เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๒
ถาม : ถ้านำแผ่นเลเซอร์ยันต์เกราะเพชรเนื้อทองเหลืองใส่ในกระเป๋าเงิน และกระเป๋าเงินต้องใส่ในกระเป๋ากางเกง จะเป็นการเหมาะสมไหมครับ ?
ตอบ : ตัดสินใจเอาเอง เรื่องนี้น่าจะถามมาเกิน ๕๐๐ คนแล้ว..! |
ถาม : หากที่วัดมีพระภิกษุสงฆ์เพียง ๓ รูป ภัตตาหารที่ญาติโยมนำมาถวายเจตนาเป็นสังฆทาน การอปโลกน์ภัตตาหารที่เป็นสังฆทาน เพื่อให้ญาติโยมได้นำไปรับประทาน จะมีผลสมบูรณ์หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ไม่สมบูรณ์ตั้งแต่ถวายเป็นสังฆทานแล้วพระมีแค่ ๓ รูป วิธีที่ดีที่สุดก็คือ หาส่วนที่เป็นข้าวสารอาหารแห้งซึ่งรับมาตรงนั้น เอาไปถวายให้วัดอื่นจนครบ ๔ รูป ฉะนั้น...ในเมื่อไม่สมบูรณ์ตั้งแต่แรก ถึงจะอปโลกน์ไปก็ไร้ประโยชน์ |
ถาม : ศีลข้อ ๖ ห้ามเคี้ยวด้วยไหมครับ เช่น เคี้ยวน้ำแข็ง เคี้ยวหมากฝรั่ง ?
ตอบ : ขาทนียะ ของเคี้ยว หมายถึงอาหาร ไปบ้าแปลตามบาลีตรง ๆ ว่าเคี้ยวไม่ได้ เดี๋ยวก็ไปปั่นโจ๊กดูดเอาเท่านั้นเอง..! |
ถาม : อาการนั่งสมาธิแล้วเข้าภวังค์ เทียบได้กับสมาธิขั้นไหนครับ ?
ตอบ : คำว่า ภวังค์ ของคุณหมายถึงอะไร ? คำว่า ภวังค์ หรือ ภว+องค์ หมายถึงอารมณ์ปกติอย่างตอนนี้ เต็มที่ก็ไม่เกินอุปจารสมาธิ แต่คุณไปใช้บาลีหรือใช้ภาษาผิดความหมาย ก็ไม่สามารถที่จะตอบได้ |
ถาม : สติกับสมาธิ ต่างกันอย่างไรบ้างครับ ? มีความสัมพันธ์ส่งเสริมกันอย่างไรบ้างครับ ?
ตอบ : สติเป็นตัวระมัดระวัง สมาธิเป็นตัวตั้งมั่น ถ้าสติรู้ระมัดระวัง สมาธิก็ตั้งมั่นได้นาน สมาธิตั้งมั่นได้ ก็จะช่วยสติระมัดระวังมากขึ้น |
ถาม : ดิฉันอยากกราบเรียนถามเรื่องการใช้ฤกษ์พรหมประสิทธิ์ในต่างประเทศ คือประเทศอเมริกา ซึ่งได้มีเวลาที่ช้ากว่าที่ประเทศไทยประมาณ ๑๒ ชั่วโมง หากดิฉันอยากใช้ฤกษ์พรหมประสิทธิ์นั้น จะต้องอิงวันที่และเวลาจากที่ไทยเท่านั้น หรือสามารถอิงเวลาในประเทศอเมริกาได้เลยคะ ?
ตอบ : อยู่ประเทศไหนใช้ตามวันเวลาของประเทศนั้น |
ถาม : เคยภาวนาพระคาถาเมสัมมุกขา สัพพาหะระติ เตสัมมุกขา ได้ผล ต่อมาจึงได้ภาวนาอีกครั้ง แต่ตัวเองทรุดป่วย จึงหยุดภาวนาพระคาถานี้ ตอนนั้นยังไม่สำเหนียกรู้สาเหตุ ภายหลังประมาณหนึ่งอาทิตย์ มาพิจารณาพบว่าความจริงจิตเราในความลึกมีความโกรธ หมั่นไส้ จึงภาวนาพระคาถาเพื่อหวังให้คนนั้นได้รับผลร้ายเป็นผลให้ตัวเราทรุดป่วยเองแทน นอกจากไม่รู้สึกตัวแล้ว ยังหลอกตัวเองอีกว่า เราไม่โกรธ เราวางใจดีมีเมตตา ซึ่งตรงข้ามกับความจริง การไม่รู้ตัวกับการหลอกลวงตัวเองขนาดนี้ คืออะไร ? ทำไมถึงหลอกตัวเองได้แนบเนียนเช่นนี้ ?
ตอบ : เขาเรียกว่ากิเลส โดยเฉพาะกิเลสมารในใจของเรา มักจะชักนำให้เราคิดว่าสิ่งที่เราทำนั้น ดีแล้ว ถูกแล้วอยู่เสมอ เพื่อที่ให้เราหลงยึดติดอยู่แค่นั้น ไม่เสาะหาความดีที่ยิ่ง ๆ ขึ้นไป ถาม : ทำอย่างไรจึงจะรู้ทันเร็ว ๆ ? ตอบ : ปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญาให้มากยิ่งขึ้น เข้มข้นยิ่งขึ้น |
ถาม : เห็นบางวัดจะประกาศเชิญชวนขอเชิญร่วมบุญมหาทาน คำว่ามหาทาน มหาสังฆทาน คืออะไร แตกต่างจากสังฆทานอย่างไร ?
ตอบ : ทำไมไม่ไปถามที่วัดนั้น ? มหาทานแปลว่าทานใหญ่ ใหญ่ด้วยอะไร ? ใหญ่ด้วยของ ? ใหญ่ด้วยทานนั้นมีจำนวนมาก ? หรือใหญ่เพราะคนจำนวนมากร่วมกันทำทานนั้น ? มีได้หลายความหมาย ส่วนสังฆทานมีความหมายเดียวคือ เป็นทานที่ถวายต่อหมู่สงฆ์ตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไป |
ถาม : ผีที่วนเวียนฆ่าตัวตายซ้ำไปเรื่อย ๆ วนทำขั้นตอนก่อนเขาจะตาย เกิดจากจิตเขายึดจำกับการฆ่าตัวตายหรือไม่ ?
ตอบ : ถ้าไม่ยึดจำแล้วจะทำไปทำไม ? ถาม : ทำอย่างไรเขาจะรู้ตัวและหยุดฆ่าตัวตายซ้ำๆ ? ตอบ : ลองไปสะกิดเขาดูสิ..! ยุ่งกับกรรมคนอื่นเมื่อไรก็อาจจะซวยเมื่อนั้น..! |
ถาม : เวลาพระสวดมนต์ในพิธี สิ่งที่ฆราวาสควรทำ นอกจากความเคารพสูงสุด ควรจะทำอย่างไร ? เพราะเห็นบางคนสวดไปพร้อมกับพระ บางคนพอพระสวดจบก็อธิษฐานหรือรวบรวมสมาธิตั้งใจฟัง
ตอบ : ตั้งใจน้อมนึกถึงคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ขอบารมีท่านอนุเคราะห์สงเคราะห์ ไม่ว่าเราหรือคนที่เรารัก จะอยู่ที่ไหนก็ให้มีความปลอดภัยในที่ทุกสถาน ในกาลทุกเมื่อ ขณะเดียวกันต้องการความเจริญรุ่งเรืองอะไรในชีวิต ถ้าหากไม่เกินวิสัยก็ขอให้พระท่านสงเคราะห์ด้วย ส่วนเรื่องไปสวดแข่งกับพระสงฆ์ก็ถือว่าเสียประโยชน์ไป |
ถาม : สำหรับนักปฏิบัติธรรมมุ่งสู่มรรคผล เวลาได้ยินเสียงเพลงที่ชอบ จะมีวิธีสังเกตที่จะรู้เท่าทันและแก้ไขรับมืออย่างไร ?
ตอบ : ถ้า สติ สมาธิ ปัญญา ไม่พอ กว่าจะรู้ตัวส่วนใหญ่ก็ไหลตามไปหลายกิโลเมตรแล้ว แต่ถ้า สติ สมาธิ ปัญญา เพียงพอ ใจก็จะสักแต่ว่าได้ยิน ไม่ไปปรุงแต่งเพิ่มเติม |
ถาม : การรับรู้เรื่องราวต่าง ๆ ลึก ๆ เช่น อ่านข่าวหนึ่งหรือเห็นอะไร บางครั้งจิตไปรู้เรื่องมากกว่าในข่าว หรือสิ่งที่นอกเหนือจากการมองเห็น พอลองตรวจสอบก็พบว่า เรื่องที่จิตไปรับรู้เป็นความจริง แต่ไม่เข้าใจว่าจะไปรู้เห็นทำไม เพื่ออะไร อาการรับรู้แบบนี้เรียกว่าอะไร ?
ตอบ : เขาเรียกว่าทิพจักขุญาณ วิธีที่ไม่อยากรับรู้คือ ยกกำลังใจให้สูงขึ้นไป พอพ้นตรงจุดนั้นก็จะไม่รับรู้อะไรอีก หากว่ากำลังใจอยู่ตรงจุดนั้นก็จะรับรู้ไปเรื่อย ๆ ถ้ารู้ไปเรื่อย ๆ ก็มีทางเดียวคือทำไม่รู้ไม่ชี้ อยากจะมาก็มา |
ถาม : กระผมหวังพระนิพพานชาตินี้ด้วยเกรงกลัวต่อการเกิด ส่วนบิดาเหมือนท่านปรารถนาพุทธภูมิและต้องเกิดอีกมาก ในฐานะที่กระผมเกิดเป็นลูกท่านชาตินี้ ควรตอบแทนช่วยเหลือท่านอย่างไรจึงสมควรครับ ?
ตอบ : อยากไปเกิดกับท่านไหมเล่า ? รู้อยู่ว่าไปคนละทางแล้วจะไปตอบแทนอย่างไร นอกจากทำหน้าที่โดยทิศทั้ง ๖ ให้ดีตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอน ท่านเลี้ยงเรามา เราก็เลี้ยงท่านตอบ ทำตัวให้สมควรกับการได้รับมรดก ช่วยรักษาชื่อเสียงวงศ์ตระกูล ท่านตายแล้วทำบุญส่งไปให้ ก็จบแล้ว |
ถาม : คดีบางประเภท เช่น มรดก ทนายความทราบอยู่แล้วว่า บางกรณีทางที่ดินหรือทางธนาคารมักจะขอให้ไปยื่นคำร้องให้ศาลตั้งผู้จัดการมรดกก่อน ทนายความรุ่นพี่ของผมจึงอำนวยความสะดวกลูกความ ไม่ต้องไปเสียเวลาติดต่อที่ดินและธนาคาร แต่เวลายื่นคำร้องได้บรรยายในคำร้องขอจัดการมรดกต่อศาลว่า ได้มีการติดต่อที่ดินหรือธนาคารแล้ว แต่ที่ดินหรือธนาคารไม่ยอมดำเนินการให้ หากปฏิบัติทำนองนี้ทนายความจะผิดศีลข้อมุสาวาทหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ผิดร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม ๆ..! เพราะว่าทำผิดทั้งที่รู้อยู่ว่าผิด |
ถาม : อยากทราบว่านางวิสาขาทำงานอะไรคะ ?
ตอบ : อาชีพหลักคือคุณแม่บ้าน อาชีพรองคือเข้าวัด |
ถาม : อยากทราบวิธีแก้ไขตัวเองแบบง่าย ๆ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่แล้วพวกเรามักง่าย วิธีที่ง่ายที่สุดคือใช้ความพยายามขัดเกลาแก้ไขตัวเองอย่างสุดกำลังกาย กำลังใจ กำลังสติปัญญา กำลังคน กำลังทรัพย์ แต่คราวนี้พวกเรามักง่าย แม้กระทั่งปัจจุบันนี้ที่อาตมาเห็นบ่อยก็คือ พอรู้สึกว่าดวงไม่ดีแทนที่จะเร่งปฏิบัติใน ทาน ศีล ภาวนา กลับไปเปลี่ยนชื่อ..นี่ยิ่งกว่ามักง่ายอีก..! |
ถาม : ตั้งใจจะลาพุทธภูมิมาสาวกภูมิแล้ว แต่ทำไมยังร้องไห้สงสารดวงจิตอีกหลายดวงจิต จนสุดท้ายเหมือนกับลาไม่ได้ กลับมาปรารถนาพระโพธิญาณตามเดิมครับ ?
