กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกงานฉลองบ้านวิริยบารมี ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๔ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=2580)

เถรี 01-04-2011 15:31

เก็บตกงานฉลองบ้านวิริยบารมี ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๔
 
ไม่รู้ว่าจะดีใจหรือเสียใจดี ? คำว่าดีใจก็คือ ญาติโยมมีจิตใจใฝ่บุญใฝ่กุศลกันมาก พอมีงานบุญที่ไหนเราก็ไป แต่ขณะเดียวกันก็ไม่รู้ว่าจะเสียใจดีหรือไม่ ? เพราะสร้างอาคารสถานที่ใหญ่เท่าไรก็ไม่พอใช้ สถานที่จะใหญ่เล็กขนาดไหน คนก็มากันเต็มเสมอ ถ้าเป็นสถานที่ของพรหมเทวดาท่านสร้าง ต่อให้เล็กแค่ไหนคนก็พอใช้ แต่อาตมาสร้างหลังใหญ่แค่ไหนก็ไม่พอใช้ กลายเป็นตรงกันข้ามไปได้

น่าจะพาญาติโยมไปทดสอบกันที่วัดจอมคีรีนาคพรต จังหวัดนครสวรรค์ วัดนั้นมีพระอุโบสถเทวดาสร้าง เมื่อก่อนมีคนรู้ข่าวไม่มาก เพราะว่าเป็นเรื่องที่ดังในพื้นที่เท่านั้น อาจจะเป็นเพราะติดขัดปัจจัยในการสร้าง หรือว่าอดีตเจ้าอาวาสท่านมีนิสัยเหมือนกับเจ้าอาวาสทั่ว ๆ ไป คือ สร้างอาคารแล้วก็ตั้งเสาทิ้งเอาไว้ เพื่อที่จะได้เรี่ยไรญาติโยมไปได้เรื่อย ๆ ก็ไม่ทราบได้

ตามที่คนประสบเหตุเล่าให้ฟังก็คือ อยู่ ๆ คืนนั้นก็มีไฟสว่างทั่วทั้งยอดเขา เหมือนกับมีงานอยู่ข้างบน พอรุ่งขึ้นโบสถ์ก็สร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว เป็นอันว่าเทวดาท่านทนรำคาญไม่ไหว จึงสร้างให้เองเสียเลย โบสถ์หลังนั้นขนาดไม่ใหญ่มาก น่าจะประมาณครึ่งหนึ่งของบ้านวิริยบารมีนี้เท่านั้น อาจจะไม่ถึงครึ่งเสียด้วยซ้ำไป แต่ปรากฏว่าคนเข้าไปเท่าไรก็บรรจุได้หมด

เถรี 01-04-2011 15:49

จนกระทั่งท่านผู้การกรมทหารราบที่ ๔ ค่ายจิรประวัติ จังหวัดนครสวรรค์ อยากลองทดสอบดูว่าจริงหรือไม่ ? จึงพาทหารทั้งกรมไปทดสอบดู

ถ้าญาติโยมไม่เข้าใจว่าทหารกรมหนึ่งมีเท่าไร ? อาตมาก็จะอธิบายให้ฟังว่า
กรมหนึ่งจะประกอบด้วย ๓ กองพันทหารราบ ๑ กองร้อยยานยนต์ ๑ กองร้อยเสนารักษ์ ๑ กองร้อยบินเบา ๑ กองร้อยทหารม้า
๑ กองพัน ประกอบไปด้วย ๓ กองร้อยทหารราบ ๒ กองร้อยสนับสนุน
๑ กองร้อย ประกอบด้วย อัตรากำลัง ๑๔๒ นาย นี่อาตมาว่าตามอัตรากำลังที่บรรจุในสมัยที่ยังรับราชการทหารอยู่ที่กองพลทหารราบที่ ๙ ค่ายกาญจนบุรี (ปัจจุบันนี้เปลี่ยนชื่อเป็นค่ายสุรสีห์)

เพราะฉะนั้น..ต้องเอา ๑๔๒ (๑ กองร้อย) คูณ ๕ เป็นอย่างน้อย ก็จะได้ ๑ กองพัน แล้วคูณ ๓ จะเป็น ๑ กรม แล้วยังมีส่วนสนับสนุนอย่างพวกกองร้อยเสนารักษ์ กองร้อยยานยนต์ กองร้อยบินเบา กองร้อยทหารม้า เหล่านี้เป็นต้น ฉะนั้น..อัตรากำลังที่ท่านผู้การพาไป ถ้าเป็นไปตามอัตราที่อาตมาคุ้นเคย ก็ประมาณ ๒,๕๐๐ คน เราลองคิดดูว่า ๒,๕๐๐ คน ถ้าอยู่ในห้องนี้จะพอไหม ?

แต่เป็นเรื่องอัศจรรย์ตรงที่ว่า พอทหารเข้าไปในโบสถ์ ช่วยกันขยับ ๆ ก็เข้าไปได้เรื่อย ๆ จนในที่สุด ๒,๕๐๐ คนก็เข้าไปอยู่ในพระอุโบสถได้ ไม่รู้เข้าไปได้อย่างไร ? ถ้าเป็นลักษณะนี้ก็ต้องเชื่อว่าเทวดาสร้างจริง

คำว่า "วิมาน" ของเทวดาหรือพรหมนั้น ท่านไม่จำกัด คนไปมากเท่าไรก็ขยายรองรับพอดี แต่ท่านไม่ได้ขยายพรวดพราดให้เรารู้ ก็เลยเดาไม่ถูกว่า โบสถ์หลังเท่าเดิมแล้วเราตัวเล็กลงหรือเปล่า ? แต่เขาก็ทดสอบกันมาแล้วว่าเป็นอย่างนั้นจริง เพียงแต่อาตมาแย่หน่อย แย่ตรงที่ว่าสร้างใหญ่เท่าไรก็ไม่พอใช้ แต่เทวดาสร้างมาเล็กเท่าไรก็พอใช้ กลายเป็นคนละอย่างกัน

เถรี 01-04-2011 16:05

ตอนนี้ญาติโยมกังวลเรื่องผลกระทบของกัมมันตภาพรังสีจากญี่ปุ่น อาตมาได้รับโทรศัพท์อยู่บ่อย ๆ ว่า มีวัตถุมงคลอะไรที่กันกัมมันตภาพรังสีได้บ้าง ?

ถ้าญาติโยมถามว่าอาตมามั่นใจว่าวัตถุมงคลใดป้องกันได้ ? ก็ต้องบอกว่าเป็นพระสมเด็จหางหมากของหลวงพ่อวัดท่าซุง มั่นใจแน่นอน เพราะอาตมาเคยพกแล้วลุยเข้าไปในภูเขากัมมันตภาพรังสี ลักษณะของพื้นที่จะโล่ง ๆ แต่มีแรงงานมหาศาลดันออกมา เหมือนกับเราเดินสวนน้ำตกเข้าไป

ต้องอาศัยความบ้าพอจึงกล้าเดินเข้าไป เพราะว่ายิ่งเดินก็ยิ่งไม่มีอากาศหายใจ เดินไปได้แค่ไม่กี่ก้าวก็หมดสภาพ หอบแฮ่ก ๆ เหนื่อยแทบขาดใจ แล้วก็เดินต่อ ปรากฏว่างานนั้นเข้าไปได้สองวัน กลับออกมาปัสสาวะเป็นเลือดไปหนึ่งอาทิตย์..! ขนาดพกวัตถุมงคลไปแล้ว เพราะดันบุกเข้าไปที่ต้นกำเนิดของรังสีเลย

ถ้าโยมทั้งหลายรู้จักยูเรเนียม จะรู้ว่ายูเรเนียมนั้นจะปนอยู่กับธาตุโลหะอื่น แต่บริเวณนั้นเป็นบริเวณยูเรเนียมบริสุทธิ์ จะเป็นก้อน ๆ ลักษณะเหมือนก้อนหินก้อนหนึ่ง ที่มีสีเหมือนสนิมเหล็ก

สารกัมมันตภาพรังสีในปัจจุบันที่เรารู้จัก คือ ยูเรเนียมกับพลูโตเนียม ถ้าเป็นยูเรเนียมอาตมามั่นใจว่าพระสมเด็จหางหมากสามารถป้องกันได้ เพราะอาตมาผ่านมาแล้ว และสามารถอยู่รอดมานั่งคุยอยู่กับญาติโยมตรงนี้ได้

ถามว่าทำไมต้องไปยังเขตภูเขาที่มีสารกัมมันตภาพรังสี ? อันดับแรก ไปเพื่อพิสูจน์คำสอนของครูบาอาจารย์ ว่าสิ่งที่ท่านรู้เห็นมา เป็นจริงตามนั้นหรือไม่ ? ไม่ใช่สงสัยในครูบาอาจารย์ แต่อยากรู้ว่าประเทศไทยเรามีของที่มีคุณค่าขนาดนั้นเชียวหรือ ?

ช่วงนั้นอเมริการับซื้อยูเรเนียมปอนด์ละ ๑๐ ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นราคาเมื่อ ๒๓ ปีที่แล้ว

เถรี 01-04-2011 17:00

อาตมาดูแล้วก้อนหนึ่งน้ำหนักเกิน ๒ กิโลกรัมแน่นอน ก็ประมาณ ๔-๕ ปอนด์ แปลว่าก้อนหนึ่งราคาหลายสิบล้านดอลลาร์

อาตมาเคยถามหลวงพ่อวัดท่าซุงว่า "ถ้าผมแกล้งโง่ หยิบมาสักก้อนจะเกิดอะไรขึ้นครับ ?" หลวงพ่อบอกว่า "แกเอาออกมา แกรอด แต่คนอื่นตาย..!" กราบเรียนถามว่า "ทำไมหรือครับ ?" ท่านบอกว่า จะต้องมีเครื่องมือในการบังคับให้รังสีหดกลับเข้าไปในก้อนแร่ และบรรจุในภาชนะตะกั่วหนา ๆ ที่ปิดสนิท เพื่อป้องกันการรั่วไหลจากรังสี จึงจะเอาออกมาได้ ก็ไม่ได้แปลว่า อาตมาจะหยิบเอาออกมาเฉย ๆ ได้

ดังนั้น..ใครที่เป็นลูกศิษย์สายหลวงพ่อวัดท่าซุง คาดว่าในเรื่องพระสมเด็จหางหมากยุคนั้นน่าจะพอมีกันอยู่ อาตมาเองก็พอมี แต่กำลังคิดว่าจะโก่งราคา ตอนนี้ได้ยินว่ารังสีถึงเวียดนามแล้ว ถ้ามาถึงลาวเมื่อไร ถึงจะค่อยขึ้นราคา

ในเรื่องของสารกัมมันตภาพรังสี ถ้าไม่ใช่ในปริมาณมากจริง ๆ จะไม่ตาย แต่จะโดนทำลายระบบร่างกายหลายอย่างจนกระทั่งเกิดโรค และเป็นโรคที่ทุกข์ทรมานมาก โดยเฉพาะโรคมะเร็ง

ถ้าเราใช้สารกัมมันตภาพรังสีในด้านที่ถูกจะเป็นสารฆ่ามะเร็ง ขณะเดียวกันถ้าใช้ผิดก็เป็นสารก่อมะเร็งด้วย พูดง่าย ๆ ว่า โดนโครมเดียวให้ตายไปเลยก็หมดเรื่อง ถ้าทรมานอยู่ก็จะเหมือนเด็กรุ่นหลัง ๆ ของรัสเซีย ที่โดนโรงงานนิวเคลียร์รั่วไหลออกมา เด็กรุ่นหลังนั้นเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว และต้องทนทุกข์ทรมานกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ

เถรี 02-04-2011 11:12

เรื่องเหล่านี้ทำให้พวกเราได้เห็นชัดว่า จะเกิดมามีชีวิตนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย องค์สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าได้กล่าวไว้แล้วว่า กิจฺโฉ มนุสฺสปฏิลาโภ การจะได้เกิดเป็นมนุษย์ก็แสนยาก เพราะว่าส่วนใหญ่สร้างกรรมเอาไว้มาก ถึงเวลาก็ต้องใช้กรรม ไปเกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน กว่าจะขึ้นมาเป็นมนุษย์ได้ก็เป็นระยะเวลาที่ยาวนานเหลือเกิน

เถรี 02-04-2011 11:58

ถ้าญาติโยมปฏิบัติธรรมไปจนถึงระดับหนึ่ง ความเครียดต่าง ๆ จะหมดไปเพราะกำลังใจของเราเริ่มปล่อยวางได้ พอไม่มีความเครียดร่างกายจะทรุดโทรมช้า ตอนนี้เพื่อนอาตมาที่อายุระดับ ๕๐ กว่าด้วยกัน เวลาอาตมาไปนั่งด้วย เขานึกว่าเป็นลูกชาย เพื่อนจะดูแก่กว่าเยอะมาก บางทีรุ่นน้องมานั่งด้วย เขาก็กลายเป็นแก่กว่าไปด้วยเหมือนกัน

ถามว่าการปฏิบัติธรรมทำให้แก่ช้าลงหรือเปล่า ? ก็ขอตอบว่าไม่ได้แก่ช้า ยังคงแก่เหมือนเดิม แต่ว่าสภาพร่างกายจะทรุดโทรมช้านิดหนึ่ง เพราะว่าร่างกายของเรานั้นมีไฟธาตุอยู่ตัวหนึ่ง ที่เป็นตัวเผาผลาญร่างกายให้ทรุดโทรมลงได้เร็วมาก โดยเฉพาะไฟธาตุที่เกิดจากแรงโกรธ

โทสัคคิ ไฟที่เกิดจากโทสะ จะเผาร่างกายให้ทรุดโทรมเร็วมาก ฉะนั้น..ถ้าท่านทั้งหลายปฏิบัติธรรมไปจนถึงระดับหนึ่ง จะเริ่มเป็นคนใจเย็น โกรธช้า ร่างกายก็จะทรุดโทรมช้าไปด้วย แต่ถ้าเรายังโกรธง่ายก็จะทรุดโทรมเร็ว

เถรี 02-04-2011 14:07

มีใครสามารถบอกได้บ้างว่า ตอนนี้บ้านเราเป็นฤดูอะไร ? โดยเฉพาะที่ทองผาภูมิ ตอนกลางคืนจะหนาว กลางวันร้อนตับแตก พอตอนใกล้ค่ำฝนตก อาตมาก็บอกไม่ถูกว่าเป็นฤดูอะไร

สาเหตุเกิดจากสมดุลธรรมชาติเสียหาย อย่างบ้านเราก่อนหน้านี้มีป่าไม้อยู่ ๒๓ เปอร์เซ็นต์ ปัจจุบันนี้เขาก็ยังบอกว่ามีอยู่ ๒๓ เปอร์เซ็นต์ อาตมาขอยืนยันว่าไม่ใช่หรอก บ้านเราเหลือป่าไม้ถึง ๑๐ เปอร์เซ็นต์ก็ดีใจแล้ว เพียงแต่ว่าการทำแผนที่สำรวจด้วยดาวเทียม เวลาเขาถ่ายภาพลงมา เจออะไรสีเขียวเขาก็เหมาว่าเป็นป่าหมด ซึ่งปัจจุบันนี้ไม่ใช่ป่า แต่เป็นไร่ยางพารา หรือไม่ก็ไร่ปาล์มน้ำมัน

เมื่อพื้นที่ป่าเราเหลือน้อย สมดุลธรรมชาติก็เสียหายไปด้วย ตอนนี้ภาคอีสานแล้ง ภาคเหนือแผ่นดินไหว ภาคกลางหนาว ภาคใต้น้ำท่วม มีครบทุกรสชาติเลย ขาดอย่างเดียวว่าเมื่อไรภูเขาไฟจะระเบิดเท่านั้น..!

ตอนนี้บรรดาลูกศิษย์เขาบอกว่า สถานที่ที่น่าจะปลอดภัยมากที่สุด น่าจะเป็นวัดตะเคียนงาม ของหลวงพ่อสมคิด อาตมาถามว่าทำไม ? เขาบอกว่าที่นั่นบรรจุพระสมเด็จศรีอินทราทิตย์ไป ๘ หมื่น ๔ พันองค์..!

เถรี 02-04-2011 16:47

พอดีช่วงนั้นทางทองผาภูมิเขากังวลว่าเขื่อนจะแตก อาตมาจึงกราบขอบารมีพระท่านให้ช่วยสงเคราะห์ ขอให้ช่วยป้องกันเรื่องภัยธรรมชาติให้ด้วย

พระท่านตรัสว่า ในเรื่องของภัยธรรมชาติต่าง ๆ นั้น บุคคลที่ต้องมีผลกระทบ ส่วนใหญ่เคยสร้างกรรมหนักเอาไว้ โดยเฉพาะพวกเราเคยเป็นทหารป้องกันประเทศชาติมา ไปตีบ้านทำลายเมืองของเขาไว้มาก เมื่อกรรมนี้ตามมาทัน เกิดภัยธรรมชาติต่าง ๆ เกิดขึ้น ก็จะทำให้บ้านเรือนเสียหาย ทำให้ทรัพย์สินเสียหาย ทำให้เสียชีวิต เราจะไม่ยอมรับเลยก็เป็นการฝืนกฎของกรรม

แต่พระองค์ท่านให้พรไว้ว่า ถ้าใครอาราธนาพระสมเด็จศรีอินทราทิตย์ติดตัวไว้ ไม่ว่าจะเกิดภัยธรรมชาติหนักขนาดไหนก็ตาม เต็มที่ก็ให้แค่ทรัพย์สินเสียหาย แต่ชีวิตจะปลอดภัย

พอสร้างรุ่นนั้นเสร็จก็ถวายหลวงพ่อสมคิดท่านไป ๙๐,๐๐๐ กว่าองค์ ให้ท่านบรรจุใต้ฐานพระ ๘๔,๐๐๐ องค์ ตามที่ท่านต้องการ ส่วนที่เหลือเอาไว้แจกญาติโยมที่มาร่วมในงานปิดทองฝังลูกนิมิตของวัดท่าน จึงเหลืออยู่ที่วัดท่าขนุนเพียงไม่กี่องค์

พระสมเด็จศรีอินทราทิตย์เป็นพระที่ราคาค่อนข้างจะถูก ถ้าเป็นเนื้อดินตั้งราคาไว้ ๑๐๐ บาท ถ้าเป็นเนื้อว่านก็ราคา ๒๐๐ บาท มีโยมอยู่ท่านหนึ่งศรัทธาสูงมากตั้งแต่แรก จะเหมาไปเป็นร้อยองค์แทบทุกเดือน

บางคนก็ถามว่าปี ๒๐๑๒ ตามคริสตศักราชของฝรั่ง จะเกิดโลกาวินาศ โลกจะแตกหรือไม่ ? อาตมาบอกว่า ถ้าคิดอย่างนั้นประมาทเกินไป ความตายมาถึงเราได้ทุกลมหายใจเข้าออก ถ้าเรามัวแต่ไปรอ ค.ศ. ๒๐๑๒ เราอาจจะตายเสียก่อนไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว..!

เถรี 02-04-2011 16:51

ในส่วนของบุคคล ถ้าไม่สร้างกรรมใหญ่เอาไว้ อย่างไรก็ไม่ต้องรับกรรมนั้น หรือถ้าเราได้สร้างกรรมเอาไว้ แต่ถ้ากำลังใจมั่นคง มีการยึดมั่นในคุณพระรัตนตรัยอย่างเที่ยงแท้ ก็สามารถที่จะหนีกรรมได้ชั่วคราว ไม่ได้พ้นจากกรรมไปเลย แต่กำลังความดีสูงกว่า ทำให้หนีกรรมนั้นได้ชั่วคราว

หลังจากนั้น ถ้ากำลังความดีตกหล่นก็จะต้องรับกรรมนั้นใหม่ เพราะกรรมนั้นคอยไล่ตามอยู่ ถ้าใครอ่าน "ชีวิตนี้น้อยนัก" ซึ่งเป็นพระนิพนธ์ในสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก พระองค์ท่านบอกว่า กฎแห่งกรรมไล่ตะครุบเราอยู่ตลอดเวลา ถ้าหากเราสร้างกรรมดีก็จะหนีได้ทัน ถ้าสร้างกรรมดีไว้น้อย โดนกฎของกรรมไล่ตะครุบตัวได้ ก็จะเกิดความลำบากเดือดร้อนในชีวิตของตน

เถรี 03-04-2011 14:50

ดังนั้น..ในเรื่องของการทำบุญทำกุศลจึงต้องทำอย่างสม่ำเสมอ ถ้าเราทำ ๆ ทิ้ง ๆ เปิดโอกาสให้กรรมหนักแทรกเข้ามาได้ ช่วงนั้นถ้ากรรมสนองเข้า บางคนก็อาจจะเข้าใจผิดเกิดมิจฉาทิฐิ คิดว่าทำดีแล้วไม่ได้ดี ซึ่งความจริงทำดีต้องได้ดี ทำชั่วก็ได้ชั่วเป็นปกติ เพียงแต่กำลังความดียังสูงอยู่

ในเมื่อทำความชั่วแล้วกำลังความดียังสามารถคานเอาไว้ได้ ก็รับผลดีไปก่อน เราก็จะคิดว่าทำชั่วแล้วได้ดี แต่ถ้าหากกำลังของความชั่วสูงกว่า ทำดีเท่าไรก็ยังไม่สามารถคานกับกำลังของความชั่วได้ เราก็จะไปคิดว่าทำดีแล้วได้ชั่ว ซึ่งจะกลายเป็นมิจฉาทิฐิไป

ความจริงแล้วทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่วแน่นอน เพียงแต่วาระการส่งผลนั้น มีการยักเยื้องไปตามกรรมที่หนักเบา ไปตามการให้ผล ซึ่งเป็นระยะเวลา อย่างการให้ผลในชาตินี้ ให้ผลชาติหน้า ให้ผลชาติที่สอง ชาติที่สาม ชาติที่สี่ เป็นต้น

ท่านเปรียบไว้ว่า การที่กรรมหนักบางประเภทให้ผล ก็เหมือนกับการปลูกถั่วงอก แค่ไม่กี่ชั่วโมงก็ได้กินแล้ว แต่ขณะเดียวกันถ้าเราปลูกไม้ผล ยืนต้น อย่างน้อย ๆ ก็ ๓-๕ ปี กว่าจะได้ผล แต่ถ้าเป็นถั่วงอกเพาะเสร็จแล้วกินหมด ไม่มีเหลือ แต่กรรมบางอย่างเหมือนกับไม้ผล ผลิดอกออกผลไปเรื่อย ๆ ตามวาระของเขา

ในเรื่องของกรรมนั้นองค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงตรัสว่าอย่าประมาทว่ากรรมเพียงเล็กน้อยแล้วไปทำ ขณะเดียวกันก็อย่าประมาทว่าความดีเพียงเล็กน้อยแล้วไม่ทำ เพราะว่ากรรมนั้นไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม ถ้าถึงวาระที่เหมาะสม ก็สามารถที่จะส่งผลให้ได้ทันที

เถรี 05-04-2011 08:45

เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าเราสำนึกได้แล้ว ก็ให้เร่งสร้างกรรมดีให้มากขึ้น ขณะเดียวกันก็มีบางคนที่ขี้สงสัยบอกว่า คำสอนของบางที่เขาบอกว่า นรกไม่มี สวรรค์ไม่มี แล้วเราทำความดีจะมีประโยชน์อะไร ?

อาตมาขอบอกว่า ในเรื่องนรกสวรรค์นั้น ถ้าเราไม่ได้ฝึกทิพจักขุญาณมาก่อน เราก็ไม่สามารถที่จะรู้เห็นได้ และถ้าหากปราศจากความศรัทธาในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เรียกว่า ตถาคตโพธิศรัทธาแล้ว เราก็จะไม่เชื่อในเรื่องเหล่านี้

แต่ให้นึกง่าย ๆ ว่า ถ้าหากว่านรกสวรรค์ไม่มีแล้วเราทำความชั่ว ก็แปลว่าเราเสมอตัว แต่ถ้านรกสวรรค์มีแล้วเราทำความชั่ว ก็แปลว่าเราขาดทุน ขณะเดียวกันถ้านรกสวรรค์ไม่มีแล้วเราทำความดี เราก็เสมอตัว แต่ถ้านรกสวรรค์มีแล้วเราทำความดี เราก็ได้กำไร เพราะฉะนั้น...กิจการที่ทำแล้วเสมอตัวกับขาดทุน กับที่ทำแล้วเสมอตัวกับกำไร ในความรู้สึกทั่ว ๆ ไปของคน ควรจะทำอย่างไร ? เมื่อมาคิดตรองเพียงแค่นี้ ญาติโยมก็น่าจะได้คำตอบสำหรับตัวเองแล้ว

เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องของคนมีปัญญา แต่ขณะเดียวกันต้องเป็นปัญญาที่เป็นสัมมาทิฐิด้วย ก็คือ มีความเห็นที่ถูกต้อง ก็จะสามารถคิดและตรองด้วยเหตุผล สามารถที่จะรู้ได้ว่าอะไรเป็นอะไร ? ควรหรือไม่ควร ? ขณะเดียวกัน ถ้าเราไม่มีปัญญาเป็นสัมมาทิฐิ ปัญญาทั้งหลายเหล่านั้นก็จะชักจูงให้เราคิดในด้านที่ผิด ๆ จะประกอบไปด้วยความสงสัยอยู่ตลอดเวลา

เถรี 05-04-2011 10:06

อย่างที่พูดเมื่อเช้าก่อนบวงสรวงว่า ถ้าปัญญาเกินสติ ก็จะคิดฟุ้งซ่านล่วงหน้าไปหลายต่อหลายอย่างด้วยกัน ขณะเดียวกันก็จะทำให้ลังเลสงสัยว่า ทำความดีแล้วจะได้ผลหรือเปล่า ? แต่ถ้าสติเกินปัญญา ก็จะจด ๆ จ้อง ๆ มัวแต่หวาดระแวงอยู่ เอ..ทำความดีอย่างนี้แล้วมีผลอย่างนั้น ทำความชั่วแล้วมีผลอย่างนั้น เราควรจะเลือกทำกับใคร ? เลือกทำที่ไหน ?

เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ถ้าเราไม่ได้ศึกษามาก็จะไม่รู้ และจะเลือกสถานที่ในการทำบุญเพราะเห็นว่าเป็นการถูกต้อง แต่ว่าผิดในหลักการปฏิบัติ เพราะถ้าเรามัวแต่เลือกสถานที่ เลือกตัวบุคคลอยู่ เราอาจจะไม่ทันได้เจอสถานที่หรือบุคคลที่ต้องการ เราอาจจะเสียชีวิตไปก่อน ไม่มีโอกาสได้ทำความดีก็ได้

ดังนั้น..ในเรื่องของการสร้างบุญกุศล ท่านจึงได้บอกว่า ให้ถวายเป็นสังฆทานไว้ เพราะสังฆะคือหมู่สงฆ์ ผู้รับเป็นเพียงตัวแทนเท่านั้น การที่ผู้รับเป็นเพียงตัวแทน อานิสงส์ที่เราได้รับนั้นเต็มอยู่แล้ว ไม่ว่าผู้รับจะแย่ขนาดไหนก็ตาม

ในธรรมบทได้กล่าวไว้ว่า มหาเศรษฐีนิมนต์พระจากวัดใกล้บ้านไปทำบุญ ท่านถวายสังฆทานด้วยความนอบน้อมเคารพสุดจิตสุดใจ พอยกสังฆทานไปส่งที่วัด พระท่านบอกให้เศรษฐีช่วยส่งขันตักน้ำให้หน่อย ท่านจะล้างเท้า ปรากฏว่าเศรษฐีใช้เท้าเขี่ยให้ พระท่านก็สงสัยว่าทำไมแสดงอาการแบบนี้

เศรษฐีก็เลยบอกว่า ถ้าโดยความประพฤติส่วนตัวแล้วผมไม่เคารพท่าน แต่ที่ให้ความเคารพมากตอนถวายสังฆทาน เพราะว่าท่านเป็นตัวแทนสงฆ์ ซึ่งเป็นตัวแทนสงฆ์ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน ท่านจึงต้องเคารพ แสดงว่าเศรษฐีท่านแยกแยะถูกว่าอะไรเป็นอะไร

เถรี 05-04-2011 10:27

การถวายสังฆทาน เราถวายแก่สงฆ์หรือว่าตัวแทนสงฆ์ที่ไหนก็ได้ ล้วนเป็นสังฆทานทั้งสิ้น เพียงแต่ว่าถ้าเมตตาก็ให้บอกท่านด้วยว่าเป็นสังฆทาน เพื่อป้องกันไม่ให้ท่านเอาไปใช้เองคนเดียว เดี๋ยวจะเกิดโทษแก่ท่าน

ถ้าเป็นตามแบบหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านจะบอกว่า ให้คิดเสมอว่าของทุกอย่างที่รับมาคือสังฆทาน ญาติโยมจะเห็นว่า มีโยมมาถวายปัจจัยส่วนตัวหลายต่อหลายราย อาตมาก็บอกให้ใส่ลงรวมกัน ก็คือ ต่อให้เป็นส่วนตัวอย่างไรก็ตาม เขาก็ถวายมาในฐานะที่เราเป็นพระ ถือว่าเราได้มาด้วยความเป็นสงฆ์ จะไปถือเป็นส่วนตัวก็ยาก ฉะนั้น..ในเรื่องของเงินส่วนตัวจริง ๆ แล้วเป็นเรื่องที่ใช้ยาก เพราะถ้าใช้ในด้านที่ไม่สมควร เราก็จะเดือดร้อนลำบากเอง

ถ้าญาติโยมทั้งหลายทำบุญใส่บาตร อย่าไปตั้งใจว่าหลวงตารูปนั้น หลวงพ่อรูปนั้น หรือสามเณรรูปนั้นมาแล้วเราจะใส่ ถ้าไปตั้งใจแบบนั้น เราต้องใส่จนครบ ๔ รูป จึงจะเป็นสังฆทาน แต่ถ้าเราตั้งใจว่า ไม่ว่าจะเป็นพระหรือสามเณรรูปใดมา เราก็จะใส่บาตร ถ้าอย่างนั้นต่อให้ใส่รูปเดียวก็จะเป็นสังฆทาน เพราะเราไม่ได้เจาะจงไว้

การเจาะจงเป็นปาฏิบุคลิกทาน ซึ่งอานิสงส์จะน้อยกว่าสังฆทานหลายเท่า ถ้าถวายเป็นสังฆทานจะมีอานิสงส์มากกว่าชนิดคูณด้วยแสน เพราะสังฆทานเท่ากับเป็นทานต่ออายุพระพุทธศาสนา พระท่านรับไปแล้วเอาไปกินไปใช้คนเดียวไม่ได้ เพราะจะเกิดโทษแก่ตัวเองมาก ก็ต้องไปแบ่งปันกัน ทำให้พระหนุ่มเณรน้อยอื่น ๆ ที่ไม่มีคนศรัทธา สามารถจะดำรงชีวิตอยู่ได้

เมื่อสามารถดำรงขันธ์อยู่ได้ ก็ศึกษาเล่าเรียนธรรมะ แล้วนำไปเผยแผ่แก่ญาติโยมทั้งหลาย ทำให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองต่อไป จึงกลายเป็นทานต่ออายุพระพุทธศาสนา สังฆทานจึงได้มีอานิสงส์มากกว่าทานทั่วไป ด้วยประการฉะนี้

เถรี 05-04-2011 15:15

แต่ถ้ามีโอกาสเลือกเนื้อนาบุญเราก็จะเลือก ขนาดเลือกเนื้อนาบุญได้ เราก็ยังถวายเป็นสังฆทานอยู่ ดังนั้น..ในส่วนของสังฆทานนั้นเป็นอานิสงส์พิเศษ เลิศกว่าทานทั่ว ๆ ไป อานิสงส์ที่ใหญ่กว่าสังฆทานมีแต่วิหารทานและธรรมทานเท่านั้น

การสร้างบ้านวิริยบารมีหลังนี้เป็นวิหารทาน เป็นการสร้างอาคารที่พักที่อาศัย ขณะเดียวกันก็เป็นอานิสงส์วิหารทานพิเศษ เพราะเราใช้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม สถานที่ซึ่งเป็นวิหารทานและมีการใช้สอยเป็นปกติ อย่างเช่น โบสถ์ ศาลาการเปรียญ หรือสถานปฏิบัติธรรม เป็นต้น ทุกครั้งที่บุคคลเข้าไปใช้ ท่านเจ้าของจะได้อานิสงส์เพิ่มขึ้นทุกครั้งไป วิหารทานจึงเป็นทานที่อานิสงส์ยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาของอามิสทาน คือ ทานที่เป็นสิ่งของทั่ว ๆ ไป

ยกเว้นเสียจากธรรมทานแล้ว ไม่มีอานิสงส์อะไรใหญ่กว่าวิหารทานอีก เราจึงเห็นว่าคนโบราณนิยมสร้างโบสถ์ สร้างศาลาการเปรียญ เพราะเมื่อบุคคลเข้าไปใช้สอย โดยเฉพาะพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ยิ่งใช้สอยมากเท่าไร อานิสงส์ก็พอกพูนมากขึ้นเท่านั้น เหมือนกับเราปลูกต้นไม้ผล ถึงเวลาก็ผลิดอกออกผลไปเรื่อย ๆ ไม่รู้จบ จนกว่าวิหารหลังนั้นจะหมดสภาพไปเอง

ดังนั้น..ท่านทั้งหลายที่เป็นเจ้าภาพร่วมกันในการสร้างบ้านวิริยบารมีแห่งนี้ ขอให้ทราบว่าเราได้อานิสงส์วิหารทานพิเศษ ก็คือ เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมโดยตรง คนมาใช้สอยมากครั้งเท่าไร อานิสงส์ของเราก็เพิ่มพูนทวีขึ้นไปเรื่อย ๆ เรื่องทั้งหลายเหล่านี้จึงเป็นเรื่องที่น่ายินดีว่า ท่านที่เป็นเจ้าภาพร่วมกันสร้างบ้านหลังนี้ขึ้นมา โดยเฉพาะท่านเจ้าภาพใหญ่ คือ ครอบครัววิริยประไพกิจ (คุณวิทย์ - คุณกฤษณา วิริยประไพกิจ) ตลอดจนกระทั่งพี่น้องบุตรหลานทั้งปวงที่ช่วยกัน

เถรี 05-04-2011 15:55

โดยเฉพาะเถ้าแก่ใหญ่ของเรา บริจาคเหล็กโครงสร้างขนาดใหญ่มหึมามาให้ ทุกท่านจะเห็นว่าบ้านหลังนี้แข็งแรงเป็นพิเศษ แผ่นดินไหวสัก ๙ ริกเตอร์น่าจะรับไหว จะลองทดสอบกันดูสักทีดีไหม ?

