กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนสิงหาคม ๒๕๕๔ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=2833)

เถรี 09-08-2011 09:16

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนสิงหาคม ๒๕๕๔
 
พระอาจารย์กล่าวว่า "เด็กผู้หญิงจะโตเร็วกว่าเด็กผู้ชายเป็นปกติ คนโบราณก็เลยกำหนดการโกนจุกที่เป็นการเปลี่ยนผ่านจากวัยเด็กเข้าสู่วัยรุ่น ให้เด็กผู้หญิงโกนจุกตอนอายุ ๑๑ ปี เด็กผู้ชายโกนจุกตอนอายุ ๑๓ ปี แสดงว่าเด็กผู้หญิงโตเร็วกว่าเด็กผู้ชาย ในเรื่องพระอภัยมณีก็ได้กล่าวยืนยันเอาไว้ว่า...


อันกุมารศรีสุวรรณนั้นเป็นน้อง........เนื้อดั่งทองนพคุณจำรูญศรี

เพิ่งโสกันต์ชันษาสิบสามปี............พระชนนีรักใคร่ดังนัยนา


โสกันต์ คือ พิธีโกนจุก"

เถรี 09-08-2011 09:35

พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องวัตถุมงคลว่า "ในเรื่องของการเล่นพระเครื่องพระบูชานั้น เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีต่าง ๆ น่ากลัวมาก เพราะใช้คอมพิวเตอร์ลอกแบบได้ แบบที่ออกมาจะเหมือนทุกกระเบียดนิ้วเลย ก็ต้องไปพิจารณาความเก่าใหม่ของวัสดุ ซึ่งมีไม่กี่คนที่ชำนาญ

แล้วไม่ต้องเสียเวลาไปจับพลังหรอก มีพลังแน่นอน เพราะแม้แต่ทางวิทยาศาสตร์ก็ยืนยันว่า วัตถุทุกอย่างแกนกลางเป็นพลังงานอยู่แล้ว"

เถรี 09-08-2011 16:10

ถาม : ไปปฏิบัติกับวัดสายพระป่าหลักสูตร ๓ วัน ท่านว่าทำได้ดี จึงโทรมาตามให้ไปปฏิบัติหลักสูตร ๖ วัน แต่หนูชอบแบบวัดท่าซุงมากกว่า ?
ตอบ : การปฏิบัติทุกอย่างท้ายสุดลงที่เดียวกันหมด เพียงแต่ว่าเราชอบหรือไม่ชอบแนวปฏิบัตินั้น หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านไม่เคยห้ามเรื่องแนวการปฏิบัติ เคยปฏิบัติมาแล้วก็ให้ทำต่อจากของเดิม

ถาม : หนูภาวนาแล้วมักจะมีประสบการณ์รู้เห็นมาก ทั้งที่ไม่เคยฝึกทิพจักขุญาณมาก่อน ?
ตอบ : ของเก่ามีมา ไม่ต้องไปทำใหม่ให้เสียเวลา พอกำลังใจทรงตัวเดี๋ยวก็มาเอง

ถาม : สายพระป่าท่านถือการรู้เห็นเป็นนิมิตที่ต้องละ ?
ตอบ : ท่านให้ละพวกนี้ออก อาตมาเองโตมากับสายพระป่า ก่อนหน้านี้คลุกคลีกับหลวงปู่หลวงพ่อสายหลวงปู่มั่น ในสมัยที่ท่านยังอยู่กันเต็มบ้านเต็มเมือง แต่ไปติดขัดเรื่องการปฏิบัติ พอการรู้เห็นเกิดขึ้น ท่านบอกให้ละ ๆ ๆ ซึ่งไม่ถูกกับอารมณ์ตัวเอง พอมาเจอสายหลวงพ่อวัดท่าซุงจึงเปลี่ยนมาทางด้านนี้ เพราะตรงกับเรามากกว่า

ถาม : ระยะนี้พอภาวนาแล้วมักจะฟุ้งซ่านมากกว่าแต่ก่อน
ตอบ : ไม่เป็นไร ทันทีที่รู้ตัว ดึงความรู้สึกมาอยู่กับลมหายใจ แรก ๆ ก็ต้องบังคับกันหน่อยเพราะเราไปปล่อยทิ้งมานาน

ถาม : หนูควรจะทำอย่างไรให้กำลังใจทรงตัวแบบเดิมคะ ?
ตอบ : พยายามไปฟื้นใหม่ แรก ๆ ก็ลำบากหน่อย เหมือนกับกระจกที่โดนสิ่งสกปรกทับถมเยอะ ต้องอาศัยการขัดถู แต่พอสะอาดเมื่อไรก็จะใช้งานได้ใหม่ เพราะฉะนั้น..แรก ๆ ที่เราไปฟื้นของเก่าก็อาจจะรำคาญ ว่าทำไมจิตจึงรวมยากเหลือเกิน แต่ถ้าเรารู้ตัวให้ดึงกลับมาอยู่กับลมหายใจ ถ้าทรงตัวสักครั้งเดียว เดี๋ยวของอื่นก็ตามมาเอง ใช้ความพยายามนิดหน่อย ไม่ต้องลำบากเหมือนคนอื่นเขา

ถาม : วันที่ ๑๒ สิงหาคมนี้ จะไปสมัครปฏิบัติธรรมที่วัดท่าขนุนก่อน ?
ตอบ : ที่วัดท่าขนุนฝึกรูปแบบบังคับ เพราะว่าสำนักปฏิบัติธรรมเขาให้ฝึกแบบพองหนอยุบหนอ ซึ่งเหมาะสำหรับคนหัดใหม่ ถ้าคนที่มีพื้นฐานไปฝึกแล้วจะรู้สึกรำคาญมากกว่า..!

เถรี 09-08-2011 19:59

ถาม : ถ้าเราเอารูปพระพุทธรูปมาขึ้นหน้าจอคอมพิวเตอร์ เป็นการปรามาสไหมคะ ?
ตอบ : ไม่เป็นไรหรอก ถือว่าเป็นพุทธานุสติ แต่อย่าเอาไอคอนหรือช็อตคัตไปแปะใส่หรือทับลงบนองค์พระก็แล้วกัน

เถรี 09-08-2011 20:07

ถาม : เรื่องการปฏิบัติยังไม่ก้าวหน้าเลยค่ะ ตอนนี้มีปัญหาเรื่องงาน
ตอบ : หมดจากงานแล้วเราก็กองทิ้งเอาตรงนั้น แล้วมาหาความสงบทางใจ เราต้องแบ่งเวลาให้เป็น การปฏิบัติธรรมจึงจะก้าวหน้า แบ่งเวลาให้ถูก ต้องตัดให้ขาด เข้าไปยุ่งกับงานเมื่อไรก็ทำตามหน้าที่ ออกพ้นจากที่ทำงานเมื่อไรก็เป็นเวลาปฏิบัติธรรมของเรา ถ้าไปเก็บเอางานมาฟุ้งซ่านก็ไม่ดีต่อการปฏิบัติของเรา

ไม่มีที่ไหนที่ไม่มีปัญหา ที่ที่เราอยู่มีปัญหา แต่เรารู้จักทุกอย่างดีแล้ว เราย่อมรู้ว่าควรจะแก้ไขอย่างไร ต่อให้เราเปลี่ยนที่ใหม่ก็เหมือนเดิม เพราะคนก็เป็นคนวันยังค่ำ เราแก้ไขคนอื่นไม่ได้ ต้องแก้ไขที่ตัวเราเอง ไปที่ใหม่ เราเจอคนใหม่ ก็ต้องเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่

ในชีวิตฆราวาส คนเขาไม่กลัวคนดี เขากลัวแต่คนที่ชั่วกว่า เพราะฉะนั้น..ต้องแสบให้เขาเห็นบ้าง เขาจะได้เข็ด..!

ถาม : เราโดนคนว่า เราก็เฉย แล้วเราก็โดนไม่หยุด
ตอบ : มีอยู่สองวิธี วิธีหนึ่งก็คือ ยอมเขาไปเรื่อย ๆ ซึ่งไม่ใช่วิสัยของอาตมา

วิธีที่สอง ใส่เขากลับไปเต็ม ๆ นี่แหละนิสัยของอาตมา..! ให้รู้เสียบ้างว่าเราก็มีเขี้ยวมีเล็บเหมือนกัน ส่วนการปฏิบัติรอให้กลับบ้านแล้วค่อยใช้ ไปถึงที่ทำงานงับให้กระจายไปเลย..!

