที่นั้นไปแล้ว" เถรีฟังแล้วซึ้งจริงๆ :baa60776: ทำให้นึกถึงที่ท่านเคยบอกไว้ว่า "พระอรหันต์ท่านมีเมตตาทุกองค์ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะมีต้นทุนพอให้ท่านสงเคราะห์ได้หรือไม่" |
มีคนถามหลวงพ่อเล็กว่า "ทำอย่างไรจึงจะหมดทุกข์"
หลวงพ่อท่านยิ้ม พร้อมกับตอบว่า "เป็นพระอรหันต์" ในเรื่องของความทุกข์ หลวงพ่อกล่าวว่า " การระงับทุกข์ชั่วคราว คืออย่าไปนึกถึงอดีตและอนาคต ให้เราดึงมาอยู่กับปัจจุบัน อยู่กับลมหายใจเข้าออก เมื่อเราอยู่กับปัจจุบัน ก็จะเหลือแต่สภาวทุกข์ เหลือแต่ทุกข์ที่เกิดจากร่างกาย ที่เราทุกข์เพราะเราไปคิดให้มันทุกข์ เราไปซ้ำเติมให้ทุกข์เข้าไปอีก เพราะฉะนั้น..หยุดได้แล้ว หยุดให้อยู่กับปัจจุบัน" คำสอนนี้เถรีฟังแล้วก็กินใจอีกค่ะ :4412144b: |
หลวงพ่อเล็กบอกว่า "บุคคลที่มีกำลังใจสูง จะเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลสามารถชักจูงผู้อื่นได้ ท่านเหล่านั้นคือบุคคลที่เป็นพระโสดาบันขึ้นไป เนื่องจากความดีของท่านสูง ต่อให้คนคิดร้ายมาจากไหน ถ้าอยู่ต่อหน้าท่านเหล่านั้นจะลืมความคิดไม่ดีไปชั่วคราว พ้นจากหน้าท่านค่อยว่ากันใหม่"
|
หลวงพ่อเล็กบอกว่า "อะนิจจา วะตะ สังขารา มีมาตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้าปรินิพพาน พระอินทร์ท่านแสดงธรรมสังเวช "
|
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 07:39 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.