![]() |
เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๔ (เดือนสุดท้าย)
ถาม : พอจะอธิบายลักษณะของฌานใช้งาน ตั้งแต่อุปจารสมาธิจนถึงฌานสี่อย่างคร่าว ๆ ได้ไหมคะ ?
ตอบ : ไปเปิดตำราดูดีกว่า อาตมาอธิบายไว้เยอะแล้ว ถาม : ไม่เหมือนกับทั่วไปไม่ใช่หรือคะ ? ตอบ : บางทีก็มีรายละเอียดที่เราจะต้องทำให้ถึงจริง ๆ จึงจะเข้าใจในสิ่งที่อาตมาพูดไป ถ้าทำไม่ถึงก็จะไม่เข้าใจในสิ่งที่ว่ามา ได้แต่คิดว่า คาดว่า ควรจะเป็นอย่างนั้น ควรจะเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น..ทำไปเถอะ พอทำถึงเดี๋ยวก็จะเข้าใจเอง ความจริงอุปจารสมาธิของพวกเราก็คือตอนนี้ ตอนที่เราตั้งใจทำอะไรบางอย่างโดยที่สติจดจ่ออยู่ตรงหน้า กรณีนี้หมายถึงคนทั่ว ๆ ไปนะ ถ้าคนที่เขาคล่องตัวแล้ว สติที่จดจ่ออยู่เฉพาะหน้าบางทีเขาเลยอุปจารสมาธิไปถึงไหน ๆ แล้ว กำลังใจจดจ่ออยู่เฉพาะหน้า ไม่ได้เคลื่อนไปไหน นั่นคืออุปจารสมาธิ หลังจากนั้นถ้าสามารถกำหนดรู้ลมได้ตลอดสามฐานก็จะเป็นปฐมฌาน ถ้าลมหายใจเริ่มเบาลง ความรู้สึกเหมือนกับว่าเราหายใจน้อยลง หรือจับลมไม่ได้ บางทีคำภาวนาก็หยุดไปด้วย ก็เป็นฌานสอง ตรงนี้เป็นหลักที่คนส่วนใหญ่จะต้องเจอ พอเริ่มเป็นฌานสาม บางคนก็รู้สึกว่าตัวแข็ง แข็งเหมือนกับกลายเป็นหิน บางคนก็รู้สึกเหมือนว่าชา เหมือนกับกลายเป็นหินไปทั้งตัวแล้ว บางคนก็รู้สึกว่าเหมือนกับโดนมัดติดกับเสาจนแน่น ตั้งแต่หัวถึงเท้ากระดิกไม่ได้เลย อาการแรกเริ่มก็อาจจะเริ่มจากจุดใดจุดหนึ่ง อย่างเช่นปลายจมูกหรือปาก บางคนนั่ง ๆ อยู่เหมือนกับเม้มปากแน่นขึ้นเรื่อย ๆ แต่ความจริงไม่ใช่ นั่นเป็นอาการที่สมาธิเริ่มทรงตัวมากขึ้น ถ้าหากเราไม่ตกใจและไม่กลัว เอาใจกำหนดดูกำหนดรู้ไปเรื่อย ตอนนั้นเราจะลืมไปด้วยซ้ำว่ามีลมหายใจหรือมีคำภาวนาหรือเปล่า ความรู้สึกของเราจะรวมอยู่ที่จุดใดจุดหนึ่งในร่างกาย สว่างโพลงอยู่เฉพาะที่ ไม่รับรู้อาการภายนอก ถ้าอย่างนั้นจะเป็นฌานสี่ ถึงตอนนั้นแล้วเวลาจะผ่านไปโดยที่เราไม่รู้ตัว บางทีเรารู้สึกว่าเดี๋ยวเดียว ลืมตาขึ้นมาผ่านไปตั้งหลายชั่วโมง บางอย่างมีรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เฉพาะตัวอยู่ พอทำถึงก็อ๋อ..ที่แท้เป็นอย่างนี้เอง |
ถาม : กำลังตัวใดที่เกิดในช่วงตื่นนอนใหม่ ๆ ครับ ใช่ตัวที่ ๙ ไหมครับ ? หรือเป็นตัวไหนครับ ?
ตอบ : ฮ่วย..! ตอนตื่นนอนใหม่ ๆ ส่วนใหญ่จะเป็นอุปจารสมาธิ ถ้าเราสามารถรักษาอารมณ์นั้นอยู่ได้ จะรู้สึกคล้าย ๆ กับว่า กำลังครึ่งหลับครึ่งตื่น แต่อารมณ์ตรงจุดนั้นแหละ ที่จะรู้เห็นความเป็นทิพย์ต่าง ๆ ได้ กำลังตรงนี้จะไม่ปรากฏอาการใด ๆ ที่กายเนื้อเลย ถ้าหากว่าความรู้สึกเหลืออยู่อย่างนี้อย่างเดียว แล้วสามารถไปยังที่อื่น ๆ ได้ นั่นจะเป็นกำลังของฌานสี่ แต่ถ้าไปที่อื่นไม่ได้ ความรู้สึกยังอยู่ที่ร่างกายอย่างเดียว บางทีอาจจะเป็นของเก่าที่เคยทำในส่วนของอรูปฌาน ถ้าในส่วนของอรูปฌานนี้ เราจะไม่เกาะร่างกายเลย เพราะฉะนั้น..ต้องไปพิจารณาดูเองว่า ในส่วนของการปฏิบัติมามีพื้นฐานของเก่ามาก่อนหรือเปล่า ? ส่วนวิปัสสนาญาณ ๙ นั้น ตัวสังขารุเปกขาญาณ จะปล่อยวางทุกอย่างด้วยปัญญา ที่คุณว่ามายังไม่ใช่หรอก |
พระอาจารย์กล่าวว่า "แรก ๆ ของนักปฏิบัติ จะไม่กล้ากระดิกออกจากกรอบเลย พอทำไประยะหนึ่งจะเริ่มปรับได้ จะค่อย ๆ กลมกลืนขึ้นเรื่อย ๆ กลืนกับโลกขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงที่สุดแล้ว ก็จะกลายเป็นคนธรรมดาที่ยิ่งกว่าธรรมดา"
|
ถาม : เวลาเข้าฌานสี่ในกสิณหรือในอะไรก็แล้วแต่ ผมทรงฌานสี่ได้นิดเดียวครับ
ตอบ : เป็นไปได้อย่างไรที่ทรงได้นิดเดียว ? ก่อนที่จะเข้าฌานให้ตั้งกำลังใจไว้ก่อน ว่าเราจะเอานานแค่ไหน ถาม : ไม่ได้ตั้งครับผม ตอบ : ตั้งไว้ก่อน จะเอาสักสามวันสามคืนก็ว่าไป เพราะว่าขาดตัวตั้งใจ เพียงแต่คุณมั่นใจแล้วนะว่าได้ฌานสี่จริง ๆ ? ส่วนใหญ่คนที่ได้ฌานสี่จริง ๆ มักจะเข้าฌานแล้วไม่ค่อยจะออก เขามีแต่ต้องบังคับให้ออก ถาม : เป็นฌานสี่หยาบครับ ตอบ : จะหยาบหรือละเอียดก็เหมือนกัน ยิ่งหยาบยิ่งไม่ค่อยอยากจะออก เพราะกำลังใจจะจมอยู่ข้างใน ไปตั้งเวลาเสีย ซ้อมเข้าซ้อมออกตามเวลา ได้ฌานสี่ก็ดีอยู่อย่างหนึ่ง ทำให้ไม่ค่อยจะตื่นเต้นอะไรกับใคร วันก่อนทำวัตรอยู่ มีพระรูปหนึ่งท่านของขึ้น เอะอะเอ็ดตะโรขึ้นมา อาตมาก็นำทำวัตรไปเรื่อย ไม่ได้สนใจ จนกระทั่งท่านสงบไปเอง พอทำวัตรเสร็จก็คุยกับพระเณรว่า "ที่พวกคุณตกใจก็เพราะว่าใจไม่อยู่กับตัว เมื่อกำลังใจไม่อยู่กับตัว ถึงเวลาเกิดอะไรขึ้น ใจต้องรีบวิ่งกลับมาเพื่อรับรู้ การที่ใจวิ่งกลับเข้าตัวเร็วเกินไป คืออาการตกใจ แต่ถ้าอารมณ์ของคุณทรงตัวแล้ว จะไม่เกิดอาการตกใจหรอก เพราะว่าใจอยู่กับตัวอยู่แล้ว กว่าผมจะทำมาถึงตรงนี้ได้ก็หลายปีเหมือนกัน" ตอนช่วงที่ทำได้ เป็นช่วงที่ไปบึงลับแล ไปกันประมาณ ๕-๖ รูป จำไม่ได้ว่ามีใครบ้าง ที่แน่ ๆ มีท่านกอล์ฟรูปหนึ่ง พอไปถึงก็แยกย้ายอยู่ตามจุดต่าง ๆ ทำแคร่นอนกัน เพราะตั้งใจจะอยู่กันหลายวัน ถ้าอยู่แค่คืนสองคืน ส่วนใหญ่ก็แบกับดิน อาตมาก็ไปทำแคร่นอนอยู่ตรงใกล้ ๆ ริมน้ำ ถ้าใครเคยไปบึงลับแลมาก่อน จะเห็นก้อนหินใหญ่สูงท่วมหัวอยู่ก้อนหนึ่ง อาตมาก็เอาแคร่ด้านหนึ่งชนกับก้อนหิน พอถึงเวลาก็นอนหันหัวเข้าหาก้อนหิน ค่อยปลอดภัยหน่อย |
ตอนกลางคืนเวลาประมาณห้าทุ่มกว่า แคร่พังโครมลงมา..! ลงทางด้านหัว อาตมากำลังนอนภาวนา กำลังใจทรงตัวอยู่ดี ๆ เห็นว่าแคร่พังก็ปล่อยให้พังไป ภาวนาไปเรื่อย ๆ แคร่เอียงลาดลง น้ำหนักตัวก็ถ่วงให้ตัวไหลลงไปเรื่อย ๆ จนหัวทิ่มพื้น พอเจ็บหัวอาตมาจึงลุกขึ้น
สงสัยว่าท่านกอล์ฟจะได้ยินเสียง เห็นว่าแคร่พังตั้งนานแล้วแต่อาจารย์ยังไม่กระดิก ยังเงียบอยู่ เขาก็เลยส่องไฟดู ตอนที่ท่านส่องไฟ อาตมาลุกขึ้นพอดี มองไปเห็นพระธุดงค์อยู่รูปหนึ่ง ห่มจีวรสีเดียวกับอาตมานี่แหละ ยืนพิงก้อนหินอยู่ ก็แปลกใจว่าพระธุดงค์ท่านมาตั้งแต่ตอนไหน ? ซ่อมแคร่เสร็จเดี๋ยวจะถามท่านสักหน่อยว่าท่านมาจากไหน ? ชื่อเรียงเสียงไร ? ท่านกอล์ฟส่องไฟมา เห็นอาตมายังเงียบ ๆ อยู่ ก็เลยเขย่าไฟ พอแกว่งไฟจึงเห็นพระธุดงค์ท่านนั้นเต้นระบำได้ มองไปมองมา อ้าว..เงาเราเอง แต่ตอนเห็นเป็นพระธุดงค์นั้น เห็นชัด ๆ เหมือนจ้องกันกลางวันแสก ๆ เลย เห็นกระทั่งรูปร่างหน้าตาท่านเป็นอย่างไรด้วย ไม่ใช่เงา ก็เลยรู้ว่าที่แท้โดนผีหลอกซึ่ง ๆ หน้า พอซ่อมแคร่เสร็จเรียบร้อยก็นอนภาวนาต่อ ทีนี้มาดูกำลังใจตอนนั้น อันดับแรก..แคร่พังลงไป กำลังใจก็ไม่คลายตัวออกมา ไม่ห่วงไม่กังวล อันดับที่สอง..พอโดนผีหลอกก็ไม่รู้สึกตื่นเต้นอะไร ปกติอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น ตั้งแต่นั้นมา พอเกิดอะไรขึ้นก็ไม่ได้ตกใจอะไรกับใคร ไม่ว่าจะตึงตังโครมครามขนาดไหนก็ตาม กำลังใจจะทรงตัวตลอด มานึกว่าสิ่งที่ได้ทำมา เมื่อค่อย ๆ สั่งสมมาเรื่อย ๆ พอได้ระดับก็จะเกิดผลเอง แต่ถ้ายังไม่ได้ระดับก็ต้องสั่งสมกันต่อไปอีกระยะหนึ่ง ช่วงที่ได้ระดับ จะได้เร็วหรือได้ช้า อยู่ที่เราใช้ความพากเพียรพยายามมากเท่าไร ? แต่ละวันอยู่กับอารมณ์ภาวนามากกว่า หรืออยู่กับความฟุ้งซ่านมากกว่า ? ถ้าอยู่กับอารมณ์ภาวนามากกว่าก็เต็มเร็ว เหมือนกับคนขยันตักน้ำใส่ตุ่ม ย่อมเต็มเร็วกว่าคนที่นาน ๆ ทีจะตักน้ำใส่ลงไปสักถัง ฉะนั้น..เรื่องของการปฏิบัติ ฉันทะ วิริยะ ต้องไปคู่ ๆ กัน คือ อยากที่จะทำ และต้องพากเพียรตั้งหน้าตั้งตาทำด้วย โดยเฉพาะจิตตะ กำลังใจปักมั่นต่อเป้าหมาย ไม่เปลี่ยนแปลงไปไหน และมาใช้ตัวปัญญาสุดท้าย คือ วิมังสา คอยไตร่ตรองทบทวนว่า เราทำอะไร ? เพื่ออะไร ? ตอนนี้ทำไปถึงไหนแล้ว ? ยังเหลืออีกมากน้อยเท่าไร ? |
ถาม : อารมณ์ที่ไม่ตกใจ คืออยู่ในฌานสี่หรือคะ ?
ตอบ : ถ้าทรงฌานอยู่ แค่ปฐมฌานหยาบก็ไม่ตกใจแล้ว เพียงแต่ส่วนใหญ่จะไม่ได้ทรงฌาน มักจะคิดไปเรื่องไหนก็ไม่รู้ ถ้าทรงฌานอยู่ กำลังใจ สติ สมาธิ จะอยู่เฉพาะหน้า จะไม่สนใจเรื่องข้างนอก ต่อให้เป็นปฐมฌาน ตาเห็นก็สักแต่ว่าเห็นเท่านั้น หูได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยินเท่านั้น ฉะนั้น..ไม่จำเป็นต้องตะกายไปถึงฌานสี่หรอก แค่ปฐมฌานก็พออาศัยกินได้เยอะแล้ว |
ถาม : คนที่เขาภาวนาระหว่างวัน แต่เขาไม่ค่อยมีเวลานั่งสมาธิแบบนิ่ง ๆ เขาจะสามารถไต่ไปจนถึงฌานสี่ได้ไหมคะ ?
ตอบ : ดีไม่ดี เป็นฌานสี่ใช้งานเสียด้วยซ้ำไป แซงหน้าเราไปลิบโลกเลย ถาม : ไม่จำเป็นว่าคนได้ฌานสี่ใช้งาน จะต้องได้ฌานนิ่ง ๆ มาก่อน ? ตอบ : ไม่จำเป็นจ้ะ ถาม : ตอนนี้หนูไม่ถนัดนั่งนิ่ง ๆ ค่ะ ตอบ : เราก็แอโรบิกไปด้วยภาวนาไปด้วย ได้ประโยชน์ทั้งสองสถาน ถาม : หนูวิ่งค่ะ ตอบ : สมัยก่อนตอนเป็นทหารอาตมาก็วิ่ง แต่ทหารเขาวิ่งมาก วันหนึ่งประมาณ ๑๐-๑๒ กิโลเมตร อย่างน้อย ๆ ก็ประมาณ ๗ กิโลเมตร เขาฝึกคนให้เป็นควาย จะได้อึดกว่าชาวบ้านเขาหน่อย ครูฝึกคนหนึ่ง คือ สิบเอกโสภณ เป็นคนที่อ้วนมากเลย น้ำหนักน่าจะถึง ๘๐ กิโลกรัม แต่ว่าอึดมาก ถ้าบอกว่าวันนี้หมู่โสภณเป็นครูฝึก แต่ละคนสั่นหัวเลย เพราะต้องวิ่งไม่ต่ำกว่า ๑๒ กิโลเมตรแน่นอน เขาเป็นคนอ้วนที่กระตือรือร้นมาก แข็งแรงด้วย ที่ตลกก็คือ เขาวิ่งได้ทั้งขึ้นหน้าและถอยหลัง จังหวะเท้าไม่เคยผิดเลย เวลาทหารวิ่งเขาจะบอกจังหวะไปด้วย บางทีก็ต้องร้องเพลงไปด้วย เขาวิ่งขึ้นหน้าหรือถอยหลังจังหวะเท้าไม่เคยพลาด แสดงว่าสมาธิดีมาก คนไหนที่หนักแปดสิบกิโลขึ้นไปแล้วคล่องขนาดนั้น หายากมากเลยนะ เคยเห็นอยู่คนหนึ่ง แต่เขาเป็นพระเอกหนัง ชื่อหงจินเป่า |
ถาม : เมื่อทำกสิณถึงฌานสี่แล้วจะเปลี่ยนเป็นอรูปฌาน ยังไม่มั่นใจว่าตัวเองได้อรูปฌานจริงหรือเปล่า ? ผมหรือคิดไปเอง หรือกำลังหลอกตัวเอง ?
ตอบ : ทำไมโง่แท้วะ..! ถ้าทรงกสิณถึงฌานสี่ก็ใช้ผลได้แล้ว คุณก็อธิษฐานขอใช้ผลก่อนสิ ถ้าเป็นไปตามที่ต้องการเราค่อยไปเปลี่ยนเป็นอรูปฌาน ไม่ใช่อธิษฐานแทบตายแล้วไม่เกิดอะไรเลย ถ้าอย่างนั้นก็หลอกตัวเองแน่นอน ถาม : ท่าทางจะหลอกตัวเอง ตอบ : ถ้าทรงกสิณถึงฌานสี่ได้ ก็คือ กสิณที่เป็นปฏิภาคนิมิต สามารถย่อได้ ขยายได้ ให้มาได้ ให้ไปได้ ก็อธิษฐานใช้ผลได้แล้ว ถาม : ตอนนี้ย่อได้ ขยายได้ แต่อธิษฐานใช้ผลไม่ได้ครับ ตอบ : ถ้ายังใช้ผลไม่ได้ ไม่น่าจะใช่ ย่อได้ขยายได้ของเรากลายเป็นจินตนาการไปแล้ว ถาม : จะแก้ไขอย่างไร ? ตอบ : ถ้าเราเริ่มจากการจับภาพกสิณมาจริง ๆ จะเห็นพัฒนาการทีละน้อย จากแรก ๆ ที่เราจับได้ครู่เดียวภาพก็หายไป ต้องลืมตามอง แล้วหลับตานึกถึงใหม่ จนกลายเป็นติดตา ติดใจ คือหลับตาหรือลืมตาก็เห็นเหมือนกัน หลังจากนั้นพอประคับประคองไปเรื่อย ภาพก็จะค่อย ๆ เปลี่ยน เปลี่ยนจากวัตถุสีเข้มกลายเป็นสีจางลง ลักษณะจางลงก็คือ จางเหมือนกับสีเหลือง เหมือนกับเหลืองอ่อน แล้วก็เริ่มใส พอเริ่มใสมากขึ้น ๆ จนกระทั่งสว่างจ้า แปลว่าเริ่มเข้าสู่เขตของฌานสี่แล้ว ถ้าอธิษฐานย่อได้ ขยายได้ ให้มาได้ ให้หายได้ ก็กลายเป็นฌานสี่เต็มที่ ทีนี้เราก็อธิษฐานใช้ผล แต่อย่างเราไม่ได้เริ่มจากการนับหนึ่งสองสามมา เรากระโดดไปตอนสุดท้าย ไปคว้าเอาส่วนใดส่วนหนึ่งมา ส่วนใหญ่เป็นแค่เราคิดว่าใช่ โดยเฉพาะคนที่ฝึกมโนมยิทธิมา กำลังใจที่ใช้ในการควบคุมความคิดตัวเอง สามารถทำได้คล่องตัวกว่าคนอื่นเขา และชัดเจนกว่า จึงทำให้คิดว่าตัวเองได้แล้วก็เป็นได้ เพราะฉะนั้น..สำคัญที่สุด คือ อธิษฐานใช้ผลดู ถ้าใช้ได้แน่นอน ค่อยเปลี่ยนเป็นอรูปฌาน แต่ถ้าจะทำอรูปฌานให้เว้นอากาสกสิณ เพราะอากาสกสิณทำเป็นอรูปฌานไม่ได้ และเว้นอาโลกกสิณไปด้วย ลักษณะของความสว่างกับอากาศก็ใกล้เคียงกัน ทำให้บางทีเราจะขาดความมั่นใจ แต่ถ้ามีความคล่องตัวจริง ๆ เว้นแค่อากาสกสิณอย่างเดียวก็พอ กองอื่น ๆ สามารถทำเป็นอรูปฌานได้ทั้งหมด |
พระอาจารย์จะสร้างพระนาคปรกขนาดหน้าตัก ๙ นิ้ว ท่านกล่าวถึงสาเหตุของการสร้างว่า "สาเหตุที่อาตมาจะทำพระนาคปรกนั้นมีหลายประการด้วยกัน
ประการแรก ในชีวิตอาตมารักงูมาตั้งแต่เด็ก ถึงขนาดแอบขุดหลุมแล้วก็เลี้ยงงู ถ้าไม่ใช่คำสั่งผู้ใหญ่ ไม่เคยฆ่างูเลย เพราะรู้สึกว่าเขาเป็นเพื่อน จนอาตมาสามารถที่จะจับงูเล่นได้ทุกตัว ประการต่อมา ก็คือ หลวงพ่อสมเด็จวัดสระเกศ ท่านประทานพระนาคปรกให้หนึ่งองค์ ท่านบอกว่า "คุณอยู่ป่าอยู่ดง มีพระนาคปรกอย่างนี้ไว้บูชาจะดีกว่า เหมาะสมกับคุณมากกว่า" ประการสุดท้าย ก็คือ ตามที่พระท่านบอก ลักษณะของพระนาคปรกแฝงความหมายของการพิทักษ์พระพุทธศาสนา เพราะเราทำเพื่อฉลองการที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ครบ ๒,๖๐๐ ปี" |
ถาม : พยายามตัดกาม ด้วยอสุภะและกายคตาสติก็ยังตัดไม่ได้สักที ?
ตอบ : สมัยก่อนอาตมาก็เป็นอย่างนั้น ตัดด้วยอสุภะกับกายคตาสติไม่ได้ ไปตัดได้ด้วยตัวเมตตา ลองไปค้นอ่านดูในประวัติของพระรัฐบาลเถระ จะมีวิธีบอกไว้ พระเจ้าแผ่นดินท่านสงสัยว่าพระหนุ่ม ๆ บวชอยู่ได้อย่างไร เพราะถ้าเป็นท่านอยู่ในผ้าเหลืองไม่ได้แน่นอน พระรัฐบาลเถระท่านก็บอกว่าทำอย่างไร พออาตมาอ่านก็เข้าใจว่าเป็นตัวเมตตาบารมี เห็นเขาเหมือนคนในครอบครัวเดียวกันกับเรา พอไปถึงตรงจุดนั้นจึงได้เข้าใจที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเคยบอกเอาไว้ว่า "กรรมฐานทุกกองถ้าเราตั้งใจทำจริง ก็เป็นพระอรหันต์ได้ทั้งหมด" ก็แปลว่าทุกกองจะต้องมีแง่มุมใดแง่มุมหนึ่งที่สามารถตัดราคะ โลภะ โทสะ โมหะได้ เพียงแต่เราจะคลำแง่นั้นเจอหรือไม่ ? ถาม : ผมทำหลายอย่างครับ ? ตอบ : เป็นประเภทโลภมาก ขุดบ่อหลายแห่งเลยไม่เจอน้ำจริง ๆ สักที วันก่อนมีคนถามว่า เขาจับกรรมฐานหลายกองพร้อม ๆ กัน จะสามารถทำได้หรือไม่ ? อาตมาบอกเขาไปว่า ถ้าหากไม่ใช่คนที่คล่องตัวในกองกรรมฐานเหล่านั้นมาก่อนแล้ว ไม่สามารถที่จะทำได้ ถ้าคนที่มีความคล่องตัว ทำกองกรรมฐานนั้นจนคล่องแล้ว จึงสามารถจับหลาย ๆ กองพร้อมกันได้ ถ้าไม่เคยทำมาก่อนแล้วจับหลาย ๆ กอง ยังไม่เคยมีใครประสบผลสำเร็จ แต่คุณสามารถลองดูได้ เพราะอาจจะเป็นคนแรก..! กองเดียวยังยากเลย นี่เล่นจับหลายกองพร้อม ๆ กัน ถาม : ผมอยู่อีสานทางขอนแก่น ยังขาดครูบาอาจารย์ที่เหมาะสมกับตัวเอง มีพระอาจารย์ใดที่พอจะแนะนำบ้างไหมครับ ? ตอบ : จริง ๆ สายพระป่ามีเยอะแยะ สำคัญว่าเราทำจริงหรือเปล่าเท่านั้นเอง ส่วนใหญ่สายพระป่าท่านมาแบบวิสุทธิมรรค ก็คือ นิมิตอะไรเกิดขึ้น ท่านจะให้ตัดทิ้งหมด เมื่อเป็นดังนั้น อาตมาเองที่มาสายพระป่าแท้ ๆ ก็เลยต้องมาบวชทางด้านนี้ เพราะรู้สึกว่าไม่ตรงกับกำลังใจตัวเอง ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านั้นคิดว่าถ้าจะบวชก็จะบวชกับสายพระป่า เพราะเคารพรักครูบาอาจารย์หลายท่านที่วัตรปฏิบัติของท่านบริสุทธิ์จริง ๆ ถ้าอยู่ขอนแก่นก็ไปสกลนครสิ..พระอาจารย์หนุนท่านอยู่ทางนั้น (พระครูวิชัยสรคุณ วัดป่าพุทธโมกข์ จังหวัดสกลนคร) ท่านก็มอบกายถวายชีวิตให้หลวงพ่อวัดท่าซุงเหมือนกัน ท่านไม่ใช่คนอีสานนะ แต่อยู่อีสานมาค่อนชีวิต จริง ๆ แล้วท่านเป็นคนเพชรบุรี |
ถาม : ในการฝึกมโนมยิทธิของผม ยังติดอยู่ตรงที่ว่าจินตนาการและคิดไปเองอยู่
ตอบ : ซ้อมกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในระยะใกล้ ๆ ถ้าผลออกมาถูกต้องก็แปลว่าใช่ สมัยก่อนหลวงพ่อท่านสั่งให้อาตมาไปนั่งอยู่ข้างถนน เสียงรถมาก็กำหนดใจว่ารถคันนี้สีอะไร แล้วก็ลืมตาดู เท่ากับทดสอบได้เดี๋ยวนั้นเลยว่าใช่หรือไม่ใช่ คุณก็ไปซ้อมกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในลักษณะอย่างนั้น อย่างเช่น ฟุตบอลกำลังจะเตะกัน คู่นี้ใครแพ้ใครชนะ ถาม : หรืองวดหน้าหวยจะออกอะไร ? ตอบ : ต้องใจเย็นหน่อย ถ้ารีบเกินไปแล้วจะพังเร็ว พอความโลภเกิดขึ้นแล้ว สมาธิจะเสียไปด้วย รัก โลภ โกรธ หลงเกิดขึ้นเมื่อไร สมาธิจะเคลื่อน สิ่งที่รู้จะไม่ใช่แล้ว ครั้งก่อนทั้งพระและโยมนั่งบ่นกันอุบ เวลาฉันเช้าหรือฉันเพล พอไมค์อยู่กับอาตมาก็มีเรื่องคุยไปเรื่อย คุยไปคุยมาเผลอบอกเขาไปตรง ๆ แล้วไม่มีใครซื้อเลย เพราะไม่คิดว่าจะใช่ พอหวยออกเขาถึงนึกได้ แต่ก็ไม่ทันแล้ว ของพวกนี้จัดเป็นของแถมจากการปฏิบัติ เราต้องการหรือไม่ต้องการ ถ้ากำลังใจสงบได้ที่ บางทีการรู้เห็นจะปรากฏขึ้นเอง แต่คราวนี้คนเราส่วนใหญ่มักชอบของแถม จนลืมไปว่าเราต้องการซื้อสินค้าหลักตัวไหน บางคนซื้อเพราะจะเอาแค่ของแถมจริง ๆ คุณตัน ภาสกรนที เอาโออิชิไปเปิดตัวที่เขมร ขายโออิชิแถมตุ๊กตา ปรากฏว่ามีแต่คนมาจับตุ๊กตาแต่ไม่ซื้อ คุณตันก็ไปยืนดูอยู่ พอรุ่งขึ้นเขาเปลี่ยนใหม่เลย ขายตุ๊กตาแถมชาโออิชิ คนก็ซื้อเพราะอยากได้ตุ๊กตา พอคนได้ชิมจึงรู้ว่าชาโออิชิรสชาติเป็นอย่างนี้ กลายเป็นต้องเปลี่ยนวิธีการขายแบบกะทันหัน สินค้าหลักกลายเป็นสินค้ารองไปเลย เรามักจะลืมเป้าหมายตัวเองว่า เราปฏิบัติเพื่ออะไร? แทนที่จะปฏิบัติเพื่อความสุขในปัจจุบัน จิตใจสงบเยือกเย็นอยู่กับปัจจุบัน ไม่ฟุ้งซ่านไปในอดีต ไม่ฟุ้งซ่านไปในอนาคต เพื่อประโยชน์ในสัมปรายภพ ตายไปแล้วก็ไปเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นพรหมได้ หรือเพื่อประโยชน์สูงสุด สามารถเข้าสู่พระนิพพานได้ ดันลืม..มัวแต่ไปสนุกอยู่ กลายเป็นปฏิบัติแล้วลืมเป้าหมาย เพราะไปชอบของแถมมากกว่า |
ถาม : โลภกับงกคล้าย ๆ กันหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ก็อย่างเดียวกันนั่นแหละ ถาม : เห็นบางคนเขาทำบุญแล้วเขาไม่เสียดายเงิน แต่อย่างอื่นเขาไม่อยากใช้เงิน ตอบ : คนเขารอบคอบ ไม่ใช่งกนะ เขารอบคอบ เขาเผื่อลูกเผื่อเมียด้วย ถาม : พี่ชายหนูเขาทำบุญแล้วลืมไวมาก สมมติทำบุญเสร็จ เขาก็ลืมไปเลย อันนี้ดีไหมคะ ? ตอบ : ดี ถาม : ดีกว่าไประลึกบ่อย ๆ ? ตอบ : ความจริงการระลึกถึงบ่อย ๆ จะได้อนุสติ แต่ถ้าทำบุญแล้วตัดทิ้งเลย จัดเป็นอุเบกขาในทานบารมีแล้ว กำลังใจสูงกว่าเยอะ ทำยากด้วย เขาทำน้อยกว่าเราตั้งเยอะแยะ เราเองตะเกียกตะกายทำทั้ง ทาน ศีล ภาวนา เขาเองทำบ้างไม่ทำบ้าง เดี๋ยวลูกกวนตัว เดี๋ยวเมียกวนใจใช่ไหม ? แต่ที่ไหนได้ กำลังใจผู้ชายมักจะเด็ดขาดกว่า ผู้หญิงจะคิดเล็กคิดน้อยมากไป ความละเอียดลออมีมากเกินไป ของบางอย่างต้องมองไกล ๆ แล้วจะสวย ของบางอย่างต้องพิจารณาใกล้ ๆ ถึงจะเห็นความสวย ผู้ชายเหมือนกับมองของไกล มองของไกลแล้วสวย แค่เห็นก็พอ แต่ผู้หญิงมักจะพิจารณาใกล้ ๆ แล้วในที่สุดก็เจอจุดที่ตำหนิจนได้ แล้วเราก็จะไปนั่งคลุ้มคลั่งว่า นั่นนี่ก็สวยหมด ขาดตรงนี้อยู่นิดหนึ่ง แล้วเราก็มานั่งตำหนิตัวเอง ถาม : จะทำลายนิสัยนี้ได้อย่างไร ? ตอบ : ไม่ต้องทำลายหรอก วาสนาบางอย่างตัดไม่ขาด เป็นพระอรหันต์แล้วยังตัดไม่ขาดเลย ถ้าจะขาดจริง ๆ ต้องเป็นพระพุทธเจ้าเท่านั้น พระพุทธเจ้าตัดได้แน่นอน |
ถาม : ทางด้านอีสานที่ผมอยู่ มีน้อง ๆ สนใจฝึกมโนมยิทธิ กระผมควรที่จะสอนหรือแนะนำเขาต่อหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้ายังไม่คล่องตัวในมโนมยิทธิแล้วไปสอน เดี๋ยวจะพากันหลงไปทั้งหมด เพราะส่วนใหญ่มโนมยิทธิเท่าที่พบมา พอทำได้แล้วก็ไปเล่นกับของแถม โดยเฉพาะเที่ยวไปดูว่าคนนั้นเป็นอย่างนั้นกับเรา คนนี้เป็นอย่างนี้กับเรา แทนที่จะรู้จักพอ รู้จักเข็ด ว่าเราเกิดมานับชาติไม่ถ้วน ทุกข์มาไม่รู้จบแล้ว กลายเป็นไปเริ่มความสัมพันธ์ใหม่ แล้วยังมาปลื้มกันอีกต่างหาก ทำให้ติดอยู่ตรงนั้นแหละ ไม่ต้องไปไหนหรอก ถาม : มีน้อง ๆ ที่เขาสนใจอยู่ครับผม แต่ถ้าจะมีฝึกที่อื่นก็ไม่สะดวก ถ้าพอแนะนำเบื้องต้นเขาได้ก็จะดี ตอบ : ลองทำดู ถ้าหลงทางเมื่อไรพาเขากลับให้ได้ก็แล้วกัน..! ถาม : กระผมสมควรจะบวชดีหรือไม่ครับ? ตอบ : ถ้ายังถามอยู่แสดงว่าไม่สมควร แสดงว่าไม่พร้อม ถ้าคนพร้อมเขาไปเลย ไม่เสียเวลามาถามหรอก..! ถาม : ผมพยายามตัดกาม แต่ถ้าเกิดมีเนื้อคู่ จะมีมาไหมครับ ? ตอบ : มีมาเรื่อย ๆ ถาม : ยังไม่อยากมีครับ ตอบ : ทรงสมาธิให้แน่นเข้าไว้ ถึงเวลาจะได้ไม่ไปฟุ้งซ่าน..! |
ถาม : อยากให้แม่มาเข้าฝัน คืนแรกนอนรอให้แม่มาเข้าฝัน แต่แม่ก็ไม่เห็นมา
ตอบ : ตั้งใจเกินไปไม่ได้หรอก เพราะกำลังใจเกิน เราต้องนึกถึงท่านว่ามีอะไรให้มาบอก แล้วก็ลืมตรงนั้นเสีย นอนหลับไปเลย ถ้าใจจดจ่ออยู่อย่างนั้น เขามาไม่ได้หรอก เหมือนกับเราปิดประตูใส่หน้า ช่องที่พอดีนั้นมีอยู่นิดเดียว ถ้ามากเกินก็ไม่เจอ น้อยเกินก็ไม่เจอ เรื่องแบบนี้ต้องเป็นนักปฏิบัติจึงจะเข้าใจว่าเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้น..อย่าตั้งใจมาก แค่นึกถึงท่านแล้วก็หลับไปเฉย ๆ ก็พอ |
ถาม : ท้าวสักกะ คือ ?
ตอบ : ท้าวสักกเทวราช คือพระอินทร์ ถาม : เป็นหนึ่งในสี่ของท้าวมหาราชหรือคะ ? ตอบ : ไม่ใช่จ้ะ ท้าวสักกเทวราช คือ พระอินทร์ เป็นเจ้านายของท้าวมหาราชอีกทีจ้ะ |
ถาม : ผมไปสอบมาแล้วสอบไม่ติด ตอนที่ผมเข้าห้องสอบ นาฬิกาตายทันทีเลย แต่ผมไม่รู้
ตอบ : นี่คุณยังดีที่โดนแค่นั้น พี่แจ๊ดเขาเรียนอยู่ที่รามคำแหง ส่วนใหญ่พี่เขาจะสอบได้เกรดเอ เพื่อนก็เลยให้ช่วยสรุปข้อมูลให้ ตอนสอบเสร็จผลปรากฏว่าพี่แจ๊ดสอบตกอยู่คนเดียว ส่วนเพื่อนสอบได้ทุกคน เพราะว่าพี่แจ๊ดเขาจำเวลาสอบผิด เขาไปนั่งอ่านหนังสืออยู่หน้าห้อง อ่านจนหมดเวลาสอบ พอผลออกมาสอบตก พี่เขาน้อยใจ ลาออกไม่เรียนอีกเลย คิดดู..สรุปให้เพื่อน ๆ สอบได้ทุกคน แต่ตัวเองสอบตก นั่นเขาเจ็บกว่าเราเยอะ ส่วนเราแค่นาฬิกาตายเป็นเรื่องเล็ก ถาม : แต่ผลออกมาก็ตกเหมือนกัน ผมมาพิจารณาตัวเอง เป็นเพราะผมพยายามไม่พอหรือวาระยังไม่ใช่ ? ตอบ : น่าจะยังไม่ใช่วาระ เพราะยังมีรายการเตะตัดขาได้ ขนาดเล่นเอานาฬิกาตายตอนนั้นเลย ถาม : พอผมออกจากห้องสอบ สักพักนาฬิกาก็เดินต่อ ตอบ : คุณเคยได้ยินที่อาตมาบอกหรือเปล่า ? ว่ามารใช้คนทุกคน ของทุกชิ้น และสัตว์ทุกตัวในการทดสอบกำลังใจเรา นั่นเขาแค่ใช้นาฬิกาเรือนเดียว เขาทำได้จริง ๆ นะ สุดยอดมากเลย ถาม : ผมไม่รู้จะแก้ปัญหาที่ตัวเองอย่างไร แก้ที่กรรมหรืออย่างไร ? ตอบ : ไม่ต้องแก้ มีเวลาก็ไปสอบใหม่ เพราะเรื่องของกรรมต่าง ๆ คือสิ่งที่เราทำมาแล้วในอดีต ไม่สามารถที่จะแก้ไขได้ มีอย่างเดียวคือทำปัจจุบันนี้ให้ดีเข้าไว้ เราทำปัจจุบันให้ดี สามารถทำได้ต่อเนื่องยาวนานพอ กรรมเก่าจะตามไม่ทัน ถาม : หมายถึงว่าทำบุญหรือครับ ? ตอบ : ใช่..บุญใหญ่ที่สุด คือ บุญจากการภาวนา ถาม : พอมีเรื่องนี้เข้ามา จากที่เคยภาวนาได้ก็กลายเป็นหลุด ตอบ : กลายเป็นฟุ้งซ่านไป กลับไปทุ่มเทให้กับการภาวนาใหม่ ทำเหมือนกับว่า นี่เป็นเชือกช่วยชีวิตเส้นเดียวที่เรามีอยู่ เราจะปีนพ้นเหวรอดตายได้ก็ด้วยการภาวนา แล้วตั้งหน้าตั้งตาทำไป |
ถาม : บ้านที่เช่าอยู่แปลกอย่างหนึ่ง คือ ผมนอนจะฝันร้ายทุกคืน ทั้ง ๆ ที่ผมก็ภาวนา
ตอบ : ภาวนาแล้วนึกถึงภาพพระคลุมตัวเราไว้ก่อน แล้วค่อยนอน ถาม : แต่พอจังหวะที่เราตื่น สักประมาณตีสี่ เราง่วงแล้วเราก็นอนต่อ ตอบ : แล้วเราก็ลืมภาวนา ? อย่าลืมสิโว้ย..! ถาม : การแก้ปัญหา เราควรเปลี่ยนที่อยู่หรือควรจะเปลี่ยนตัวเราเอง ? ตอบ : ถ้าหากกำลังใจสู้ไม่ไหว จะเปลี่ยนที่อยู่ก็ได้ ถาม : อย่างผมไปนอนวัดท่าซุงก็ไม่มีปัญหาเรื่องฝันร้าย ตอบ : เวลาตอนคุณอยู่ที่บ้าน คุณภาวนาได้เท่าตอนอยู่ที่วัดไหม ? ก็กำลังใจเราไม่เท่ากัน ถาม : เป็นเพราะว่าที่วัด เทวดาช่วยหรือเปล่าครับ ? ตอบ : เวลาเราอยู่ที่วัดเราทำได้ดีกว่า ถ้าทำได้ดีเท่าขนาดนั้นก็จบ ถาม : หรือว่าต้องย้ายไปอยู่วัดแล้วทำ ? ตอบ : ตัดสินใจเอาเองว่ะ..! |
ถาม : ระหว่างวันก็ภาวนาไป แต่อย่างมากจะได้แค่ฌานต่ำ ๆ
ตอบ : ต่ำช่างสิ..! ขอให้ได้ไว้ก่อน ถาม : อยากได้ฌานลึก ๆ บ้าง ตอบ : อยากได้ลึก ๆ ก็ขุดบ่อลงไปสิครับ..! อะไรที่ดิ้นรนอยากได้ เราจะไม่ได้ แต่ถ้าเราหมดอยากเมื่อไร สิ่งนั้นถึงจะมา ที่บอกไปไม่เคยจำเลยใช่ไหม ? ไปทำทีไรเราก็อยากทุกที และถ้าไม่อยาก เราก็ไม่ทำใช่ไหม ? ก็เจริญสิจ๊ะ..! ถาม : อยากมาได้ระยะหนึ่ง หนูก็เห็นว่าน่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงได้แล้วนะ ตอบ : นั่นแหละ..ก็เพราะเราอยากจะให้เปลี่ยนแปลง ตัวอยากนั่นแหละกิเลสใหญ่เลย ถาม : เวลาที่มีเวทนาเยอะ ๆ สมาธิก็หาย แล้วจิตก็รู้สึกว่า เจ็บขนาดนี้ ตัวเราต้องเป็นของเราแน่นอน ถึงเจ็บเห็น ๆ อย่างนี้ เราจะแก้อย่างไรดี ? ตอบ : ตอนที่เจ็บเราโดนอะไร ? ถาม : เป็นอาการป่วย อย่างเช่น ปวดท้อง ปวดหัว ตอบ : ลองไปนั่งทนจนเจ็บอย่างนั้น แล้วทนต่อไป จะได้เห็นว่าไม่ใช่เรา คือ ทำอย่างไรที่ปัญญาเราจะเพียงพอ เห็นว่านั่นเป็นอาการของร่างกาย โดยที่ใจของเราไม่ไปข้องเกี่ยวด้วย แสดงว่าตัวสติ สมาธิ และปัญญาของเรายังไม่พอ ก็เลยไม่สามารถที่จะแยกแยะออกได้ พอเจ็บ ก็เห็นว่าร่างกายเป็นของเราแน่นอน ถ้าอย่างนั้นก็ต้องปล่อยให้เจ็บต่อไป ถาม : แล้วเวลาภาวนานิ่ง ๆ อย่างนอนภาวนา พอถึงฌานลึกแล้วก็หลุดออกไป คือหนูไม่อยากออก ก็ถูกบีบให้ออก ตอนที่หนูอยากออก ก็ไม่เห็นจะออก ตอบ : บอกแล้วว่า เขาจะมาตอนที่เราไม่ต้องการ ถาม : ไหนบอกว่าสำเร็จได้ด้วยใจ ด้วยความตั้งใจของเรา ? ตอบ : ใช่..สำเร็จใจด้วยใจ แต่กำลังใจเราจะต้องพอด้วย ในเมื่อยังไม่พอก็ต้องปล่อยให้เขาเล่นอย่างนั้นไปก่อน มีสตางค์น้อย จะไปซื้อรถเบนซ์ ก็ไม่ไหว ซื้อนิสสันมาร์ชไปก่อนก็แล้วกัน |
ถาม : ที่บอกว่าพระโสดาบันท่านทรงปฐมฌานเป็นปกติ แปลว่าทุกครั้งที่ท่านนั่ง..?
ตอบ : ไม่ต้องนั่ง เป็นอารมณ์ใจปกติของท่านเลยที่ทรงปฐมฌานโดยอัตโนมัติ ถ้าหากฌานเสื่อม กำลังของความดีก็ไม่ได้ลดลง กำลังใจไม่ได้ลดลง ต่างกันกับพวกฌานโลกีย์ทั่วไปตรงนี้ ถาม : กำลังใจทรงเป็นอัตโนมัติ ส่วนกำลังฌานนี่เป็นอีกเรื่องหนึ่งใช่ไหมคะ ? ตอบ : กำลังของฌานสมาบัติต้องขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายเป็นอย่างมาก ถ้าหากร่างกายของท่านดี ฌานก็จะทรงตัวโดยอัตโนมัติ แต่ถ้าร่างกายของท่านไม่ดี ฌานก็สามารถที่จะเสื่อมได้ แต่กำลังใจท่านไม่ได้ลดลงไปด้วย ไม่เหมือนกับพวกเรา พอฌานเสื่อม สมาธิก็ตก กำลังใจก็ตก ตกหมดทุกอย่างเลย แต่สำหรับท่านไม่ใช่อย่างนั้น ท่านเหมือนกับมีอะไรรองรับ ถึงจะตกก็ไม่พ้นไปจากนี้ |
ถาม : หัวหน้าที่ทำงานเขาใช้ให้ผมพาคนไปฉีดยากำจัดแมลง แต่จริง ๆ แล้ว ผมไม่ได้อยากไป..?
ตอบ : พูดง่าย ๆ ว่า เขาก็มีส่วนในการฆ่าแมลงนั้นด้วย เพราะเขาเป็นคนสั่งให้เราทำ ถ้าเป็นหน้าที่การงานจริง ๆ เราก็รักษาศีลเป็นเวลา อย่างเช่นว่า ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนถึงที่ทำงาน เรารักษาศีลให้เต็มที่ เลิกทำงานกลับบ้านจนกว่าจะนอน เรารักษาศีลให้เต็มที่ ถึงแม้เราไม่ได้ทำตลอด ๒๔ ชั่วโมง แต่อย่างน้อยช่วงของการทำความดีของเราก็มีอยู่ ไม่ได้ขาดทุนตลอด ๒๔ ชั่วโมง |
ถาม : พระไม้ที่แกะสลัก ถ้าปิดทองจะดีไหมคะ ?
ตอบ : จะปิดทองก็ได้ แต่จุดประสงค์ที่แกะสลักพระมีอยู่อย่างหนึ่ง คือ เขาต้องการดูเนื้อไม้ ต้องถามเจ้าของเขาว่า เขาตั้งความหวังไว้แบบไหน ? ต้องการพระปิดทอง ? ต้องการอานิสงส์ปิดทอง ? หรือว่าต้องการพระไม้ ต้องการดูลายไม้ ? แล้วทำตามความประสงค์ของเขา |
ถาม : ทำไมคนเราเวลานอน หรือว่าหมดแรงแล้ว จะปล่อยอะไรได้ง่าย ไม่เอาอะไรสักอย่าง ?
ตอบ : หมดสภาพใกล้ตายแล้วยังจะเอาอีกก็เกินไป..! แต่ถ้าเราทำมาไม่มากพอ อย่าฝันไปเลยว่าจะง่าย ลองนึกย้อนหลังไปดูซิว่า ก่อนหน้านั้นเราต้องลำบากยากแค้นแค่ไหน กว่าที่จะง่ายอย่างนี้ ตอนนั้นไม่ใช่แค่เลือดตากระเด็นเฉย ๆ เบ้าตาก็จะกระเด็นด้วย แต่เมื่อกำลังพอแล้ว อะไรก็เหมือนง่ายไปหมด |
ถาม : ที่ว่าพระอนาคามีทรงอธิจิต อธิจิตที่ว่าคือ..?
ตอบ : ทรงฌานสี่ได้เป็นปกติ ถาม : เวลาตัดสังโยชน์ พระอนาคามีท่านใช้กำลังฌานในการตัดหรือคะ ? ตอบ : พระอริยเจ้าทุกระดับต้องอาศัยกำลังฌานเป็นส่วนหนึ่งของการตัดกิเลส แต่สำคัญที่สุดคือปัญญา เห็นว่าร่างกายนี้มีสภาพที่ไม่ดีอย่างแท้จริง ถาม : ต่างกับอธิปัญญาของพระอรหันต์อย่างไร ? ตอบ : ปัญญาของพระอรหันต์ท่านจะเก็บรายละเอียดได้มากขึ้นไปอีก ถ้าจะนับก็คือ ปัญญาของพระอนาคามียังหยาบกว่าของพระอรหันต์อยู่ส่วนหนึ่ง พระอรหันต์ท่านจะเก็บรายละเอียดได้มากกว่า โดยเฉพาะในส่วนของมานะ และท้ายสุดก็คืออวิชชา |
ถาม : เวลาทำบุญเราควรจะทำแล้วเกิดปีติ หรือควรจะทำบุญแล้วทรงฌานในการทำบุญ ?
ตอบ : ถ้าสามารถทำบุญแล้วทรงฌาน โดยเฉพาะการวางอุเบกขาได้ กำลังจะสูงกว่าเยอะ ถาม : หมายถึงกำลังที่เอาไปตัดในรัก โลภ โกรธ หลงได้หรือคะ ? ตอบ : ใช่ ถาม : ทำไมบางท่านบอกว่า ควรจะทำบุญให้เกิดปีติ ก็จะมีผล ? ตอบ : ก็เขาจะเอาบุญ อยากเอาบุญก็ได้แค่บุญ แต่ถ้าต้องการหลุดพ้น จะต้องก้าวพ้นทั้งบุญทั้งบาป |
ถาม : ถ้าเกิดทรงปฐมฌานละเอียด สามารถกดกิเลสเอาไว้ได้ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ได้แน่นอน แต่อย่าเผลอให้หลุดนะ ถ้าหลุดแล้วกิเลสตีกลับมีหวังโดนฟัดตาย..! ถาม : แต่ถ้าจะตัดกิเลส อย่างไรก็ต้องฌานสี่ แล้วที่บอกว่าทับเอาไว้นาน ๆ เดี๋ยวกิเลสก็จะตายได้เหมือนกัน อย่างนี้ท้ายสุดก็ต้องฌานสี่เหมือนกันใช่ไหมคะ ? ตอบ : จริง ๆ ถ้าจะเอาปฐมฌาน ก็ฆ่ากิเลสตายได้แค่ระดับของปฐมฌาน คือไม่เกินสังโยชน์สาม |
ถาม : เวลาไปทำบุญที่วัด ก็อยากแต่งตัวสวย ๆ งาม ๆ ไปทำบุญ แต่เรามองว่าเป็นโทษแก่คนดู ทำให้คนดูเห็นแล้วติดในรูปเรา แล้วเราควรที่จะแต่งตัวขนาดไหน ?
ตอบ : เอาแค่พอสมควร คือพอที่คนอื่นจะทนดูได้..! |
ถาม : มีท่านหนึ่งบอกว่า การจุดธูปไหว้พระพุทธรูปเป็นการก่อให้เกิดมะเร็ง บางคนก็บอกว่า ควรงดจุดธูปเพื่อลดความเสี่ยง ในความคิดของหนูรู้แค่ว่าเป็นการบูชาด้วยของหอม หนูไม่รู้ว่าเราเลือกจะใช้ธูปหรือไม่ ?
ตอบ : คำตอบเดิม..มารใช้คนทุกคน ของทุกชิ้นและสัตว์ทุกตัวในการขวางทางทำความดีของเรา ไม่ต้องเสียเวลาไปคิดมาก ถาม : ความเป็นมาของการใช้ธูป ? ตอบ : เป็นภูมิปัญญาอย่างหนึ่งของบรรพบุรุษเรา ก่อนหน้านี้ส่วนใหญ่จะใช้พวกผงไม้หอม อย่างเช่น กำยาน โปรยลงในกองไฟ พอมีความคิดมีความก้าวหน้าทางวิชาการเพิ่มขึ้น ก็ทำเป็นธูปขึ้นมา แทนที่จะไปโปรยเป็นผง ก็ปั้นเป็นแท่งขึ้นมา อย่างน้อย ๆ ก็พกไปไหนสะดวก และปัจจุบันก็มีใบ้หวยให้ด้วย เคยเห็นไหม ? เวลาซื้อธูปห่อใหญ่ เขาจะมีธูปพิเศษอยู่ดอกหนึ่ง สั้น ๆ ประมาณแค่นิ้ว เป็นแท่งสี่เหลี่ยม พอจุดแล้วปักไว้จะมีตัวเลขขึ้น เดี๋ยวนี้การตลาดเขาสุดยอด สามารถเอาไปเล่นหวยได้ด้วย..! ถาม : แล้วถ้าเราเลือกที่จะจุดเทียนหอมเพื่อบูชาพระเล่าคะ ? ตอบ : ได้ทั้งสองอย่าง บอกแล้วว่าวิชาการดีขึ้นเรื่อย ๆ เราก็พลิกแพลงการบูชาพระของเราตามไปด้วย ถาม : แบบนี้ไม่ต้องใช้ธูปก็ได้ใช่ไหมคะ ? ตอบ : ถ้าเอาตามที่คนเขายึดถือกัน การจุดธูป ๓ ดอกแทนพระรัตนตรัย คือ นึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ การจุดเทียน ๒ เล่ม ก็นึกถึงโลกิยธรรม โลกุตรธรรม เพราะว่าเทียนเป็นแสงสว่าง แทนเครื่องหมายของธรรมะ ถ้าเรานึกตามนี้แล้วเราทำตามนี้ อานิสงส์ก็ได้มากกว่า เพราะทำให้อนุสติของเราเพิ่มขึ้น แต่ถ้าเราไม่ได้นึกตามนี้ ตั้งใจถวายเป็นพุทธบูชาอย่างเดียว เราจะตัดธูปออกก็ไม่มีปัญหาอะไร ขึ้นอยู่กับการกระทำของเราเอง |
ถาม : ทำไมหนูไม่ได้เกิดเป็นผู้ชาย ?
ตอบ : หยิบอะไหล่มาผิด ถ้าหยิบอะไหล่ถูกชุด ก็เป็นผู้ชายไปแล้ว ต่อไปอย่ารีบร้อน..นี่พูดเล่นนะจ๊ะ เกิดเป็นผู้ชายไม่ใช่เรื่องดีนะ โดยเฉพาะในส่วนของการปฏิบัติธรรม เปรียบเทียบง่าย ๆ ว่า ถ้าใครได้มโนมยิทธิแล้วขึ้นสวรรค์ไปสักชั้นหนึ่ง จะเห็นนางฟ้าท่วมสวรรค์เลย ส่วนเทวดามีไม่เท่าไร เพราะตามหลักความเป็นจริงแล้ว ผู้ชายคือผู้ที่สร้างบารมีมามากกว่า ความเข้มแข็งของกำลังใจมีมากกว่า ก็เลยทำให้ค่อนข้างที่จะเชื่ออะไรยาก ในเมื่อเชื่อยาก กว่าจะยอมปฏิบัติธรรมก็ยาก คือ จะเป็นไปตามกำลังใจตัวเอง คนประเภทแข็งแรงมากก็ต้องแบกงานหนักหน่อย กลายเป็นว่าผู้หญิงมีโอกาสบรรลุธรรมมากกว่า ความจริงเราเลือกอะไหล่ถูกชุดแล้ว ถ้าเป็นผู้ชายอาจจะลำบาก กว่าจะบรรลุก็อีกหลายชาติ ถาม : โดนบังคับให้เลือก ตอบ : เขาบอกว่าพวกโดนบังคับ ชาติก่อนเป็นคนเจ้าชู้มาก ต้องมาเกิดเป็นผู้หญิงเสียให้เข็ด จะมีผู้หญิงประเภทเดียวที่บารมีสูงขนาดไหนก็ต้องเกิดเป็นผู้หญิง ก็คือ ท่านที่อธิษฐานมาเป็นพุทธมารดาหรือเป็นเนื้อคู่ของพระโพธิสัตว์ ดูอย่างพระนางสิริมหามายา พอขึ้นไปอยู่ข้างบนก็เป็นเทพบุตรอยู่ชั้นดุสิต พระพุทธเจ้าขึ้นไปโปรด ถามพระอินทร์ว่าทำไมไม่เห็นพุทธมารดา ? พระอินทร์บอกว่า อยู่ชั้นดุสิต จึงให้คนไปเชิญมา บาลีเขาบอกว่า มาตะรัง ปะมุขขัง กัตตะวา ตัสสา ปัญญายะ เตชะสา ผู้เป็นพุทธมารดาอยู่ในฐานะประมุขของเทวดา ในการฟังธรรมของพระพุทธเจ้าในวาระที่เสด็จขึ้นไปโปรด แต่ท่านได้แค่พระโสดาบัน ทั้ง ๆ ที่พระพุทธเจ้าเสด็จขึ้นไปโปรดโดยเฉพาะ จริง ๆ แล้วน่าจะเป็นพระอรหันต์ แต่ท่านเป็นไม่ได้ เพราะท่านอธิษฐานจะลงมาเป็นพุทธมารดาของพระศรีอาริยเมตไตรยอีกหนึ่งรอบ ถ้าได้เกินพระโสดาบันเดี๋ยวจะไม่ได้เกิด |
ถาม : เรียกว่าล็อกตัวเอง ?
ตอบ : ใช่..คำอธิษฐานล็อกตัวเอง ต้องปลดล็อกให้ได้ก่อน คนเราจะเกิดเป็นพุทธมารดาสัก ๑ ครั้งก็แสนยากแล้ว นี่ท่านเป็นสองครั้งเลย สุดยอดของกำลังใจจริง ๆ มีอยู่ตอนหนึ่งที่พระนางปชาบดีเถรีไปทูลลาพระพุทธเจ้าเพื่อเข้าสู่พระนิพพาน เขาบอกว่า พระน้านางอายุได้ ๑๒๐ ปี ปรินิพพานก่อนพระพุทธเจ้า ๑ ปี ก็แปลว่าตอนนั้นพระพุทธเจ้าอายุ ๗๙ ปี ลบแล้วห่างกัน ๔๑ ปี เราก็สงสัยว่าน้องสาวอายุ ๔๑ ปี แล้วพี่สาวที่เป็นแม่จะอายุเท่าไร ? หักจากอายุของพระพุทธเจ้า อย่างต่ำสุดพุทธมารดาก็ต้องอายุ ๔๒ ปี เราสงสัยว่าทำไมท่านแก่ขนาดนั้น? พอไปอ่านในมธุรัตถวิลาสินี อรรถกถาพุทธวงศ์ จึงได้เจอว่า ปกติของพุทธมารดาจะตั้งครรภ์พระโพธิสัตว์ระหว่างอายุ ๔๐-๗๐ ปี ด้วยเหตุที่ว่า เมื่อพุทธมารดาประสูติพระโพธิสัตว์แล้ว จะมีอายุได้ไม่เกิน ๗ วันเท่านั้น เมื่อเป็นดังนั้นก็เลยต้องให้ท่านอายุยืนหน่อย จะได้ดูโลกนาน ๆ ท่านอายุ ๔๐ ปี แต่สวยเช้งวับเหมือนสาวอายุ ๑๖ ปีนะจ๊ะ แต่ท่านย่าวิสาขาอายุ ๑๒๐ ปี สวยกว่าหลานอีก หลานสาวอายุ ๑๖ ปี แต่สวยสู้ยายไม่ได้นี่อนาถจริง ๆ ท่านย่าวิสาขาท่านได้วัยงาม วย คือ วัย , ฉวิ คือ ผิว , อัฏฐิ คือ กระดูก แต่เขาหมายถึงฟัน ถาม : วัยงาม คือ งามตามวัยหรือคะ ? ตอบ : ไม่ใช่จ้ะ เขาบอกว่าตั้งท้องลูกคนแรกอายุเท่าไร จะสวยอยู่แค่นั้นไปจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต เพราะฉะนั้น..ต้องรีบตั้งท้องไว ๆ ท่านย่าวิสาขาแต่งงานตอนอายุ ๑๖ ปี ก็แปลว่าอายุ ๑๗ ปี ก็คลอดลูกคนแรกแล้ว ท่านมีลูก ๒๐ คน หลาน ๔๐๐ คน นั่งอยู่ในหมู่หลานสาว พระเจ้าปเสนทิโกศลแยกไม่ออกว่าใครเป็นย่า ใครเป็นหลาน |
ถาม : ทำไมผู้ชายคนจีนสมัยก่อนชอบดูเท้าผู้หญิง ?
ตอบ : เหมือนกับผู้ชายสมัยนี้ที่ชอบดูหน้าอกผู้หญิง อะไรที่คนหวงเขาจะสนใจ สมัยก่อนเขาถือว่าเท้าเป็นสิ่งที่เปิดเผยไม่ได้ของผู้หญิง เคยได้ยินเรื่องที่บาทหลวงสอนศาสนาเขาไปที่เกาะแห่งหนึ่งไหม ? ผู้หญิงที่เกาะนั้นเขาเปลือยอกกัน พอถึงเวลาฟังเทศน์เขาก็ยกมือปิดหู เพราะเกาะนั้นเขาถือว่าหูเป็นสิ่งที่เปิดเผยต่อเพศตรงข้ามไม่ได้ ถือเป็นเรื่องที่น่าละอาย บาทหลวงเขาบันทึกไว้ว่า แกไม่รู้หรอกว่า อกแกทำให้ฉันฟุ้งซ่านมากกว่าหลายเท่าเลย ในแต่ละที่การยึดถือจะไม่เหมือนกัน อย่างสมัยที่อาตมายังเด็กอยู่ ผู้หญิงพอมีลูกสักคนหรือสองคน ก็ปล่อยเนื้อปล่อยตัวแล้ว และสมัยนั้นก็ไม่ค่อยจะใส่เสื้อกัน ยกเว้นผ้าถุงผืนเดียว ถ้าไปวัดไปวาจึงค่อยเอาผ้าแถบคาดอกไปเท่านั้น ถ้าอยู่กับบ้านก็ปล่อยโทง ๆ ไปเลย พอมายุคหลัง ๆ คิดว่าเป็นเพราะหัวการค้าของคน เขาอยากจะขายของได้เยอะ ๆ ก็เลยสร้างค่านิยมมา ว่าจำเป็นต้องใส่อย่างนี้แล้วจึงจะสวย แล้วก็ปกปิดไว้จะได้ไม่ต้องอายเขา สมัยนี้ไม่เห็นฝรั่งจะปกปิดสักเท่าไรเลย ลองไปดูที่พุน้ำร้อนทองผาภูมิสิ เดินลงมาทีขาวจนตาลายไปหมด กลางวันก็เลยเป็นเวลาอันตรายที่พระไม่ควรจะไปพุน้ำร้อน เพราะเวลาฝรั่งลงจากรถ ไม่วันพีซก็ทูพีชเดินลงมา เขาตั้งใจจะมาเล่นน้ำกันจริง ๆ ทำให้เป็นอันตรายต่อบุคคลที่จินตนาการดี อย่างพวกฟุ้งซ่านชอบปรุงแต่ง จะปรุงได้สุดยอดมากเลย |
พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องการเรียนว่า "การเรียนในระดับปริญญาตรี โท เอก ของ มจร. มีส่วนดีให้เห็นอยู่สองอย่าง
อย่างแรก คือ ต้องใช้การค้นคว้าพระไตรปิฎกเยอะมาก เพราะเขาถือว่าเราเรียนในมหาวิทยาลัยของพระ ก็ควรจะเรียนในสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านสอนด้วย แต่ก็แปลงมาเข้ากับทางโลก อย่างเช่น จิตวิทยาในพระไตรปิฎก นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก สาธารณสุขในพระไตรปิฎก ฯลฯ เราก็ต้องไปค้นคว้าหามา อีกส่วนหนึ่งที่เห็นว่าดีมากก็คือ มีการบังคับให้ปฏิบัติธรรมตามกำหนดของทางมหาวิทยาลัย ต้องปฏิบัติให้ครบจึงจะยอมให้รับปริญญา อย่างปริญญาตรีก็ต้องสะสมเวลาปฏิบัติธรรมไม่ต่ำกว่า ๔๐ วัน ปริญญาโทต้องสะสมไม่ต่ำกว่า ๓๐ วัน ถ้าวันปฏิบัติมีไม่พอ เขาก็ไม่ให้จบ" |
"อาตมามาเรียนด้วยเหตุสองประการ ประการแรก ค่านิยมของคนทั่วไป เขายังเชื่อกระดาษแผ่นเดียวมากกว่าความสามารถของบุคคล
ถ้าบรรยายธรรมโดยพระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ เจ้าอาวาสวัดท่าขนุน บางทีคนเขาไม่สนใจ แต่ถ้าเขาบอกว่าเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง เขาก็หูผึ่งกัน เพราะฉะนั้น..ในเมื่อเขาต้องการ เราก็เอากระดาษให้เขาสักแผ่นหนึ่ง ประการที่สอง มาเรียนแล้วเราเจอเพื่อน เพื่อนที่ถือว่าเป็นนักปฏิบัติสุปฏิปันโน ถือว่าเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุด เราขอสักคนเดียวก็พอ" ถาม : ทำไมต้องเสียสละตนขนาดนี้ ? ตอบ : พอเราเรียนเข้าไปแล้ว จึงได้รู้ว่าครูบาอาจารย์ส่วนหนึ่งเกินครึ่ง จะอยู่ในลักษณะมิจฉาทิฐิ แนะนำให้ลูกศิษย์สงสัยในสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนไม่พอ ยังสนับสนุนให้ลูกศิษย์ละเมิดศีลกลาย ๆ ด้วย อย่างเช่น "เวลาเรียนใช้สมองมาก ๆ เราจะหิว ถ้าไม่ไหวจริง ๆ นิมนต์ท่านอาจารย์กินข้าวเย็นไปเถอะ" เขาแนะนำอย่างนั้น ที่เรายอมเป็นอาจารย์เข้าไปสอนเขา อย่างน้อย ๆ ให้ลูกศิษย์เขารู้ว่า ผู้ที่ปฏิบัติตามพระธรรมวินัยก็ไม่เห็นตายนี่หว่า และแถมเรียนดีกว่าเขาด้วย..! ตั้งแต่ปีแรกจนถึงปีนี้ที่เรียนมา เข้าปีที่ ๕ แล้ว ทำให้เพื่อนจำนวนหนึ่งที่เขาเห็นเราปฏิบัติตัวแบบเสมอต้นเสมอปลาย คือ ใครจะเละขนาดไหน เราก็บ้าตามไปแค่กรอบเท่านั้น และโดยเฉพาะว่าเป็นผู้นำเขาในเรื่องการเรียนได้ ชั่วโมงเรียนสถิติเต็มเกือบ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ถ้าไม่ใช่ติดรับสังฆทานต้นเดือนที่นี่ อาตมาไม่เคยขาดเลย และวันเรียนที่ตรงกับวันรับสังฆทานอย่างนี้จะน้อยมาก สถิติการเรียนเต็ม จนอาจารย์บางคนถามว่า "นี่ไม่มีกิจนิมนต์บ้างเลยหรือ ถึงไม่เคยขาดกับใครเขา ?" "ไม่มีเพื่อนนิมนต์บ้างเลยหรือ ?" อาตมาก็ขำ ๆ บอกท่านไปว่า "เขาก็ไม่ค่อยคบผมกันหรอกครับ" ทำให้เพื่อนจำนวนหนึ่งเขายกเราขึ้นเป็นตัวอย่าง และมีบางคนทำตาม ทำตามจนเพื่อนคนอื่นถามว่า "เฮ้ย..ทำไมเปลี่ยนไปเยอะเลยวะ ?" เขาบอกว่า "ดูตัวอย่างจากพี่เล็กว่ะ..พี่เล็กเป็นพระสังฆาธิการเหมือนกับพวกเรา ต้องปกครองวัดหลายวัดเหมือนกัน แต่พี่เขามาเรียนอย่างสม่ำเสมอไม่ขาด ขณะเดียวกันเรียนเก่งกว่าพวกเราด้วย ก็เลยอยากเก่งอย่างพี่เล็กเขาบ้าง" |
ท่านอาจารย์จักรกฤษณ์ จันทร์ดำ ท่านยุให้อาตมาไปเรียนมหาวิทยาลัยข้างนอก ท่านบอกว่า "ต่อให้พระคุณเจ้าเรียนเก่งอย่างไรก็ตาม ถ้าอยู่กับมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พระคุณเจ้าก็ไม่มีชื่อเสียงเกียรติคุณอะไรขึ้นมาหรอกครับ เพราะมหาจุฬาฯ ของเรามีพระพรหมคุณาภรณ์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) มีพระธรรมโกศาจารย์ (ประยูร ธมฺมจิตฺโต) อยู่แล้ว
ต่อให้พระคุณเจ้าเรียนเก่งขนาดไหน เขาก็ไม่เห็นหรอกครับ แต่ถ้าพระคุณเจ้าไปเรียนที่มหาวิทยาลัยข้างนอก ผมมั่นใจว่าสามเดือนเท่านั้นแหละ ด้วยศักยภาพของพระคุณเจ้า สามารถเอาเขาทั้งมหาวิทยาลัยมาเป็นลูกศิษย์ได้แน่" อาตมาเองก็ได้แต่ครับ ๆ แต่คิดอยู่ในใจว่า เราจะเอาไปทำไม ? คือเราเรียนเก่งในหมู่พระ แต่อย่างไรก็สู้สองท่านนั้นไม่ได้อยู่แล้ว เพราะท่านเป็นบุคคลต้นแบบในดวงใจของคนอื่นไปแล้ว คนหนึ่งก็คือผู้ที่ได้ปริญญากิตติมศักดิ์ จนตัวท่านเองก็จำไม่ได้ว่ารับไปกี่ใบแล้ว ส่วนอีกท่านปัจจุบันก็เป็นอธิการบดีของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาฯ ถือว่าอายุยังน้อยมากเลย อายุ ๕๕ ปี ขึ้นถึงระดับเจ้าคุณธรรมแล้ว อีกขั้นเดียวจะขึ้นไปเป็นสมเด็จราชาคณะหิรัญบัตรแล้ว |
ถาม : ตอนที่ผมเจอปัญหาอยู่ ผมไปที่วัดท่าซุงและตั้งจิตที่จะปฏิบัติยึดตามคำสอนของหลวงพ่อ ผมฟังธรรมะท่าน ฟังเอ็มพีสาม ตั้งจิตไว้ว่าขอนิพพานในชาตินี้ ผมมานั่งคุยกับเพื่อน เขาบอกว่าเกิดจากการที่เราตั้งจิตขอให้จบในชาตินี้ วิบากกรรมที่ได้รับกลับมา ในทางธรรมผมเห็นความเปลี่ยนแปลงระดับหนึ่งซึ่งผมตั้งใจไป แต่ทางโลกมันเกิดปัญหาในเรื่องการงาน ที่เคยตั้งใจหวังไว้หลายอย่างถูกทำให้เลื่อนออกไป ห่างออกไป เลยขอความเมตตาจากท่าน
ตอบ : ไปเอาคาถาเงินล้านของหลวงพ่อวัดท่าซุงมาภาวนา สักเช้าชั่วโมงเย็นชั่วโมง ถ้าทำได้ต่อเนื่องกันสองเดือน ทุกอย่างจะคล่องตัวเอง เพราะในคาถาเงินล้านมีอยู่บทหนึ่งที่ใช้แก้ไขอุปสรรคโดยเฉพาะ ส่วนบทอื่นจะเสริมความคล่องตัวเรื่องการงานและการเงิน เราใช้เป็นคำภาวนาไปเลย ปกติเราจะภาวนาอย่างไรก็ช่าง แต่คาถาเงินล้านให้ภาวนาเช้าสักชั่วโมงเย็นชั่วโมง ภาวนาจับลมหายใจเข้าออกเหมือนกับที่เราภาวนาคาถาอื่น ไม่ใช่ท่องสักแต่ว่าให้จบ ภาวนาหายใจออกนึกตามไป หายใจเข้านึกตามไป ให้ใจอยู่เฉพาะหน้า ถ้าทำอย่างนี้ได้ต่อเนื่องสองเดือนก็จะเห็นผล ถึงเวลาก็อย่าบ่นแล้วกัน ถ้าอะไรไหลมาเทมาจนเยอะเกินกำลังของเรา ถาม : สิ่งที่เข้ามาอาจจะหนักสำหรับเรา ตอบ : แล้วคุณจะไปกลัวทำไม ? ถาม : เรื่องสังขารร่างกายผมไม่มีปัญหา ผมไม่กลัว แต่.. ตอบ : คุณไม่ต้องไปใส่ใจ การที่เราตัดการเวียนตายเวียนเกิดนับชาติไม่ถ้วนลงไปได้ โดยการใช้ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในแค่ชั่วอายุไม่กี่ปีของเรานี้ ดีกว่าการเกิดมาทุกข์อีกนับกัปไม่ถ้วน แล้วทำไมเราจะอยู่กับโลกนี้โดยดีไม่ได้ แทนที่จะรู้สึกกลัว ควรจะรู้สึกบันเทิงเริงใจมากกว่า ถ้าเขายิ่งทวงมากเท่าไร เราก็ไปได้เร็วเท่านั้น |
ถาม : พระคำข้าว หลวงพ่อเคยบอกว่า..?
ตอบ : ไม่ต้องเสียเวลาหรอก ถ้าคุณไปภาวนาคาถาเงินล้านภายในสองเดือนก็รู้เรื่องแล้ว ถาม : ภาวนาเช้าชั่วโมงเย็นชั่วโมง โดยประมาณใช่ไหมครับ ? ตอบ : ใช่..เรื่องของเรายังไม่หนักหนาสาหัสหรอก เรื่องของพระคำข้าวที่ท่านให้ขอพรได้ อาตมาไม่ได้ยินจากปากของหลวงพ่อเอง แต่เขาบอกต่อ ๆ กันมา แล้วมาเข้าหู อะไรที่ไม่ได้ยินมาจะไม่กล้ายืนยัน ถาม : เห็นเขาอ้างว่าท่านบอก ตอบ : อาตมาเพียงแต่บอกให้ทราบว่า ได้ยินมาอย่างนี้ แต่ไม่ได้ฟังจากปากหลวงพ่อเอง ถาม : เขาบอกว่าถ้าไม่สุด ๆ เต็มที่ จนเลือดตากระเด็น อย่าไปทำเลย ตอบ : อาตมาเองก็ไม่เคยคิดที่จะทำด้วย เพราะว่าการที่เราใช้อะไรบางอย่างมากจนเกินไป ถึงเวลาเขาทวงคืนก็โดนมากเหมือนกัน ถาม : เหมือนกับเราติดหนี้มากขึ้นใช่ไหมครับ ? ตอบ : ใช่..เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นอย่าไปทำ ใช้ความสามารถของเราเองนี่แหละ ถ้าคุณภาวนาคาถาเงินล้านให้อารมณ์ทรงตัวเช้าชั่วโมงเย็นชั่วโมง ภายในสองเดือนต้องเห็นผลแน่นอน ขอยืนยัน ทุกวันนี้อาตมาทำอะไรง่าย จนคนเขาอิจฉากันหมดแล้ว เพราะจริง ๆ ก็คือ คาถาบทเดียวนี่แหละ ขอให้เราทำจริงเท่านั้น ทุกอย่างสะดวกแน่ |
ถาม : เราโดนกดให้หลับลงไป พระท่านอยากจะบอกอะไรเราสักอย่างหนึ่งหรือคะ ?
ตอบ : ถ้าไม่ใช่พระ ก็พรหม เทวดา หรือครูบาอาจารย์ ถาม : ถ้าเราหลับไป เราจะรู้เลยหรือคะ ? ตอบ : ไม่ใช่หลับ เราจะอยู่ในช่วงของอุปจารสมาธิหรือฌานสี่ไปเลย แล้วแต่ความสามารถของเรา ถ้าความสามารถเราไม่พอ ก็อาจจะแค่อุปจารสมาธิ จะรู้สึกเคลิ้ม ๆ เหมือนครึ่งหลับครึ่งตื่น หรือถ้าเราทำได้ถึงฌานสี่ ก็เป็นฌานสี่เต็มกำลัง ออกแบบเต็มกำลังไปเลย ถาม : กลับมาจะจำได้ไหมคะ ? ตอบ : จำได้ ถ้าเป็นเรื่องที่ท่านต้องการบอก จะจำได้แม่นมากด้วย จำเป็นถึงขนาดท่านต้องการกดเราให้หลับเพื่อบอก อย่างไรท่านก็ไม่ให้เราลืมหรอก ถาม : แล้วอยู่ ๆ ง่วงหลับไปเลย? ตอบ : นั่นไม่ใช่ แบบนั้นเขาเรียกว่าขี้เกียจ |
ถาม : การกระทำของคนอื่น เราเห็นว่าเป็นการกระทำที่เป็นปกติของเขา แล้วเราเกิดความรู้ขึ้นมาว่า สิ่งที่เขาทำ เบื้องหลังก็คือกิเลสสักอย่างที่นอนอยู่ข้างใต้ แล้วเราก็เห็นว่าเรามีอย่างนี้เหมือนกัน เคยทำอย่างนี้เหมือนกัน แล้วเราก็เตือนตัวเองโดยกะทันหันว่า ต่อไปเราอย่าทำนะ อันนี้เขาเรียกว่าสนใจจริยาคนอื่นหรือเปล่า?
ตอบ : ท่านเรียกว่า อัตตนา โจทยัตตานัง ดูแล้วเตือนตัวเอง ถาม : แต่ว่าก้ำกึ่ง ? ตอบ : ถ้าเลี้ยวผิดนิดเดียวก็ไปเลย บอกแล้วว่าความดีกับกิเลสหน้าตาเหมือนกัน เหลือก้าวสุดท้ายว่าจะเลี้ยวไปทางไหนเท่านั้น ถาม : หากเราไปเพ่งโทษ ? ตอบ : เจ๊งแน่..แต่ถ้าเก็บไปสอนใจตัวเอง โดยที่ไม่จับผิดเขา เห็นว่าเป็นปกติธรรมดาเป็นอย่างนั้น ก็เป็นอันว่าเลี้ยวถูก |
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระเนื้อนวโลหะ ท้ายสุดเงินที่ผสมอยู่ก็จะทำให้เนื้อเป็นสีดำอยู่ดี เหตุที่ดำเพราะว่าเวลาเนื้อเงินทำปฏิกิริยากับออกซิเจน จะเกิดออกไซด์ขึ้นมา ลักษณะเหมือนกับสนิม ทำให้พระที่เป็นเนื้อนวโลหะค่อย ๆ ดำขึ้นเรื่อย ๆ
สมัยอาตมาอยู่กับหลวงปู่มหาอำพัน ท่านจะมีครอบน้ำมนต์อยู่ใบหนึ่ง ถ้าสมัยนี้ก็เป็นขันน้ำมนต์ แต่เป็นขันน้ำมนต์ที่มีเชิงและมีฝาปิด ครอบน้ำมนต์ของหลวงปู่ใบนั้นดำปี๋เลย ไม่มีใครรู้ว่าเป็นอะไร แต่อาตมาเห็นนี่น้ำลายไหลเลย เพราะเป็นครอบน้ำมนต์ปทุมโลหิตของสมเด็จพระสังฆราช(แพ) ท่านหล่อให้เฉพาะลูกศิษย์สำคัญ เอาไว้อาตมามีอารมณ์จะทำครอบน้ำมนต์บ้าง" ถาม : ต้องช่วยทำให้ท่านมีอารมณ์ จะได้สร้าง ตอบ : ถ้าไม่มีคำสั่ง ก็ไม่มีอารมณ์จริง ๆ อาตมาเป็นคนขี้เกียจมาก ขนาดหลวงปู่ปานท่านสั่งให้ทำล็อกเก็ตรุ่นแรก อาตมากราบเรียนหลวงปู่ว่า "ไม่ทำได้ไหมครับ เพราะผมปลุกเสกไม่เป็น" ท้ายสุดหลวงปู่บอกว่า ไปทำมาเดี๋ยวท่านเสกให้เอง นั่นแหละ..จึงได้เริ่มสร้าง ที่ขำที่สุดก็คือ วันเสาร์ ๕ ที่จะทำพุทธาภิเษก บ่ายสามโมงแล้วอาตมายังช่วยเขาฝึกมโนมยิทธิอยู่ที่วัดท่าซุงเลย พอเสร็จจากมโนมยิทธิก็ตีรถกลับมาที่บ้านอนุสาวรีย์ มาถึงเวลา ๖ โมงครึ่ง ก็ดีใจว่าทันหนึ่งทุ่มตามที่หลวงปู่ท่านนัดเอาไว้ พอมาถึงปรากฏว่า เครื่องบวงสรวงทุกชิ้นวางไว้อย่างเรียบร้อย เขารอให้อาตมากลับมาจัด..! ไม่มีใครกล้าจัดเอง กลัววางผิด อาตมาจึงต้องจัดให้ กว่าจะเสร็จเรียบร้อยก็หนึ่งทุ่มยี่สิบนาที ปาดเหงื่อได้ก็ขึ้นไปกราบหลวงปู่ เจอหน้าหลวงปู่ท่านก็หัวเราะ ท่านบอกว่า "ไปไหว้พระเถอะลูก เสร็จตั้งนานแล้ว" ท่านแอบเสกให้ตอนไหนก็ไม่รู้ ? ของบางอย่างก็เป็นอุบัติเหตุเหมือนกัน ทุกคนคิดเหมือนกันว่ารอพระอาจารย์ดีกว่า จะได้ไม่ผิด จึงมีรายการด่ากระจาย และก็แนะนำว่าอะไรควรจะทำอย่างไร วางไว้ด้านไหน |
ตอนนั้นมหาเอ (พระมหานันทวัฒน์ เขมธมฺโม) ท่านยังไม่ได้บวช ยังเป็นหมอเออยู่ ท่านก็เลยรีบศึกษาไว้ ก่อนที่จะโดนด่าอีก เพราะเครื่องบวงสรวงจะมีส่วนสำคัญอยู่สามสี่อย่าง
อย่างแรก คือ ต้นบายศรี ไม่ว่าเราจะทำบายศรีเป็นสีอะไรก็ตาม ให้ติดสีแดงไว้นิดหนึ่ง ถ้าไม่มีอะไรจะเอากลีบกุหลาบแดงติดยอดบายศรีก็ได้ ท่านบอกว่าสีแดงเป็นสีของท้าวมหาราชทั้ง ๔ ส่วนใหญ่ในงานบวงสรวงท้าวมหาราชทั้ง ๔ ท่านจะรับภาระโดยตรง ให้ติดสีแดงไว้บ้างเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของท่าน ประการที่สอง ก็คือ สีของบายศรีปากชามสี่ทิศ แต่ละทิศเป็นสีจำเพาะของท้าวมหาราชแต่ละพระองค์ คือ ทิศเหนือสีแดง ทิศใต้สีม่วง ทิศตะวันออกสีเหลือง ทิศตะวันตกสีขาว อีกส่วนหนึ่ง ก็คือ หัวหมูกับไก่ สามทิศวางหัวหมู แต่ทิศเหนือต้องวางไก่เท่านั้น อย่าผิดทิศเป็นอันขาด อาตมาไปย้ายให้มาหลายเจ้าแล้ว บางเจ้าสี่ทิศก็ผิด และมีบางรายเห็นวัดมีสัปทนก็เลยกางบ้าง แต่ไม่รู้ว่าเขากางตามสีทิศเหมือนกัน เพราะฉะนั้น..สัปทนถ้าจะใช้ก็สี่สีเหมือนกัน คือ เหนือแดง ใต้ม่วง ตะวันออกเหลือง ตะวันตกขาว ถาม : ทิศนี่ดูตามเข็มทิศหรือคะ ? ตอบ : เอาทิศจริงเป็นหลักจ้ะ ตามเข็มทิศไม่ได้ ถ้าตามเข็มทิศ ทิศจะเพี้ยนไป ๒๓ องศาครึ่ง เคยเรียนมาหรือเปล่า ? ถ้าเรียนมาเขาจะบอกว่าแกนโลกเอียง ๒๓ ๑/๒ องศา เพราะฉะนั้น..ทิศจริงกับทิศเข็มทิศจะเพี้ยน ๒๓ ๑/๒ องศา ถาม : แล้วควรทำอย่างไรคะ ? ตอบ : ดูตะวันเป็นหลัก ถ้าตะวันไม่มีก็ถามเจ้าของสถานที่ว่าแดดออกทางไหน ถาม : บวก ๒๓ องศาครึ่งไปทางไหน ? ตอบ : ไม่ต้องบวกต้องลบ ดูของจริงเลย ถึงเวลาคุณหันหน้าเข้าหาเหนือ ขวามือคือตะวันออก ฯลฯ ถ้าคุณไม่มั่นใจ คุณก็หันไหล่ขวาเข้าหาดวงตะวัน ตรงหน้าคุณคือทิศเหนือ ถ้าหลังคือทิศใต้ ซ้ายมือคือตะวันตก แต่ถ้าเป็นตอนบ่ายก็ตรงกันข้าม ตอนบ่ายหันหน้าเข้าหาทิศใต้ ซ้ายมือคือตะวันออก |
1 Attachment(s)
ถาม : ไก่กับบายศรีจำเป็นต้องวางตรงกันเป๊ะ ๆ เลยไหมครับ ?
ตอบ : เอาทิศที่ใกล้เคียงที่สุด ถาม : ทั้งไก่และบายศรีเลยหรือครับ ? ตอบ : ใกล้เคียงที่สุด ใกล้ความจริงที่สุด ถ้าเป๊ะ ๆ เลยยิ่งดี ถาม : แล้วทำไมต้องทาสีแดง ? ตอบ : เรื่องของการทาสีหรือรองด้วยกระดาษแดง เกิดจากครั้งหนึ่งพระท่านบอกหลวงพ่อวัดท่าซุงว่า ถ้ารองหัวหมูและไก่ด้วยกระดาษแดงจะป้องกันเรื่องไฟไหม้และฟ้าผ่าได้ ใครทำการบวงสรวงที่บ้าน ควรจะทำอย่างนั้น อธิษฐานขอให้ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ท่านสงเคราะห์เรื่องกันไฟไหม้กันฟ้าผ่าได้ พอหลวงพ่อท่านถามท้าวมหาราชทั้ง ๔ ท่านให้เพิ่มว่า ถ้าต้องการป้องกันวินาศภัย ให้ทาหัวหมูและไก่ด้วยสีแดง ถ้ารองด้วยกระดาษสีแดงกันไฟไหม้กันฟ้าผ่า แต่ถ้าทาหัวหมูและไก่ด้วยสีแดง จะป้องกันวินาศภัยได้ด้วย แสดงว่าห้างเซ็นเตอร์วันไม่ได้ทำอย่างนี้ เลยโดนเผากระจาย ตึกข้าง ๆ บ้านอนุสาวรีย์นี่ก็โดน จนกระทั่งคนเขาตกใจว่าบ้านอนุสาวรีย์โดนเผาไปด้วยแล้ว เพราะไฟไหม้ตึกแถวเดียวกัน แต่ขอโทษ..บ้านอนุสาวรีย์บวงสรวงมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว ถาม : จำเป็นว่า ต้องเป็นบายศรี ๙ ชั้นหรือเปล่า ? ตอบ : ขึ้นอยู่กับว่าเรามีแรงทำเท่าไร บายศรีจะมี ๕ ชั้น ๗ ชั้น ๙ ชั้น แล้วแต่เราจะทำ แต่สำคัญตรงลูกบายศรี (ลูกบายศรี คือ ชั้นที่เหมือนกับนิ้วมือ) ถ้าไหว้พระ ลูกบายศรีให้มีอย่างน้อย ๙ ชั้น แต่ถ้าไหว้พรหมหรือเทวดาให้มีน้อยกว่านั้น ส่วนใหญ่เขาเลือก ๗ ชั้น จะได้เป็นสัญลักษณ์ว่าชุดนี้ไหว้พระหรือไหว้พรหมเทวดา คำว่า บาย เป็นภาษาเขมร แปลว่า ข้าว บายศรี ก็คือ ขวัญข้าว แต่ถ้าซีบาย แปลว่า กินข้าว แต่ถ้ากินน้ำ ภาษาเขมรว่า อมตรึ๊ก |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 20:04 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.