ตามหลักยุทธศาสตร์ซุนวูเขาบอกว่า การรุกเป็นการตั้งรับที่ดีที่สุด เพราะฉะนั้น..ลุยไปข้างหน้า แนวรับจะกว้างขึ้นไปเรื่อย ๆ เท่ากับตั้งรับไปในตัว แต่ถ้าเราตั้งรับไปเรื่อย และเขาตีเข้ามาเรื่อย ๆ แนวแตกเมื่อไร เราก็ไม่มีที่จะไป นี่กำลังสอนให้ทำชั่วนะ ฟังให้ดี ๆ..!

เราจะต้องมีกรอบของตัวเอง พออยู่ที่ทำงานเราก็สู้เต็มที่เลย พอกลับมาบ้านค่อยมาปฏิบัติของเรา ในแต่ละวันพยายามให้กำลังใจที่เกาะในด้านดีมีมากกว่าเอาไว้ ไม่อย่างนั้นเราจะขาดทุน

เถรี 10-08-2011 15:16

ถาม : ภาวนาแล้วตัวโยก ?
ตอบ : เริ่มก้าวเข้าสู่ตัวปีติแล้ว นับไปแล้วก็เข้าอนุบาล ๑ เพียงแต่ว่าเราต้องไม่กลัว เราจะสังเกตว่าตอนนั้นใจเราจะนิ่ง เราก็แค่ดูไปเฉย ๆ ปล่อยอาการขึ้นให้เต็มที่ จะตึงตังโครมครามหกคะเมนตีลังกาอย่างไรก็ปล่อยไปตามธรรมชาติ ถ้าอาการขึ้นเต็มที่แล้วจะเลิก แต่ถ้าเรากลัวหรืออายคนอื่นเขา เราไปฝืนให้หยุดก็หยุดได้ แต่ถ้ากำลังใจถึงตรงนั้นเมื่อไรก็จะเป็นอีก

ดังนั้น..เรามีหน้าที่ตามดูและปล่อยอาการให้เต็มที่ อาตมาเองตามดูอยู่เกือบสามเดือน พอข้ามตรงนั้นไปแล้วจิตจะเริ่มทรงตัวเป็นปฐมฌานแล้ว

ถาม : ควรจะทำอย่างไรต่อไปคะ ?
ตอบ : แสดงว่าที่พูดมานี่ไม่ได้ฟังใช่ไหม ? ทำไปแบบเดิม พอถึงตรงนั้นแล้วเรามีหน้าที่ดูอย่างเดียว จะเป็นอย่างไรก็ปล่อยให้เป็นไป

เถรี 10-08-2011 15:35

ถาม : เป็นอะไรไม่ทราบค่ะ ชอบปรามาสพระรัตนตรัย เมื่อก่อนไม่เป็น แต่ตอนนี้เป็น ?
ตอบ : เรื่องปกติ..คนจะก้าวเข้าใกล้ความดี มารเขาก็กันสุดชีวิต เพราะถ้าเรายังปรามาสพระรัตนตรัยอยู่ เราก็ก้าวเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าไม่ได้ ถ้าคนไม่ได้เดินใกล้ประตู เขาไม่กันให้เสียเวลา เพราะฉะนั้น..เขารู้ว่าเราใกล้ความดี เขาถึงกันเรา

ให้เราตั้งหน้าตั้งตาขอขมาพระไปเรื่อย ๆ ถ้าเราไม่หวั่นไหว รู้ทัน เราขอขมาพระไปเรื่อย ๆ ไม่สนใจ เขารู้ว่ากันเราไม่อยู่ เขาก็ปล่อย เขาแค่กวนน้ำให้ขุ่น ถ้าเรามัวแต่ไปขุ่นและกังวลอยู่ เราก็ไม่ก้าวหน้าเสียที

ถ้าสติสัมปชัญญะเราสมบูรณ์ เราไม่คิดไม่ทำอย่างนั้นอยู่แล้ว ถ้าเราไม่หวั่นไหว ขอขมาไปเรื่อย เขาทนคนหน้าด้านไม่ไหว ก็ถอยไปเอง หลังจากนั้นก็ไม่มาอีก เพราะเขารู้ว่าทำให้เราหวั่นไหวไม่ได้

เถรี 10-08-2011 20:26

ถาม : บุญเก่าน้อยค่ะ จึงปฏิบัติไปไม่ถึงไหนเสียที หลายปีแล้ว ?
ตอบ : ไม่ได้น้อย เพียงแต่เราเลี้ยวไม่ถูกทาง ถ้าบุญน้อยเราไม่ได้เกิดมาเป็นคนหรอก โดยเฉพาะคนบุญน้อยจะไม่รู้จักพระนิพพาน

ปล่อยวาง เห็นธรรมดาให้ได้ การเกิดมาในโลกนี้ต้องเจอสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นปกติอยู่แล้ว แต่ขึ้นชื่อว่าเกิดมาแบบนี้เราจะไม่เอาอีกแล้ว สิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้นเพราะกรรมเก่าเราเคยทำไว้ ในเมื่อเราเคยทำไว้ เราก็ต้องยอมรับผลที่เราทำนั้นให้ได้ แต่เราจะไม่รับในชาติต่อ ๆ ไปแล้ว

เราทำไว้เราก็ต้องรับ ใครทำใครได้เป็นเรื่องปกติ แสดงให้เห็นว่า ชาติก่อน ๆ เราเกเรมาไม่น้อยเลย..!

เถรี 10-08-2011 20:41

พระอาจารย์กล่าวกับโยมที่ปฏิบัติมาหลายปีว่า "พระพุทธเจ้าตรัสถึงการปฏิบัติว่า อย่างช้า ๗ ปี อย่างกลาง ๗ เดือน อย่างเร็ว ๗ วัน เพราะฉะนั้น..เกิน ๗ ปีแล้วยังเอาดีไม่ได้ ควรจะรู้ไว้ว่าเราปฏิบัติมาไม่ถูกทาง"

เถรี 11-08-2011 06:01

ถาม : เมื่อวันก่อนขับรถไปชนหมาตาย ?
ตอบ : คราวหน้าเก็บมากินด้วย จะได้ใช้ประโยชน์ให้เต็มที่..!

ถาม : ครับ..?
ตอบ : คุณจะไปตื่นเต้นอะไร เราไม่ได้มีเจตนาไปไล่ชนให้ตายนี่ บางอย่างวาระกรรมที่เนื่องกันมา ทำให้เขาต้องมาตายเพราะเรา ไม่ใช่ความผิดของเรา เพราะเจตนาที่จะฆ่าเขาไม่มี

มีอยู่ครั้งหนึ่งขณะที่อาตมากำลังเดินทาง มีหมาวิ่งข้ามถนนมา อีกศอกเดียวเขาก็จะพ้นถนนไปแล้ว แต่พอรถวิ่งมาหมาดันเลี้ยวกลับ พอเลี้ยวกลับคนขับก็หักหลบไปทางซ้าย หมาก็เลี้ยวกลับมาหารถอีกที พอคนขับหักขวาหมาก็ย้อนกลับมาอีกรอบ โดนชนเข้าเต็ม ๆ เจอแบบนั้นใครจะหลบได้มากกว่านั้นไหม ? ถึงวาระของเขาจริง ๆ วิ่งวนจนได้ตายสมใจนึก..!

