กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๔ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=2637)

เถรี 01-05-2011 09:59

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๔
 
ถาม : เวลากำลังใจตก เราจะรวบรวมกำลังใจที่มีให้กลับมาอย่างไร ?
ตอบ : รีบวิ่งไปหาลมหายใจเข้าออกก่อนเลย ถ้าหากลมหายใจเข้าออกทรงตัว ความหมอง ความน้อยใจ เสียใจ หรือกำลังใจที่ตกลงไปจะคืนมา หลังจากที่คืนมาก็พยายามรั้งเอาไว้ด้วยสมาธิ แต่ถ้าหลุดเมื่อไรก็ไปอีก

ดังนั้น..อันดับแรก วิ่งเข้าไปหาเครื่องช่วยชีวิตเราก่อน ก็คือ ลมหายใจเข้าออก

เถรี 01-05-2011 11:36

พระอาจารย์กล่าวว่า "สมเด็จพระมหาธีราจารย์ วัดชนะสงคราม ท่านเป็นเจ้าคณะใหญ่หนกลาง ปกครอง ๖ ภาคด้วยกัน ก็คือภาค ๑, ๒, ๓, ๑๓, ๑๔, ๑๕ ท่านเป็นมะเร็งอยู่ครึ่งค่อนปี เวลาเจ็บปวดทนไม่ไหวก็ต้องอาศัยกำลังสมาธิบ้าง พิจารณาร่างกายบ้างเพื่อจะได้ลืมความเจ็บปวดตรงนั้น ก็เลยตัดร่างกายได้

สมัยก่อนหลวงพ่อไสว (พระเทพวิสุทธิเมธี วัดอนงคาราม) ท่านก็เป็นมะเร็งเหมือนกัน แต่ท่านเป็นพระนักวิชาการอย่างเดียวเลย ให้เทศน์ได้ ให้สอนได้ แต่เรื่องการปฏิบัติพื้นฐานท่านมีน้อย

ท่านเป็นเพื่อนร่วมวงน้ำปลาพริกป่นของหลวงพ่อวัดท่าซุง พูดง่าย ๆ ก็คือ "ถึงไม่เคยรับประทานสุกร ก็เคยเห็นสุกรมาบ้าง" เวลาป่วยขึ้นมาจึงวิ่งเข้าหาสมาธิ ยังดีได้ไปเป็นพรหมชั้นที่ ๗

การเจ็บไข้ได้ป่วยสำหรับนักปฏิบัติแล้ว จะได้เปรียบกว่าคนอื่นเขา เวลาเจ็บปวดมาก ๆ เราก็มีอานาปานสติไว้เป็นที่หลบ เจ็บมากขึ้นมาก็เห็นชัดเลยว่า ร่างกายไม่ใช่ของเรา สั่งการไม่ได้ แต่ส่วนใหญ่กลับไปกลัวเจ็บกลัวป่วยกัน"

เถรี 01-05-2011 11:43

"อาตมานี้ช่วงสองสามเดือนนี้ไม่ค่อยป่วย ชักเบื่อ ๆ เหมือนขาดอะไรไปบางอย่าง เป็นมาลาเรียมาตั้งแต่ปี ๒๕๒๔ ตอนนี้ครบ ๓๐ ปีเต็มพอดี อาการเพิ่งจะคลาย แสดงว่ากรรมที่ทำไว้หนักมาก

๓๐ ปีเท่ากับเกินครึ่งชีวิตของอาตมาแล้ว..ใช่ไหม ? อาตมาเป็นมาลาเรียตอนอายุ ๒๒ ปี เริ่มมาได้ยาที่ถูกกับโรคตอนอายุ ๕๒ ปี ตอนแรกก็ว่า ลูกศิษย์หลวงพ่อแต่ละคนก็นิสัยพอ ๆ กัน ทำไมเล่นแต่อาตมาคนเดียว คนอื่นเขาไม่เป็นกัน ? แต่ปรากฏว่าหลวงพี่สุรจิตรผ่าตัดเส้นเลือดหัวใจ หลวงพี่ประทีปตอนนี้เป็นมะเร็งอยู่ ส่วนอาตมาผ่อนส่งก็ดีแล้ว จ่ายรวดเดียวไม่ไหวหรอก อย่างหลวงตาวัชรชัยก็รับประทานสิบแปดล้อไปทั้งคัน..!

เคยมานั่งคิดว่าแต่ละคนก็แสบพอ ๆ กัน ทำไมจึงมาเล่นอาตมาอยู่คนเดียว ตอนนี้รู้แล้ว เขาต้องการเก็บไว้นานหน่อย ก็เลยให้ค่อย ๆ ผ่อน อาตมาตั้งใจว่าวันไหนนั่งไม่ค่อยติด เริ่มหลังค่อมก็ไปดีกว่า เพราะท่านั่งไม่เท่แล้ว"

เถรี 01-05-2011 12:05

1 Attachment(s)
พระอาจารย์เล่าถึงตอนหนึ่งในสามก๊กว่า "ยอดขุนทัพระดับสุมาอี้เผชิญหน้ากับขงเบ้ง ขงเบ้งบอกว่า "ท่านจะรบกับเราตัวต่อตัวหรือรบด้วยพยุหะก็ได้ทั้งสิ้น" ทำไมสุมาอี้จึงรบด้วยพยุหะ ? น่าจะดวลเดี่ยวกับขงเบ้งให้หมดเรื่องหมดราวไปเลย

เราเคยได้ยินว่าขงเบ้งออกรบไหม ? ไม่เคยเลย แต่ความจริงขงเบ้งนั้นต้องระดับสุดยอดวิทยายุทธอย่างแน่นอน มีหลักฐานอยู่ตอนเดียวที่พวกเราลืมสังเกต เป็นตอนที่เล่าปี่ไปเชิญตัวขงเบ้งที่กระท่อมถึงสามครั้ง พอเล่าปี่เข้าไปในกระท่อมน้อย เห็นที่ข้างฝามีอาวุธทุกชนิด ได้รับการดูแลรักษาไว้เป็นอย่างดี ถ้าคนใช้อาวุธไม่เป็นจะมีไว้ทำไม ? ยอดขุนพลระดับสุมาอี้ไม่ยอมรบด้วย แสดงว่าฝีมือขงเบ้งต้องเป็นที่เลื่องระบือ แต่ในหนังสือไม่ได้กล่าวถึงเลย ส่วนใหญ่เราจึงคิดว่า ขงเบ้งนั้นเป็นแค่กุนซือจอมเจ้าเล่ห์ ที่ไหนได้..นำทัพออกรบเองทุกครั้ง ถ้าไม่ใช่ยอดฝีมือใครจะกล้าออกรบเอง...

ใครที่อ่านภูผามหานที จะมีตอนตำนานแห่งผู้กล้าและตอนปาฏิหาริย์แห่งผู้กล้า ตอนตำนานแห่งผู้กล้า พระเอกเอาตัวเลขมาคิดเป็นค่ายกล เสร็จแล้วเอาค่ายกลไปช่วยในการรบได้ เป็นลักษณะของตัวเลขที่รวมจากด้านไหนก็จะได้คำตอบเท่ากันหมด ขงเบ้งก็ตั้งค่ายกล ๘ ทิศที่ใช้ในลักษณะเดียวกัน ส่วนที่เอาไปเล่นงานสุมาอี้นั้นเป็นค่ายกลอสรพิษ แต่เติมปีกเข้าไป สุมาอี้ไม่เคยเห็น ทหารที่ส่งเข้าไปทำลายพยุหะค่ายกลจึงโดนรวบซะเกลี้ยง..!

ถ้าอยากรู้ว่าคนจีนมียอดอัจฉริยะเยอะขนาดไหน ไปซื้อหนังสือ The Genius of China ต้นกำเนิด ๑๐๐ สิ่งแรกของโลก มาอ่านดู แม้กระทั่งเครื่องมือวัดแผ่นดินไหว เขาก็คิดได้ตั้งแต่สมัยนั้นแล้ว"


เถรี 01-05-2011 15:57

พระอาจารย์เล่าว่า "ประสบการณ์เกี่ยวกับวัตถุมงคลทั้งหมดที่เคยพบมา ในส่วนที่อาตมามั่นใจมากที่สุด คือ ธงมหาพิชัยสงครามของหลวงพ่อวัดท่าซุง เพราะสมัยนั้นอยู่ชายแดนที่ตาพระยา หลวงพ่อเมตตาไปมอบธงมหาพิชัยสงครามให้ทหารที่อยู่แนวหน้า

จริง ๆ แล้ว ธงมหาพิชัยสงครามเป็นธงนำทัพตั้งแต่สมัยพระร่วง อานุภาพนั้นผืนเดียวคุ้มได้ทั้งฐาน สำหรับอาตมาเป็นของมงคลอย่างเดียวที่ติดตัวอยู่ในช่วงนั้น

ปกติแล้วกำลังพลจะผลัดเปลี่ยนกันฐานละสี่เดือน เป็น ๑ ฐานแนวหน้า ๒ ฐานสนับสนุน แต่ละฐานจะหมุนเวียนกัน แต่อาตมาไปติดอยู่ที่ฐานหน้า ตาพระยา ๕-๖ เดือน เพราะมีการปะทะกันอยู่ทุกวัน ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนกำลังได้ ในช่วงที่การรบติดพันอยู่ ถ้าเราเคลื่อนย้ายกำลังหรือถอนกำลังเพื่อให้พวกเราเข้ามาแทน ถ้าฝ่ายตรงข้ามเบียดเข้ามาจะอันตรายมาก

ช่วงนั้นที่นนหมากมุ่นนั้น เขาตีฝ่าแนวเข้ามาได้ ปะทะกันหนัก เสียชีวิตไปสามร้อยกว่าศพ ห้าเดือนกว่าที่อยู่แนวหน้า มีการปะทะใหญ่ ๆ เล็ก ๆ ๒๖ ครั้ง สูญเสียเพื่อนร่วมสนามไป มีร้อยเอกหนึ่งนาย ร้อยตรีหนึ่งนาย นายสิบแปดนาย ที่เหลือเป็นพลทหารอีก ๒๐ กว่านาย

ถามว่าเรื่องใหญ่ขนาดนี้ทำไมไม่มีข่าว ? สมัยนั้นถ้าหากว่าการรบเราไม่เสียพื้นที่ เขาถือว่าขอกันกิน..! จะไปรู้อีกทีก็ตอนงานพระราชทานเพลิงศพที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ส่วนใหญ่ปีละประมาณ ๔๐๐-๕๐๐ กว่าศพ แต่ของทหารเราจะรู้ว่าเสียไปกี่ศพ เพราะทุกครั้งที่เพื่อนตาย เขาจะหักเบี้ยเลี้ยงเพื่อเอาไปช่วยงานศพเพื่อน

การปะทะ ๒๖ ครั้งนั้น ทุกครั้งเกิดเหตุอัศจรรย์ แคล้วคลาดจากอันตรายได้อย่างเหลือเชื่อ บางครั้งตกอยู่ในกลางวงล้อมของเขา กระสุนมาเป็นห่าฝนเลย แต่ด้วยความมั่นใจในวัตถุมงคลหลวงพ่อ โดยเฉพาะท่านบอกว่า ใช้วัตถุมงคลของท่านจะกลัวไม่ได้ ถ้าด้านไหนกระสุนมาหนักที่สุด ให้ฝ่าออกด้านนั้น"

เถรี 01-05-2011 16:07

"เป็นอะไรที่ชอบมาก เพราะถูกกิเลส อาตมาพอได้ยินเสียงปืนแล้วอยากวิ่งใส่ทันที..!

ครั้งที่หนักที่สุด โดนทหารญวนเฮงสัมริน บอมบ์ด้วยปืนใหญ่ ๓ กระบอก เป็นระยะเวลาประมาณ ๑๕ นาที หมู่ปืนใหญ่ที่มีความคล่องตัวมาก ๆ ประมาณ ๓ วินาทีจะยิงได้นัดหนึ่ง แล้วนาทีหนึ่งจะยิงได้กี่นัด และนี่สามกระบอกรวมกัน เฉลี่ยแล้ววันนั้นโดนไปประมาณ ๔๐๐ นัดเห็นจะได้

ถามว่าปืนใหญ่อันตรายแค่ไหน ? รัศมีฉกรรจ์ ๕๐๐ เมตร รัศมีฉกรรจ์คือโดนแล้วตายทันที ผตน. (ผู้ตรวจการหน้า) ที่เก่ง ๆ นี่ เขาสั่งการปืนใหญ่ไม่เกินสามนัดจะลงกลางเป้าแน่นอน เขาบอกให้ลดระยะหรือให้เพิ่มระยะ ไปซ้ายเท่าไร ขวาเท่าไร แล้วจะลงกลางเป้าพอดี

ตอนนั้นกระสุนปืนใหญ่บอมบ์มาขนาดนั้น อย่าว่าแต่ลงฐานเลย แค่ข้ามฐานก็ยังไม่ข้าม เหมือนกับชนกำแพงตกลงข้างหน้าฐานหมด แต่แผ่นดินไหวเป็นไกวเปลเลย และเบิร์ม (บังเกอร์ทหาร) ทรุดลง ความรู้สึกของอาตมาตอนนั้นไม่ได้กลัวเลย ทั้ง ๆ ที่ เพื่อน ๆ คว้าข้าวคว้าของเผ่นกันอุตลุด ที่อาตมาไม่กลัวเพราะว่าเชื่อมั่นในวัตถุมงคลของหลวงพ่อว่า ผืนเดียวคุ้มได้ทั้งฐาน ของอยู่ในกระเป๋าเสื้อของเราแล้วทำไมจะคุ้มเราไม่ได้"

เถรี 01-05-2011 19:26

"นั่นเป็นครั้งที่หนักที่สุด รองลงมาอีกสองสามครั้ง ช่วงที่อยู่ชายแดนนั้น อาตมารู้สึกสงสารกำลังพลเพราะว่าเสบียงทหารแย่จริง ๆ อาหารหลักคือปลาทูเค็ม และปลาทูเค็มที่เขาส่งมาจะบางเป็นกระดาษเลย เขาเอาใส่เข่งแล้ววางทับ ๆ กันไป ตัวข้างล่างแบนเป็นกระดาษ ถึงเวลาจะกินทีต้องบีบมะนาวใส่แล้วเอาช้อนขูด ๆ ให้เนื้อฟูขึ้นมา แล้วค่อยกินได้

เห็นทหารกินแล้วสงสาร จึงคุยกันว่า เราไปหาอาหารสดมากันดีไหม ? เขาถามว่าจะทำอย่างไร ? อาตมาบอกว่า วิ่งเข้าไปเอาที่อรัญประเทศ ระยะทาง ๕๐ กว่ากิโลเมตร ถ้าพวกเราตกลงกันได้ ข้าจะไปเอง..!

ตอนช่วงนั้นรถเสบียงจะโดนปล้นทุกวัน ถ้าไม่บ้าพอก็ไม่มีใครกล้าไป ตกลงกันว่า หักเบี้ยเลี้ยงคนละ ๑๑ บาทต่อวัน เพื่อไปซื้ออาหารสดมาประกอบเลี้ยงกำลังพล วิ่งเข้าวิ่งออกอยู่ทุกสามวัน วันร้ายคืนร้าย ระหว่างที่วิ่งกลับ บรรทุกเสบียงมาเต็มคัน ตรงระหว่างรอยต่อของร้อยสามกับร้อยสอง จะเป็นช่วงว่างพอดี ทหารเขมรมาแอบซุ่มอยู่ พวกเราก็ไม่รู้ เพราะสุดเขตตรวจการของทั้งสองฝ่ายพอดี เขาแอบเจาะเข้ามา

พอพวกเราผ่าน เขาก็เล่นด้วยอาร์พีจี อาร์พีจีตอนนั้นมีสองประเภท คือ อาร์พีจี ๒ จะเก่าหน่อย และอาร์พีจี ๗ จะใหม่หน่อย อาร์พีจีเป็นเครื่องยิงจรวดต่อสู้รถถังโดยเฉพาะ

อาร์พีจีมีจุดอ่อนอยู่อย่างหนึ่ง เวลายิงเสียงจะดังก่อน เสียงดังแว้ดมาก่อนค่อยส่งลูกออกไป ตอนนั้นพลขับคือ จ่าสิบเอกสมชัย สะอิ้งทอง ไม่รู้ว่าจ่าแกกระทืบเบรกท่าไหน รถหยุดกึ้กเลย อาร์พีจีตกตูมลงข้างหน้ารถ ห่างไม่ถึงสิบเมตร แรงปะทะขนาดนั้นเล่นเอาพวกเราหงายหลังติดเบาะ บอกไม่ถูกว่าหนักแค่ไหน รู้แต่ว่าตับไตไส้พุงแทบจะพุ่งออกทางปาก..!"

เถรี 01-05-2011 19:58

"ไม่รู้ว่าจ่าสมชัยเปลี่ยนเกียร์ท่าไหน รถกระโดดออกจากที่เหมือนกับโดนจับโยนไป อาร์พีจีตูมที่สองก็ลงตรงที่รถจอดพอดี ถ้าช้าไปหน่อยเดียวนี่เละแน่ ทีนี้จ่าสมชัยเหยียบคันเร่งไม่ฟังเสียง ปืนเล็กกลก็ยิงไล่มา อาร์พีจีก็ตามมา พอดีทางเรามีหน่วยเคลื่อนที่เร็ว เป็นรถ รยบ. ๑/๔ ตัน ถ้าเป็นสมัยนี้เรียก จี๊ปเล็ก จะติดปืนกลเอ็ม. ๖๐ บนหลังคา ที่พวกเราเรียกกันง่าย ๆ ว่า สิงห์ทะเลทราย

พอมาถึงก็ยิงกราดกันไม่ต้องเลี้ยงเลย กระสุนหนึ่งสายร้อยนัดหมดภายในเวลาไม่ถึงนาที พลบรรจุแบกมาคนละสามสาย สามคนก็เก้าสาย หมดภายในเวลาไม่กี่นาที ยิงกันกระจายอยู่ตรงนั้น พอหนีกลับไปถึงกองร้อย ก็ลงมาถามว่า "จ่าสมชัย มีอะไรดี ?" จ่าสมชัยงัดจากคอมาให้ดูพวงเบ้อเริ่ม "ไม่รู้องค์ไหนช่วยว่ะ..!"

แต่ที่ชัดเจนที่สุดก็คือ รยบ. ๒ ๑/๒ ตัน นี่ภาษาทหารเขาเรียกอย่างนั้น คือ รถยนต์บรรทุกขนาดสองตันครึ่ง แต่ว่าภาษาชาวบ้านเรียก ยีเอ็มซี ยีเอ็มซีคันนั้นมีธงมหาพิชัยสงครามติดอยู่ตั้งแต่สมัยไหนไม่รู้ ผืนเก่าจนไม่เป็นสีแดงแล้ว ออกไปทางสีขาวมากกว่า ถามว่าจ่าไปเอาที่ไหนมาติด ? เขาก็บอกว่า "ผมไม่รู้เหมือนกันครับ ตั้งแต่เบิกมาจากตอนยานยนต์ก็มีติดคารถมาแล้ว"

ลองคิดดูว่า อาร์พีจียิงไม่ถูกไม่ว่า ปืนเล็กกลกราดมาขนาดนั้นน่าจะถูกบ้าง ก็ไม่ถูกสักนัดหนึ่ง ตอนหลังสิบเอกบุญยูร ทรัพย์อุปการ เป็นรุ่นน้อง จบจากศูนย์ราบมา เขาเอารถคันนี้วิ่งไปช่วยหมู่ปืนเล็กของสิบเอกอภิชาติ ที่ไปโดนเขาล้อมยิงทางด้านเนิน ๔๒ เนิน ๔๒ เป็นภาษาทหาร คือความสูงของเนินนั้น สูง ๔๒ เมตร

เมื่อโดนเขาล้อมยิงอยู่ ทหารของฝ่ายตรงข้ามมีเยอะ หมู่บุญยูรยืมรถของจ่าสมชัยคันนี้ขับฝ่าเข้าไปกลางดงกระสุนปืนเลย ต้องบอกว่าใจถึงใช้ได้ เพื่อน ๆ เห็นรถมาก็พุ่งหลาวขึ้นยีเอ็มซีกัน ฝ่าออกมาได้โดยที่กระสุนแม้แต่นัดเดียวก็ไม่ถูกรถ แต่มีพลทหารคนหนึ่งชื่อ วรรณะ ใสรังกา เป็นคนโคราช ได้รับบาดเจ็บ พลฯ วรรณะบาดเจ็บเพราะตอนพุ่งหลาวขึ้นรถเท้าโด่ขึ้นมา โดนข้อเท้าไปนัดหนึ่ง จึงโชคดี..ได้ผ่านศึกชั้นหนึ่งไป..!"

เถรี 01-05-2011 20:07

"สมัยก่อนพวกเราอยู่ชายแดน ใครบาดเจ็บถือว่าโชคดีนะ บาดเจ็บน้อยได้ชั้นสอง พ่อแม่ได้รักษาฟรี บาดเจ็บมากได้ชั้นหนึ่ง รักษาพ่อแม่ลูกเมียได้หมดบ้านเลย เป็นสวัสดิการที่ตอบแทนให้ทหารที่ออกรบ แต่ถ้าเขาบอกว่าสามหมื่นก็แปลว่าตายแล้ว พอตายแล้วสายใจไทยจ่ายให้ก่อนสามหมื่นบาท หลังจากนั้นก็ไปตามจากองค์การทหารผ่านศึก

ดังนั้น..อาตมาเองมั่นใจในธงมหาพิชัยสงครามของหลวงพ่อเป็นพิเศษ โดยเฉพาะที่ชอบที่สุด คือ ยิงออก นิสัยแบบนี้ค่อนข้างจะบวม ๆ ไม่ค่อยเหมือนชาวบ้านเขา คือ ปืนที่ยิงออกเสียงดัง ได้ยินแล้วมันในอารมณ์ ถ้ายิงไม่ออกเลยนี่ไม่สนุก ชอบใจของหลวงพ่อที่ยิงออกแต่ไม่ถูก โดยเฉพาะที่ท่านบอกว่า ถ้าเสียงปืนด้านไหนแน่นที่สุด ให้ฝ่าออกทางด้านนั้น

ตอนที่อยู่ชายแดนนั้น รู้แน่ ๆ คือ อาตมาพกอยู่หนึ่งผืน แล้วก็รถยีเอ็มซีของจ่าสมชัยติดรถอยู่หนึ่งผืน ที่ปลอดภัยมาหลายต่อหลายครั้งด้วยกัน ส่วนหนึ่งก็คือธงพิชัยสงครามที่ติดอยู่กับรถ เพราะนั่งหน้ารถเป็นเป้าแน่นอนอยู่แล้ว ถ้าเขายิงเขาจะยิงพลขับหรือไม่ก็คนคุ้มกันก่อน ทีนี้ทหารคนคุ้มกันไม่มีใครกล้าไป เนื่องจากว่าออกไปมีสิทธิ์ตายได้ทุกวัน อาตมาก็ต้องไปเอง

อยู่แนวหน้าห้าเดือนกว่า ปะทะใหญ่ ๆ เล็ก ๆ ๒๖ ครั้ง ยังปลอดภัยจนทุกวันนี้ จึงยืนยันได้ว่า ถ้าวัตถุมงคลสายหลวงพ่อฤๅษีด้วยกันแล้ว ที่มีประสบการณ์มากที่สุดในการสู้รบคือธงมหาพิชัยสงคราม"

เถรี 02-05-2011 00:34

"ในฐานะที่เคยเป็นทหารมาก่อน เคยออกรบอยู่แนวหน้ามาก่อน จึงเข้าใจความรู้สึกของทหารทุกคน อยู่แนวหน้ามาปีกว่า มีคนไปเยี่ยมแค่สี่ครั้ง ทั้งสี่ครั้งไม่เคยได้เห็นหน้าคนเยี่ยมเลย เพราะจะมีคำสั่งให้ออกไปบล็อกพื้นที่เพื่อป้องกันอันตรายไม่ให้เกิดแก่ผู้ที่มาเยี่ยมเรา กลับมาแล้วจึงจะได้เห็นว่า มีของที่แนวหลังอุตส่าห์จัดส่งไปให้พวกเรา ก็เอามาแจกจ่ายกัน

ส่วนใหญ่จุดยุทธศาสตร์สำคัญจะเป็นยอดเขา ถ้าฝ่ายตรงข้ามยึดได้เราจะเสียเปรียบ มีอยู่ช่วงหนึ่งเข้าเวรอยู่บนยอดเขา มีรุ่นน้องคือ สิบตรีสุรสิทธิ์ ด่านบางภูมิ ตอนนี้ท่านเป็นจ่าสิบเอกอาวุโส อยู่ที่จังหวัดตาก ตอนนั้นก็อยู่เวรกันอยู่สองคน ก็คือจะมีนายด่านกับลูกน้องผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกัน

หมู่สุรสิทธิ์ชี้มือไปไกลลิบเลย ชี้ไปที่ตัวเมืองตาพระยา มีแสงมีสี โดยเฉพาะไฟทางหลวง เขาบอกว่า "พี่..พวกนั้นเขาจะรู้ไหมว่า ในขณะที่เราลำบากกันแทบตาย แล้วพวกเขาสบายกันอย่างนั้น" ก็ได้บอกไปว่า "เขาจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม นี่เป็นหน้าที่ซึ่งเราต้องทำอยู่แล้ว"

แต่ตอนที่ตอบเขาไปนั้น รู้สึกว่าคอหอยตัน เพราะว่าขณะที่พวกเรามาลำบากกันแทบล้มประดาตาย กอดปืนยืนหนาวทั้งง่วง ทั้งหิว ทั้งเหนื่อย พวกเขากลับอยู่กับแสงสี อยู่กับความสนุก ถ้าไม่ใช่กำลังใจที่คิดว่า เราเป็นทหารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เราเป็นรั้วของชาติ มีหน้าที่จะต้องดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยของประเทศชาติ เพื่อประเทศชาติบ้านเมืองของเราสงบสุข สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์จะได้ตั้งมั่นอยู่ได้

ถ้าไม่มีกำลังใจตรงจุดนี้ คิดว่าคงจะคิดเตลิดเปิดเปิงเหมือนกัน แต่คราวนี้ตระหนักว่า นั่นเป็นหน้าที่ของเรา เราต้องทำหน้าที่นั้นให้ดีที่สุด ถึงจะมีคนเห็นหรือไม่มีคนเห็นก็ตาม อย่างที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตรัสว่า ให้ปิดทองหลังพระ ถ้าหากปิดไปนาน ๆ ทองล้นมาข้างหน้า คนเขาก็จะเห็นเอง"

เถรี 02-05-2011 00:41

"จากความรู้สึกที่ตัวเองเจอมา จึงสามารถเข้าใจได้ว่า ทหารตำรวจที่อยู่แนวหน้าทุกคนมีความรู้สึกอย่างไร โดยเฉพาะตอนที่มีคนไปเยี่ยมจะดีใจเป็นอย่างมาก สิ่งหนึ่งที่เป็นเครื่องสนับสนุนกำลังใจในสมัยนั้นก็คือ จดหมายจากแนวหลัง

ถ้ามีจดหมายไป ก็ชะเง้อคอมองหาว่าจะมีของเราหรือเปล่า ? บางคนรู้ว่าไม่มีญาติเลย แต่ก็มีจดหมายมา พอถึงเวลาแอบไปดู ปรากฏว่าเขาเขียนจดหมายถึงตัวเอง จะว่าน่าสงสารก็น่าสงสาร จะว่าน่าขำก็น่าขำ แต่เวลาที่คนอื่นได้จดหมายแล้วดีใจเพราะได้ข่าวจากทางบ้าน ส่วนตัวเองไม่มี เป็นอะไรที่รู้สึกว่าเศร้ามาก ด้วยความที่รับผิดชอบต่อหน้าที่ ก็เลยทำให้ทุกคนสามารถที่จะยืนหยัดอยู่ได้ จนกระทั่งเปลี่ยนเวร ผลัดให้กองพลอื่นขึ้นไปรับผิดชอบหน้าที่แทนพวกเราบ้าง

เมื่อเป็นดังนั้น จึงอยากจะบอกกับทหารตำรวจที่อยู่แนวหน้าทุกคนว่า ในฐานะที่อาตมภาพบวชเป็นพระสงฆ์แล้ว เปลี่ยนจากทหารของทางโลกมาเป็นธรรมเสนา คือทหารในทางธรรม แต่ก็ยังระลึกถึงความดีของทหารหาญทุกคน ที่เสียสละเพื่อประเทศชาติ เพื่อความสงบสุขของประชาชน เพื่อในหลวงที่พวกเรารัก ดังนั้น..จึงขอโอกาสนี้อาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย มีพระพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ และหลวงปู่หลวงพ่อที่ทุกท่านยึดมั่นเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ

ขอได้โปรดดลบันดาลอภิบาลรักษา ให้ทุกท่านมีความปลอดภัยในที่ทุกสถาน ในกาลทุกเมื่อ แม้ว่าประสงค์จำนงหมายสิ่งใดที่ไม่เกินวิสัยแล้ว ก็ขอให้สิ่งที่ท่านทั้งหลายปรารถนานั้นจงสำเร็จทุกประการ โดยเฉพาะให้ทุกท่านปลอดภัย ได้กลับบ้าน ไปอยู่กับครอบครัวของตนโดยถ้วนหน้ากันทุกท่าน ทุกคนเทอญ

ขอยืนยันว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ออกจากกำลังใจจริงของตน ทุกวันนี้ที่สวดมนต์ทำวัตรปฏิบัติกรรมฐานอยู่ ก็อธิษฐานขอให้ทุกท่านที่ช่วยดูแลปกปักรักษาประเทศชาติของเรา มีความสุขความเจริญมีความปลอดภัยอยู่ตลอดเวลา ขออำนวยอวยพรให้ทุกท่านมีความปลอดภัย มีความสมหวังในสิ่งที่ปรารถนาทุกคน"

เถรี 02-05-2011 00:55

พระอาจารย์กล่าวแก่คณะที่มีโครงการจะสร้างวัตถุมงคลและซีดีไปแจกจ่ายทหารที่ภาคใต้ว่า "งานพุทธาภิเษกคราวนี้ เราต้องคิดว่าไม่ใช่ธงมหาพิชัยสงคราม เพราะถ้าคิดว่าเป็นธงมหาพิชัยสงครามแล้วทำพิธีพุทธาภิเษก อานุภาพจะได้แค่หน่อยเดียว เนื่องจากว่าเป็นวิชาสืบสายพระร่วง แล้วมาหมดที่หลวงพ่อวัดท่าซุง พวกเราไม่ใช่ทายาทโดยสายโลหิต ก็เลยไม่สามารถที่จะรับช่วงได้

เพราะฉะนั้น..ต้องตั้งใจทำเป็นวัตถุมงคลแทน อย่าไปตั้งใจทำเป็นธงมหาพิชัยสงคราม แต่ความจริงก็ได้บอกคณะผู้จัดทำไปแล้ว แต่เขาคงถูกใจ อยากจะได้อย่างนี้กระมัง ?

ความจริงวัตถุมงคลที่เกี่ยวกับมหาอุตม์ทำง่ายนะ สมาธิทรงตัวแค่อุปจารฌานปลาย ๆ ยังไม่ถึงปฐมฌานก็ใช้ได้แล้ว พูดง่าย ๆ ว่า เวลาปลุกเสกแค่ขนลุกก็ใช้ได้แล้ว แต่วัตถุมงคลที่ทำยากที่สุด คือพวกเมตตา พวกให้ลาภ

เพราะทางด้านเมตตาต้องออกจากใจผู้ที่ทำพิธีจริง ๆ ส่วนเรื่องให้ลาภ คนทำต้องมีทานบารมีเก่ามาเหลือเฟือจริง ๆ เท่ากับแบ่งของตัวเองให้เขาไป แต่สายหลวงพ่อท่านสั่งไว้ในเรื่องมหาอุตม์ ท่านบอกว่า ส่วนใหญ่ลูกศิษย์สายท่านมีแต่ล้น ไม่มีพอดี ถ้ามีของดีเกินไปชนิดไม่มีจุดอ่อนเลย เดี๋ยวกลายเป็นโจรกันหมด ถึงไม่เป็นโจร ก็จะถูกเขายัดเยียดให้เป็น ลองนึกดูว่า คนที่ไม่ยอมลงให้ใครจะมีอนาคตเป็นอย่างไร"

เถรี 02-05-2011 02:45

พระอาจารย์กล่าวเมื่อคณะผู้จัดทำรูปเหมือนท้าวมหาราชทั้ง ๔ พระองค์ มาปรึกษาว่า จะทำอย่างไรกับท่านที่โอนเงินไม่ทัน "เรื่องของระเบียบ ถ้าเราตรงไปตรงมาก็จะดี แต่ถ้ามีการผ่อนผันก็จะต้องผ่อนกันไปเรื่อย ๆ"

เถรี 02-05-2011 03:00

ถาม : เขาอธิษฐานขอปรารถนาเป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ
ตอบ : ขอได้ อธิษฐานใครก็อธิษฐานได้ สำคัญตรงที่ทำให้ได้อย่างอธิษฐานต่างหาก..!

เถรี 02-05-2011 11:26

ถาม : ขอธรรมะที่ใช้ในการทำงาน
ตอบ : เบื้องต้นของการทำงานต้องมีอิทธิบาท ๔ คือ ยินดีและพอใจที่จะทำ ๑ ตั้งหน้าตั้งตาทำ ๑ กำลังใจปักมั่นอยู่กับงาน ๑ ไตร่ตรองทบทวนอยู่เสมอว่าทำไปถึงไหนแล้ว ๑

ส่วนข้อที่สอง ต้องมีความอดทนอดกลั้น ตรงนี้เป็นธรรมะหลักของพระพุทธศาสนาเลย พระพุทธเจ้าเริ่มโอวาทปาฏิโมกข์ก็ขึ้นด้วยขันติ การกระทบกระทั่งกันในการทำงาน ต้องมีเป็นปกติอยู่แล้ว

ประการที่สาม รับผิดชอบงานในหน้าที่เราให้ดีที่สุด นอกเหนือจากงานของเราแล้วอย่าไปยุ่งกับใคร โดยเฉพาะแต่ละคนจะมีความภูมิใจในงานของตนเองอยู่ ถ้าหากว่าเราไปยุ่งกับงานคนอื่นเมื่อไร จะกลายเป็นเราก้าวก่ายหน้าที่เขา แล้วเขาจะไม่ชอบใจ ฟังแล้วหนักใจไหม ?

ถาม : หนักใจมาก
ตอบ : หลายคนฝืนใจทำงาน ถ้าเราฝืนใจทำงาน ทำเท่าไรก็ไม่มีความสุข ให้คิดว่านี่เป็นงานที่เราต้องทำ และต้องทำให้ได้ดีด้วย แล้วทุ่มเททำไป มีภาษิตอยู่บทหนึ่งว่า ในเมื่อไม่สามารถที่จะแก้ไขศัตรูให้เป็นมิตรได้ เราก็เป็นมิตรกับศัตรูเสียเอง เพราะฉะนั้น..ถึงงานจะแย่แค่ไหน ไม่ชอบแค่ไหนก็ตาม แต่ถ้าเราจะทำงานนั้นให้สำเร็จ ก็จะกลายเป็นว่าเราต้องชอบงานนั้นไปเอง

ถ้าเราทำงานด้วยความชอบ ทุกอย่างจะเบาลง ไม่เครียด แต่ถ้าเราไปทำแบบฝืนใจทำจะเครียดอยู่ตลอดเวลา พอหลายวันเข้าเดี๋ยวสติแตก ต้องเข้าใจว่ามีงานทำดีกว่าไม่มี

ถาม : อย่างบางครั้งเราเข้ากับเขาไม่ได้
ตอบ : ได้ยินก็เหมือนว่าไม่ได้ยิน ถ้าได้ยินทุกเรื่องก็เครียดอีกเหมือนกัน เพราะเราได้ยินแล้วจัดการกับความคิดตัวเองไม่ได้ มีแต่จะไปนึกคิดปรุงแต่งแล้วตัวเองก็เครียดเพิ่มเรื่อย ๆ ต้องไปนึกถึงเรื่องสามก๊กที่เล่าปี่บอกว่า คนทำโง่ไม่เป็น เป็นใหญ่ไม่ได้

เขาว่าอะไรมาก็เรื่องของเขา ถ้าเขาเหนื่อยเขาก็เลิกไปเอง อาตมาโดนเขาประชุมสงฆ์ด่าท่ามกลางชาวบ้าน อาตมาก็เป็นคนถือไมค์เดินไปส่งให้ทีละคน "ใครมีอะไรจะด่าอีก นิมนต์ครับ" จนกระทั่งเขาไม่มีปัญญาจะด่าแล้ว ปรากฏว่าพระลูกศิษย์ท่านโกรธแทน อาตมาบอกว่า ไม่ต้องไปโกรธหรอก ปล่อยเขา ใครทำใครได้อยู่แล้ว เรื่องที่เขาพูดกันเราก็รู้อยู่ว่าไม่เป็นความจริง เราโกรธไปจะมีประโยชน์อะไร

เดินถือไมค์ถามทีละคนเลย "มีใครต้องการพูดอีกไหม ?" จนกระทั่งทุกวันนี้พวกเขายังสงสัยว่าอาจารย์เล็กโกรธไม่เป็นหรือ ? โกรธเป็นเหมือนกัน เพียงแต่ว่าพวกเอ็งยังมีความสามารถไม่พอเท่านั้น ถ้ามีความสามารถพอต้องทำให้ข้าโกรธได้..!

เถรี 03-05-2011 23:47

สมัยที่อยู่วัดท่าซุงก็มีคนมาด่าต่อหน้า แต่เขาไม่รู้จักอาตมา อาตมาจึงช่วยเขาด่าตัวเองด้วย เขาไปฟังข่าวลือมาว่า พระเล็กเป็นคนที่ใช้ไม่ได้ ชอบทะเลาะกับชาวบ้าน สร้างความเสื่อมเสียให้กับวัดท่าซุงมาก อาตมาก็บอกว่าใช่ เป็นคนที่แย่ที่สุด ตั้งแต่บวชมาสร้างความเดือดร้อนให้กับทางวัดมาโดยตลอด ช่วยเขาซ้ำไปเรื่อย จนกระทั่งตอนหลังเขามารู้ว่าเป็นอาตมาเอง ก็เลยทำหน้าประหลาด ๆ

คนเรามีมุมมองของเขาเอง และมีความเชื่ออย่างนั้นเสียแล้ว ในเมื่อเป็นดังนั้น โอกาสที่เราจะไปแก้เขาให้กลับเป็นดีก็ยาก อธิบายไปก็เสียเวลาเปล่า ๆ ก็เลยช่วยเขาด่าด้วย เป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้ว ถ้าตอนหลังเขารู้ เขาก็จะรู้เองว่าอะไรเป็นอะไร

มุมมองแต่ละคนเห็นไม่เหมือนกัน เราไปเจอเรื่องเดียวกันมา ก็ยังเล่าไปคนละอย่างเลย เพราะแต่ละมุมที่เราเห็นไม่เหมือนกัน เพียงแต่ว่าเนื้อหาจะออกมาแนวเดียวกันเท่านั้น

ในสายตาของเราตอนนั้นก็คือรักษาของสงฆ์ ป้องกันไม่ให้ชาวบ้านขโมยปลาหน้าวัด แต่ในสายตาของชาวบ้านก็คือ เราเป็นนักบวชที่ใช้ไม่ได้ เขาหากินมาตลอดทั้งชีวิต ทำไมเราจะต้องไปขับไล่เขาด้วย มองไปคนละมุมกัน

เถรี 03-05-2011 23:54

ถาม : ถ้าเรามีงานแล้วเราแก้ไม่ได้ เป็นงานที่เร่งด่วน จะให้ทำอย่างไรคะ ?
ตอบ : มีด้วยหรือ งานที่แก้ไม่ได้ ปัญหาที่แก้ไม่ได้ ?

ปัญหานั้นมีอยู่สองอย่าง คือ ปัญหาที่แก้ได้ กับปัญหาที่แก้ไม่ได้ ของเราเป็นอย่างไหน ? ถ้าปัญหาที่แก้ได้ก็แก้ไป ถ้าปัญหาที่แก้ไม่ได้ก็ไม่ใช่ปัญหาหรอก เพราะว่าแก้ไม่ได้ ถ้าเป็นอย่างนั้นเราจะเสียเวลาไปแก้ทำไม ?

ถ้าแก้ไม่ได้ก็แปลว่าไม่ใช่ปัญหา เพราะไม่มีใครแก้ได้อยู่แล้ว ไม่มีงานอะไรที่ไม่มีอุปสรรค เพียงแต่อุปสรรคจะมากหรือน้อย ราบรื่นหรือไม่เท่านั้น

ถาม : ขอบารมีพระช่วยได้ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ขอได้ แต่ถ้าเกินวิสัยท่านก็นั่งมอง เพราะบางอย่างในอดีตเราก็เกเรไว้มาก ท่านจะสงเคราะห์ในส่วนที่สงเคราะห์ได้เท่านั้น

ถาม : การทำบุญบ่อย ๆ จะช่วยได้บ้างไหม ?
ตอบ : บุญส่วนบุญ กรรมส่วนกรรม แต่ถ้าสามารถสร้างบุญต่อเนื่องไปได้เรื่อย ๆ ระยะหนึ่ง กระแสบุญเข้ามาเราก็จะรับแต่ส่วนที่ดี ถามว่าช่วยได้ไหม ? จริง ๆ แล้วหักกลบลบล้างกันไม่ได้หรอก

ถึงเวลาแล้วพอส่วนที่ดีมาสนอง เราก็มักจะลืม ไปเพลิดเพลินเจริญใจอยู่ ลืมว่าถ้าหมดกระแสตรงนี้ลงเมื่อไร เราก็จะรับเละอีกเหมือนเดิม

มีหลายต่อหลายครั้งเวลาไปกราบพระผู้ใหญ่ ท่านบอกว่าถ้ามีปัญหาในการงานอะไรไม่ไหวก็บอกกันบ้างนะ อาตมาก็คิดแบบเด็กอวดดีว่า "ถ้าผมไม่ไหว หลวงพ่อก็ช่วยผมไม่ได้หรอก..!"

ทุกวันนี้บางทีเจ้านายท่านก็บ่น ท่านบ่นในทำนองประชดว่า "คุณไม่มาหาผม ผมก็รู้ว่าคุณมีงานเยอะ ผมดีใจเสียอีกที่คุณไม่มา ไม่ใช่ว่ามาหาตลอดแต่ไม่ได้ทำงาน" ส่วนใหญ่เจ้านายที่กำลังใจต่ำ ๆ จะอยู่ในลักษณะอยากให้ลูกน้องแวะเวียนไปหาอยู่เรื่อย ๆ เจ้านายที่กำลังใจสูง ๆ มีความเข้าใจในการทำงานของลูกน้องไม่ค่อยจะมี

แต่ถ้าเขาสังเกตจะเห็นว่างานของอาตมาไม่เคยมีปัญหาขึ้นไปรบกวนผู้ใหญ่เลย ทุกอย่างจะจบลงแค่นี้ ทำได้หรือทำไม่ได้ก็จะจบลงแค่นี้ ถ้าแบกไม่ไหว อาตมาก็ยินดีให้งานนั้นทับตายไปเอง

เถรี 03-05-2011 23:57

ถาม : งานเกี่ยวกับผลประโยชน์ของประชาชน ถ้าเรามีอุปสรรคในการทำงาน จะทำอย่างไร ?
ตอบ : ขอบารมีในหลวงสงเคราะห์ จุดธูปปักฝากแม่ธรณีไปเลย เดี๋ยวท่านก็ส่งกำลังมาช่วยเอง แต่ถ้าทำบ่อย ๆ ก็จะมีเสียงด่าตามมาด้วย..!

ถาม : น้องเขาฝากถามมาว่า หลักปฏิบัติเพื่อความสำเร็จเป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ คืออย่างไรคะ ?
ตอบ : บอกเขาไปว่า ถ้าไม่รู้ก็ไม่ต้องเป็น ทะลึ่งอยากจะเป็น แต่ไม่ศึกษาคุณสมบัติเอาไว้เลย แล้วจะไปเป็นทำไม..?

ถาม : ลูกเขาที่ขอมาจากพระ ต้องปฏิบัติกับเขาอย่างไรคะ ?
ตอบ : ต้องดูกติกาของเขาด้วยจ้ะ ถ้าอย่างสมัยก่อน หลวงพ่อท่านห้ามไว้ว่า ถ้าลูกพระอย่าตีหัว จะเจตนาหรือไม่เจตนา ถ้าตีหัวเด็กจะป่วยโดยไม่มีสาเหตุ จนกว่าเราจะขอขมาพระก่อนถึงจะหายป่วย

เถรี 04-05-2011 00:05

พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงนี้มีผงวิเศษของหลวงพ่อวัดท่าซุงที่เสกไตรมาส ลูกอมหลวงปู่ปาน ลูกอมหลวงปู่จง ลูกอมหลวงปู่พริ้ง วัดบางปะกอก ลูกอมแก้วสารพัดนึกหลวงปู่ดู่ ชานหมากหลวงปู่สี ชานหมากหลวงปู่ครูบาวงศ์ ชานหมากหลวงพ่อฤๅษี ลูกอมหลวงปู่ทิม

ถ้ามีโอกาสจะเอาของมารวม ๆ กันทำวัตถุมงคลสักรุ่นหนึ่ง รุ่นรวมครูบาอาจารย์ จริง ๆ แล้วขององค์เดียวก็พอเหลือเฟือ นี่กลัวไม่ขลัง เล่นซะครบเลย

ยังมีผงจินดามณีหลวงปู่บุญ หลวงปู่เพิ่ม ไล่มาจนถึงรุ่นหลวงปู่เจือ"

ถาม : ลูกอมเอาไว้ทำอะไรคะ ?
ตอบ : สมัยก่อน เวลาท่านทำผง พอทำเสร็จแล้วผงเหลือติดมือ ก็ปั้นเป็นลูกอม

ถาม : ก็จะมีแค่ลูกเดียว ?
ตอบ : ไม่ใช่หรอก พอทำแล้วคนอยากได้ก็ขอไปเรื่อย แบบเดียวกับประคำปราบหงสาวดี ของหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว

อาตมามีเบี้ยแก้ตัวครูของหลวงปู่เจืออยู่ด้วย ใหญ่กว่ากำปั้นเสียอีก ว่าจะเอาไปประมูล เป็นเบี้ยเปลือย ท่านจารยันต์ไว้ ให้เอาไว้ศึกษาแนวทาง จะได้ทำตามได้ ถ้าเป็นเบี้ยถักเราจะไม่เห็นตัวอย่าง

ถาม : ท่านศึกษายันต์ของเบี้ยแก้ครบแล้วหรือคะ ?
ตอบ : ศึกษาครบแล้ว แต่ว่าจะทำขลังได้เหมือนท่านหรือเปล่าก็อีกเรื่องหนึ่ง โดยเฉพาะต้องไปนั่งนับฟันเบี้ย ต้องเป็นหอยเบี้ยที่มีฟัน ๓๒ ซี่ถึงจะใช้ได้

เถรี 04-05-2011 00:09

พระอาจารย์กล่าวถึงท่านแม่ทั้งสามว่า "สมัยก่อนพ่อค่อนข้างจะดุ ลูก ๆ ก็จะติดแม่ ส่วนใหญ่จะติดแม่ใหญ่ ลูกหลวงพ่อร้อยละ ๙๐ มักจะเป็นลูกแม่ใหญ่ แต่การมีแม่หลายคนก็ดี นึกอยากไปบ้านไหนก็ไปได้

เป็นเรื่องของการสร้างบารมีที่อธิษฐานตามกันมา เราจะสังเกตว่า พอท่านเกิดเราก็ไปเกิดอยู่รวม ๆ กับท่านทุกที ต่อให้อยู่คนละทิศคนละทาง ท้ายสุดก็ต้องมาอยู่ที่เดียวกัน

ชาตินี้ท่านแม่ลงมาไม่ได้ เพราะเป็นชาติที่หลวงพ่อท่านต้องมาสร้างเนกขัมมบารมี ถ้าท่านแม่ลงมาหลวงพ่อจะไม่ได้บวช ท้ายสุดพอท่านแม่เผลอปล่อยชาติเดียว หลวงพ่อหนีไปพระนิพพานเลย ก่อนหน้านั้นตามอยู่ตลอด เผลอปล่อยมาชาติเดียวไปเฉยเลย..!"

เถรี 04-05-2011 01:36

ถาม : บางครั้งตอนหนูนั่งสมาธิมีอาการตัวโยก
ตอบ : เป็นเรื่องปกติจ้ะ กำลังจะขึ้นอนุบาลหนึ่งแล้ว เขาเรียกอาการปีติ อย่าไปสนใจและอย่าไปกลัว อย่าอยากให้หายและอย่าอยากให้เป็น เรามีหน้าที่ภาวนาไปเฉย ๆ จนกว่าจะก้าวข้ามไปเอง

ถ้าเราไปบังคับให้หยุดก็จะหยุดได้ แต่ว่าเราจะไม่ผ่าน ทำถึงตรงนี้เมื่อไรก็จะโยกเมื่อนั้น ต้องปล่อยให้เต็มที่ไปเลย ตึงตังโครมครามไปไม่นาน เดี๋ยวก็เลิกไปเอง

ถาม : เวลาฟังบทสวดมนต์ของเจ้าแม่กวนอิม จะมีน้ำตาไหล
ตอบ : อาการเดียวกัน บางทีก็โยก บางทีก็ขนลุก บางทีก็น้ำตาไหล บางทีก็ลอยไปทั้งตัว บางทีก็รู้สึกตัวพอง ตัวใหญ่ ตัวแตก ตัวระเบิด เหมือนกันหมดจ้ะ เพียงแต่เป็นอาการเริ่มต้นของตัวปีติ ถ้าเป็นนักปฏิบัติเขาบอกว่าจะขึ้นอนุบาลหนึ่งแล้

ถาม : หนูเป็นโรคภัยไข้เจ็บมานานแล้ว อยากรู้ว่าเมื่อไรเจ้ากรรมนายเวรจึงจะเลิกซะที ?
ตอบ : อีกหลายชาติ

ถาม : อดีตชาติหนูไปทำเขามาหรือคะ ?
ตอบ : ปาณาติบาตไว้มาก ถ้าไม่ทำก็ไม่ต้องรับกรรม ในเมื่อรับอยู่เต็ม ๆ ก็ไม่ต้องสงสัยหรอก เราต้องทำมาแน่ ๆ

ถาม : หนูเคยทำบุญตักบาตรให้เขาอยู่ เขาก็ไม่ยอมเลิกเสียที
ตอบ : ถ้ามีคนมาฆ่าเรา ถึงเวลาเขาใส่บาตรให้เรา แล้วเราจะเลิกโกรธไหม ?

เถรี 04-05-2011 01:40

ถาม : อย่างนี้ต้องทำอย่างไรจึงจะดีคะ ?
ตอบ : ให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนาไปเรื่อย มีโอกาสก็ปล่อยชีวิตสัตว์ที่เขาจะฆ่า ทำให้ต่อเนื่องยาวนานพอ เดี๋ยวก็ดีขึ้น

อาตมาปล่อยสัตว์มาจนนับตัวไม่ถ้วน เป็นเวลา ๒๕ ปีแล้ว ปล่อยทุกเดือนอย่างสม่ำเสมอด้วยนะ ปล่อยปลาครั้งหนึ่งก็นับตัวไม่ไหวเพราะเหมาหมดตลาดเลย โยมไม่ต้องทำถึงขนาดนี้หรอก ตัวสองตัวก็ได้ สัก ๕๐ ปีเดี๋ยวเขาก็อโหสิกรรมให้เอง..!

ถาม : อย่างหนูนั่งสมาธิคนเดียว นั่งได้ไหมคะ ? ไม่มีอาจารย์มาสอน ไม่มีใครพาไป
ตอบ : ถ้ารอให้อาจารย์สอนก็ไม่ต้องทำอะไรหรอก ต้องมีใจรักทำด้วยตัวเองก่อน

ถาม : เคยมีคนบอกว่า ถ้านั่งคนเดียว ออกไปแล้วเดี๋ยวไม่กลับ
ตอบ : คนบอกเคยนั่งไหม ? ถ้าไม่เคยนั่งก็ไม่ต้องไปเชื่อเขา ถ้าเขาเคยนั่งแล้วเป็นบ้า มาบอกเราก็น่าจะเชื่อได้

เถรี 04-05-2011 01:46

ความจริงที่โยมว่ามา ส่วนใหญ่ก็จะเจออย่างนั้น ก็คือเริ่มปฏิบัติก็จะมีผู้หวังดีแต่ประสงค์ร้ายมาให้ข้อมูลสารพัด นั่งกรรมฐานเดี๋ยวจะบ้าบ้าง ถ้าหลุดออกไปเดี๋ยวจะกลับไม่ได้บ้าง จะว่าไปแล้วนั่นก็เป็นการขัดขวางของมารอย่างหนึ่งเหมือนกัน เพราะพอเราได้ข้อมูลมาก็จะกลัว พอกลัวก็เลิกปฏิบัติ ก็ติดอยู่กับเขาต่อไป

ขอยืนยันว่า ในเรื่องการปฏิบัติ ถ้ากายในหลุดออกไปได้ ไม่มีใครที่จะไม่กลับ ไม่ต้องบังคับก็กลับเอง เพราะไม่มีอะไรที่เรารักมากไปกว่าร่างกายนี้อีกแล้ว ใครที่ฝึกมโนมยิทธิได้ ส่งใจไปพระนิพพาน จะเจอประสบการณ์นี้ประจำเลย ยังไม่ทันคิดจะลงก็ลงมาแล้ว กว่าจะรู้ตัวก็กองอยู่กับพื้นแล้ว ต้องตะกายขึ้นไปใหม่ทุกที

เพราะฉะนั้น..ไม่ต้องเสียเวลาไปห่วงหรอกว่าไปแล้วจะกลับไม่ได้ ส่วนที่จะต้องห่วงมากที่สุดคือ ทำอย่างไรจะไปให้ได้มากกว่า ถ้าคราวหน้าใครเขามาบอกว่า นั่งกรรมฐานแล้วจะบ้า ให้ถามว่าเขาเคยนั่งหรือยัง ? ถ้าเคยนั่งแล้วบ้าหรือยัง ? ถ้าเคยนั่งมาแล้วและบ้ามาแล้วถึงจะเชื่อได้ แต่ขณะเดียวกันถ้าคนบ้ามาบอก เราก็ไม่ควรที่จะเชื่อ เพราะสติเขาไม่สมบูรณ์

เป็นเรื่องปกติที่นักปฏิบัติจะต้องเจอ อาตมาจึงได้ยืนยันว่า ถ้าใครปฏิบัติไปแล้วยังไม่มีคนว่าเราบ้า ยังใช้ไม่ได้ อย่างน้อย ๆ ต้องมีใครสักคนว่าเราบ้าจนได้ การที่ทำอะไรต่างจากคนอื่นเขา เขาก็มักจะว่าบ้า แบบเดียวกับพ่อออกปะไล บ้านหนองบัว รู้นั่นเห็นนี่แล้วก็ไปเล่าให้คนอื่นฟัง เขาก็เรียก "ตาปะไลผีบ้า"

การต่างจากคนอื่น ถ้าเขาไม่เห็นว่าบ้าก็จะเห็นเป็นผู้วิเศษ ซึ่งไม่ได้เรื่องทั้งคู่ ถ้าเขาเห็นว่าเราเป็นผู้วิเศษ เขาก็มากวนไม่เลิก ถ้าเขาเห็นว่าเราบ้า เขาก็เลิกคบ สรุปแล้วโดนทั้งขึ้นทั้งล่อง

เถรี 04-05-2011 01:52

ถาม : ปกติเวลาปฏิบัติอานาปานสติ เผลอไปบังคับลม เลยเพี้ยนครับ
ตอบ : ก็อย่าไปทำให้เป็นปกติ ถ้าปกติชอบไปบังคับ เลิกปกติก็ไม่ต้องบังคับเอง

บางทีคุณอาจจะเข้าใจผิดก็ได้ เพราะการปฏิบัติไปถึงระดับหนึ่ง ถ้าอารมณ์เริ่มทรงตัว พอเราตั้งใจทำ อารมณ์ก็จะวิ่งไปที่จุดเคยชินเลย เหมือนกับเราบังคับลมหายใจ ถ้าไม่รู้สึกว่าเหนื่อย สามารถทรงตัวได้เป็นปกติ ขอให้รู้ว่านั่นไม่ใช่การบังคับลม แต่เป็นอารมณ์ใจที่ปฏิบัติแล้วเริ่มทรงตัวในระดับนั้น มีความคล่องตัวแล้ว ถึงเวลาแล้วก็เข้าถึงจุดนั้นได้เลย

เถรี 04-05-2011 01:59

ถาม : หนูสงสัยว่าจิตคนเรามีการบังคับให้เข้านอก ออกใน หรือบังคับให้อยู่กับที่ได้หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ได้

ถาม : ถ้าเป็นเมื่อก่อนหนูเข้าใจว่าบังคับไม่ได้
ตอบ : ความสามารถยังไม่พอ

ถาม : ก่อนหนูกินข้าวจะมีการพิจารณาก่อน อย่างอาหาเรปฏิกูลสัญญา ปฏิกูลก็คือสกปรก จำเป็นไหมว่าจะต้องพิจารณาว่าสกปรก ? เพราะว่าหนูถนัดพิจารณาเป็นธาตุมากกว่า แต่พระพุทธเจ้าก็ไม่เคยบอกให้พิจารณาอาหารว่าเป็นธาตุนี่คะ ?
ตอบ : กรรมฐานทุกกอง ถ้าทำถึงก็สามารถที่จะประยุกต์รวมกันได้ พระพุทธเจ้าท่านบอกแล้วแต่เรารวมไม่เป็นเอง

เถรี 04-05-2011 02:04

ถาม : อารมณ์การยึดมั่นถือมั่น แก้ยากมากเลยค่ะ
ตอบ : แก้ง่ายก็เป็นพระอรหันต์กันหมดแล้วสิ..!

ถาม : อารมณ์อยู่ตรงช่วงนี้ เหมือนเป็นจุดที่เราต้องแก้ กำลังเลาะไปเรื่อย ๆ ค่ะ
ตอบ : ทำต่อไป จนกว่าจะก้าวข้ามไปได้

ถาม : เวลาที่อยู่กับอารมณ์ปัจจุบันจริง ๆ รู้สึกว่าละความมีตัวตนไป ทำไมการที่เราอยู่กับปัจจุบันตรงนั้น แล้วผลออกมาอย่างนี้ ?
ตอบ : ถ้าอยู่กับปัจจุบันได้จริง ๆ จิตจะไม่ปรุงแต่ง จะว่าไปแล้วเป็นอารมณ์ที่เบาสบายที่สุด ถ้าหลุดไปในอดีตและอนาคตเมื่อไรก็แปลว่าเริ่มฟุ้งแล้ว

ถาม : ของหนูแค่นี้ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : อยู่กับลมหายใจเท่านั้นเอง ถ้าไม่รู้ลมหายใจก็แปลว่าไม่รู้ปัจจุบัน

เถรี 04-05-2011 21:51

ถาม : วิธีปฏิบัติทางลัด ?
ตอบ : ไม่มีทางลัด มีแต่ทางตรง ศีล สมาธิ ปัญญา สามอย่างเท่านั้น ตั้งใจทำจริงก็ได้ผล ไม่ทำจริงก็ไม่ได้ผล จำไว้ว่าจะลัดกี่ทางก็อ้อมทั้งนั้นแหละ ต้องตรงอย่างเดียว เกิดมาจนนับชาติไม่ถ้วน ปฏิบัติแค่นี้ยังจะใจร้อนอีก

เถรี 04-05-2011 21:53

ถาม : คำภาวนาระหว่างพุทโธกับนะโมพุทธายะ อย่างไหน..?
ตอบ : อยู่ที่เราถนัด ชอบอย่างไหนใช้อย่างนั้น

ถาม : อานุภาพของคาถาเล่าคะ ?
ตอบ : อยู่ที่กำลังใจเรา กำลังใจห่วยอานุภาพก็น้อย กำลังใจดี อานุภาพก็มาก

ถาม : มีคนบอกว่า คาถานะโมพุทธายะ พลังจะเยอะกว่า
ตอบ : คนที่บอกเขาทำได้หรือยัง ? คาถาขึ้นอยู่กับสมาธิของเรา ถ้าคนภาวนาพุทโธสมาธิสูงกว่า ก็จะมีผลมากกว่านะโมพุทธายะ

เถรี 04-05-2011 22:00

หลังจากที่พระอาจารย์สวดบังสุกุลเสร็จ ได้กล่าวว่า "พระพุทธเจ้าตรัสว่า สัตว์โลกเกิดเท่าไรก็ตายเท่านั้น แต่กว่าจะตายได้ก็ใช้ระยะเวลา โดยเฉพาะมนุษย์เรามีอายุหลายสิบปี

เด็กที่เกิดมาใช้เวลาอยู่ในท้องไม่เกินสิบเดือน ยกเว้นพวกที่นอนเพลิน อยู่ในท้อง ๑๒ เดือนก็เคยเจอมาแล้ว แต่มีอีกรายหนึ่งอยู่ในท้อง ๓๙ ปีกว่าจะคลอดออกมา กลายเป็นหินไปเลย แต่ถ้าเหลาจื้ออยู่ในท้องแม่ ๘๐ ปี แม่ยังสาวพริ้งเหมือนสาวอายุ ๑๖ แต่ลูกออกมาแก่ หนวดยาวลากพื้นเลย"


ถาม : เป็นความจริงหรือคะ ?
ตอบ : ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ ยกเว้นเรายังไม่เคยเจอ ถ้าเจอเมื่อไรก็จะเป็นไปได้เอง

ถาม : เหลาจื้อมีตัวตนจริง ๆ หรือคะ ?
ตอบ : ถ้าไม่มีแล้วเขาจะมาพูดถึงได้อย่างไร ? แล้วขงจื้อมีตัวตนไหม ? ขงจื้อเคยไปขอความรู้จากเหลาจื้อ

ไม่ว่าเหลาจื้อก็ตาม พระพุทธเจ้าก็ตาม หรือนักปราชญ์ทางด้านกรีก อย่างเพลโตหรือโซเครตีส เกิดไล่ ๆ กันหมด เหมือนกับโลกยุคนั้นท่านที่บำเพ็ญบารมีมาต่างคนต่างลงมาเกิด อยู่ในจุดที่ต้องสงเคราะห์คนหมู่มากเหมือนกัน เพียงแต่พระพุทธเจ้าทรงรู้ครบถ้วน จึงจบกิจเข้าพระนิพพานไปเลย คนอื่นรู้ไม่ครบก็ต้องแสวงหากันต่อไป

เถรี 04-05-2011 22:02

ถาม : อริยสัจ..มีอะไรเป็นสัญลักษณ์..?
ตอบ : คำว่าสัญลักษณ์ไม่มีหรอก อริยสัจเป็นการใช้ตัวปัญญาเห็น ไม่ใช่สายตาเห็น ในเมื่อตัวปัญญาเห็น ก็ขึ้นอยู่กับว่าปัญญาเรามีเท่าไร

ปัญญาจะเกิดขึ้นได้ต้องมีสมาธิทรงตัว สมาธิจะทรงตัวได้ต้องมีศีลบริสุทธิ์ ต้องไล่มาตั้งแต่ศีลเลย ให้รู้ว่าถ้าศีลไม่ทรงตัว ก็เป็นสัญลักษณ์บอกได้ว่าสมาธิไม่ดี ถ้าสมาธิไม่ดีก็เป็นสัญลักษณ์บอกได้ว่าปัญญาไม่พอ ดังนั้น..ถ้าปัญญาไม่พอการรู้เห็นรูปนามก็ไม่ชัดเจน การเห็นอริยสัจก็ยิ่งไม่ชัดเข้าไปใหญ่

เถรี 04-05-2011 22:05

ถาม : ก่อนนอนก็พิจารณาขันธ์ ๕ ตอนเช้ามืดฝันว่าพ่อตัวเองเหลือแค่หัว อยู่ดี ๆ ก็ลืมตาขึ้นมาเล่าว่าแม่ตายในน้ำเน่า แม่ก็ตายในฝันนะคะ เห็นแม่จมน้ำตาย น้องชายที่เสียไปแล้วงัดประตูขึ้นมาก็เจอแม่ แล้วเขาหัวเราะสนุกสนาน แต่ก่อนวันจะฝันบ่น ๆ ว่าอยากถูกหวย เกี่ยวกันไหม ?
ตอบ : แสดงว่าพิจารณาแล้วได้ผล ถ้าพิจารณาแล้วไม่ได้ผล ก็จะไม่เห็นอย่างนั้น พ่อเหลือแต่หัวก็เห็นชัด ๆ ว่า ขันธ์ ๕ นี้ไม่เที่ยง แทนที่จะมาทั้งตัวก็มาแค่นั้น แม่ก็ตาย น้องก็ตายด้วย แล้วเราตายไหม ? บอกแล้วว่า ตะเถวาหัง มะริสสามิ ท้ายสุดเราก็ตายเหมือนกัน

ถาม : ตีเป็นธรรมใช่ไหมคะ ?
ตอบ : เก่งมากเลย อุตส่าห์พิจารณาร่างกายก่อนนอน แต่ไม่รู้ว่าเกิดผลแล้ว

เถรี 04-05-2011 22:27

พระอาจารย์เล่าเรื่องพระวินัยที่เกี่ยวกับอาหารให้ฟังว่า "พระเขามีข้อห้ามอยู่ อันโตวุตถะ ห้ามหุงต้มเอง อันโตปักกะ ห้ามเก็บไว้เอง สามปักกะ ห้ามเก็บไว้ในที่อยู่ของตน"

ถาม : หุงต้มเองผิดพระวินัยเพราะเหตุอันใด ?
ตอบ : ถ้าหุงต้มเอง จะเลือกทำให้อร่อย สรุปว่าทำให้ตัดกิเลสไม่ได้

ถาม : ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องเสียเวลาในการปฏิบัติหรือครับ ?
ตอบ : มีส่วนทั้งนั้น แต่ที่แย่ที่สุดคือทำเองแล้วจะติดในรสอาหาร ห้ามเก็บไว้เองเพราะถ้าเก็บไว้เองเดี๋ยวก็ทำเอง ห้ามเก็บไว้ในที่อยู่ของตนเพราะเดี๋ยวก็แอบกิน โดนทุกรูปแบบ

เถรี 06-05-2011 08:34

ถาม : ที่จริงของในโลกนี้เป็นสมมติทั้งหมด ของที่ไม่เคยมีในโลกมาก่อนเลยนั้น ถ้ายังติดอยู่และคนนั้นมีกำลังใจสูงมาก ๆ จะสร้างขึ้นใหม่เลยได้หรือไม่ ?
ตอบ : ก็บอกอยู่ชัด ๆ แล้วว่ายังติดอยู่ ถ้ายังติดอยู่ก็ไปไหนไม่รอดหรอก เมื่อสร้าง "กรรม" ไว้ จะดีหรือชั่วก็ตาม สิ่งที่คุณ "สร้าง" ย่อมเกิดขึ้นมาสนองอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะกำลังใจสูงหรือต่ำก็ต้องได้รับทั้งนั้น

ถาม : เวลาทำสมาธิ แล้วฟุ้งเป็นภาพพระเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ดีหรือไม่ดีและควรทำอย่างไร ?
ตอบ : ถ้าจะเอากำลังใจมั่นคง ก็เป็นโทษ แต่ถ้าคิดว่าเป็นพุทธานุสติก็ไม่เป็นไร ใช้วิธีนี้สิ..เปลี่ยนเองเลย แทนที่จะรอให้ท่านเปลี่ยน เราก็เปลี่ยนเอง

พอปฏิบัติไปได้ระยะหนึ่ง ภาพพระก็จะเปลี่ยน ถ้าท่านเปลี่ยนเองแปลว่ากำลังใจเราทรงตัวแล้ว ถึงเวลาท่านมากี่แบบเราก็จำเอาไว้ แล้วเปลี่ยน ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ใส่หมายเลขไปเลย เป็นกีฬาสมาธิ ช่วยให้กำลังใจทรงตัวได้ดี

เถรี 06-05-2011 17:29

พระอาจารย์กล่าวถึงลุงหมอว่า "หนังสือของลุงหมอ (พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน) เป็นประโยชน์แก่คนในเว็บมาก แต่ว่าคนเข้าไปอ่านน้อย เพราะธรรมะชั้นสูงคนจะให้ความสนใจน้อยเป็นปกติอยู่แล้ว

เคยกราบเรียนถามหลวงพ่อวัดท่าซุงว่า "ทำไมหลักการปฏิบัติที่เป็นธรรมะชั้นสูง คนไม่ค่อยจะสนใจครับ ?" ท่านบอกว่า "คนเข้าร้านขายเพชร กับคนเข้าร้านขายของชำ อย่างไหนเยอะกว่ากันวะ ?" กราบเรียนท่านว่า "ร้านขายของชำครับ" ท่านบอกว่า "เออ..นั่นแหละ เขาไม่ค่อยซื้อเพชรกันหรอก"

แต่ที่เอาลงไว้เพราะเห็นประโยชน์จริง ๆ จึงให้โยมไปขออนุญาตลุงหมอและเอาลงเว็บของวัดไว้ ทยอยลงเรื่อย ๆ ถ้าลงทีเดียวคนจะไม่อ่านเลย ทยอยลงทีละน้อย ๆ วันละกระทู้สองกระทู้ เป็นประโยชน์มากสำหรับคนที่เขาตั้งใจปฏิบัติ จะได้ตรวจสอบตัวเองได้เลย ว่าตอนนี้อารมณ์ใจเป็นอย่างไร

ที่เห็นชัดเจนเลยก็คือ คุณหมอสมกับเป็นนักปฏิบัติจริง ๆ เพราะตอนนั้นท่านเป็นรองอธิบดีกรมตำรวจลำดับที่ ๕ มีสิทธิ์ที่จะคั่วตำแหน่งอธิบดี เพราะท่านอายุ ๕๕ เท่านั้น ยังมีอายุราชการอีกหลายปี แต่ท่านลาออกมาทำหน้าที่ของตัวเองเกือบจะ ๒๕ ปีเต็มแล้ว"

เถรี 06-05-2011 17:39

มีเสียงดนตรีขับร้องรำต่าง ๆ ในขบวนแห่นาค ดังผ่านบ้านวิริยบารมีไป พระอาจารย์จึงกล่าวกับโยมว่า "ปล่อยไปเถอะ ได้ยินก็ทำเป็นไม่ได้ยิน ถ้าเราไปให้ความสนใจก็จะเป็นโทษแก่ใจเราเอง ถ้าเราไม่ให้ความสนใจ เขาก็ทำอะไรเราไม่ได้หรอก

ต้องบอกว่าเขาชอบของเขาอย่างนั้น โยมลองสังเกตอย่างหนึ่งว่า พอมีพวกดนตรี พวกร้องรำเข้ามา เขาจะกระตือรือร้นคึกคักกัน สิ่งที่เข้าทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จะกระตุ้นปีติให้เกิดขึ้น เขาก็จะมีความสุขกันอยู่พักหนึ่ง แต่พอสิ่งกระตุ้นหมด เขาก็จะหมดความสุขไป เขาไม่รู้ว่าทำไมจึงมีความสุข และทำไมจึงหมดไป พวกนี้ก็เลยติดกินติดเที่ยวกัน เพราะทำไปแล้วรู้สึกตัวเองมีความสุข

แต่ความจริงก็คือ เป็นความสุขชั่วคราว แต่ถ้าเป็นเรื่องการปฏิบัติ ปีตินั้นเกิดขึ้นจากการปฏิบัติของเราเอง เกิดข้างใน ไม่ต้องอาศัยข้างนอกมากระตุ้น และปีติที่เกิดจากการปฏิบัติจะยั่งยืนมากกว่า ทีนี้ก็ขึ้นอยู่ที่เราว่าจะรักษาได้ต่อเนื่องหรือไม่ ?"

เถรี 06-05-2011 17:45

"การปฏิบัติพอข้ามปีติไปแล้วจะเป็นฌาน พอเป็นฌานใจก็จะนิ่ง แรก ๆ เราจะรู้สึกว่าการทำบุญเราอิ่มเอิบใจมากเลย เราอยากทำเต็มที่ทุกอย่าง แต่พอทำไปนาน ๆ แล้วรู้สึกเฉย เฉยนี่ไม่ใช่ว่ากำลังใจลดลง แต่เป็นเพราะกำลังใจเกินไปแล้ว เกินปีติไปเป็นฌานแล้ว

ให้เราสังเกตว่า เรายังทำบุญเป็นปกติหรือไม่ ? ถ้ายังทำเป็นปกติ แสดงว่าเป็นฌานในทานบารมี สูงกว่าตอนแรกเยอะเลย มีหลายคนมาปรารภว่า ทำไมตอนนี้ทำบุญแล้วไม่มีความสุขเหมือนเมื่อก่อน ก็เลยบอกว่า ให้สังเกตใจตนเองว่ายังอยากทำเป็นปกติไหม ? ถ้ายังอยากทำเป็นปกติ อย่างนั้นคุณทรงฌานในจาคานุสติแล้ว

บางทีเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้เราไม่ต้องรู้ก็ได้ วิธีที่ต้องรู้ ก็คือ ทำอย่างไรไม่ให้นิวรณ์ ๕ อย่าง ได้แก่ กามฉันทะ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจะ วิจิกิจฉา กินใจเราได้ แล้วก็พยายามสร้างกำลังใจของเรา ให้สติสมบูรณ์มากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยการภาวนา จนกระทั่งหลับและตื่นมีสติรู้เท่ากัน เพื่อป้องกันไม่ให้กิเลสกินเรา

หลับและตื่นรู้ตัวเท่ากัน นอนก็เหมือนไม่ได้นอน นอนก็รู้ตัวว่านอน หลับก็รู้ตัวว่าหลับ จะตื่นเมื่อไรก็สั่งตัวเองให้ตื่นได้ ถ้าทำอย่างนี้ได้ เราก็จะเริ่มสู้กิเลสได้แล้ว ถ้าหากไม่ถึงระดับนี้ ก็ยังโดนกิเลสตีอยู่เรื่อย"

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : เป็นเรื่องปกติ ค่อย ๆ ทำไป พระธรรมเป็นสมบัติที่พระพุทธเจ้ามอบให้ทุกคน เพียงแต่ใครจะรู้จักไขว่คว้ามาเท่านั้น คว้าไว้เร็วเท่าไรก็เป็นคุณแก่ตัวมากเท่านั้น ถ้ายังทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ อยู่ก็น่าเสียดายสำหรับเขา อาตมาเคยสรุปง่าย ๆ ว่า วางก่อนสบายก่อน

เถรี 08-05-2011 17:43

พระอาจารย์บอกว่า "วัตถุมงคลที่ใช้วัสดุมีราคา เช่น ทองคำ เทวดาที่รักษายิ่งต้องมีอานุภาพมาก นี่เป็นกฎตายตัวเลย ยิ่งมีราคาสูงเท่าไร เทวดาที่รักษาก็ยิ่งต้องมีอานุภาพเท่านั้น"

เถรี 08-05-2011 17:46

ถาม : แม่ชีที่เป็นข่าว..?
ตอบ : ไม่ต้องคิดอะไรมากมาย แม่ชีท่านเป็นพุทธภูมิ เวลาทำบุญอะไรก็อธิษฐานปรารถนาพระโพธิญาณทุกครั้ง เพราะฉะนั้น..คำสอนบางอย่างอาจจะไม่ตรงกับพระไตรปิฎก ตามวิสัยพระโพธิสัตว์ของท่าน

เถรี 08-05-2011 18:36

ถาม : พระของผมดีไหมครับ ? (เอาพระให้ดู)
ตอบ : องค์นี้ท่าพระจันทร์มีเอาไว้แหกตาคนที่ไม่รู้จักของ แต่หลวงพ่อโต วัดระฆัง ท่านให้พรไว้ว่า พระสมเด็จฯ ไม่ว่าจะเก่าจะใหม่ จะจริงจะปลอม ถ้านึกถึงท่านด้วยความเคารพ ท่านจะสงเคราะห์ให้มีอานุภาพเหมือนของจริงที่ท่านทำเอง เพราะฉะนั้น..คุณไม่ต้องกังวลหรอกว่าปลอมหรือไม่ปลอม นึกถึงท่านเป็นอันว่าใช้ได้

เรื่องของพระสมเด็จวัดระฆังที่ราคาไปไกลมากเลย ประการแรก พุทธานุภาพเชื่อถือว่าคุ้มครองได้จริง ในยุคนั้นท่านทำเองกับมือ แม้จะทำแจกก็ไม่ใช่เครื่องปั๊มแบบสมัยนี้ ก็เลยมีไม่มากพอแก่ความต้องการของคน

ประการที่สอง เป็นการฟอกเงินของนักการเมืองอย่างหนึ่ง นักการเมืองไปรับสินบนเขามา แล้วก็ไปบูชาพระ เสร็จแล้วก็เอาพระไปปล่อยต่อ กลายเป็นว่าเงินที่ตัวเองได้มา เป็นเงินที่ถูกต้องแล้ว เพราะว่าได้เอาพระเครื่องไปให้คนอื่นบูชา แล้วรับเงินมา จึงเป็นการปั่นราคาจนแพงลิบโลก

แต่หลวงปู่ท่านก็รู้จริง เวลาไปบิณฑบาตท่านก็เอาพระใส่ฝาบาตรไปแจกโยม โยมก็ทำท่าไม่อยากจะได้ ท่านบอกว่า "รับไว้หน่อยเถอะจ้ะ นานไปจะแพงมาก"

ประการสุดท้ายที่ทำให้พระเครื่องราคาแพงมาก ก็คือ เซียนพระ ถ้าทุกคนสังเกตจะเห็นว่า บรรดาเซียนพระในปัจจุบัน ส่วนหนึ่งก็คือบรรดานักเลงเก่า พอเข้ามาในวงการพระ ก็ยังมีนิสัยนักเลงอยู่ วันก่อนก็เพิ่งจะมีข่าวยิงเซียนพระท่าพระจันทร์ตายคาวัด เป็นวัดของพระครูวัชรินทร์ เพื่อนของอาตมาเองด้วย..!

เถรี 08-05-2011 18:51

มีนายทหารอากาศยศนาวาอากาศโทท่านหนึ่ง อยากได้พระสมเด็จวัดระฆังมาก พอดีมีเจ้าของจะปล่อย ราคาสมัยนั้นหกหมื่นบาทถือว่าแพงมาก เขาก็พยายามรวบรวมเงินได้หกหมื่นบาทแล้วก็ไปบูชาพระ เซียนแหกตาให้น่าเชื่อถือ ด้วยการพาไปรับพระที่เชียงใหม่ อ้างว่าเป็นของตกทอดมาจากบรรพบุรุษของคนขาย พอบูชาสมเด็จวัดระฆังได้มาก็แขวนคอกลับ

ตอนขากลับขับรถแหกโค้ง คนที่ขายพระสมเด็จวัดระฆังให้คอหักตาย ส่วนนายทหารอากาศท่านนั้นไม่เป็นอะไรเลย เขายกมือไหว้ท่วมหัวบอกว่า มีของดีไม่รู้จักรักษา เอามาปล่อยต่อ ตัวเองเลยต้องตาย แต่พอเอาไปเข้าตลาดพระ ใคร ๆ ก็ฟันธงเลยว่าปลอม ปลอมก็ปลอมเถอะ เพราะมีประสบการณ์มากับตัวเองแล้ว เขามั่นใจว่าของเขาแท้

มีพระอยู่แค่สององค์ในปัจจุบันนี้ที่จะใหม่จะเก่า จะจริงจะปลอม ถ้านึกถึงท่านด้วยความเคารพ ท่านจะสงเคราะห์ให้มีอานุภาพเหมือนของจริงอย่างที่ท่านทำเอง ก็คือ หลวงปู่โตวัดระฆัง กับหลวงปู่ปานวัดบางนมโค

พระท่านราคาแพงจนจับไม่ติดแล้ว ลูกหลานที่อยากได้ไว้ก็ไม่มีปัญญาจะไปบูชาหามาได้ ท่านก็เลยต้องสงเคราะห์ให้ เอาพระใหม่ ๆ มา นึกถึงท่านด้วยความเคารพก็ใช้ได้แล้ว


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 00:31


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว