![]() |
หลวงพ่อวิรัชเล่าถึงหลวงพ่อฤๅษี
เนื่องจากเนื้อหาในหนังสือปฐมธรรมยานได้กล่าวถึงเรื่องราวเกี่ยวกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีไว้หลายตอน และบันทึกคำสอนของหลวงพ่อไว้มากมาย เถรีจึงได้กราบเรียนขออนุญาตพระปลัดวิรัช โอภาโส แห่งสำนักสงฆ์ธรรมยาน จังหวัดเพชรบูรณ์ นำเรื่องราวบางส่วนในหนังสือ "ปฐมธรรมยาน (ลูกตามพ่อ)" มาเผยแพร่ในเว็บวัดท่าขนุน เพื่อให้ท่านทั้งหลายได้อ่านเป็นธรรมนุสติและสังฆานุสติกัน
สำหรับพระปลัดวิรัช โอภาโส ( เถรีขออนุญาตเรียกว่า "หลวงพ่อวิรัช" ) ท่านเป็นพระที่เคยถวายการรับใช้และสนองงานพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีมาเป็นเวลาหลายปี จนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านดับขันธ์ หลังจากนั้นท่านจึงออกมาจากวัดท่าซุง จนกระทั่งมาสร้างสำนักสงฆ์ธรรมยาน ที่จังหวัดเพชรบูรณ์ เนื้อหาในหนังสือปฐมธรรมยานเล่มนี้มีหลายตอนด้วยกัน เถรีจึงคัดเลือกเอาเฉพาะตอนสมัยข้าพเจ้าอยู่วัดท่าซุงและตอนปกิณกะธรรม มาให้ทุกท่านได้อ่าน (เนื่องจากพิมพ์ทั้งเล่มไม่ไหว แฮ่ ๆ) สังเกตจากตอนปกิณกะธรรมแล้ว คาดว่าหลวงพ่อวิรัชคงได้มีการบันทึกจดคำสอนของหลวงพ่อฤาษีไว้ตั้งแต่สมัยที่ท่านอยู่ท่าซุง เพราะมีการระบุวันที่เอาไว้ด้วย ดังนั้น เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เรามาเข้าสู่เรื่องราวเกี่ยวกับปฐมธรรมยานกันเถอะค่ะ |
อุปสมบทที่วัดท่าซุง
อุปสมบทที่วัดท่าซุง
อาตมาอยู่สหรัฐอเมริกา ๑๓ ปี ตั้งใจกลับมาบวชที่วัดท่าซุง กลับมาเมืองไทยราว ๆ วันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๒๔ (กลับไปนอนค้างคืนที่บ้าน ๑ คืน เพื่อบอกบิดามารดา) แล้วก็มาอยู่วัดท่าซุงจนถึงวันอุปสมบท เมื่อวันที่ ๑๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๒๔ ขณะนั้นอายุ ๓๓ ปี ช่วงอาตมาเป็นนาค หลวงพ่อเรียกอาตมาว่า "แป๊ะ" แล้วท่านถามอาตมาว่า "แป๊ะ" แปลว่าอะไรได้บ้าง ก็ตอบท่านว่า "คนแก่" แต่หลวงพ่อพูดว่า แปลว่า "ขาว"ก็ได้ เพราะตอนกลับมาจากสหรัฐฯ ตัวจะขาว ท่านเลยเรียก "แป๊ะ" ตั้งแต่แรกและตลอดมาจนติดปาก จึงภูมิใจที่หลวงพ่อท่านได้ตั้งชื่อนี้ให้ คล้ายกับหลวงปู่ปานที่เรียกหลวงพ่อแบบชื่อเล่นเช่นกัน (ที่คนทั่วไปรู้จักนามว่า หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ หลวงปู่ปานตั้งชื่อเล่นให้ "ลิงดำ") หลวงพ่อได้ถามว่า "จะบวชนานแค่ไหน" ตอบท่านว่า "ไม่ทราบครับ" เพราะไม่มั่นใจ ทั้ง ๆ ที่ตั้งใจว่าจะมาบวชยาว พอมาอยู่วัดแล้วรู้เลยว่าการอยู่เป็นพระตลอดไปไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะช่วงนั้นพระที่บวชหลายพรรษากำลังจะสึกไล่เลี่ยกันหลายองค์เลย จึงต้องพิจารณาดูไปทีละวัน ท่านจึงบอกว่า "เอาอย่างนี้ ให้ตั้งใจบวช ๓ ปีก่อน พอครบ ๓ ปี ตั้งใจบวชอีก ๓ ปี พอครบอีก ๓ ปีตั้งใจบวชอีก ๓ ปี พอครบ ๙ ปี แกก็แก่แล้ว จะสึกไปทำไม ให้ตั้งใจอย่างนี้นะ" ก็ตอบท่านว่า "ครับ" ขณะเป็นนาคอยู่ที่วัด หลวงพ่อได้เมตตาอย่างมาก เวลาท่านรับแขกก็ขึ้นไปฟังท่านบนศาลานวราช พอเลิกรับแขกเวลา ๑๖.๐๐ น. ท่านชวนไปตรวจงานแถว ๆ พระจุฬามณี ฯ (ตอนนั้นสร้างห้องพักแถวตึกอำนวยการ ชวนไปนั่งคุยแถว ๆ นั้น จนเย็นจึงกลับที่พัก) เช้าวันหนึ่งใกล้วันบวช หลวงพ่อกำลังจะเดินทางเข้ากรุงเทพฯ พอเจออาตมาเดินมา หลวงพ่อก็สวดขึ้นมาดัง ๆ แบบสวดนาค โดยสวดว่า สุณาตุ เม ภันเต สังโฆ แล้วถามว่า "สวดนาคคล่องหรือยัง" ตอบท่านว่า "พอได้แล้วครับ" "ไหนลองสวดให้ฟังหน่อย" ก็สวดว่า "เอสาหัง ภันเต" พอหลวงพ่อได้ยินเสียงที่อาตมาสวด ท่านพูดว่า "นี่มันทำนองเจ๊กนี่หว่า พระพุทธเจ้าเป็นแขก ต้องสวดให้เป็นเสียงแขก" แล้วก็สวดให้ฟังใหม่ ท่านก็ว่านี่มันทำนองเจ๊ก พวกตำรวจอยู่แถวหน้าตึกก็พากันหัวเราะ แล้วอาตมาก็ไปช่วยพระประเคนอาหารเช้า หลังจากอาตมาบวชแล้ว เมื่อวันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๒๔ เมื่อหลวงพ่อกลับจากกรุงเทพฯ ในตอนเย็น ลงทำวัตรสวดมนต์ นั่งกรรมฐานกันทั้งวัด หลวงพ่อนั่งเป็นประธาน พอเลิก หลวงน้าอรุณรองเจ้าอาวาสเตรียมพานธูปเทียนแพ ให้อาตมาถวายสังฆทานสักการะแก่หลวงพ่อ พอหลวงพ่อรับพานจากอาตมาแล้ว ท่านก็ใช้ฝ่ามือตบศีรษะอาตมาเต็มแรงพร้อมพูดว่า "ไอ้นี่มันใช้ได้" แล้วก็ตบอีกครั้งที่ ๒ เต็มแรง พูดว่า "ไอ้นี่มันใช้ได้" แล้วก็ตบอีกครั้งที่ ๓ เต็มแรง แล้วพูดว่า "ไอ้นี่มันใช้ได้" มือท่านหนักมาก |
ท่านตบ ๓ ครั้ง พูด ๓ ครั้งว่า "ไอ้นี่มันใช้ได้" ทำให้ปลื้มใจมาก ตั้งแต่อาตมาบวชอยู่ที่วัดท่าซุง ยังไม่เคยเห็นพระองค์ไหนบวชแล้วเข้าไปถวายสักการะแล้วหลวงพ่อแสดงแบบนี้ ก็นับว่าแปลกดี
จากนั้นหลวงพ่อท่านลุกขึ้นยืน แล้วจับมือที่อาตมายังพนมมืออยู่ บีบ ๓ ที และถามว่า "แกกินข้าวเย็นหรือเปล่า" "เปล่าครับ" "เออดี ถ้าศีลบริสุทธิ์ จะไม่หิวข้าวเย็นนะ" แล้วหลวงพ่อก็กลับกุฏิ พวกเราก็ทยอยกลับที่พัก วันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๒๔ เป็นวันวิสาขบูชา หลวงพ่อทำพิธีพุทธาภิเษกองค์แก้วสารพัดนึก พระภิกษุทั้งวัดได้เข้าร่วมพิธีในพระอุโบสถทุกองค์ พอเสร็จพิธีหลวงพ่อก็ออกมาจากโบสถ์ เดินรอบและสั่งให้อาตมาหิ้วของตามหลวงพ่อเดินรอบโบสถ์ และไปนั่งตรงหลังหลวงพ่อที่รับแขกที่ศาลาพระพินิจ (ช่วงทำพิธีอยู่ เกิดพระอาทิตย์ทรงกลด บิดามารดาของอาตมานั่งอยู่รอบโบสถ์ ร่างทรงศาลเจ้า ที่เพชรบูรณ์ก็มากับบิดา ได้บอกให้บิดากราบที่พื้น บอกว่าลื้อดูบนฟ้าพระอาทิตย์ทรงกลด พระพุทธเจ้าเสด็จมา บิดาตะโกนเสียงดัง ๆ ว่า "กวง ๆ " แปลว่า "สว่าง" ตั้งแต่นั้นมาบิดามารดาก็เลื่อมใสศรัทธาหลวงพ่อตลอดมา) ราว ๆ วันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๒๕ อาตมาและหลวงพี่ชัยศรี ช่วยหลวงพ่อย้ายของอะไรบางอย่างในกุฏิหลวงพ่อ อยู่ ๆ หลวงพ่อก็พูดว่า "แป๊ะ ! นับจากวันนี้เป็นต้นไป แกหมดสิทธิ์สึกแล้วนะ" ก็ตอบท่านว่า "ครับ" ปีแรก ๆ หลวงพี่โอมาชวนอาตมาไปนวดหลวงพ่อบ่อย ก็เล่าเรื่องอเมริกาให้ฟังขณะนวดไป ได้เข้าไปอยู่ใกล้ชิดบ่อย ไม่เคยถูกดุ ก็รู้สึกว่าหลวงพ่อใจดี |
หลวงพ่อแสดงอภิญญา
หลวงพ่อแสดงอภิญญา
เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๔ ปีที่อาตมาบวชปีแรก หลวงพ่อรับแขกที่ศาลานวราช ช่วงนั้นหลวงพ่อยังแข็งแรงหน่อย รับแขกตั้งแต่เวลา ๑๓.๐๐ - ๑๖.๐๐ น. มีพระติดตามเวลารับแขก ๓ รูป หลวงน้าอรุณ (ลาสิกขาแล้ว) หลวงพี่ไพโรจน์ (ลาสิกขาแล้ว) และหลวงพี่ชัยวัฒน์ (ปัจจุบันเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาส) หลวงพี่ไพโรจน์มีหน้าที่กางร่มให้ ปรากฏว่าพอหลวงพ่อเลิกรับแขก หลวงพี่จะต้องไปทำอะไรนิดหน่อย ท่านบอกให้อาตมาซึ่งนั่งช่วยจำหน่ายวัตถุมงคลบนนั้นไปกางร่มแทน อาตมาก็ถือร่มเดินตามหลวงพ่อลงบันได มีอยู่ ๕-๖ ขั้น พอถึงขั้นพื้นดิน หลวงพ่อก็หายไปต่อหน้า อาตมาก็งง เลยพูดเสียงดัง ๆ ว่า "เอ๊ะ หลวงพ่อหายไปไหน ?" ปรากฏว่าประเดี๋ยวหนึ่ง เสียงหลวงพ่อพูดมาจากด้านข้างบันไดปูน ตรงฝาผนัง ยืนอยู่พูดว่า "หลวงพ่ออยู่นี่ไง แป๊ะไปหาหลวงพ่อที่ไหน ?" อาตมายืนงงอยู่ แล้วหลวงพี่ไพโรจน์ก็เปิดประตูลงมา หลวงพ่อยังยืนอยู่ที่เดิม ท่านพูดกับหลวงพี่ไพโรจน์ดัง ๆ ว่า "ไพโรจน์ หลวงพ่อยืนอยู่นี่ แป๊ะไปหาหลวงพ่อที่ไหนก็ไม่รู้" แล้วหลวงพ่อก็หัวเราะ พระติดตาม ๓ รูปก็เดินตามหลวงพ่อกลับกุฏิ |
เฝ้ายามฝั่งโบสถ์ (พบยักษ์)
เฝ้ายามฝั่งโบสถ์ (พบยักษ์)
พระที่วัดต้องอยู่เวรยาม หมุนเวียนองค์ละ ๑ วัน ตั้งแต่ ๖ โมงเย็นถึง ๖ โมงเช้า มีอยู่วันหนึ่งอาตมาอยู่เวรยาม พอกลางคืนปิดประตูหน้าแล้วก็ว่าจะนอน พอเอนกายลงนอน หลับตาลงจิตก็เห็นยักษ์ ตัวใหญ่กว่าป้อมยาม เขี้ยวโง้ง สูงใหญ่มาก เดินแทรกเข้ามาในป้อมยามตรงเข้ามาหา พอเห็นครั้งแรกตกใจ จึงท่อง "พุทโธ" ดัง ๆ พร้อมกับรีบลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว แล้วยักษ์ก็หายไป พอหายกลัวแล้วก็เอนตัวลง พอหลับตาลง ยักษ์ใหญ่กว่าป้อมก็เดินทะลุเข้ามายังตัวอาตมา อาตมาก็ท่อง "พุทโธ" ดัง ๆ แล้วรีบลุกขึ้นนั่ง เป็นอย่างนี้หลายรอบ ในคืนนั้นไม่กล้านอน จึงไปเล่าให้หลวงพ่อฟัง ว่าผมเจอยักษ์ตัวใหญ่มาก นอนไม่หลับเลย หลวงพ่อถามว่า "ตอนนั้นแกทำอะไรอยู่?" "ผมอยู่เวรยามครับ" ท่านพูดว่า "อยู่เวรยาม ไปนอน ผิดระเบียบ ยักษ์ก็เล่นงานเอาซิ อยู่เวรยามแล้วไปนอนได้อย่างไร" |
อย่ารับเงินจากโยมที่ทำตัวโตกว่าพระ
อย่ารับเงินจากโยมที่ทำตัวโตกว่าพระ
ตอนบวชได้พรรษาแรก ๆ (ประมาณปี พ.ศ. ๒๕๒๕) หลวงพ่อได้รับกิจนิมนต์ไปฉันเพลบ้านเศรษฐีที่กรุงเทพฯ คราวนี้อาตมาและหลวงพี่อาจินต์ได้ติดตามหลวงพ่อไปฉันเพลที่บ้านนั้นด้วย พอฉันเพลเสร็จ เจ้าของบ้านนิมนต์หลวงพ่อเข้าไปข้างใน สักพักหนึ่งหลวงพ่อก็ออกมาเมื่อสมควรแก่เวลา ก็ลาเจ้าของบ้านกลับ โดยขึ้นรถตู้ อาตมาได้นั่งใกล้หลวงพ่อ หลวงพ่อก็พูดขึ้นว่า "แป๊ะ แกจำไว้เลยนะ ถ้าฆราวาสทำตัวโตกว่าพระแกอย่าไปรับเงินเขาโดยเด็ดขาด แม้เขาจะถวายแกเป็นเงินล้าน แกก็อย่ารับ เราเป็นพระ เงินทองไม่ใช่เรื่องสำคัญนัก ที่เราก่อสร้างเพราะเขาถวายมา ไม่มีเราก็หยุดสร้าง เราเป็นพระเราก็อยู่ของเราอย่างนี้ เราไม่เดือดร้อนอะไร แกจำไว้นะไอ้แป๊ะ!" "ครับ" ขณะที่หลวงพ่อสอน หลวงพี่อาจินต์และทุก ๆ คนบนรถก็ได้ยินชัดเจนทั่วหน้ากัน ปรากฏว่าคำเตือนของหลวงพ่อนี้ เป็นคำเตือนที่มีคุณค่ามาก เหมือนกับว่าหลวงพ่อได้เล็งอนาคตังสญาณสำหรับอาตมาโดยเฉพาะจริง ๆ |
หลวงพ่อทดสอบ - การตัดโลภะ
หลวงพ่อทดสอบ - การตัดโลภะ
ตอนไปสหรัฐฯ คราวแรก ๆ ไปแวะวัดฮาวาย วัดหลวงพ่อพระครูปลัดปรีชา ก็ทราบข่าวว่าท่านใช้กล้องถ่ายรูปอย่างดี ราคาเป็นแสน พอถึงฮาวาย หลวงพ่อพระครูปลัดปรีชาท่านก็มารับ ก็เอากล้องราคาเป็นแสนมาถ่ายรูป พอไปถึงวัดท่านก็ถ่ายรูปหลวงพ่อ ตอนหลวงพ่อพระครูปลัดปรีชาถือกล้องถ่ายอยู่นั้น หลวงพ่อพูดว่า " นั่นจะถวายผมหรือ " ท่านรีบถวายหลวงพ่อทันที " ครับ ๆ ผมถวายเลยครับ " หลวงพ่อก็หยิบมาดูไปมาอยู่นาน พอจะกลับที่พัก หลวงพ่อก็กล่าวว่า " เอ้า เอาคืนไป ฉันไม่เอาหรอก " ท่านวางไว้ แล้วก็ลุกไป หลวงพ่อพระครูปลัดปรีชา ก็บอกให้อาตมาหยิบไปถวาย ท่านย้ำกับอาตมาว่า " ผมถวายหลวงพ่อจริง ๆ ครับ " จึงหยิบตามหลวงพ่อไปถึงห้องพัก ก็ส่งกล้องให้หลวงพ่อ ท่านพูดว่า " แกเสือกเอามาได้อย่างไร ราคาเป็นแสน ข้าทดสอบกำลังใจเขาดูเท่านั้นเอง " " แต่ท่านย้ำให้ผมเอามานะครับ ท่านบอกว่า ท่านถวายแล้วครับ " หลวงพ่อจึงอธิบายให้อาตมาฟังว่า " ข้าจะทดสอบกำลังใจเขาดู ตอนที่เขาบอกว่า " ให้ " นั่นแหละ กำลังใจเขาตัดโลภะไปแล้ว เขาตัดโลภะขณะนั้นเป็นแสนทันที ต้องการทดสอบกำลังใจเขาเท่านั้น นี่แสดงว่ากำลังใจใช้ได้ทีเดียว " แล้วก็สั่งให้อาตมาเอาไปคืนอีกครั้ง ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่า หลวงพ่อชอบแหย่โยมเสมอ ๆ ว่า " นั่นจะถวายฉันหรือ " ท่านทดสอบกำลังใจแต่ละคนในขณะนั้นว่า จะยอมตัดโลภะในสิ่งนั้น ๆ ในขณะนั้นได้ไหม |
อับอาย - ทำงานเอาหน้า
อับอาย - ทำงานเอาหน้า
ช่วงบวชใหม่ ๆ อาตมาทำงานแบบไม่เต็มที่ แต่ทำได้เรื่อย ๆ แล้วแต่เขาจะเรียกให้ไป เพราะคิดว่าหลวงพ่อคงไม่ว่าอะไร มีอยู่วันหนึ่ง หลวงพ่อจะจัดงานที่ศาลา ๒ ไร่ อาตมาก็ไปช่วยที่นั่น พอหลวงพ่อมา ก็รีบขยัน และชอบพูดเสียงดัง ๆ ชวนพระมายกนั่น ยกนี่ เรียกว่าอาตมาทำเอาหน้า หลวงพ่อได้ยินเสียง ก็หันมามองดู แล้วท่านก็สะบัดหน้าไปทางอื่นอย่างเห็นได้ชัด แล้วไม่หันมาทางนี้อีกเลย อาตมารู้สึกอายในกิเลสที่อยากได้หน้า อายมาก นึกว่าเรานี่จิตใจกิเลสหยาบคายมาก ตั้งแต่นั้นก็พยายามทำไปตามหน้าที่ หลวงพ่อจะเห็นหรือไม่เห็นก็แล้วแต่ พอท่านมา ก็กลัวท่านจะทำหน้าหมั่นไส้เราแล้วสะบัดหน้าอีก ก็เลยต้องคอยหลบบ้าง หรือเสนอหน้าบ้าง แล้วแต่ความเหมาะสมของงาน สิ่งที่หลวงพ่อไม่ชอบมาก ๆ คือ พวกที่ชอบหลบงานส่วนรวม |
หลวงพ่อรู้ภาษาสัตว์
หลวงพ่อรู้ภาษาสัตว์
เรื่องสุนัข สุนัขของหลวงพ่อ ๒ ตัว โคล่า(แก่แล้ว) สิงห์ดอก (หนุ่มกว่า) ๒ ตัวนี้จะอยู่ใกล้ ๆ หลวงพ่อที่ตึกริมน้ำ วันหนึ่งหลังจากที่หลวงพ่อชวนอาตมา หลวงพี่บัญชาไปตรวจงาน กลับเข้ากุฏิ เปิดประตูเจอโคล่ากำลังยืนร้องหงิง ๆ เจ้าสิงห์ดอกเพิ่งเข้ามาตอนหลวงพ่อเข้ามา หลวงพ่อก็พูดกับเจ้าโคล่า ว่า “เราเป็นพี่ เราก็ต้องเสียสละสิ สิงห์ดอกเขาเป็นน้องก็ปล่อยเขาบ้าง” แล้วหลวงพ่อก็หันมาบอกพวกเราว่า “โคล่าฟ้องว่าสิงห์ดอกเอาเปรียบ หลวงพ่อไม่อยู่ปล่อยให้เขาเฝ้ายามตัวเดียว สิงห์ดอกไปเที่ยวเล่นข้างนอก” เรื่องแมว อีกครั้งหนึ่งหลังจากฉันเช้า อาตมานำเอกสารที่พระภิกษุจะไปต่างประเทศกับหลวงพ่อ เข้าไปให้ท่านเซ็นต์ มีแมวหลวงพ่อที่กุฏิริมน้ำตัวหนึ่ง เขาก็วิ่งออกไปตรงระเบียงด้านนอก แล้วปีนขึ้นมาบนหน้าต่างส่งเสียงร้อง หลวงพ่อนั่งอยู่บนเตียงกำลังสนทนากับอาตมาอยู่ ก็หยุดหันไปพูดกับแมวว่า “เออ รู้แล้ว ๆ ๆ” พอพูดจบแมวก็กระโดดลงมาแล้ววิ่งจากระเบียงเข้ามาในห้อง ซึ่งถ้าเป็นแมวทั่วไป ก็คงวิ่งเข้ามาหาแต่นี่มีมารยาทมากมันรู้ว่าหลวงพ่อมีธุระหรือเรื่องส่วนตัว มันไม่เข้าไปกวนเสียมารยาท หลวงพ่อพูดว่า “แมวเขามาบอกว่า เขามารายงานตัวให้ทราบแล้วนะ เขาจะทำอย่างนี้เป็นประจำทุกวัน” เรื่องนก เรื่องนี้ครูเปี๊ยกมาเล่าให้ฟัง หลวงพ่อ พระติดตามและฆราวาสติดตาม เขาพาไปดูสวนนกจูล่ง ประเทศสิงคโปร์ ปรากฏว่าหลวงพ่อเดินผ่านกรงนกไป แล้วก็เดินกลับมาอีก ครูเปี๊ยกก็ถามหลวงพ่อว่า หลวงพ่อเดินไปแล้วทำไมต้องเดินย้อนกลับมาอีก หลวงพ่อพูดว่า "เมื่อกี้ข้าเดินมา นกมันก็ถามว่า หลวงพ่อจะไปไหนเจ้าคะ ข้าก็ไม่สนใจ ก็เดินผ่านไป พอเดินมาหน่อยนกมันก็พูดว่า พระองค์นี้แปลก ถามก็ไม่ตอบ ข้าก็เลยเดินกลับไปให้กำลังใจเขาหน่อย" |
รอยยิ้มครั้งสุดท้าย
รอยยิ้มครั้งสุดท้าย
มีอยู่คราวหนึ่ง เป็นงวดที่อาตมาติดตามหลวงพ่อไปบ้าน พล.อ.ท. ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์(กทม.) ไปทำหน้าที่ประจำเดือน โยมน้อย (กานดา อมาตยกุล) มาถามว่า " หลวงพี่แป๊ะ พระคำข้าวรุ่น ๑ ยังมีอีกหรือเปล่า? จ่าประมวลรับใช้ใกล้ชิดหลวงพ่อมานาน ยังไม่ได้เลย จะขอเช่าไปให้เขา " เดินมาถามหลายครั้ง อาตมาก็เดินหนีไม่ตอบสักครั้ง เพราะที่จำหน่ายหมดแล้ว แต่ที่เก็บไว้ในกรุของวัดยังมีอยู่ แกเลยไปเรียนถามหลวงพ่อ วันที่ ๑๒ ก.ค. ๒๕๓๓ หลวงพ่อก็ถามว่า " แป๊ะ แกเก็บพระคำข้าวไว้เท่าไหร่ " ตอบท่านว่า " ๕๐๐๐ องค์ครับ " (แต่ก่อนหลวงพ่อเคยสั่งว่า ถ้าจะเก็บเข้ากรุวัดเก็บแค่ ๒๐๐-๓๐๐ องค์ก็พอ) " ที่ผมเก็บไว้เยอะเพราะว่า หลวงพ่อเป็นโรคหัวใจ ผมไม่ไว้ใจครับ " หลวงพ่อพูดว่า " หนอยแน่! ข้าเป็นโรคหัวใจแค่นี้ แกคิดว่าข้าจะตายง่าย ๆ หรือไง ข้ายังไม่ตายง่ายหรอก " แล้วท่านก็หยิบพลูขึ้นมากัดแล้วโยนมาใส่มือพอดีดังพัวะ " เอ้า ปล่อยออกได้หรือยัง " พอรับพลูแล้วก็เลยยิ้ม ตอบท่านว่า " ครับ เย็นนี้ปล่อยเลยครับ " พอทำวัตรเย็น ก็บอกญาติโยมมาเช่าหมดภายในเวลารวดเร็ว ไม่เหลือเลย ตอนนั้นก็คิดว่า หลวงพ่อคงจะอยู่อีกนาน เพราะเดี๋ยวป่วย เดี๋ยวดีขึ้น ก็เชื่อตามหลวงพ่อ ครั้นวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๓๕ หลวงพ่อมรณภาพ ที่โรงพยาบาลศิริราช ก็เข้าไปกราบศพท่าน ก่อนจะกราบก็เข้าไปดูใบหน้าท่าน พร้อมกับทวงในใจว่า " ไหนหลวงพ่อเคยบอกว่า ข้าไม่ตายง่าย ๆ ไงครับ " ทันใดนั้น หลวงพ่อก็ยิ้มออกมา ริมฝีปากยืดมาจะจะเลย แล้วก็ยืดออกมาเรื่อย ๆ ๓ วาระจนสุดปาก คล้ายท่านขำ ๆ อะไรอยู่ เป็นรอยยิ้มอย่างมีความสุข ไม่มีทุกข์เจือปนอีกเลย เหมือนกับจะตะโกนบอกให้อาตมาทราบว่า " ในที่สุด แกก็เสียท่าฉันแล้ว ฉันก็หนีแกไปก่อน " แล้วท่านก็ยิ้มอย่างมีความสุขให้พวกเราดูเป็นครั้งสุดท้าย (ที่อาตมาเคยเขียนบันทึกในงาน ๑๐๐ วันมรณภาพหลวงพ่อถึงเรื่องที่ท่านยิ้ม ก็เพราะเหตุผลเรื่องนี้) |
เรื่องปลาเน่า
เรื่องปลาเน่า
ปี พ.ศ. ๒๕๓๕ ก่อนงานเป่ายันต์เกราะเพชรครั้งสุดท้าย ก่อนที่หลวงพ่อจะมรณภาพ ก็จะมีการพุทธาภิเษกมีดหมอด้วย พออาตมาและหลวงพี่บัญชาเข้าไปกุฏิหลวงพ่อ เพื่อรับหลวงพ่อมารับแขกที่ตึกรับแขกใหม่ อาจารย์โอ๋ (ที่จำหน่ายยาสมุนไพรในวัดท่าซุง) ก็เข้ามาถวายมีดหมอด้ามงา ด้ามเล็ก ด้ามงาช้าง แต่ปลอกทุกข้อทำด้วยทองคำแท้ทั้งหมด ๑ ด้าม มาถวายหลวงพ่อ ก่อนหลวงพ่อจะหยิบใส่ย่าม ท่านก็พูดขึ้นมาว่า "ต่อไปข้าตายเมื่อไร ไอ้แป๊ะมันเอาของข้าไปขายหมด ในวัดนี้ไม่มีใครเหมือนมัน มันค้นของข้า อะไรขายได้ มันขายหมด ต่อไปปลาเน่ามันก็ขายได้ มันเหมือนข้าสมัยอยู่กับหลวงพ่อปาน ท่านก็พูดกับข้าว่า ต่อไปปลาเน่าแกก็ขายได้" ทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนั้นก็พากันหัวเราะ แล้วหลวงพ่อก็เอามีดหมอใส่ย่าม แล้วก็พากันขึ้นรถไปยังตึกรับแขก |
สมเด็จวัดสามพระยาบอกหลวงพ่อไปนิพพาน
สมเด็จวัดสามพระยาบอกหลวงพ่อไปนิพพาน
วันครบรอบ ๑๐๐ วันมรณภาพหลวงพ่อ เมื่อมีพิธีแห่สรีระในโลงแก้ว ย้ายมาไว้ที่วิหาร ๑๐๐ เมตร ในห้องกระจก โดยมีบุษบกที่สวยงามรองรับ ขณะนั้น อาตมาและท่านพระครูปลัดอนันต์ ท่านเจ้าอาวาสวัดท่าซุงนั่งกับพื้น ข้างเก้าอี้สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา หลวงปู่สมเด็จฯ ท่านยิ้มแล้วพูดว่า "ท่านเจ้าคุณ (หลวงพ่อพระราชพรหมยาน) ท่านรู้ว่าท่านตายแล้วจะไปอยู่ที่ไหน ท่านจึงเตรียมที่ไว้แบบนั้น สมดังที่พระไตรปิฎกตรัสไว้ว่า เมืองแก้ว คือพระนิพพาน" แล้วท่านก็ชี้นิ้วไปที่ห้องกระจกที่ตั้งสรีระหลวงพ่อ |
หลวงพ่อปรารภเรื่องการสร้างพระ
หลวงพ่อปรารภเรื่องการสร้างพระ
"การสร้างพระพุทธรูป ข้าจะไม่ยอมให้ท่านตากแดดตากฝนเด็ดขาด พระก็เหมือนพ่อแม่ แล้วเราจะยอมให้พ่อแม่เรานั่งตากแดดตากฝนทำไม?" "การสร้างพระพุทธรูปต้องมีตัวอาคาร ไม่ให้วางพระพุทธรูปกับพื้น ต้องมีฐานรองรับ" หลวงพ่อเดินตรวจงานสร้างพระชำระหนี้สงฆ์ตรงอาคารที่กำแพงติดกับศาลา ๑๒ ไร่ เดินไปเห็นพระพุทธรูปหักชำรุดวางพิงกำแพงอยู่ ท่านยกมือไหว้และพูดว่า "ถ้าเดินไปเห็นกองทรายที่เขาเตรียมปั้นพระพุทธรูปกองอยู่ ไหว้ได้เลย" |
ปกิณกะธรรม
ปกิณกะธรรมจากหลวงพ่อฤๅษี
|
ปกิณกะธรรม
|
|
|
|
มีร้านขายของชำร่วย พวกหุ่น ตุ๊กตาพื้นเมือง ติดกับร้านอาหาร หลวงพ่อถามอาตมาว่า "ร้านขายรูปปั้นตุ๊กตา เขาทุกข์ไหม?" ตอบว่า
"ทุกข์ครับ" "เขาทุกข์อย่างไร?" หลวงพ่อถาม "คนเข้าออกทั้งวัน เข้ามาดูแต่ไม่ซื้อ คนขายจึงทุกข์" หลวงพ่อจึงพูดว่า "นั่นมันทุกข์จร ขาจรเท่านั้น" ท่านบอกว่า "ทุกข์จริง ๆ มันเรื่องทุนจม ขายไม่ออก มันทุกข์ที่กู้เงิน ยืมเงิน ดอกเบี้ยธนาคารจะขึ้นเท่าไร ภาษี ค่าเช่าสถานที่ ค่าน้ำ ค่าไฟ โอ๊ย ! จิปาถะ" (๒๕ มิถุนายน ๒๕๓๑ ประเทศเยอรมัน) |
|
ขณะนั่งอยู่หน้าพระประธานวิหาร ๑๐๐ เมตร ท่านมองที่ช่างตัดกระจกชิ้นเล็ก ๆ ที่กำลังนั่งทำกันอยู่ และมองที่กระจกบานใหญ่ ที่ทำพระประธาน หลวงพ่อพูดกับอาตมาว่า
"แป๊ะ นี่มองไปนั่น ! นั่นเป็นสมาธินะ เขาทำอย่างนี้ได้ต้องเป็นสมาธิ จิตกังวลถึงแต่งาน หลับตาก็นึกว่าจะทำพระพุทธรูป เขาต้องใช้สมาธิทำ ตัดกระจกไปจิตต้องเป็นสมาธิ พลาดจากสมาธินิดหนึ่งไม่ได้ งานเสีย จริงอยู่ทำ ๆ ไปเขาอาจคิดถึงแฟนแว่บหนึ่งได้ แต่จิตกังวลกลับมาหาพระอีก นี่เป็นสมาธิ" |
ฉันเช้าแล้ว รับหลวงพ่อไปทำฟัน หลวงพ่อถามว่า
"แป๊ะ เมื่อคืนทำกรรมฐานเห็นอะไรบ้าง" ท่านหัวเราะแล้วสอนว่า "นั่งกรรมฐาน ต้องเห็นขันธ์ ๕ อย่างเดียว ให้เห็นความเสื่อมไป ความไม่เที่ยง ความทุกข์ แล้วก็เสื่อมสลายไป ยามใดมีเวทนาก็เป็นเรื่องธรรมดา มันจะค่อย ๆ เบื่อร่างกายทีละน้อย ๆ ในที่สุดก็ละได้เลย" (๑๒ กรกฎาคม ๒๕๓๒) |
ขออนุญาตเล่าประสบการณ์ที่เกือบจะคล้าย ๆ กับหัวข้อข้างบนนะครับ เมื่อหลายปีก่อนเคยมีเพื่อนถามผมแบบนี้เหมือนกันครับ
เพื่อน: "มึงนั่งสมาธิ แล้วมึงเห็นอะไรบ้างไหม" กระผม: "เห็นเพียบเลย แสง สี เสียงนี่ชัดเจนจริง ๆ " เพื่อน: "มึงนี่เจ๋งโคตร ๆ นั่งไปไกลนะนี่" กระผม: "ไปไกลมากเลยเพราะแสง สีที่ว่า กูฟุ้งเรื่องที่ไปเที่ยวมาเมื่อคืน" เริ่มต้นดีแต่จบแบบขายหน้าจริง ๆ:l43841274qn5: |
ครั้งหนึ่งหลวงพ่อชวนอาตมาทำบุญ (จำไม่ได้ว่าทำบุญอะไร) กราบเรียนท่านว่า "ผมไม่มีเงินครับ" ท่านว่า
"แกโกหก แกจะไม่มีแม้แต่บาทเดียวเชียวหรือ แกตอบไม่เป็น ควรตอบว่า มีไม่พอครับ ต้องตอบตรงไปตรงมา" |
หลวงพ่อพูดว่า "ช่างทำประตูใส่กลอนไม่ได้ ข้าดึงไม่ถึง หากทำงานอย่างนี้นะเรียกว่า ช่างเถอะ (นายช่าง) พวกทำงานหยาบอย่างนี้เอาดีไม่ได้ จำไว้เลย พวกทำงานหยาบเอาดีไม่ได้เลย"
(๑๔ กรกฎาคม ๒๕๓๒) |
เรื่องอาบัติ เศษเนื้อติดฟัน
ตอนไปรับหลวงพ่อก่อนลงรับแขกบ่ายโมง หลวงพ่อกำลังแคะฟัน ท่านถามว่า
"แป๊ะ เศษอาหารติดฟันกลืนลงไป เป็นอาบัติไหม ?" บอกว่า "ไม่เป็นครับ" หลวงพ่อถามว่า "เพราะอะไร?" หลวงพ่อก็เฉลยเองว่า "ถ้าตั้งใจกลืนเป็นอาหาร เป็นอาบัติ ถ้ามันลงไปเองโดยไม่ตั้งใจไม่เป็นอาบัติ" (๑๖ กันยายน ๒๕๓๒) |
หลวงพ่อไปตรวจงานที่ศาลา ๒ ไร่ เตรียมสะเดาะเคราะห์ ๑๓ เมษายน ๒๕๓๒ หลวงพ่อพูดว่า
"หลวงพ่อป่วยเพราะเรื่องกรรมควาย พอบวชเณรให้แล้ว ๑๑๑ รูป ๒ วันหลังจากนั้น ยาที่ใช้ก็มาเลย แต่ก่อนหน้านั้นไม่เจอ หาไม่ได้ พระ(พระพุทธเจ้า)มาบอก" "กรรมควาย ก็แปลว่า ควายนะซิ" ท่านพูดสั้น ๆ แค่นั้น "ควาย แปลว่า "โง่" มีกรรมของควาย ก็ทำให้โง่ คิดไม่ออกอยู่นั่นแหละ พอพ้นกรรมควายก็หายโง่เลย" ช่วงนั้นหลวงพ่อบอก จู่ ๆ เห็นภาพพระภิกษุ ๒ รูป แต่งตัวเรียบร้อย แต่จิตคิดว่านั่นไม่ใช่พระดีแน่ กลิ่นสาบควายค่อย ๆ เหม็นมา ท่านบอกว่ากลิ่นควายอย่างไรอย่างนั้น เหม็นสาบฟุ้งไปเลย สักประเดี๋ยว พระ ๒ รูปกลายเป็นควาย มาบอกว่า "ผมเป็นตัวแทนของควาย มาเพื่อบอกว่าบุญที่ทำให้..ได้รับแล้ว จึงมาในรูปพระให้ดูว่าได้ผล" และเห็นภาพควายที่ใช้เลี้ยงกองทัพ(สมัยอดีต) ยาวเหยียดกว่าสนามหลวงเป็นสิบ ๆ เท่า (๑๒ เมษายน ๒๕๓๒) |
หลวงพ่อให้อาตมาติดตามไปงานวันเกิดสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา
สักครู่หนึ่ง สมเด็จพระสังฆราช เสด็จเข้าไปในพระอุโบสถ ตรงเข้าไปที่ตั่งที่สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์นั่งอยู่ สมเด็จพระสังฆราชคุกเข่ากราบสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ที่ตั่ง และถวายเครื่องสักการะ หลวงพ่อพูดว่า "สมเด็จพระสังฆราช ท่านเป็นพระแท้ ไม่ได้ถือยศ ท่านเป็นพระที่ไม่มีมานะ" (๒๐ มีนาคม ๒๕๓๓) |
มีพระ ๓ รูป เข้าไปลาสึกกับหลวงพ่อ ขอสึกวันตักบาตรเทโว หลวงพ่อถามว่า
"ใครเป็นคนให้ฤกษ์สึกแก่พระบวชใหม่?" หลวงพ่อพูดว่า "ความจริงควรจะมาปรึกษาผมก่อน อยู่ ๆ เข้ามาลาสึกเลย" "ถึงแม้วันนั้น (ตักบาตรเทโว) จะเป็นฤกษ์พรหมประสิทธิ์ ก็ไม่ควรสึกอย่างยิ่ง ถ้าสึกวันนั้นก็ซวยไปตลอด เพราะเป็นวันพระเจ้าเปิดโลก" หลวงพี่บัญชาพูดว่าพระศรีสำราญ เคยสึกวันนั้น สึกออกไปก็ตายโหง (๑ ตุลาคม ๒๕๓๓) |
หลวงพ่อตรวจงาน ไปดูพระสามารถปั้นรูปปั้นพระเจ้าตาก ๒ องค์ ตอนเป็นนักรบ และตอนบวช
ตอนเป็นนักรบ ไว้ผมทรงลานบิน จากหูขึ้นไปหน่อย มีผมตัดสั้นขึ้นไป นักรบสมัยก่อน ผู้นำกองทัพ หน้าตาหล่อ หน้าตาดี ยิ้มอยู่เสมอ ไม่ใช่ทำท่าดุร้าย ท่านหน้ายิ้ม แต่ถ้าชักดาบออกมาคอขาดไม่รู้ตัว ไวมาก คนดูท่านหน้าตาอ่อน ๆ แต่ภายในเฉียบขาด อย่าไปเรียกท่านพระเจ้าตากเฉย ๆ นะ ท่านเป็นพระอรหันต์ (๑๙ ตุลาคม ๒๕๓๓) |
กรรมที่ส่งผล
เขาฟังธรรม แกล้งส่งเสียงกลบ.....หูหนวก เขาทำบุญ แกล้งไม่เห็น............ตาบอด |
นายแพทย์จรูญถามว่า "ถ้าจะถ่ายวีดีโอหลวงพ่อ แล้วให้เพื่อนหลวงพ่อเข้ามาอยู่ในวีดีโอได้ไหม?" หลวงพ่อบอกว่า
"ไม่ได้ ถ่ายไปทำไม เอาเป็นว่าเราฝึกให้ได้ นึกอยากไปชมนรก ก็ปรากฏพรึ่บทั้งกลุ่ม นึกอยากไปไหนไปปรากฏทั้งกลุ่ม ฝึกให้ได้อย่างนั้น มีประโยชน์กว่า" หลวงพ่อเล่าว่า ท่านถามเพื่อนที่ชื่อโพธิวัตร ว่า "อยู่ในป่ามีลูกศิษย์มากไหม?" ท่านบอกว่า "มากเหมือนกัน" โดยมากเป็นพระธุดงค์เข้าป่า ไม่มีครูบาอาจารย์ ติดขัดก็ไปสอนให้ ท่านสอนพระในป่าว่า "การปฏิบัติอย่างนี้ยาวไป (หลวงพ่อทำมือ ๒ ข้าง ยกนิ้วชี้ ๒ ข้างขยายกว้างออกไปเรื่อย ๆ ) การปฏิบัติเพื่อมรรคผลต้องทำให้แคบเข้า (แล้วทำนิ้ว ๒ ข้าง เอามือเขยิบเข้ามาชิดกัน) ไม่ใช่ขยายออกไป กว้างออกไป ยิ่งแคบเข้ายิ่งเจอจุดเร็ว" (๑๑ สิงหาคม ๒๕๓๔) |
ถ้าเป็นโสดาบัน......ก็ยังคิดว่าตนเลวอยู่ รู้สึกว่าตนยังไปนิพพานไม่ได้
พระสกิทาคามี........ก็ยังรู้สึกว่าเลวอยู่ พอเป็นอนาคามี.......ก็ยังรู้สึกว่าเรายังเลวอยู่ พอเป็นพระอรหันต์....ยังรู้สึกตัวว่าไม่ดี เพราะยังปวดขี้ปวดท้องเยี่ยว |
http://www.khonkaenlink.info/share/t...=CF7F_4AAFAE0F http://www.khonkaenlink.info/share/t...=E9C3_4AAFAE0F วัตถุมงคลเป็นเนื้อดินเผา ที่พระอาจารย์วิรัช โอภาโส สร้างบรรจุไว้ในองค์พระประธาน ๑๕ ศอก วัดธรรมยาน หลวงพ่อสอนให้เกาะซากศพเน่า เมื่อตกน้ำกลัวจะจม เมื่อเป็นศพก็จำเป็นต้องคว้าไว้ก่อน เจอสวะก็ผลักไปจับสวะ เจอขอนไม้ไปจับขอน เจอแพ เจอเรือ... แต่ถึงฝั่งแล้วอะไรก็ไม่เอา การที่หลวงพ่อสอนให้ทำทานก่อน ก็เพื่อเกาะสวรรค์ เหมือนคนตกน้ำจะจม แม้ซากศพก็ต้องคว้าไว้ก่อน จากหนังสือ ปฐมธรรมยาน หน้า ๑๔๙ |
http://www.khonkaenlink.info/share/t...=918B_4BB0CC43 การปฏิบัติ ถ้ายังไม่ถือศีล นึกว่าเราดี.....พอเริ่มรักษาีศีล ก็เริ่มรู้ว่าเราเลว เออ! ศีลเรายังไม่บริสุทธิ์ พอเริ่มรักษาศีล ๕ บริสุทธิ์ มาดูกรรมบถ ๑๐ อีก โอ้! ยังแย่อยู่อีก มันจะเพิ่มจุดเลวของเรา เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งพยายามทำตัวให้ดี จะเห็นจุดเลวขึ้นเรื่อย ๆ จากหนังสือ ปฐมธรรมยาน หน้า ๑๒๐ |
2 Attachment(s)
อ้างอิง:
|
..เรื่องตะกรุด..
๑๓ กรกฎาคม ๒๕๓๓ ตอนที่อาตมาและหลวงพี่บัญชาไปรับหลวงพ่อก่อนไปรับแขกนั้น อาตมาได้เอาตะกรุด ๑ กล่องเล็ก (มีตะกรุดอยู่ ๓๐ กว่าดอก) เข้าไปถามหลวงพ่อว่า "หลวงพ่อครับ ตะกรุดนี้เป็นตะกรุดอะไรครับ?" ท่านถามว่า "แกเอามาจากไหน?" ตอบว่า "เอามาจากห้องนอนหลวงพ่อที่ตึกริมน้ำครับ เอาตอนขนของออกมา" หลวงพ่อหยิบออกมาดูจากกล่องแล้วพูดว่า "ของดี" จึงถามท่านว่า "เป็นยังไงครับ?" ท่านพูดว่า "ของดี" จึงกราบเรียนว่า "ผมขอนำไปให้พระในวัดเช่านะครับ" ท่านพูดว่า "เออ" "ตั้งราคาเท่าไหร่ดีครับ" ท่านว่าให้ไปตั้งราคาเอาเอง จึงถามอีกว่า "ตั้งเท่าไรดีครับ" ท่านพูดว่า "ให้เท่าไรก็ได้ แล้วเอาเข้าสงฆ์ไปเลย" ก็ตั้งราคาดอกละ ๕๐ บาท พอหลวงพ่อนั่งรับแขกอยู่ อาตมากับหลวงพี่ประทีป ก็ไปห้องนอนหลวงพ่อที่ตึกริมน้ำ ไปเอาตะกรุดเป็นพวง มีอยู่ ๔ พวงให้หลวงพ่อดู บอกว่า "เมื่อกี้ผมไปห้องหลวงพ่อที่ตึกริมน้ำไปเช็คดู ยังมีตะกรุดนี้อีก ๔ พวง พวกผม(ก็ชี้ไปที่อาตมา ,หลวงพี่ประทีป,หลวงพี่บัญชา) พวกผมจะขอเช่าได้ไหมครับ" จะตั้งราคาดอกละ ๕๐ บาท รวมแล้วพวงละ ๘๕๐ บาท ครับ หลวงพ่อฟังแล้วก็ชี้มาที่ตะกรุด แล้วพูดว่า "นี่ของดีมาก รุ่นพระสุปฏิปันโน" แล้วท่านก็พูดว่า "ไอ้แป๊ะนี่มันช่างไปค้นจริง ๆ" แล้วท่านก็ยิ้ม ๆ แบบเออ ยกให้ แล้วท่านก็พูดอีกว่า "ดอกละ ๑๐๐ บาทก็ไม่แพง" แล้วอาตมากับหลวงพี่อีก ๒ องค์ ก็เดินตามหลวงพ่อนั่งรถเบ๊นซ์ โดยหลวงพี่ประทีปขับไปส่งที่วิหาร ๑๐๐ เมตร ขณะนั่งรถไปด้วยกันรวมหลวงพ่อเป็น ๔ องค์ หลวงพ่อพูดกับหลวงพี่ประทีปว่า "หมื่นก็ไม่แพง" |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 15:30 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.