เถรี 11-08-2011 20:38

ถาม : ผมผิดหวังกับชีวิตมากเลยครับ มีธรรมะอะไรช่วยไม่ให้เครียด ?
ตอบ : ถ้ารู้จักคำว่า "ธรรมดา" ก็จบเลย ฟังดูแล้วง่าย แต่ทำใจได้ยาก ถ้าเห็นว่าธรรมดาของการเกิดมาย่อมเป็นแบบนี้ก็ไม่มีปัญหา ถ้าหากเรารู้สึกว่า "ไม่ธรรมดา" เมื่อไรก็เครียด

ขึ้นชื่อว่าการเกิดมาอย่างนี้มีสำหรับเราเพียงชาติเดียว ชีวิตนี้ของเรากำลังจะผ่านพ้นไปแล้ว ชีวิตเรามีแค่เสี้ยวลมหายใจ หายใจเข้าไม่หายใจออกก็ตายแล้ว หายใจออกไม่หายใจเข้าก็จะตายแล้ว ในเมื่อมีเวลาแค่ชั่วลมหายใจเดียว เราก็จะพ้นไปแล้ว ทำไมตอนนี้เราจะอยู่ด้วยดีไม่ได้

เถรี 12-08-2011 16:32

พระอาจารย์กล่าวว่า "การเดินทางไปทอดกฐินที่ปักษ์ใต้ครั้งนี้ ถ้าว่ากันตามหลักการของทหาร ถือว่าอันตรายสุด ๆ สาเหตุเพราะ อันดับแรก คณะใหญ่ทำให้ไม่คล่องตัว อันดับที่สอง วันเวลาแน่นอน อันดับที่สาม เส้นทางแน่นอน เพราะฉะนั้น..จะไปโฆษณาอย่างไรก็เชิญ ไม่มีอะไรอันตรายไปกว่านี้แล้ว..!"

เถรี 12-08-2011 16:41

พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องกาลเทศะว่า "การดำเนินชีวิตของบุคคล กาลเทศะเป็นสิ่งสำคัญมาก กาละ คือ เวลาเหมาะสม เทศะ คือ สถานที่อันเหมาะสม ถ้ารู้กาลเทศะเราก็จะไม่ทำให้เสียหาย

พระอานนท์เป็นเอตทัคคะด้านอุปัฏฐากพระพุทธเจ้า ท่านรู้ว่าเวลาไหนควรจะพาบุคคลเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า เวลาไหนจึงไม่ควร ท่านจึงเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดในเรื่องของการรู้กาลเทศะ อีกประการหนึ่ง..พระพุทธเจ้าท่านเทศน์ในสัปปุริสธรรม ๗ ประการ คือ กาลัญญุตา รู้ว่ากาลใดควร กาลใดไม่ควร

ส่วนใหญ่แล้วพวกเรามักไม่รู้กาลเทศะ ยกตัวอย่างคุณเต้ยไปหล่อหลวงพ่อเหลือ ที่วัดธรรมยาน คุณเต้ยใส่เสื้อแขนกุดกับกางเกงขาสั้นไป ทุเรศสุด ๆ..! เขาเรียกว่าไม่รู้กาลเทศะ เราจะไปเข้าเฝ้าพระเจ้าแผ่นดิน แต่งตัวอย่างนั้นยังถือว่าไม่สมควรอย่างยิ่ง แล้วพระพุทธเจ้ายิ่งกว่าพระเจ้าแผ่นดินอีก แต่งตัวทุเรศอย่างนั้นยังอุตส่าห์ไปได้..!

พอใครถามก็ดันไปอวดว่าเป็นลูกศิษย์หลวงพี่สมปอง ลูกศิษย์หลวงพี่เล็ก ฟังแล้วตูจะเป็นลม..! ส่วนเวลาที่ไม่จำเป็น ดันแต่งตัวซะหล่อ เวลาที่ดีที่สุดกลับแต่งตัวทุเรศที่สุด เพราะฉะนั้น..เรื่องกาลเทศะเป็นเรื่องสำคัญมาก อย่างที่บอกว่า ปัจจุบันคนเราเอาความสบายส่วนตัว จนลืมความเหมาะสมไปแล้ว

แม้กระทั่งไปเคารพพระบรมศพ ยังเห็นเขาใส่กระโปรงกางเกงสั้นจู๋ ถึงแม้จะเป็นสีดำก็ตามเถอะ ลักษณะอย่างนั้นเรียกว่าไม่ให้เกียรติคนตาย เราจะเห็นว่างานศพระยะหลัง ๆ จะใส่สั้นกัน มากต่อมากด้วยกันที่แต่งตัวลักษณะไปเดินอวดกัน ไม่ได้ไปเคารพศพ การปฏิบัติธรรมยิ่งทำไปใจต้องยิ่งละเอียด ต้องรู้ว่าอะไรเหมาะ อะไรควร ไม่ใช่ยิ่งทำก็ยิ่งเละ..!"

เถรี 12-08-2011 16:51

ถาม : อย่างเราไปงานศพผู้ใหญ่กว่า เราควรแต่งสีอะไรครับ?
ตอบ : โดยธรรมเนียมไทยแล้ว ถ้าผู้ตายอาวุโสกว่า เราควรใส่ชุดขาว ถ้าผู้ตายเด็กกว่าจึงใส่ชุดดำ แต่ปัจจุบันนี้เขาอาวุโสกว่าสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอฯ อีก ใส่ชุดดำกันทั้งบ้านเมือง ธรรมเนียมการแต่งสีดำเรารับมาจากตะวันตกเมื่อไม่นานนี้เอง ไม่ใช่ธรรมเนียมไทยแต่เดิม

วันก่อนไปดูพระที่นั่งวิมานเมฆ ตั้งใจจะไปดูว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง ปรากฏว่าเขาปูลาดพระบาททุกที่ อาตมาต้องเดินตะแคงข้างไป ส่วนคนที่ไม่รู้ก็เดินขึ้นไปเหยียบ คิดว่าเขาปูพรมแดงรับ สบายใจไปเลย ถ้าเป็นสมัยโบราณโดนตัดหัวเจ็ดชั่วโคตร..! เขาถือว่าตีเสมอพระเจ้าแผ่นดิน

เด็กรุ่นใหม่ไม่รู้ว่าเคยได้ยินคำว่า "ตัดหน้าฉาน" หรือไม่ ? ก็คือ การที่พระเจ้าแผ่นดิน หรือพระบรมวงศานุวงศ์เสด็จ แล้วไปวิ่งตัดหน้าทางเสด็จพระราชดำเนินของพระองค์ท่าน สมัยก่อนกฎมณเฑียรบาลเขาให้เฆี่ยนตรงนั้นเลย โบราณเขาเฆี่ยนเพื่อให้รู้ว่าอะไรควร อะไรไม่ควร ลาดพระบาทเราไม่มีสิทธิ์ข้าม ไม่มีสิทธิ์เดิน ถ้าหากว่าจำเป็นต้องข้ามจะต้องทำอย่างไร ? ให้เดินหารอยต่อให้เจอ..เลิกรอยต่อขึ้นมา พอข้ามไปแล้วค่อยปูกลับไปตามเดิม..!

เถรี 12-08-2011 19:53

ถาม : หนูไปภาวนาคาถาโสตัตตะภิญญามา ๑ เดือน เพิ่งเห็นผลเมื่อวันก่อนนี่เองค่ะ ตอนที่ตัวลอยขึ้น หนูควบคุมตัวเองไม่ได้ หน้าคว่ำลง และอาการลอยหายไปตอนไหนหนูก็ไม่รู้ตัวเหมือนกัน พอจะกลับมาทำใหม่ ก็จำอารมณ์นั้นไม่ได้
ตอบ : ไม่ใช่จำอารมณ์นั้นไม่ได้อย่างเดียว เราไปอยากได้ด้วย ตัวอยากได้จะทำให้เราไม่ได้ ให้เราภาวนาโดยไม่ต้องสนใจว่าผลของอภิญญาจะเกิดหรือไม่เกิด
ถ้าหากว่าเกิดผลร่างกายลอยขึ้นมา ให้บังคับลอยช้า ๆ ก่อน พยายามตั้งสติ เคลื่อนไหวจนคล่องได้อย่างที่เราต้องการแล้วค่อยลอยไปที่อื่น

ถาม : วันที่ได้ เป็นวันที่ตัดสินใจว่าจะไม่เอาผลแล้ว
ตอบ : โถ..ตั้งเดือนหนึ่งกว่าจะได้ ถ้ารู้ว่าอาตมาภาวนาเวลานั้นแล้วได้เวลานั้นเลย คงจะหมดอารมณ์..! ถ้าเดือนหนึ่งนี่แสดงว่ากำลังใจเราอยากได้มาก อยากได้มากก็ฟุ้งซ่านมาก จิตจึงไม่รวมตัวจริง ๆ เสียที

ที่ว่ามายังไม่ถือว่าได้นะ คำว่าได้ต้องใช้ผลได้เดี๋ยวนั้นเลย ของเราเป็นลักษณะของการเพิ่งเข้าถึง และยังควบคุมไม่ได้ด้วย แต่ก็ยังดี..เริ่มต้นก็เขียน ก.ไก่ได้ก่อน ค่อยเขียนสระ พยัญชนะ วรรณยุกต์ เดี๋ยวก็ได้เป็นคำขึ้นมาเอง

ต่อไปจะได้ไม่เปลืองค่าน้ำมัน จะไปไหนแวบเดียวก็ถึงแล้ว หลอกชาวบ้านว่าขับรถมา

เถรี 13-08-2011 00:49

เรื่องของอภิญญาสมาบัติ คนที่สนใจปฏิบัติสายนี้มักจะมีของเก่าอยู่แล้ว ดังนั้น..พระพุทธเจ้าจึงได้ประทานคาถานี้มาให้ ไม่ว่าจะเป็นโสตัตตะภิญญาก็ดี หรือสัมปะจิตฉามิก็ดี ให้ภาวนาสำหรับฟื้นของเก่า แม้จะไม่ได้ผลเต็มที่เหมือนการฝึกกสิณ ๑๐ แต่ก็มีความคล่องตัวคล้ายกัน

ถาม : พอภาวนาคาถาโสตัตตะภิญญาแล้วตัวลอยขึ้น ตอนนั้นทั้งในส่วนของทิพจักขุหรือทิพโสตก็มาพร้อมกันด้วย
ตอบ : ตอนนั้นถ้าต้องการรู้อะไรก็รู้หมด มองอยู่ในห้องก็จะเห็นไปรอบบ้าน ตอนแรก ๆ ที่ทำอยู่อาตมาก็คิดว่าเราเพี้ยนหรือเปล่า เพราะผลของอภิญญานั้นคนที่ไม่เคยชินก็จะตื่นเต้น แต่พอนาน ๆ เข้าก็ขี้เกียจที่จะรู้

ช่วงที่ผ่านมา พายุเข้า ฝนตกทุกวัน โดยเฉพาะฝนตกตอนพระบิณฑบาต พระเณรเขาก็สงสัยว่าทำไมอาจารย์ไม่ห้ามฝน อาตมาก็บอกว่าไม่จำเป็น พอดีวันที่ ๒๘ ไปทำวัตรพระผู้ใหญ่ในเมือง ฝนตก งานยังไม่เสร็จ ต้องไปต่ออีกหลายแห่ง อาตมาก็ไม่อยากจะเปียก จึงภาวนาคาถาแคล้วคลาดของหลวงพ่อ

ตอนว่าคาถาเขาให้กลั้นหายใจ กว่าจะเดินถึงรถก็แทบขาดใจ พอขึ้นรถเสร็จ ถามพระครูบ่าวกับน้องเล็กว่า "เปียกไหม ?" เขาหันมาดูแล้วร้องว่า "ขี้โกงนี่นา..!" ไม่ได้โกง..แต่ตอนนี้ไม่อยากเปียกโว้ย..!

เถรี 13-08-2011 00:52

ถาม : หนูตีเด็กนักเรียนทุกวัน ใครโดดเรียนตี ๕ ที ครั้งต่อไปตีคูณสอง ถ้าหนูอยู่ต่อก็สร้างเวรสร้างกรรมกับเด็ก ๆ หนีไปบวชดีกว่า
ตอบ : เป็นเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้นจริง ๆ เราไม่ได้ตีด้วยโทสะ เขาเรียกว่าสร้างกุศลกับเด็ก เราได้อานิสงส์ตัวเมตตา การลงโทษเพราะหวังประโยชน์แก่คนอื่น จัดเป็นเมตตาบารมี

เถรี 13-08-2011 01:34

วันเสาร์มีโยมมาถวายกระดาษสำหรับทำวุฒิบัตร พระอาจารย์กล่าวว่า "โยมเขาปวารณาว่า กระดาษสำหรับทำวุฒิบัตรแจก ให้ขอจากเขาได้ทุกเวลา เขามีอยู่แค่โกดังเดียวเท่านั้น..! พอบอกให้เก็บเอาไว้ขาย เขาก็บอกว่ารวยแล้ว ขายกระดาษจนหมดโกดังก็ไม่ได้ทำให้ฐานะดีขึ้นกว่านี้ หมดโกดังไปก็ไม่ได้ทำให้ฐานะต่ำลงกว่านี้ ต้องโมทนากับกำลังใจของเขาจริง ๆ

อย่างกำลังใจของท่านอนาถปิณฑิกเศรษฐี แม้ฐานะตัวเองจะตกต่ำลง เหลือแค่ข้าวต้มกับน้ำผักดอง ท่านก็ยังเลี้ยงพระ ๕๐๐ รูปอยู่ เพียงแต่ท่านรู้สึกว่าทานของท่านไม่ได้ละเอียดประณีตเหมือนแต่ก่อน

พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสว่า เรื่องของทานไม่มีหยาบ ไม่มีประณีต มีอย่างเดียวคือกำลังใจที่สละออก ถ้าเจตนาบริสุทธิ์ วัตถุทานบริสุทธิ์ ผู้ให้บริสุทธิ์ ผู้รับบริสุทธิ์ อานิสงส์ย่อมเต็มร้อยส่วน

ดีที่สุดเท่าที่เรามีอยู่ จัดเป็นสามีทาน เสมอกับที่เรามีอยู่ จัดเป็นสหายทาน ถ้าหากว่าต่ำกว่าที่มีอยู่ ก็ให้ทำไปเถอะ ถึงแม้เป็นทาสทานก็ตาม อานิสงส์ก็ได้เป็นเศรษฐีเหมือนกัน"

เถรี 13-08-2011 01:49

พระอาจารย์กล่าวถึงกำลังใจการตัดอาลัยของนักปฏิบัติว่า "พระพุทธเจ้าตรัสว่า เหมือนนกที่บินไปจากคอน ไม่ทิ้งร่องรอยอะไรเหลือไว้ ธรรมชาติของนกบินแล้วบินเลย ไม่เหลียวมาดูแม้กระทั่งที่เกาะของตัวเอง เปรียบเหมือนกับผู้ปฏิบัติธรรม ไม่มีอะไรให้ห่วงกังวล ไปแล้วไปเลย"

เถรี 13-08-2011 08:57

พระอาจารย์เล่าว่า "พระที่วัดท่าขนุนท่านเอาเรื่องที่สนทนากันที่นี่ไปโพสต์ลงในเฟซบุ๊ค และมีคนเข้ามาด่า ในลักษณะที่ว่าพูดโอ้อวดเกินจริง เรื่องของการปฏิบัติธรรมต้องไม่เอาอะไรเลย

อย่างวันนี้มีโยมมาถามว่า ไปปฏิบัติกับสายพระป่าหลักสูตรสามวัน วันนี้ท่านโทรมาให้ไปปฏิบัติอีกหกวัน ควรจะไปหรือเปล่า ? เพราะชอบสายหลวงพ่อฤๅษีมากกว่า

อาตมาบอกไปว่า จริง ๆ แล้วการปฏิบัติไม่มีสายของใครหรอก ทั้งหมดมาจากพระพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์ท่านหยิบเอาตรงไหนมาสอน คนชอบใจแล้วปฏิบัติตามนั้นเป็นจำนวนมาก เขาก็ถือว่าเป็นสายนั้นสายนี้

เขาบอกว่าไม่ชอบสายพระป่าตรงที่อะไรก็ให้ละหมด แต่ตัวเขาเองปฏิบัติแล้วมักจะรู้เห็นเสมอ อาตมาบอกเขาว่า ถึงเวลาก็ปฏิบัติตามรูปแบบของเรา ส่วนรูปแบบเขาจะเป็นอย่างไรก็ไม่ต้องไปค้านเขา

ส่วนใหญ่เขาเข้าใจว่าธรรมจะต้องบริสุทธิ์โดยส่วนเดียว อาตมาเคยยืนยันว่า ศาสนาพุทธไม่มีธรรมะบริสุทธิ์ เพราะว่าถูกปะปนมาตั้งแต่แรกแล้ว ส่วนหนึ่งมาจากคำสอนของศาสนาอื่นที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพิจารณาว่าถูกต้อง ปฏิบัติตามแล้วจะเกิดผล ส่วนที่สองเป็นธรรมะที่ดัดแปลงของศาสนาอื่นให้เป็นหลักธรรมที่ถูกต้อง เพื่อที่จะได้ปฏิบัติตามแล้วเห็นผล

ส่วนสุดท้ายเป็นสิ่งที่พระองค์ท่านตรัสรู้ ซึ่งถือว่าเป็นสุดยอดของธรรม แต่ธรรมชาติของนักปฏิบัติ แผนภูมิจะเป็นลักษณะสามเหลี่ยมด้านเท่าเหมือนรูปพีระมิด ส่วนที่เป็นธรรมะบริสุทธิ์คือส่วนยอด ระดับปานกลางก็มากขึ้นหน่อย ส่วนระดับล่างสุดที่เป็นฐาน ก็จะมีจำนวนมากต่อมากด้วยกัน"

เถรี 13-08-2011 09:01

"ลักษณะที่เหมือนกับบัวสามเหล่า ส่วนหนึ่งกระทบแสงแดดก็บานเลย อีกส่วนหนึ่งอยู่กลางน้ำ รอเวลาที่จะขึ้นมาบานต่อไป ส่วนที่เหลือจมอยู่ใต้โคลน จะตกเป็นอาหารของเต่าและปลาเมื่อไรก็ไม่รู้ แต่พอพระองค์ตรัสถึงบุคคลสี่เหล่า เราก็เอาไปเปรียบเป็นบัวสี่เหล่า ความจริงท่านมีบัวพ้นน้ำ บัวกลางน้ำ และบัวใต้น้ำ

เขาลืมธรรมชาติของคนไป ว่าในแต่ละระดับความต้องการไม่เหมือนกัน จะไปบังคับคนให้กินอาหารรสเดียวไม่ได้ เราจะไปบอกว่าหลักสูตรการศึกษาปริญญาเอกสูงสุด ดีที่สุด ให้เรียนปริญญาเอกไปเลย เด็กยังไม่ได้เริ่มเขียน ก.ไก่เลย แล้วจะไปเรียนอย่างไร ?

จึงเป็นเรื่องที่น่าหนักใจว่า ส่วนใหญ่แล้วมักจะหยิบไปเฉพาะมุมใดมุมหนึ่งหรือส่วนใดส่วนหนึ่งในคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา แล้วก็ไปยึดมั่นว่าตรงนั้นดีที่สุด

สมัยก่อนพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงจึงได้บอกพวกอาตมาว่า "พวกแกควรจะศึกษากรรมฐาน ๔๐ ให้ครบ พอไปเจอคนอื่นปฏิบัติในลักษณะอื่น ๆ จะได้รู้ว่าอยู่ตรงส่วนไหนของกรรมฐาน ๔๐ แล้วจะได้ไม่ต้องแสดงความโง่ด้วยการไปค้านเขา..!"

เถรี 14-08-2011 09:38

พระอาจารย์เล่าเรื่อง "วังหน้า" ให้ฟังว่า "วังหน้าของเราหมดตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ แล้ว การแต่งตั้งวังหน้าและวังหลังอยู่ในลักษณะของการระมัดระวังป้องกันวังหลวงนั่นเอง จะต้องแต่งตั้งบุคคลที่ไว้วางใจได้ให้ไปทำหน้าที่นั้น ๆ แต่มักจะมีปัญหาก็คือ พออยู่ไปแล้ว ลูกน้องยกยอปอปั้นไปเรื่อย ก็มักจะคิดว่าท่านควรจะได้เป็นวังหลวงมากกว่า

ท่านที่มีสติสัมปชัญญะ รู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร ก็เฉย ๆ แต่บังเอิญว่า อันเสาหินแปดศอกตอกเป็นหลัก พอคนผลักบ่อยเข้าเสายังไหว เมื่อเป็นดังนั้น..ก็มีหลายท่านที่ก่อการกบฏขึ้นมา

อีกส่วนหนึ่งก็คือ ท่านไม่ได้คิดจะก่อการกบฏ แต่ผู้ไม่หวังดีไปเพ็ดทูลอยู่เนือง ๆ คำว่า "เพ็ดทูล" สมัยนี้หนังสือลงเป็น "เท็จทูล" กันหมด ทุเรศจริง ๆ ไม่รู้รากศัพท์แล้วยังเสือกทะลึ่งเขียน..!

ในเมื่อเพ็ดทูลเข้าหูผู้ใหญ่ ครั้งแรกก็ไม่เป็นไร ครั้งที่สองก็ไม่เป็นไร พอนานไปก็เริ่มระแวง เราต้องดูตัวอย่างสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก เมื่อมีคำสั่งจากสมเด็จพระเจ้าตากสินให้เข้าเฝ้าทั้งอาวุธ สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกถอดอาวุธวางไว้หน้าห้อง พอมีรับสั่งว่าให้เอาอาวุธเข้ามาได้ ท่านกระทุ้งออกนอกห้องพ้นสายตาไปเลย แสดงความบริสุทธิ์ใจว่าไม่ได้คิดร้ายอย่างแน่นอน"

เถรี 15-08-2011 13:49

"ตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ก็คือวังหน้า ถ้ากรมพระราชวังบวรสถานภิมุข คือ วังหลัง เทียบเท่าตำแหน่งพระมหาอุปราชนั่นเอง

วังหน้าในรัชกาลที่ ๑ ก็คือ ท่านบุญมา (น้องชายในรัชกาลที่ ๑) เป็น กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท วังหน้าในรัชกาลที่ ๒ คือ กรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ วังหน้าในรัชกาลที่ ๓ คือ กรมพระราชบวรมหาศักดิพลเสพย์ พอมาถึงรัชกาลที่ ๔ ทรงตั้งให้วังหน้าคือสมเด็จเจ้าฟ้าจุฑามณี เป็นพระเจ้าแผ่นดินเสมอด้วยพระองค์เอง ก็คือเป็น พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว

ในหลวงรัชกาลที่ ๔ ทรงเก่งเรื่องโหราศาสตร์มาก ทรงผูกดวงแล้วเห็นว่า ดวงของสมเด็จเจ้าฟ้าจุฑามณีมีสิทธิ์เป็นถึงพระเจ้าแผ่นดิน จึงแก้เคล็ดด้วยการตั้งให้เป็นพระเจ้าแผ่นดินคู่กัน แต่พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวก็สำนึกในพระองค์เอง เพราะถ้าผิดท่าผิดทางขึ้นมาก็อาจจะหัวขาดโดยไม่รู้ตัว จึงเสด็จออกเยี่ยมราษฎรไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งสนิทสนมกับบรรดาข้าราชการและประชาชนในมณฑลลาวเฉียงหรือภาคอีสานในปัจจุบัน พระองค์ท่านเป็นต้นกำเนิดเพลงลาวดวงเดือน เพราะว่าอยู่กับลาวมาเยอะ

วังหน้าในรัชกาลที่ ๕ คือ พระโอรสของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว คือ กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ คราวนี้สมเด็จกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญท่านเป็นนักเรียนนอก แนวความคิดค่อนข้างจะเปิดกว้างและคบหาสมาคมกับชาวต่างชาติมาก จึงมีข่าวลือว่าพระองค์ท่านจะใช้เรือปืนและอาวุธของชาวต่างชาติก่อการกบฏ ทำให้พระองค์ต้องเสด็จลี้ภัยไปอยู่ในสถานกงสุลอังกฤษเสียหลายเดือน"

เถรี 15-08-2011 13:57

"พอกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญทิวงคต รัชกาลที่ ๕ จึงยกเลิกตำแหน่งวังหน้า แต่งตั้งสยามมกุฎราชกุมารแทน จึงถือว่ากรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ เป็นวังหน้าองค์สุดท้าย

ความจริงสมเด็จพระปิ่นเกล้า ตั้งพระนามกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญว่า "พระองค์เจ้ายอร์ช วอชิงตัน" รัชกาลที่สี่ทรงรำคาญชื่อฝรั่ง จึงเปลี่ยนเป็น "พระองค์เจ้ายอดยิ่งประยุรยศ" ไม่มีอะไรที่ในหลวงรัชกาลที่สี่แก้ไม่ได้ ทรงแก้ได้ทุกอย่าง

แม้กระทั่งภายหลังที่เขาบอกว่า วังหน้าต้องคำสาปของสมเด็จพระราชวังบวรสถานมงคลในรัชกาลที่ ๑ ถ้าไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของท่านแล้ว ใครมายึดวังหน้าไปใช้ก็ขอให้ถึงแก่ความวิบัติฉิบหาย จึงไม่มีใครกล้าไปแตะต้องวังของท่าน รัชกาลที่สี่พิจารณาแล้วจึงส่งลูกไปแต่งงานกับเชื้อสายของวังหน้าในรัชกาลที่ ๑ กลายเป็นญาติ จึงยึดวังไปใช้ได้ จึงกล่าวกันว่า ไม่มีอะไรที่รัชกาลที่สี่ทรงแก้ไม่ได้

รัชกาลที่สี่ตรวจดูดวงเมืองแล้ว พบว่าการผูกดวงเมืองในวันเวลาอย่างนี้ จะอยู่ได้แค่ ๑๕๐ ปีเท่านั้น พระองค์ท่านจึงผูกดวงเมืองใหม่ เพื่อที่จะได้อยู่ยั้งยืนยงต่อไป จึงมีการฝังศาลหลักเมืองซ้ำอีกหนึ่งต้น ฉะนั้น..เราจะเห็นว่าศาลหลักเมืองมีสองต้น ไม่ได้มีต้นเดียว ไม่มีอะไรที่รัชกาลที่สี่แก้ไม่ได้จริง ๆ"

เถรี 15-08-2011 14:02

1 Attachment(s)




ไม่อย่างนั้นเราคงจะได้ฉลองกรุงแค่ ๑๕๐ ปี แสดงว่าพระองค์ท่านรู้จริง ถ้าไม่ได้แก้ดวงเมืองไว้ก่อนตั้งแต่สมัยพระองค์ท่าน ราชวงศ์จักรีคงหมดอยู่แค่นั้น ต้องถือว่าพระองค์ท่านเป็นหนึ่งในสุดยอดโหราจารย์ของเมืองไทย ใครเรียนโหราศาสตร์ นอกจากบูชาพระยาพิเภกหรือบูชาท่านท้าวมหาพรหมแล้ว ให้บูชารัชกาลที่สี่ด้วย

หม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิศกุล กล่าวกับเสด็จพ่อ คือ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ว่า "เสด็จพ่อคงต้องจนไปตลอดชีวิต เพราะทูลกระหม่อมปู่ ไม่ได้อวยพรให้เสด็จพ่อรวย" รัชกาลที่สี่ทรงผูกดวงให้ลูกหลานทุกคน แล้วอวยพรให้ตามพื้นฐานดวง รัชกาลที่สี่ไม่ได้อวยพรให้สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพร่ำรวย เพียงแต่อวยพรให้ประสบความสำเร็จตามหน้าที่การงานของตนเท่านั้น

เถรี 15-08-2011 14:07

วังหน้าใช้ราชาศัพท์ที่ต่างจากวังหลวงหลายอย่าง อย่างวังหลวงใช้คำว่า "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" วังหน้าจะเป็น "สมเด็จพระบวรราชเจ้า"

วังหลวงใช้ว่า "พระบรมราชโองการ" วังหน้าจะใช้คำว่า "พระราชบัณฑูร" ถ้าวังหน้าอภิเษกขึ้นดำรงตำแหน่งจะใช้ "อุปราชาภิเษก" วังหลวงใช้คำว่า "บรมราชาภิเษก"

ฉะนั้น..ตำแหน่งอุปราชหรืออุปราชา แปลว่า ใกล้จะเป็นพระราชา แต่หลายคนใจร้อน ไม่อยากจะใกล้เป็นพระราชา แต่อยากจะเป็นพระราชาเลย

ถาม : อย่างนั้นอุปนิสัย ?
ตอบ : อุปนิสัย แปลว่า เกือบจะเป็นสันดานถาวร ถ้าหากถาวรเลยก็เป็นนิสัย

ถาม : อุปกิเลส ?
ตอบ : อุปกิเลส แปลว่า เกือบจะเป็นกิเลส ถ้าหากพลาดเมื่อไรก็เป็นกิเลส อย่างเช่น โอภาส ถึงเวลาภาวนาแล้วแสงสว่างเกิดขึ้น ถ้าเราไม่ไปยึดถือแสงสว่างนั้นก็เป็นแค่อุปกิเลส แต่ถ้ายึดเมื่อไรก็เป็นกิเลสเมื่อนั้น

เถรี 15-08-2011 14:14

พระอาจารย์กล่าวถึง "การทำวัตร" ว่า "พอใช้คำว่า "ทำวัตร" พวกเราเคยชินว่าการทำวัตร คือ การสวดมนต์ ความจริงวัตร คือ แบบอย่างที่ควรทำ

ศีลของพระมีอยู่ส่วนหนึ่งที่บังคับในกิจวัตร คือเรื่องที่ต้องทำอย่างสม่ำเสมอ วิธีวัตร คือ แบบอย่างต่าง ๆ ที่จำเป็นต้องทำ อาคันตุกะวัตร คือ แบบอย่างที่ใช้ในการต้อนรับพระอาคันตุกะ

การทำวัตรนั้น ก็คือ การไปแสดงตนต่อพระผู้ใหญ่ ก็คืออุปัชฌาย์อาจารย์ หรือเจ้าคณะปกครอง เพื่อกราบรายงานว่าปีนี้ พรรษานี้ จำพรรษาอยู่ที่ไหน อยู่กับใคร พระผู้ใหญ่ท่านจะได้รับรู้ว่าลูกศิษย์อยู่สบายดีหรือตกระกำลำบาก หรือมีอะไรต้องการความช่วยเหลือ หรือไม่ก็โผล่หน้าไปให้ท่านเห็นว่าผมยังไม่สึก ผมยังไม่ตาย เป็นต้น ซึ่งการทำวัตรนั้นเขานิยมทำในช่วงเข้าพรรษา"

เถรี 16-08-2011 17:21

พระอาจารย์กล่าวว่า "แค่เด็ก ๆ ถามคำถามอย่างเดียว พ่อแม่บางคนที่เหนื่อยจากงานกลับมาก็จะเคร่งเครียดหรือรำคาญเด็ก พูดว่าเด็กแรง ๆ

ความจริงการถามเป็นพัฒนาการอย่างหนึ่งของเด็กในการเรียนรู้ เราควรจะตอบคำถามเขาด้วยจิตใจที่เยือกเย็น ชี้แจงความถูกต้องและให้เหตุผลที่ชัดเจน

พ่อแม่เป็นพรหมของลูก ต้องเมตตา กรุณาและอุเบกขา แต่กว่าจะโตได้นี่ต้องเบรกทั้งขาและมือไปไม่รู้ตั้งเท่าไรแล้ว..!"

เถรี 17-08-2011 07:36

พระอาจารย์กล่าวว่า "เราจะเห็นว่าสินค้าต่าง ๆ พยายามปรับปรุงพัฒนาตัวเองให้ดีที่สุด ไม่อย่างนั้นจะสู้สินค้าเจ้าอื่นไม่ได้ ฉะนั้น..เราต้องปรับปรุงพัฒนากาย วาจา ใจของเราให้ดีขึ้น จะได้สู้กิเลสได้..!"

เถรี 17-08-2011 11:13

พระอาจารย์กล่าวถึงหนังสือเล่มหนึ่งว่า "มีหนังสือเล่มหนึ่งเกี่ยวกับโยคี อ่านสนุกมาก ชื่อไทยคือ "โยคีมหัศจรรย์" ชื่อภาษาอังกฤษคือ "Paramahansa Yogananda"

ลองอ่านดู จะทราบว่าบรรดาโยคีทั้งหลายมีความสามารถตั้งแต่สมัยพุทธกาล โยคีบางรูปเข้าแต่สมาธิ ปีหนึ่งออกมาพบปะประชาชนแค่ครั้งเดียว กินบิสกิตไปแค่ไม่กี่แผ่น และดื่มน้ำตาม หายไปปีหนึ่งแล้วค่อยออกมาใหม่

เหมือนกับว่าบุคคลไม่ว่าอยู่ในสายไหนก็ตาม เมื่อปฏิบัติไปจนถึงระดับ ก็จะได้เจอกับบุคคลในระดับนั้น ๆ จะค่อย ๆ ก้าวเจอคนที่เก่งขึ้นไปเรื่อย ๆ

ปัจจุบันนี้เมืองฤๅษีเกตของอินเดียก็ยังมีลักษณะเหมือนสมัยพุทธกาล ก็คือมีบรรดานักบวชหลายลัทธิ โดยเฉพาะพวกอเจลก คือ ชีเปลือย เป็นพวกที่เคร่งครัดมาก

ชีเปลือย ก็คือลัทธิทิฆัมพร (นุ่งลมห่มฟ้า) ส่วนพวกที่เคร่งน้อยหน่อย เรียกว่า เศวตัมพร (ผ้าขาว) เขาบอกว่า ถ้านุ่งผ้าอยู่แปลว่ายังมีกิเลส"



หมายเหตุ : หนังสือโยคีมหัศจรรย์ แบบออนไลน์ http://thai-version-of-yogi-translation.blogspot.com/

เถรี 17-08-2011 14:21

ถาม : หัวใจการปฏิบัติกรรมฐานให้สำเร็จ คืออะไรครับ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วก็คือเรื่องของสติ ถ้ามีสติรู้อยู่กับปัจจุบัน ทุกอย่างจะดีหมด
เพียงแต่ให้เราถือตามหลักของศีล สมาธิ ปัญญา อย่างไรอย่าออกนอกกรอบของศีล เราอยู่ในกรอบ ถ้าหลุดไปก็ไปไม่ไกล โอกาสพลาดก็พลาดไม่มาก เพราะศีลเป็นเครื่องคุ้มกัน ดังนั้น..ถ้าหวังความสำเร็จให้เอาศีล สมาธิ ปัญญา เป็นหลัก

เถรี 17-08-2011 14:31

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "หลวงปู่ปานสร้างพระเครื่องจากคำข้าว โดยคายคำที่อร่อยออกมาตากแห้งและตำเป็นผง ปั้นเป็นองค์พระหน้าตักประมาณ ๕ นิ้ว ท่านสั่งหลวงพ่อฤๅษีให้จัดเครื่องบวงสรวงชุดใหญ่ เพื่อทำการบวงสรวงอัญเชิญเทวดาและพระท่านมาสงเคราะห์

หลวงพ่อท่านเรียนถามหลวงปู่ปานว่า "พระองค์เล็กแค่นั้นเอง ทำไมหลวงพ่อต้องสั่งเครื่องบวงสรวงชุดใหญ่ด้วย ?" หลวงปู่ปานท่านมองหน้า แล้วว่า "เรื่องของพระแกคิดว่ามีเล็กหรือวะ?" จำไว้นะ..คำว่า "พระ" ไม่มีเล็ก

หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ สร้างพระของขวัญองค์ประมาณปลายนิ้วชี้ โยมบางคนรับไปแล้วบอกว่า "หลวงพ่อ..องค์เล็กแค่นี้เอง จะคุ้มครองไหวหรือ ?" ปรากฏว่าคืนนั้นโยมนิมิตเห็นพระของขวัญขยายใหญ่โตเต็มฟ้า ถามว่า "แค่นี้พอไหม ?"

พุทโธ อัปปมาโณ คุณของพระพุทธเจ้าไม่มีประมาณ จะเล็กหรือใหญ่ไม่สำคัญ สำคัญตรงที่กำลังใจของเราว่ายึดมั่นหรือไม่"

เถรี 18-08-2011 07:13

"เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จไปบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พระอินทร์มารับเสด็จ ทูลเชิญพระพุทธเจ้าไปประทับที่ซึ่งดีที่สุด ก็คือบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์

บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์นั้น กว้าง ๓๐ โยชน์ ยาว ๖๐ โยชน์ ถ้าพระอินทร์นั่งก็จะพอดี พระอินทร์ท่านคิดว่าพระสมณโคดมสูง ๘ ศอกของมนุษย์ ถ้าขึ้นไปนั่งบนบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ก็คงเหมือนแมลงวันเกาะอยู่บนเตียง แต่ก็ไม่มีที่ใดเหมาะสมเท่ากับที่นั่นอีกแล้ว จะทำอย่างไรจึงไม่เป็นการหลู่พระเกียรติยศหนอ ? พระพุทธเจ้าทรงทราบความคิด พอเสด็จไปถึง ประทับนั่งลงก็พอเหมาะพอดี ถึงได้บอกว่า พุทโธ อัปปมาโณ คุณของพระพุทธเจ้าหาประมาณมิได้

อีกรายหนึ่ง คือ อสุรินทราหู เป็นมหาอำมาตย์ยักษ์ ตั้งใจจะไปกราบพระพุทธเจ้า แต่ก็ไม่ได้ไปเสียทีเพราะร่างกายท่านใหญ่โตมโหฬารมาก อรรถกถาจารย์อธิบายว่า รอยต่อหว่างคิ้วกว้าง ๑ โยชน์ ท่านเกรงว่าถ้าไปแล้วต้องก้มดูพระพุทธเจ้าจะเป็นการไม่เคารพ

พระพุทธเจ้าทราบความคิดก็เลยเสด็จไปไสยาสน์ขวางทาง จนอสุรินทราหูต้องแหงนหน้ามอง เพราะฉะนั้น..จะมีพระพุทธรูปปางโปรดอสุรินทราหูเป็นพระปางไสยาสน์แต่ลืมเนตร ส่วนไสยาสน์หลับเนตรแล้วซ้อนเหลื่อมพระบาทเป็นปางไสยาสน์ ถ้าไสยาสน์หลับเนตรพระบาทเสมอกันเป็นปางปรินิพพาน แยกให้ออกนะจ๊ะ"

เถรี 18-08-2011 16:44

พระอาจารย์กล่าวว่า "ในเรื่องของการปฏิบัติธรรม ยิ่งทำใจต้องยิ่งละเอียด ถ้าทำแล้วหยาบขึ้นเรื่อย ๆ นั่นแปลว่าแย่แล้ว ทำตัวเป็นกันเองกับศีลธรรมจนมากเกินไปแล้ว"

เถรี 18-08-2011 17:01

พระอาจารย์กล่าวว่า "พวกเราควรหาโอกาสไปถวายบังคมพระศพ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท

ถ้าเข้าไปวันพระ ที่วัดพระศรีรัตนศาสดารามจะมีเทศน์ เราก็ฟังเทศน์ สวดมนต์ไหว้พระ แล้วค่อยกลับ ไปทั้งทีเอากำไรให้ได้หลายอย่าง ถ้ามีเงินก็เข้าพิพิธภัณฑ์ ชมเครื่องราชอิสริยาภรณ์ พระแสงดาบซึ่งแต่ละเล่มเป็นทองคำลงยาฝังนพเก้า น่าขโมยนัก..!

นอกจากนี้ ในพิพิธภัณฑ์ยังมีเครื่องทรงเก่าของพระแก้วมรกต ที่เพิ่งเปลี่ยนเครื่องทรงฤดูฝนไปเมื่อไม่กี่วันนี้เอง จะมีกำหนดเปลี่ยนเครื่องทรงฤดูฝนวัน แรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ (วันเข้าพรรษา) เปลี่ยนเครื่องทรงฤดูหนาว วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๒ เปลี่ยนเครื่องทรงฤดูร้อน แรม ๑ ค่ำ เดือน ๔ จำให้แม่น ๆ จะได้ไปถูกจังหวะ ถ้าไปถูกจังหวะจะได้น้ำสรงพระแก้วมรกตด้วย

ปกติถ้าเรามองขึ้นไปจะเห็นพระแก้วมรกตองค์ไม่โตนัก ต้องสังเกตตอนในหลวงหรือสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สรงน้ำ ตอนที่พระองค์ใช้ผ้าเช็ดพระแก้วมรกต สังเกตว่าองค์พระแก้วมรกตกว้างประมาณสองช่วงพระหัตถ์ ฉะนั้น..องค์พระแก้วไม่ได้มีขนาดเล็กเหมือนอย่างที่ตาเราเห็น"

เถรี 18-08-2011 17:34

มีโยมโทรศัพท์มาแจ้งกับพระอาจารย์ว่า ได้โอนเงินทำบุญสังฆทานเข้าบัญชีแล้ว พระอาจารย์กล่าวว่า "เดี๋ยวนี้นอนอยู่ที่บ้านก็ถวายสังฆทานได้ บางคนเขามีหมายเลขบัญชีของวัด พอโอนเงินเข้าบัญชีแล้วค่อยโทรมาแจ้งให้ทราบ เป็นวิธีทำบุญที่ง่าย แต่ใช้ความเพียรพยายามน้อยลง อาจจะขาดวิริยบารมีไป ไม่อย่างนั้นก็คงต้องพยายามเดินทางมาให้ถึง"

เถรี 19-08-2011 07:52

พระอาจารย์กล่าวถึง "ย่าโม" ให้ฟังว่า "สมัยสงครามที่ทุ่งไหหิน ฝรั่งคนหนึ่งได้ภรรยาเป็นคนไทย เขาไปรบที่นั่น พอได้เวลาลาพักสามเดือนก็จะเดินทางกลับบ้าน ภรรยาก็ไปบูชาเหรียญย่าโมมาให้ บอกกับสามีว่า "ให้ติดตัวเอาไว้ แล้วจะปลอดภัยในทุกที่"

ฝรั่งเขาก็สงสัยว่า เหรียญแค่นี้จะช่วยอะไรเขาได้ จึงซักถามจนเกิดการท้าทายขึ้นระหว่างสามีภรรยา เขาตกลงกันว่า ถ้าย่าโมแสดงปาฏิหาริย์ให้เขาเห็นชัด ๆ เขาจะกลับมาเล่นเพลงโคราชถวาย ซึ่งเพลงโคราชนั้น คนไทยเองยังร้องไม่ค่อยจะได้เลย

ตอนเขาขับรถเข้ากรุงเทพฯ ปรากฏว่ายางแตก กว่าจะลากรถไปถึงอู่ กว่าจะปะยางเปลี่ยนยางเสร็จ ทำให้เขาขึ้นเครื่องไม่ทัน ตกเครื่องบินเที่ยวนั้น เขาก็ไปซื้อตั๋วใหม่ พอวันรุ่งขึ้นได้ข่าวว่า เครื่องบินลำที่ไปก่อนนั้นตกลงกลางทะเล ตายเรียบทั้งลำ..!

เขาคลำเหรียญย่าโมที่คล้องคออยู่ขนหัวตั้ง..! ท้ายสุดกลับมาเมืองไทย จึงจ้างครูเพลงโคราชช่วยฝึกซ้อมอยู่หลายเดือนกว่าจะร้องได้ และไปเล่นเพลงโคราชถวายย่าโม คนรุมดูกันเยอะแยะไปหมด ขนาดคนไทยเล่นเพลงโคราชยังหายากเลย นี่ฝรั่งมาเล่นแก้บน เขาจึงแห่กันไปดู

แต่ที่เขาบอกว่า ประตูชุมพลที่อยู่หลังอนุสาวรีย์ย่าโมนั้น ถ้าหนุ่ม ๆ ไปลอด จะได้เป็นเขยย่าโม ด้วยความอยากเป็นเขยย่าโม ครั้งล่าสุดพออาตมาไปถึงก็ลอด มีเสียงดังเข้าหูมาว่า "งานนี้พระไม่เกี่ยว..!" โธ่..ตั้งใจจะเป็นเขยย่าโม ท่านไม่รับเสียอย่างนั้น"

เถรี 19-08-2011 07:56

พระอาจารย์เล่าให้ฟังตอนเป็นฆราวาสว่า "ครั้งหนึ่งไปขึ้นรถทัวร์ คิดว่าวันนี้เทวดาอุ้มสมแน่ ๆ เลย เพราะสาวที่นั่งอยู่ข้าง ๆ น่ารักสุด ๆ ประเภทใครเอาปืนมาจี้ก็ไม่เปลี่ยนที่นั่งแน่นอน

สักพักพอรถโดยสารออกไปได้ไม่กี่กิโล สาวก็คว้าถุงออกมา แล้วก็ "แหวะ" น้ำลายยืด เห็นแล้วหมดอารมณ์เลย สาวเมารถตั้งแต่ต้นทางยันปลายทาง เราก็สงสารแต่ไม่รู้จะช่วยอย่างไร

ที่เล่าให้พวกเราฟังจะได้รู้ว่า ที่เราเห็นกันว่าสวยนั้นสวยไม่จริง ไม่ทันไรก็แสดงความสวยไม่จริงออกมาให้เห็นเสียแล้ว"

เถรี 19-08-2011 08:06

ถาม : ใจหนูออกไปรับรู้สภาวะต่าง ๆ ของธรรมชาติ ความละเอียดต่าง ๆ ที่อยู่ในอณูอากาศ ตัวหนูเองไม่ได้ต้องการที่จะรับรู้เรื่องต่าง ๆ แต่ก็เหมือนโดนบังคับให้เป็นไปอย่างนั้น
ตอบ : ถ้าทำไปถึงระดับหนึ่ง สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นสิ่งที่ต้องรู้เห็น เราอยากจะรู้หรือไม่รู้ เราก็จะรู้ อยากจะเห็นหรือไม่อยากเห็น เราก็เห็น เพียงแต่สิ่งไหนที่เป็นประโยชน์เราก็รับไว้ สิ่งไหนไม่เป็นประโยชน์ก็ปล่อยไว้ตรงนั้นแหละ

โดยเฉพาะต้องมีสติให้มาก ๆ เพราะการรู้เห็น เราต้องเน้นว่า "ต้องรู้เห็นเพื่อการหลุดพ้นเท่านั้น" ไม่อย่างนั้นจะโดนหลอกไปไกล หลอกให้รู้ไปเรื่อย ๆ พอรู้มากเข้าก็ออกทะเลหาฝั่งไม่เจอ

ถาม : ถามว่าหนูอยากรับรู้ไหม ? ก็ไม่ได้อยากรับรู้
ตอบ : เขาจะหลอกให้เราอยากรู้ ยั่วให้อยากแล้วก็จะจากไป

ถาม : เวลาหนูเอนหลังลงนอน ใจก็จะออกไปรับรู้ บางทีไปเจอกับคลื่นบางอย่าง ถ้าไปเจอคลื่นกระแสดีก็แล้วไป แต่บางทีก็ไปเจอคลื่นไม่ดี อย่างเช่นพวกที่เป็นมิจฉาทิฐิ เขาเห็นเรา เขาก็ตามเรามา เท่ากับว่าหาเรื่องใส่ตัวโดยไม่ได้ต้องการค่ะ
ตอบ : ให้เอาภาพพระครอบไว้ก่อนแล้วค่อยไป นึกถึงพระแล้วจะปลอดภัย ต้องใส่เกราะไว้ก่อน เรื่องพวกนี้พอก่อกวนแล้วทำให้เสียเวลาปฏิบัติมาก อาตมาต้องทำเป็นตายอยู่หลายรอบ กว่าพวกนั้นเขาจะเลิก มีแต่ฝ่ายเขาทำไป แต่เราไม่รับเสียอย่าง เขานึกว่าเราตายแล้วเขาก็เลิกไปเอง

เถรี 22-08-2011 07:17

ถาม : เขาบอกว่าพระที่แตกหักห้ามไว้บ้าน จริงหรือเปล่าครับ ? แต่ผมไม่เชื่อ
ตอบ : ถ้าเป็นสายหลวงพ่อวัดท่าซุง พระแตกนี่จะดีใจมาก เนื่องจากวัตถุมงคลชิ้นหนึ่งจะมีเทวดารักษาองค์หนึ่ง ถ้าแตกเป็น ๗-๘ ชิ้น เทวดาที่รักษาก็ต้องเพิ่มเป็น ๗-๘ องค์ ถ้าสายอื่นเขาว่าไม่ดี โดยเฉพาะสมเด็จวัดระฆังแตก ๆ ส่งมาสายนี้ได้ (หัวเราะ) อย่างไม่มี ๆ ชิ้นหนึ่งก็สิบหมื่นขึ้น..!


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 05:13


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว