![]() |
เก็บตกงานบวงสรวงไหว้ครู และเป่ายันต์เกราะเพชร (รอบเช้า) วันเสาร์ที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๖๘
การไหว้ครูนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง เนื่องเพราะว่าถ้านับแล้ว พ่อแม่ให้ชีวิตเรามา แต่ว่าครูบาอาจารย์ให้ศิลปวิทยาการ คือความรู้ความสามารถที่เราใช้เลี้ยงชีวิตตนเองและครอบครัว ความรู้บางสาขาก็เอาไว้ช่วยรักษาตนเอง รักษาครอบครัว และปกป้องประเทศชาติ
การไหว้ครูนั้น ครูก็ไม่ได้เรียกร้อง แต่เป็นการแสดงออกซึ่งความรู้คุณ แล้วกระทำสิ่งที่ดีงามตอบแทนต่อท่าน สมัยก่อนการไหว้ครูก็มักจะมีดอกไม้ ธูป เทียน แล้วก็ผ้าใหม่สักผืนหนึ่ง ซึ่งในสมัยก่อน ๆ นั้น ผ้าก็เป็นของหายาก ถือว่าเป็นของที่มีคุณค่ามาก บางสถานที่อยู่ในที่กันดาร บางทีก็หนาวเหน็บหิมะตกทั้งปี หรือว่าพื้นเป็นน้ำแข็งทั้งปี หาดอกไม้ไม่ได้ เขาก็เปลี่ยนเป็นใช้ผ้าในการมอบให้แสดงความเคารพแทน อย่างทางด้านประเทศทิเบต เป็นต้น การที่เราไหว้ครูเป็นการแสดงออกซึ่งความรู้คุณที่ท่านสั่งสอนความรู้ในด้านต่าง ๆ แก่เรา แล้วกระทำการตอบแทนท่าน จะว่าไปแล้วก็ตรงกับหลักธรรมของพระพุทธเจ้าที่ว่า ปูชา จ ปูชนียานํ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ คือ การบูชาต่อบุคคลที่ควรบูชา จัดว่าเป็นมงคลอย่างยิ่ง เพียงแต่ว่ามาในระยะหลัง กำลังใจของเราเคลื่อนคลายจากการเคารพนับถือครูบาอาจารย์ไปบ้าง หน้าที่การงานต่าง ๆ รัดตัวจนไม่มีเวลาทำบ้าง ตามสายครูบาอาจารย์ท่านจึงให้จัดเป็นงานไหว้ครูประจำปี ก็คือรวมกันปีละครั้งเดียว พูดง่าย ๆ ว่าทำปีละครั้งดีกว่าไม่ทำเสียเลย..! |
ตามสายครูบาอาจารย์ของเรา ถ้าสืบไล่ขึ้นไปก็ตั้งแต่ยุคหลวงปู่แสง วัดมณีชลขัณฑ์ จังหวัดลพบุรี
มาสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) วัดระฆังโฆสิตาราม กรุงเทพมหานคร มาหลวงปู่เนียม วัดน้อย จังหวัดสุพรรณบุรี มาหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จนกระทั่งมาถึงยุคหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี เราทำการไหว้ครูกันในวันเสาร์ขึ้น ๕ ค่ำ ที่โบราณเรียกกันว่า "วันเสาร์ ๕" แต่วันเสาร์ ๕ ตามตำรานั้น มีทั้งข้างขึ้นข้างแรม ครูบาอาจารย์ท่านกำหนดไว้ว่าให้เป็นเสาร์ ๕ ข้างขึ้น ก็คือใช้เคล็ดคำว่า "ขึ้น" ทำอะไรทำขึ้น ก็คือ ทำแล้วเจริญรุ่งเรือง ถ้าปีนั้นไม่มีเสาร์ ๕ ให้จัดไหว้ครูในวันวิสาขบูชา ถ้าไม่มีเสาร์ ๕ หรือว่าวันเสาร์ ๕ ติดภารกิจสำคัญ วันวิสาขบูชาติดภารกิจสำคัญ ท่านให้จัดงานไหว้ครูในวันมาฆบูชา ก็คือไล่ความสำคัญลงไปตามลำดับ เอาเสาร์ ๕ เป็นอันดับแรก ถ้าไม่ได้แล้วค่อยใช้วันวิสาขบูชา แล้วถ้าไม่ได้จริง ๆ ค่อยใช้วันมาฆบูชา การไหว้ครูของเราก็ไหว้ตั้งแต่ครูใหญ่ คือ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นครูของทั้งมนุษย์และเทวดา ลงมาถึงพระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันตเจ้า พรหม เทวดา และครูบาอาจารย์ทั้งหมด ก็คือไหว้รวมกันไปในครั้งเดียว..! |
คราวนี้สิ่งที่เราท่านทั้งหลายทำนั้น มาในระยะหลังครูบาอาจารย์ท่านเปิดเผยว่า งานไหว้ครูประจำปี หรืองานเป่ายันต์เกราะเพชร เป็นการรวมกำลังใจของคนหมู่มากที่มุ่งไปในด้านเดียวกัน เราสามารถขอบารมีพระ พรหม หรือเทวดา ที่ท่านช่วยรักษาประเทศชาติอยู่ รวมเอากำลังใจส่วนนี้ ไปป้องกันหรือต้านทานสิ่งไม่ดีไม่งามที่จะเกิดขึ้นได้
อย่างเช่นอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ ถ้าเป็นไปตามสภาพของวาระกรรม ประเทศชาติของเราจะสูญเสียบุคคลสำคัญในประเทศไป สิ่งหนึ่งประการใดที่ไม่สามารถจะแก้ไขได้ ก็จะได้ผ่อนหนักให้เป็นเบา สิ่งหนึ่งประการใดที่พอแก้ไขได้ อาศัยกำลังคนหมู่มาก ก็เหมือนกับช่วยกันยกของหนัก คนละไม้คนละมือ ของที่ไม่น่าจะยกไหวก็จะยกไหว จึงเป็นเรื่องสำคัญที่แม้แต่กระผม/อาตมภาพก็นึกไม่ถึง ในเมื่อท่านบอกแล้วก็ขอแจ้งแก่ญาติโยมทั้งหลายด้วยว่า ในช่วงไหว้ครูก็ดี ในช่วงรับยันต์เกราะเพชรก็ตาม พยายามวางกำลังใจของเราให้สงบระงับมากที่สุด ทรงฌาน ทรงสมาบัติได้ยิ่งดี ถ้าทำไม่ได้ระดับนั้น ก็ให้นึกถึงภาพพระพุทธรูปที่เรารักเราชอบมากที่สุด เอาใจจดจ่ออยู่ตรงนั้น ส่วนที่เหลือจะเป็นภาระหน้าที่ของครูบาอาจารย์ท่านเอง เราอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านของวาระบุญวาระกรรม เปรียบเสมือนกำลังจะเปลี่ยนรถคันใหม่ ก็ต้องวิ่งขึ้นรถคันใหม่ลำบากกันหน่อย แต่ถ้าขึ้นรถคันใหม่ได้แล้ว เราก็จะเริ่มสบาย เพียงแต่ว่าการเปลี่ยนผ่านในยุคนี้ เป็นอะไรที่ค่อนข้างจะรุนแรง ท่านใดที่เคยอยู่ในสถานที่น้ำท่วม ต้องรีบจัดการบ้านเรือนของตนเองให้เร็วที่สุด ไม่เช่นนั้นแล้วถึงเวลาก็จะมาลำบากเดือดร้อนทีหลัง ท่านใดที่อยู่ใกล้ชายแดนที่มีศึกมีสงคราม ถ้าสามารถโยกย้ายไปอยู่ในที่ปลอดภัยได้ก็โยกย้ายไปก่อน ถ้าไม่สามารถทำได้ ก็ต้องภาวนานึกขอบารมีพระท่านสงเคราะห์ ให้เราท่านทั้งหลายปลอดภัยในที่ทุกสถานในกาลทุกเมื่อ ถ้าวาระกรรมหนักจริง ๆ ก็ให้สูญเสียแต่ทรัพย์สิน แต่อย่าให้ชีวิตต้องสูญเสียไป คนเราถ้ายังมีชีวิตอยู่ เรื่องอื่นสามารถที่จะดิ้นรนหามาในภายหลังได้ |
ขอแจ้งให้ทุกท่านได้ทราบโดยทั่วกันว่า การไหว้ครูในวันนี้ แม้ว่าเครื่องบวงสรวงจะจัดโดยคณะบายศรีของท่านอาจารย์พระมหานันทวัฒน์ เขมธมฺโม ป.ธ. ๖ วัดปากน้ำภาษีเจริญก็ตาม แต่ให้ทุกคนตั้งใจว่าเรามีส่วนเป็นเจ้าของด้วย
ขอถวายเครื่องบูชานี้เป็นพุทธบูชา ธัมมบูชา สังฆบูชา บูชาไปถึงพรหมเทวดาและครูบาอาจารย์ทั้งหมด สิ่งหนึ่งประการใดที่ท่านอนุเคราะห์สงเคราะห์ต่อเรา ขอน้อมรับไว้ด้วยเศียรเกล้า และจดจารจารึกไว้ในใจตลอดไป ส่วนการรับยันต์เกราะเพชรนั้น ถ้าตามที่เคยขอพระท่านเอาไว้ ก็จะเป็นช่วง ๑๐ โมงเช้ากับบ่ายโมงตรง เพียงแต่ว่าวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นวัดท่าซุงก็ดี วัดพุทธพรหมยาน พิชญ์ชารามก็ตาม ต่างก็จัดงานทั้งสิ้น ใครมีความเชื่อมั่นศรัทธาในด้านไหน เราก็ไปร่วมพิธีในที่นั้น ๆ ได้ แต่ก็เป็นโชคดีตรงที่ว่าทำให้ผู้คนไม่แออัดยัดเยียดที่นี่มากนัก เพียงแต่ไม่ทราบว่าอาตมภาพจะดีใจเก้อหรือเปล่า ? เพราะถ้าหากว่าถึงเวลาเป่ายันต์ เกิดคนมากกว่านี้ แล้วมีฝนตกลงมาด้วย ก็คงจะได้สนุกกันมากกว่านี้..! |
เหลืออีกประมาณ ๕ นาทีเศษ ก็จะเริ่มในการไหว้ครู ให้พวกเราเตรียมตัวเตรียมใจภาวนา นึกถึงภาพพระพุทธรูปที่เรารักเราชอบที่สุด จะเป็นสมเด็จองค์ปฐมก็ได้ พระวิสุทธิเทพก็ได้ หรือพระพุทธรูปสำคัญอย่างพระแก้วมรกต พระพุทธชินราช พระพุทธสิหิงค์ หรือหลวงพ่อโสธรก็ได้ หรือว่าท่านใดมีวัตถุมงคลเป็นรูปพระ แล้วเรารักชอบมาก ก็นึกถึงวัตถุมงคลที่เป็นรูปพระพุทธรูปนั้น ๆ ก็ได้ ให้รักษากำลังใจเอาไว้จนกว่าจะเสร็จในการบวงสรวงไหว้ครูในวันนี้
พระภิกษุสามเณรอาคันตุกะ ถ้าอยู่ทางด้านนอก นิมนต์ในศาลานะครับ อาสนะสงฆ์ยังพอมีที่ว่างอยู่ แต่ต้องนั่งซ้อนกันสัก ๓ แถว เผื่อท่านซึ่งมาทีหลังจะได้อยู่ทางด้านท้าย ๆ ได้ ญาติโยมท่านใดถ้าไม่รังเกียจคนมาก ในศาลายังพอมีที่ว่างนะจ๊ะ อย่าเห็นว่านั่งกันแน่น ตอนเป่ายันต์ถ้ามีใครกรี๊ดขึ้นมาสักคน พื้นที่มักจะว่างกะทันหันเลย..! |
ญาติโยมที่จะทำบุญ ให้อธิษฐานมาจากข้างนอก ไม่ใช่มาจนถึงตรงหน้าแล้ว ค่อยมาล้วงมาควักให้คนอื่นเขาหวาดเสียวกัน แล้วยิ่งมายืนอธิษฐานอยู่ตรงนั้น เสียเวลาคนอื่นเขา กลายเป็นว่าเราขวางทางบุญของคนอื่น ถึงเวลาเกิดอุปสรรคในชีวิตก็ยังงง ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นวะ ?
การทำบุญต้องถือหลักในจูเฬกสาฎก ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ตุลิฏะ ตุลิฏัง สีฆะ สีฆัง คือ ทำอะไรให้เร็ว ๆ ไว ๆ จูเฬกสาฎกตัดสินใจทำบุญช้าไป แทนที่จะได้เป็นมหาเศรษฐี หรือว่าเป็นอนุเศรษฐี ก็เป็นได้แค่คหบดี หรือผู้มีฐานะธรรมดา ถ้าเป็นมหาเศรษฐีจะมีทรัพย์ ๘๐ โกฎิ เป็นอนุเศรษฐีมีทรัพย์ ๔๐ โกฏิ แต่ด้วยความที่ตัดสินใจไม่เด็ดขาด มัวแต่ลังเลอยู่จึงทำให้ช้า ผลบุญลดลง เหลืออยู่แค่เป็นคหบดีหรือนายบ้าน ถ้าเป็นสมัยนี้ก็ประมาณผู้ใหญ่บ้านหรือกำนันเท่านั้น ไปไม่ถึงระดับเจริญ สิริวัฒนภักดี หรือธนินท์ เจียรวนนท์ ดังนั้น..ทำบุญทำให้ง่าย ทำให้ไว เป็นตรรกะง่าย ๆ ว่า ถ้าเราทำอะไรไว ๆ ถึงเวลาก็ได้อะไรไว ๆ เหมือนกัน ไม่มีทางที่จะได้มาม่าไปได้..! |
ญาติโยมไม่ต้องเมตตาไปทำเสื้อหลวงพ่อเล็กมา เพราะว่าตามชื่อไม่มีทางที่จะใหญ่ไปได้ ตอนที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระเทพเมธากร (ณรงค์ ปริสุทฺโธ ป.ธ. ๔) อดีตเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี อดีตเจ้าอาวาสวัดราษฎร์ประชุมชนาราม (วัดท่ามะขาม) จะตั้งให้เป็นพระครูปลัด เป็นตายอาตมภาพก็ไม่เอา เพราะว่าจะเป็น "พระครูปลัดเล็ก" ประจานตัวเองเปล่า ๆ..!
การเคารพครูบาอาจารย์เคารพด้วยใจก็พอ ไปพิมพ์รูปพิมพ์ชื่อท่านใส่เสื้อผ้า ถึงเวลาจะซักก็ลำบากอีก จะไปซักปนกับกางเกงก็ไม่ได้ หรือดีไม่ดีไปซักปนกับชุดชั้นในก็ยิ่งบรรลัยเข้าไปใหญ่ เพราะฉะนั้น...ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าไปทำเสื้อผ้าในลักษณะแบบนั้น เพราะเป็นเรื่องที่เผลอเมื่อไรก็จะปรามาสพระรัตนตรัยเมื่อนั้น |
พระที่แจกไปให้นั้นสำคัญมาก เพราะว่าด้านหลังบรรจุผงสังฆาฏิพระสุปฏิปันโนชั้นยอด ๒๒ รูปด้วยกัน มีหลวงปู่บุดดา ถาวโร วัดกลางชูศรีเจริญสุข จังหวัดสิงห์บุรี หลวงพ่ออุตตมะ (พระราชอุดมมงคล วิ.) วัดวังก์วิเวการาม จังหวัดกาญจนบุรี เป็นต้น หลายต่อหลายท่านเก่งกาจสามารถ ระดับที่สั่งอะไรคิดอะไรก็เป็นไปตามนั้น แต่ว่ารุ่นหลัง ๆ ไม่รู้จักกันแล้ว ไม่ว่าจะเป็น
หลวงปู่ครูบาชุ่ม โพธิโก วัดวังมุย จังหวัดลำพูน หลวงปู่ครูบาพรหมจักรสังวร (พรหมา พฺรหฺมจกฺโก) - พระสุพรหมยานเถร วิ. วัดพระพุทธบาทตากผ้า จังหวัดลำพูน หลวงปู่ครูบาอินทจักรรักษา (อินถา อินฺทจกฺโก) - พระสุธรรมยานเถร วัดน้ำบ่อหลวง จังหวัดเชียงใหม่ หลวงปู่คำแสน คุณาลงฺกาโร วัดดอนมูล จังหวัดเชียงใหม่ หลวงปู่คำแสน อินฺทจกฺโก (พระครูสุคันธศีล) วัดสวนดอก จังหวัดเชียงใหม่ หลวงปู่ครูบาธรรมชัย ธมฺมชโย (พระครูวรเวทย์วิสิฐ) วัดทุ่งหลวง จังหวัดเชียงใหม่ หลวงปู่ครูบาไชยวงศ์ จนฺทวํโส (พระครูพัฒนกิจจานุรักษ์) วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม จังหวัดลำพูน หลวงปู่สี ฉนฺทสิริ วัดเขาถ้ำบุญนาค จังหวัดนครสวรรค์ เหล่านี้เป็นต้น |
ต้องบอกว่าเกิดไม่ทัน แต่ประวัติท่านทั้งหลายเหล่านี้พอที่จะหาได้ เราก็ไปเสิร์ชในกูเกิ้ลเอา แต่ว่าส่วนใหญ่ความบริสุทธิ์ของใจท่านเขาไม่กล่าวถึง เขามักจะกล่าวถึงแต่อานุภาพวัตถุมงคลบ้าง อิทธิปาฏิหาริย์ของท่านบ้าง แล้วพระทั้งหลายเหล่านี้ท่านก็ไม่ได้ยืนยันให้อีกด้วย
อย่างหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ วัดดอยแม่ปั๋ง จังหวัดเชียงใหม่ ทหารอากาศขับเครื่องบินไป เห็นท่านนั่งอยู่บนก้อนเมฆ ลงไปเที่ยวถามหาว่าพระลักษณะแบบนั้น รูปร่างแบบนั้นอยู่ที่ไหน พอไปเจอหลวงปู่แหวน มั่นใจว่าใช่ ก็ไปกราบถามท่านว่า "วันนั้นหลวงปู่ไปนั่งสมาธิบนก้อนเมฆหรือครับ ?" ท่านตอบแค่ว่า "เฮาบ่ไจ้นก" ก็คือกูไม่ใช่นก จะขึ้นไปทำอะไรบนโน้น ?! หลวงพ่อเกษม เขมโก สำนักสุสานไตรลักษณ์ จังหวัดลำปาง ท่านเข้าสมาธิอยู่กลางแจ้งเป็นเวลาหลาย ๆ เดือน จนเนื้อหนังโดนแดดเผา ลอกเป็นแผ่น ๆ ลักษณะแบบนั้น ถ้าหากว่าทรงสมาบัติ ๘ ไม่ได้ โดยเฉพาะเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน จะไม่สามารถทำแบบนั้นได้ หลวงปู่ครูบาชุ่ม วัดวังมุย ท่านเข้านิโรธสมาบัติในอิริยาบถทั้ง ๔ ก็คือ ยืน เดิน นั่ง นอน หลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านบอกว่า ยังไม่เคยได้ยินว่าใครทำได้แบบนี้ เนื่องเพราะว่านิโรธสมาบัติเป็นการทิ้งร่างกายไปเลย ส่วนใหญ่เขาเข้าในลักษณะนั่งหรือว่านอน บางทีก็ยืนแบบหลวงปู่คำคะนิง จุลมณี วัดถ้ำคูหาสวรรค์ จังหวัดอุบลธานี ท่านยืนอยู่ ๓ ปี กระผม/อาตมภาพพยายามหาคำตอบ ท้ายที่สุดก็เดาว่า ท่านอาศัยอำนาจอภิญญาสมาบัติ อธิษฐานจิตบังคับให้ร่างกายทำงานตามเวลาที่กำหนด อยู่ในลักษณะของวสี ก็คือความชำนาญในการกำหนดสมาธิ พอถึงเวลาร่างกายก็ทำหน้าที่ไปตามที่จิตสั่งเอาไว้ เหมือนกับตั้งโปรแกรมให้หุ่นยนต์ ส่วนจิตของท่านก็ไปสบายอยู่ข้างบน ไม่รบกวนอยู่กับร่างกาย |
หรือว่าหลวงปู่ครูบาพรหมจักรสังวร วัดพระบาทตากผ้า ท้ายทางเดินจงกรมของท่านที่เป็นศิลาแลง มีรอยเท้ามนุษย์ประทับอยู่ ลูกศิษย์ถามท่านว่า "รอยเท้าใครครับหลวงปู่ ?" ท่านก็ไปเดินเหยียบให้ดู บอก "เท่ากันพอดีเลยเนาะ" ท่านก็ไม่ได้บอกอะไร นอกจากพูดแค่นั้น
หลวงปู่ครูบาไชยวงศ์ วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม เกรงว่าจะน้อยไป ท่านก็เลยเหยียบเสียสองรอย แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าลูกศิษย์ไม่รู้คุณค่า เห็นว่าหลวงปู่เหยียบก้อนหินแล้วเป็นรอยตื้นเกินไป ก็เลยไปช่วยกันแกะสลักเสียจนลึก ทำให้เสียความเป็นธรรมชาติไปหมด..! อาตมภาพไปพม่าอยู่หลายปี ไปนั่งถกกับพระพม่าว่า "พระพม่ากับพระไทย ใครจะเก่งกว่ากัน ?" พระพม่าฟันธงว่าพระกะเหรี่ยงเก่งกว่า สามารถเหยียบหินให้เป็นรอยได้ กระผม/อาตมภาพก็นั่งเถียงว่าพระไทยก็ทำได้ ท้ายที่สุดเถียงกันแทบตาย ลงท้ายก็คือหลวงปู่ครูบาไชยวงศ์นั่นเอง เพราะว่าหลวงปู่ครูบาไชยวงศ์ท่านอยู่กับกะเหรี่ยงที่บ้านก้อ อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน ก็เลยทำให้พระพม่าเข้าใจว่าหลวงปู่ครูบาไชยวงศ์เป็นพระกะเหรี่ยง ส่วนอาตมภาพก็ไปเหมาโหลว่าหลวงปู่ครูบาไชยวงศ์เป็นพระไทย ก็เลยไปนั่งงัดข้อกันอยู่ครึ่งค่อนวัน เป็นอะไรที่ต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่ "วิวาทะ" กันได้โดยง่าย หลวงปู่สี วัดเขาถ้ำบุญนาค ชานหมากของท่านคายออกมาเมื่อไร ก็สามารถที่จะลองได้เลย ก็คือมีปืนก็ยิงไปเถอะ..ไม่ออกหรอก..! แต่มีอยู่วันหนึ่งหลวงปู่ท่านบ่นว่า "มันลองกันเยอะ..จนข้าเจ็บปากไปหมดแล้ว..!" |
ถ้าเราเข้าใจธรรมชาติของเนื้อหามวลสารต่าง ๆ ก็สามารถที่จะระบุได้ว่าวัตถุมงคลนั้นแท้เทียมประการใด
|
(มีพระต่างประเทศมาทำบุญ) ท่านที่เป็นพระต่างประเทศ โอกาสที่จะคุยกันรู้เรื่องจริง ๆ ก็พระลาว นอกนั้นก็ต้องใช้ภาษาอังกฤษ เพราะว่าลาวกับไทยก็เชื้อสายเดียวกัน คำพูดฟังกันรู้เรื่องเกิน ๘๐ เปอร์เซ็นต์ ยกเว้นว่า "สบายดี" คนไทยว่า "สวัสดี" แต่อย่าไปถามว่า "สบายดีบ่ ?" สบายดีบ่ ? แปลว่า "ป่วยหรือเปล่า ?" สบายดีก็คือสวัสดี
ภาษาลาวเป็นอะไรที่สนุกมาก ไปประเทศลาวทีไรมีเรื่องให้หน้าแตกทุกที เพราะว่าของเราเป็นลาวแบบไทย ส่วนของเขาเป็นลาวแท้ พูดผิดเมื่อไรก็พังเมื่อนั้น..! เขาถาม "อาจารย์..สันกะปูบ่ ?" ฟังอยู่ตั้งนานว่าคืออะไร อ๋อ..ปู คนลาวเรียก "กะปู" บอกไปว่า "ใส่บาตรห้ามถามพระ มีอะไรก็ส่งมา อย่าเป็นของดิบก็แล้วกัน" ปรากฏว่าผักเผิกเขาต้มมาหมด..! ความจริงพระพุทธเจ้าท่านห้ามฉันเนื้อดิบ เพราะฉะนั้น..พวกลาบ พวกหลู้ พวกก้อย อะไรที่เป็นเนื้อดิบ ฉันไม่ได้ทั้งนั้น ทำเอาพระอีสานจะเฉาตาย..! |
ใครมีธุระอะไรไปทำให้เรียบร้อยแล้วค่อยเข้ามา ถ้าตั้งใจจะรับยันต์เกราะเพชร ให้เตรียมธูป ๓ ดอก กับเทียน ๑ เล่ม เอาไว้เป็นเครื่องบูชาครูตอนรับยันต์ด้วย ใช้แค่นั้น ดอกไม้ไม่ต้อง เงินทองไม่ต้อง ถ้าไม่ได้เตรียมมา บริเวณเต็นท์ข้างโบสถ์มีให้ท่านไปหยิบเอาได้ จะทำบุญหรือไม่ทำบุญก็ไม่ว่ากัน
เมื่อถึงเวลารับยันต์แล้ว ธูปเทียนที่ว่านั้น เมื่อผ่านบารมีพระที่ท่านสงเคราะห์ จะมีอานุภาพเหมือนกับมีดหมอ ใครโดนผีเจ้าเข้าสิงที่ไหน ให้ตั้งใจขอบารมีพระ ว่าคาถานะโมพุทธายะ นึกถึงพุทธานุภาพของพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ เอาธูปหรือเทียนนั้นจี้ใส่ ผีจะหนีไปเอง แต่อาตมภาพชอบใช้ตอนบน ก็คือจะบนพระหรือบนเทวดา ใช้ธูปเทียนที่ผ่านพิธีรู้สึกว่าง่ายดี ไม่ต้องอธิษฐานมาก เหมือนอย่างกับถือนามบัตรเจ้าใหญ่นายโตไป อย่างไรเขาก็ต้องอนุเคราะห์สงเคราะห์เราแน่นอน ดังนั้น..ในเรื่องของธูปเทียนในงานเป่ายันต์เกราะเพชร จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ท่านทั้งหลายไม่ควรจะละเลย เพราะว่าจะเสียประโยชน์ไปเอง..! |
พระภิกษุสามเณรอาคันตุกะ เมื่อถึงเวลาเพล นิมนต์ฉันเพลที่โรงครัวนะครับ ไปก่อนนั่งลงได้สัก ๔ รูป ๖ รูปต่อวงก็นิมนต์ฉันได้เลย ไม่ต้องรอกัน วันงานถือว่าอนุญาตพิเศษ ถ้ามัวแต่รอกันอยู่ บางทีกระผม/อาตมภาพติดอยู่ตรงนี้ ๑๑ โมงครึ่งยังลุกไม่ได้เลย..!
ถ้าหากว่าช่วงงานท่านมาแล้วโดนละเลยไปบ้างก็ต้องขออภัย เพราะว่าพระเณรวัดท่าขนุนถึงจะมี ๔๐ กว่ารูป แต่ว่าติดภารกิจกันหมด ส่วนที่หนักที่สุดก็คือท่านที่ดูแลความสะอาดและห้องน้ำห้องส้วม ฝ่ายดูแลความสะอาดแทบจะต้องขนขยะกันทุก ๆ ๓ นาที ๕ นาที..! รบกวนญาติโยมทั้งหลาย เวลารับประทานอาหารโรงทานแล้ว ให้ทิ้งขยะลงในถุงดำ เขาจะได้ขนไปทิ้งง่าย ๆ หน่อย ไม่ใช่นั่งกินตรงไหนก็กองไว้ตรงนั้น แล้วอยู่ ๆ ขยะหายไป มาคิดว่าวัดท่าขนุนมีระบบอัตโนมัติอีก..! ความจริงทำให้พระท่านต้องลำบาก มาไล่ตามเก็บในสิ่งที่ญาติโยมทั้งหลายทำเอาไว้ไม่เรียบร้อย เผลอเมื่อไรก็จะได้เกิดเป็นคนใช้เขา ๕๐๐ ชาติ..! ถ้าเป็นคนใช้ในบ้านเศรษฐีแล้วเจ้านายเขารักก็ดีไป ถ้าไปเจอแบบ "ดาวพระศุกร์" เข้า พวกนี้เกิดทันเรื่องดาวพระศุกร์ไหม ? ตั้งแต่สมัยคุณยายมนฤดียังเป็นวัยรุ่นอยู่ ส่วนดารารุ่นหลัง ๆ ไม่ต้องมาถามอาตมภาพ..ไม่รู้จัก ดาราคู่สุดท้ายที่รู้จัก พระเอกชื่อทูน หิรัญทรัพย์ นางเอกชื่อจารุณี สุขสวัสดิ์ หลังจากนั้นแล้วไม่ต้องถาม เด็ก ๆ วิ่งมาบอก "หลวงพ่อ ๆ รถเมล์มา" บอกว่า "มาก็ขึ้นไปสิวะ เกี่ยวอะไรกับกู" ปรากฏว่าเขาบอกว่าเป็นดาราชื่อรถเมล์ หรือไม่ก็ "หลวงพ่อ..บี้มา" "บี้ใครวะ ? กูไม่รู้จัก..ขออภัย" |
อาตมภาพหย่าขาดกับโทรทัศน์มาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๒๗ คาดว่าหลายท่านยังไม่เกิด เพราะว่าตั้งใจจะบวช ก็เลยรักษาศีล ๘ ตั้งแต่ปี ๒๕๒๗ มาบวชปี ๒๕๒๙ ใช้เวลาประมาณ ๒ ปี น้ำหนักตัวจาก ๖๓.๕ กิโลกรัม ลดลงไปเหลือแค่ ๕๔ กิโลกรัม จนป่านนี้ยังไม่ได้น้ำหนักคืนมาเลย บวชมา ๔๐ ปีเข้าไปแล้ว ปัจจุบันนี้ ๖๑ กิโลกรัมบ้าง ๖๑.๕ กิโลกรัม บ้าง ป่วยทีหนึ่งก็หายไป ๒ กิโลกรัม ๓ กิโลกรัม..! กลายเป็นคนแก่หุ่นดี อายุ ๖๗ ปีแล้วยังเหมือนอย่างกับวัยรุ่น ก็คือยังผอมอยู่เลย..!
ส่วนใหญ่พออายุเริ่มมาก โดยธรรมชาติร่างกายก็จะตุนสารอาหารไว้ให้ ก็คือตุนไขมันไว้ให้ เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าพออายุมาก การเคลื่อนไหวช้า บรรพบุรุษของเราจึงไล่ทุบไดโนเสาร์ไม่ไหว ไม่มีอะไรกินแล้วก็อดตายไปหลายรุ่น จนเกิดการจดจำขึ้นในสารพันธุกรรมว่า ถ้าอายุขนาดนี้ หากินไม่ค่อยจะไหวแล้ว ก็ต้องตุนเอาไว้เอง ดังนั้น..ถ้าใครอายุเริ่มเข้าเกณฑ์มาก ก็จะต้องอ้วนเป็นธรรมดา ยกเว้นว่าท่านขยันออกกำลังหรือดูแลสุขภาพตัวเอง แต่ว่าสมัยนี้ก็ลำบาก ถ้าหากว่าท่านไปเข้าฟิตเนส เกิดเป็นชายแท้เข้าไป ปรากฏว่าพวกหล่อล่ำกล้ามใหญ่ในนั้นมองกันน้ำลายยืด อาตมภาพเห็นแล้วยังสยองแทน..! |
สีหะนาทัง นะทัน เตเต ปะริสาสุ วิสาระทา เป็นคาถาสำหรับนักเทศน์ หรือเวลาเข้าสังคมแล้วกลัวประหม่า ให้ภาวนาไปก่อนสัก ๑๐ นาที ๒๐ นาที
ความหมายของพระคาถาก็คือ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงธรรมในท่ามกลางพุทธบริษัท ประหนึ่งราชสีห์แผดสีหนาท |
พระพุทธชินราชใบเสมาเป็น ๑ ในเบญจภาคีพระเนื้อชิน พวกเล่นหล่อด้วยทองคำมาถวาย องค์หนึ่งก็หลายบาทอยู่ แต่อาตมภาพไม่กล้าขาย เพราะว่าถ้าขายแล้วร้านทองเอาไปหลอม ก็ทำลายพระพุทธรูปอีก..!
|
ใครต้องการน้ำมนต์เสาร์ ๕ ของวัดท่าขนุน พูดง่าย ๆ ว่าผู้ที่เจ็บไข้ได้ป่วยด้วยโรคที่หาสาเหตุไม่ได้ ลองเอาน้ำมนต์ไปดื่มไปอาบดู ถ้ากรรมไม่หนักจนเกินไปนักก็จะหายเลย
แต่เอาให้แน่นะ เนื่องเพราะว่าอาตมภาพเจอมาสองราย ที่ไม่ได้เป็นอะไรเลย แต่มั่นใจว่าตัวเอง "โดนของ"..! รายแรกเป็นพระอาจารย์ของอาตมภาพเอง จบด็อกเตอร์มาจากอินเดีย ปกติท่านก็ไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ ปรากฏว่าวันนั้นท่านบอกว่า "พระครูเล็ก..ช่วยดูให้ผมหน่อย ผมปวดหัวเข่า รักษาอย่างไรก็ไม่หาย น่าจะโดนของมา..!" อาตมภาพบอกว่า "ท่านอาจารย์..ไปหาหมอเอ็กซเรย์เดี๋ยวนี้เลย ไม่ได้โดนของอะไรหรอก ป่วยปกติ" ท่านอาจารย์ก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ปรากฏว่าไปเอ็กซเรย์แล้วกระดูกหัวเข่าแตก..! หมอก็เลยต้องผ่าตัดให้ อาตมภาพไปเยี่ยม ถามว่า "ท่านอาจารย์ไปทำอีท่าไหน กระดูกหัวเข่าแตก ?" ท่านบอกว่า "เดินชนมุมโต๊ะหน่อยเดียว ไม่นึกว่าจะแตก เห็นเจ็บก็เอายาหม่องทา พอบวมมากขึ้น กินยาแก้ปวด กินอะไรมาเป็นอาทิตย์ก็ไม่หาย..!" |
ส่วนอีกรายหนึ่งดีกว่านั้น เป็นสุภาพสตรี บอกว่า "โดนของ" มา เดี๋ยวหนาว เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวเหงื่อออก ก็เลยบอกว่า "โยมไปหาหมอ บอกเขาว่าขอฮอร์โมนหน่อย โยมแก่จนกระทั่งวัยทองแล้ว ยังไม่รู้ตัวว่าฮอร์โมนหมด..!"
ดังนั้น..เป็นอะไรกรุณาหาหมอตามปกติก่อน รักษาไม่ได้แล้วค่อยมาหาหมอผี ไม่ใช่เอะอะก็จะหาแต่หมอผี เดี๋ยวก็เสียตังค์มากอีก เพราะว่าแต่ละรายส่วนใหญ่มักจะหลอกเอาประโยชน์จากเราทั้งนั้น..! |
พอดีอาตมภาพอายุเพิ่งจะ ๖๗ ปี ครูบาวิฑูรย์ ชินวโร ประธานที่พักสงฆ์ปรียนันท์ธรรมสถาน จังหวัดนครสวรรค์ ท่านจะทำไม้เท้ามาถวาย ยังสงสัยว่า "นี่ข้าพเจ้าแก่ขนาดนี้แล้วหรือ ?" จำได้ว่าเพิ่งอายุ ๒๐ กว่า ๆ เอง ด้วยความที่จำได้ว่าอายุยังน้อยอยู่ ก็เลยไม่รู้สึกว่าแก่..!
|
ขอเจริญพรขอบคุณท่านเจ้าของโรงทานทั้ง ๓๒ แห่ง ที่พร้อมใจกันนำอาหารมาเลี้ยงทั้งพระภิกษุสามเณร แม่ชี และฆราวาสหญิงชาย โดยเฉพาะไอ้บรรดาเด็กแสบทั้งหลายที่วนกินไม่เลิกอยู่นั่น กรุณาทำใจร่ม ๆ เขาอยากกินก็รีบส่งให้ไปเลย หมดแล้วก็จบ..!
เรามาตั้งโรงทานก็หวังจะให้คนกิน พวกแถวนี้ต่างด้าวเขาเยอะ ถึงเวลามีโรงทานที่ไหน เขาจะโทรเรียกพวกกันมาหมด ก็จะทำให้ท่านทั้งหลายอาจจะได้น้อยไปหน่อย หรือไม่ได้เลย แต่ว่าเจ้าของโรงทานได้บุญเต็มที่ไปแล้ว เพราะว่าเขาตั้งใจมากินจริง ๆ จะให้ทานต้องวางอุเบกขาให้เป็น รู้ว่าเขาต้องการ เราก็ให้ ให้แล้วเขาจะเอาไปทำอะไร เราไม่ต้องไปตามรู้เรื่อง จบแค่ตรงให้เท่านั้นสบายใจที่สุด ขอเจริญพรขอบคุณบริษัทมุลเลอร์กรุ๊ป จำกัด ซึ่งส่งเจ้าหน้าที่มาดูแลทางด้านสถานที่ โดยเฉพาะด้านความสะอาด ขอเจริญพรขอบคุณบรรดา อส. และ อปพร. จากที่ว่าการอำเภอทองผาภูมิ ซึ่งได้รับความอนุเคราะห์จากท่านนายอำเภอชาคริต ตันพิรุฬห์ ส่งมาช่วยดูแลความสะดวกของการจราจรให้ ส่วนที่ลืมไม่ได้เลยก็คือขอเจริญพรขอบคุณคณะโมทนาบุญสัญจร ซึ่งจัดรถตู้หมุนเวียนรับญาติโยมจากในวัดไปยังหน้าวัด รับญาติโยมจากหน้าวัดเข้ามาในวัด โดยไม่คิดมูลค่าใด ๆ และขอเจริญพรขอบคุณเทศบาลตำบลท่าขนุน ที่สละพื้นที่ให้เป็นลานจอดรถแก่คณะของญาติโยมที่เดินทางมาร่วมงานในวันนี้ ขอเจริญพรขอบคุณเทศบาลตำบลทองผาภูมิ ซึ่งส่งเจ้าหน้าที่ไปช่วยดูแลความเรียบร้อยที่ตลาดริมแควเมืองท่าขนุน แล้วส่วนหนึ่งมาออกโรงทานเลี้ยงญาติโยมในวันนี้ด้วย |
สิ่งหนึ่งประการใดก็ตาม ถ้าเราทำคนเดียวจะเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่องยาก แต่ถ้าหากว่าสามัคคีกลมเกลียว ช่วยเหลือกัน เรื่องยากก็จะเป็นเรื่องง่าย สมดังพระบาลีที่ว่า สุขา สงฺฆสฺส สามคฺคี ความสามัคคีในหมู่คณะย่อมนำสุขมาให้
ถ้าเรารักใคร่สามัคคีต่อกัน ประเทศชาติก็จะเจริญมั่นคง ใครคิดจะรุกรานก็ต้องคิดหนัก ไม่เหมือนไอ้สิ้นคิดข้างบ้าน ที่พยายามจะรุกรานประเทศไทย ต้องบอกว่าทำไปแล้วประชาชนของตนเองเดือดร้อนก็ไม่สนใจ หวังอยู่อย่างเดียวว่าจะสร้างความนิยมในหมู่ประชาชนขึ้นมา ต้องบอกว่าน่าสงสารประชาชนของเขาเป็นอย่างยิ่ง ที่กลายเป็นเครื่องมือของนักการเมืองไปโดยไม่รู้ตัว บ้านเราเมืองเราก็เช่นกัน ถ้าท่านทั้งหลายรู้จักสังเกตจะเห็นว่า พวกหัวหน้าม็อบก็ดี พวกผู้นำในการเดินขบวนหรือปลุกระดมก็ตาม ไม่เคยเจ็บไม่เคยตายด้วย ที่เจ็บที่ตายมีแต่พวกโง่ ๆ อย่างพวกเราที่ไปแห่ตามเขา เนื่องเพราะว่าแต่ละคนที่ออกมานั้นล้วนแล้วแต่ "มีงาน" ทั้งสิ้น คำว่า "มีงาน" ก็คือไปรับเงินเขามา แล้วก็ป่วนบ้านป่วนเมืองของเรา เพื่อสร้างความชอบธรรมในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าการที่จะหน้าด้านอยู่ต่อ ทั้ง ๆ ที่ไม่มีสิทธิ์จะอยู่ก็ดี เอ๊ะ..อาตมาจะล้วงลึกไปแล้ว..! จึงเป็นเรื่องที่เราต้องใช้สติสัมปชัญญะให้มากเข้าไว้ ไม่เช่นนั้นแล้วก็จะกลายเป็นเหยื่อการเมือง บาดเจ็บล้มตายโดยใช่เหตุ หรือถ้าใครมั่นใจวัตถุมงคลวัดท่าขนุนว่าคุ้มครองได้ จะไป "ลองของ" อาตมภาพก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่ถ้าเจ็บหรือตายขึ้นมา กรุณาไปขอส่วนกุศลทางอื่น ไม่ต้องเลี้ยวมาทางนี้ เพราะว่าถ้าเลี้ยวมาทางนี้มีแต่จะโดนซ้ำ..! |
เหลืออีก ๑ ชั่วโมงเศษ ๆ ก็จะได้เวลาในการเป่ายันต์เกราะเพชรรอบแรก ซึ่งหลายต่อหลายท่านรับที่บ้านก็ได้ผล เห็นชัดเจน แต่ก็ยังอยากที่จะมาวัด ต้องขอบพระคุณทุกท่านที่รวมจิตรวมใจกันมา
กำลังใจของคนที่มุ่งไปทางเดียวกันนั้น ถ้ามุ่งไปในด้านดี ก็สามารถที่จะช่วยเหลือประเทศชาติได้มาก แต่ถ้ามุ่งไปในด้านไม่ดี ก็มีสิทธิ์ที่จะพาให้ประเทศชาติของเราล่มจมได้ง่าย ๆ..! |
อาตมภาพไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกันว่า คนรุ่นใหม่จะเอาตัวการันต์ไปทำอะไรเยอะแยะ ? คิดว่าใส่มาแล้วไม่ต้องออกเสียงก็อย่าใส่ หมดเรื่องหมดราวไป ไม่ได้สงสารคนอ่านเลยว่าจะอ่านออกหรือเปล่า ?
หลักเกณฑ์ไวยากรณ์ไทยเขามีตายตัวอยู่แล้ว ก็ยังแหกคอกกันออกไป ทำให้ภาษาไทยของเราบรรลัยวายวอดหมด..! คนโบราณเขาเรียนตำราจนครบ คนรุ่นใหม่เรียนไม่ครบ สมัยก่อนเขาเรียนมูลบทบรรพกิจ วาหนิติ์นิกร อักษรประโยค สังโยคพิธาน ไวพจน์พิจารณ์ พิศาลการันต์ เหล่านี้เป็นต้น รุ่นหลัง ๆ เรียนแค่ ก.ไก่ ถึง ฮ.นกฮูก ผสมสระ ยังเรียนไม่ค่อยจะจบเลย |
ญาติโยมทั้งหลาย การเป่ายันต์เกราะเพชร หรือว่าการรับยันต์เกราะเพชร เป็นพิธีกรรมที่ประกอบด้วยพุทธานุสติ คือการระลึกถึงพระพุทธเจ้า เนื่องเพราะว่ายันต์เกราะเพชรคือบารมีของพระพุทธเจ้านั่นเอง
ยันต์เกราะเพชรเป็นส่วนหนึ่งของธงมหาพิชัยสงคราม ซึ่งเป็นธงนำทัพในสมัยสุโขทัย อานุภาพของธงมหาพิชัยสงคราม ท่านว่า "แค่ถือด้ามธงเดินเข้าป่าก็ไม่มีวันอดตาย..!" ยันต์เกราะเพชรนั้นเป็นส่วนหนึ่งของธงมหาพิชัยสงคราม บริเวณส่วนบนก่อนจะถึงคอธงก็คือบทพุทธคุณ อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง สัมมา สัมพุทโธ ไปจนถึง ภะคะวาติ โบราณาจารย์ท่านนำมาจัดเรียงใหม่ให้เป็น ๘ แถว แถวหนึ่งมีอักขระ ๗ ตัว เขียนลงอ่านแบบหนังสือจีนว่า อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง สัมมา สัมพุทโธ เป็นต้น แต่อ่านแบบปกติก็คืออ่านจากซ้ายไปขวา จะเป็นบทพระคาถา ๘ บท บางคนเรียกว่าบท อิติปิ โส ๘ ทิศ อ่านว่า อิ ระ ชา คะ ตะ ระ สา, ติ หัง จะ โต โร ถิ นัง เป็นต้น แล้วก็ชักสูตร สำเร็จรูปเป็นยันต์เกราะเพชร |
ยันต์เกราะเพชรนั้นมีอานุภาพหลายอย่าง อย่างแรกก็คือรักษาผู้ที่รับยันต์ไปไม่ให้ตายโหง คำว่าตายโหงในที่นี้ ก็คือการตายแบบผิดปกติ อย่างเช่นว่าเกิดอุบัติเหตุ หรือว่าโดนคนอื่นเขาฆ่า เป็นต้น
ประการที่สอง จะไม่ตายด้วยพิษของสัตว์มีพิษ ถ้าโดนสัตว์มีพิษกัด ไม่ว่าจะเป็นงูเงี้ยวเขี้ยวขออะไรก็ตาม พิษสัตว์นั้นจะมาติดอยู่ที่ข้อแรกเหนือแผลของตน อย่างเช่นว่าถ้าโดนกัดที่น่อง พิษจะขึ้นมาไม่เกินหัวเข่า ถ้าโดนกัดนิ้วมือ พิษจะขึ้นมาไม่เกินข้อมือ จะโดนอานุภาพของยันต์เกราะเพชรยันเอาไว้ จากประสบการณ์ที่โดนมาด้วยตัวเองก็คือ เวลาโดนงูพิษกัด มีความเจ็บปวดขนาดไหนก็จะเจ็บปวดขนาดนั้น แต่ว่าเมื่อพิษขึ้นมาถึงข้อแรก ก็จะโดนอานุภาพยันต์เกราะเพชร ยันเอาไว้ให้หยุดอยู่แค่นั้น ไม่สามารถที่จะขึ้นมาได้ หลังจากที่พิษวิ่งขึ้นวิ่งลงอยู่ประมาณ ๔ - ๕ รอบ ก็จะสลายตัวไปเอง ประการต่อไปก็คือสะท้อนกลับไสยศาสตร์ทุกประเภท ถ้าบุคคลอื่นตั้งใจทำไสยศาสตร์ใส่เรา จะให้มีอาการหนักแค่ไหน ถึงเวลาก็จะโดนสะท้อนย้อนกลับไปให้เขามีอาการแบบนั้นเช่นกัน เพียงแต่ว่าท่านที่รับยันต์ไปแล้วต้องรักษาเอาไว้ให้ได้ การรักษายันต์เกราะเพชรนั้นอย่างน้อยเราต้องมีศีล ๒ ข้อ ก็คือ ไม่ลักขโมย ๑ ไม่ดื่มสุรายาเมา ๑ ถ้าสามารถรักษาเอาไว้ได้แล้วมีการปลุก ก็คือภาวนานึกถึงอยู่ทุกวัน ก็จะสามารถป้องกันอันตรายต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้วข้างต้นได้ |
คราวนี้การเป่ายันต์เกราะเพชร หรือรับยันต์เกราะเพชรนั้น ไม่ได้เป่าทีละคน แต่เป็นการเป่าทีละศาลา ซึ่งความจริงด้วยพุทธานุภาพ ต่อให้ทั้งโลกนี้และโลกอื่นก็สามารถอนุเคราะห์สงเคราะห์ได้ พูดง่าย ๆ ว่าถ้าอยู่ในโลกมนุษย์แล้วตั้งใจรับยันต์เกราะเพชรด้วยความเคารพ จะอยู่มุมไหนของโลกก็สามารถรับได้
แต่ต้องให้เวลาตรงกันเท่านั้น ท่านที่อยู่ต่างประเทศจึงต้องพยายามคำนวณเวลาให้ดีว่า ๑๐ โมงเช้าของเมืองไทย กับบ่ายหนึ่งโมงของเมืองไทย ตรงกับเวลาของท่านเวลาเท่าไร แล้วให้ตั้งใจอธิษฐานรับยันต์เกราะเพชรในเวลานั้น |
เครื่องมือในการรับยันต์เกราะเพชรประกอบด้วย ธูป ๓ ดอก เทียน ๑ เล่ม อย่างอื่นไม่ต้องมี เห็นหลายท่านหอบเอาบายศรีมา หอบเอาธูปเทียนแพมา นั่นเกินความจำเป็น
สิ่งที่ครูบาอาจารย์ท่านขอไว้มีแค่ธูป ๓ ดอก เทียน ๑ เล่ม จำกัดอยู่แค่ว่าเทียนอย่างน้อยต้องน้ำหนัก ๑ บาท ส่วนธูปไม่ได้จำกัด ท่านจะเอาธูปจีนยาวเป็นเมตร ก็ไม่มีใครว่า..! เมื่อถึงเวลาให้ภาวนาตั้งใจจำภาพยันต์เกราะเพชร หรือว่าภาพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ใดก็ได้ที่เรารักเราชอบ หรือถ้าไม่มีก็นึกถึงภาพพระประธานในศาลาหลังนี้ ภาวนา "พุทโธ..พุทโธ" ไปจนกว่าจะบอกให้เลิก |
ท่านที่รับยันต์แล้ว ถ้ารู้จักสังเกตจะรู้ว่ายันต์กำลังเข้าตัวอยู่ ก็คือจะมีอาการร้อนหูร้อนหน้าบ้าง หนักหัวหนักไหล่บ้าง บางทีรู้สึกเหมือนมีอะไรไต่ตามตัว บางคนก็ขนลุก น้ำตาไหล ร่างกายโยกโคลงก็มี บางท่านก็ดิ้นตึงตังโครมครามเหมือนผีเจ้าเข้าสิงก็มี ถ้าเกิดเรื่องแบบนั้นไม่ต้องสนใจ เรามีแค่หน้าที่ในการภาวนาพุทโธไปเรื่อย ๆ
|
ส่วนอีกประเภทหนึ่งนั้น เป็นพวกที่โดนไสยศาสตร์ คุณผีคุณคน หรือว่าวัตถุอาถรรพ์อะไรมา ถ้าถึงเวลาแล้ว ท้าวมหาราชจะให้บริวารของท่านช่วยจัดการให้ พวกเหล่านี้ก็มักจะทั้งร้องทั้งดิ้นโวยวาย ถึงเวลาท่านไม่ต้องไปสนใจ ภาวนาของตนเองไป
แต่ส่วนใหญ่แล้วพวกเรามักจะกลัว เห็นว่าศาลาแน่น ๆ แต่พอมีคนโวยวายขึ้นมาปุ๊บ จะมีที่ว่างเยอะเลย เพราะว่าทุกคนขยับหนีกันหมด ขอให้ภาวนาไปโดยไม่ต้องสนใจเรื่องภายนอก จนกว่าจะบอกว่าได้รับยันต์ครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว |
เมื่อท่านรับยันต์ไปแล้วต้องรักษาเอาไว้ ดังที่ได้กล่าวแล้วว่าห้ามลักขโมย หรือว่าหยิบฉวยสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ ก็แปลว่าต้องมีสติ ระมัดระวัง และห้ามดื่มสุราเมรัย ซึ่งในปัจจุบันนี้ ยาเสพติดต่าง ๆ ก็มีมาก โดยเฉพาะข้าวปลาอาหารที่มีส่วนผสมของเหล้า ไม่ว่าจะเป็นเหล้าจีน เหล้าญี่ปุ่นที่เรียกว่ามิริน หรือว่าเหล้าฝรั่ง พวกรัมหรือวิสกี้ ซึ่งล้วนแล้วแต่ทำให้ยันต์เกราะเพชรสลายตัวได้ทั้งสิ้น
ถ้าท่านที่ช่างสังเกต ทันทีที่อาหารซึ่งประกอบด้วยแอลกอฮอล์เข้าปากไป จะรู้สึกร้อนวาบออกผิวหนังตนเอง ถ้าลักษณะอย่างนั้น แปลว่ายันต์เกราะเพชรยกมือบ๊ายบายลาก่อน มีอยู่ท่านหนึ่งเล่าว่ารู้สึกสะเทือนเหมือนกับมีระเบิดในตัวเอง จนเสื้อผ้าสะเทือนไปทั้งร่าง เพราะว่าเผลอไปรับประทานอาหารที่มีส่วนผสมของวิสกี้เข้าไป |
บรรดาท่านที่เข้าผับเข้าบาร์ต้องระวังเป็นอย่างสูง โดยเฉพาะพวกพั้นซ์หรือน้ำผลไม้สมัยนี้ เขาผสมแอลกอฮอล์ทั้งนั้น บางส่วนก็เป็นวอดก้าเพียว ๆ ชนิดจุดไฟติด แล้วก็แข่งกันว่าใครจะดื่มเข้าไปได้โดยที่ไม่โดนไฟไหม้ หรือว่าช็อกโกแล็ตไส้บรั่นดีสมัยนี้มีมาก
ไอศกรีมรัมเรซิ่น ก็คือเหล้าดี ๆ นี่เอง หรือไม่ก็บรรดาท็อปปิ้งของขนมเค้กที่เป็นผลไม้แช่เหล้า พูดง่าย ๆ ว่าถ้าไม่แน่ใจ อย่ากินเสียก็หมดเรื่อง คราวนี้ยันต์เกราะเพชรที่มีจุดอ่อนเช่นนี้ ก็เพื่อให้ท่านทั้งหลายต้องรู้จักมีสติ ระมัดระวังให้มากขึ้น นอกจากอาศัยบารมีพระเป็นพุทธานุสติแล้ว ยังต้องรักษาศีล เป็นสีลานุสติด้วย แล้วเมื่อถึงเวลา ยังต้องมีการภาวนาปลุกยันต์เกราะเพชร จัดเป็นภาวนามัยในบุญกิริยาวัตถุอีกต่างหาก การรับยันต์เกราะเพชรจึงเป็นการรักษาความดีที่พระท่านมอบให้นั่นเอง |
การรับยันต์เกราะเพชรไปสามารถพิสูจน์ได้ อย่างเช่นว่าถ้ามีผู้หญิงที่ท้องครั้งแรก แล้วพามาเข้าพิธี โดยจัดธูปเทียนเผื่อลูกในท้องด้วย ๑ ชุด ถ้าลูกคนแรกที่คลอดออกมานั้นเป็นผู้ชาย จะมียันต์ติดตัวมาด้วย แต่ไม่ใช่รูปยันต์เกราะเพชรโดยตรง บางทีก็เป็นจุด เป็นขีด เป็นแต้ม เหมือนอย่างกับเป็นปานก็มี แต่จะรู้ได้ว่าเป็นยันต์เกราะเพชร ก็เพราะว่าไม่เกิน ๗ วันจะซึมเข้าไปอยู่ในกระดูกจนหมด
อาตมภาพทำพิธีเป่ายันต์มา มีเด็กหลายต่อหลายคนที่พ่อแม่เขาถ่ายรูปมายืนยันเป็นหลักฐาน เด็กที่ภูเก็ตเป็นเส้นเขียว ๆ ลายพร้อยไปทั้งตัวเหมือนใส่เสื้อสีแปลก ๆ แต่ว่าพอครบ ๗ วันก็หายไปหมด อีกรายหนึ่งเป็นเด็กทองผาภูมินี่เอง แม่พามาเข้าพิธี คลอดออกมาลูกลายพร้อยไปทั้งตัว ทำเอากุมารแพทย์และสูติแพทย์ตกใจ คิดว่าเจ็บไข้ได้ป่วยด้วยโรคที่ตนเองไม่รู้จัก ก็พยายามที่จะเจาะเลือด เจาะไขสันหลังเพื่อหาสาเหตุ ทำให้เด็กเจ็บตัวเสียเปล่า ๆ กระผม/อาตมภาพบอกกับพ่อเด็กว่า "ถ้าแม่เดินไหวแล้วก็อุ้มเด็กกลับบ้านเลย ไม่เกิน ๗ วันจะหาย" แล้วท้ายที่สุดก็หายดีเป็นปกติ ปัจจุบันนี้เรียนปริญญาตรีปี ๒ แล้ว หมอเขาเรียกเคสนั้นว่า "เด็กตุ๊กแก" เพราะว่าเป็นแต้มลายไปทั้งตัว สมัยพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านเป่ายันต์เกราะเพชร มีโยมผู้หญิงจากลพบุรีท้องครั้งแรกเหมือนกัน มารับยันต์เกราะเพชรแล้วตั้งใจรักษาอย่างเต็มที่ ก็คือแยกห้องนอนกับสามีไปเลย ไปอาศัยนอนในห้องพระ ภาวนานึกถึงพระทุกวัน ลูกคลอดออกมามียันต์เป็นสีแดงรูปกงจักรติดอยู่บนหัว ซึ่งโดยปกติไม่เกิน ๗ วันก็จะหายเข้าไปอยู่ในกระดูก แต่เด็กคนนี้ยันต์จะขึ้นทุกวันพระ ๑๕ ค่ำ ไม่ทราบเหมือนกันว่าตอนนี้เริ่มแก่แล้ว มีใครไปขอดูยันต์บนหัวแกอีกหรือเปล่า ? |
อีกวิธีหนึ่งก็คือ ถ้าเป็นลูกผู้หญิง ไม่มียันต์ติดตัวมาให้เห็น หรือว่าเป็นผู้ใหญ่ ไม่มียันต์ติดตัวมาให้เห็น ถ้าท่านสามารถรักษาได้จริง ก็จะไปดูกันตอนตายแล้วเผา จะมียันต์ติดอยู่ที่กระดูก โดยเฉพาะแถวกะโหลกศีรษะ ต้องดูให้ดี ๆ ไม่ใช่รอยต่อของกะโหลกศีรษะ แต่เป็นอักขระที่ติดอยู่บริเวณชิ้นกะโหลกนั้น ๆ
เรื่องพวกนี้พิสูจน์มาแล้วมากต่อมากด้วยกัน แม้กระทั่งฝรั่งมังค่าที่ได้ภรรยาเป็นคนไทย ตั้งใจอธิษฐานรับยันต์ที่บ้านตนเอง ปรากฏว่ามีอาการชัดเจน ก็คือขนลุกทั้งตัวแบบที่โบราณเรียกว่า "หนามขนุน" เกิดความเลื่อมใสขึ้นมา ครั้งต่อไปให้ภรรยาพามารับที่วัดท่าขนุน ซึ่งรับที่บ้านก็ได้ผล ไม่รู้ว่าจะมาให้ลำบากลำบนทำไม ? |
การรับยันต์เกราะเพชรแล้วจะไม่ตายโหง อาตมภาพยกตัวอย่างโยมแม่ตัวเองให้ฟังทุกครั้ง คือโยมแม่เป็นคนมีบุญมาก อยู่ห่างจากถนน ๒๐ กว่าเมตร มีราชรถวิ่งไปเกยได้..!
ก็เพราะว่าบริเวณปากทางสนามบินกำแพงแสนนั้น เป็นท่าจอดรถ บขส.ส่วนใหญ่ก็เป็นสายบางลี่-กรุงเทพ, สายอู่ทอง-กรุงเทพ, สายบางลี่-นครปฐม, สายอู่ทอง- นครปฐม. สายหนองวัลย์เปรียง-นครปฐม เหล่านี้เป็นต้น ปรากฏว่าวันนั้น รถขาขึ้นจะเข้านครปฐมจอดอยู่ทางด้านฝั่งหนึ่ง เพื่อรอเจ้าหน้าที่ตรวจสอบเวลา รถขาล่องจากนครปฐมวิ่งไปอู่ทอง มาถึงก็จอดอีกฝั่งหนึ่ง กลายเป็นรถบัสสองคันจอดเต็มถนนพอดี รถเก๋งที่วิ่งมาด้วยความเร็วสูง ไม่รู้จะหลบไปทางไหนจึงหักลงข้างทาง โยมแม่ของอาตมภาพที่อยู่ห่างจากถนน ๒๐ กว่าเมตร จึงมีราชรถมาเกย กระดูกด้านขวาของร่างกาย ตั้งแต่กรามลงไปถึงข้อเท้าหักหมดทุกชิ้น นอนอยู่ห้องไอซียูไป ๑๘ วัน..! พอดีพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ท่านลงมารับสังฆทานต้นเดือนที่บ้านสายลม กระผม/อาตมภาพไปถวายสังฆทานกับหลวงพ่อ กราบเรียนท่านว่า "โยมแม่โดนรถชน นอนห้องไอซียูมา ๑๘ วันแล้ว เกรงว่าจะไม่รอด จึงขอถวายสังฆทานกับหลวงพ่อ ขอฝากพระยายมราชเอาไว้ก่อน เผื่อโยมแม่ผ่านไปตรงนั้น พระยายมราชท่านจะได้บอกให้อนุโมทนา..!" พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านถามว่า "แม่แกเคยรับยันต์เกราะเพชรไปหรือเปล่า ?" กราบเรียนหลวงพ่อท่านว่า "รับไปหลายครั้งแล้วครับ" ท่านบอกว่า "ถ้าอย่างนั้นไม่ต้องห่วง..ไม่ตายหรอก" แล้วก็เป็นความจริงตามนั้น หลังจากรักษาตัวอยู่ ๓ ปี ก็กลับมาเดินเหินเป็นปกติตามเดิม แล้วท้ายที่สุดด้วยความขยัน อยู่นิ่งไม่ได้ตามประสาคนแก่เคยทำงาน กวาดขยะแล้ว ปรากฏว่าถังขยะเทศบาลอยู่ฝั่งถนนตรงกันข้ามกับบ้าน ต้องเดินข้ามถนนไปทิ้งขยะ ปรากฏว่าโดนมอเตอร์ไซค์ที่ "ซิ่ง" อยู่ในซอย ชนจนสะโพกหักไปอีกรอบหนึ่ง แต่ตอนนี้ไม่ตกใจแล้ว มองดูแม่ทะเลาะกับหมอดีกว่า ก็คือแม่เป็นคนอยู่นิ่งไม่ได้ หมอบอกให้อยู่นิ่ง ๆ จะถ่วง "เวท" เพื่อให้กระดูกเข้าที่ แต่แม่บอกว่า "จะเข้าห้องน้ำ ฉี่ใส่กระโถนไม่เป็น" นั่งดูคนแก่ทะเลาะกับหมอแล้วก็สนุกดี |
อีกรายหนึ่งที่อาตมภาพยกตัวอย่างอยู่บ่อย ๆ ก็คืออดีตนางเอกภาพยนตร์เงินล้าน "จารุณี สุขสวัสดิ์" สมัยนี้ก็น่าจะเป็นย่าเป็นยายไปแล้ว..! เพราะว่าเป็นรุ่นน้องอาตมภาพไม่กี่ขวบ ตอนนั้นเล่นหนังเรื่อง "ลูกสาวกำนัน" ก่อนเล่นหนังเพื่อนชวนจารุณีไปรับยันต์เกราะเพชรที่วัดท่าซุง น่าสงสารพอ ๆ กับดาราที่มาวัดท่าขนุน ก็คือไม่มีใครสนใจดาราเงินล้านเลย นอกจากไปถวายสังฆทานกับหลวงพ่อ ปล่อยให้คุณเธอกับเพื่อนนั่งเหงากันอยู่สองคน
พอรับยันต์เกราะเพชรไปแล้ว ถ่ายหนังเรื่องลูกสาวกำนัน มีฉากที่ผู้ร้ายซึ่งขับเรือหนีนางเอกที่ไล่ตาม เทน้ำมันลงบนผิวน้ำแล้วจุดไฟ ตามบทในหนังก็คือจารุณีต้องขับเรือพุ่งผ่านไฟบนน้ำไป แต่ด้วยความที่ว่าเรือเร็ว บังคับยาก แล้วไฟลุกท่วมควันดำโขมงไปทั้งแม่น้ำ ปรากฏว่าพุ่งผ่านไปแล้ว จ๊ะเอ๋กับตอม่อสะพานเข้าพอดี..! ก็สวัสดีเธอจ๋า..นอนโรงพยาบาลไปเป็นเดือน เพราะว่าหลังหัก..! ปัจจุบันนี้เจอหน้า คุณยายก็บ่นเรื่องปวดหลังเป็นประจำ แสดงให้เห็นชัดว่าถ้ารับยันต์เกราะเพชรไปแล้ว จะไม่ตายด้วยอุบัติเหตุหรือตายผิดปกติ ที่เรียกว่าตายโหงจริง ๆ |
ส่วนในเรื่องไม่ตายด้วยสัตว์มีพิษ อาตมภาพเจอด้วยตนเอง เพราะว่าตอนนั้นอยู่ที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมเกาะพระฤๅษี เลี้ยงไก่ป่าไว้ ๒๐๐ - ๓๐๐ ตัว กลางคืนงูกะปะมาจะกินลูกไก่ อาตมภาพได้ยินเสียงแม่ไก่ร้องก็เลยไปจับงูใส่กรงดักหนูเอาไว้ พรุ่งนี้จะได้เอาไปปล่อย เจ้างูก็ยังไม่ทันจะได้กินลูกไก่ โดนจับขังไปแล้ว น่าจะหิวไส้กิ่วอยู่ทั้งคืน
พอประมาณ ๗ - ๘ โมงเช้า อาตมภาพไปล้วงออกจากกรงเพื่อเอาไปปล่อย จับมือขวามันก็ดิ้นหลุด ต้องใช้มือซ้าย จับมือซ้ายมันก็ดิ้นหลุด ต้องใช้มือขวา ดิ้นไปดิ้นมา พอมือซ้ายจับอีกที เจ้างูโมโหเต็มที่ก็ฉกเลย..! ปรากฏว่ากัดติดชีพจรมือซ้ายห้อยต่องแต่งอยู่ ทำอย่างไรมันก็ไม่ยอมอ้าปาก ก็เลยต้องบีบปากให้คลายเขี้ยว แล้วให้คนอื่นเอาไปใส่กรงไปปล่อยแทน..! ส่วนอาตมภาพเองก็เอาน้ำล้างแผล หยอดยา แล้วก็ปิดด้วยพลาสเตอร์ ไปนอนภาวนา "นิพพานัง สุขัง" เหตุที่ไม่ไปหาหมอก็เพราะมั่นใจว่ายันต์เกราะเพชรคุ้มได้อย่างหนึ่ง ถ้าหากว่ายันต์เกราะเพชรไม่คุ้ม ก็คือสลายตัวไปแล้ว ก็แปลว่าถ้าเราไม่เผลอไปขโมยก็คงกินเหล้า ก็สมน้ำหน้ามัน สมควรที่จะตาย..! ปรากฏว่าภาวนาเพลิน หลับไปตื่นหนึ่ง ทุกอย่างเป็นปกติเหมือนเดิม ทั้ง ๆ ที่ลูกศิษย์เป็นห่วงแทบตาย..! ส่วนในเรื่องของการป้องกันไสยศาสตร์นั้นมีเรื่องเล่ามากจนเวลาไม่น่าจะพอ แต่ขอให้ทุกคนมั่นใจว่า ถ้าใครทำไสยศาสตร์ใส่เรา แล้วเรายังรักษายันต์เกราะเพชรได้ ก็นอนให้มันทำไปเลย ดูสิว่ามันจะเหนื่อยไหม ?! เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วจะโดนสะท้อนกลับ แล้วคนทำเดือดร้อนเองทุกครั้งไป..! |
อีกสักครู่หนึ่ง อาตมภาพจะนำทุกท่านสมาทานศีล และสมาทานพระกรรมฐาน เพื่อที่จะรับยันต์เกราะเพชร ถึงเวลาแล้ว พวกเราทั้งหมดก็ให้ตั้งใจสมาทานและว่าตาม
(หลังสมาทานพระกรรมฐานแล้ว) ทุกท่านหลับตานั่งตัวตรง สบาย ๆ นะ พนมมือที่มีธูป ๓ ดอก เทียน ๑ เล่ม นึกถึงภาพพระแล้วภาวนา "พุทโธ..พุทโธ..พุทโธ" ไปเรื่อย ถ้าได้ยินเสียงแปลก ๆ ก็ไม่ต้องไปสนใจ รักษากำลังใจของเราอยู่ที่ภาพพระ หรือภาพยันต์เกราะเพชร แล้วภาวนาต่อไป ถ้ารู้สึกตัวว่าร้อนหู ร้อนหน้า หนักหัว หนักไหล่ หรือว่ารู้สึกเหมือนมีตัวอะไรไต่ตามตัว บางคนก็ขนลุก น้ำตาไหล ร่างกายโยกโคลง ก็ปล่อยไปตามนั้น ไม่ต้องไปสนใจร่างกาย เรามีหน้าที่นึกถึงภาพพระ หรือภาพยันต์เกราะเพชร แล้วภาวนาอย่างเดียว จนกว่าจะบอกว่าหมดเวลา |
พระที่รับไปนั้นสำคัญมาก ขอยืนยันว่าองค์เดียวเที่ยวทั่วโลก อย่าคิดว่าเป็นพระองค์เล็ก ๆ บารมียิ่งใหญ่มหาศาล อธิษฐานคุ้มตัวเองหรือว่าทั้งคณะก็ยังได้..!
ธูปเทียนที่ใช้ในพิธีเก็บให้ดี ถ้ามีผีเจ้าเข้าสิงอย่างเมื่อครู่ เราอธิษฐานว่าพระคาถา "นะ โม พุท ธา ยะ" แล้วจี้ใส่ ผีจะออกไปเอง มีญาติโยมที่เชียงใหม่ รับยันต์เกราะเพชรแล้วมีสิ่งไม่ดีแทรกอยู่ในร่างกาย บอกว่าทันทีที่มองภาพพระแล้วรู้สึกกลัวมาก จึงส่งเสียงร้องขึ้นมา ปรากฏว่าพ่อเอาธูปเทียนที่รับยันต์ฟาดหน้าจนกระทั่งต้องหนี พ่อก็คิดว่าผีกลัวจึงไล่ตีใหญ่ แต่ความจริงลูกสาวกลัวว่าธูปจะจิ้มตาบอด..! พยายามที่จะหนี พ่อก็ไล่ตีไม่เลิก กว่าจะคุยกันรู้เรื่องก็แทบจะตีกันตายทั้งบ้าน..! |
ตกลงทีวีตั้ง ๒ เครื่อง ๓ เครื่อง มีใครถ่ายรูปคนชักดิ้นชักงอตอนรับยันต์ได้บ้าง ? ตอนที่เขาดิ้นโดยเฉพาะถ้าเป็นผู้หญิง อย่าถ่ายภาพนิ่งหรือภาพเคลื่อนไหว เพราะว่าตอนขาดสติ ภาพที่ออกมาอาจจะไม่งาม
คนกำลังดิ้น กำลังร้อง เพราะขาดสติ ไม่ว่าจะด้วยอำนาจของผี หรือไสยศาสตร์ก็ตาม ไม่ใช่ภาพที่ควรจะไปถ่ายเอาไว้ เพราะเวลาได้สติเขาก็ต้องอาย แล้วสมัยนี้ถ้าคุณเอาไปเผยแพร่ ก็อาจจะโดนข้อหาผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์อีกต่างหาก เป็นการนำข้อมูลเข้าสู่ระบบ แล้วทำให้คนอื่นเขาอับอาย ฟ้องร้องกันมาเยอะแล้ว..! ใครต้องการน้ำมนต์เสาร์ ๕ หรือน้ำมนต์ยันต์เกราะเพชร ไปบูชาได้ที่เต็นท์ข้างโบสถ์ ที่เมื่อเช้าอาตมภาพหายไป ก็คือไปพรมน้ำมนต์ที่ตรงนั้นมา |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 13:47 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.