ตอบ : แปลว่ากำลังใจยังไม่เข้มแข็งพอ ในเมื่ออ่อนแอเกินไปก็จงรับภาระต่อไป โบราณเขาว่า "เอ็นดูเขา เอ็นเราขาด" รู้จักแต่สงสารเขา แต่ลืมสงสารตัวเอง ทีนี้สายพุทธภูมิกับสายสาวกภูมิเดินคนละทางกันอยู่แล้ว จะไปว่ากันไม่ได้ |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ญาติโยมหลายคนพอไปเจอสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่สงสัยจากที่อื่น โดยเฉพาะจากวัดอื่น แทนที่จะถามให้กระจ่างตรงนั้น กลับไปถามอีกที่หนึ่ง โดยเฉพาะมาถามตรงนี้ ซึ่งสิ่งที่ทำนี้ถือว่าเสียมารยาทมาก เพราะว่าถ้าคำตอบไปกระทบกระเทือนกับที่อีกแห่งหนึ่ง แล้วเราเอาไปขยายความด้วย ก็เท่ากับไปยุแยงให้แตกกัน
โปรดระมัดระวังด้วยว่า...เราอาจจะทำสงฆ์ให้แตกแยกกันโดยไม่รู้ตัว เจออะไรสงสัยอะไรให้ถามตรงนั้น หลายคนเจอผีเจอเทวดา สงสัยแต่ไม่ถาม แล้วมาถามอาตมาซึ่งไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ คงจะรู้เรื่องกันอยู่หรอก..!" |
"สมัยก่อนมีพระอยู่รูปหนึ่ง ปัจจุบันสึกไปแล้ว พอถึงเวลาอาตมาบอกว่า "หลวงพ่อท่านว่าอย่างนี้ พระท่านว่าอย่างนั้น" ท่านก็จะมาซักถามรายละเอียด อาตมาบอกว่าไม่มีรายละเอียด เพราะว่าไม่ได้ถาม ท่านก็ยังสงสัยอีกว่า "ทำไมไม่ถาม ?" บอกกับท่านไปว่า "ก็กูไม่สงสัย..!"
ส่วนโยมผู้หญิงอีกคนหนึ่งก็สงสัยทุกเรื่อง ขึ้นไปถามจนกระทั่งพระท่านต้องจำกัดว่า วันหนึ่งถามได้ปัญหาเดียว ยายนั่นก็ยังบ้าพอ ยังถามพระท่านต่อไปว่า "ถ้าสงสัยเกินปัญหาหนึ่งจะทำอย่างไร ?" พระท่านบอกว่า "ให้ไปถามที่พระเล็ก..!" ยายนั่นแทนที่จะไปหาหลวงปู่เล็ก วัดทำนบ หรือหลวงพ่อเล็ก วัดเขาดิน ทะลึ่งไปหาหลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน ความซวยเลยมาเยือนตูอีก...!" |
"ความอยากรู้อยากเห็นเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ทุกรูปทุกนาม จะมากน้อยแล้วแต่จริตวิสัยที่สั่งสมมา ถ้ามาสายสุกขวิปัสสโก ความสงสัยมีน้อย ได้ยินได้ฟังอะไรก็เกิดศรัทธา เชื่อถือปฏิบัติตามไปเลย ถ้ามาสายวิชชาสามก็ขอค้นคว้าดูหน่อย ถ้าสายอภิญญา ๖ ไม่หน่อยแล้ว...ค้นหมดห้องสมุดเลย แต่ถ้าไปเจอปฏิสัมภิทาญาณ ก็จับแยกธาตุทำวิจัย
ฉะนั้น...แต่ละคนจะว่าไปแล้วก็มีพื้นฐานเหมือน ๆ กัน เพียงแต่ว่าต้องรู้จักใช้ปัญญาประกอบด้วย สงสัยการกระทำของใครให้ถาม เห็นอะไรที่สงสัยแล้วถาม แต่ถ้าไปถามอย่างที่อาตมาถามมัคคุเทศก์ที่ประเทศจีนหรือประเทศปากีสถาน ถามแล้วก็ไม่ได้อะไร พอถามไป เขาตอบมาขึ้นต้นด้วย “I’m not sure.” ถามแล้วเขาไม่มั่นใจสักเรื่อง แล้วอาตมาจะเอาข้อมูลที่แน่นอนมาจากไหน ?" |
วันอาทิตย์มีคนลืมของไว้ที่บ้านเติมบุญ "ใครทำหายโปรดมารับคืนด้วย เป็นกุญแจสำนักงานกับโทรศัพท์ ถ้ามารับกุญแจบอกด้วยว่ามีกี่ดอก ส่วนโทรศัพท์อาตมาจะให้เปิดให้ดู เปิดไม่ได้ก็ไม่ต้องรับคืนไป
ตอนนี้ที่บ้านเติมบุญมีแว่นตาหลายอัน เจ้าของไม่มารับคืน และยังมีข้าวของอื่นอีกหลายชิ้น ปัจจุบันนี้เลขานุการที่วัดของอาตมา กำลังจะขยับขยายไปเป็นเจ้าอาวาส ท่านกำลังมอบหมายงานให้กับเลขาฯ วัดคนใหม่ จะมีสมบัติที่คนลืมไว้ที่วัดเป็นกุรุสเลย ของที่อาตมาเก็บไว้เอง มีกระเป๋าเงินใบหนึ่ง ซึ่งมีแต่เงินล้วน ๆ ไม่มีบัตรอย่างอื่นอะไรแม้แต่ใบเดียว เก็บจนราขึ้นแล้วเจ้าของยังไม่มาเอาคืน คราวหน้าโปรดเขียนอะไรเอาไว้สักนิด ที่อยู่หรือเบอร์โทรศัพท์ก็ได้ ไม่ใช่ว่ามีแต่เงินล้วน ๆ" |
"สมัยที่อาตมายังเป็นฆราวาส จะมีกระเป๋าเงินไว้ให้เขาล้วง แต่ก็ยังใส่พวกนามบัตรเอาไว้ กระเป๋ามีไว้ให้เขาล้วงจริง ๆ ส่วนเงินที่จะใช้ก็ใส่กระเป๋าเสื้อเอาไว้ ถ้าเป็นกระเป๋าเสื้อเขาไม่ค่อยกล้าล้วง เพราะว่าใกล้สายตาของเรา
เวลาไปต่างประเทศ พวกมัคคุเทศก์หรือไกด์มักจะเตือนเสมอว่า "กระเป๋าอยู่ข้างหน้าเป็นของเรา กระเป๋าอยู่ข้างหลังเป็นของเขา กระเป๋าอยู่ข้าง ๆ แบ่งกันคนละครึ่ง" นักล้วงเขามือไวจริง ๆ บางทีเขาทำงานเป็นทีม มากัน ๓-๔ คน คนหนึ่งเดินเข้ามามีเอกสารเข้ามาถามเรา ส่วนอีกคนหนึ่งเหมือนนักท่องเที่ยวด้วยกัน เรามัวแต่ไปอธิบายขยายความให้เขา หันมาอีกทีกระเป๋าตัวเองกลวงโบ๋ไปแล้ว บางรายเดินมากระแทกเลย พอเราหันไปมองหน้า เพื่อนทางนี้ก็ล้วงกระเป๋าไปแล้ว" |
"มีโยมอยู่คนหนึ่งไปฮ่องกง เขาบอกว่านักล้วงฮ่องกงฝีมือล้ำเลิศมาก เผลอเมื่อไรจะเหลือแต่ตัว โยมคนนี้ซื้อไอศกรีมไปนั่งกินในส่วนสาธารณะ กระเป๋าเงินก็วางแล้วนั่งทับไว้ แน่จริงมาล้วงสิ...! นั่งกินไอศกรีมอยู่ เด็ก ๓-๔ ขวบวิ่งมาล้มตรงหน้า รีบลุกไปพยุงเด็ก หันกลับมากระเป๋าหายไปแล้ว...! เขาเก่งขนาดนั้น
ของพวกนี้อาตมาก็สงสัย มารู้ทีหลังว่าเขาฝึกกันจริงจังมาก เอาน้ำมา ๑ กะละมัง ต้องจุ่มมือลงไปโดยที่ไม่ให้น้ำกระเพื่อม จนกระทั่งสามารถทำได้ในจังหวะปกติ ก็คือความเร็วแบบปกติ แล้วน้ำไม่กระเพื่อมได้ หลังจากนั้นก็กางมุ้ง เย็บกระเป๋าไว้รอบมุ้ง เอาธนบัตรใส่ไว้ ทำอย่างไรจะคีบธนบัตรออกมาโดยที่มุ้งไม่สั่นได้ ระดับต่อไปคนไม่สูบบุหรี่ก็ต้องหัด พอเหลือขี้บุหรี่ยาว ๆ แล้ว ต้องเอานิ้วมือคีบขี้บุหรี่ออกมา โดยที่ขี้บุหรี่ไม่แตก ยิ่งกว่าฝึกวิทยายุทธอีก" |
"ส่วนพวกกรีดกระเป๋าเขาไม่ได้ใช้มีด ไม่ได้ใช้มีดโกน เพราะว่าของพวกนั้นโดนจับได้ง่าย เขาใช้เหรียญสตางค์นี่แหละ ฝนแค่ครึ่งซีก จนคมกริบเป็นมีดโกนเลย ใช้นิ้วมือหนีบไว้ ขึ้นรถก็เหมือนกับเตรียมจ่ายเงินค่ารถเมล์ แต่พอเห็นเป้าหมาย ก็ดันเหรียญด้านที่คมขึ้นมากรีด
มีโยมอยู่คนหนึ่งต้องบอกว่าบุญรักษา พวกนี้เห็นกระเป๋าถือมีเหลี่ยม ๆ อยู่ข้างใน ก็คิดว่ามีกระเป๋าเล็กอยู่ด้านใน จัดการกรีดเลย ปรากฏว่าที่โผล่ออกมาเป็นหนังสือมนต์พิธีครึ่งเล่ม...! ขยันสวดมนต์ ไปไหนก็พกหนังสือสวดมนต์ด้วย ต้องบอกว่าบุญรักษาจริง ๆ คนกรีดคงเครียดไปเลย แต่ถ้ากระเป๋าราคาแพงโดนกรีดไปก็น่าเสียดาย เขาฝนเหรียญได้คมมาก เหมือนกับมีดโกนเลย ดันขึ้นมานิดเดียวเอง...แล้วกรีด เทคนิคบางทีพวกนี้เขาเล่าให้ฟังบ้าง บางทีก็เจอด้วยตนเองบ้าง" |
"หลวงพ่อวัดท่าซุงเล่าเรื่องตาไป๊ให้ฟัง ตาไป๊เป็นนักย่องเบาตัวฉกาจ ขึ้นบ้านไหนไม่เคยพลาด หลวงพ่อสงสัยอยู่อย่างเดียว ตาไป๊ทำอย่างไรหมาไม่เห่าเลย ?
เมื่อตาไป๊ล้างมือในอ่างทองคำ เข้าวัดถือศีลปฏิบัติธรรมท่านก็ไปแอบถาม “ลุง..ทำอย่างไรขึ้นบ้านไหน หมาถึงไม่เห่าเลย ?” ตาไป๊บอกว่า “ลงทุนหน่อยคุณ ซื้อเนื้อหรือหมูมาสักกิโลฯ สับให้ดีเลย ปนกัญชาลงไปเยอะ ๆ ทอดให้หอม จะขึ้นบ้านไหนก็เอาไปทิ้งไว้ตามรั้ว หมามากินแล้วจะเมา จับหางลากรอบบ้านยังไม่ร้องสักแอะเลย” “เวลาขึ้นบ้านไปนี่อย่าย่อง ให้เดินแรง ๆ ถ้ามีเสียงอืออาให้กระแอมรับไปด้วย ถ้าลักษณะอย่างนั้นเขาจะไม่คิดว่าขโมย แต่จะคิดว่าเป็นคนในบ้านด้วยกัน” ใครจะไปลองดูก็ได้นะ แต่สมัยนี้น่ากลัว กล้องวงจรปิดดูทางโทรศัพท์ก็ได้" |
"ปัจจุบันนี้พระก็โดนบ่อย โยมโทรมาบอกว่าวันนั้นเวลานั้นจะทำบุญที่บ้าน ขอนิมนต์พระเก้ารูป รบกวนหลวงพ่อนิมนต์ให้ด้วย บ้านอยู่เลขที่นั้นซอยนั้น เรียกรถแท็กซี่มาเลย โยมจะจ่ายค่ารถเอง
หลวงพ่อก็ลงวันเวลาไว้ พอถึงเวลาพระเก้ารูปนั่งรถแท็กซี่ไป วนหาทั่วซอย ไม่มีบ้านเลขที่ซึ่งบอกเอาไว้ ถามคนในซอยก็ไม่มีใครรู้ ไม่มีบ้านไหนมีท่าทีว่าจะจัดงาน ก็เลยกลับวัด พอไปถึงปรากฏว่ากุฏิโดนงัด...! เขานิมนต์พระออกไป พระไม่อยู่แล้ว ก็งัดกุฏิเลย สมัยนี้เป็นพระยังลำบาก โยมเขานิมนต์ทางพระก็คิดว่าอย่างน้อยไปสวดมนต์ เขาถวายมาสักร้อยสองร้อย ยังมีค่าน้ำค่าไฟ ที่ไหนได้..กลับมาค่าน้ำค่าไฟที่เก็บไว้ก็หมดไปด้วย...!" |
"บางรายเด็ดกว่านั้นอีก เดินไปหาตำรวจจราจร “หมู่ ๆ ผมทำกุญแจรถหาย เอากระบะที่บ้านมาแล้ว ช่วยยกรถให้ที” ตำรวจก็ช่วยยกมอเตอร์ไซค์ขึ้นรถกระบะ ผูกมัดอย่างดี “ขอบคุณมากครับ” ยกมือไหว้แล้วก็ไป รถใครก็ไม่รู้...! ตำรวจช่วยขโมยอย่างดีเลย เจ้านี้หน้าด้านพอจนตำรวจเชื่อว่าเป็นรถเขาเอง
ฉะนั้น...โลกของเราเต็มไปด้วยอันตราย ถ้าเป็นการปฏิบัติธรรมเขาเรียก ภยตูปัฏฐานญาณ เห็นความเป็นโทษเป็นภัย เห็นเป็นของน่ากลัว เห็นแล้วทำอย่างไร ? จะอยู่กับโลกนี้หรือจะหนี ? เชิญเลือกเอาตามอัธยาศัย" |
พูดถึงมีดหมอหลวงพ่อเดิม "มีดหมอหลวงพ่อเดิมคู่นี้ตาฉิมแกตั้งใจทำไว้ใช้เอง แต่ลูกหลานเอามาขายเสียแล้ว ตาฉิมทำมีดหมอถวายหลวงพ่อเดิมด้วยใจจริง ๆ ฝีมือของแกจะเห็นว่าประณีตกว่าคนอื่น เสียดายอย่างเดียวที่แกไม่รู้หนังสือ ถ้าแกรู้หนังสือคงจะตอกอักขระได้สุดยอดมาก ของแกแต่ละเล่มแกะลายแล้วสวยเสมอกันเห็นได้ชัด"
ถาม : ช่างทำมีดหมอของหลวงพ่อเดิมมีใครบ้างครับ ? ตอบ : ช่างฉิม ช่างแม้น ช่างสอน ช่างไข่ ตาฉิมต้องบอกว่ามีจรรยาบรรณช่าง พอสิ้นหลวงพ่อเดิมแกก็เลิกทำเลย ส่วนช่างอื่น ๆ ยังทำต่อมา ส่วนด้ามที่เห็นเป็นลิงจริง ๆ แล้วคือหนุมาน มีเคล็ดลับตรงที่ว่าฆ่าไม่ตาย หนุมานฆ่าไม่ตาย ทำอะไรก็สำเร็จ เจ้านายรักใคร่ เมตตา ถ้าอ่านรามเกียรติ์จะเห็นว่าพระรามเรียกอยู่ ๒ ชื่อ คือ นางสีดากับหนุมาน |
พระอาจารย์เล่าว่า "ญาติโยมหลายท่านอาจเคยได้ยินว่าอาตมาไปเมืองจีนมา ระยะหลังที่ไปไหนอาตมามีหลักปฏิบัติอยู่ ๒ อย่าง อย่างแรกคือ ไม่จัดเอง อย่างที่สองคือ ต้องมีคนจ่ายสตางค์ให้ถึงจะไป..!
ที่อาตมาไม่ยอมจัดพาใครไปไหนเพราะว่าเข็ด เนื่องจากว่าคนได้ไปก็ไปเที่ยวโพสต์อวดเขาทั่วประเทศไทย คนไม่ได้ไปก็มาต่อว่าต่อขาน..รำคาญ..! ประการที่สองก็คือ เงินทองไม่ได้มีไว้เที่ยว เพราะฉะนั้น..ถ้าใครอยากให้อาตมาไปด้วย อันดับแรกไปหาที่ซึ่งอาตมาอยากไปมาให้ได้ อันดับที่สอง หาสตางค์มาจ่ายให้ด้วย" |
"ไปเมืองจีนเที่ยวนี้ เป็นสถานที่ซึ่งอยู่ในเขตพระพุทธศาสนาแบบวัชรยานของทิเบต ก็คือเขตมณฑลเสฉวนภาคตะวันตก ซึ่งเป็นเขตปกครองตนเองของชาวเชียงและชาวทิเบต ก็เลยอยากไปดูว่าของเขาต่างจากเรา หรือว่าต่างจากในทิเบตเท่าไร
คราวนี้หัวหน้าทัวร์คือคุณตั้ว (นายชัยพฤติ จันทร์วัฒนะ) เป็นคนจัดแต่ไม่ได้จัดไปเที่ยว เขาจัดไปถ่ายรูป ต้องการแค่ทีมเล็ก ๆ คณะใหญ่สุดที่เขาเคยจัดก็คือไม่เกิน ๑๖ คน เพราะถ้าคณะใหญ่มากก็ดูแลกันลำบาก ไม่ว่าจะเรื่องที่พัก เรื่องยานพาหนะ เพราะว่าเขตที่ไปนั้น เป็นเขตที่ค่อนข้างกันดาร ความประสงค์ก็เลยตรงกัน เพราะว่าอาตมาไม่มีนิสัยเที่ยวซื้อของ ไปที่ไหนซื้อของหนึ่งชิ้นแล้วก็จบ ซื้อไว้เป็นที่ระลึกว่าเคยมาแล้วเท่านั้น ในเมื่อเขาไปถ่ายรูป เขาก็ต้องหาสถานที่สวย ๆ แล้วส่วนใหญ่ทางด้านโน้นก็เป็นสถานที่ทางพระพุทธศาสนา ไม่ว่าจะเป็นภูเขา แม่น้ำ ทะเลสาบ ซึ่งจะเกี่ยวเนื่องกับพระพุทธศาสนาวัชรยาน จะมีประวัติเกี่ยวโยงกับพระโพธิสัตว์ท่านนั้น เกี่ยวโยงกับคุรุท่านนี้ ก็เลยขอไปด้วย ถ้าให้ไปเที่ยวไปซื้อของอาตมาไม่ไป...เข็ด เคยไปกับเพื่อนแล้วเขาซื้อของชิ้นหนึ่ง ๗๐,๐๐๐-๘๐,๐๐๐ บาท อาตมาได้แต่นั่งตาปริบ ๆ ซื้อของแพงที่สุดราคา ๖๓๐ บาท ไม่ได้ขี้เหนียว ปกติเป็นคนชอบซื้อของด้วย แต่ซื้อมาแล้วไม่รู้ว่าจะเก็บเอาไว้ทำอะไร ?" |
"คราวที่แล้วไปญี่ปุ่น โยมก็ออกทั้งค่าเครื่องบิน ค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่าเดินทาง เสียดายเงินแทนโยม เพราะว่าอยู่ญี่ปุ่นเช่ารถทุกวัน เฉพาะค่าเช่ารถอย่างเดียวคิดเป็นเงินไทยแสนกว่าบาท..! ให้อาตมาเอาเงินไปผลาญแบบนั้นก็คงไม่ใช่เรื่องแน่ เพราะว่าทุกวันนี้งานที่ทำเพื่อพระพุทธศาสนาก็ต้องใช้เงินจำนวนมาก จึงใช้วิธีว่า..ถ้าสถานที่นั้นเป็นสถานที่อยากไป และมีคนจ่ายเงินให้..ก็จะไป กติกาค่อนข้างจะโหดร้ายทารุณ แต่ก็รู้สึกว่าจะมีคนต้องการให้ไปด้วยมาก
อีกไม่กี่เดือนจะต้องไปประเทศอินเดีย ค่าใช้จ่ายทั้งหมดหลายหมื่นบาท เพราะว่ามีการนั่งเครื่องบินภายในประเทศด้วย มีโยมเต็มใจถวายให้ แต่เขาก็เปิดรับคณะ ได้ยินว่ารับไป ๓๐ คน..ตาย..! ยิ่งคณะใหญ่เท่าไรก็ยิ่งเป็นภาระมากเท่านั้น อาตมาคงไม่ตายหรอก เพราะว่าไปไหนไม่ค่อยจะเป็นภาระให้กับคนอื่นเขา แต่คนจัดทัวร์จะเหนื่อยตาย งวดนี้ที่ไปจีนมีการเดินและปีนเขา เพื่อไปยังสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทางพระพุทธศาสนาของวัชรยาน อย่างทะเลสาบห้าสี หรือว่าทะเลสาบน้ำนม ทะเลสาบไข่มุก โน่น..หัวหน้าทัวร์ตามหลังอยู่ลิบ ๆ ประมาณ ๑ ชั่วโมง ลูกทัวร์ไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้ ? เราก็ต้องเห็นใจนะ หัวหน้าทัวร์อายุ ๔๐-๕๐ ปีแล้ว ลูกทัวร์เพิ่งจะ ๖๐ ปีเท่านั้น...!" |
"อากาศที่นั่นหนาวมาก กลางวันอากาศสูงสุด ๑๒ องศาเซลเซียส กลางคืนก็ลบ ๕-๖ เป็นประจำ สวยมาก...หิมะตก ญาติโยมบางท่านบอกว่าไม่ได้สั่นแค่ตัวนะ หน้าก็สั่นไปด้วย ไม่รู้เหมือนกันว่าหน้าสั่นได้อย่างไร ส่วนอาตมาเองได้ฮีตเตอร์ประจำตัว มีเจ้าที่คอยดูแล หนาวแค่ไหนก็ไม่รู้สึกรู้สา เดินเที่ยวไปเรื่อย คนเดินตามก็จะน้อยลงไปเรื่อย..หนาวจนเดินไม่ไหว
เวลาไปไหนถ้าเรารู้จักหาเจ้าที่เจ้าทาง ขอความอนุเคราะห์สงเคราะห์จากท่าน จะได้รับความสะดวกทุกครั้ง ก่อนหน้านี้อาตมาไม่เคยยุ่งกับท่านเลยเรื่องเกี่ยวกับดินฟ้าอากาศ แต่ตอนไปญี่ปุ่นปีก่อนนี่หนาวจริง ๆ ที่รู้สึกหนาวก็ไม่สามารถจะแก้ได้ด้วยผ้าห่ม เนื่องจากว่าเตียงญี่ปุ่นนั้น อาตมานอนแล้วขาโผล่ออกไปพ้นเตียงเกือบศอก ก็เลยอยู่นอกผ้าห่มไปเกือบศอก คือญี่ปุ่นเขาตัวสั้น เขาเอามาตรฐานของเขา เนื่องจากว่าที่ไปพักนั้นเป็นที่พักของคนญี่ปุ่น ประมาณโฮมสเตย์บ้านเรา เขาเรียกว่าเรียวกัง ก็เลยทำให้เขาใช้มาตรฐานญี่ปุ่น ซึ่งอาตมาเองมาตรฐานชายไทย ก็เลยยาวเกินเตียงเขาไปศอกหนึ่ง คราวนี้พอตีนหนาวมาก ๆ นอนไม่หลับ มองซ้ายมองขวาเห็นเจ้าที่เขาส่งคนมาคอยดูแล ก็เลยบอกว่า “ดูแลภาษาอะไรวะ คนหนาวจะตายห่..ไม่รู้จักช่วยกันบ้าง ?” คราวนี้อุ่นสบาย นึกว่านอนอยู่ที่วัดเลยหลับเพลิน ตั้งแต่นั้นมาก็เลยรู้ว่าเจ้าที่สามารถใช้เป็นฮีตเตอร์ได้ด้วย...! ทิดดอยเขาว่า ทำไมอยู่ใกล้หลวงพ่อแล้วอุ่น ?" |
"ไปเสฉวนตะวันตกเที่ยวนี้ วันเดินทางก็คือวันพุธที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๖๒ ปรากฏว่าพระครูสุนทรวัชรกิจ เพื่อนร่วมรุ่นปริญญาเอกจัดงานวันเกิดวันนี้ทุกปี แล้วก็นิมนต์อาตมาทุกปี ก็เลยใช้วิธีวิ่งออกจากวัดท่าขนุนแต่เช้ามืดไปถึงอำเภอบ้านลาด จังหวัดเพชรบุรี ๘ โมงกว่า ถวายมุทิตาสักการะเสร็จก็ขอตัววิ่งเข้ากรุงเทพฯ มาเลย
อาตมา ป้ามอย (มณีวรรณ สัมฤทธิ์) น้องเล็ก (จิราพร ซื่อตรงต่อการ) นึกว่าไปถึงช้า ปรากฏว่าพวกเราไปถึงสนามบินสุวรรณภูมิ เจอพวกคุณตั้ว (ชัยพฤติ จันทร์วัฒนะ) คุณบี () ของทางคณะทัวร์เขาเป็นชุดแรกเลย หลังจากนั้นญาติโยมก็ค่อย ๆ แสดงตัวมาทีละคนสองคน จนได้ครบคณะก็ไปเช็กอิน ปรากฏว่าไชน่าแอร์บริการดีมาก บอกว่าเลื่อนจาก ๖ โมงครึ่งไปเป็น ๗ โมง ๑๐ นาที ก็คือ ๑ ทุ่ม ๑๐ นาที ภาษานักบินเขาว่า Flight นี้ Delay อาตมาก็แปลกใจ เพราะว่าตัวเองนั่งเครื่องบินมีแต่ถึงก่อนเวลา เนื่องจากว่าถ้ารู้สึกว่าช้าก็จะบอกกับเจ้าที่เขาว่า "ช่วยดันตูดเครื่องบินให้หน่อย" เพราะการช่วยดันตูดนี่แหละ แม้กระทั่งรถไฟสายใต้ซึ่งปกติไปถึงสุไหงโกลกช้า ๓-๔ ชั่วโมงเป็นปกติ พาอาตมาไปถึงก่อนเวลาหน้าตั๋ว จึงไม่มีคนมารับสักคนเดียว จนเดินไปถึงบ้านโยมแล้ว โยมค่อยโทรมาถามว่า "ตอนนี้ท่านอยู่ที่ไหน ?" บอกว่า "อยู่ในบ้านแล้ว" ในเมื่อเครื่องเสียเวลา จึงทำให้ไปถึงเฉิงตูเที่ยงคืนครึ่งของเมืองจีน ถ้าเป็นบ้านเราก็ประมาณ ๕ ทุ่มครึ่ง เพราะว่าเวลาต่างกันชั่วโมงหนึ่ง เข้าพักที่โรงแรมเอ๋อเหมย โรงแรมนี้ใครไปเฉิงตูอาตมาขอแนะนำ ก็คือนอกจากอะไรต่อมิอะไรดีทุกอย่างแล้ว เขายังมีมุมเฉพาะของคนนิยมชา จะมีใบชาสารพัดชนิดขาย มีเครื่องมือชงชาสารพัดชนิดขาย ใครมีรสนิยมด้านนี้ก็ไปได้เลย อาตมาตอนแรกไม่รู้ เดินทะเล่อทะล่าตึงตังเข้าไป พอเห็นข้างในเงียบฉี่ แล้วมีคนกำลังนั่งดมกลิ่นชาอยู่ เวรแล้ว..ไปทำเขาเสียอารมณ์หรือเปล่าหว่า ?" |
"เฉิงตูเป็นมหานครใหญ่ รถติดกระจายพอ ๆ กันกับกรุงเทพฯ ของเรา ถ้าใครไปเที่ยวเสฉวนก็ต้องลงเฉิงตูก่อน ไปเที่ยวซีอานส่วนใหญ่ก็ลงที่เฉิงตูก่อน สนามบินใหญ่โตมโหฬาร เพราะว่าประเทศจีนรู้ว่าประเทศตัวเองใหญ่ สาธารณูปโภคทุกอย่างสร้างเผื่อความเจริญไว้อีก ๒๐ ปีข้างหน้า
อย่างอาตมาเวลารอเครื่อง ต้องเดินไปรอที่ประตู ๑๐๓ เกือบตาย...! สนามบินใหญ่ ๆ เขาจะมีรถ มีรถราง มีรถไฟให้ขึ้น แล้วก็วิ่งไปรอที่ประตูขึ้นเครื่อง ที่ไปมาหลายแห่งอย่างฝรั่งเศสก็ต้องนั่งรถไฟไป ไป ดูความเจริญของพี่จีนเขาแล้ว ก็เข้าใจเลยว่าทำไมสหรัฐอเมริกาและทางยุโรปถึงได้กลัวจีนกันมาก เพราะว่าประเทศจีนยังโตได้อีกมหาศาล ทุกแห่งที่ไปมาตลอด ๑๐ วัน เขากำลังมีการก่อสร้างใหม่ ๆ มากมาย พูดง่าย ๆ ว่าไม่ต้องพึ่งพาโลกภายนอก จีนทำกันเอง ขายกันเอง พลเมืองพันกว่าล้านคนนี่ก็เพียงพอที่จะให้เศรษฐกิจเติบโตแล้ว แล้วจีนยังทำการค้าในลักษณะต่างตอบแทน ก็คือหาเพื่อน ก็เลยทำให้ทางสหรัฐฯ และยุโรปสู้ไม่ได้ มีวิธีเดียวที่จะหยุดจีนได้ก็คือสงคราม แต่ใครคิดจะทำสงครามกับจีนต้องคิดให้ดี เพราะว่าตอนนี้เทคโนโลยี 5G นั้น คนจีนเก่งที่สุด" |
"ประเทศจีนช่วงนี้กำลังหนาว ขณะที่เฉิงตูฝนตก ลมพัดมานี่สะท้านเยือกเลย อากาศช่วงนี้สูงสุดประมาณ ๑๗ องศาเซลเซียส ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ ๑๐ หรือ ๑๑ องศาเซลเซียส นี่เฉพาะเฉิงตูเท่านั้น
ที่รู้เพราะว่าในโรงแรมเขามีมาตรวัดอุณหภูมิแผ่นเบ้อเริ่ม เป็นลายการ์ตูนด้วย ถึงเวลาขึ้นตัวอักษรมา ๓ ภาษา ภาษาจีน ภาษาทิเบต แล้วก็ภาษาอังกฤษ ที่มีภาษาทิเบตเพราะว่าเฉิงตู มณฑลเสฉวน เขามีเขตปกครองตนเองทิเบต คนทิเบตเยอะมาก" |
พูดถึงมีดหมอหลวงพ่อเดิม "มีดหมอ ๒ เล่มนี้นี้ฝีมือช่างฉิม คาดว่าเขาทำไว้ใช้เอง แต่ลูกหลานทรยศเอามาขาย ฝีมือช่างฉิมทำจะประณีตที่สุดในบรรดาดาลูกศิษย์หลวงพ่อเดิมทั้งหมด ที่ด้ามเขาแกะสลักเห็นเป็นรูปลิงนั้นคือหนุมาน มีเคล็ดลับว่าใครฆ่าก็ไม่ตาย ลมพัดมาแล้วฟื้นใหม่ หนุมานทำอะไรก็สำเร็จ เจ้านายใช้งานแล้วปล่อยได้เลย ไม่เคยพลาด เป็นที่รักใคร่เมตตา เจ้านายเรียกใช้อยู่ตลอด แล้วแถมยังมีติดเจ้าชู้ด้วย ไปทำงานที่ไหนก็ได้เมียที่นั่น โบราณเขาถือเคล็ดตรงนี้ ก็เลยสร้างรูปหนุมาน
ถ้าหากว่าดูไม้เก่าเป็น ดูเหล็กเก่าเป็นจะปลอดภัย สมัยนี้ส่วนใหญ่เขาเอาเหล็กไปกัดด้วยโซดาไฟให้เป็นสนิม ดูได้ ๒ อย่าง อย่างแรกก็คือสนิมทั่วถึงจนเกินไป อย่างที่สองคือขุมในร่องรอยสนิมไม่เป็นธรรมชาติ เพราะว่าไม่ได้เก่าจริง" |
"มีดหมอหลวงพ่อเดิมถือว่าเป็นมีดหมออันดับหนึ่งของประเทศไทย ในชีวิตมีไว้เป็นเกียรติประวัติวงศ์ตระกูลสักเล่มหนึ่งก็พอแล้ว อาตมาเล่นเครื่องรางของขลังมา ๔๐ กว่าปี ต้องบอกว่าได้มีดหมอหลวงพ่อเดิมมาไม่ถึง ๒๐ เล่ม ๔๐ กว่าปีได้มาประมาณ ๒๐ เฉลี่ยประมาณ ๒ ปีกว่าถึงจะได้เล่มหนึ่ง
ส่วนใหญ่เกิดจาก ๒ อย่างด้วยกัน อย่างแรกก็คือเจ้าของหวง อย่างเล่มของบ้านจ่าตุ่ม อาตมาตามตื๊อมาเป็น ๑๐ ปีแล้วไม่เคยปล่อย ทั้ง ๆ ที่รู้จักสนิทสนมกันขนาดนั้น ถามเมื่อไรก็เลิกคุย ประการที่สองก็คือเก่าจนหมดสภาพ บางคนดูแลไม่ดี ทั้งปลอก ทั้งฝัก ติดกันเป็นเนื้อเดียวกับใบ ชักไม่ออกเลย ในเมื่อไม่สามารถพิสูจน์สภาพได้ ก็ไม่สามารถที่จะตั้งราคาซื้อได้ ประการที่สามราคาแพงจัด อย่างที่อาตมาเอามาปล่อย ๕๐,๐๐๐ บาท ในตลาด ๒๐๐,๐๐๐ บาทนี่สบายเลย เพราะว่าสวยสมบูรณ์มาก แต่คราวนี้อาตมาจะเอาเงินไปร่วมสร้างพระจุฬามณีกับทางด้านหลวงพ่อวัดป่าเลไลยก์ ช่วงก่อนก็เอาไปก่อสร้างวิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรี" |
"เดี๋ยวรอให้พ้นลอยกระทงแล้ว อาตมาจะถามท่านเจ้าคุณชรัชว่า ปี ๒๕๖๓ จะเอากฐินไปช่วยสร้างพุทธมณฑลปัตตานีท่านจะตกลงไหม ? ในเมื่อต้องการเงิน แล้วญาติโยมท่านใดที่มีเงินเหลือเฟือ ไม่เดือดร้อนก็มาบูชาไป ได้ไปก็เป็นเป็นสมบัติประจำตระกูลได้เลย เพราะว่าส่วนใหญ่ที่อาตมาเลือก ถ้าสภาพไม่สมบูรณ์ก็ไม่ซื้อ
ปกติแล้วคนนครสวรรค์ ถ้าเรื่องมีดหมอเขาจะเล่นของหลวงพ่อรุ่ง วัดหนองสีนวล เอาของหลวงพ่อเดิมไว้ขาย เพราะว่าหลวงพ่อรุ่งเป็นศิษย์พี่ อายุพรรษามากกว่าหลวงพ่อเดิม ๑๑ พรรษา แล้วก็สำเร็จวิชามีดหมอจากหลวงพ่อขำ วัดเขาแก้วมาก่อนหลวงพ่อเดิมด้วย มีดหมอยุคแรก ๆ ของหลวงพ่อเดิม ก็ยังต้องอาศัยหลวงพ่อรุ่งช่วยกำกับว่าต้องทำอย่างไร แต่ว่าหลวงพ่อเดิมท่านดังกว่าเพราะว่าวัดท่านอยู่ใกล้สถานีรถไฟหนองโพธิ์ คนลงรถไฟก็เข้าวัดได้เลย ส่วนวัดของหลวงพ่อรุ่งนี้ต้องเดินไปอีกเป็นวัน คนนครสวรรค์ก็เลยบอกว่า "มีดหมอหลวงพ่อเดิมมีไว้ขาย มีดหมอหลวงพ่อรุ่งมีไว้ใช้" สองคนเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน เพราะว่าแม่หลวงพ่อรุ่งกับแม่หลวงพ่อเดิมเป็นพี่น้องกัน เรียนวิชามาจากหลวงพ่อขำ วัดเขาแก้วเหมือนกัน" |
"มีดหมอที่ผ่านมืออาตมามากที่สุด น่าจะเป็นมีดหมอหลวงพ่อกวย วัดโฆษิตาราม ๔๐ กว่าปีนี้ผ่านมือมาน่าจะถึง ๒๐๐ เล่ม แต่ไม่ต้องถามนะ เดี๋ยวนี้เหลืออยู่ ๓-๔ เล่มเท่านั้น เพราะว่าส่วนใหญ่พอมีคนมาขอบูชาก็ปล่อยต่อเขาไป พวกนั้นมาเห็นอาตมาขายไม่แพงเท่าท้องตลาด ก็เอาไปปล่อยต่ออีกรอบหนึ่ง
ของพวกนี้อันดับแรก...ต้องรู้แหล่ง อันดับที่สอง...ต้องดูของเป็น อันดับที่สาม...ต้องมีราคาในใจของตัวเอง ถ้าเกินราคาที่ตั้งไว้ สวยแค่ไหนก็อย่าสู้ เพราะว่าถ้าเราสู้ไปครั้งหนึ่ง ครั้งต่อไปจะแพงขึ้นไปอีก อาตมาชื่นชมอาจารย์ตัวเอง คือท่านอาจารย์วิสุทธิ์ วรรณวงษ์ศิริ อาจารย์วิสุทธ์ตั้งราคาไว้ในใจนี่ ต่อให้สวยแค่ไหนก็ตาม ถ้าราคาเกินที่ตั้งไว้..ท่านไม่ซื้อ เป็นคนตบะดีมาก ท่านบอกว่า "ผมเจอมีดหมอหลวงปู่ทองเฒ่า วัดเขาอ้อ เชื่อไหม..? ผมนอนไม่หลับไป ๒ คืนเลย แต่แพง..ผมไม่ซื้อ" ขนาดนอนไม่หลับไป ๒ คืนแสดงว่าสวยจริงสวยจัง ถามว่าอาจารย์ได้มาแล้วหรือยัง ? “ไม่ซื้อครับ..แพง” |
"บรรดาพวกที่เป็นเซียนเครื่องรางของขลังหรือพระเครื่อง มีความอดทนสูงมาก หลายคนนี่แวะเวียนมาหาอาตมาเป็นปี ๆ นิสัยเดียวกับที่อาตมาตามไป "เต๊าะ" ป้าสุ (คุณสุมาลี ทิมแท้) ที่บ้านจ่าตุ่ม ก็คือมีโอกาสก็แวะไปเรื่อย ๆ ไปเยี่ยมบ้าง ไปคุยกันบ้าง เอาของฝากไปให้บ้าง ได้ไม่ได้ก็ช่าง คือมีความอดทนสูงมาก พูดง่าย ๆ ว่าตื๊อจนกว่าเจ้าของจะใจอ่อน
วันก่อนน้องเล็กก็ไปตื๊อเอามีดที่จ่าตุ่มทำไว้เล่มหนึ่ง ตอนนั้นเขาใส่ตู้โชว์เก็บเอาไว้เข้าพิพิธภัณฑ์ส่วนตัวแล้ว ยังไปแคะมาจนได้ แต่มีดหมอหลวงพ่อเดิมเล่มที่อาตมาเล็งไว้ ตั้งหลายปีแล้วป้ายังไม่ยอมใจอ่อนเลย" |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 13:31 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.