![]() |
หลวงพ่ออุตตมะ (เทพเจ้าของชาวมอญ)
1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1236316012 พระราชอุดมมงคล หลวงพ่ออุตตมะ (เทพเจ้าของชาวมอญ) พระราชอุดมมงคล หรือ “พระมหาอุตตมะรัมโภภิกขุ” หรือที่รู้จักกันทั่วไปในนามของ “หลวงพ่ออุตตมะ” พระเกจิอาจารย์ชื่อดังของจังหวัดกาญจนบุรี ทั้งยังเป็นพระภิกษุสงฆ์ชาวมอญ ผู้มีบทบาทผู้นำคนสำคัญของชาวมอญพลัดถิ่นที่สังขละบุรี ประวัติหลวงพ่ออุตตมะ หลวงพ่ออุตตมะ เกิดเมื่อวันอาทิตย์ขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๔ ปีจอ จุลศักราช ๑๒๗๒ (พ.ศ. ๒๔๕๓) ที่หมู่บ้านโมกกะเนียง ตำบลเกลาสะ อำเภอเย จังหวัดมะละแหม่ง เป็นบุตรของนายโงและนางทองสุข อาชีพทำนา มีพี่น้องรวม ๑๒ คน เนื่องจากเป็นทารกเพศชายเกิดในวันอาทิตย์ จึงมีชื่อว่า “เอหม่อง” ปี พ.ศ. ๒๔๖๒ ขณะเด็กชายเอหม่องมีอายุได้ ๙ ขวบ เกิดอหิวาตกโรคระบาดขึ้นในหมู่บ้าน บิดามารดาจึงพาเด็กชายเอหม่องไปฝากกับพระอาจารย์นันทสาโรแห่งวัดโมกกะเนียงผู้เป็นลุงเพื่อให้ปรนนิบัติรับใช้และศึกษาพระธรรมเป็นเครื่องคุ้มครองจากโรคภัย เด็กชายเอหม่องเป็นผู้ใฝ่ใจในการศึกษาอย่างยิ่ง จนสามารถสอบได้ชนะเด็กในวัยเดียวกันเป็นประจำทุก ๆ ปี ปี พ.ศ. ๒๔๖๗ เด็กชายเอหม่องอายุได้ ๑๔ ปี เกิดอหิวาตกโรคระบาดครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง ส่งผลให้ต้องสูญเสียน้องชายถึง ๕ คน เด็กชายเอหม่องจึงขอออกจากวัดโมกกะเนียงเพื่อมาช่วยเหลือทางบ้านด้วยความขยันขันแข็ง จนกระทั่งอายุ ๑๘ ปี เจ้าอาวาสวัดเกลาสะได้ไปขอกับบิดามารดาให้เด็กชายเอหม่องไปบรรพชาเป็นสามเณร หลวงพ่ออุตตมะ บรรพาเป็นสามเณร ณ วัดเกลาสะ ตำบลเกลาสะ อำเภอเย จังหวัดมะละแหม่ง เมื่อจุลศักราช ๑๒๙๑ (พ.ศ. ๒๔๗๒) โดยมีพระเกตุมาลาเป็นพระอุปัชฌาย์ ปีนั้นเอง หลวงพ่อศึกษาภาษาบาลี และพระปริยัติธรรมจนสอบได้นักธรรมตรี อีกปีหนึ่งต่อมาสอบได้นักธรรมโท แต่ไม่นาน หลวงพ่อก็ตัดสินใจสึกออกมาเพราะเห็นว่าไม่มีใครช่วยบิดามารดาทำนา จนกระทั่งหม่องเอ ซึ่งเป็นลูกของพี่สาวของบิดา ได้มาอาศัยอยู่ด้วย หลังจากที่บิดามารดาของหม่องเอเสียชีวิตจนหมดสิ้น ซึ่งเท่ากับว่ามีคนมาช่วยแบ่งเบาภาระในการทำนา และมีญาติซึ่งไว้วางใจได้มาคอยดูแลบิดามารดา หลวงพ่ออุตตมะจึงตัดสินใจอุปสมบทเป็นพระภิกษุที่วัดเกลาสะ โดยมีพระเกตุมาลา วัดเกลาสะ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระนันทสาโร วัดโมกกะเนียง เป็นพระกรรมวาจารย์ พระวิสารทะ วัดเจ้าคะเล เป็นพระอนุสาวนาจารย์ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๒๓ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๖ ได้รับฉายาว่า “อุตตมรัมโภ” แปลว่า ผู้มีความพากเพียรอันสูงสุด” โดยหลวงพ่ออุตตมะได้ตั้งเจตจำนงที่จะบวชไม่สึกจนตลอดชีวิต ด้วยความพากเพียรและใฝ่ใจในการศึกษาพระธรรม ในปี พ.ศ. ๒๔๗๔ หลวงพ่ออุตตมะ สามารถสอบได้ นักธรรมชั้นเอก ณ สำนักเรียนวัดปราสาททอง อำเภอเย จังหวัดมะละแหม่ง ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๘๔ สอบได้เปรียญธรรม ๘ ประโยค ที่สำนักเรียนวัดสุขการี อำเภอสะเทิม จังหวัดสะเทิม ซึ่งเป็นชั้นสูงสุดของคณะสงฆ์ในประเทศพม่า ขณะนั้น บ้านเมืองกำลังเกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒ หลวงพ่อจึงเดินทางกลับวัดเกลาสะ และได้รับมอบหมายให้เป็นอาจารย์สอนภาษาบาลีแก่ภิกษุสามเณร ต่อมาท่านก็ลาพระอุปัชฌาย์เดินทางไปศึกษาวิปัสนากรรมฐานที่วัดตองจอย จังหวัดมะละแหม่ง และวัดป่าเลไลย์ จังหวัดมัณฑะเลย์ จนมีความรู้ความสามารถในเรื่องวิปัสนากรรมฐานตลอดจนวิชาไสยศาสตร์และพุทธคมเป็นอย่างดี ปี พ.ศ. ๒๔๘๖ หลวงพ่อจึงเริ่มออกธุดงค์เพื่อหาประสบการณ์ หลวงพ่ออุตตมะ ออกธุดงค์ไปตามที่ต่าง ๆ ในประเทศพม่า และเข้ามาประเทศไทยครั้งแรกทางจังหวัดเชียงใหม่ ต่อมาทราบข่าวว่าพระเกตุมาลา พระอุปัชฌาย์กำลังอาพาธ จึงรีบเดินทางกลับพม่า จนกระทั่งพระเกตุมาลามรณภาพ ท่านก็ได้เดินทางเข้ามาประเทศไทยอีกครั้งหนึ่ง โดยครั้งนี้ หลวงพ่อเดินทางเข้ามาทางตำบลปิล็อก อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี ประมาณปี พ.ศ. ๒๔๙๒ และใน ปี พ.ศ. ๒๔๙๒ อันเป็นพรรษาที่ ๑๖ ของพระมหาอุตตมะรัมโภ พายุไต้ฝุ่นพัดจากทะเลอันดามัน สร้างความเสียหายให้กับชาวบ้านอย่างใหญ่หลวง โดยเฉพาะบ้านโมกกะเนียง และเกลาสะ มีผู้เสียชีวิตมากกว่าร้อยคน บ้านเรือนเหลือเพียงไม่กี่หลังคาเรือน ชาวบ้านลำบากยากแค้นแสนสาหัส ข้าวของอาหารการกินขาดแคลนกันทั่วหน้า นอกจากภัยธรรมชาติแล้ว ชาวบ้านยังต้องประสบเคราะห์กรรมจากปัญหาความขัดแย้งในทางการเมืองอีกด้วย เนื่องจากการปะทะและต่อสู้ระหว่าง กองทหารของรัฐบาลพม่า กับกองกำลังติดอาวุธกู้ชาติ อีกทั้งกองกำลังกู้ชาติบางกลุ่มแปรตัวเองไปเป็นโจรปล้นสดมภ์ชาวบ้าน ด้วยความเบื่อหน่ายเรื่องการรบราฆ่าฟันกัน ระหว่างชนเผ่า หลวงพ่ออุตตมะ จึงตัดสินใจจากบ้านเกิด มุ่งหน้าสู่ดินแดนประเทศไทย เป้าหมายที่แท้จริงของท่านในเวลานั้น คือเขาพระวิหาร ปรากฏว่าเมื่อชาวบ้านรู้ข่าวต่างเสียใจ ไม่อยากให้ท่านจากไป พากันร้องไห้ระงมด้วยความอาลัย ซึ่งท่านได้ชี้แจงการออกเดินทางของท่านว่า “การไปของเราจะเป็นปรหิต เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น” หลวงพ่ออุตตมะ เดินทางเข้าเมืองไทยในช่วงระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๙๒-๒๔๙๓ ทางหมู่บ้านอีต่อง ตำบลปิล็อก ชายแดนเขตจังหวัดกาญจนบุรี โดยได้รับความช่วยเหลือจากคนไทยสองคน ซึ่งมีเชื้อสายมอญพระประแดงที่มาทำเหมืองแร่ที่บ้านอีต่อง ทั้งคู่ได้จัดบ้านพักหลังหนึ่งให้เป็นกุฏิชั่วคราวของหลวงพ่อ มีชาวเหมืองจำนวนมากมาทำบุญกับหลวงพ่อ เนื่องจากพื้นที่บริเวณนั้นไม่มีวัดและพระสงฆ์เลย เดิมทีนั้น คนไทยเชื้อสายมอญพระประแดงทั้งสอง ต้องการสร้างกุฏิถวายหลวงพ่ออุตตมะให้จำพรรษาอยู่ที่บ้านอีต่อง แต่หลวงพ่อไม่รับ เนื่องจากเกรงว่าจะกลายเป็นพระเถื่อนเข้าเมืองไทย ท่านจึงต้องการไปขออนุญาตจากพระผู้ใหญ่ที่ปกครองเขตปิล็อกเสียก่อน ทั้งสองจึงพาหลวงพ่ออุตตมะ มาจำพรรษาที่วัดท่าขนุน อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี กับหลวงพ่อไตแนม ซึ่งเป็นชาวกะเหรี่ยงและอุปสมบทที่วัดเกลาสะเช่นเเดียวกับหลวงพ่ออุตตมะ ปี พ.ศ. ๒๔๙๔ ขณะจำพรรษาที่วัดท่าขนุน อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี หลวงพ่ออุตตมะมีโอกาสไปสักการะพระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม ทำให้หลวงพ่อได้พบชาวไทยเชื้อสายมอญ ที่มาจากเมืองต่าง ๆ เช่น แม่กลอง สมุทรสาคร มีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งได้นิมนต์หลวงพ่อ ไปจำพรรษาที่วัดบางปลา ตำบลบ้านเกาะ อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร หลังจากเดินทางกลับจากวัดบางปลา มาจำพรรษาที่วัดท่าขนุน หลวงพ่อไตแนมขอให้หลวงพ่ออุตตมะ ไปจำพรรษาที่วัดปรังกาสีซึ่งเป็นวัดร้าง บริเวณวัดปรังกาสีมีชาวกะเหรี่ยงอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก และบริเวณนั้นไม่มีพระหรือวัดอื่นเลย หลวงพ่อร่วมกับกำนันชาวกะเหรี่ยงนิมนต์พระกะเหรี่ยง จากตลอดแม่น้ำแควใหญ่และแควน้อยได้ ๔๒ รูป มาอยู่ปริวาสที่วัดปรังกาสี ๙ วัน ๙ คืน หลัง จากนั้นก็สร้างกุฏิและเจดีย์ขึ้น หลวงพ่ออุตตมะนิมนต์พระกะเหรี่ยงมาจำพรรษาที่วัด ๓ รูป ท่านสอนภาษามอญแก่พระทั้ง ๓ รูปนี้ เพื่อเป็นพื้นฐานในการสอนธรรมะต่อไป หลวงพ่ออุตตมะจำพรรษาอยู่วัดปรังกาสีหนึ่งพรรษา ต่อมาผู้ใหญ่ทุม จากท่าขนุนมานิมนต์หลวงพ่อไปเยี่ยมหลวงปู่แสงที่วัดเกาะ อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี ซึ่งเคยไปจำพรรษาที่วัดโมกกะเนียง เกลาสะ และมะละแหม่งมาก่อน และในพรรษานั้น หลวงพ่ออุตตมะได้จำพรรษาอยู่ที่วัดเกาะ ตามคำนิมนต์ของหลวงปู่แสง ปี พ.ศ. ๒๔๙๔ ขณะที่หลวงพ่อจำพรรษาอยู่ที่วัดเกาะ มีคนมาแจ้งข่าวแก่หลวงพ่อว่า ที่กิ่งอำเภอสังขละบุรีมีชาวมอญจากบ้านเดิมของหลวงพ่ออพยพเข้าเมืองไทย ทางบีคลี่เป็นจำนวนมาก และต้องการนิมนต์หลวงพ่อไปเยี่ยม เมื่อหลวงพ่ออุตตมะออกจากจำพรรษา แล้วเดินทางกลับไปยังอำเภอทองผาภูมิ และไปยังอำเภอสังขละบุรี และพบกับคนมอญทั้งหมดที่มาจากโมกกะเนียง เจ้าคะเล และมะละแหม่ง บ้านเกิดของท่าน หลวงพ่อจึงพาชาวมอญเหล่านี้ไปอาศัยอยู่ที่บ้านวังกะล่าง นับเป็นจุดกำเนิดแรกเริ่มของชุมชนชาวมอญในสังขละบุรี กำเนิดวัดหลวงพ่ออุตตมะ ในปี พ.ศ. ๒๔๙๙ หลวงพ่ออุตตมะ ร่วมกับชาวบ้านที่เป็นชาวกะเหรี่ยงและชาวมอญได้พร้อมใจกันสร้างศาลาวัดขึ้น และสร้างเสร็จในเดือน ๖ ของปีนั้นเอง แต่เนื่องจากยังมิได้มีการขออนุญาตจากกรมการศาสนา วัดที่สร้างเสร็จจึงมีฐานะเป็นสำนักสงฆ์ แต่ชาวบ้านโดยทั่วไปเรียกว่า “วัดหลวงพ่ออุตตมะ” ตั้งอยู่บนเนินสูงในบริเวณที่เรียกว่า “สามประสบ” เพราะมีแม่น้ำ ๓ สายไหลมาบรรจบกัน คือแม่น้ำซองกาเลีย แม่น้ำบีคลี่ และแม่น้ำรันตี ในปี พ.ศ. ๒๕๐๕ เมื่อได้รับอนุญาตจากกรมการศาสนาเป็นที่เรียบร้อย หลวงพ่ออุตตมะจึงได้ตั้งชื่อสำนักสงฆ์ตามชื่ออำเภอเก่า (อำเภอวังกะ) ว่า “วัดวังก์วิเวการาม” ในปี พ.ศ. ๒๕๑๓ หลวงพ่อเริ่มสร้างพระอุโบสถวัดวังก์วิเวการามโดยปั้นอิฐเอง ในปี พ.ศ. ๒๕๑๘ หลวงพ่อได้เริ่มสร้างเจดีย์จำลองแบบจากเจดีย์พุทธคยาที่ประเทศอินเดีย และสร้างเสร็จในปี พ.ศ. ๒๕๒๙ ตำแหน่งด้านการปกครองคณะสงฆ์และสมณศักดิ์ ปี พ.ศ. ๒๕๐๔ เป็นเจ้าอาวาสวัดวังก์วิเวการาม ปี พ.ศ. ๒๕๐๕ เป็นเจ้าอาวาสวัดศรีสุวรรณาราม ปี พ.ศ. ๒๕๐๙ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ปี พ.ศ. ๒๕๑๑ เป็นพระอุปัชฌาย์ ปี พ.ศ. ๒๕๑๒ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น พระครูอุดมสิทธาจารย์ ตำแหน่งเจ้าคณะตำบลชั้นโท ปี พ.ศ. ๒๕๑๖ ได้รับพระราชทานแต่งตั้งเป็นพระครูเจ้าคณะตำบลชั้นเอก ปี พ.ศ. ๒๕๒๔ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะ ที่ พระอุดมสังวรเถร ปี พ.ศ. ๒๕๓๔ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็น พระราชอุดมมงคล ** หลวงพ่ออุตตมะ มรณภาพวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๔๙ ** ที่มา : www.monstudies.com |
คำสอนของหลวงปู่อุตตมะ "เมตตาธรรมเท่านั้นที่จะเอาชนะทุกสิ่งทุกอย่างได้..."
|
2 Attachment(s)
http://watthakhanun.com/webboard/att...1&d=1344850739 http://watthakhanun.com/webboard/att...8&d=1273731236 หลวงพ่อพระพุทธอุดมสุขทำด้วยหินอ่อนจากพม่า ซึ่งหลวงปู่สั่งทำด้วยราคา ๒๕ บาททองคำ สมัยเมื่อมาถึงใหม่ ๆ เปรียบเทียบกันในปัจจุบันครับ |
1 Attachment(s)
http://watthakhanun.com/webboard/att...5&d=1273757030 หลวงปู่สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยากับหลวงปู่อุตตมะภายในวัดพระแก้ว |
1 Attachment(s)
http://watthakhanun.com/webboard/att...1&d=1344783466 :l43841274qn5:สมัยหลวงปู่ยังเเข็งเเรงท่านนั่งรับโยมบนศาลาไม้หลังเก่า กระทาชายนายหนึ่งดื่มสุราจนเช้า แต่วิสัยของชาวมอญในวันพระอย่างไรก็ต้องไปวัด :onion_wink:พอเท้าก้าวขึ้นศาลาเท่านั้น กระโถนข้างหลวงปู่ก็ลอยละลิ่วมาถูกหัวหนุ่มคนนั้นทันที อะไรมันจะแม่นปานนั้น... ศาลาหลังนั้นก็ประมาณศาลาใหญ่วัดท่าขนุน ระยะประมาณท้ายศาลา กับตรงที่พระอาจารย์นั่งเป่ายันต์เห็นจะพอกัน :onion_emoticons-23:หลังจากนั้น คำพรจากหลวงปู่ก็พรั่งพรูออกมา ใครจะลองที่วัดท่าขนุนบ้างผมก็ไม่ว่านะครับ แฮ่ ๆ |
1 Attachment(s)
:d16c4689:ก่อนเข้าพักผ่อนคืนหนึ่งท่านถามว่า "พรุ่งนี้ฎีกาโยม(พระตำหนักพัทยา) กี่โมง" พวกเราก็บอกว่า ฉันเพลออกตอนแปดโมงเช้าก็ทันครับ (ออกจากสาย ๒ พุทธมณฑล) ท่านก็ทำวัตรค่ำเสร็จ ก่อนเข้าห้องนอน ท่านก็หันมาสั่งว่า "พรุ่งนี้ออกตีสี่นะ" พวกเราก็โอดครวญ (หลังจากท่านเข้าห้องแล้ว ฮ่า ๆ ขืนเป็นต่อหน้าก็ซวยสิครับพี่น้อง ) "โห ทำไมหลวงปู่ต้องรีบด้วย" ฎีกาก็บอกแล้วว่าสิบโมงเช้า :onion_you: พอไปถึงพระตำหนักตอนเช้า "ฉันเช้าครับพี่น้องครับ" เจ้าพนักงานพิมพ์ฎีกาผิดหรือเขาเลื่อนขึ้นมาก็ไม่ทราบ ที่แน่ ๆ งานนั้นก็ยังสงสัยว่า ท่านไปเอาฎีกาใหม่มาจากไหน ? :onion_wink: |
1 Attachment(s)
http://watthakhanun.com/webboard/att...6&d=1283997728 ๑.หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ (พระสุธรรมคณาจารย์) ๒.หลวงพ่อฤๅษี (พระราชพรหมยาน) ๓.หลวงพ่ออุตตมะ อุตฺตมรมฺโภ (พระราชอุดมมงคล) ๔.หลวงพ่อพุธ ฐานิโย (พระราชสังวรญาณ) |
ท่านมีความเกี่ยวเนื่องกับวัดท่าขนุนผมเพิ่งทราบจากที่นี้
|
1 Attachment(s)
http://watthakhanun.com/webboard/att...0&d=1339495588 พระคาถาภาวนาเวลาชักลูกประคำ ที่หลวงปู่ ใช้ คือ นะโมพุทธายะ ยะธาพุทโมนะ มะอะอุ อุอะมะ หรือ ถ้าจะใช้บทสั้นกว่านั้น ก็คือ อะ สัง วิ สุ โล ปุ สะ พุ ภะ แต่เท่าที่เคยได้ยิน คาถาชินบัญชร ของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ท่านก็ใช้ด้วยครับ |
1 Attachment(s)
http://watthakhanun.com/webboard/att...3&d=1339570945 มีน้องที่ดูแลหลวงปู่เล่าว่า ขณะถวายการรับใช้หลวงปู่ นึกอยากจะไปกราบหลวงพ่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร จึงกราบเรียนท่านว่า "ขออนุญาตไปกราบหลวงพ่อสมเด็จฯ แล้วจะรีบกลับมาครับหลวงปู่" ท่านก็ไม่ได้ว่าอะไร ครั้นพอไปถึงวัดทำวัตรค่ำเสร็จ หลวงพ่อสมเด็จฯ กำลังจะขึ้นพัก น้องเขากราบทำบุญ ท่านหันมายิ้ม จับมือ แล้วกล่าวว่า "กลับไปบอกหลวงพ่ออุตตมะด้วยว่า เราได้มาเจอกันแล้ว และจะไปเยี่ยมท่านวันหลัง" :onion_no:จึงสงสัยว่า ท่าน " โทรศัพท์ " หากันตอนไหน |
1 Attachment(s)
พระมหาสุชาติ เจ้าอาวาสวัดวังก์วิเวการาม รูปปัจจุบัน ท่านเล่าว่า "คืนหนึ่งหลังจากทำวัตรค่ำเสร็จ หลวงปู่ท่านกำลังสวดมนต์ประจำวันใช้เวลาไม่ต่ำกว่า ๒ ชั่วโมง มีทั้งภาษาไทยและภาษามอญ หลวงพี่ก็ลุ้นว่าเมื่อไรจะจบเสียทีเนื่องจากง่วงด้วย ล้าจากกิจวัตรประจำวัน :4519626a:ท่านก็ว่าของท่านไปเรื่อย ทีนี้มีบทหนึ่ง พระอภิธรรม ๗ บท รู้จักไหม ? ท่านไม่ได้สวดนานแล้ว ภาษามอญนะ เราก็ไปหยิบหนังสือมากางดู ไล่ตามทีละตัว ไม่ได้ตั้งใจจับผิดอะไร ดูตามไป ไม่น่าเชื่อ ไม่ผิดเลยสักคำ "อะ อา" อะไร ลงตามนั้นตรงเผงทุกคำเลย:4672615: ท่านไม่เห็นหรอกว่าหลวงพี่ทำอะไร เพราะว่าท่านนั่งหน้าสุด เรานั่งหลัง พอจบ ท่านหันมาเลยนะ "ว่ายังไงมหาฯ..เราว่าผิดไหม ?" หลวงพี่นี่หงายหลังตึงเลย กราบขอขมาแทบไม่ทัน ตั้งแต่นั้นมาก็เลิกนะ ฮ่า ๆ" :54bd3bbb::54bd3bbb: จบดีกว่าเดี๋ยวเข้าตัว ...:onion_no::onion_no: |
1 Attachment(s)
หลังออกพรรษาปี พ.ศ. ๒๕๔๗ มีพระมาลาสิกขากับหลวงปู่ ท่านให้โอวาทแล้วบอกว่า "พระที่จะสึกนี่ อย่าไปที่ที่มีทะเลกันนะ..ช่วงนี้ " พระก็ทำหน้างง ๆ กัน แต่ไม่มีใครกล้าถามอะไรต่อ ท่านก็เงียบ:onion_you: ภายหลังออกมา สืบสาวราวเรื่องกันได้ความว่า พระที่สึกวันนั้นตั้งใจจะไปเที่ยวทะเลที่ภูเก็ตกัน :onion_emoticons-17: ต่อมา ประมาณต้นเดือนธันวาคมปีนั้นเอง หลวงปู่ก็นั่งมองออกไปนอกหน้าต่าง เงียบอยู่นานเป็นชั่วโมง เราก็อยากรู้ว่า "ท่านคิดอะไรอยู่" ความในใจครูบาอาจารย์ ใครจะไปกล้าคาดเดา เลยกราบเรียนถามท่านว่า "มีอะไรหรือครับ เห็นหลวงปู่มองออกไป เหมือนมีอะไร" ท่านตอบว่า "เรากำลังดูน้ำ" พอจะถามต่อ ท่านก็ชวนคุยเรื่องอื่นเสีย ในใจตอนนั้นได้แต่คิดว่า "สังขละ มันจะมีปัญหาเรื่องนั้น ที่ไหนหนอ ก็เห็นน้ำท่าบริบูรณ์ดี เขื่อนหรือก็น้ำเต็มปีนี้ ":a03cbf1e::a03cbf1e: สุดท้าย วันที่ ๒๗ ธันวาคม ปีนั้นเอง ก็เกิดสึนามิ (tsunami) ที่ประเทศไทย ทำให้เกิดความเสียหายอย่างมหาศาล ปัญญาของครูบาอาจารย์เกินความคาดเดาของเราจริง ๆ |
1 Attachment(s)
http://watthakhanun.com/webboard/att...1&d=1345340440 พระมหาสุชาติ สิริปญฺโญ ป.ธ.๙ เจ้าคณะอำเภอสังขละบุรี ท่านเล่าว่า หลวงปู่เห็นท่านท่องหนังสือ ท่านก็ปรารภว่า "มหาฯ เรียนพระอภิธรรม เหมือนจับปลาในน้ำนะ เห็นเงาอยู่ไหว ๆ แต่พอจะจับกลับหายไปเสีย" แล้วท่านก็ไม่ได้อธิบายต่อว่าปริศนาธรรมนี้ มีความหมายอย่างไร ...:onion_no: "หลวงพี่เอง ก็ไม่ค่อยแน่ใจ ว่าท่านหมายความว่าอย่างไร" แฮ่ ๆ กระผมก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ ขอความเมตตาท่านพี่ด้วยครับ:875328cc::875328cc: |
หรือว่าหมายถึงเรียนแต่ทฤษฎี มันก็ได้แต่เห็นเงา ๆ
ต้องลงมือปฏิบัติด้วย ถึงได้ผล...ใช่หรือเปล่า |
1 Attachment(s)
http://watthakhanun.com/webboard/att...1&d=1349047833 เช้าวันหนึ่งมีคนมากราบหลวงปู่ ด้วยท่าทีที่รีบร้อนกระวนกระวาย กราบเสร็จหลวงปู่ถามว่า "มีอะไรหรือโยม" หนุ่มคนนั้น เรียนท่านว่า "ควายหายครับ "ไจ๊นง"" หลวงปู่บอกว่า "เดี๋ยวเราดูให้" ว่าแล้วท่านก็ไปหยิบหนังสือข้างตัวมาเปิด พลิกไปพลิกมาสองสามหน้า แล้วท่านก็บอกว่า "โยมกลับไปรอที่บ้านเถอะ เดี๋ยวตอนเย็นจะเจอเอง" ใครจะไปเชื่อ "ควายหายทั้งตัวนะครับ "ไจ๊นง"" ไม่ใช่ตัวละบาทสองบาทเมื่อไร แต่ก็ขัดหลวงปู่ไม่ได้ต้องกลับบ้านไป เช้าวันรุ่งขึ้นหนุ่มคนเดิมนี่เอง หอบลูกจูงหลาน เอามะพร้าว ข้าวปลา ดอกไม้ ธูปเทียน ใส่กาละมังมา กราบขอบพระคุณหลวงปู่เป็นการใหญ่ ถ้าตำราแม่นขนาดนี้ อยากจะได้สักเล่มจริง ๆ ให้ดิ้นตาย กลับไปเปิดหนังสือเล่มนั้นดู เอาไปให้พระท่านช่วยอ่าน อ้าว..! กลายเป็นบทสิบสองตำนานไปเสียอย่างนั้น เฮ้อ จบกัน ความหวังเรา :onion_no: |
1 Attachment(s)
http://watthakhanun.com/webboard/att...2&d=1342098350 พระราชสังวรญาณ (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย) วัดป่าสาลวัน จังหวัดนครราชสีมา เคยกล่าวถึงหลวงปู่ว่า "ท่านได้รับคำพยากรณ์แล้ว และเป็นหนึ่งในอนาคตวงศ์ด้วย" |
1 Attachment(s)
http://watthakhanun.com/webboard/att...3&d=1342136314 กิจวัตรประจำวันของหลวงปู่มีดังนี้ ๑. เวลา ๑๘.๐๐ น. ให้สวดมนต์ภาวนา ๒. เวลา ๒๑.๐๐ น. เริ่มพิจารณาพระกรรมฐาน ย้อนอดีตไปดูในแต่ละวันว่าทำผิดสิ่งใด แก้ไขแล้วอย่างไรบ้าง ๓. เวลา ๒๔.๐๐ น. จงกรมนอกกลดในเขตหัตถบาส ๔. เวลา ๐๒.๐๐ น. พักผ่อน ๕. เวลา ๐๔.๐๐ น. พิจารณารับอรุณ |
1 Attachment(s)
http://watthakhanun.com/webboard/att...8&d=1342404025 วัวกับภูเขา ก็เหมือนเรากับอุปสรรค หลวงปู่เล่าพลางชี้มือไปนอกศาลาให้ดูวัวที่เล็มหญ้าที่เนินเขาว่า " การที่เราจะทำงานต่าง ๆ ให้สำเร็จ เป็นธรรมดาที่จะต้องมีอุปสรรค ค่อย ๆ คิด ค่อย ๆ ทำ อย่าวู่วาม ใช้ปัญญาพิจารณา อย่ามุ่งเอาเเต่ประโยชน์สุดท้ายอย่างเดียว " " โน่น เห็นวัวไหม ? " " เห็นครับหลวงปู่ ทำไมหรือครับ ? " " มันก็เหมือนกับวัวตัวนั้น ถูกเขาต้อนขึ้นไปบนเนินเขา " " เดินไปพลาง เล็มหญ้าไปพลาง ไม่นานดอก เนินเขาก็ต้องอยู่ใต้ท้องวัวจนได้ " |
2 Attachment(s)
ปี พ.ศ. ๒๕๑๙ วัดเกาะวังไทร นิมนต์หลวงปู่ไปงานที่วัด และขอจัดสร้างเหรียญที่ระลึกในงานนี้ด้วย สมัยนั้น การเดินทางจากวัดโดยทางรถยนต์ไม่สะดวก ต้องนั่งเรือล่องตามแม่น้ำมา ซึ่งใช้เวลานาน ทหารจึงจัดเฮลิคอปเตอร์ หรือที่เราเรียกกันสั้น ๆ ว่า " ฮ. " มารับท่านไปงาน ในวันนั้น ท่านนำเหรียญบรรรทุกไปด้วย พอถึงวัดเกาะวังไทร ท่านก็ลงจากเฮลิคอปเตอร์ นักบินก็จะนำเครื่องกลับ แต่ทำอย่างไรเครื่องก็บินไม่ขึ้น จึงขอให้หลวงปู่ช่วยตรวจดูให้ หลวงปู่พิจารณาแล้ว บอกว่า " ลืมเอากล่องเหรียญลงมาจากเครื่อง " พอนักบินยกกล่องเหรียญลงมา เครื่องก็สามารถบินกลับฐานได้ตามปรกติ ผู้อยู่ในเหตุการณ์ครั้งนั้น จึงพากันเรียกเหรียญ รุ่นนี้ว่า " เหรียญ รุ่น ฮ.ไม่ขึ้น " |
น้ำท่วมวัด
1 Attachment(s)
http://watthakhanun.com/webboard/att...6&d=1343188729 เมื่อเริ่มสร้างเขื่อนเขาแหลมนั้น วิทยาการในการสร้างยังไม่ทันสมัยเท่ากับในปัจจุบัน พอสร้างเสร็จ ระบบการตรวจจับ บอกได้ว่า เขื่อนรั่ว แต่จะรั่วจุดไหน อย่างไร ต้องใช้กำลังคนเข้าไปสำรวจ วิศวกรค้นหาอย่างไรก็ไม่พบ จนปัญญาจริง ๆ ทั้งคณะจึงมากราบขอร้อง ให้หลวงปู่ช่วย ท่านเองก็ไม่ได้จบวิศวกรรมศาสตร์ ใบประกอบวิชาชีพ กว. ก็ไม่มี ได้แต่อาศัยเปิดตำรา" โลกวิทู " แล้วก็ชี้จุดให้เขาไป เมื่อทางการซ่อมเขื่อนที่ชำรุดแล้วเสร็จ น้ำในเขื่อนเพิ่มระดับทันที และท่วมวัดทันใจด้วยเช่นกัน หลวงปู่ท่านสั่งให้ย้ายทั้งวัด และหมู่บ้านมอญ หนีน้ำมา ณ จุดที่สร้างวัดใหม่ในปัจจุบันทันที แล้วท่านก็ปรารภแบบอารมณ์ดี ว่า " เราไม่น่าช่วยเขาเลย น้ำท่วมวัด หนีแทบไม่ทัน " |
1 Attachment(s)
http://watthakhanun.com/webboard/att...6&d=1343271997 พูดถึงเรื่องวิศวกรแล้ว นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้ มีรายการโทรทัศน์ มาถ่ายทำรายการที่วัด พร้อมขอสัมภาษณ์หลวงปู่ด้วย หนึ่งในคำถาม ก็คือ " หลวงพ่อครับ ใครเป็นวิศวกรควบคุมการก่อสร้างสะพานครับ ? " หลวงปู่ตอบ พร้อมกับชี้มือไปที่ตัวท่านเอง ว่า " วิศวกรหรือ นั่งอยู่นี่อย่างไร นี่แหละคนนี้เอง ฮ่า ๆ " :54bd3bbb: |
ถวายน้ำส้ม ขอไปนิพพาน
1 Attachment(s)
มีโยมหน้าใหม่ มาแต่บ้านไกล จะขอถวายน้ำส้มคั้นมือ อธิษฐานมาตั้งแต่ ที่บ้านว่า " ธรรมใดที่ท่านเจ้าคุณ รู้แล้ว ขอให้ดิฉันมีส่วนแห่งธรรมนั้นด้วยเถิด เจ้าข้า" มาถึงกุฏิ ก็ยืนหน้าประตู จะเข้าก็ไม่เข้า อยู่เช่นนั้น สองสามรอบ หลวงปู่เห็นเข้า เรียกให้เข้า ก่อนท่านให้พร ท่านก็สัพยอกเอาว่า " ถวายน้ำส้มแก้วเดียว จะเอายันนิพพานเลยหรือโยม ? " |
1 Attachment(s)
http://watthakhanun.com/webboard/att...1&d=1344784352 เรื่องนี้ข้าพเจ้าไม่ได้ยินจากหลวงปู่เอง แต่คุณอภิรักษ์ จุฬาสินนท์ เล่าให้ข้าพเจ้า ฟังว่า ประมาณปี พ.ศ. ๒๕๔๐ มีผู้ถามท่านว่า " หลวงปู่ครับ ถ้าหลวงปู่ละสังขารแล้ว จะไปที่ไหนครับ ? " หลวงปู่ นิ่งไปสักครู่ แล้วบอกด้วยน้ำเสียงเรียบและเบาว่า " เราจะไปพรหม " สืบเนื่องจากเรื่องนี้เอง จึงมีผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง สร้างพระพรหมมาให้หลวงปู่เสก ท่านก็สั่งให้นำเข้าพิธีทุกครั้งในระยะหลังของชีวิต แต่เป็นที่น่าเเปลกใจว่า เมื่อมีผู้กราบเรียนถามถึงเหรียญรุ่นนี้ ท่านมักจะบอกปัด ไม่ยอมให้เอาออกมาแจก หรือให้บูชาทุกครั้ง โดยบอกเพียงสั้น ๆ ว่า" เก็บไว้ก่อน " เท่านั้น |
ยาสีฟันของหลวงปู่
1 Attachment(s)
http://watthakhanun.com/webboard/att...1&d=1344837019 ข้าพเจ้าเห็นว่า หลวงปู่ไม่ค่อยใช้บริการทันตแพทย์เท่าไรนัก แถมฟันท่านยังเเข็งแรงดี จึงแอบถามท่านว่า " หลวงปู่ ใช้ยาสีฟัน ยี่ห้ออะไรครับ ? " ท่านเห็นข้าพเจ้าถาม แทนที่ท่านจะตอบ กลับใช้ให้ข้าพเจ้าไปหยิบกระปุกยาในห้องมาดม เมื่อเปิดออกดู แทนที่จะพบยาสีฟัน กลายเป็นเกลือป่นสีเขียวอ่อน ท่านสั่งให้ดมดู กลิ่นเหมือนผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว แต่ไม่ทราบว่าเป็นอะไร ท่านเฉลยว่า " เป็นมะเฟืองกลั่นกับเกลือ ดีกว่าเกลือธรรมดา เพราะช่วยรักษารากฟัน " อ๋อ...ยี่ห้อนี้นี่เอง แล้วจะซื้อได้ที่ห้างฯ อะไรครับ หลวงปู่ แฮ่ ๆ |
การเสกพระ
1 Attachment(s)
http://watthakhanun.com/webboard/att...1&d=1344989242 มีผู้นำเจ้าแม่กวนอิมมาขอให้หลวงปู่เสก ท่านมองไปที่รูปเจ้าแม่กวนอิม แล้วพูดกับพระที่นั่งอยู่ด้วยว่า " เดี๋ยวนี้ อะไร ๆ ก็เสกเป็นพระไปหมด ทำอะไรก็ต้องให้เป็นแบบนั้น เสกเจ้าแม่กวนอิม ก็ต้องให้เป็นเจ้าแม่กวนอิม เสก ร.๕ ก็ต้องให้เป็น ร.๕ " |
คนละเรื่องเดียวกัน
1 Attachment(s)
http://watthakhanun.com/webboard/att...1&d=1345078597 มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ถามหลวงปู่ว่า " หลวงปู่ครับ พระของหลวงปู่ หารุ่นแรกไม่ได้ ใช้รุ่นไหนดีครับ ? " หลวงปู่ท่านตอบกลับมาว่า " เรื่องศาสนานั้น ยิ่งนาน ยิ่งดี " ผู้ถามหันมาพูดกับข้าพเจ้าว่า " นั่นอย่างไร..ไอ้หนู กลายเป็นคนละเรื่องกันเสียแล้ว " :4672615: |
การเสกพระตามธรรมเนียมมอญ
1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1345164925 ตอนนั้น มีงานเสกพระรุ่นหนึ่ง หลวงปู่โต๊ะ ท่านทราบข่าวว่า หลวงปู่มาด้วย จึงขอพบหลวงปู่ ตอนหนึ่งที่ท่านถามหลวงปู่ ก็คือ ท่านอยากทราบว่า " ทางมอญนั้น เขาเสกพระกันอย่างไร ? " หลวงปู่ก็เรียนท่านไปว่า " ธรรมเนียมมอญนั้น ไม่มีการเสกพระ เพราะเชื่อว่า พระพุทธเจ้าท่านสำเร็จแล้ว มีแต่การสวดสรรเสริญคุณพระเท่านั้น " |
เรียนต่ำ จิตใจสูง
1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1345252358 หลวงปู่ท่านเมตตาสอนเกี่ยวกับการเรียนไว้ว่า " การเรียนปริยัติ เขาให้เรียนลง บางคนเรียนไปแล้ว คิดว่าตัวเองเรียนสูง เกิดมานะ กิเลสเพิ่ม " " แท้ที่จริงแล้ว เรียนไปแล้ว จิตใจต้องอ่อนลง ผู้มีมานะแบบนี้ พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า สอนยากเหลือเกิน " |
1 Attachment(s)
http://watthakhanun.com/webboard/att...1&d=1345331492 วันที่ ๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๐ หลวงปู่ได้รับการถวายพัดยศจากรัฐบาลพม่า ในนามของ "อภิธัชชะ อัคคะมหาสัทธัมมะโชติกะ" |
1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1345422906 ปี พ.ศ. ๒๕๒๒ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็น พระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะตำบลชั้นเอก ฝ่ายวิปัสสนาธุระ ที่ พระครูอุดมสิทธาจารย์ |
1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1345516581 พ.ศ. ๒๕๒๔ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น พระราชาคณะชั้นสามัญ ฝ่ายวิปัสสนาธุระ ที่ พระอุดมสังวรเถร |
1 Attachment(s)
http://watthakhanun.com/webboard/att...1&d=1345553257 พ.ศ. ๒๕๓๔ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็น พระราชาคณะชั้นราช ฝ่ายวิปัสสนาธุระที่ พระราชอุดมมงคล พหลนราทร มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี |
เย ธัมมา
1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1345601488 มีลูกศิษย์คนหนึ่งเป็นเนื้อร้าย แพทย์ไม่สามารถรักษาได้แล้ว เมื่อป่วยหนัก ทำอะไรไม่ได้ ก็นึกถึง " พระ " พระท่านก็ให้ " ผงขี้เถ้าธูป " ในกระถางที่บูชาพระในโบสถ์ไปกิน คราวนี้ แพทย์อ่านผลว่าไม่พบเนื้อร้ายแล้ว แต่พบอักษร " เย ธัมมา " แทน พระสงฆ์รูปนั้น เวลาต่อมาก็คือ หลวงปู่พระราชอุดมมงคล นี่เอง:4672615: |
ไฟไหม้
1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1345683953 :4672615:เรื่องนี้ พี่รักษ์เล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า เมื่อหลวงปู่กลับจากโรงพยาบาล พี่รักษ์ต้มน้ำขิงไปถวายหลวงปู่ที่วัด ความที่กลัวจะไปไม่ทันก่อนท่านเข้าพัก รีบจนลืมดับฟืนไฟ นึกได้เอาจวนจะถึงวัด ทำอย่างไรดีทีนี้ เมื่อไม่มีที่พึ่ง ก็นึกถึง " หลวงปู่ " ช่วยผมด้วย งานนี้ไฟไหม้บ้าน กลับไปเมียด่าแน่ สมัยนั้นโทรศัพท์เคลื่อนที่ก็ยังไม่มีใช้ เมื่อเห็นปั๊มน้ำมัน ก็เข้าไปขอโทรศัพท์เขาใช้ บอกญาติให้ไปดู เพราะที่บ้านวันนั้นไม่มีใครอยู่เลย พอพี่รักษ์ไปถึงวัด หลวงปู่พูดทันทีว่า " วันหลังก่อนออกจากบ้านให้ระวัง ดูฟืนดูไฟให้ดี ดับให้เรียบร้อย " ถวายน้ำขิงเสร็จ กลับมาบ้าน ปรากฏว่าหม้อละลายก้นทะลุเเล้ว นอกจากนั้นไม่มีอะไรเสียหาย ถ้าไม่ได้หลวงปู่ช่วยไว้ เห็นทีจะแย่แน่ ๆ |
1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1345770934 หลวงปู่ท่านมีความเคารพในพระพุทธเจ้ามาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่านจะให้ความสำคัญ กับการบูชา "พระบรมสารีริกธาตุ" มากเป็นพิเศษ ทุกครั้งที่มีการอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุจากต่างประเทศมา ท่านจะสั่งให้พวกเราไปกราบให้ได้ทุกครั้ง โดยจะย้ำเสมอว่า " อย่าลืมต้องไปกราบให้ได้นะ " |
พระธาตุเสด็จมาเพิ่ม
1 Attachment(s)
http://watthakhanun.com/webboard/att...1&d=1345852155 คราวหนึ่ง เพื่อนของข้าพเจ้าเตรียมพระธาตุไปถวายหลวงปู่ ๙ องค์ โดยแยกเตรียมไว้ที่บูชาตรงหัวนอนเพราะกลัวจะลืม เมื่อไปถึงวัดเปิดออกดูกลับเพิ่มเป็น ๑๒ องค์ พอถวายหลวงปู่ แทนที่ท่านจะส่งให้พี่ที่อยู่รับใช้เก็บ ท่านรับแล้วนำใส่ในย่ามของท่านทันที :4672615: |
1 Attachment(s)
http://watthakhanun.com/webboard/att...1&d=1345937616 หลวงปู่ท่านเล่าว่า ตอนปักกลดในป่า มีช้างมาร้องโกญจนาท แผดเสียงดังมาก เหมือนจะเข้ามาทำลายกลด ท่านเองคิดในใจว่า " ช้างจะมาทำอะไรก็ช่าง ในเมื่อเราสละร่างกายแล้ว ไม่คิดว่าเป็นของเราแล้ว จะเกิดอะไรก็ช่างมัน " คิดเท่านั้น ช้างก็จากไป |
1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1346051680 หลวงปู่ท่านเคยเล่าถึง พระพุทธบาทสี่รอยเอาไว้ว่า " เราเคยไปพระบาทสี่รอยมาเหมือนกัน เมื่อเข้ามาประเทศไทยใหม่ ๆ ประมาณ ปี พ.ศ. ๒๔๙๐ " ข้าพเจ้ากำลังจะถามต่อว่า " รอยพระพุทธบาทนี้ เป็นของจริงหรือไม่ ?" ท่านก็พูดออกมาเสียก่อนว่า " ที่เห็นนั่น พระพุทธเจ้าท่านมาประทับรอยพระพุทธบาทไว้จริง ๆ นะ " |
ยาดีของหลวงปู่
1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1346116338 สมัยก่อนหลวงปู่อาพาธหนัก ถึงกับอาเจียนเป็นเลือด โยมเห็นดังนั้น จึงไปตามหมอดักลาส ซึ่งเป็นมิชชันนารีมารักษา หมอตรวจเสร็จแทนที่จะวินิจฉัยโรคและให้ยา กลับบอกว่า " โดนอาคมไสยศาสตร์ ทั้งยังบอกอีกว่าที่อเมริกาก็มีด้วยเช่นกัน " หลวงปู่จึงบอกว่า ไม่เป็นไร ท่านจะรักษาตัวเอง แล้วท่านก็ไปนั่งสวดมนต์หน้าที่บูชา ตั้งแต่เย็นจนถึงเช้า และฉันเพียงน้ำในบาตรเท่านั้น รุ่งเช้า อาการก็ดีขึ้น หมอดักลาสจึงมาขอยาของหลวงปู่ ท่านตอบว่า " ฉันน้ำมนต์กับส้มป่อย หมอจะเอาบ้างไหม ? " |
1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1346205905 สมัยก่อนที่สังขละบุรีเป็นไข้ป่ากันมาก หลวงปู่จึงสั่งให้กลั่นสะเดาป่าทำยา ท่านว่า " มันเข้มกว่าควินิน " เมื่อคนไข้มากขึ้น ยาก็ต้องกลั่นมากตามไปด้วย ตชด. หวังดีจึงนำขวดแม่โขงมาให้บรรจุยา เป็นเรื่องขึ้นมาเลยทันที สรรพสามิตมาถึงวัดเลยทีเดียว เพราะข่าวไปถึงในเมืองว่า " หลวงพ่อกลั่นเหล้าจนขวดแม่โขงเต็มวัด " พอมาถึงเห็นเป็นยาเลยพูดแก้เขินว่า "ผมก็นึกว่าทางวัดต้มเหล้า" หลวงปู่ตอบหน้าตาเฉยว่า "ต้องต้มสิ สังขละฯ หนาวจะตายอยู่แล้วนี่" |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 00:59 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.