โดยเฉพาะท่านวิศวกรโครงสร้าง เขาทำงานคุ้มกับเงินจริง ๆ เพราะเขาค่อย ๆ เล็งเสาทีละต้น ๆ กว่าจะตอกเข็มได้ กว่าจะลงวัสดุได้ ทุกขั้นตอนล้วนพิถีพิถันละเอียดลออมาก ซึ่งถ้าเป็นปกติทั่วไป ก็ไม่น่าจะเสร็จตามระยะเวลาที่กำหนด แต่ก็พยายามผลักดันกันจนเสร็จได้ โดยเฉพาะคุณเสถียร ติยานนท์ เป็นคนที่เครียดที่สุด เพราะอยู่ในฐานะผู้รับเหมาต้องรับผิดชอบโดยตรง

บ้านหลังนี้จึงสำเร็จขึ้นมาด้วยความเมตตาของคุณวิทย์ - คุณกฤษณา วิริยประไพกิจ ตลอดจนกระทั่งครอบครัวบุตรหลาน และบรรดาญาติโยมทั้งหลายที่ร่วมกันถวายปัจจัยสร้างมา ทำให้เกิดสถานที่ปฏิบัติธรรม ซึ่งเป็นอานิสงส์ของวิหารทาน และเป็นธรรมทานอีกส่วนหนึ่งด้วย

เถรี 05-04-2011 16:41

ในเรื่องของการทำบุญนั้น ถ้าเจตนาโดยตรง คือ เราทำบุญเพื่อเป็นการสละออกจริง ๆ ก็เท่ากับว่าเรามีเจตนาบริสุทธิ์

วัตถุทานบริสุทธิ์ คือ สิ่งที่เรานำมาทำบุญ ไม่ว่าจะเป็นข้าวปลาอาหาร ปัจจัยไทยธรรมต่าง ๆ ได้มาโดยถูกต้องตามศีลตามธรรม ไม่ได้ลักขโมยหลอกลวง หยิบฉวยช่วงชิงใครเขามา

ประการต่อมา ผู้ให้ ภาษาพระเรียกว่า ทายก เป็นผู้บริสุทธิ์ด้วยศีล ก่อนที่เราจะทำบุญทุกครั้งจึงมีการขอศีลพระ เพื่อเป็นการตอกย้ำว่า เรามีศีลบริสุทธิ์จริง ๆ

ปฏิคาหก คือ ผู้รับ เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ ถ้าหากบริสุทธิ์โดยทั้งสี่ส่วนนี้ พระพุทธเจ้าตรัสว่าอานิสงส์จะเต็มร้อยส่วน แต่ถ้าเราไม่มั่นใจในส่วนของปฏิคาหกคือผู้รับ ก็ให้ถวายเป็นสังฆทานไปเลย

สังฆทานนั้น ท่านแยกเอาไว้หลายประเภทด้วยกัน

ประเภทที่หนึ่ง ก็คือ ถวายต่อหมู่สงฆ์ ที่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน

ประเภทที่สอง ถวายต่อหมู่ภิกษุสงฆ์ ที่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน

ประเภทที่สาม ถวายต่อหมู่ภิกษุณีสงฆ์ ที่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน

ประเภทที่สี่ ถวายต่อหมู่ภิกษุและภิกษุณีสงฆ์ที่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน แสดงว่านิมนต์รวมกัน

ประเภทที่ห้า ถวายต่อหมู่ภิกษุสงฆ์ที่จำเพาะเจาะจงนิมนต์มา ถ้าหากเป็นแบบนี้แสดงว่าต้องเกิน ๔ รูปขึ้นไป

ประเภทที่หก ถวายต่อหมู่ภิกษุณีสงฆ์ที่จำเพาะเจาะจงนิมนต์มา

ประเภทที่เจ็ด ก็คือ ถวายต่อหมู่ภิกษุและภิกษุณีสงฆ์ที่จำเพาะเจาะจงนิมนต์มา

ประเภทที่แปด ก็คือ ถวายต่อหมู่สงฆ์ตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไป

สมัยนี้ถ้าภิกษุณีสงฆ์ในเถรวาท ท่านบอกว่าไม่มีแล้ว แต่ทางสายมหายานยังมีอยู่ กลายเป็นว่า ถ้าเราตั้งใจจะทำบุญกับภิกษุณีสงฆ์ในปัจจุบันก็ลำบากนิดหนึ่ง เพราะต้องหาภิกษุณีจากทางฝ่ายมหายาน

เถรี 05-04-2011 17:08

1 Attachment(s)
ในส่วนของมหายานจะมีการปรับเปลี่ยนหลายอย่างเกี่ยวกับพระธรรมวินัย เพื่อความเหมาะสมตามสภาพของสังคมและสถานที่ แต่ในส่วนของบ้านเราที่เป็นเถรวาทนั้น ถือว่าจะต้องรักษาพระธรรมวินัยซึ่งเป็นแก่นของพระพุทธศาสนาเอาไว้

อาตมาเองไปพม่า พระทางด้านนั้นไม่ถือสาในเรื่องญาติโยมผู้หญิง อย่างในเรื่องการประเคนของ ถ้าเราไม่รับด้วยมือ เขาจะถือว่าเขาไม่ได้บุญ เราจะเห็นว่าพระพม่าเดินทางไปไหนมาไหนกับผู้หญิงสองต่อสอง ถ้าเราดูภาพก็เหมือนกับเดินควงกันไป แต่ว่าสังคมของพม่าเขายอมรับ

โดยเฉพาะสังคมพม่าให้ความสำคัญต่อพระสูงมาก เพราะพม่าสามารถได้เอกราชคืนมาจากอังกฤษด้วยการที่พระนำชาวบ้านประท้วงรัฐบาล หลวงพ่ออูวิสาระ ท่านอดข้าวประท้วงพม่าถึง ๒๖๖ วัน จนเสียชีวิต เป็นการอดประท้วงที่อดจริง ๆ ไม่ใช่อดแล้วแอบไปกินทีหลัง

แสดงว่าอย่างน้อย ๆ ในเรื่องการทรงสมาธิของท่านต้องมั่นคงจริง ถ้าไม่มั่นคงก็ไม่สามารถจะอดอาหารได้นานขนาดนั้น ปัจจุบันนี้มีการสร้างเจดีย์ใหญ่ คือ พระมหาเจดีย์มหาวิสะยะ อยู่คนละฝั่งถนนกับพระมหาเจดีย์ชเวดากอง เพื่อเป็นการบูชาคุณของท่าน ที่เป็นผู้นำในการจุดประกายให้ประชาชนช่วยกันประท้วงทหารพม่า จนได้เอกราชคืนมา


พระมหาเจดีย์มหาวิสะยะ (วิสาระ) เมืองย่างกุ้ง

เถรี 05-04-2011 17:34

ดังนั้น..ในส่วนของประเทศพม่าแล้ว จะให้ความสำคัญกับพระเป็นพิเศษ พระจะมีอำนาจชนิดสั่งการชาวบ้านได้ทุกอย่าง เพราะเขาถือว่าประเทศเขาได้มาก็เพราะพระ จึงให้สิทธิแก่พระมากกว่าปกติ

แต่ที่ประหลาดอยู่อย่างหนึ่งที่บ้านเราไม่มีก็คือเรื่องบวช อย่างบ้านเราบวชเข้ามาตามประเพณีบ้าง บวชเข้ามาเพื่อศึกษาบ้าง แต่ปัจจุบันพระพม่าส่วนใหญ่ที่บวชก็เพื่อต้องการจะหนีทหาร ถ้าไม่บวชก็ต้องเป็นทหารซึ่งลำบากมาก เขาจึงบวชกันมากเป็นพิเศษ ถึงเวลาก็สึกไป

ตรงที่สึกนี่แหละ ทำให้อาตมาเห็นว่าคนพม่าเข้าถึงธรรมได้มากกว่าเรา เพราะอย่างบ้านเราถ้าบวชตั้งแต่ ๑๐ พรรษาขึ้นไป มักจะเป็นคนแปลกแยกในสังคม แต่ถ้าพระพม่าสึกไป เขาก็คลุกคลีตีโมงกันอย่างชนิดที่ว่ากลืนกันสนิทได้ และถ้าพระรูปนั้นกลับมาบวชใหม่ เขาก็กราบไหว้บูชากันตามปกติ

แสดงว่าคนพม่าเข้าถึงธรรมมากกว่า เพราะเขาแยกออกว่า วาระนี้คุณเป็นฆราวาส วาระนี้คุณเป็นพระ เขาเล่นได้ตามบทบาท แต่พระบ้านเรา อย่างอาตมาบวชมา ๒๐-๓๐ กว่าพรรษา ถ้าไปสึกจะกลายเป็นแปลกแยกในสังคม ชาวบ้านจะมองแปลก ๆ ไม่ยอมรับในฐานะฆราวาสของผู้ที่บวชมานาน ๆ แต่ของพม่าเขากลืนไปกับสังคมเลย พอวิ่งกลับมาบวชใหม่ในวันนั้น เขาก็ให้ความเคารพนับถือเหมือนเดิม

ถือว่าเป็นเรื่องที่หาได้ยากในบ้านของเรา และชาวพม่านั้น เขาเข้าวัดกันเป็นปกติ ทั้งผู้หญิงผู้ชาย ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ แต่ละวันในวัดจะแน่นไปหมด เหมือนกับที่บ้านเราไปเดินห้างกัน

เถรี 05-04-2011 17:55

อาตมาเองไปเห็นแล้วชื่นชมว่า บ้านเขามีความพร้อมเพรียงกันในเรื่องของบุญของกุศล โดยเฉพาะการสร้างบุญใส่ตัว เช้าขึ้นมาก่อนจะไปทำงาน เขาเข้าวัดก่อน สวดมนต์ทำวัตรปฏิบัติสมาธิภาวนา จนกระทั่งอารมณ์ใจทรงตัวเยือกเย็นดีแล้วก็ไปทำงาน กลับจากที่ทำงานมาก็เข้าวัด สวดมนต์ไหว้พระก่อน แล้วค่อยกลับบ้าน

เขาไม่ได้ทำกันแค่คนสองคน แต่ว่าคนทั้งบ้านทำเหมือนกันหมด ฉะนั้น..ถ้าเราไปปฏิบัติสวดมนต์ภาวนาที่นั่น ก็จะไม่แปลกแยกจากสังคมของเขา

เถรี 05-04-2011 18:17

วันนี้ถือว่าการฉลองบ้านวิริยบารมีของเรา สิ้นสุดลงตั้งแต่ถวายภัตตาหารเพลพระเสร็จ งานนี้ที่สิ้นสุดลงก็ด้วยความร่วมมือของญาติโยมหลายต่อหลายฝ่ายด้วยกัน แต่มีอยู่คณะหนึ่ง ถ้าให้อาตมาประเมิน ถือว่าตกเรียบ..! แค่เรื่องนัดไม่เป็นนัด ก็ถือว่าใช้ไม่ได้แล้ว ใครก็ตามที่นัดแล้วไม่ตรงเวลา อย่าหวังว่าชีวิตนี้จะประสบความสำเร็จได้ ถ้าไม่เห็นความสำคัญเรื่องเวลา เรื่องอื่นก็ไม่สำคัญทั้งนั้นแหละ..!

ประการที่สอง คือเรื่องการทำงาน ตรงเป็นสากกะเบือเลย..! ไม่มีการปรับเปลี่ยนให้เข้ากับสภาวะของงาน พูดง่าย ๆ ว่าถือคำสั่งเป็นใหญ่ แต่ไม่ใช้หัวแม่เท้าตรองดูบ้าง ว่าควรจะปรับเปลี่ยนอย่างไรให้เหมาะ ขนาดอาตมาบอกให้ทำอีกอย่างหนึ่ง เพื่อความสะดวกคล่องตัวก็ยังเถียงอีก

โดยเฉพาะในเรื่องของการเจริญพุทธมนต์ ต้องนับว่าอาตมาเป็นผู้ทรงคุณวุฒิชำนาญการพิเศษ ขณะเดียวกันพวกเราเป็นได้แค่เด็กหัดใหม่ นอกจากไม่รู้จริงแล้วยังเสือกเถียงผู้ชำนาญการอีก..! โดยยึดถือคำสั่งเป็นใหญ่ว่าจะต้องยกไทยธรรมไปพร้อมกัน ถ้าลักษณะอย่างนั้น อาตมาเอาลิงสองขามา สั่งให้ทำก็ได้ผลงานออกมาเหมือนกัน..!

เราต้องดูด้วยว่าลักษณะของงานเป็นอย่างไร จะเห็นว่าสถานที่ไม่อำนวยให้ ในเมื่อไม่อำนวยให้ เราจะปรับอย่างไรให้ง่ายที่สุดและเร็วที่สุด ถ้าเป็นคณะญาติโยมที่อาตมาใช้งานเป็นปกติ งานนั้นแค่ ๒ นาทีก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่พวกเราสามารถใช้เวลาได้เกือบ ๑๐ นาที และแถมออกมาทุเรศดูไม่ได้เลย..!

ดังนั้น..ลองคิดดูว่า นี่เป็นแค่งานบุญงานกุศลเท่านั้น ผลงานของเรายังออกมาห่วยแตกขนาดนี้ แล้วถ้าเป็นงานในหน้าที่รับผิดชอบ ผลจะออกมาเป็นอย่างไร ?

เถรี 05-04-2011 20:14

ดังนั้น..ไม่ต้องสงสัยว่า ทำไมทุกวันนี้พวกเราหาความเจริญก้าวหน้าไม่ได้ ก็เพราะว่าใช้ปัญญาน้อยเกินไป เป็นคนฉลาดแต่ขาดเฉลียว ปรับปรุงตัวไม่เป็น เป็นพวกไดโนเสาร์ เคยชินกับสภาพแวดล้อมอย่างไรก็อยู่อย่างนั้น พอสภาพแวดล้อมเปลี่ยนก็ตาย..สูญพันธุ์..!

งานทุกอย่างไม่ว่าจะงานทางโลกหรืองานทางธรรมก็เหมือนกัน ต้องใช้ปัญญาพิจารณาให้เหมาะสมกับกาละและเทศะ กาละ คือ เวลา เทศะ คือ สถานที่ เราต้องยึดหลักความยืดหยุ่น คล่องตัว เพื่อที่เราจะได้ดำเนินการไปสู่เป้าประสงค์ให้ได้เร็วที่สุด เพื่อที่จะประหยัดเวลา ประหยัดทรัพยากรให้ได้มากที่สุด

ไม่ใช่ถือหลักนิติศาสตร์ เจ้านายสั่งอย่างไร กูทำอย่างนั้น ถ้าลักษณะอย่างนั้นไม่จำเป็นต้องใช้ปริญญาอย่างพวกเราก็ได้ ไม่ต้องใช้บุคคลที่มีประสบการณ์ในการทำงานมาหลาย ๆ ปีก็ได้ เอาเด็กใหม่ที่ไหนมา ก็สั่งให้ทำแบบนั้นได้ทั้งนั้น

ได้แต่หวังว่างานครั้งนี้ พวกเราจะได้ประสบการณ์อะไรบางอย่างเพื่อกลับไปปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตัวเอง ก่อนที่จะเป็นไดโนเสาร์สูญพันธุ์ไปตามกาลเวลาเพราะปรับตัวไม่เป็น

ส่วนใหญ่แล้วเกิดจากตัวทิฐิมานะ ก็คือ ตัวกูของกูมีมากเกินไป ตัวกูของกูนี้อยู่ที่บ้านก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าอยู่ภายนอกหรือที่ทำงาน จะกระทบกระทั่งกับคนอื่นเขา เพราะขาดการยอมรับในผู้อื่น ประสานงานกับคนอื่นไม่เป็น เป็นแต่ประสานงาอย่างเดียว ก็มีแต่จะทำความบรรลัยวายวอดให้กับงานตรงหน้าเท่านั้น

เถรี 06-04-2011 08:42

เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ความจริงไม่ใช่หน้าที่ของพระ ที่จะมาตักเตือนมาสั่งสอนกัน เพราะว่าเป็นงานของโยม เป็นหน้าที่โดยเฉพาะของโยม แต่วันนี้ดูแล้วอดรนทนไม่ได้ ขืนปล่อยต่อไปคงไม่รอดแน่ แล้วจะมาหาคนที่พูดตรง ๆ บอกตรง ๆ อย่างพระก็ไม่มี เพราะถ้าบอกไปก็เถียง

เราอาจจะไม่รู้ตัวว่า ความประพฤติของเรานั้น ทำให้คนอื่นเขาเบื่อหน่ายและถึงกับปล่อยวางไปเลยก็ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น โอกาสที่เราจะเรียนรู้ประสบการณ์จากคนอื่นก็ไม่มี ทำอย่างไรที่เราจะรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน ศึกษาเรียนรู้ให้มากที่สุด และทุ่มเทกับงานให้มากที่สุด

ทุกคนลองมองย้อนไปว่า ตั้งแต่วันแรกที่เราเข้าทำงานมาจนถึงปัจจุบันนี้ สิ่งที่อาตมาพูดมามีบ้างไหม ? หรือเรารู้แต่เพียงว่า บุคคลนี้เป็นผู้บังคับบัญชา เรายอมลงให้ แต่บุคคลที่เป็นเพื่อนร่วมงาน มีโอกาสเมื่อไรเป็นงับทันที..! ถ้าอย่างนั้นเราจะอยู่กับใครได้ นอกจากคนที่ทนนิสัยเราได้เท่านั้น..!

ไม่ว่าจะเป็นบริษัทห้างร้าน ตลอดจนวัดวาอาราม ถ้ามีแต่บุคคลประเภทนี้ นอกจากจะหาความเจริญก้าวหน้าไม่ได้แล้ว ยังมีแต่จะรอวันเสื่อมสลายและพังไปในที่สุด โดยเฉพาะความสามัคคีในหมู่คณะมีน้อย กระทบกระทั่ง ขัดเหลี่ยม ปีนเกลียวกันอยู่ตลอดเวลา

เราต้องดูตัวอย่างคนญี่ปุ่น เราจะเห็นว่าเกิดสึนามิขึ้นมา บ้านแตกสาแหรกขาด แม้แต่ที่จะอยู่ที่จะกินก็ไม่มี แต่คนญี่ปุ่นมีวินัยมาก คนเอาของไปแจกก็ยังเข้าแถวเรียบร้อย ขณะเดียวกันอย่างบ้านเรา พอเอาของไปแจก ก็แย่งกันจนจะเหยียบกันตาย นี่คือลักษณะความต่างที่ได้รับการอบรมมา ที่กล่าวถึงมาตั้งแต่ต้นเป็นฉันใด ลักษณะบุคคลชาวญี่ปุ่นเวลาทำงานก็ฉันนั้น

พอชาวญี่ปุ่นเข้าทำงานที่ไหน เขาจะคิดว่างานนั้นเป็นของเขาเอง จะมีการเปลี่ยนงานน้อยมาก ส่วนใหญ่ทำไปจนเกษียณหรือตายคาบริษัทไปเลย ชาวญี่ปุ่นติดสถิติความบ้างานสูงสุด เพราะมีเฉลี่ยชั่วโมงการทำงานวันละ ๑๐ ชั่วโมง ขณะที่บ้านเรา มาหลังเวลาแต่กลับก่อนเสมอ

ทำอย่างไรที่เราจะสร้างจิตสำนึกความเป็นเจ้าของในเนื้องานนั้นขึ้นมา เพื่อที่เราจะได้ทุ่มเทจริงจัง ใช้ศักยภาพตัวเองออกมาให้สูงสุด สร้างความเจริญก้าวหน้าให้แก่หน่วยงานให้มากที่สุด ซึ่งเท่ากับสร้างความเจริญก้าวหน้าให้แก่ตัวของเราเอง

เถรี 06-04-2011 08:48

ถ้าเราไม่สามารถที่จะทำตรงจุดนี้ได้ ไม่ว่าเราจะเปลี่ยนงานกี่ครั้ง ทุกอย่างก็จะออกมาเหมือนเดิม แล้วเราก็อาจจะไม่รู้ตัวด้วยว่า เกิดจากข้อบกพร่องตรงจุดไหนของตัวเอง

ในการทำงานแต่ละโครงการ เรามีการสรุปทบทวนและประเมินผล ซึ่งตรงกับหลักการของพระพุทธเจ้า ในอิทธิบาท ๔ ข้อที่ว่าวิมังสา คือ ไตร่ตรองทบทวนอยู่เสมอว่า เราทำอะไร ? ด้วยวัตถุประสงค์อะไร ? ตอนนี้เราทำไปถึงไหนแล้ว ? เหลือเนื้องานอีกมากน้อยแค่ไหน ? จึงจะบรรลุวัตถุประสงค์ที่ได้ตั้งไว้

ในเมื่องานทั่ว ๆ ไป เรายังมีการสรุปทบทวนประเมินผล แล้วทำไมการที่เราจะสรุปทบทวนและประเมินตัวเอง เราจึงไม่ได้ทำกันบ้าง ? งานแต่ละวันผ่านไป ยอมสละเวลาสัก ๕-๑๐ นาที มาคิดดูสิว่า งานวันนี้ถ้าเราประเมินตัวเองโดยไม่เข้าข้างตัวเองแล้ว เราทำได้ดีพอแล้วหรือยัง ?

อาตมาเองไต่เต้าจากตำแหน่งพนักงานธรรมดาของบริษัทไทยญี่ปุ่นเมตัลอุตสาหกรรม (Thai - Japan Metal Industry Co. Ltd.) ใช้เวลา ๗ เดือนก้าวขึ้นมาเป็นหัวหน้าแผนก ขณะเดียวกันตอนที่รับราชการทหารอยู่ก็ฟันสองขั้นทุกปี จนกระทั่งครบสามปี เจ้านายต้องกาง รศ. ให้ดูระเบียบว่า การได้สองขั้นต้องไม่เกินสามปีติดกัน แปลว่าต้องมีการเว้น ถ้าไม่เว้นก็ผิดระเบียบ

นี่คือสิ่งที่อยากจะบอกพวกเราว่า จริง ๆ แล้วพวกเราก็ทำอย่างที่อาตมาทำได้ เพียงแต่ว่าเราทุ่มเทความพยายามเพียงพอหรือยัง ? เรามีจิตสำนึกที่จะเสียสละเพื่อส่วนรวมเท่าไร ?

เถรี 06-04-2011 14:31

และขณะเดียวกัน เราเองเมื่อทำงานไปแล้ว มีการประเมินทบทวนตัวเองบ้างหรือไม่ ? อย่าลืมว่าธรรมะของพระพุทธเจ้าทุกหมวด เหมาะในทุกกาลสมัย ท่านบอกว่าเป็นอกาลิโก ไม่โดนจำกัดด้วยเวลา ใครทำก็ได้ประโยชน์ทั้งนั้น

พระพุทธเจ้าทรงให้พวกเราสรุปทบทวนตัวเองอยู่เสมอ จะได้รู้ว่าเป้าหมายชีวิตของเราตอนนี้ เรายังเดินไปตรงตามเป้าที่วางไว้หรือไม่ ? ตอนนี้เดินไปถึงไหน ? เหลือระยะทางใกล้ไกลเท่าไร ? เราจะได้รู้ว่า เราต้องทุ่มเทพากเพียรให้มากกว่าเดิม หรือว่าระยะที่เหลือนี้สามารถที่จะลดหย่อนผ่อนปรนได้

ขณะเดียวกัน การทำงานก็ต้องรู้กาลเทศะ สัปปุริสธรรมท่านเรียกว่า กาลัญญุตา คือ การรู้กาล รู้วาระ กาละ ก็คือเวลา เทศะ คือสถานที่ ส่วนไหนที่จะเหมาะสมกับเรา ถ้าเราสามารถทำได้ เราก็จะดำรงตนเองอยู่ได้ท่ามกลางสังคมที่มีการแข่งขันสูงมากในปัจจุบัน ไม่อย่างนั้นแล้ว เราเองก็สักแต่เป็นขยะชิ้นหนึ่งที่ลอยไปตามกระแสเท่านั้น

ถ้าหากเขาเห็นประโยชน์หยิบฉวยขึ้นไปใช้ก็ดี ถ้าเขาไม่เห็นประโยชน์ เขี่ยทิ้งก็ลอยตามกระแสต่อไป ถ้าอยากประสบความสำเร็จในชีวิต อยากมีความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน อยากจะเรียนให้สำเร็จ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้แล้วว่า แค่มีอิทธิบาท ๔ ก็พอแล้ว

อิทธิบาท ๔ มี ฉันทะ ยินดีและพอใจที่จะทำงานนั้น ๆ พูดง่าย ๆ ก็คือ เต็มใจทำ ไม่ใช่ซังกะตายทำ วิริยะ ทุ่มเทความเพียรพยายามอย่างเต็มที่ มีจิตสำนึกในความเป็นเจ้าของ ทำงานให้ได้เนื้องาน ไม่ใช่ทำงานให้ได้วันหนึ่ง การทำงานให้ได้วันเป็นนิสัยของกรรมกร ไม่ใช่นิสัยของผู้ที่จะมานั่งทำงานในบริษัท

จิตตะ คือ กำลังใจจดจ่อปักมั่นอยู่กับงาน พูดง่าย ๆ ว่า กัดไม่ปล่อย งานไม่เสร็จกูไม่เลิก และท้ายสุด วิมังสา ไตร่ตรองทบทวนอยู่เสมอ จะได้รู้ว่าผลงานนั้น เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ได้ตั้งไว้หรือไม่ ?

เถรี 06-04-2011 15:29

เราจะเห็นได้ว่า พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสหลักธรรมที่เหมาะสมแก่บุคคลที่ทำงาน ไม่ว่าจะเป็นในสภาพของนักบวชหรือฆราวาส ทั้ง ๆ ที่เนิ่นนานสองพันกว่าปีแล้ว เราเองได้นำมาใช้กันบ้างหรือไม่ ? และขณะเดียวกันพระองค์ท่านตรัสไว้ว่า สุขา สงฺฆสฺส สามคฺคี ความสามัคคีย่อมยังหมู่คณะให้เกิดสุข พูดง่าย ๆ คือ เมื่อเป็นทีมงานเดียวกัน ก็ต้องรักใคร่สามัคคีกัน

ตอนที่อาตมาเรียนปริญญาตรี รุ่นที่เรียนอยู่ด้วยกันนั้น พูดง่าย ๆ ว่า เกาะกลุ่มกันเหนียวแน่นเป็นตุ๊กแก แกะไม่ออกมาจนทุกวันนี้ เพราะว่าตอนที่เรียนอยู่ เรามีการแบ่งปันความรู้กัน ใครก็ตามที่มีความรู้ความสามารถมากกว่า ก็จะสรุปเนื้อหาการเรียนให้เพื่อน เมื่อเพื่อนเอาเนื้อหาไปท่องจำ ก็จะได้ความรู้เท่ากันกับเรา

จะมีเพื่อนที่คอยทำหน้าที่เก็บข้อมูลและสรุปเนื้อหาอยู่ประมาณ ๔-๕ รายในรุ่น ดังนั้น..ถ้าข้อสอบออกมาก็จะมีคำตอบคล้าย ๆ กัน อยู่ ๔-๕ คำตอบ เพราะว่าทุกคนเอื้อเฟื้อต่อกัน รักใคร่สามัคคีกัน เห็นว่าเป็นรุ่นเดียวกัน ต้องช่วยกันฉุด ช่วยกันดัน ช่วยกันผลักขึ้นไป เพื่อให้ทุกคนได้ก้าวไปสู่ความสำเร็จพร้อม ๆ กัน

เราลองมานึกดูว่า ถ้าเราก้าวไปยืนโด่เด่อยู่บนยอดเขาคนเดียว แรก ๆ อาจจะปลื้มว่ากูประสบความสำเร็จ แต่พอนาน ๆ ไป มองรอบข้างหาใครไม่ได้สักคน แล้วเราจะรู้ว่ายิ่งสูงยิ่งหนาวนั้นเป็นอย่างไร ?

เถรี 06-04-2011 16:54

ขอยกตัวอย่างหัวหน้าประเดิมชัย แสงคู่วงษ์ ตอนนั้นท่านเป็นหัวหน้าศูนย์จัดการต้นน้ำที่ ๑๖ ซึ่งมีหน้าที่ดูแลต้นน้ำแม่กลองทุกสาย หัวหน้าประเดิมชัยผลักดันลูกน้องตัวเองให้ได้ซี ๗ ก่อนตัวเองสองคน ทั้งที่ตัวหัวหน้าเองติดอยู่แค่ซี ๖ มาตั้งหลายปีแล้ว

อาตมาก็ถามว่าทำไมหัวหน้าไม่เอาเสียเอง ? ท่านบอกว่า ถ้าตามสายงานของท่านต้องเป็นซี ๗ วิชาการ เพราะฉะนั้น..จึงสละตรงนี้ให้ลูกน้องไปก่อน เขาได้เพราะเรา ถึงเวลาเขาก็จะคิดถึงเรา พวกเราเคยเสียสละให้เพื่อนอย่างนี้บ้างไหม ?

อาตมาเองได้ตำแหน่งหน้าที่ซึ่งต้องใช้การสอบช่วงชิงกัน ๑๕ กองพันเขามีเพียงตำแหน่งเดียว คิดดูว่าเป็นจำนวนเท่าไรต่อหนึ่ง ? กำลังพล ๔,๕๐๐ กว่าคน มีตำแหน่งเดียวและอาตมาสอบได้ แต่ว่าคนสอบได้ที่สอง เขามาคร่ำครวญว่า เขาอยากได้เหลือเกิน อาตมาก็สละสิทธิ์ให้เขาไปแบบหน้าตาเฉย เพราะรู้ว่าครั้งต่อไปถ้าเราสอบเราก็ได้อีก แต่ถ้าเพื่อนพลาดครั้งนี้แล้ว เขาจะไม่ได้อีกเลยเพราะหมดกำลังใจ เราเคยคิดเสียสละให้เพื่อนฝูงอย่างนี้บ้างไหม ?

อะไรก็ตามถ้าเราช่วงชิงไขว่คว้ามาใส่ตัว จะไม่มีวันเต็ม ไม่มีวันพอ แต่ถ้าเรารู้จักเสียสละให้คนอื่นได้ เราจะกลายเป็นคนที่มีเพื่อนฝูงมาก คนที่มีเพื่อนฝูงมาก จะไม่มีวันอับจน ลองคิดดูว่า ถ้าคนอื่นเขาเคยเสียสละเพื่อเรามาก่อน ถึงเวลาเขาบากหน้ามาขอความช่วยเหลือเราบ้าง เราจะปฏิเสธเขาได้ลงหรือ ?

ดังนั้น..สิ่งที่พูดในวันนี้ก็คือ หลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น มีอยู่มากต่อมากด้วยกัน ขณะเดียวกันหลักการปฏิบัติตนในชีวิตฆราวาสของเราก็มี เพียงแต่ว่าเรานำมาประยุกต์ใช้ได้แค่ไหน ? ไม่ใช่เจอสถานการณ์จริงก็เดินทื่อเป็นเถรตรงไปเลย ถ้าอย่างนั้นก็จะเหมือนกับที่เขาว่า เดินไปชนต้นไม้ หัวแตกเสียเปล่า ๆ เพราะไม่รู้จักหลบหลีก เอาแต่ตรงไปตรงมาอย่างเดียว

เถรี 06-04-2011 20:03

ขณะเดียวกัน เราลองพิจารณาดูว่า เราพลาดโอกาสที่ดีไปมากต่อมากด้วยกัน ก็เพราะตัวกูของกูที่ลงให้คนอื่นไม่เป็นหรือเปล่า ? เรื่องบางเรื่องถ้าไม่พูดก็ไม่ขาด แต่ถ้าออกพูดไปจะเกินมาก โดยเฉพาะถ้าเข้าหูผู้ที่มีอำนาจเหนือตน จะสร้างความเดือดร้อนให้แก่ตนได้มากกว่าที่เราคิด

โบราณท่านถึงได้บอกว่า พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง มาตราโบราณเขาว่า

๔ ไพ เป็น ๑ เฟื้อง
๒ เฟื้อง เป็น ๑ สลึง
๔ สลึง เป็น ๑ บาท
๔ บาท เป็น ๑ ตำลึง
๒๐ ตำลึง เป็น ๑ ชั่ง
๕๐ ชั่ง เป็น ๑ หาบ


พูดไปได้แค่ ๒ ไพ แต่ถ้าเรานิ่งเสีย มีคุณค่าเท่ากับทองคำหนึ่งตำลึง ก็คือมีค่าเป็นทองคำหนักตั้ง ๔ บาท แล้วก็เป็นบาทโบราณด้วย ถ้าเป็นสมัยนี้น่าจะเป็นทองคำ ๔๐ บาทมากกว่า

ดังนั้น..พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสเอาไว้ในมังคลสูตรว่า สิปปัญจะ เอตัมมัง คะละมุตตะมัง การมีศิลปะถือว่าเป็นสุดยอดอุดมมงคล

ศิลปะในที่นี้ คือ ศิลปะในการดำรงชีวิต ศิลปะการใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่น ศิลปะในการปฏิบัติหน้าที่การงาน ทำอย่างไรที่จะเข้ากับคนอื่นให้ได้ดีที่สุด ? สิ่งทั้งหลายเหล่านี้แม้จะเป็นของเก่าของโบราณ แต่ก็ไม่เคยล้าสมัย ทว่า..สำหรับบุคคลที่ปรับใช้ไม่เป็นแล้ว ก็จะล้าสมัย ไม่เห็นประโยชน์

ดังนั้น..สิ่งที่พูดในวันนี้ ขอให้พวกเราจำขึ้นใจเลยว่า ถ้าในสายตาของพระ ประเมินงานของเราแล้วยังตก ในสายตาของเจ้านายที่ประเมินเราแล้ว ก็ไม่น่าจะได้ ต้องตกเหมือนกัน ยับเยินพอ ๆ กัน

พวกเราลองนึกดูซิว่า ในการประชุมงานแต่ละครั้ง หลังจากที่ผ่านไปได้ระยะหนึ่งแล้ว มีการงัดข้อกันหน้าดำหน้าแดง ไม่มีใครลงให้ใคร สุดท้ายสรุปงานลงไม่ได้ มีบ้างไหม ? แล้วเราเคยถามตัวเองบ้างไหม ว่านี่เป็นความผิดของเราหรือเปล่า ? ไม่ใช่มองไปว่าคนอื่นผิด

ถ้าเราสรุปได้อย่างไม่เข้าข้างตัวเองแล้ว ว่าเราไม่ผิด ก็แปลว่า เราสรุปผิด เพราะเราผิดตั้งแต่เสือกทะลึ่งมีเพื่อนร่วมงานแบบนี้แล้ว..!

เถรี 06-04-2011 21:40

ดังนั้น..เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ในมุมมองส่วนตัวของเราเองอาจจะแคบเกินไป ต้องให้คนอื่นเขามองบ้าง ฝรั่งเขาว่า Thinking outside the box มองนอกกรอบ ออกไปยืนข้างนอกแล้วลองมองเข้ามาว่า ถ้าเป็นสายตาคนอื่นแล้วเขาจะมองเราอย่างไร ? เขามองด้วยความอิจฉาและเลื่อมใส หรือเขามองเราด้วยความเวทนาสงสาร ? ถ้าเราคิดโดยไม่เข้าข้างตัวเอง จะต้องมีสักวันที่เรารู้สึกว่าตัวเราน่าเวทนาเหลือเกิน

ความชำนาญของเราเพียงด้านเดียวอาจจะไม่เพียงพอ แต่โบราณเขาบอกไว้ว่า อันความรู้รู้กระจ่างแต่อย่างเดียว แต่ให้เชี่ยวชาญเถิดจะเกิดผล นั่นแปลว่า เราต้องเชี่ยวชาญจนสามารถพลิกแพลงตามสถานการณ์ ตามโอกาส ตามเวลาได้ ไม่ใช่ประเภทเก่งเฉย ๆ

ผู้รู้ท่านบอกว่า เก่ง คือ รู้เท่าที่อาจารย์สอน ถ้ายอด..ต้องพลิกแพลงคำสอนของอาจารย์ไปใช้งานได้ แต่ถ้าจะให้เยี่ยมจริง ๆ..คุณต้องบัญญัติใหม่ เราต้องตั้งคำถามกับตัวเองดูบ้างว่า ในบางสิ่งบางอย่างที่เราทำนั้น ทำไมบางเวลาคำตอบที่ได้จึงไม่ตรงกับที่เราคิด ?

เราต้องรู้ว่าถ้าหากว่า Input ผิด คำตอบทุกคำตอบก็จะผิดไปด้วย ความจริง Input ไม่ได้ผิด แต่อาจจะสลับข้างเฉย ๆ จากหนึ่งสอง กลายเป็นสองหนึ่ง ก็ตัวเลขเดียวกัน แต่ทำไมจำนวนถึงได้ต่างกันขนาดนี้ ?

ดังนั้น..เรื่องทั้งหลายเหล่านี้เราต้องดูว่า คำถามบางคำถาม เราอาจจะถามในสิ่งที่เราอยากรู้ แต่ขณะเดียวกันนั่นเป็นสิ่งที่เขาอยากบอกกับเราหรือเปล่า ? ถ้าหากว่าเราถามในสิ่งที่เราอยากรู้ เราจะได้คำตอบหนึ่ง แต่ถ้าถามในสิ่งที่เขาอยากบอกอยากเล่า เราจะได้อีกคำตอบหนึ่ง แล้วผลจะต่างกันมหาศาล จึงได้บอกว่าถ้า Input ผิด Output ก็จะแย่ไปด้วย

เถรี 07-04-2011 08:01

ตกลงวันนี้ธรรมะมีภาษาประหลาดขึ้นมาเยอะแยะ ต้องขออภัยด้วย..เพราะว่าพอเห็นแล้วอดนึกถึงตัวเองไม่ได้ พอนึกถึงตัวเองว่าทำไมกูเก่ง..!!? ก็เพราะรู้จักปรับเอาหลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาใช้ ขณะเดียวกันบางคนก็ตรงเป็นไม้บรรทัดจริง ๆ ยึดหลักวิธีการเดียวเหนียวแน่น ผิดไม่ได้ พลาดไม่ได้ ไม่กล้าก้าวล้ำกรอบออกไป

อาตมาเป็นเด็กนักเรียนที่เกเร สู้ครูด้วย ถึงขนาดบอกว่า "ถ้าเป็นเรื่องในตำรา ครูจะออกตรงไหนมาก็ได้ ถ้าผมทำแล้วไม่ได้คะแนนเต็ม ตีผมกี่ทีผมก็ยอม แต่ถ้าผมทำแล้วได้คะแนนเต็ม ครูต้องให้รางวัลผมด้วย" มีบ้างไหมเด็กที่สู้ครูขนาดนี้ ?

ครูท่านจึงออกข้อสอบมา ๒๐ ข้อ อาตมาทำเสร็จได้ ๒๐ คะแนน แต่ไม่มีรางวัล ก็ไปถามว่าทำไมไม่มีรางวัล ? ครูท่านบอกว่า "ลายมือเธอไม่ดีพอ ครูตัดไปครึ่งคะแนน แต่ครูเมตตาก็เลยปัดเต็ม ๒๐ เธอได้เต็มเพราะครู เธอก็เลยไม่ได้รางวัล" เป็นอย่างไร ? ถ้าท่านไม่แน่จริง ท่านก็ไม่มาเป็นครูของอาตมาเหมือนกัน

นี่คือสิ่งที่อยากบอกพวกเราว่า เราสามารถแหกคอกได้ ถ้ามีความสามารถจริง แต่อย่าไปให้ไกลคอกนัก พูดง่าย ๆ ว่า ถ้าเขาขีดเส้นวงกลมไว้ หัวแม่เท้าซ้ายเราอาจจะแตะที่วงกลม แต่เท้าขวาก้าวออกนอกวงกลมไปแล้วสักสองเมตร ให้ยึดเกาะเส้นเอาไว้ แนวกรอบจะเป็นแนวให้เราเดิน

เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องฆราวาส ไม่น่าจะเกี่ยวกับพระ แต่ไป ๆ มา ๆ เป็นเรื่องที่พระต้องมานั่งบอกโยม เพราะโยมปรับเอาหลักธรรมของพระพุทธเจ้าไปใช้ไม่เป็น

ให้ทุกคนกลับไปแล้วทบทวนประเมินตัวเอง สรุปออกมาให้ได้ว่า ในเรื่องของงานที่เราทำนั้น เราเองถือเอาส่วนรวมมากกว่าส่วนตัว หรือเอาส่วนตัวมากกว่าส่วนรวม ? เราเอาความรักใคร่สามัคคี ความก้าวหน้าของหมู่คณะเป็นใหญ่ หรือไขว่คว้าเพื่อความเจริญของตัวเองเป็นใหญ่ ? ขณะเดียวกันในเรื่องของการงานนั้น เราสักแต่ว่าทำตามคำสั่งอย่างเดียว โดยที่ไม่มีการพลิกแพลง หรือรู้จักปรับเปลี่ยนเพื่อให้งานนั้นเสร็จง่ายลง ?

เรื่องพวกนี้คงไม่ยากเกินกำลัง ที่พวกเราจะไปทบทวนแล้วแก้ไข เพื่อความเจริญก้าวหน้าต่อไป

เถรี 07-04-2011 08:03

อาตมาชอบตีหมาตอนทำผิด ถ้าไม่ตีตอนนั้นแล้วหมาจะไม่จำ ต้องผัวะลงไปให้ร้องเอ๋งแล้วจะจำเลย แต่ถ้าเราเงื้อไม้แล้วปล่อยให้หมาวิ่งไปสักก้าวสองก้าว แล้วเราค่อยไปตี หมาจะไม่รู้แล้วว่าเราตีเพราะอะไร กลายเป็นเราไปรังแกหมา..!

ถ้ามีโอกาสขึ้นไปเป็นครูบาอาจารย์ หรือไปเป็นเจ้านายเขา อย่าปล่อยให้ความผิดต่าง ๆ ยืดเยื้อ เพราะจะทำให้ห้องเรียนหรือหน่วยงานเขาเสียหาย ถ้าผิดก็ต้องจี้ให้แก้ไขเดี๋ยวนั้นเลย เราอาจจะเป็นเจ้านายหรือเป็นครูบาอาจารย์ที่จู้จี้ขี้บ่น แต่ท้ายสุดพอลูกน้องแก้ไขหรือทำตาม นาน ๆ ไป เขาก็จะได้แบบอย่างที่ดีไปใช้ในโอกาสข้างหน้า

เถรี 07-04-2011 08:10

ถาม : เทคนิคคำสอนของพระพุทธองค์ทรงสอนเป็นกลาง ไม่น่าจะแบ่งว่าพระหรือฆราวาส ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วก็คือ ใครนำไปใช้ก็ได้ประโยชน์ เพราะธรรมะของท่านเป็นสากล ไม่โดนจำกัดด้วยขอบเขตใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่ใช่ว่าศาสนาพุทธไปปฏิบัติแล้วได้ ขณะเดียวกันศาสนาคริสต์ปฏิบัติแล้วไม่ได้..ไม่ใช่

ทุกศาสนาถ้าตั้งใจปฏิบัติได้หมด หลักธรรมเป็นหลักสากล พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ชัดเจนแล้วใน
ธรรมนิยาม พระองค์ท่านบอกว่า อุปปาทา วา ภิกขเว ตถาคตานัง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตทั้งหลายจะเกิดขึ้นหรือไม่ก็ดี อนุปปาทา วา ตถาคตานัง ตถาคตทั้งหลายจะไม่เกิดขึ้นก็ดี

ฐิตา วะ สา ธาตุ ธัมมัฏฐิตะตา ธรรมทั้งหลายก็ตั้งมั่นเป็นปกติอยู่อย่างนั้นแล้ว ก็คือมีอยู่แล้วเป็นปกติ ธัมมะนิยามะตา คำจำกัดความของธรรมเหล่านั้น คือ สัพเพ สังขารา อะนิจจาติ สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง คน สัตว์ วัตถุธาตุ สิ่งของ มีสภาพเหมือนกันหมด เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงไปในท่ามกลาง สลายไปในที่สุด

สัพเพ สังขารา ทุกขาติ สังขารทั้งหลายมีสภาพที่ต้องทนต่อการเสื่อมสลายเป็นปกติ สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ สังขารทั้งหลายไม่สามารถยึดถือมั่นหมายได้ เพราะไม่มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่คงทน จนกระทั่งสามารถยืนหยัดคู่ฟ้าดินอยู่ได้

เถรี 07-04-2011 08:13

ถาม : ท่านสอนให้อ่อนน้อมถ่อมตน แต่ถ้าเพื่อนร่วมงานเรา เรายอมอ่อนน้อมมาก แต่เขา...
ตอบ : อย่างที่บอกว่า หัวแม่เท้าข้างหนึ่งให้แตะขอบเส้นไว้ ยึดหลักการไว้ ในเมื่อยึดหลักการไว้ หากเขาเองมาผิดหลักการ เราก็จัดการได้เลย

แหกคอกได้ แหกไปเลย แต่หัวแม่เท้าแตะขอบเส้นไว้หน่อย เพราะถ้าเราหลุดกรอบไป คนอื่นเขาจะเล่นงานเราได้ แต่ถ้ายังอยู่ในกรอบอยู่ เขาเล่นงานเราไม่ได้หรอก

เถรี 07-04-2011 08:14

ถาม : คนตรงทำไมอยู่บนโลกลำบาก ? เจอคนเลวก็มาก
ตอบ : บอกแล้วว่า ตรงจนเลี้ยวไม่เป็นก็อยู่ลำบาก ถ้าคุณเลี้ยวเป็นโดยยึดหลักการอยู่ ไม่ลำบากหรอก

เถรี 07-04-2011 08:15

ถาม : เจอกฎของกรรมหนุนให้ทุกข์ พระท่านก็เมตตาสงเคราะห์ให้คล่องตัว แต่ไม่ยักจะรวย
ตอบ : คล่องตัวนี่ยังไม่พอใช่ไหม ? อยากจะรวยก็ทำ แล้วไม่ต้องกินไม่ต้องใช้ รวยแน่..!

เถรี 07-04-2011 08:38

พระชัยวัฒน์เกราะเพชรเนื้อทองคำรุ่นนี้ อาตมาจะไม่บอกว่ามีตำหนิตรงไหน แต่ให้รู้ว่ามีตำหนิอยู่สองแห่งที่ไม่มีใครปลอมได้ ตำหนิแรกเป็นเลเซอร์ ตำหนิที่สอง คนแต่งพยายามทำไว้เพื่อป้องกันปลอม เนื้อทองคำรุ่นนี้มี ๘๔ องค์ เท่ากับอายุในหลวง เพราะฉะนั้น..จำเป็นที่จะต้องป้องกันการปลอมไว้นิดหนึ่ง

เดี๋ยวนี้คอมพิวเตอร์สามารถถอดแบบได้ ถ้าถอดแบบได้ ก็จะรู้ว่าตรงนี้เป็นตำหนิของเรา ลักษณะเดียวกันแบบนั้นถอดเลเซอร์ไม่ได้ อาตมาเองไม่กล้าที่จะสร้างพระเนื้อทองคำในระยะนี้ เพราะปกติของเราก็ไม่ได้เป็นไปตามราคาในท้องตลาดอยู่แล้ว

การสร้างพระเนื้อทองคำนั้น พอเป็นองค์พระขึ้นมา ก็ต้องชั่งน้ำหนักเท่าไร แล้วเทียบราคาทองในปัจจุบันคูณด้วยสาม ถึงจะเป็นราคาของวัตถุมงคลเนื้อทองคำ พูดง่าย ๆ ว่าพระเนื้อทองคำจะมีราคาเป็นสามเท่าของทองคำปกติ นี่เป็นอัตราสากล ทั่วประเทศเขาทำกันอย่างนี้

สมัยหลวงพ่อวัดท่าซุงก็โดนเขาด่าเป็นปกติ เพราะวัตถุมงคลหลวงพ่อชิ้นละ ๑๐ บาท ๒๐ บาท ราคาสูงสุด ๓๐ บาท คนเขาก็โวยวาย เขาบอกว่า ในท้องตลาดราคา ๖๐- ๘๐ บาท ของหลวงพ่อราคาแค่ ๒๐ บาท

หลวงพ่อท่านบอกว่า "ข้าขาย ๒๐ ข้าก็ได้ ๒๐ เพราะลูกศิษย์ทำให้ฟรี แล้วจะไปเอาอะไรเยอะแยะ"

เถรี 07-04-2011 08:44

อาตมามีประสบการณ์มาตั้งแต่เด็กแล้วว่า จับวัตถุมงคลที่ผ่านการพุทธาภิเษกเมื่อไร จะมีพลังวิ่งจี๋ขึ้นถึงหัวเลย จะปวดขมับทั้งสองข้างขึ้นมาทันตา เลยเล่าให้น้องเล็ก (คุณจิราพร ซื่อตรงต่อการ)ฟัง น้องเล็กบอกว่าเขาไม่เป็น

แต่พอตรวจสอบพระชัยวัฒน์เกราะเพชรเนื้อทองคำรุ่นนี้ น้องเล็กมึนจนกระทั่งยืนไม่ติด อาตมาจึงบอกว่า "รู้แล้วใช่ไหมว่า อาการของการจับวัตถุมงคลที่เข้าพิธีแล้วเป็นอย่างไร ?" เขาบอกว่า "ไม่รู้ว่าจะแรงอย่างนี้"

ส่วนที่แรงนั้นด้วยสองสาเหตุ สาเหตุแรก เพราะว่าวัตถุมงคลรุ่นนี้เข้าพิธีพุทธาภิเษกมาแล้ว ยังมีหลวงปู่พูน วัดบ้านแพน หลวงพ่อชำนาญ วัดบางกุฎีทอง ครูบาเหนือชัย วัดถ้ำป่าอาชาทอง ร่วมกันปลุกเสก

สาเหตุที่สอง วัตถุมงคลเป็นเนื้อทองคำ ซึ่งรับพลังได้มากที่สุด เรื่องนี้อาตมาเองไม่ทราบหรอก หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอก

วัตถุมงคลรุ่นนี้อย่าคิดว่าหล่อขึ้นเฉย ๆ ยังไม่ได้เข้าพิธีนะ เข้าพิธีตั้งแต่ยังเป็นแท่งทองอยู่เลย ญาติโยมทั้งหลายไม่มีก็ไม่ต้องเสียใจ เพราะว่าพระที่แจกในวันนี้ หน้าตาเหมือนกันทุกกระเบียดนิ้ว ไม่มีอะไรต่างกันเลย เราเอาไปเลี่ยมใส่กรอบทอง เขาก็คิดว่าเป็นทองคำเหมือนกัน

เถรี 09-04-2011 10:29

พูดถึงทองคำก็นึกถึงพี่ประสิทธิ์ พี่ประสิทธิ์เป็นพี่ชายที่สนิทกันมาก พี่เขาเป็นแรงบันดาลใจส่วนหนึ่งที่ทำให้อาตมาเข้าวัด เพราะพี่ประสิทธิ์สนใจการปฏิบัติมาตั้งแต่แรก ตอนนั้นอาตมาซื้อทองคำมา ๒ แท่ง แท่งละ ๑๐ บาท กลับบ้านไปก็โยนโครมลงบนเตียง แล้วก็ไปทำงานต่อ

พี่ประสิทธิ์มาเห็นเข้า ก็หยิบดู "ไอ้ห่..ของแบบนี้ยังเอามาทำของเล่น" แล้วเขาก็โยนไว้ที่เดิม คิดว่าเป็นของปลอม อาตมาเองก็ไม่บอกหรอกว่าของจริง ถ้าบอกเดี๋ยวหาย..!

อยากจะถามโยมว่า เคยจับทองคำน้ำหนักมากที่สุดเท่าไร ? ถ้าเป็นทองแท่งหรือทองรูปพรรณ เท่าที่อาตมาเคยจับก็คือ ชิ้นละ ๑ กิโลกรัม แต่ถ้าทองธรรมชาตินี่บอกไม่ถูก เพราะเคยตักขึ้นมาเป็นจอบ ๆ เลย ไม่รู้เหมือนกันว่าเท่าไร อาตมาก็เพิ่งรู้ว่าทองธรรมชาติจะละเอียดเหมือนกับทราย ตอนนี้มีคนเขาวางแผนกันจะไปเอาทองคำ อาตมาก็วางแผนสะสมพระพุทธรูปและผ้าไตร พอถึงเวลาอาตมาเป็นเจ้าภาพงานศพ จะได้ถวายพระพุทธรูปและผ้าไตรให้พระที่มาสวดพระอภิธรรม..!

เถรี 09-04-2011 10:59

บรรดาพระเณรตลอดจนญาติโยมที่วัดท่าขนุน เขาบอกว่าขอตายก่อนหลวงพ่อ เพราะหลวงพ่อทำบุญให้แต่ละรายน่าชื่นใจเหลือเกิน งานล่าสุดที่ผ่านมา ก็คือ คุณยายจันทร์ บัวผัด อาตมาทำบุญให้คุณยายจันทร์ ๖ วัน วันที่ ๗ เลี้ยงเพลและก็เผาเลย ดังนั้น ๖ วันที่ผ่านมา ถวายพระพุทธรูปแก้วทรงเครื่อง ขนาด ๙ นิ้ว วันละ ๔ องค์ ถวายผ้าไตรวันละ ๔ ไตร และถวายปัจจัยให้พระสวดอย่างต่ำรูปละ ๕๐๐ บาท ถ้ามีมากกว่านั้นก็จะใส่เกิน ๕๐๐ บาท ถือว่ามีเงินไม่รู้จะทำอะไร แบ่ง ๆ ให้พระเณรใช้บ้าง..!

ดังนั้น..เมื่อเขามาถามทางไปภูเขาทอง อาตมาบอกทางเสร็จก็เริ่มเก็บพระพุทธรูปและผ้าไตรเลย คาดว่าได้ใช้แน่ อะไรก็ตามที่วาระยังไม่ถึง ยังไม่เหมาะไม่ควร ถือว่าเราเตือนคุณแล้ว โดยเฉพาะถ้ามีพระไปด้วย พระมักจะโดนก่อน ไม่รู้เป็นอะไร เขามักเห็นพระเป็นหัวหน้าทีม ทั้ง ๆ ที่ต้นความคิดก็ไม่ใช่เรา

ลองถามทิดตู่ดูสิ พรรคพวกชวนไปเอาพระธาตุพระสีวลี จนตัวเองแย่อยู่คนเดียว เขาเหมาว่าคนนี้หัวหน้าทีม ทั้ง ๆ ที่คนอื่นชวนไปแท้ ๆ ทิดตู่ไปแล้วตกเขา ยังดีดวงไม่ถึงฆาต ไวเป็นลิงเลย แทนที่จะพลาดเอาหัวลงพื้น เท้าก็ไปเกี่ยวกับเถาวัลย์เข้า แต่ก็ถูกเถาวัลย์บาดขา เพราะเวลาน้ำหนักกระชากลงมา ไม่ว่าจะเป็นเถาวัลย์หรือเชือกก็บาดได้ กลับมาแดงเถือกไปทั้งแถบ..!

เถรี 09-04-2011 11:05

สถานที่นี้ (บ้านวิริยบารมี) เป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การปฏิบัติธรรมมาก เพราะเจ้าที่เป็นอากาศเทวดา ปกติอากาศเทวดาที่เป็นเจ้าที่นั้นหายากมาก ได้ภุมมเทวดาบารมีสูง ๆ ก็ยากแล้ว ถ้าไม่ใช่สถานที่สำคัญจริง ๆ ก็มักจะมีภุมมเทวดาดูแลอยู่

แต่สถานที่นี้ได้เปรียบ เพราะเจ้าที่ท่านดูแลวัดอยู่ โดยเฉพาะวัดในบริเวณนี้มี ๗-๘ วัดใกล้ ๆ กัน ท่านก็เหมารวมบ้านหลังนี้ไปด้วย ท่านบอกอาตมาตั้งแต่ตอนบวงสรวงครั้งแรกว่า ไม่ต้องตั้งศาลให้ท่านก็ได้ นึกถึงท่านก็พอ อาตมารู้สึกไม่ค่อยดี ก็เลยขอตั้งศาลหน่อย ศาลข้างหลังที่เห็นไม่ใช่อาตมาตั้งนะ คนงานเขาตั้งกันเอง แสดงว่าโดนจนเข็ด..!

เดี๋ยวอาตมาจะไปรื้อทิ้ง เพราะศาลที่อาตมาตั้ง คือที่ใครเห็นก็คิดว่าเป็นหิ้งพระติดข้างตึก

ถาม: หิ้งพระวิสุทธิเทพ ?
ตอบ : นี่แหละศาลเจ้าที่ของอาตมา บอกกับท่านว่า ถ้าไหว้พระก็คือตั้งใจนึกถึงและแสดงความเคารพถึงท่านด้วย ไม่อย่างนั้นถ้าเราเป็นพระแล้วไปไหว้เทวดา ท่านก็คงไม่ยอมรับ

อาตมาเคยไปไหว้พ่อปู่ฤๅษีทุ่งใหญ่ พอจุดธูปเสร็จ ท่านบอกว่า "ปักธูปเฉย ๆ ก็พอ ไม่ต้องไหว้ผมนะครับ เพราะผมมีแค่ศีลแปดเอง"

เถรี 10-04-2011 10:00

เมื่อเช้าพูดไปว่า การสร้างวิหารทาน ถ้าเป็นสถานที่ที่ใช้ประจำ จะมีอานิสงส์มหาศาล เพราะว่าเขาใช้กี่ครั้ง บุญก็เป็นของเรา โดยเฉพาะเจ้าภาพที่สร้างโบสถ์ สังฆกรรมทุกอย่างในส่วนของสงฆ์เขาใช้โบสถ์ทั้งนั้น โดยเฉพาะการบวชพระ คือการให้กำเนิดซึ่งพระสงฆ์ จะต้องอยู่ในเขตสีมาของโบสถ์เท่านั้นจึงจะทำได้

ไม่เหมือนกับกฐิน กฐินเป็นญัตติกรรม สามารถที่จะสวดนอกพื้นที่โบสถ์ได้ แต่ถ้าเป็นญัตติจตุตถกรรม ก็คือ สวดประกาศ ๑ ครั้ง สวดยืนยันอีก ๓ ครั้ง รวมเป็น ๔ ครั้ง จึงเรียกว่าเป็นจตุตถกรรม คือ ทำ ๔ ครั้ง ถ้าอย่างนั้นต้องทำในเขตสีมาเท่านั้น

แต่ทางพม่าไม่นิยมสร้างโบสถ์ราคาหลายล้าน พม่าสร้างโบสถ์ครึ่งวันก็เสร็จแล้ว ถึงเวลาก็ระดมกันไปตัดไม้ไผ่ มัดแล้วก็โยนตูมลงน้ำ ให้ห่างจากฝั่ง ๖ เมตร เห็นพม่าสร้างโบสถ์แล้วอยากน้ำตาเล็ด ยิ่งไปเห็นกะเหรี่ยงสร้างโบสถ์ก็พอ ๆ กัน กะเหรี่ยงใช้ไม้จริง (ไม้กระดาน) แต่ทำเป็นกระต๊อบเล็ก ๆ อยู่กลางน้ำ บางครั้งโบสถ์ของเขาก็โยกไปโยกมา

ที่เขาสร้างถือว่าถูกต้องตามพระวินัย ท่านบอกว่า อุทกุกเขปสีมา ก็คือ สีมาที่ใช้น้ำเป็นเขต ต้องห่างจากฝั่งในช่วงระยะ ๗ อัพภันดร


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 07:15


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว