กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนกันยายน ๒๕๕๖ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=3877)

เถรี 21-09-2013 09:30

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนกันยายน ๒๕๕๖
 
ถาม : ตามที่กล่าวถึงการบวชพระ ถือว่าเป็นอานิสงส์พิเศษ ที่พ่อและแม่สามารถได้รับทันทีโดยไม่ต้องอนุโมทนา จึงอยากจะเรียนถามเพิ่มเติมว่า อานิสงส์นี้จะเฉพาะพ่อแม่ในชาติปัจจุบันนี้เท่านั้น หรือหมายรวมถึงพ่อแม่ในอดีตชาติด้วย ?
ตอบ : ปัจจุบันอย่างเดียว อดีตชาติต้องบวชในอดีต แต่ไม่แน่ ถ้าหากท่านรู้แล้วโมทนาด้วยก็ได้เหมือนกัน แต่ถ้ารับโดยไม่ต้องโมทนาด้วยนับเฉพาะพ่อแม่ชาติปัจจุบันนี้เท่านั้น

ถาม : เนื่องจากสาเหตุพิเศษอะไรหรือครับ ?
ตอบ : ไม่มีท่านเราก็ไม่ได้บวช

ถาม : หากต้องการให้ท่านที่เป็นพ่อแม่ในอดีตชาติรับได้ด้วย ต้องบอกกล่าวให้ท่านอนุโมทนา หรืออุทิศส่วนกุศลให้ จึงจะได้อนุโมทนาใช่หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถูกต้อง และท่านต้องอยู่ในภูมิที่โมทนาได้ด้วย ถ้าอยู่ในภูมิที่โมทนาไม่ได้ อุทิศให้ตายก็ไปไม่ถึง

เถรี 21-09-2013 09:33

ถาม : ผมบูชากำไลข้อมือที่บ้านวิริยบารมี ขอความเมตตาพระอาจารย์เล่าที่มาของการจัดสร้างว่าใช้วัสดุอะไร สเตนเลส หรือเหล็ก ทำไมถึงสร้างลักษณ์และรูปแบบนี้ ? พระ ครูบาอาจารย์ และหลวงพ่อ สงเคราะห์ด้านใดบ้างครับ ?
ตอบ : ไม่รู้เรื่องเลย กำไลที่บ้านวิริยบารมีเป็นของที่ผลิตโดยบ้านจ่าตุ่ม บ้านจ่าตุ่มแต่แรกนั้นจะผลิตเริ่มในเรื่องของมีด เอาพวกนักผลิตปืนเถื่อนมาผลิตวัตถุที่สามารถขายได้โดยถูกต้องตามกฎหมาย หลังจากนั้นพอมาถึงรุ่นของลูกชายจ่าตุ่มคือคุณอาร์ต ก็เกิดแนวความคิดว่า ทำมีดอย่างเดียวไม่หลากหลายพอ ก็เลยผลิตเป็นของอื่น ๆ ขึ้นมา เช่น กำไลหรือหัวเข็มขัด เป็นต้น ถ้าวัสดุก็เป็นวัสดุเดียวกับโลหะที่ใช้ทำมีด ซึ่งค่อนข้างจะแข็งแกร่งหน่อย

ถ้าใครฝึกวิทยายุทธ์ดี ๆ ถึงเวลาเขาฟันด้วยมีดหรือดาบสามารถยกกำไลขึ้นรับได้ เพราะโลหะจะแข็งกว่ามีดทั่วไป อย่างไรฟันก็ไม่เข้าหรอก


ถาม : วันนี้แผ่นงาช้างหลุดหายไปแล้วครับ จะไปหาแผ่นหิน เช่น ลาปีส นิล ฯลฯ มาใส่แทน แล้วรอไปเข้าพิธีพุทธาภิเษก ได้หรือไม่ครับ ? สิ่งที่ท่านสงเคราะห์จะเปลี่ยนไปหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ไม่มีปัญหา จะทำอย่างไรก็เชิญ เพราะอาตมาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำอย่างไร สงสารป้าสุเมียจ่าตุ่ม ซึ่งตอนนี้ก็ต้องบอกว่าเป็นผู้ดำเนินกิจการแทน ป้าอายุชราภาพมาก แล้วก็ไม่มีวางขายที่อื่น ก็เลยอาศัยความสนิทสนมคุ้นเคยกันมายาวนาน บอกป้าว่าเดี๋ยวอาตมาเอาไปช่วยขายให้ก็แล้วกัน ที่เอามาจำหน่ายจะมีอยู่ส่วนหนึ่งที่ได้เข้าพิธี แต่ถ้ามาไม่ทันพิธีพวกเราก็เอาไปเข้าใหม่อีกรอบแล้วกัน

เถรี 21-09-2013 09:36

ถาม : เนื่องจากในการตั้งศาลพระภูมิส่วนใหญ่ บ้านแต่ละหลังนั้นมีการตั้งศาล ๔ เสา กับศาลพระภูมิเสาเดียวไว้คู่กันเลย และศาลเสาเดียวสูงกว่า ตามที่เห็นบ้านแต่ละหลังจะตั้งศาลแบบนี้ จึงกราบเรียนถามว่า หากตั้งศาลลักษณะนี้ที่บ้าน จะมีปัญหาต่อไปในอนาคตหรือเปล่าครับ ? ถ้าหากเราตั้งศาลในลักษณะนี้แล้ว จะแก้ไขอย่างไรครับ ?
ตอบ : ความจริงถ้าไม่ใช่สถานที่ซึ่งเรามั่นใจหรือรู้ชัดว่ามีอากาศเทวดาอยู่ ไม่ต้องตั้งศาล ๔ เสาก็ได้ แต่คนรุ่นหลังมักจะเรียกศาล ๔ เสาว่าศาลตายาย แล้วก็ไปเข้าใจว่าเป็นผีบ้านผีเรือน ถ้าตั้งไปแล้วไม่มีการแก้ไขให้ศาล ๔ เสา ซึ่งปกติเป็นอากาศเทวดา เป็นเจ้านายของพระภูมิเจ้าที่ ให้อยู่ในที่สูงกว่า บ้านนั้นเด็กจะไม่เคารพผู้ใหญ่ ถ้าเป็นบริษัทห้างร้าน หรือหน่วยงาน เจ้านายก็คุมลูกน้องไม่ได้ เพราะลูกน้องอยู่สูงกว่าไปแล้ว

มีวิธีเดียวก็คือหนุนให้ศาล ๔ เสาสูงกว่า คำว่าสูงกว่าก็คือระดับพื้นศาลให้สูงกว่าพื้นศาลเสาเดียว สูงต่ำกว่ากันสัก ๑ เซนติเมตรก็ยังดี แต่ให้สูงกว่า


ถาม : ถ้าเราตั้งเสาเดียวอยู่ และมีอากาศเทวดาอยู่แล้วเราไม่ทราบจะเกิดอะไรขึ้นครับ ?
ตอบ : เดี๋ยวท่านก็มาบอกเองแหละ อากาศเทวดาท่านไม่นิ่งนอนใจหรอก ตามสะกิดถึงในมุ้งเลย

เถรี 21-09-2013 09:38

ถาม : การบูชาตะกรุดพระแม่ธรณีมีข้อปฏิบัติและข้อห้ามอย่างไรบ้างครับ ?
ตอบ : ข้อที่ต้องปฏิบัติคือจ่ายเงินให้ครบ ส่วนข้อห้ามเมื่อรับไปแล้วก็คือถึงเวลาอย่าลืม ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวคนอื่นจะเอาไปใช้แทน

ถาม : มีมากกว่านั้นไหมครับ ?
ตอบ : จะเอามากกว่านั้นก็มี อย่างเวลาเราบูชาตะกรุดพระแม่ธรณี ถึงเวลาอย่าลงไปในน้ำ เพราะนั่นเป็นแม่คงคา..! ถามมากเรื่อง เขาไม่ได้ห้ามสักอย่าง ยกเว้นว่าลูกเขาเมียใครเว้น ๆ ไว้บ้าง เพราะว่าส่วนหนึ่งเป็นมหาเสน่ห์ ต้นตำหรับคือหลวงปู่เนป่อง ท่านลูกหลานทั้งหมู่บ้านเลย หมู่บ้านทุ่งเสือโทนมีขึ้นมาได้เพราะครอบครัวหลวงปู่ครอบครัวเดียว นึกเอาก็แล้วกัน

ถาม : แล้วมีคาถาอาราธนาไหมครับ ?
ตอบ : มีอยู่ ไปเปิดตำราดู ในเว็บก็มี

เถรี 21-09-2013 09:39

ถาม : การสร้างเครื่องย้อนเวลาไปในอดีตหรืออนาคต (time machine) นั้น ในทางพระพุทธศาสนาสามารถสร้างได้สำเร็จไหมครับ ?
ตอบ : ทำเสร็จมาตั้ง ๒,๕๐๐ กว่าปีแล้ว ก็อตีตังสญาณนั่นแหละ

ถาม : และหากต้องการย้อนเวลาไปในอดีตหรืออนาคตสามารถทำได้ด้วยวิธีใดครับ สามารถไปทั้งกายเนื้อได้หรือไปได้แค่ดวงจิตครับ ?
ตอบ : time machine ของพระพุทธเจ้านั่นแหละ ถ้าจะไปอดีตก็อตีตังสญาณ ไปอนาคตก็อนาคตก็อนาคตังสญาณ ซึ่งไปได้ด้วยจิตอย่างเดียว ยกเว้นในปัจจุบัน ถ้าได้อภิญญา ๕ ก็ไปทั้งกายได้

เถรี 21-09-2013 09:41

ถาม : การวางอุเบกขาในมุทิตา มีวิธีปฏิบัติอย่างไร ?
ตอบ : ยินดี แต่อย่าถึงขนาดไปกรี๊ด นั่นแหละคืออุเบกขาในมุทิตา เห็นหรือเปล่าพวกที่ไปรับนักร้องวงร็อกของต่างประเทศ นั่นไม่มีอุเบกขาในมุทิตา ทำอย่างกับพ่อแม่เป็นนกแก้ว ไปถึงก็กรี๊ด ถ้าอุเบกขาก็ไม่ต้องกรี๊ด แค่ยินดีเฉย ๆ

ถาม : ปีติมากจนเกินไปอย่างนี้มีโทษไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าปีติมากมารแทรกได้ง่าย โปรดระวังให้จงหนัก..!

ถาม : ในลักษณะไหนบ้างครับ ?
ตอบ : ถ้าปฏิบัติธรรมแล้วปีติเกิดขึ้น จะไม่อิ่มไม่เบื่อในการปฏิบัติ แล้วก็ไปโหมกันข้ามวันข้ามคืน ไม่ยอมพักผ่อนหลับนอน เดี๋ยวก็เรียบร้อย..!

เถรี 21-09-2013 11:33

ถาม : ขอความรู้ในเรื่องการตั้งเสาเอกในแบบฉบับพระอาจารย์ครับ ในเรื่องของเดือน วัน เวลาใดที่เหมาะสมในการตั้งเสาเอก ? และเสาเอกควรอยู่ทิศใดของตัวบ้านครับ และไม่ควรอยู่ทิศใด ?
ตอบ : ตำราอาตมาไม่มี เอาตามตำราโบราณดีกว่า ตำราโบราณการตั้งเสาเอกหรือว่าการลงเสาเอกอย่างสมัยก่อน เขานิยมกันในวันจันทร์ วันพุธหรือพฤหัสบดี เดือนอ้าย เดือนยี่ เดือน ๔ เดือน ๖ เดือน ๙ และ เดือน ๑๒

คราวนี้สำคัญที่สุดก็คือทิศทางของเสาเอก ว่าควรจะอยู่ตรงไหนของบ้าน โบราณเขาถือว่าแต่ละทิศจะมีหัวนาคหางนาคอยู่ อย่าตั้งในจุดที่เป็นหัวนาค เพราะว่างับคำเดียวเราก็หมดเลย..! อย่าตั้งในจุดหางนาค ถ้านาคสะบัดหางมาถึงก็กระจายเหมือนกัน เขาให้ตั้งในตำแหน่งที่เป็นท้องนาคไว้เสมอ

ตำแหน่งที่เป็นท้องนาคนั้นแต่ละเดือนก็ไม่เหมือนกัน เขาให้ยึดว่าถ้าเป็นเดือนอ้าย เดือนยี่ ตำแหน่งของท้องนาคจะอยู่ทิศอีสานของพื้นที่ คือตะวันออกเฉียงเหนือ ถ้าเป็นเดือน ๔ เดือน ๖ ก็จะอยู่ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ก็คือทิศอาคเนย์ ถ้าเป็นเดือน ๙ ก็จะเป็นทิศหรดีหรือตะวันตกเฉียงใต้ ถ้าเป็นเดือน ๑๒ ก็จะเป็นทิศพายัพ หรือตะวันตกเฉียงเหนือ

ส่วนโบราณจะมีเสาโทด้วย เสาโทจะอยู่ทางขวามือของเสาเอกเสมอ ในเมื่อรู้ทิศตั้งเสาเอกขึ้นมาแล้ว จะให้ถูกต้องให้มีเสาโทด้วย เสาเอกเสาโทจริง ๆ เขาเปรียบเหมือนผู้หญิงกับผู้ชาย เครื่องประดับเสาไม่ว่าจะเป็น กล้วย อ้อย ใบเงิน ใบทอง แก้ว แหวน อะไรก็ตาม เหมือนกันหมดทุกอย่าง ยกเว้นอย่างเดียวว่า เสาเอกนอกจากผูกผ้าสีแล้วให้มีผ้าขาวม้า แต่ถ้าเสาโทนอกจากผูกผ้าสีแล้ว ให้ใช้ผ้าอื่นที่ลักษณะเหมือนกับผ้าสไบก็ได้ผูกเอาไว้แทน จะได้แยกชัดเจนว่านี่เสาผู้ชายเป็นพ่อบ้าน นี่เสาผู้หญิงเป็นแม่บ้าน ถ้าทำอย่างนี้แล้วเรื่องของข้าวของอะไรอื่น ๆ ก็ไปจัดตามนั้นแหละ ถ้าจะเอาให้บ้านอยู่สุขอยู่เย็นจริง ๆ ก็ฝังทองคำลงไปสักเสาละตัน ๒ ตัน..!


ถาม : แล้วมีข้อห้ามอะไรไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าถูกทิศถูกทางเรื่องอื่นก็ไม่มีข้อห้ามอะไร สำคัญที่สุดคือเรื่องทิศ จำไว้แม่น ๆ เลยนะ ปกติแล้วเขานิยมเดือนอ้าย เดือนยี่ เดือน ๔ เดือน ๖ เดือน ๙ กับเดือน ๑๒ แต่เขาบอกว่าถ้าสร้างบ้านเดือนอ้าย เดือนยี่ เดือน ๓ ให้อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของบ้าน เดือน ๔-๕-๖ ให้อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของบ้าน เดือน ๗-๘-๙ ให้อยู่ด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ของบ้าน ถ้าเดือน ๑๐-๑๑-๑๒ ให้อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของบ้าน อันนี่ว่ากันตามตำราโบราณ อย่าเอาตามตำราอาตมา เดี๋ยวจะแหกคอกเขามากไป

ถาม : ที่นี้เสาโทที่ว่าอยู่ขวามือของเสาเอกเสมอ คือเราอยู่ในบ้านใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ตีเสียว่าหันหน้าจากประตูบ้านเข้าไปแล้วกัน

ถาม : ควรจะจัดเครื่องบวงสรวงหรือนิมนต์พระมาเจริญพุทธมนต์หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าจัดเครื่องบวงสรวงได้ก็ดี นิมนต์พระมาเจริญพระพุทธมนต์ เท่ากับเป็นการทำบุญไปด้วยก็ยิ่งดีใหญ่ แต่ถ้าสู้ไม่ไหวจริง ๆ ก็เอาแค่นี้แหละ

เถรี 21-09-2013 11:36

ถาม : มีอุบายใดในการขจัดความกลัวที่เกิดจากการได้ยินเสียงบางอย่างในขณะทำกรรมฐาน แม้ว่าได้อุทิศส่วนกุศลและแผ่เมตตาให้แล้วก็ตาม แต่ในใจยังมีความกลัวอยู่ ?
ตอบ : มี ๒ วิธี วิธีแรกคือตายซะ..! จะได้หายกลัว วิธีที่ ๒ เป็นพระอรหันต์ซะ..! ตราบใดที่ยังไม่ถึงความเป็นพระอรหันต์ ก็ยังมีความกลัวอยู่เป็นปกติ ถ้าไม่กลัวก็ผิดปกติ เพราะฉะนั้น..ถ้ากลัวไม่เป็นไร ให้กลัวแบบมีสติ พิจารณาให้รู้ว่าชีวิตของเราจะมีสภาพอย่างนี้ เกิดกี่ชาติก็เป็นเช่นนี้ ยังอยากได้อีกหรือไม่ ? ถ้าหมดอยากแล้วก็ถอนกำลังใจออกมา เอาใจเกาะพระหรือเกาะพระนิพพานแทน

หรือถ้าอย่างที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแนะนำก็คือให้สวดบทอิติปิ โสฯ สวากขาโตฯ สุปฏิปันโนฯ ต้องไปดูในธชัคคสูตร พระองค์ท่านตรัสว่าเวลาเทวดาออกรบ ถึงเวลาก็ดูธงของบรรดาเทวดาผู้เป็นใหญ่ต่าง ๆ อย่างเช่น ปชาบดีเทพบุตร วรุณเทพบุตร อีสานเทพบุตร หรือไม่ก็ดูธงของพระอินทร์ เห็นธงของเจ้านายอยู่ก็ไม่กลัว สามารถรบได้เต็มกำลัง ท่านบอกว่านั่นเป็นเรื่องของบุคคลที่เต็มไปด้วยราคะ โทสะ โมหะ ขนาดยึดมั่นในผู้นำของตัวเองยังปราศจากความกลัว แต่การยึดมั่นในพระรัตนตรัยคือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสิ่งที่ปราศจากราคะ โทสะ โมหะแล้ว ย่อมยึดมั่นได้อย่างยั่งยืน และปราศจากความกลัวอย่างแท้จริง

ถ้ากลัวขึ้นมาท่านบอกว่าให้สวดอิติปิ โสฯ สวากขาโตฯ สุปฏิปันโนฯ ยึดคุณพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง

เถรี 21-09-2013 11:40

ถาม : ปัจจุบันมีหลายแห่ง ได้นำมวลสารตะกรุดมหาสะท้อนของหลวงพ่อวัดท่าซุงและของพระอาจารย์ มาทำเป็นมวลสารเพื่อสร้างวัตถุมงคล แต่มีการตัดเพียงเศษเสี้ยว เช่น ส่วนปลายหรือส่วนมุมของตะกรุด มาใช้เป็นมวลสาร อยากกราบเรียนถามว่า การตัดเศษเสี้ยวของตะกรุดมหาสะท้อนดังกล่าวมาใช้เป็นมวลสาร จะทำให้วัตถุมงคลที่สร้างมีอานุภาพของตะกรุดมหาสะท้อนด้วยหรือไม่ ? อย่างไรครับ
ตอบ : ต้องถามก่อนว่าที่ไหนเอาตะกรุดหลวงพ่อวัดท่าซุงไปทำ เพราะในชีวิตอาตมาเห็นท่านจารแค่ ๒ ครั้งเท่านั้น รวมทั้ง ๒ ครั้งไม่เกิน ๔ ดอก เพราะฉะนั้น..ถ้าใครเอาไปทำมวลสารก็โมทนาด้วย ใจถึงจริง ๆ ถือว่าได้ส่วนของกำลังใจไปก็แล้วกัน เพราะว่าเรื่องของตะกรุดมหาสะท้อนต้องน้ำหนักเต็มบาท ตัดไปส่วนเดียวก็แปลว่าได้อานุภาพไปแบบไม่เต็มบาท ...(หัวเราะ)...

ถาม : ถ้าต้องการจะใช้เป็นมวลสารให้ใส่ไปทั้งดอกหรือครับ ?
ตอบ : ใส่ไปทั้งดอกเลย ในพระปิดตามหาเศรษฐีเงินล้าน อาตมาใส่ตะกรุดทองคำไปทีหนึ่ง ๓ ดอกเลย ถ้าของหลวงพ่อวัดท่าซุงนี่ต้องถือเป็นคำแอบอ้างเลยนะ เพราะว่าอาตมาอยู่กับท่านทั้งพระทั้งฆราวาส ๑๘ ปี เห็นท่านจารแค่ ๒ ครั้ง รวม ๔ ดอก แล้วไม่เคยเห็นท่านจารอีก เพราะไม่มีใครกล้าไปขอ คนที่กล้าไปขอก็อาตมาเอง เอามา ๓ ดอก ฉะนั้น..ใครว่าอย่างนั้นถือว่าแอบอ้าง

ถ้าตะกรุดมหาสะท้อนของอาตมาเองยังพอเชื่อได้ เพราะว่าทำด้วยกัน ๔ รุ่น รวมแล้วอย่างน้อยก็ ๑,๕๖๐ ดอก นั่นก็ต้องบอกว่าไม่เป็นไรหรอก เขาอาจจะเอาไปเข้าพิธีเอง แล้วก็บอกว่าเป็นมหาสะท้อน


ถาม : แล้วตอนที่พระอาจารย์ไปขอให้หลวงพ่อวัดท่าซุงจารตะกรุด วางกำลังใจอย่างไรครับ ?
ตอบ : ก็ไม่ได้วางอย่างไรหรอก หลวงปู่มหาอำพันท่านขอ ก็แค่เอาหลวงปู่นำหน้า

ถาม : ตะกรุดมหาสะท้อนที่โดนตัดไปทำมวลสารแล้ว แผ่นที่เหลือไม่ถึง ๑ บาท อานุภาพของตะกรุดจะหายไปหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ก็ไม่เต็มบาท เท่ากับว่าเสียเลย เพราะเท่ากับไปทำให้ตะกรุดเสียเอง ใส่ก็ใส่ไปให้หมดนั่นแหละ

ถาม : แล้วตะกรุด ๓ ดอกที่หลวงพ่อวัดท่าซุงจารตอนนี้อยู่ที่ไหนครับ ?
ตอบ : อยู่ในพระปิดตารุ่นแรก เนื้อเงิน เนื้อทอง เนื้อนวโลหะ เท่ากับว่ามีอานุภาพตะกรุดมหาสะท้อนอยู่ด้วย

ถาม : แล้วดอกที่ ๔ ล่ะครับ ?
ตอบ : ของหลวงตาวัชรชัย แน่จริงไปขอสิ..!

เถรี 21-09-2013 11:43

ต้องบอกว่าตะกรุดมหาสะท้อนกับตะกรุดกำลังแม่ธรณีนี่แปลก ทำเสร็จไม่ต้องเข้าพิธีใหม่ เอาไปใช้ได้เลย เป็นการเสกในตัว ต้องถือว่าเป็นเรื่องพิเศษ แต่ว่าที่คุณก้านบัวเอาไปเข้าสารพัดพิธีก็เผื่อพวกเรา อาตมาได้ยินว่าเดี๋ยวจะไปเข้าพิธีสวดคาถาเงินล้านถวายสมเด็จพระสังฆราชด้วย แปลว่าเอาไปเข้าพิธีกัน ๕ - ๖ รอบ ทั้ง ๆ ที่ท่านก็บอกตั้งแต่ยกแรกว่าใช้ได้แล้ว

เถรี 21-09-2013 19:12

ถาม : ของอาถรรพ์ อย่างเช่นบาตรแตก ?
ตอบ : ขุดแล้วโยนทิ้งน้ำไป แค่นั้นเอง

ถาม : ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน ?
ตอบ : ถ้าไม่รู้แล้วไปรู้ได้อย่างไรว่าเป็นบาตรแตก ? ถ้าอย่างนั้นเขาเรียกว่าวิตกจริตโดยใช่เหตุ พวกของอาถรรพ์บางอย่างไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อ อย่างพวกบาตรแตกนี่ถ้าไปฝังใต้ถุนบ้านไหน บ้านนั้นก็ทะเลาะเบาะแว้งทั้งชาติ สมัยก่อนมีครกดินเผา เขาบอกว่าถ้าตำครกก้นทะลุอย่าไปทิ้งลงน้ำ ถ้าทิ้งลงแม่น้ำหรือบ่อน้ำ ใครที่ไปกินน้ำถ้าเป็นผู้หญิงก็ตะกายหาผัวกันหมด ไม่รู้ว่าเป็นอาถรรพ์อะไร

เถรี 21-09-2013 19:13

ถาม : การดูแลรักษาครรภ์ ?
ตอบ : รองานพุทธาภิเษกวัดท่าขนุนครั้งหน้า เอาน้ำมนต์ไปกินไปอาบให้พอ เพราะเขาเรียกน้ำมนต์ครรภ์รักษาอยู่แล้ว ตอนแรกก็แปลกใจ หลวงพ่อท่านบอกว่าท่านสงสารผู้หญิง ตั้งท้องก็ลำบากลำบนพออยู่แล้ว ด้วยความที่พ่อแม่ทุ่มเทชีวิตจิตใจให้ ถ้าลูกมีอันเป็นไปก็เสียใจมาก ท่านก็เลยสอนให้ทำน้ำมนต์ครรภ์รักษา ต้องบอกว่า ถ้าเป็นวิชาที่หลวงพ่อท่านเจตนาถ่ายทอดให้จริง ๆ เลย ก็เรื่องของน้ำมนต์นี่แหละ

เถรี 21-09-2013 19:20

พระอาจารย์กล่าวว่า "งานสวดคาถาเงินล้าน ๑๐๐ จบถวายสมเด็จพระสังฆราช เขานิมนต์ผ่านวัดสระเกศ ถ้าไม่ผ่านวัดสระเกศอาตมาไม่ไปหรอก นิมนต์ผ่านทางวัดสระเกศโดยมีชื่อหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศเป็นองค์ประธานอุปถัมภ์ด้วย อาตมาเลยจอดสนิท ไปไม่รอด อย่างไรก็ต้องไป

งานมีวันที่ ๑๖ กันยายน เวลาประมาณ ๕ โมงเย็น ที่เซ็นทรัลเวิลด์ ตรงแถวลานที่เขาเผากันแหลกลาญไปเมื่อปี ๒๕๕๓ นั่นแหละ"

เถรี 21-09-2013 19:33

พระอาจารย์พูดถึงประมูลตะกรุดมหาสะท้อนทองคำ "วัดท่าขนุนปีนี้ประมูลวัตถุมงคลชิ้นแรกก็พอแล้ว พอทำวัตรเย็นเสร็จก็ไปนั่งลุ้นกันหน้าจอ บอกกับคุณลูกว่า "เดี๋ยวคอยดูนะ เขาจะเฉือนกันร้อยเดียว" คุณลูกก็นั่งลุ้นอยู่ ปรากฏว่า จารุโพสต์ไป ๑๕๐,๑๐๐ บาท มากกว่าร้อยเดียวจริง ๆ แต่ไม่ทัน เพราะว่าใช้ไอโฟนก็เลยอืด เลยเวลาไป ๑ นาที มีคนลุ้นอยู่ตั้ง ๒๔ คน อาตมาก็นั่งลุ้นกับเขาด้วย

ปีนี้กฐินของท่าขนุนทอด ๓ วัด ส่วนกฐินปลดหนี้ทอดให้ท่านอาจารย์พระมหาณรงค์ศักดิ์ ปีหน้า ๒๕๕๗ จะลงสุไหงปาดีอีกรอบหนึ่ง ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวพรรคพวกสร้างโบสถ์ไม่เสร็จ"

เถรี 22-09-2013 11:42

พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศ ท่านเป็นผู้นำที่ใคร ๆ ก็ชอบ เพราะท่านไม่เคยกล่าวร้ายใคร แล้วก็ไม่เคยลงโทษใคร ท่านจะกล่าวถึงคนแต่ในแง่ดีเสมอ"

เถรี 22-09-2013 11:46

พระอาจารย์กล่าวกับคนที่พาลูกเล็ก ๆ กำลังน่ารักมากราบว่า "จะเห็นได้ว่ากำลังใจเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขของคนหมู่มาก ทำให้พระพุทธเจ้าท่านทิ้งลูกทิ้งเมียได้ ที่ทิ้งเมียนะพอไหว แต่ลูกเพิ่งเกิดแล้วทิ้งได้นี่ต้องตัดใจกันขนาดหนัก"

เถรี 22-09-2013 11:50

พระอาจารย์กล่าวว่า "คุณรจนา เพชรกัณหา อดีตนางแบบซูเปอร์โมเดล ไม่น่าจะเป็นไปได้ขนาดนั้น นางฟ้าตกสวรรค์ชัด ๆ เลย สมัยก่อนงานของเขาปีหนึ่งค่าตัว ๕๐ - ๖๐ ล้านบาท เพราะว่าเป็นซูเปอร์โมเดลที่ฝรั่งเขานิยมมาก นิยมตรงผิวดำ ผิวดำของไทยเรานั้นสวยของฝรั่งเขา แล้วรูปร่างของเธอก็ดี งานเพียบเลย แต่ได้ข่าวว่าที่สติไม่ค่อยจะดีเพราะติดเหล้ากับยาเสพติด

ต้องบอกว่าทางบ้านเขาใจร้ายมาก ให้เอาเข้าโรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยาไปเลย ก่อนหน้านี้ไม่รู้ทำเงินให้ตั้งเท่าไรต่อเท่าไร พอถึงเวลาเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมากลับปล่อยทิ้งเลย คือคนติดเหล้าติดยา พอนาน ๆ ไปเหมือนกับว่าประสาทบางส่วนชำรุด แล้วทางบ้านก็ไม่ดูแล ปล่อยให้เตลิดเปิดเปิงไปข้างนอก จนคนเขาเห็นว่าสติไม่ดี ก็เลยเรียกตำรวจมาเอาตัวไป กว่าจะติดต่อกับญาติได้ ญาติก็บอกให้เอาเข้าโรงพยาบาลไปเลย คนที่กำลังใจขาดที่พึ่ง เขาต้องการความอบอุ่นจากครอบครัว แต่นี่กลับให้ทิ้งไปเลย

สมัยก่อนพอฟังข่าวก็ยังปลื้มใจว่า คนไทยเราก็ยังขึ้นไปถึงระดับนั้นได้ ติดหนึ่งในสิบของสุดยอดนางแบบของโลก ถ้าในพระธรรมบทก็นึกถึงถึงพระปฏาจาราเถรี ท่านสูญเสียหมดทั้งครอบครัวเลย สามีตาย ลูกคนเล็กโดนเหยี่ยวเฉี่ยวไป ลูกคนโตจมน้ำตาย หวังจะกลับบ้านไป พ่อแม่และพี่ก็โดนฟ้าผ่าปราสาทถล่มลงมาทับตายหมดเกลี้ยงเลย จึงเดินสติแตก โซซัดโซเซไปเรื่อย

ปรากฏว่าบุญเก่ายังดี หลุดเข้าไปในเชตวันมหาวิหาร คนอื่นเห็นว่าเป็นหญิงบ้า ผ้าผ่อนไม่ได้นุ่ง ก็เอาก้อนหินขว้าง พระพุทธเจ้าตรัสว่าให้ปล่อยเธอเข้ามา พอเข้ามาพระองค์ท่านก็ตรัสว่า “ภคินิ..ดูก่อนน้องหญิง เธอจงได้สติคืนมาเถิด” คนที่ขาดที่พึ่งอยู่ ได้ยินคนเรียกในลักษณะเหมือนกับเป็นญาติ ก็ได้สติคืนมา

พอได้สติคืนมา คนเห็นว่าไม่อาละวาดก็โยนผ้าให้นุ่ง ได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าแล้วเกิดเลื่อมใสก็เลยขอบวช ตอนหลังพิจารณาธรรมกลายเป็นพระอรหันต์ เป็นผู้เลิศในทางทรงวินัย ถ้าทางด้านภิกษุ ผู้เลิศในทางทรงวินัยคือพระอุบาลี ถ้าด้านภิกษุณีผู้เลิศในทางทรงวินัยคือนางปฏาจาราเถรี

ในช่วงที่ขาดที่พึ่ง ต้องมีคนที่พึ่งได้ พอได้ยินก็รู้สึกว่าตัวเองมีที่พึ่งจึงได้สติคืนมา แต่คุณรจนาคงไม่แย่ขนาดพระปฏาจาราเถรี เพราะเขาแค่ติดเหล้าติดยา ไปบำบัดได้ แต่ต้องบอกว่าทางบ้านไม่ลงทุนเลย ตอนเขาหาเงินเข้าบ้านเป็นร้อยล้านไม่เป็นไร พอแย่หน่อยกลับตัดหางปล่อยวัด ปล่อยวัดก็ยังดี นี่เล่นปล่อยข้างถนนเลย..!"

เถรี 22-09-2013 12:00

พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องการเลี้ยงลูก เรามีหน้าที่ให้ แต่ไม่ได้มีหน้าที่ตั้งความหวัง เรามีหน้าที่ให้ในสิ่งที่ดีที่สุด อบรมเขาอย่างเต็มสติกำลังที่สุด ส่วนผลจะออกมาอย่างไร ก็ต้องแล้วแต่บุญเก่าเขาด้วย ถ้าบุญเก่าเขาสร้างเอาไว้ดี ต่อให้ไปตกอยู่ในที่ ๆ แย่แค่ไหน เขาก็เอาตัวรอดได้ ถ้าบุญเก่าสร้างไว้ไม่ดี อบรมมาดีขนาดไหนก็เละเทะไม่เป็นท่า

แต่ว่าไม่ใช่ไม่มีโอกาสแก้ตัว เพราะวัยรุ่นเป็นช่วงที่ไม่เอาเหตุไม่เอาผล ไปตามอารมณ์อย่างเดียว พอไปถึงช่วงอายุหนึ่งก็จะได้สติ แล้วก็กลับมาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมใหม่ สมัยช่วงวัยรุ่นอาตมาก็แบบนี้แหละ แต่ไม่ได้เป็นแบบคนอื่นเขา มีหน้าที่กระทืบชาวบ้านเขาให้ได้สติ ชอบมาหาเรื่องท้าตีท้าต่อย ท้ายสุดอาตมาทนรำคาญไม่ไหวก็อัดน่วมไปเลย แล้วแต่ละคนก็กลับเนื้อกลับตัวเป็นคนดี รู้จักทำมาหากินกันหมด อาตมาก็ว่าเข้าท่าดีเหมือนกัน อาจจะเป็นเพราะว่าพวกนี้จริง ๆ เขาอยากเด่นอยากดัง แต่ปรากฏว่าพอน่วมกลับไปก็คงรู้ว่า อนาคตทางนี้ไม่ดังแน่ เพราะมีคนเก่งกว่า เขาก็เลยต้องกลับไปทำมาหากินเขา

พ่อแม่อาตมาเลี้ยงลูกด้วยไม้ โตมากับอาญา คำสั่งของพ่อแม่คือเสียงสวรรค์ ห้ามมีความคิดคัดค้าน ไม่อย่างนั้นโดน..! ก็เลยไม่มีโอกาสนอกคอกเพราะมีไม้เรียวคอยกระหนาบอยู่ ไปนึกถึงพี่สาวคนที่ ๓ เพื่อนชวนไปงานวัดที่ ตำบลลูกแก สมัยก่อนเรียกว่าไกลมาก เพราะไปกลับนี่เป็นวันเลย กลับมาพ่อก็ตีด้วยไม้รวกผ่าซีกขนาดเกือบ ๒ นิ้วมือ ตีจนน่วมเลย พ่อลืมไปว่าช่วงวัยรุ่นต้องมีเวลาของตัวเองกับเพื่อนบ้าง เพียงแต่ว่าถ้าขออนุญาตพ่ออาจจะไม่ได้ไป ก็เลยหลบไปกับเพื่อน

สมัยนี้ไม่ต้องไปคุมหรอก อยู่ในบ้านก็เข้าไปถึงกันเพราะอินเตอร์เน็ต ก้มหน้าก้มตากลายเป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่ พันธุ์ก้มหน้าเขี่ยจอ ถ้าสร้างจิตสำนึกให้เขาได้ก็จะจบ ถ้าสร้างจิตสำนึกในด้านใฝ่ดีให้เขาไม่ได้ ก็จะไหลตามกระแสไป ฉะนั้น..มีอยู่อย่างเดียวก็คือ ทำให้เขารู้ว่าทางบ้านรักเขา ห่วงเขา แล้วสิ่งที่เขาควรจะทำให้พ่อแม่ภูมิใจนั้นคืออะไร ถึงเวลาเราก็ต้องไปเฮกับเขา ดีใจกับเขา ทำดีมีรางวัล พาไปเลี้ยง ตื่นเต้นด้วย ห้ามตายด้าน..! เขาจะรู้สึกภูมิใจว่าเป็นลูกที่พ่อแม่รัก ก็ไม่กล้าทำให้ผิดหวัง"

เถรี 22-09-2013 12:14

ถาม : เด็กที่บ้านเล่นอินเตอร์เน็ตจนติด ?
ตอบ : สร้างวินัยให้เขา เข้าอินเตอร์เน็ตเป็นเวลา อนุญาตให้เล่นได้ แต่ถึงเวลาแล้วต้องเลิก

เถรี 24-09-2013 10:11

ถาม : กลัวผีมากค่ะ ?
ตอบ : ไม่เห็นมีอะไรน่ากลัว ผีน่าสงสารมากเลย หนูกลัวขอทานไหมล่ะ ? ผีก็เหมือนกับขอทาน เขาลำบาก เขามาเพราะต้องการส่วนกุศลจากเรา เราเป็นคนรวยกว่า เขามาขอส่วนบุญจากเรา ไม่เห็นต้องไปกลัวเขาเลย มีก็ให้เขา ไม่มีก็ไล่เตลิดเปิดเปิงไป

ถาม : เห็นผีในเกมส์แล้วน่ากลัว ?
ตอบ : เขาตั้งใจแต่งมาให้น่ากลัว ถ้าเราตั้งใจมองจริง ๆ ตลกจะตาย พวกผีเขายังบอกเลยว่า ตัวจริงเขาไม่เห็นน่ากลัวอย่างนั้นเลย ผีก็เหมือนกับขอทาน เขาลำบาก มาเพื่อจะให้เราอุทิศส่วนกุศลให้ เขาแต่งตัวสวยที่สุดแล้ว แต่แต่งได้แค่นั้นเอง เพราะว่าเขาไม่มีบุญ เพราะฉะนั้น..เราไม่เห็นต้องไปกลัวคนจนเลย ถึงเวลาก็อุทิศส่วนกุศลให้เขาไป พอเขาได้บุญจากเราเขาก็ดีใจ และเป็นเพื่อนเราด้วย ต่อไปเวลาไปไหนก็มีคนคอยคุ้มครอง ไม่เห็นมีอะไรน่ากลัว

ผีในเกมส์น่ากลัวไปอย่างนั้นเอง ตัวจริงเขาไม่น่ากลัวหรอก ก่อนหน้านี้หลวงพ่อก็กลัวผีเหมือนกัน พอรู้เข้าจริง ๆ แล้วไม่มีอะไรน่ากลัว ตอนเด็ก ๆ ก็เหมือนกับเรานี่แหละ จะไปฉี่ก็ไม่กล้าไป กลั้นฉี่จนหน้าเขียว กลัวผีจะมาล้วงก้น..!

เถรี 24-09-2013 12:02

ถาม : เพื่อนหนูไปบ่อนเพราะรู้สึกคล้ายกับมีผีพาไป ?
ตอบ : ถ้าลักษณะอย่างนั้นแสดงว่าที่บ่อนทำเอาไว้ ให้เขาหายันต์เกราะเพชรติดตัว แล้วภาวนาอิติปิ โสฯ ทุกวัน จะกันพวกนี้ได้โดยตรง ถามเขาว่าเคยไปกินข้าวกินน้ำที่นั่นไหม ? ถ้าเคยก็เสร็จเขา เพราะของพวกนี้ส่วนใหญ่เขาทำใส่อาหาร หรือไม่ก็ใช้ผีคุม

ถาม : มีวิธีป้องกันหรือแก้ไหมคะ ?
ตอบ : เอาผ้ายันต์เกราะเพชรให้เขาติดตัว แล้วสวดอิติปิ โสฯ สวากขาโตฯ สุปฏิปันโนฯ สัก ๓ จบในตอนเช้าทุกวัน

เถรี 25-09-2013 05:47

พระอาจารย์เล่าว่า "ตอนไปยุโรปมีสองคนพ่อลูกเดินมา ลูกอายุสัก ๗ - ๘ ขวบ เดินถือกิ่งไม้มา ๑ กิ่ง อาตมาเคยอยู่กับเพื่อนที่เป็นอิสลามมาก่อน ช่วงวัยรุ่นนี่อยู่กับอิสลามมาหลายปี ตอนที่ไปอยู่ซอยอ่อนนุชใหม่ ๆ เพื่อนอิสลามเยอะแยะไปหมด รู้ว่าลักษณะนี้ของเขาคือมาขอความช่วยเหลือ ก็เลยทักเขาก่อนว่า "อัสสะลาม มุลัยอากุม"

พอเขาได้ยินนั่งร้องไห้เลย เขาไม่นึกว่าจะมีคนมาทักภาษาเดียวกันได้ ก็เลยถามเขาว่ามีอะไร เขาก็พยายามอธิบาย พูดภาษาอังกฤษก็ไม่ค่อยได้ ก็ปนภาษาเซิร์บของเขาด้วย สรุปได้ว่าเขาหนีสงครามมาจากโคโซโว มาทำงานที่ฝรั่งเศส คราวนี้รัฐบาลปฏิบัติกับพวกเขาไม่ดี หาว่าพวกเขาเป็นตัวปัญหา เพราะเคยไปก่อจลาจล เจ้านายก็เลยไล่เขาออกจากงาน เขาไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อน ต่างคนต่างก็ลำบาก จึงต้องมาขอความช่วยเหลือจากนักท่องเที่ยว

เขาบอกว่าอดข้าวมาวันหนึ่งแล้ว ตัวเขาไม่เป็นไรหรอก แต่ลูกเขากำลังโต เขาสงสารลูก อาตมาก็เลยบอกว่าไม่เป็นไร ให้เงินเขาไป ๑๐ ยูโร เอาไปกินข้าวก่อน เขาก็วิ่งเข้าร้านอาหารไป ไม่ได้ไปซื้อข้าวหรอก ไปขอกระดาษจดรายการอาหารเขามา ขอจดชื่อขอที่อยู่ของอาตมาไว้ แล้วบอกกับลูกว่า อาตมาเป็นผู้มีพระคุณ ถึงเวลาสวดมนต์แล้วให้ขอพรจากพระเจ้าให้อาตมาด้วย

เขาบอกว่า เขาเชื่อแล้วที่พระอัลเลาะห์บอกว่า ทุกศาสนาก็คือลูกของพระเจ้าเหมือนกัน เขากำลังจะหมดศรัทธาในพระเจ้าแล้วว่าทอดทิ้งเขา แล้วอยู่ ๆ เจอคนต่างศาสนาแท้ ๆ มาช่วยเขา เป็นอะไรที่พูดง่าย ๆ ว่า อาตมาไปใช้หนี้เขา ไปเจอพวกนี้เยอะแยะไปหมด"


ถาม : เขานิสัยดีมากครับ ที่คิดจะตอบแทน
ตอบ : เขาเองก็ไม่นึกว่าอาตมาจะช่วยเขา คืออาตมาเองพอเห็นก็กวักมือเรียกเขา เพราะถือกิ่งไม้มาลักษณะนั้นคือเขากำลังต้องการความช่วยเหลืออยู่ จำไว้เลยว่าถ้าพี่น้องอิสลามเขาถือกิ่งใบไม้มีใบสด ๆ มาด้วย พวกนี้เขากำลังมาขอความช่วยเหลือจากพวกเดียวกัน ถามเขาว่าภรรยาคุณอยู่ไหน ? เขาบอกว่าตายในสงครามเมื่อ ๕ ปีที่แล้ว แสดงว่าลูกยังเล็ก ๆ อยู่ ตอนนั้นราว ๓ - ๔ ขวบเอง เลยหนีมา ๒ คนพ่อลูก พ่อเขาชื่อซีดาน ลูกชื่อซีนัส พยายามถามเขา เขาก็พูดได้บ้างไม่ได้บ้าง ปนกันสารพัดภาษากว่าจะรู้เรื่องกัน

เถรี 25-09-2013 09:53

ถาม : ตอนผมบวช ผมกลัวผิดศีลสุดชีวิตเลย นิดเดียวก็กลัว อยู่ ๆ ผมก็คิดว่า เราละโมบบุญนี่หว่า เราอยากได้บุญเยอะ ๆ ถึงได้กลัวขนาดนี้ พอคิดแบบนี้ผมหายกลัวเลย ไม่รู้คิดถูกหรือเปล่า ?
ตอบ : ผิด...การระมัดระวังศีลเป็นการระมัดระวังเพื่อตัวเราเอง ไม่ใช่การละโมบบุญ คุณตั้งกำลังใจผิดตั้งแต่แรก รักษาศีลก็เพื่อที่จะเอาตัวเรารอดจากอบายภูมิ รักษาศีลเพื่อให้ศีลเป็นบันไดสร้างสมาธิ เมื่อสมาธิมี ปัญญาก็จะได้เกิด เราไปตั้งใจผิดตั้งแรกแล้วว่ารักษาศีลจะเอาบุญ

ถาม : แต่ระวังเรื่องศีลแล้วสมาธิดีจริง ๆ ครับ
ตอบ : แน่นอน...เพราะต้องระวังทุกฝีก้าวเลย

เถรี 25-09-2013 10:29

มีโยมอ่านหนังสือธรรมะไปพร้อมกับขีดเน้นข้อความที่คิดว่าสำคัญ พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "ไม่มีประโยชน์หรอก หลวงพ่อขีดมาแล้ว เสร็จแล้วพอไปอ่านก็ "เอ๊ะ..ทำไมเราข้ามตรงนี้ไป ?" อ่านใหม่ก็ "เอ๊ะ..ทำไมเราข้ามตรงนี้ไป ?" ตรงที่เราขีดก็คือกำลังใจของเราในตอนนั้น พอกำลังใจของเราละเอียดขึ้น ตรงจุดที่ไม่สะดุดก็จะมาสะดุดใหม่ แล้วก็ต้องขีดทั้งเล่มนั่นแหละ ท้ายสุดอาตมาต้องไปขอขมาพระ บังอาจใช้ความรู้แค่หางอึ่งไปวัดธรรมะของพระพุทธเจ้า

ทุกอย่างอยู่ที่กำลังใจเรา พอกำลังใจพัฒนาขึ้นก็จะรู้ว่า "อ้อ...ที่แท้ตรงนี้เป็นอย่างนี้เอง แล้วทำไมคราวที่แล้วเราถึงไม่ได้ขีด ?" เดี๋ยวก็ขีดทั้งเล่มนั่นแหละ หลวงพ่อทำมาแล้ว ต้องบอกว่าโง่มาแล้ว"


ถาม : แล้วหนูต้องขอขมาพระไหมคะ ?
ตอบ : ก็ขอขมาในฐานะที่บังอาจเอาแสงหิ่งห้อยไปเทียบกับดวงอาทิตย์ แล้วมั่นอกมั่นใจด้วยว่าดวงอาทิตย์สว่างแค่นี้เอง..!

เรื่องของธรรมะเป็นไปตามกำลังใจของตัว แม้กระทั่งฟังคำพูดประโยคเดียวกันก็ตีความต่างกัน ที่เขาไปขอให้อาจารย์เซนเขียนคำที่เป็นมงคลให้ในวันเปิดร้านใหม่ อาจารย์เขาก็เขียนว่า พ่อตาย ลูกตาย หลานตาย เขาโกรธอาจารย์ไฟแลบเลย อาจารย์บอกว่านี่แหละเป็นสิ่งที่เป็นมงคลที่สุดแล้ว ถ้าลูกตายก่อนคุณ คุณจะทุกข์ใจแค่ไหน ? แล้วถ้าหลานตายก่อนลูกล่ะ ? ฉะนั้น..ที่ท่านให้ก็เรื่องของธรรมชาติ พ่อตาย ลูกตาย หลานตายก็เป็นเรื่องปกติ เจ้านั่นฟังเป็นแช่ง เพราะกำลังใจยังไม่ถึง

ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวพอไปถึงก็จะรู้ตรงจุดนั้นเอง ตอนนี้ยังไม่ถึงอย่าเพิ่งเชื่อ..!

เถรี 26-09-2013 17:52

ถาม : มีอยู่ช่วงหนึ่งกำลังใจดี แล้วพอเผลอไม่ได้ปฏิบัติ ยุ่งกับการงาน กำลังใจก็ตก ?
ตอบ : เป็นปกติของทุกคนเลย พอเราเผลอสติ สิ่งที่ไม่ดีก็ดึงเราไป บางทีก็เอาหน้าที่การงานมาให้เราวุ่นวายจนไม่มีเวลาปฏิบัติ ฉะนั้น..ต้องแบ่งเวลาให้ได้ อย่างเช่น ก่อนนอนสักครึ่งชั่วโมง ตื่นนอนสักหนึ่งชั่วโมง ไม่อย่างนั้นเราจะไม่มีเวลาปฏิบัติเลย พอเราเริ่มปฏิบัติ เขาก็รู้ว่าเราจะพ้นมือ ก็จะพยายามหาทางดึงให้เราไปทางอื่นแทน เรื่องของลูก เรื่องของครอบครัว เรื่องของหน้าที่การงาน โผล่มามั่วไปหมด นึกขึ้นมาได้ อ้าว..เอาอีกแล้ว

ถาม : แล้วเราอธิษฐานได้ไหมคะ ?
ตอบ : อธิษฐานได้ แต่ได้อย่างอธิษฐานไหม ? ทำเลยดีกว่า อาตมาเองช่วงปฏิบัติหนัก ๆ ต้องไปเรียนวิชาทหาร เวลาไม่มีจริง ๆ ตีห้าตื่น กว่าจะได้นอนก็ ๓ ทุ่ม ถึง ๔ ทุ่มปลุก กว่าจะได้นอนอีกทีก็ตี ๒ วนอย่างนี้ไปทุกวัน แต่ด้วยความที่ภาวนาจนชิน ถึงเวลาก็ต้องลุกขึ้นมาภาวนา ถึงจะอดนอนก็ยอม ต้องหาเวลาของตัวเองให้ได้

เถรี 26-09-2013 18:04

ถาม : ถ้ามีวัดที่พรมน้ำมนต์เป็นพระบรมสารีริกธาตุ ?
ตอบ : ถ้าวัดไหนพรมน้ำมนต์เป็นพระบรมสารีริกธาตุก็อย่าไปตื่นเต้น จากประสบการณ์ของอาตมาเอง พอทำพระบรมสารีริกธาตุตกพื้นก็หายวับไปทันที เทวดาท่านรักษา ท่านก็เอาของท่านไป ประเภทถึงเวลาพรมแล้วตกเกลื่อนพื้นเป็นไปได้ไหมเล่า ? ไปดูสักครั้งหนึ่ง หรือไม่ก็ท่านพรมน้ำมนต์ที่ไหนแล้วไปดู ท่านจะทำท่าอย่างนี้ (พรมแบบคว่ำมือแล้วเขย่า) พรมท่าอื่นไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะโปรยพระบรมสารีริกธาตุไม่ได้

ถาม : แล้วมาจากไหนละคะ ?
ตอบ : ในกำมือ สังเกตไหมว่าพรมสักพักจะเปลี่ยนมือ หมดกำแล้วก็ต้องกำใหม่ ถามว่ากำอย่างไรเราถึงไม่เห็น จะเห็นได้อย่างไร ก็ผ้าคลุมอยู่

ถาม : เห็นเขาบอกว่าตกเต็มพื้นเลย
ตอบ : นั่นแหละ..แล้วลองคิดดูว่าพระบรมสารีริกธาตุจะเสด็จมาให้คนเหยียบเยอะขนาดนั้นเลยหรือ ? แค่เอาปัญญาตรองดูก็รู้แล้วว่าไม่จริง

เถรี 26-09-2013 18:06

ถาม : พระที่สวดพระอภิธรรมในงานหลวงปู่สมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศ ทำไมสวดไม่เหมือนงานทั่วไป ?
ตอบ : เป็นพระพิธีธรรมท่านสวดกัน แต่ละวันจะสวดพวกสังคหะ สหัสสะนัย พุทธภาษิตต่าง ๆ

ถาม : แล้วถ้าไปฟังแล้วไม่รู้เรื่องจะได้บุญไหม ?
ตอบ : ก็ได้บุญตรงที่ฟังด้วยความเคารพ ขนาดค้างคาวเขาฟังไม่รู้เรื่องยังไปเกิดเป็นเทวดาเลย

หมายเหตุ : http://www.youtube.com/watch?v=eKfSLGUVb9g พระพิธีธรรม ทำนองหลวง ณ วัดสระเกศ

เถรี 26-09-2013 18:13

ถาม : ผู้หญิงบางคนเวลาไปวัด มีเจตนาจะไปสึกพระ อย่างนี้จะมีผลอย่างไรคะ ?
ตอบ : ตบมือข้างเดียวดังที่ไหนเล่า ? ยกเว้นว่าพระท่านไปยื่นหน้าให้เขาตบ..! อาตมาเคยเจอแล้วตั้งแต่อยู่วัดท่าซุง ถามเขาตรง ๆ ว่านึกอย่างไรมาหาผัวในวัด เขาบอกว่า ถ้าบวชตั้งแต่ ๕ - ๖ พรรษาขึ้นไปก็มั่นใจได้ว่าไม่เป็นเอดส์..!

จำไม่ได้ว่าใคร เขาเขียนประวัติแล้วอาตมาไปอ่านเจอ เขาบอกว่าพ่อเขาเป็นมหาเปรียญ สึกมาแต่งงานกับแม่เขา ทุกมื้อที่กินข้าวแม่ต้องเอาสำรับไปประเคน เขาเคยชินมาอย่างนั้น

เถรี 26-09-2013 18:35

ถาม : ตอนไปยุโรป พระฉันอาหารแบบบุฟเฟ่ต์ ไม่ลำบากหรือครับ ?
ตอบ : ไม่ลำบากหรอก ก็แค่ไปเข้าแถวแล้วจิ้มเอา

ถาม : แล้วไม่ต้องประเคนหรือครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องประเคน เราจ่ายเงินให้เขาแล้ว เท่ากับเราเป็นเจ้าของเอง อาหารที่ต้องประเคนคือที่คนอื่นถวายให้

เถรี 26-09-2013 18:46

ถาม : พอจบปริญญาเอก ผมต้องเรียกว่า ด็อกเตอร์หลวงพี่ หรือหลวงพี่ด็อกเตอร์ครับ ?
ตอบ : โดยปกติพระจะใช้คำว่าด็อกเตอร์ห้อยท้ายไว้ อย่างเช่น พระครูวิลาศกาญจนธรรม , ดร. ทางพระถือว่าชื่อที่ในหลวงพระราชทานใหญ่ที่สุด

ปัจจุบันนี้ที่เรียน เห็นประโยชน์อยู่คือว่าได้ไปเป็นอาจารย์สอน แล้วไปคอยกระตุกหางพระนิสิตบางท่าน ให้รู้ว่าหางคุณยาวเกินไปแล้วนะ..!

เถรี 26-09-2013 18:54

ถาม : ควรจะเข้าห้องพระแล้วสวดมนต์มีรูปแบบ หรือแล้วแต่เราสบายใจถึงทำ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วถ้ามีรูปแบบเฉพาะไปเลยก็ดี เพราะกำลังใจของเราถ้ารู้ว่าเหลืองานอะไรอยู่ จะไม่คลายออกมา แต่ถ้ารู้ว่าหมดเมื่อไรจะคลายออกมาทันที บางทีก็ฟุ้งไปเลย ฉะนั้น..เอาเป็นรูปแบบแน่นอนไปเลยดีกว่า เหมือนอย่างกับเราตั้งเวลาไว้ กำลังใจถ้ารู้ว่ายังมีงานของใจอยู่ ก็ยังไปได้เรื่อย ๆ พอหมดงานเมื่อไรฟุ้งเมื่อนั้นแหละ

เถรี 28-09-2013 14:16

ถาม : บางที่เขาให้ฝึกกรรมฐานในกรงเสือกรงงู ?
ตอบ : นั่นไม่ใช่วิธีการที่ถูกต้อง การที่เราจะดูความกลัว ไม่จำเป็นที่จะต้องเอาเข้าไปเสี่ยงถึงขนาดนั้น เพราะอันตรายเกินไป อยากจะดูความกลัวของตัวเอง ที่ซึ่งน่ากลัวมีเยอะแยะไป เอาไปอยู่กับเสือกับงู ถ้าพลาดก็เดี้ยง..!

เถรี 28-09-2013 14:22

ถาม : ที่บอกว่าเข้าสมาธิแล้วถอยกำลังลงมาแล้วฟังธรรมะ ผมยังไม่เข้าใจครับว่าถอยยังอย่างไร ?
ตอบ : ถ้าฟังแล้วคิดได้ พิจารณาตรองตามไปได้ก็ไม่เป็นไร ถ้าคิดไม่ได้ พิจารณาตามไม่ได้แสดงว่ากำลังสมาธิสูงเกิน ต้องถอยกำลังลงมา

ถาม : ถอยอย่างไรครับ ?
ตอบ : ถ้าไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ก็ไปวิ่งสักรอบสองรอบ สมาธิที่แน่นเกินไปก็จะคลายลงมา

เถรี 28-09-2013 14:24

ถาม : ขณะที่เรานอน ยังคิดอยู่เรื่อย ?
ตอบ : สภาพจิตยังปรุงอยู่ แต่ว่าบางทีเราก็ไม่รู้ตัว

ถาม : พอเวลาฟุ้งระหว่างหลับ เรายังมีความคิดตลอดเวลา เราควรต้องหยุด ?
ตอบ : อยู่กับลมหายใจเข้าออก ถ้าคิดอยู่ก็แปลว่าหลุดไปจากลมหายใจแล้ว

เถรี 28-09-2013 19:29

พระอาจารย์กล่าวว่า "ศาสนาฮินดูหรือศาสนาพราหมณ์ สมัยก่อนเป็นศาสนาที่รุ่งเรืองมาก เข้าถึงผู้ปกครองทุกระดับชั้น แต่ไม่เคยยึดว่าจะต้องเป็นของตัวเอง ดูแค่ประเทศไทย ตั้งแต่สุโขทัยมาจนถึงบัดนี้ ศาสนาฮินดูเข้าถึงพระมหากษัตริย์ทุกระดับ แต่ศาสนาฮินดูไม่เคยขอให้พระมหากษัตริย์บังคับให้คนในประเทศไทยถือศาสนาฮินดูเลย"

เถรี 28-09-2013 19:36

ถาม : ถ้าเราไม่ได้บูชาวัตถุมงคล แต่นึกบูชาพระรัตนตรัย จะปลอดภัยเหมือนกันไหมครับ ?
ตอบ : ถ้ากำลังใจพอก็ได้

ถาม : กำลังใจพอนี่ต้องเท่าไรครับ ?
ตอบ : สามารถนึกถึงพระท่านได้ตลอดเวลา วัตถุมงคลทุกอย่างเกิดจากพระท่านสงเคราะห์ ถ้าเรานึกถึงพระได้เป็นปกติ ไม่ต้องมีวัตถุมงคลก็ได้ แต่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่าประมาทเกินไป ท่านยกตัวอย่างหลวงปู่ปานว่า หลวงปู่ปานท่านยังพกวัตถุมงคลของท่านเป็นปกติ แต่วันนั้นจะสรงน้ำ วัตถุมงคลอยู่ในกระเป๋าอังสะ ถอดอังสะเพื่อจะสรงน้ำ โดนเขาเล่นงานเสียล้มตึงเลย..!

ท่านบอกคนเรามีเวลาเผลอขาดสติได้ แต่ถ้าเราอาราธนาวัตถุมงคลป้องกัน พรหมเทวดาท่านไม่เผลอ ท่านรักษาให้ เพราะฉะนั้น..ถ้าคิดว่าเราสามารถภาวนาได้โดยไม่เผลอเลย ไม่ต้องมีวัตถุมงคลก็ได้ อาตมาเองสมัยก่อนก็ไม่พกเหมือนกัน พอไปเจอ ๒ - ๓ ครั้งก็รู้ว่าเรามีสิทธิ์เผลอได้ ขนาดพกแล้วยังโดนผีบีบคอเสียเกือบตาย สงสัยว่าทำไมวัตถุมงคลไม่ช่วย หลวงพ่อวัดท่าซุงบอกว่า "ก็แกไม่อาราธนา ท่านก็นั่งมอง ดูว่าใครจะวางเฉยได้มากกว่า" ในเมื่อไม่ขอให้ท่านช่วยท่านก็นั่งมองเฉย ๆ


ถาม : อย่างนี้ต้องอาราธนา ทุกเช้าและทุกกลางคืน ?
ตอบ : จะเอาให้แน่ก็อาราธนาเช้าเย็น อาราธนาตอนเช้าเผื่อเวลากลางวัน อาราธนาตอนเย็นเผื่อเวลากลางคืน

ถาม : ถ้าอาราธนาแล้วไม่พกติดตัว ?
ตอบ : อาราธนาอย่างนั้นก็ต้องนึกถึงพระตลอด ถ้าพกติดตัวอาราธนาครั้งเดียวก็พอ

เถรี 01-10-2013 12:17

ถาม : หลวงพ่อฤๅษีฯ เคยปลุกเสกตะกรุดเมไหมครับ ?
ตอบ : ไม่เคย..ท่านมีแต่จารให้ไม่กี่ดอก

ถาม : มีคนบอกครับว่าหลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านปลุกเสก
ตอบ : ใครบอกว่าหลวงพ่อทำขนาดปลุกเสก ไม่ต้องไปฟังเขาเลย ในชีวิตอาตมาเห็นท่านจารอยู่ ๒ ครั้งเอง ถ้ารวมกับที่ท่านเล่าตอนทำให้เด็กโดนไสยศาสตร์ที่สมุทรสาครด้วยก็ ๓ ครั้ง แล้ว ๓ ครั้งนั่นเป็นของอาตมาไป ๓ ดอก

วันรุ่งขึ้นตอนเช้ามืดกำลังทำกรรมฐานอยู่ ท่านก็มายื่นพานใส่ตะกรุดให้ บอกว่าแหวนจักรพรรดิก็มี ลูกแก้วมณีรัตนะก็มี ยังจะเอาของอย่างนี้อีก ท้ายสุดก็เลยต้องเอาพานดอกไม้ธูปเทียนไปกราบขอขมาท่าน สรุปว่าเป็นความโง่ของอาตมาเองที่ใช้ของอื่นไม่เป็น แสดงว่าของอื่นมีอานุภาพเหมือนกันนั่นแหละ แต่ตอนนั้นอยากได้แต่ตะกรุด..!

เถรี 01-10-2013 12:25

ถาม : พระที่แจกตอนไปกฐินที่ภาคใต้ครั้งก่อน ชื่อพระอะไรหรือคะ ?
ตอบ : ไม่รู้เหมือนกัน ไม่ค่อยได้ตั้งชื่อพระกับใครเขา เดี๋ยวปีหน้า (๒๕๕๗) จะไปใต้อีกรอบ ทิ้งไปนานเดี๋ยวโบสถ์ไม่เสร็จ นาน ๆ ลงไปกินข้าวปักษ์ใต้ทีหนึ่งก็ตื่นเต้นดีเหมือนกัน พวกเรานอนกันสบาย ไม่รู้ว่าทหารทั้งกองร้อยเขาลาดตระเวนกันทั้งคืน เขากลัวแขกบ้านแขกเมืองจะเป็นอันตราย พวกเราไม่รู้เรื่องอะไรเลย เห็นทหารถือปืนก็วิ่งไปขอถ่ายรูป

พระรุ่นที่ลงปักษ์ใต้นั่นตั้งใจทำเป็นมหาอุดนะ ถ้าอยากรู้ว่าเหนียวจริงหรือเปล่าให้ไปลองยิงดู เพราะว่าลงปักษ์ใต้ไม่รู้ว่าจะโดนปืนหรือโดนระเบิด จำเป็นขึ้นมาก็ต้องทำ ปกติแล้วหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านไม่ให้ทำมหาอุด ท่านบอกว่าสายของเราที่พอดีไม่มี ส่วนใหญ่จะเกิน ขืนทำมหาอุดถ้าไม่ไปเป็นโจรก็เอาไปรังแกคนอื่นเขา..!

เถรี 01-10-2013 12:30

ถาม : ฝันว่าได้คุยกับท่าน ท่านบอกว่า ช่วงนี้ไม่ค่อยได้แผ่เมตตา ให้มาเอาตะกรุดหนังเสือของหลวงพ่อ ไม่รู้คิดมากไปหรือเปล่าก็ไม่รู้ ?
ตอบ : เสียดาย..ฝันเร็วไปหน่อย ถ้าฝันช้ากว่านี้น่าจะมีให้

พวกตะกรุดหนังเสือ ทำเมื่อไรพวกอนุรักษ์ก็มองตาเขียวเมื่อนั้น ทั้ง ๆ ที่เสือก็ตายไปแล้ว ฟื้นไม่ได้สักหน่อย แล้วที่ได้มาก็ไม่ได้มาจากอะไรหรอก พวกป่าไม้เพิ่งจับมา คดีจบแล้วแล้วเขาก็เอาของกลางมาถวายไว้อาตมาเองไม่มีอารมณ์จะไปนั่งหลังเสือหรอก เลยคิดว่าเก็บไว้ทำตะกรุดดีกว่า

เถรี 01-10-2013 12:38

ถาม : การที่เกิดซาโตริ คือ ศีลสมาธิพอใช้ได้แล้ว ก็เลยทำให้เกิดปัญญาขึ้นมาใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ก็ประมาณนั้นแหละ

ถาม : ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ได้เกิดจากการพิจารณาสิคะ ?
ตอบ : ก็ต้องใช้คำว่าคิดได้ จะคิดอย่างไรก็แล้วแต่ ถือว่าเป็นการพิจารณาเหมือนกัน ก็คือเกิดความเข้าใจขึ้นมา เพราะฉะนั้น..บางคนอาจจะเกิดทีเดียวได้มรรคได้ผลไปเลย บางคนก็ได้เป็นลำดับ ๆ ไป ตามกำลังใจของตัว

ถาม : ปกติเวลาพิจารณาแล้วไม่ค่อยได้อะไร หมายถึงตอนพิจารณาแล้วไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่จะมาได้อีกทีตอนที่ไม่ได้พิจารณา บางทีก็อยู่เฉย ๆ บางทีก็อยู่ในสมาธิ อย่างนี้เน้นเรื่องสมาธิเป็นหลัก ไม่เน้นพิจารณาน่าจะได้เร็วกว่าหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : พิจารณาไปเรื่อย ๆ ถ้าตอนพิจารณากำลังยังไม่พอ ก็จะมาส่งผลให้หลังจากนั้นแล้ว ลองคิดดูซิว่า ถ้าเราไม่ได้พิจารณามาก่อน แล้วเราจะเอาต้นทุนที่ไหนมาเข้าใจได้ ?

ถาม : อย่างถ้าจะเกาะบันไดขั้นแรกก่อน แต่เวลาพิจารณาจะทำตามหนังสือของหลวงพ่อฤๅษีฯ ซึ่งท่านก็จะบอกยันปลายทุกที การที่พิจารณาตามอย่างนั้นจะเป็นการทำเกินหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ไม่เกิน..พอถึงเวลาได้ก็ได้ตามกำลังของเรา ส่วนเราจะพิจารณาขนาดไหนเป็นเรื่องของเราเอง พระพุทธเจ้าเทศน์ทุกครั้งท่านตั้งใจให้คนฟังเป็นพระอรหันต์ แล้วเป็นกันทุกคนไหมเล่า ? ก็ได้กันไปตามกำลังของตน


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 05:13


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว