|  | 
| 
 เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ต้นเดือนเมษายน  ๒๕๕๓ ถาม  :  ตอนนี้ผมเห็นหลวงพ่อฤๅษี อยากทราบว่าเป็นองค์จริงหรือเปล่าครับ ? ตอบ : เห็นท่านก็ไปถามท่านสิ มาถามอะไรกับอาตมา..! ถาม : เจอท่านตลอด โดยเฉพาะตอนตื่นขึ้นมาจะเห็นท่านตลอด ไม่รู้ว่าเป็นบ้าหรือเปล่า ? ตอบ : เคยอ่าน เคยฟัง เคยปฏิบัติตามที่หลวงพ่อท่านสอนมาก่อนหรือเปล่า ? ถาม : เป็นก่อนที่จะไปฝึกมโนฯ ครับ ตอบ : ถ้าคุณเคยอ่านหนังสือของท่าน เคยฟังเทปของท่าน หรือเคยปฏิบัติตามที่ท่านสอน ก็จะมีอยู่ประโยคหนึ่งว่า กราบขอบารมีพระพุทธเจ้าขอให้เรารู้เห็นตามความเป็นจริง ตรงนี้แหละเป็นไม้ตายเลย ครูท่านให้เอาไว้ ถ้าหากไม่ใช่ของจริง จะอยู่ไม่ได้ | 
| 
 ถาม :  ตอนที่ฝึกมโนฯ  เวลาเจอภาพจะเป็นแก้วหมดเลยครับ  ตรงนี้หมายถึงอย่างไร ? ตอบ : ถ้าสมาธิดี วิปัสสนาญาณดี ภาพก็เป็นแก้ว ถ้าสมาธิไม่ดี วิปัสสนาญาณไม่ดี อาจจะเป็นอิฐเป็นปูนก็ได้ เอาไว้วัดสมาธิและวิปัสสนาญาณของตนได้ ถ้าสมาธิดีภาพที่เห็นจะชัดเจนแจ่มใส แปลว่าในช่วงนั้นเรามีการพิจารณาวิปัสสนาญาณดี มีการทรงสมาธิดี ก็สามารถที่จะเห็นได้ชัดเจน ถ้าหากว่ามัวหรือมีข้อบกพร่องอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น ศีลอาจจะบกพร่องไม่สมบูรณ์ ก็มัวได้ ถาม : ทุกวันนี้ก็ยังไม่หาย ? ตอบ : ไม่ต้องไปใส่ใจ ให้รู้เห็นได้ก็พอ ต่อให้ไม่เห็น..ให้รู้ได้ก็พอ ถ้ามัวไปใส่ความชัดเจนอยู่ ชาตินี้ไม่ต้องไปฝึกปฏิบัติหรอก เสียเวลาเปล่า..! ถาม : อย่างนี้เขาเรียกว่าทิพจักขุญาณหรือเปล่า ? ตอบ : มโนมยิทธิเป็นทิพจักขุญาณอยู่แล้ว ถาม : แล้วอุปจารสมาธิละครับ เป็นอารมณ์..? ตอบ : ก็คือ อารมณ์ตอนนี้แหละ ถาม : อย่างไรครับ ? ตอบ : อุปจาระ แปลว่า ขอบเขต อุปจารสมาธิ คือ อยู่ในขอบเขตของสมาธิ ยังไม่ทรงตัวเป็นอัปปนาสมาธิ คือ สมาธิแนบแน่นตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไป อุปจารสมาธิเป็นกำลังใจปกติธรรมดาของเรา ที่ใช้ความตั้งใจเพิ่มขึ้นไปอีกนิดเดียวเท่านั้นเอง | 
| 
 ถาม : เสียงสวดมนต์ขณะปฏิบัติสมาธิเป็นนิวรณ์หรือเปล่าครับ ตอบ : นิวรณ์คุณเข้าใจว่าเป็นอะไร ? ถาม : ความพอใจในรูป, รส, กลิ่น, เสียง, โทสะ, ความคิดฟุ้งซ่าน, ความลังเลสงสัย, และความง่วงเหงาหาวนอน ตอบ : แล้วเข้าเกณฑ์ไหมล่ะ ? ถาม : จัดว่าเป็นเสียง ใช่หรือเปล่า ? ตอบ : ถ้ากำลังใจเข้าสู่อุปจารสมาธิ ความเป็นทิพย์ ทั้งรูป ทั้งกลิ่น ทั้งเสียงต่าง ๆ เราสามารถสัมผัสได้ เพราะฉะนั้นถ้าได้ยินเสียงสวดมนต์ก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องแปลก นิวรณ์ของเสียง ส่วนใหญ่ก็คือเสียงในเพศตรงข้าม ที่เราได้ยินแล้วก่อให้เกิดราคะ ก่อให้เกิดโทสะ เป็นต้น ถ้าหากเสียงนั้นไม่ก่อให้เกิดราคะ โทสะ โมหะขึ้นมา ไม่จัดว่าเป็นนิวรณ์ | 
| 
 ถาม :  ตอนนี้เหมือนกับว่างานที่ผมอยู่ทำสำเร็จดีครับ  แต่เกิดความรู้สึกว่าเบื่อ ตอบ : เบื่อก็เลิกทำสิวะ..! ถาม : มันเบื่อเหมือนไม่อยากทำเลย ทำแล้วไม่เหมือนก่อนที่ยังสนุกอยู่ ตอนนี้ไม่อยากทำ ไม่อยากเจอ ไม่อยากพูดกับใคร ผมควรจะทำหรือปฏิบัติตัวอย่างไรดีครับ ? ตอบ : ไปบวชซะ..! การปฏิบัติพอไปถึงระดับหนึ่ง จะเกิดอารมณ์นิพพิทาญาณ คือ ความเบื่อ จัดเป็นอารมณ์ที่ดีมาก เพราะถ้าไม่เบื่อ เราก็อยากจะเกิดมาทุกข์อีก จริง ๆ แล้ว เราต้องประคับประคองความเบื่อนี้เอาไว้ แล้วพิจารณาให้เป็นธรรมดา ในเมื่อเราเกิดมา มีหน้าที่ทำมาหากินเป็นปกติอย่างนั้นเราก็ทำไป ถือแค่ว่าทำตามหน้าที่ ถ้าตายตอนนี้เราก็เลิกทำ..จบ ต้องพยายามคิดตรงนี้ให้ได้ ถ้าข้ามตรงนี้มาได้จะเป็นสังขารุเปกขาญาณ เป็นอารมณ์ปล่อยวาง ไม่ไปแบกเอาไว้ ความเบื่อก็ไม่มี หรือไม่ก็ใช้วิธีอย่างที่ว่า เบื่อมาก ๆ ก็ไปบวช จะได้เบื่อหนักเข้าไปอีก..! | 
| 
 ถาม :  ตอนนั่งสมาธิ  ผมก็ทำอย่างหลวงพ่อ ก็คือบวงสรวงก่อน ผมจะเจอเทวดา ท่านก็บอกว่า เป็นคำสั่งของท่านท้าวมหาราชให้มาคุ้มครอง ตรงนี้จริงหรือเปล่าครับ ? ตอบ : บุคคลที่ปฏิบัติสมาธิได้ตั้งแต่อุปจารสมาธิขึ้นไป ท่านท้าวมหาราชจะให้เทวดามาคุ้มครองเป็นปกติอยู่แล้ว | 
| 
 ถาม : การบวช  เราต้องให้ผู้ปกครองรับทราบด้วยหรือเปล่า เพราะพ่อผมไม่อยากให้แม่มา ? ตอบ : ถ้าหากว่าบวช ควรจะบอกพ่อ บอกแม่ก่อน เพื่อให้ท่านโมทนาด้วย ถ้าหากว่ามีครอบครัวจำเป็นต้องคุยให้รู้เรื่องก่อน เพื่อที่โลกจะได้ไม่ช้ำ ธรรมจะได้ไม่เสีย ไม่ใช่ว่าทิ้งไปเฉย ๆ | 
| 
 พระอาจารย์บอกกับผู้ที่ขอให้สร้างรูปท่านแม่ทั้งสาม รุ่นที่ ๒ ว่า "ทำวัตถุมงคลอย่าไปย่ามใจ  เห็นว่าเสียงตอบรับดี  ไปทำซ้ำอีก  เจ๊งมาเยอะแล้ว    ตรงนี้เป็นประสบการณ์ส่วนตัวเลย" | 
| 
 พระอาจารย์กล่าวว่า  "พวกไฟไหม้หรือโรคระบาด  เกิดจากกรรมเก่าที่ไปทำร่วมกันมา พอถึงเวลาเทวดาจะมากำหนดเขตไว้เลย ถ้าหากเรารู้ทันและแก้ไข ก็จะไม่โดน ถ้ารู้ไม่ทันและแก้ไขไม่เป็น ก็จะเป็นไปตามวาระกรรมของตัวเอง คำว่า รู้ทัน ก็คือ พอเห็นว่ามีการขึงเชือกตีเขตเอาไว้ ก็รีบบอกเลย ขอให้เว้นไว้สักหลังหนึ่งเถอะ แล้วจะให้เราทำบุญอะไรให้ท่านก็ว่าไป ตอนไปหาดใหญ่ บ้านของคุณอุษณีย์ เขาเป็นห้องแถวไม้ ปรากฏว่าไฟไหม้ ญาติโยมก็ตาลีตาเหลือกลุกพรวดพราดไปช่วยกันเก็บของ ไฟที่ไหม้มานั้น ยังห่างอยู่อีกช่วงเดียว ช่วงเดียวก็คงหลายคูหา ส่วนใหญ่เขาก็ทิ้งของไว้ เอาเฉพาะของที่พอขนออกมาได้ เอามาเรียง ๆ ไว้ข้างฝา ตรงที่เรารับสังฆทานอยู่นั่นแหละ ถามเขาว่า ที่บ้านมีธงมหาพิชัยสงครามอยู่หรือเปล่า ? เขาบอกว่ามี ก็เลยบอกโยมว่า "ถ้ามีธงอยู่ไม่ต้องกลัวหรอก ตั้งใจอาราธนาเสียตั้งแต่ตอนนี้ ไฟไหม้ไม่ถึงบ้านหรอก" โยมเขาก็ตั้งท่าอาราธนาเสียดิบดี ตอนนั้นพระครูแสงยังไม่บวช เขาก็มองซ้ายมองขวา แล้วก็พูดว่า "หลวงพี่ผมหยิบมาด้วย..!" เขาแกะธงมหาพิชัยสงครามติดมือมาด้วย แต่บุญของเขายังดีอยู่ เพราะไฟไหม้มาสี่ห้อง แล้วเขาสกัดไว้ได้ก่อน ไม่อย่างนั้นแล้วคุณแสงโดนตื้บแน่นอนเลย เขาติดธงไว้กับบ้าน ดันไปแกะมาด้วย " | 
| 
 ถาม : ตอนนี้พยายามจะระงับอารมณ์กามราคะ  เวลามันเกิดขึ้นก็จะภาวนาคาถาเงินล้าน เหมือนเป็นระบบอัตโนมัติ พอเกิดราคะปั๊บ ก็จะภาวนาเลย แล้วก็จะทำให้ไม่ปรุงแต่งต่อได้   ตอบ : จริง ๆ แล้ว กรรมฐานทุกกองสามารถระงับราคะ โทสะ โมหะ ได้ทั้งนั้น สำคัญว่าทำถูกวิธีหรือเปล่า ? การภาวนาคาถาเงินล้านเท่ากับเราใช้อานาปานสติ ยิ่งสมาธิสูงเท่าไร ก็สามารถสกัดราคะได้เร็วเท่านั้น ถาม : ต้องทำอย่างไรต่อหรือเปล่า หรือแค่นี้ก็เพียงพอ ? ตอบ : เป็นไปได้ก็ให้หมอเขาผ่าตัดออกไปเลย (หัวเราะ) นี่พูดเล่นนะ ต่อให้ตัดทิ้งก็ไม่มีประโยชน์หรอก เพราะว่าเรื่องของราคะ โลภะ โทสะ โมหะ เป็นอารมณ์ใจ กายเราเป็นแค่ส่วนเนื่องถึงเท่านั้น พอพิจารณาให้เห็นทุกข์เห็นโทษ เบื่อหน่ายในราคะ จะได้คลายกำลังใจออกมา เลิกลาไปเอง แต่อย่ารีบทำเร็วนะ ถ้ายังมีครอบครัวและยังหนุ่มยังสาวอยู่ เดี๋ยวจะเดือดร้อน คนหนึ่งถึงเวลาแล้วหมดอารมณ์ แต่อีกคนหนึ่งยังมี เดี๋ยวได้ตีกันตาย | 
| 
 ถาม : ปกติจับลมสามฐาน พอสมาธิดีนิดหนึ่งเกิดเห็นนิมิตมีแสงอะไรขึ้นมา แล้วจะลดเหลือฐานเดียว  ตรงนี้คือสติลดลงหรือเปล่า ? ตอบ : แสดงว่าคลายจากการภาวนา ไปสนใจในนิมิต แต่จริง ๆ แล้ว จะสามฐานหรือฐานเดียวก็ตาม ถ้าหากสามารถที่จะจับลมได้คล่องตัวเท่าเดิมก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าหากได้ไม่เท่าเดิม แสดงว่าส่วนของสมาธิลดลงไปแล้ว | 
| 
 ถาม :  เวลาภาวนาเกิดอาการควบแน่นเหมือนจะระเบิด เล่าให้สามีฟัง สามีบอกว่าเป็นเพราะเครียดเกินไป   ตอบ : ไม่ใช่จ้ะ ลักษณะจะไปแบบมโนฯ เต็มกำลังอย่างหนึ่ง ถ้าหากไม่ใช่ไปแบบมโนฯ เต็มกำลัง ก็จะเริ่มเป็นฌานสามจะขึ้นเป็นฌานสี่ ซึ่งจะมีอาการเหมือนกับตึง แน่นเข้า ๆ บีบเข้ามา ๆ ถ้าหากว่าเป็นมโนฯ บางทีหัวใจเต้นเร็วขึ้น ๆ เหมือนอย่างกับจะขาดใจลงไปตอนนั้น ขู่ให้รู้สึกว่ากลัวหรือเปล่า ถ้าไม่กลัว ตัดใจตายเป็นตายก็ไปเลย แต่ถ้ายังตัดใจไม่ได้ จิตยังเกาะอยู่กับร่างกายมาก ก็ไปไม่ได้ แต่ถ้าเป็นสมาธิที่จะก้าวขึ้นสู่ฌานสามฌานสี่จริง ๆ ไม่ใช่ระเบิด แต่จะแน่นเข้ามาเรื่อย ๆ จนกระทั่งท้ายสุดรวมเหลือจุดเดียว แล้วก็สว่างอยู่ แสดงว่าของเราน่าจะเป็นแบบมโนมยิทธิเต็มกำลังมากกว่า ถาม : แต่ที่เคยหลุดออกไป บางทีก็ไม่มีแบบนี้ ? ตอบ : ไม่จำเป็น ขึ้นอยู่กับกำลังของเราตอนนั้น ว่าทำอย่างไร ถาม : แล้วถ้าผ่านไปได้แล้วครั้งหนึ่ง จะเกิดได้อีกเรื่อย ๆ ไหมคะ ? ตอบ : เกิดขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าหากไปให้ความสนใจ ก็จะไม่มาอีก อยากให้เกิด ก็ไม่มาอีก แต่ถ้าไม่สนใจเดี๋ยวก็มา นักปฏิบัติส่วนใหญ่พอทำได้แล้ว ถ้าให้ไปทำซ้ำอยากได้อารมณ์อย่างนั้น แล้วจะไม่เจออีกเลย เพราะไปให้ความสนใจมาก เลยกลายเป็นฟุ้งซ่าน ถาม : ตอนหลังไปเป็นตอนขับรถ หนูเลยต้องหยุด ตอบ : ให้มันระเบิดไปเลย เราจะได้ไม่ต้องเสียเวลาขับรถ ต่อไปจะไปไหนก็สบาย (หัวเราะ) | 
| 
 ถาม : พระเอกสองคนในมังกรคู่สู้สิบทิศ โกหกเป็นไฟ เอาตัวรอดอย่างนี้ มุสาใช่หรือเปล่าคะ ? ตอบ : นั่นเป็นปัญญาของเขาอย่างหนึ่ง เพียงแต่เป็นโลกียปัญญา เป็นปัญญาในทางโลก ถ้าปัญญาในทางธรรมนี่อีกอย่างหนึ่ง อย่าลืมว่าเขาไม่ได้ปฏิบัติธรรม แต่พอนาน ๆ ไป เขาปฏิบัติแล้ว พื้นฐานนิสัยของคนสองคนต่างกัน ก็เลยทำให้คนหนึ่งปฏิบัติไปแล้ว ยิ่งทำตัวห่างจากโลกไปเรื่อย ๆ ส่วนอีกคนหนึ่งปฏิบัติไปแล้ว ไปร่วมช่วงชิงแผ่นดินกับเขา ขึ้นอยู่กับจริตนิสัยของตัวเอง แต่ว่าเกิดจากพื้นฐานคัมภีร์อมตะทั้งคู่ | 
| 
 ถาม : การที่ให้เด็กเขาเรียนดนตรี ทำให้เขาไปหลงใหลในรูป รส กลิ่น เสียง หรือเปล่า ? ตอบ : ถ้านิสัยจะหลง ถ้าไม่หลงดนตรีก็ไปหลงอย่างอื่น ถ้าไปหลงหนุ่ม ๆ ก็จะแย่กว่านั้น เพราะฉะนั้นให้ไปหลงดนตรีดีกว่า ถาม : ลูกคนเล็กเวลาดูทีวี ชอบชมว่าคนนั้นหล่อ คนนี้หล่อ ตอบ : ต้องดูด้วยว่าพื้นฐานบุญเก่าเขาดี ในเมื่อเขาทำมาดี รูปร่างหน้าตาก็ออกมาดี แต่ถ้าหากไม่ได้มีการเสริมสร้างต่อ เดี๋ยวก็หมดไป เราเป็นแม่ก็ต้องมีหน้าที่อธิบายให้เขาฟัง ให้เขารู้ว่าความดี ความสวย ความหล่อ ต่างกันอย่างไร ? สิ่งใดเป็นความดีที่มั่นคง เป็นความดีที่แท้จริง เป็นที่ยอมรับกันทั่วไป สิ่งใดไม่ยั่งยืน แค่ชั่วครั้งชั่วคราว สอนลูกลำบาก ต้องปากเปียกปากแฉะไปเรื่อย ที่เขาบอกว่าสอนจนปากจะฉีกถึงหูนั่นแหละ ถาม : ตอนกลางคืนก่อนนอน จะให้เขาสวดมนต์ กลายเป็นว่าลูกคนหนึ่งชอบ ลูกอีกคนไม่ค่อยจะสนใจ อย่างนี้ควรปล่อยเขาไปก่อนหรือเปล่าคะ ? ตอบ : ปล่อยไม่ได้จ้ะ ต้องบังคับ มาสวดมนต์ให้จบก่อน แล้วจะไปทำอะไรก็ไป ถ้าไม่บังคับเดี๋ยวไปไกล | 
| 
 ถาม : ผมเป็นโรคหัวใจ ตอบ : คนเป็นโรคหัวใจเขาห้ามเครียด ต้องฝึกกรรมฐานบ่อย ๆ ให้กำลังใจของเรานิ่ง หลายคนทำไปแล้วหาย | 
| 
 ถาม : เวลาทำสังฆทาน เราควรตั้งพระพุทธรูป หันหน้าไปทางท่าน หรือควรหันหน้าออกมาหาตัวเอง ? ตอบ : อยู่ที่เราชอบจ้ะ สำคัญตรงว่าได้ประเคนหรือเปล่าเท่านั้นเอง ถ้าตั้งใจถวาย จะหันพระไปทางไหน อาตมาก็รับจ้ะ บางท่านชอบเห็นหน้าพระ ก็หันหน้าเข้าหาตัวเอง บางท่านก็คิดว่าหันหน้าเข้าหาผู้รับจะเหมาะสมกว่า แล้วแต่เขาชอบ ไม่ได้เป็นข้อจำกัด | 
| 
 พระอาจารย์กล่าวว่า "รูปหล่อท่านแม่ทั้งสามที่วัดท่าซุง   เป็นฝีมือของหลวงพี่สามารถ  ตอนนั้นท่านยังบวชอยู่  ท่านทำต้นแบบด้วยปูนปลาสเตอร์ องค์ต้นแบบจริง ๆ อยู่ที่อาตมาเอง แต่พอปิดทองสวยแล้ว เขาก็มาบูชาไปหมด  ผลงานของหลวงพี่สามารถที่เห็น ๆ ก็คือ ปราสาททองคำ และมณฑปที่ตั้งหลวงพ่อ บุษบกที่ตั้งหลวงพ่อนั้น มีเวลาทำแค่ ๘๐ วัน พี่เขาบ่นว่า ถ้าหากมีเวลามากกว่านี้ หรือหลวงพ่อสั่งให้สร้างล่วงหน้า จะเอาสวยกว่านี้เท่าไรก็ได้ แต่ตอนนั้นเวลาจำกัดจริง ๆ ต้องเอาให้เสร็จภายในร้อยวัน ก็เลยทำออกมาได้แค่นั้น" | 
| 
 ถาม :  ท่านแม่ทั้งสาม ถ้าหากตั้งบูชา ? ตอบ : ถ้าหากบูชาก็ตั้งไว้ต่ำกว่าพระ จริง ๆ จะว่าไปแล้ว ท่านก็เป็นพระอรหันต์เข้านิพพานไปแล้ว แต่คนที่ไม่เข้าใจ จะเห็นว่าเป็นรูปผู้หญิง ทำไมมาไว้เสมอกับพระ ฉะนั้นเอาไว้ต่ำกว่าพระสักนิด เกรงใจคนอื่นเขาบ้าง ถาม : ต้องสวดบทอะไรไหมครับ ? ตอบ : ท่านแม่นิสัยเดียวกับหลวงพ่อ ชอบอิติปิโสฯ ถาม : อิติปิโสฯ หรือครับ ? ตอบ : บทสรรเสริญพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ถือว่าเป็นบทคาถาที่สำคัญที่สุด | 
| 
 พระอาจารย์กล่าวว่า "เสาร์ห้าปีนี้เป็นที่ฮือฮามาก  เพราะว่าเป็นเสาร์ห้าเดือนห้า  นาน ๆ จึงจะมี    วันกับเดือน ตรงกัน เขาเรียก กระทิงวัน วันเดือนปี ตรงกัน เขาเรียก ตรีวัน เขาถือว่าเป็นวันที่แรงเป็นพิเศษ เสาร์ห้าปีนี้ วัดไหนที่มีศักยภาพ ก็จัดพุทธาภิเษก" | 
| 
 ถาม : อยากจะทำให้คนรัก อยากเป็นคนมีเสน่ห์ ควรใช้หลักธรรมสังคหวัตถุ ?  ตอบ : ใช่ | 
| 
 ถาม : จริตของคนสามารถเปลี่ยนได้หรือเปล่าครับ ?  อย่างคนที่เป็นวิตกจริตอยากเปลี่ยนเป็นพุทธจริต ตอบ : จริตเป็นพื้นฐานของจิต พื้นฐานเปลี่ยนไม่ได้ แต่ว่าจริตทั้งหกอย่างเรามีครบ เพียงแต่ว่าอันไหนเด่นขึ้นมาเท่านั้นเอง | 
| 
 ถาม :  เคยได้ยินมาว่า สวดคาถาชินบัญชร ๑๐ จบ แล้วอธิษฐานขออะไรก็จะสำเร็จ จริงหรือเปล่า ? ตอบ : ขึ้นอยู่กับว่าเราทำได้แค่ไหน ? ถ้าหากคุณสามารถทรงสมาบัติแปดได้เลย จบเดียวก็น่าจะสำเร็จแล้ว..! ถาม : แล้วถ้าทรงสมาบัติไม่ได้ ? ตอบ : ก็สวดไปหลาย ๆ จบ พูดง่าย ๆ ก็คือ ถ้าสมาธิเรามีกำลังสูงมากเท่าไร ผลสำเร็จก็จะมีมากเท่านั้น เพราะฉะนั้นก็สวดสัก ๑๐๘ จบ ถาม : ตอนนี้สวด ๑๐ จบ อยู่ทุกคืนครับ แล้วตอนแรกที่สวดก็มีแต่เรื่องดี ๆ เข้ามาในชีวิต ตอนหลังผ่านไปสักพัก ก็มีปัญหาเข้ามาเยอะกว่าเก่า ตอบ : คุณจะสวดหรือไม่สวดก็มีเป็นปกติอยู่แล้ว ถาม : ไม่ได้เป็นเพราะคาถา ? ตอบ : ไม่ได้เกี่ยวกับคาถา ถาม : แต่เขาว่ากันว่า พระคาถาชินบัญชรเป็นคาถาที่ส่งผลดีแน่นอน ตอบ : ในส่วนของความดี ส่งผลให้แต่ด้านดีด้านเดียว ถาม : แล้วพระคาถาชินบัญชร ร้อนจริงหรือเปล่า ? ตอบ : อาตมาทำมาตลอดชีวิต ไม่เห็นจะร้อนเลย ถาม : ไม่ได้เกี่ยวกับพระคาถา ? ตอบ : บอกแล้วว่าไม่เกี่ยว ถาม : แล้วตอนสวดควรจะตั้งกำลังใจอย่างไร ? ตอบ : บอกแล้วว่าสมาธิสูงเท่าไร ก็ดีมากเท่านั้น ถาม : แล้วที่ขึ้นไปสวดถวายพระข้างบน ? ตอบ : ก็ยิ่งดี ถาม : สวดแล้วมันรู้สึกว่าตนเองดีกว่าคนอื่น เป็นเพราะอะไรครับ ? ตอบ : ทิฏฐิมานะของเรา เป็นเรื่องปกติ ถาม : วิธีแก้ ? ตอบ : ก็เลิกคิด เรื่องพวกนี้เป็นกิเลสของนักปฏิบัติ ในเมื่อเป็นกิเลสของนักปฏิบัติ มีอยู่ทางเดียวก็คือรู้เท่าทันแล้วก็วางเสีย | 
| 
 ถาม :  หนูภาวนาคาถาโสตัตตะภิญญาตอนนอน หลวงพ่อบอกว่าจะเป็นแสงลงไป หนูภาวนาไปแล้วเหมือนกับแสงลงไปในทะเลทราย   ตอบ : ให้ดึงเอาไว้ในอกเรา ถาม : ต้องบังคับหรือคะ ? ตอบ : ใช่ ต้องบังคับ เอากำลังใจรวมเข้ามาอยู่ในอกเรา เหมือนกับเราทอดแห..แล้วสาวเข้ามา ดึงเข้ามารวมกันในอก ถ้ารวมเป็นดวงได้เมื่อไร ตัวเราก็จะเริ่มลอยได้ เคยถามหลวงพ่อว่าใช้ระยะเวลาประมาณเท่าไร ท่านบอกว่า ถ้าขยันสักสามเดือนก็น่าจะได้ ปรากฏว่าอาตมาภาวนาครั้งแรกก็มาแล้ว ถาม : อะไรที่หายไป มันก็หายไปเฉยเลย ตอบ : ก็ปล่อยให้หายไป นั่นเป็นพลังงานที่ส่งมาช่วย คือใครใช้คาถาบทนี้แล้วท่านจะช่วย ถาม : ก็นึกว่าพลังอ่อนด้อย ก็เลยดึงไม่ได้ ตอบ : ไม่ใช่ แต่เพราะว่าเราไม่รู้วิธี ส่วนใหญ่ที่ภาวนากันปีแล้วปีเล่า แล้วไม่ได้ คือไม่รู้วิธี แบบเดียวที่อาตมาฝึกปฐมฌาน ทำอยู่สามปี เพราะไม่รู้วิธี ตอนนั้นขยันมาก ภาวนาสามปี หัวไม่วางหางไม่เว้น แต่ไม่ได้สักที พอดีวันนั้นคิดว่า จะได้หรือไม่ได้ ก็ช่างหัวมัน..! ปรากฏว่าได้เลย คือต้องวางกำลังใจอย่างนั้น ส่วนเราไม่ได้วางกำลังใจอย่างนั้น ส่วนเราไปอยากได้ | 
| 
 ถาม : เคยอ่านนิยาย นางเอกเป็นผู้มีพลังจิต นางเอกจะทุกข์มาก เวลาที่นั่งอยู่ในห้องที่มีคนเยอะ ๆ เพราะว่าไปรับกระแสอารมณ์ความรู้สึกของคนอื่น แล้วเธอจะเหนื่อยและปวดหัว ตอบ : นั่นไม่ใช่พลังจิต แต่เป็นทิพพจักขุญาณเลย ถาม : คนปกติจะเป็นอย่างนี้ทุกคนหรือเปล่า ? ตอบ : ถ้าหากว่าเปิดได้ จะเป็นอย่างทุกคน จึงต้องหาวิธีตัด ถ้าหากเราทรงอยู่กับอารมณ์ของเรา ไม่ไปรับของคนอื่นเขา..ก็สบาย โผล่หัวออกไปให้เขาขว้าง เราก็เจ็บ เพราะฉะนั้น..มุดหัวอยู่ในบ้าน ปลอดภัยดี โดยอาศัยสมาธิของเรา นิ่งอยู่กับสมาธิก็ไม่ต้องไปรับของคนอื่นเขา | 
| 
 ถาม :  ถ้าเราเช่าพระพุทธรูปเขามา แล้วช่างเขาปั้นหน้าไม่สวย  แล้วเราจะปั้นใหม่ จะเป็นการปรามาสไหมครับ ? ตอบ : ถ้าหากไปรื้อทำใหม่ ก็เกิดโทษเหมือนกัน แต่ถ้าให้เขาปั้นทับไปเลยจะได้ไหม ? ไปเจอที่วัดหนองบัว เขาทำพระนอน หัวหน้าช่างเขาไม่อยู่ ปรากฏว่าลูกน้องทำแล้วปั้นพระพักตร์สวยไม่ถูกใจ หัวหน้าช่างกลับมาเอาขวานถากออก แล้วปั้นใหม่เสียสวยเช้ง ไอ้นั่นเกิดชาติใหม่มีหวังได้เกิดอุบัติเหตุหน้าเยิน แล้วไปทำศัลยกรรมพลาสติกจนหล่อเลย | 
| 
 ถาม:  เวลาเราเดินทางแล้วสัตว์เลื้อยคลานมาขวางตัดหน้ายานพาหนะของเรา  อย่างนี้ถือเป็นนิมิต  เป็นลางอะไรบ้างคะ ? ตอบ : เคยได้ยินหลวงพ่อวัดท่าซุงบอกว่า ถ้างูเลื้อยตัดหน้าจากซ้ายไปขวาจะมีลาภ แต่ถ้าจากขวามาซ้ายให้ระวังอุบัติเหตุ แต่อาตมาว่า จะมาทางไหนก็ระวังไว้ก่อนดีกว่า..! | 
| 
 ถาม :  ผู้ที่อยู่ต่างดาวอีกโลกหนึ่ง เขามีกรรมบถ ๑๐ เป็นปกติ แล้วอย่างนี้ทำไมเขาไม่เป็นพระอริยเจ้า ? ตอบ : สภาพสังคมของเขา ไม่เอื้อให้ผิด คนเขาไม่นิยมทำความชั่วกัน แบบเดียวกับเทวดา จะรักษาศีล ๒๒๗ ข้อก็ได้ แต่ทำไมไม่เป็นพระอริยเจ้า ? เพราะไม่มีที่ให้ละเมิด ในเมื่อไม่มีที่ให้ละเมิด เจตนาที่จะงดเว้นจริง ๆ ก็เลยไม่มี ยังไม่รู้เหมือนกันว่า ถ้ามีที่ให้ละเมิดแล้ว จะงดได้หรือเปล่า ? | 
| 
 ถาม :  การมีคนชั่วอยู่ ก็ถือว่าเป็นสัจธรรมอย่างหนึ่ง ไม่ว่าจะที่ไหนก็ตาม  คนชั่วก็มีสอดแทรกเข้าไปจนได้   ตอบ : น้ำถึงไหน ปลาก็ถึงนั่น โดยธรรมชาติของดีชั่ว ก็แค่เป็นทางเลือกหนึ่ง เป็นการกระทำอย่างหนึ่ง จัดเป็นสมมติ เรียกเพื่อให้แยกแยะออก ถ้าเราเรียกว่าดี แต่สิ่งที่เราทำทั้งหมดไม่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ความหมายของคำว่าดีก็จะเปลี่ยนไป ถ้าเราเรียกว่าชั่ว แต่สิ่งทั้งหลายเหล่านั้น ทำถูกต้องตามที่คนส่วนรวมต้องการ ก็จะกลายเป็นอีกความหมายหนึ่ง เพราะฉะนั้น..เรื่องของการสมมตินั้นเปลี่ยนแปลงกันได้ ถาม : ดีของคนกลุ่มหนึ่ง อาจจะเป็นชั่วของคนอีกกลุ่มหนึ่ง ตอบ : อะไรทำนองนั้น บรรดาพวกมือปืนเจ้าพ่อ ปล้น ฆ่า ขายยาเสพติด ต้องทำอย่างนี้จึงจะรวย เขาก็ว่าของเขาดี แต่ถ้าของเราคงได้แช่งให้ตายไม่เว้นแต่ละวัน | 
| 
 มีคนนำหนังสือกรรมฐาน  ๔๐  หลายเล่ม  มาถวายพระอาจารย์   พระอาจารย์จึงนำไปแจกจ่ายต่อให้กับญาติโยม     ท่านกล่าวถึงเรื่องอัชฌาสัยในหนังสือกรรมฐาน ๔๐  ว่า "อัชฌาสัย คือ ความชอบเฉพาะตน ความชอบเฉพาะตนแบ่งออกเป็น ๔ แบบ ชอบแบบเรียบง่ายก็เป็นสุกขวิปัสสโก ขี้สงสัยนิดหน่อยก็เป็นเตวิชโช สงสัยมากก็เป็นฉฬภิญโญ ประเภทอยากเก่งเกินมนุษย์ ก็เป็นปฏิสัมภิทัปปัตโต" ถาม : เมื่อก่อนเคยได้ยินเขาคุยกันว่า อยากรู้ว่าตัวเองทำอะไรมา ให้อธิษฐานเปิดหนังสือสามครั้ง แล้วจะทราบทันที ว่าตัวเองทำอะไรมา จริงหรือเปล่าคะ ? ตอบ : ไม่ต้องถึงสามครั้งหรอกจ้ะ ถ้าหากว่ามีความเคารพจริง ครั้งเดียวก็รู้เรื่องแล้ว | 
| 
 พระอาจารย์แจ้งข่าวให้ทราบว่า  "วันที่  ๒ พฤษภาคม ที่จะถึงนี้   บริษัทรับเหมาก่อสร้างบ้านวิริยบารมี  เขาจะทำบุญเลี้ยงพระ  ตรงบริเวณที่สร้างบ้านเลย    ฉะนั้น..ใครจะไปร่วมงาน กรุณาถือข้าวไปคนละกล่อง  จะได้ไม่ต้องไปกวนเขา"    | 
| 
 ถาม :  ผมทำอาชีพกฎหมาย  บางทีต้องกระทบกับชาวบ้าน ทำอย่างไรจึงจะหลีกเลี่ยงกรรม..? ตอบ : ให้ว่าตามข้อเท็จจริง ฟังให้ดี ๆ นะ ว่าตามข้อเท็จจริง เพราะว่าการที่เขาฟ้องร้องขึ้นมา ต่างคนต่างก็ยกข้อเท็จจริง คือ ทั้งเท็จและจริงขึ้นมาสู้กัน หลักฐานใครดีกว่าคนนั้นก็ชนะ ผู้พิพากษาเขามีหน้าที่พิจารณาตามข้อเท็จจริง เพราะฉะนั้นคุณไม่ต้องไปหาความยุติธรรม ถาม : แสดงว่าเราวินิจฉัยไปตามความรู้ ตอบ : คุณวินิจฉัยตามข้อเท็จจริงเท่านั้น เราทำของเราตรงไปตรงมาตามนั้น ถาม : ไม่มีใครยิ้มเลยครับ ร้องไห้ทั้งสองฝ่าย ตอบ : ต้องเป็นอย่างนั้นแหละ..! ถาม : ว่ากันตามความรู้สึกไม่ได้ ? ตอบ : ว่ากันตามตัวบทกฎหมายและหลักฐานที่ปรากฎเฉพาะหน้า คุณเป็นฝ่ายถูกแต่หลักฐานสู้เขาไม่ได้ คุณก็ต้องผิด ถาม : แต่การแปลความและตีความ มันตีได้หลายทาง ตอบ : ตีได้หลายทาง เขาจึงต้องมีการซักและซักค้าน ใครยกเหตุผลขึ้นมาได้ดีกว่า สามารถจูงใจผู้พิพากษาลูกขุนได้ดีกว่า ก็ชนะเขา ถาม : ฉะนั้น..หากเราไม่มีอคติเข้าไปเจือปน ก็ไม่มีโทษสำหรับเรา ตอบ : ไม่มีโทษสำหรับเราหรอก ทำตามหน้าที่เท่านั้น | 
| 
 พระอาจารย์กล่าวเกี่ยวกับวงการสงฆ์ให้ฟังว่า  "ที่ต้องไปเรียน เพราะเขาบอกว่า พระมีความรู้ไม่พอ ก็เลยไปทำผิดพลาดจนกลายเป็นเสียหายต่อพระศาสนา  ข้อนี้อาตมาเถียงเลย  เพราะว่าถ้าคนจะทำผิด ยิ่งรู้มากก็ยิ่งเลี่ยงกฎหมายเก่ง  ฉะนั้น..ถ้าต้องการแก้ปัญหาในวงการสงฆ์  ต้องอบรมให้เขา  ละอายชั่ว กลัวบาป รักศีลของตัวเอง แล้วเรื่องจะจบ ไม่ใช่ไปเพิ่มความรู้  บางทีไปเพิ่มความรู้เป็นการติดปีกให้เสือไปเสียอีก" ถาม : การละอายชั่วกลัวบาป คนที่ปฏิบัติจะละอายชั่ว หรือกลัวบาปมากกว่ากัน ? ตอบ : ทั้งคู่นั่นแหละ เขาเรียกว่ามโนธรรม ความรู้สึกที่มาจากใจจริงเลย รู้ว่าสิ่งที่ทำไม่ถูกต้อง แล้วจะรู้สึกอายตัวเอง พออายตัวเองก็ระแวงต่อไปว่า สิ่งที่เราทำไม่ถูกต้อง อาจจะส่งผลไม่ดีให้แก่เราก็ได้ ก็กลายเป็นกลัวบาป | 
| 
 พระอาจารย์กล่าวว่า  "ปัจจุบันนี้มองเห็นปัญหาใหญ่อยู่ข้อหนึ่ง   ซึ่งไม่ทราบเหมือนกันว่ารัฐบาลเขาเห็นหรือยัง ? ก็คือ สมัยนี้เด็กวัยรุ่นทำผิดโดยไม่รู้สึกละอาย ไม่รู้สึกว่าผิดด้วย อย่างพวกเด็กแว้น เด็กสก๊อยก็เป็นปัญหาหนึ่ง  พวกติดยาเสพติดก็เป็นปัญหาหนึ่ง พวกขายตัวทั้ง ๆ ที่อยู่ในสถาบันการศึกษาก็เป็นปัญหาหนึ่ง   เรื่องอย่างนี้เขาทำจนเป็นแฟชั่น ใครไม่ทำก็ตกยุค เป็นเรื่องที่อันตรายมาก เพราะเขาทำโดยไม่รู้สึกผิดบาปอยู่ในใจเลย ใคร ๆ เขาทำกัน ตัวเองไม่ทำกลายเป็นโง่ไปด้วย นี่มุมมองของสังคมเราเปลี่ยนไปถึงขนาดนี้แล้ว" ถาม : สาเหตุนี้มาจากอะไรคะ ? ตอบ : สังคมที่เปลี่ยนไป ถ้าหากกล่าวว่าสังคมเปลี่ยนไป ที่เปลี่ยนไปก็เพราะผู้ใหญ่ ในเมื่อรุ่นพ่อรุ่นแม่ของตัวเองก็ยังทำสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น แล้วจะไปสอนลูกได้อย่างไร พูดก็ไม่เต็มปาก ถ้าลูกเถียงกลับมาว่า ทีแม่ยังทำเลย แล้วแม่จะว่าอย่างไรได้ | 
| 
 ถาม :  มีพระบอกว่า สวรรค์อยู่ในอก  นรกอยู่ในใจ  ตรงนี้จริง ๆ  หรือว่าเริ่มต้นจากตรงนั้น ? ตอบ : เขาตีความผิด นรกสวรรค์ที่แท้จริงมีอยู่ แต่การที่เราทำสิ่งที่ดีหรือไม่ดี ผลของความสุขหรือความทุกข์จะเกิดขึ้นในใจเรา ก่อนที่จะตายเสียอีก ตรงส่วนนี้เขาเรียกสวรรค์ในอก นรกในใจ แต่เขาไม่ได้ตอกย้ำว่าสถานที่แท้จริงนั้นมีอยู่ ก็เลยทำให้คนเขาเข้าใจผิดกันไปใหญ่โต | 
| 
 ถาม :  การที่เราจะรับรู้ โดยไม่ไปคิดปรุงแต่ง เราต้องทำอย่างไร ? ตอบ : อันดับแรก สร้างสมาธิให้ทรงตัวก่อน ถ้าสมาธิทรงตัว สติก็จะว่องไวและแหลมคม พอเห็นก็จะหยุดได้ก่อน ฉะนั้น..ถ้าสมาธิไม่ดี ไม่ต้องคิดเลยว่าต้องทำไปอย่างอื่นต่ออย่างไร สร้างสมาธิให้ดี เห็นแล้วหยุดให้ได้ก่อน พอหยุดได้แล้วค่อย ๆ หาทางว่าทำอย่างไรที่เราจะไม่คิดได้ คิดเมื่อไรก็ยังเป็นรูปนาม เป็นคน เป็นสัตว์อยู่ ไม่สักแต่ว่าเห็น ถ้าทำไปถึงท้าย ๆ ใช้ปัญญาพิจารณาว่าไม่ใช่ของเราจริง ๆ ในเมื่อเห็นว่าไม่ใช่ของเราจริง ๆ แล้วกำลังใจยอมรับ ก็จะปล่อยวาง ไม่อย่างนั้นก็ยังคงเป็นตัวตนเราเขาอยู่นั่นเอง | 
| 
 ถาม :  เวลาเราแผ่กสิณไป เราแผ่เมตตาตามได้หรือเปล่าครับ ? ตอบ : แล้วคุณจะแผ่กสิณไปทำอะไร ? ถาม : ใช้กสิณครอบประเทศไทย ตอบ : อย่างที่อาตมาสอนให้ทำกันอยู่ ก็ใช้อย่างนั้นเป็นปกติอยู่แล้ว ถาม : กสิณต่าง ๆ จะมีอานุภาพแตกต่างกันอยู่แล้วใช่ไหมครับ ? ตอบ : ใช่ ถาม : แต่ถ้าแผ่กสิณที่แตกต่างกัน แล้วแผ่เมตตาตามไปด้วย จะต่างกันไหมครับ ? ตอบ : เอาอย่างนี้ คุณไปฝึกปีตกสิณ ถึงเวลาอธิษฐานให้ทองคำเต็มประเทศไทย ใครหยิบขึ้นมาก็ใช้ได้เลย รับรองว่ามีผลต่างกันแน่นอน..! | 
| 
 พระอาจารย์บอกว่า "แม่ชีทศพรเขาเป็นพุทธภูมิ  เพราะเคยรับทานจากท่าน  แล้วท่านอธิษฐานขอปรารถนาพระโพธิญาณ    เป็นผู้หญิงแล้วปฏิบัติธรรมได้ผล..ก็ดี เพราะว่าสามารถที่จะใกล้ชิดผู้หญิงด้วยกันได้มากกว่า หนังสือเกิดแต่กรรม แม่ชีเขาแนะนำวิธีรวยเร็ว ให้ไปกราบหลวงพ่อเงินไหลมา วัดท่าซุง แล้วท่องคาถาเงินล้านถวาย ฉะนั้น..ลองไปทำดู" ถาม : ถ้าสวดที่บ้านละคะ ? ตอบ : ไปกราบท่านที่วัดก่อนแล้วสวด หรือจะสวดตรงนั้นก็ได้ จะไปยากอะไรก็ไปบูชาหลวงพ่อเงินไหลมา แล้วเอามาตั้งบูชาที่บ้าน ถาม : บูชาแล้วค่ะ ตอบ : สวดคาถาเงินล้านไปเลย ยิ่งเยอะยิ่งดี | 
| 
 ถาม :  ถ้าเราออกไปข้างนอก แล้วเราลืมพกวัตถุมงคลไปด้วย อย่างนี้ถ้าเราอาราธนาท่านแล้วจะได้ไหม ? ตอบ : อาราธนาพระพุทธเจ้าไปด้วยก็หมดเรื่อง เพียงแต่อย่าเผลอก็แล้วกัน เผลอเลิกนึกถึงท่านเมื่อไรก็เป็นเรื่องเมื่อนั้น..! | 
| 
 ถาม :  ถ้าเราได้วัตถุมงคลจากพระองค์หนึ่ง  มีการปลุกเสกแล้ว  เราก็เอาไปเข้าพิธีที่อื่นอีก อย่างนี้ถือว่าเป็นการปรามาสพระรัตนตรัยหรือเปล่าคะ ? ตอบ : ไม่เคยได้ยินหลวงพ่อฤๅษีบอกหรือ ? ท่านบอกว่า ครั้งที่หนึ่งใส่เข้า ครั้งที่สองเอาออก ฉะนั้น..ก็นับให้ดี ๆ ว่าเข้าพิธีไปกี่ครั้ง..(หัวเราะ).. ถาม : ครั้งที่หนึ่งใส่เข้า ครั้งที่สองเอาออก ครั้งที่สามใส่เข้า ครั้งที่สี่เอาออก ตอบ : หลวงพ่อท่านพูดเล่น...(หัวเราะ) ถาม : ไม่เป็นไรใช่ไหมคะ ? ตอบ : ไม่เป็นไรหรอก จะเข้าพิธีกี่ครั้งก็ได้ ถาม : ไม่ได้เป็นการปรามาสใช่ไหมคะ ? ตอบ : ไม่ได้เป็นการปรามาสหรอก แต่ขาดความมั่นใจ ลักษณะนั้นทำอะไรจะเอาดียาก ต้องมั่นใจเต็ม ๆ ไปเลย ถาม : แล้วถ้าเราเข้าพิธีโดยขออานุภาพเพิ่ม ? ตอบ : นั่นแหละ ขาดความมั่นใจ ถ้าไม่ขาดความมั่นใจจะไปขอเพิ่มทำไม ? | 
| 
 ถาม :  คณะที่เขาจัดทำวัตถุมงคล เพื่อแจกจ่ายญาติโยม  นำวัตถุมงคลเข้าพิธีพุทธาภิเษกที่วัดนี้  แล้วช่วงบ่ายก็ไปเข้าพุทธาภิเษกอีกวัดหนึ่ง แสดงว่ากำลังใจของเขา ? ตอบ : ลองนึกถึงน้ำเต็มแก้วสิ เติมน้ำไปอีกก็ล้นแก้ว แต่คราวนี้ถ้ามั่นใจว่าเติมไปอีกจะดีกว่า ก็เลยเติม ถาม : อันนี้พิสูจน์กำลังใจของคนทำหรือเปล่า ? ตอบ : บางทีคนหมู่มากเขานิยมแบบนั้น ประเภท ๙ รอบ ๙ พิธีอย่างนี้ก็มี ถ้าจะให้ดีต้อง ๑๐๘ พิธีจะเป็นมงคลมาก..! | 
| 
 ถาม :  อ่านหนังสือผู้พิชิตดาราจักร  อ่านไปแล้วทรมานใจมากเลย  เพราะจับได้ถึงกระแส รัก โลภ โกรธ หลง ของตัวคนที่เขียน  เหมือนกับเขาเป็นผู้ชายที่อยู่เหนือผู้หญิง ตอบ : อันนี้เป็นการต่อต้านในใจ ถ้าใจเราไม่ต่อต้านก็จะไม่เกิดอารมณ์แบบนี้ เราก็เลยกลายเป็นว่า ไม่ใช่..กูเหนือกว่ามึงอีก ก็ยิ่งไปกันใหญ่ | 
| เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 15:30 | 
	
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน 
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.