กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๔ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=2786)

เถรี 08-07-2011 20:29

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๔
 
ถาม : เวลาที่นั่งภาวนาอยู่ ภาวนาไปด้วยจับลมไปด้วย แล้วรู้สึกเพลินไปกับการภาวนา พอรู้สึกตัวอีกทีก็เหลือแต่คำภาวนาอย่างเดียว อันนี้คือหลุดมาจากการจับลมแล้วหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : เกิดจากสองสาเหตุด้วยกันจ้ะ อย่างแรกก็คือกำลังใจเริ่มละเอียดขึ้น แต่คราวนี้สติตามไม่ทัน ก็เลยเหลือการรับรู้อยู่แค่อย่างเดียว
อย่างที่สองหยาบกว่าอีก ก็คือหลุดจากคำภาวนามา เหลือลมหายใจอยู่แค่ประการเดียวเท่านั้น สรุปง่าย ๆ ว่าทั้งสองอย่างสำคัญตรงสติ สติตามไม่ทันจะเกิดอาการนั้นขึ้น

ถาม : ขณะนั้นจิตว่าง ไม่ได้คิดอะไรนอกจากการภาวนา ?
ตอบ : เอาแค่นั้น จะทำอย่างไรก็ได้ ถ้าหากว่านิวรณ์กินใจไม่ได้ ถือว่ากำลังใจมีคุณภาพดีกว่าปกติ

ถาม : เวลานั่งนิ่ง ๆ แล้วมองอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งก็จะลืมไป สมมติมองกระจกเห็นหน้าตัวเอง ก็จะรู้สึกว่าไม่ใช่หน้าเรา เป็นอะไรก็ไม่รู้ที่ไม่ใช่อะไรเลยค่ะ พักหลังจะเป็นบ่อยขึ้นเรื่อย ๆ แล้วหนูก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไรกันแน่
ตอบ : จิตที่หยุดการปรุงแต่งเพราะสมาธิเริ่มทรงตัว ไม่ต้องรู้หรอกจ้ะ จริง ๆ แล้วสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เราดูว่าคุณภาพของจิตใจเป็นอย่างไรจึงจะสำคัญที่สุด ตอนช่วงนั้นนิวรณ์กินใจเราได้ไหม ? ถ้านิวรณ์กินใจเราไม่ได้ อย่างน้อย ๆ ก็เรียกว่า สภาพจิตสงัดจากสิ่งที่ไม่ดีชั่วครั้งชั่วคราว ถ้าทำให้สงัดจากสิ่งที่ไม่ดีได้นานขึ้น คุณภาพจิตใจของเราก็จะดีขึ้น

เพราะฉะนั้น..สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ อะไรที่เกิดขึ้น ไม่ต้องไปเสียเวลาไปตามคิดว่าคืออะไร แต่ว่าให้ดูว่าได้ประโยชน์อย่างไร

เถรี 08-07-2011 20:36

ถาม : หนูก็จะถามอยู่ค่ะ ว่ามีประโยชน์อะไรหรือเปล่า ? แล้วต้องพยายามทรงต่อไปหรือเปล่า ? หรือว่าไม่ต้อง ?
ตอบ : ถ้าหากว่าไม่ช่วยให้จิตใจสะอาดขึ้นก็ไม่ต้องไปใส่ใจ แต่ถ้าหากว่าทำแล้วสภาพจิตใจของเราสงบระงับจากนิวรณ์ ๕ ประการ จากราคะ โลภะ โทสะ โมหะ ชั่วคราวก็ทำได้

ถาม : ตอนป่วยจิตจะไประลึกถึงความตายเองโดยอัตโนมัติ แล้วจิตก็จะนิ่ง ไม่แกว่งเหมือนตอนปกติ แต่จะมีปัญหาตรงที่รู้สึกรำคาญทุกขเวทนาที่เกิดทางกายอยู่
ตอบ : ถ้ายังใส่ใจกับกายอยู่จะเป็นอย่างนั้น อยู่กับลมหายใจเข้าออกแล้วจะลืมไปเอง เพราะลมหายใจเข้าออกเป็นตัวระงับเวทนา

ถาม : มีปัญหาเกี่ยวกับพวกเสียงเพลง ซึ่งเราไม่ได้อยากจะฟังเลยแต่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ตอนได้ยินก็ยังไม่เป็นปัญหาค่ะ แต่ว่าหลังจากนั้นช่วงที่เราภาวนาไป เสียงเพลงจะคอยรบกวนอยู่ตลอดเลย ยิ่งจะเอาออกยิ่งเอาออกไม่ได้
ตอบ : ให้สังเกตว่าจะมาเฉพาะเพลงที่เราชอบ เพลงที่เราไม่ชอบจะไม่มาติดอยู่ในใจของเรา ถ้าไปดิ้นรนเพื่อตัดออกก็ยิ่งฟุ้งซ่าน

ถาม : เป็นการเปิดวนซ้ำเรื่อย ๆ แล้วจะคอยมา...
ตอบ : ใช่ แต่ว่าเป็นเพลงที่เราชอบ เพราะเพลงที่เราไม่เคยได้ยินมาเราจะไม่ใส่ใจ นั่นแสดงว่าสภาพจิตของเราปรุงแต่งในส่วนที่เราชอบเอาไว้ก่อน โดยการเอาสิ่งที่รับเข้าไปใหม่แต่เป็นส่วนที่ชอบนั่นแหละกลับมาฉายซ้ำ ถ้าเกิดว่าเผลอไปคิดตาม เราก็จะทิ้งความดีที่เราทำไว้ อันนี้ถือว่าอันตราย ต้องรีบสลัดออกไปไว ๆ แล้วมาอยู่กับลมหายใจเข้าออกใหม่

เถรี 08-07-2011 20:45

ถาม : พวกนี้เป็นเพลงการ์ตูนของเด็กที่เรารู้สึกรำคาญค่ะ แล้วเราก็พยายามสลัดก็ไม่ออกด้วย
ตอบ : ไม่ต้องไปสลัด กลับมาอยู่กับลมหายใจเข้าออกก็พอ

ถาม : ปกติเวลาภาวนาคาถาจะไปกับเพลงคล้าย ๆ กับจิตบันทึกว่าคาถาเป็นอย่างนี้ แล้วเพลงจะต้องต่อมาด้วยอย่างนี้ กลายไปเป็นเนื้อเดียวกันเลยค่ะ
ตอบ : ลองผสมผสานออกมาดูสิ เผื่อจะได้เพลงดังยอดนิยมใหม่ ๆ บ้าง

ถาม : หลังจากที่ท่านแนะนำให้คิดเสมอว่าตายเมื่อไรเราจะไปพระนิพพาน หนูก็ระลึกถึงเรื่อย ๆ แล้วหนูก็รู้สึกว่ากลัวตายลดลงไปเยอะ แต่มีครั้งหนึ่งหนูฝันว่าพี่ชายหนูตายกะทันหัน ตอนนั้นหนูก็ตกใจมาก กลัวว่าพี่ชายตอนนั้นใจเขาเป็นอย่างไร ถ้าเกิดขึ้นกับเราจะเป็นอย่างไร กลายเป็นว่าจากที่กลัวตาย ตอนนี้เลยกลัวตายแล้วไม่ได้ไปพระนิพพาน ความกลัวแบบนี้ถ้ามีเยอะก็ฟุ้งซ่านเหมือนกัน ต้องทำอย่างไรดีคะ ?
ตอบ : ไม่ต้องทำอะไรหรอกจ้ะ อย่าไปคิดว่าเราตายแล้วจะไปพระนิพพาน ฟังให้ดี ๆ นะ แต่ให้รู้ตัวอยู่เสมอว่าเราจะตาย ถ้าเราตายแล้วเราจะไปพระนิพพาน ต่างกันอยู่นิดหนึ่ง ไปคิดว่าตายแล้วจะไปพระนิพพาน บางทีก็ไม่ได้คิดหรอกว่าความตายมาถึงเราอยู่ตลอดเวลา

ถาม : อย่างกรณีที่ตายกะทันหันตอนนั้น โอกาสที่บุญจะมารวมตัว หรือโอกาสที่จะเกิดปัญญาช่วงนั้นพอดีนี่ก็ไม่มีเลยใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ทำให้มากเข้าไว้ เมื่อถึงวาระสิ่งทั้งหลายเหล่านี้จะเป็นไปเอง บังคับไม่ได้ ถ้ามัวแต่มานั่งกังวลอยู่ก็จะเสียเวลาปฏิบัติด้วย

ถาม : ปกติหนูก็จะระลึกถึงความตายของตัวเอง แต่ว่าบางครั้งก็คิดว่า ถ้าคนนั้นคนนี้ตายเราจะรู้สึกอย่างไรด้วย แต่ก็รู้สึกว่าเหมือนไปแช่งเขา
ตอบ : คิดถึงโดยเห็นตามสภาพความเป็นจริงว่าเขาหรือเราก็ตายเหมือนกัน ไม่ใช่ไปคิดว่าถ้าเขาตาย

เถรี 09-07-2011 22:47

วันอาทิตย์ตรงกับวันเลือกตั้ง พระอาจารย์ท่านเตือนให้โยมไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ท่านกล่าวว่า "ประเทศชาติจะเจริญได้ ประชาชนทุกคนต้องเข้าใจสิทธิและหน้าที่ของตน อาตมาเสียดายวิชาการดี ๆ ของสมัยก่อน เมื่อก่อนพอขึ้นชั้นป.๒ จะมีวิชาหน้าที่พลเมืองและศีลธรรมแล้ว สมัยนี้ ป.๒ ไม่มี

เรื่องของจิตสำนึกสาธารณะต้องวางพื้นฐานตั้งแต่เด็ก ๆ ระดับอนุบาลหรือก่อนอนุบาลได้เลยยิ่งดี อย่างเราไปประเทศญี่ปุ่น จะเห็นว่าคนญี่ปุ่นไม่แยแสสนใจใคร เดินฉับ ๆ ไปทำงานของเขาอย่างเดียว ถ้าใครเดินช้าหน่อยเขาก็ชนเลย แต่จิตสำนึกสาธารณะของเขาสูงกว่าเรามาก

ขนาดเด็กอนุบาลเขาถือปิ่นโตกับกระเป๋าไปโรงเรียนเอง แต่บ้านเรานี่นอกจากพ่อแม่ต้องถือปิ่นโตกับกระเป๋าให้แล้ว ยังต้องอุ้มลูกไปโรงเรียนอีกด้วย"

เถรี 09-07-2011 23:04

"บ้านเรามีหลายคนที่ลูกเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว แต่ยังนั่งรถไปเองไม่เป็นเพราะทางบ้านไปส่งตลอด มีอยู่รายหนึ่งอายุ ๓๐ กว่าแล้ว ทำงานแล้ว แต่พ่อยังไปส่งที่ทำงานอยู่ทุกวัน พอเขาแต่งงานไปสามีก็ไปส่งต่ออีก คนทำบุญมาดีขนาดนี้ก็มี ไม่รู้เอาชีวิตรอดมาได้อย่างไร ?

เขาไม่รู้ว่าวัวกับควายต่างกันอย่างไร พี่ที่ไปด้วยกันทนไม่ไหว จึงบอกว่าส่วนใหญ่ควายจะมีสีดำ ส่วนวัวมีสีเหลือง แต่เขาก็ดันไปเจอวัวสีดำพอดี ไปยืนรำพึงรำพันว่า "ตัวนี้สีดำ ต้องเป็นควายแน่เลย" ยังดีที่วัวพูดไม่ได้ ไม่อย่างนั้นมันคงหันมาค้อนว่า "แกนั่นแหละ..ควาย..!"

มีเด็กคนหนึ่งเรียนมหาวิทยาลัยปีหนึ่งแล้ว ปิดเทอมจะช่วยพ่อแม่ด้วยการทำน้ำปั่นขายที่หน้าบ้าน อาตมาก็บอกว่า "ดี..หลวงพ่อจะไปกินด้วย" ปรากฏว่าโครงการนี้ล้ม พอถามว่าทำไม เขาบอกว่าทอนเงินไม่เป็น อาตมาก็ถามว่าปกติซื้อของทำอย่างไร เด็กเขาบอกว่า "เขาทอนให้มาเท่าไรก็เอาแค่นั้นแหละ" นี่ขนาดเรียนมหาวิทยาลัยปีหนึ่งแล้วยังทอนเงินไม่เป็นเลย..!

อย่างอาตมาตั้งแต่เด็ก แม่ค้าเขาสอนวิธีทอนเงินที่ไม่พลาดให้ ก็คือ ให้นับต่อเลย สมมติว่าซื้อของ ๔๐ บาท ให้เงินไป ๑๐๐ เขาก็ทอนเงินให้โดยนับต่อจาก๔๐ เป็น ๕๐-๖๐-๗๐-๘๐-๙๐-๑๐๐ ครบร้อยก็เอาไปได้ ไม่ผิดแน่นอน"

เถรี 12-07-2011 09:24

พระอาจารย์เตือนโยมคนหนึ่งว่า "จำไว้ว่าอย่าอยากมากเกินไป มีอะไรก็พอใจแค่นั้นแล้วเราจะทุกข์น้อย และอย่าตั้งความหวังกับคนอื่น เขาจะเป็นอย่างไรช่างเขา ถ้าเราอยากให้เขาเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ เราก็จะทุกข์อีกเหมือนกัน

เอาแค่สองอย่างพอ อย่าอยากมาก และอย่าตั้งความหวังกับคนอื่น"

เถรี 12-07-2011 09:58

พระอาจารย์กล่าวว่า "คนที่เป็นพ่อแม่จะสบายใจได้ ก็ต่อเมื่อลูกมีวุฒิภาวะเพียงพอ รู้จักกาลเทศะ รู้จักระงับอารมณ์ตนเอง รู้ว่าอะไรควรไม่ควร

เราจะไม่รู้หรอกว่าคนที่เป็นพ่อแม่รักลูกมากแค่ไหน ? จนกว่าจะมีลูกเอง แบบพระเจ้าอชาตศัตรู ท่านจับพ่อก็คือ พระเจ้าพิมพิสารขังเอาไว้ในคุก ตั้งใจจะขังให้ตาย เพื่อเอาราชสมบัติ

พระมเหสีแม่ของพระเจ้าอชาตศัตรูเข้าไปเยี่ยมพระเจ้าพิมพิสาร โดยเอาอาหารซ่อนไว้ในผ้าห่ม พระเจ้าพิมพิสารได้เสวยอาหารที่พระนางซ่อนมาจึงมีชีวิตรอด พอพระเจ้าอชาตศัตรูเห็นว่าหนึ่งอาทิตย์แล้วพ่อยังไม่เป็นอะไร ก็ไปสอบถามผู้คุม จึงทราบว่าแม่ของตนแอบซุกอาหารเข้ามา ครั้งต่อไปพระเจ้าอชาตศัตรูจึงสั่งให้ผู้คุมค้นตัว อย่าให้มีอาหารเข้าไป

พระมเหสีจึงเปลี่ยนแผนใหม่ เอาพวกข้าว ถั่ว งา ตำจนละเอียดเป็นผง และทาตัวเข้าไป พระเจ้าพิมพิสารก็ได้อาศัยของเหล่านั้นเป็นอาหาร พระเจ้าอชาตศัตรูสอบถามผู้คุมจึงทราบว่าเป็นฝีมือแม่ของตนอีก พระเจ้าอชาตศัตรูจึงสั่งห้ามเยี่ยม

เมื่อพระเจ้าพิมพิสารไม่มีอาหารจึงใช้วิธีเดินจงกรม สำหรับคุกที่ขังพระเจ้าพิมพิสารนั้นมีช่องเล็กอยู่ช่องหนึ่ง สามารถมองไปทางเขาคิชฌกูฏได้ ท่านก็มองไปทางด้านนั้นว่าเป็นที่ประทับของพระพุทธเจ้า ตั้งใจน้อมจิตระลึกถึงด้วยความเคารพและเดินจงกรมภาวนา อยู่ด้วยธรรมปีติ จึงมีชีวิตอยู่ต่อไปได้

พระเจ้าอชาตศัตรูไม่รู้จะทำอย่างไรดี จึงสั่งช่างตัดผมให้เอามีดโกนไปกรีดฝ่าเท้าพระเจ้าพิมพิสาร จะได้เดินไม่ได้ พอกรีดฝ่าเท้าไม่สามารถเดินจงกรมได้ และบาดแผลอักเสบ พระเจ้าพิมพิสารก็ต้องนอนจมอยู่กับที่

ผ่านไปหลายวัน พระเจ้าอชาตศัตรูกำลังออกว่าการที่ท้องพระโรงอยู่ ทหารมารายงานว่าพระมเหสีของพระองค์คลอดแล้ว ทันทีที่รู้สึกว่าตัวเองมีลูก จึงเกิดความรู้สึกรักใจจะขาด ใจก็เลยนึกถึงว่า พ่อเราก็คงรักเราแบบนี้ จึงรีบเสด็จไปที่คุก ตั้งใจจะปล่อยพ่อออกมา ปรากฏว่าพ่อตายไปเสียก่อน พระเจ้าอชาตศัตรูจึงเกิดโทษอนันตริยกรรมเพราะฆ่าพ่อ"

เถรี 12-07-2011 10:04

"บรรดาราชวงศ์หรือผู้ปกครองต่าง ๆ แทบทุกมุมโลก ก่อนเสด็จขึ้นครองราชย์ก็มีการฆ่าล้างผลาญกันเป็นปกติ แม้กระทั่งของไทยเรา ในช่วงกรุงศรีอุยธยาก็ยังฆ่ากันเป็นปกติ ราชวงศ์สุพรรณภูมิ ราชวงศ์บ้านพลูหลวง ราชวงศ์ปราสาททอง ฆ่ากันแล้วฆ่ากันอีก จนบางช่วงแทบจะไม่มีคนรับราชการ คนดีคนเก่งโดนฆ่าทิ้งหมด เพราะว่าเป็นพวกของอีกฝ่ายหนึ่ง

เพิ่งจะมาสงบเรียบร้อยเมื่อสมัยรัตนโกสินทร์นี่เอง จะว่าสงบเรียบร้อยก็ไม่ใช่ อย่างสมัยรัชกาลที่ ๓ ขึ้นครองราชย์ ความจริงราชสมบัติต้องเป็นของรัชกาลที่ ๔ เพราะรัชกาลที่ ๔ เป็นสมเด็จเจ้าฟ้า ส่วนรัชกาลที่ ๓ แม่เป็นสามัญชน จึงเป็นแค่หม่อมเจ้า

แต่รัชกาลที่ ๓ ท่านทำหน้าที่แทนรัชกาลที่ ๒ มาตลอด แม้กระทั่งการรบทัพจับศึกหรือค้าขาย ท่านเก่งทุกอย่าง ข้าราชการก็สนับสนุนให้ท่านขึ้นครองราชย์ รัชกาลที่ ๓ พิจารณาแล้วว่าถ้าไม่รับราชสมบัติไว้ รัชกาลที่ ๔ ไม่รอดแน่นอน เพราะถ้าท่านไม่ทำคนอื่นก็จะลงมือทำเอง รัชกาลที่ ๓ จึงรับราชสมบัติไว้ เป็นพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์เดียวที่ทำพิธีบรมราชาภิเษกโดยไม่ได้สวมพระมหาพิชัยมงกุฎ

พอราชปุโรหิตถวายพระมหาพิชัยมงกุฎ พระองค์ท่านรับและวางเอาไว้ด้านข้าง ตรัสว่า "เก็บเอาไว้ให้น้อง" เราจะเห็นว่าน่าจะมีการนองเลือดเกิดขึ้น แต่รัชกาลที่ ๓ ตรองถูก เลือกถูก ยอมโดนคนตราหน้าว่าแย่งสมบัติน้องดีกว่า ไม่อย่างนั้นน้องคงจะแย่แน่"

เถรี 12-07-2011 19:42

"กลายเป็นว่ารัตนโกสินทร์ของเราปลอดจากการแย่งชิงราชสมบัติมากว่า ๒๐๐ ปี มาถึงช่วงรัชกาลที่ ๗ โดนคณะราษฎร์ปฏิวัติชิงพระราชอำนาจ ช่วงนั้นจึงต้องหาบุคคลที่จะมาเป็นรัชกาลที่ ๘ เขาต้องดูจากการสืบสายสันตติวงศ์

ตอนนั้นสมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ ถือว่าอาวุโสสูงสุด แต่ทิวงคตเสียก่อน ก็ต้องมาดูลูกที่สืบสายของพระองค์ท่าน คือ หม่อมเจ้าจุลจักรพงษ์ แต่แม่ของท่านเป็นแหม่มรัสเซีย ก็เลยไม่สามารถที่จะสืบสายได้

องค์ต่อมาก็คือ สมด็จเจ้าฟ้ายุคลทิฆัมพร กรมหลวงลพบุรีราเมศวร์ก็ทิวงคตอีก พอไปดูลูก ก็คือ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล(เสด็จพระองค์ชายใหญ่) พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมพลทิฆัมพร(เสด็จพระองค์ชายกลาง) พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอนุสรณ์มงคลการ(เสด็จพระองค์ชายเล็ก ) ทั้งสามท่านไม่มีใครกล้ารับ

ขนาดในหลวงรัชกาลที่ ๗ เขายังไล่ออกจากราชบัลลังก์ แล้วคนอื่นจะเหลือหรือ ? ก็ต้องดูสายต่อมาก็คือ สมเด็จเจ้าฟ้ามหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ตอนนั้นท่านเป็นกรมหลวงสงขลานครินทร์ ปรากฏว่าทิวงคตเหมือนกัน ก็มาดูลูก มีพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าอานันทมหิดล และพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าภูมิพลอดุลยเดช ความจริงท่านเกิดมาเป็นหม่อมเจ้าทั้งคู่ แต่ได้รับเลื่อนเป็นพระวรวงศ์เธอ

สมเด็จย่าก็ยอมให้ในหลวงรัชกาลที่ ๘ มา แปลว่า รอดการนองเลือดไปได้ เพราะว่าต่างก็เกี่ยงกันเป็น เพราะสถานการณ์ไม่ให้เอื้ออำนวย กลัวคณะราษฎร์จะฆ่า"

เถรี 12-07-2011 19:53

"พอรัชกาลที่ ๘ สวรรคต ก็ต้องไปไล่สายกันเหมือนเดิม พอมาถึงสายของกรมหลวงลพบุรีราเมศวร์ ทั้งสามพระองค์ยิ่งไม่เอาใหญ่เลย คราวที่แล้วไล่กษัตริย์ออก คราวนี้ฆ่าเลย ใครจะกล้าเป็น ? ก็ตกมาที่สมเด็จย่าอีก สมเด็จย่าต้องสละลูกคนเล็กให้ไปครองราชย์

ดังนั้น..สองร้อยกว่าปีที่ผ่านมา รัตนโกสินทร์ของเราในราชวงศ์จักรีไม่มีการแย่งชิงราชสมบัติ ต้องบอกว่าพระสยามเทวาธิราชปกปักรักษาไว้ ก็เลยเป็นแบบอย่างที่ดี อย่างราชวงศ์ทางยุโรปก็มีการแย่งชิง แต่พอมาระยะหลังเขาแก้ปัญหาตก โดยการแต่งงานไขว้กันไปไขว้กันมาจนเป็นญาติกันหมด ไม่รู้จะแย่งกันไปทำไม เพราะญาติตัวเองทั้งนั้น

แต่สถาบันพระมหากษัตริย์ของเราทำคุณประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติอย่างมหาศาล ชาวบ้านก็ให้การเคารพนับถือ ขณะที่ต่างประเทศไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เพราะว่ากษัตริย์จริง ๆ ก็คือ นักรบ ถึงเวลาไม่ได้รบเพื่อประชาชน คนเขาก็ไม่เห็นประโยชน์

ปัจจุบันอย่างสมเด็จพระนางเจ้าเอลิซาเบธ พระบรมราชินีนาถของอังกฤษ พระองค์ยังเป็นสัญลักษณ์ของการปกครองระบอบกษัตริย์ที่ยังเข้มข้นอยู่มาก แต่คนให้ความสำคัญน้อยลงไปเรื่อย ๆ ปัจจุบันนี้กษัตริย์ของเขายังต้องเสียภาษีด้วย..!

นึกถึงเรื่องที่เขาเล่าให้ฟัง ก็คือ พระเจ้าโบดวงขับรถเร็วเกินกำหนด ตำรวจเขาเรียกมาเขียนใบสั่ง ถามว่าชื่ออะไร ? "โบดวง" อาชีพอะไร ? "กษัตริย์" เขาไม่สนใจหรอก ออกใบสั่งให้ไปจ่ายค่าปรับเฉยเลย..!"

เถรี 14-07-2011 08:50

"ดูอย่างสมเด็จพระเทพฯ ของพวกเรา เสด็จไปไหนชาวบ้านแทบจะถวายหัวให้อยู่แล้ว แต่ความจริงท่านจ่ายหนักกว่าเดิมทุกที สมมติไปกินข้าวเขามื้อหนึ่ง เรากินอย่างเก่งเต็มที่คงไม่เกินร้อยบาท แต่พระองค์ท่านอาจจะต้องให้เขาสองร้อยบาท เพื่อเก็บไว้เป็นที่ระลึก สรุปแล้วแทนที่จะสบาย กลับจ่ายหนักกว่าเราอีก..!

ที่บ้านจ่าตุ่มจะมีแบงก์ที่สมเด็จพระเทพฯ พระราชทานให้ เขาใส่กรอบไว้บูชา ตอนที่ท่านเสด็จไปอุทัยธานี เขาก็ไปเข้าเฝ้าถวายสิ่งของกัน บ้านจ่าตุ่มเขาทำแต่มีดก็เลยถวายมีด พระองค์ท่านรู้ว่าธรรมเนียมโบราณจะไปรับอาวุธของใครฟรี ๆ ไม่ได้ ก็เลยต้องทำเป็นซื้อ พระราชทานเงินให้เป็นค่ามีด เรื่องมีดเขาถือมาแต่โบราณว่า อย่าไปเอาของใครฟรี ๆ ถ้าได้ฟรีก็มีแต่ที่เขาเสียบมาให้เท่านั้น แปลว่าถึงตาย..!"

เถรี 14-07-2011 08:54

พระอาจารย์กล่าวว่า "คนไหนที่ยังแบ่งแยกขาวดำชัดเจน เล่นการเมืองไม่ได้หรอก เพราะการเมืองไม่มีมิตรแท้และไม่มีศัตรูถาวร

ถ้าจะเล่นการเมืองต้องเล่นอย่างในหลวง ในหลวงไม่ได้เล่นการเมืองแต่พระองค์ท่านทำเป็นตัวอย่าง ก็คือ ทำทุกอย่างเพื่อประโยชน์สุขของส่วนรวม ไม่ได้สนใจว่าคุณจะเป็นฝ่ายไหน เป็นสีไหน เป็นสัญชาติไหน ทุกคนก็คือบุคคลที่พระองค์ท่านต้องปกครองดูแลทั้งหมด

ใครที่ยังแบ่งแยกขาวดำชัดเจนเข้าไปเล่นการเมืองไม่ได้หรอก..เสียคนหมด ก็คือจะรับสภาพความสกปรกของการเมืองไม่ได้ เดี๋ยวก็ลาออก หรือถอดใจถอยไปเอง นักการเมืองน้ำดีเป็นจำนวนมากที่ไม่สามารถจะยืนหยัดในวงการได้ เพราะในนั้นมีวิชามารเยอะมาก

ได้แต่หวังว่าบ้านเมืองเราจะเริ่มดีขึ้นสักที เพราะว่าในหลวงเราทุกวันนี้ประคับประคองพระวรกายก็เพื่อจะให้สถานการณ์ดีขึ้น ไม่อย่างนั้นถ้าพระองค์ปุบปับไปแล้ว จะยุ่งมาก

คนอายุ ๘๐ กว่าแล้ว แต่หาเวลาพักผ่อนไม่ค่อยได้ กลอนเขาบอกว่า "จะพักเพียงสักวัน ยังหายากลำบากเกิน" เวลาจะพักสักวันยังไม่มีเลย ตอนนี้ก็ช่วยกันลุ้นให้พระองค์เสด็จพระราชดำเนินได้ ขนาดต้องไปรถเข็นพระองค์ท่านยังทรงงานไม่เลิกเลย"

เถรี 14-07-2011 08:56

พระอาจารย์แจ้งว่า "เดือนหน้าอาตมาจะมารับสังฆทานวันพฤหัสบดี-ศุกร์-เสาร์ นะจ๊ะ ขอเวลาวันอาทิตย์กลับไปจัดสถานที่วันหนึ่ง เพราะวันจันทร์ต้องจัดอบรมพระนวกะทั้งอำเภอที่วัดท่าขนุน พระทั้งอำเภอ ๔๐๐-๕๐๐ รูป จะต้องมารวมอยู่กันทั้งหมด ไม่เตรียมการให้ดีเดี๋ยวมีขายหน้าเขาแน่ ๆ..!"

เถรี 14-07-2011 09:13

พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องกำลังใจว่า "นักวิ่งมาราธอนคนแรกของโลก วิ่งระยะทาง ๔๒ กิโลเมตรเพื่อไปส่งข่าวว่ากรีกชนะแล้ว พอส่งข่าวเสร็จเป็นลมล้มตาย กำลังใจเขามุ่งมั่นว่าต้องทำหน้าที่นี้ให้สำเร็จ

มีนักวิ่งโอลิมปิกชาวเคนยาคนหนึ่ง เท้าเขาบาดเจ็บ วิ่งเหลืออีกกี่รอบสนามไม่รู้ แต่ก็ยังวิ่งกระโผลกกะเผลกไปเรื่อย จนกระทั่งคนรอบข้างตะโกนบอกให้เลิกเถอะ เพราะไม่มีใครเหลืออีกแล้ว แต่เขาก็ยังวิ่งไปเรื่อยจนกระทั่งครบตามระยะ

นักข่าวไปสัมภาษณ์ว่าทำไมวิ่งไม่เลิก ทั้ง ๆ ที่ไม่มีใครแข่งด้วยแล้ว เขาบอกว่าประเทศส่งเขามาให้วิ่ง เพราะฉะนั้น..เขาต้องทำหน้าที่ให้ครบถ้วนสมบูรณ์ กำลังใจเขามุ่งมั่นขนาดนั้น ถ้าเป็นเราโดนน็อกรอบก็ไม่วิ่งแล้ว กำลังใจยังไม่เด็ดขาดอย่างเขา

ต้องเอาให้ได้อย่างหมาป่า หมาป่าติดกับดัก เห็นว่าดิ้นรนแล้วไม่หลุดแน่ ก็กัดขาตัวเองทิ้งเลย ถ้าทำอย่างนั้นได้เราตัดร่างกายได้แน่ แบบเดียวที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ให้สละทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ ให้สละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต ให้สละทั้งทรัพย์ อวัยวะและชีวิตเพื่อรักษาธรรม

ต้องเหี้ยมหาญและเด็ดขาด กำลังใจแบบนั้นถึงจะรบกับกิเลสได้ เพราะกิเลสไม่เคยปรานีเรา ถ้าเรามัวแต่ไปรามือหย่อนมืออยู่ สู้เขาไม่ได้หรอก ประเภทอ่อนให้เขาครั้งหนึ่ง ไม่ใช่ครั้งเดียวหรอก ต้องอ่อนให้เขาไปตลอดชีวิตเลย..!"

เถรี 19-07-2011 07:40

พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวันก่อน ทางหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ คุณชนินทร เหตระกูล ถามมาว่า ถ้าจะขออนุญาตนำเรื่องในเว็บวัดท่าขนุนไปลงในหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ จะต้องขออนุญาตจากใคร ? อาตมาจึงแจ้งเขาไปว่า ถ้าหากว่าเป็นเรื่องทั่วไปทั้งหมด ไม่ใช่เรื่องที่ทางเว็บขออนุญาตที่อื่นนำมาลง สามารถนำไปลงได้เลยโดยไม่ต้องขออนุญาต

การเผยแผ่ธรรมะจริง ๆ ต้องกว้างไกล ถ้าหากว่ามีคนช่วยกันมากเท่าไรก็ดีเท่านั้น แต่ว่าหลายต่อหลายที่ต้องสงวนลิขสิทธิ์เพราะว่ามีบุคคลนำไปเป็นผลประโยชน์ทางการค้า อย่างหนังสือสมบัติพ่อให้ของวัดท่าซุง เขานำไปคัดลอกกันตรง ๆ เลย แล้วก็ไปเปลี่ยนหน้าปกใหม่ นำไปวางจำหน่ายตามท้องตลาด

หรืออย่างหนังสือหลวงตามหาบัวก็เช่นกัน จนเขาต้องบอกว่าสงวนลิขสิทธิ์ ยกเว้นพิมพ์เพื่อเป็นธรรมทาน หนังสือของหลวงตาบัวถ้าพิมพ์เพื่อเป็นธรรมทานท่านให้ ส่วนของวัดท่าซุงนี่สงวนลิขสิทธิ์ด้วยประการทั้งปวง"

เถรี 19-07-2011 09:31

ถาม : เวลาที่ทำสมาธิแล้วจิตเราหลุดออกไป ต้องพิจารณาตัดร่างกายอย่างไรครับ ?
ตอบ : ถ้าออกไปนี่ไม่ต้องตัดแล้วพ่อคุณ เขาต้องตัดก่อนออกไป

ถาม : แต่พอออกไปแล้วร่วงกลับที่เดิมทุกทีเลยครับ
ตอบ : ถ้าร่วงกลับที่เดิมทุกทีแสดงว่าคุณพิจารณาร่างกายไม่ละเอียด จิตยังห่วงร่างกายอยู่ คุณต้องแยกแยะให้เห็นชัดเจนเลยว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเราอย่างไร เป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟ สักแต่ให้เราอาศัยอยู่ชั่วคราว

ถ้าจิตเห็นชัด ไม่ห่วงร่างกายแล้วจึงจะออกไป แต่ถ้าคุณพิจารณาไม่ชัดจิตก็จะกลับทันที เพราะว่ายังห่วง หนักกว่านั้นอีกก็คือไม่ไปเลย ดังนั้น..พิจารณาตั้งแต่ก่อนไปนะจ๊ะ ไม่ใช่ไปแล้วค่อยพิจารณา ไปแล้วไม่มีเวลาพิจารณาหรอก

พยายามไปดูให้เห็นให้ชัด ว่าร่างกายไม่เที่ยงอย่างไร ? เป็นทุกข์อย่างไร ? ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราอย่างไร ? จนสภาพจิตยอมรับแล้ว เราค่อยภาวนาไปตามแบบของเรา ถ้าหากว่าจิตยิ่งยอมรับมากเท่าไร ก็จะยิ่งไปง่ายเท่านั้น ไปเริ่มต้นใหม่..ความจริงทำถูกแล้ว แต่ยังถูกไม่หมด พิจารณาน้อยไปหน่อย

เถรี 19-07-2011 09:34

ถาม : ลูกสาวไม่ค่อยมีความรับผิดชอบ ดูไม่ค่อยใส่ใจอะไรเลย ซึ่งอายุขนาดนี้ควรจะมีความรับผิดชอบมากกว่านี้แล้ว เราจะช่วยเขาได้อย่างไรบ้างคะ ?
ตอบ : ไม้เรียวสิ..! มอบหมายงานให้เขาทำ อย่างเช่นว่าอาจจะเก็บเสื้อผ้า พับเสื้อผ้า จัดที่นอน ถ้าเขาไม่ทำก็ฟาดเลย ถ้าหากว่างานที่เขารับมอบหมายทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาจะไปทำอะไรก็ตามใจเขา

ส่วนใหญ่แล้วพ่อแม่มักจะทนไม่ได้ที่จะตีลูก โบราณเขาบอกอะไรไว้ไม่ผิดหรอก "รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี" รักวัวถ้าไม่ผูกไว้เดี๋ยวก็ทำความเสียหาย ไปกินข้าวนาชาวบ้านเขาบ้าง โดนขโมยไปบ้าง รักลูกให้ตี ถ้าไม่ตีนี่เอาดีได้ยาก

พระพุทธเจ้าตรัสว่า สรรพสัตว์ทั้งหลายที่ไม่เกรงอาชญานั้นไม่มี คำว่าอาชญาก็คือการลงโทษ แต่คราวนี้เรื่องของเด็ก ๆ ต้องลงโทษให้เป็นเหตุเป็นผล ชี้แจงก่อน ถ้าไม่ทำตามแล้วค่อยตีเขา

เถรี 19-07-2011 09:39

มีเด็ก ๆ หลายคนด้วยกัน ประเภทเริ่มวัยรุ่นแล้ว เรียนป. ๖ บ้าง ม. ๑ ม. ๒ บ้าง ไปอยู่ที่วัด อาตมาจะให้ทำวัตรเช้าเย็นด้วยกัน แล้วก็ซักผ้าของตัวเอง ล้างจานของตัวเอง ก็ทำได้ทุกคน โดยเฉพาะเขาเห็นเครื่องซักผ้าเป็นของสนุก บางทีชิ้นสองชิ้นก็โยนลงไปซักแล้ว สนุกสนานกันใหญ่

พอกลับบ้านไป พ่อแม่ก็ดีใจที่เด็กเก่งขึ้น ทำอะไรได้เยอะแยะ แต่พออยู่ไปสักอาทิตย์หนึ่ง ทุกอย่างแม่ทำเหมือนเดิม ก็แม่ไปแย่งเขาทำเอง คราวนี้พอมีคนทำเขาก็ไม่ทำสิ ไปเปิดโอกาสให้เขา เขาก็เลือกเอาที่สบาย พ่อแม่อยากทำใช่ไหม ? เอาไปเลย..เขาก็ไปเล่นของเขา


ถาม : ใหม่ ๆ เขาจะสนุกค่ะ เหมือนกับได้เล่น แต่พอนาน ๆ ไปเข้าก็เบื่อ
ตอบ : อยู่ที่นั่นเป็นเดือนไม่เห็นเขาเบื่อสักที เล่นได้ทุกวัน โดยเฉพาะเครื่องซักผ้าที่วัดนี่ใช้ง่ายมาก เพราะว่าจะซื้อระบบที่ง่ายที่สุด สำหรับคนที่โง่ที่สุดอย่างอาตมาใช้..! เด็กเขาจึงใช้เป็นทุกคน พวกประเภทต้องมาตั้งหลาย ๆ ระบบนี่อาตมาไม่เอาหรอก

อาตมาเป็นคนมักง่าย อะไรที่ง่ายได้จะไม่ทำให้ยาก แม้กระทั่งการใช้คอมพิวเตอร์ก็เหมือนกัน ใช้ไปใช้มาก็มักจะหาทางใช้ให้ง่ายที่สุด โปรแกรมอันไหนที่ยุ่งยากก็โยนทิ้งไปเลย หลายต่อหลายคนที่เขาเคยสอนอาตมาให้ใช้เครื่อง พอกลับมาอาตมากลับต้องไปสอนเขา เขาก็งง ๆ ว่า ทำอย่างนี้ได้ด้วยหรือ ? อาตมาก็บอกว่าทำได้ เพราะอาตมาเป็นคนมักง่าย ชอบอะไรที่ง่าย ๆ

เถรี 19-07-2011 09:46

ถาม : คำว่า "โมทนา"กับ "อนุโมทนา" ต่างกันไหมคะ ?
ตอบ : เหมือนกัน เพียงแต่ว่าคำว่า "โมทนา" กร่อนมาจากคำว่า "อนุโมทนา"

โมทนา คือ พลอยยินดี อนุ แปลว่า ตาม อนุในภาษาบาลีเป็นคำอุปสรรค(คำนำหน้า) ความหมายของก็คือ น้อย , ภายหลัง , ตาม

ดังนั้น..คำว่า โมทนา ก็คือพลอยยินดีตามไปในบุญที่เขาทำด้วย คำที่ถูกต้องก็คือคำว่าอนุโมทนา แต่โมทนาเป็นคำที่พูดสั้น ๆ เพื่อให้ฟังง่ายเท่านั้น

อุปสรรคของบาลี แปลว่า คำนำหน้า แต่อุปสรรคของพวกเราก็คือ สิ่งที่ขวางหน้า

เถรี 20-07-2011 06:14

พระอาจารย์กล่าวกับโยมผู้หญิงที่นุ่งสั้นว่า "ตั้งใจจะไปที่ไหนต่อหรือเปล่า ? ถ้าตั้งใจมาเฉพาะที่นี่ คราวหน้าแต่งตัวให้น่าหวาดเสียวน้อยกว่านี้หน่อย ผู้หญิงเราจะน่าสนใจต้องเหลืออะไรให้คนเขาค้นคว้าได้บ้าง ถ้าไม่เหลืออะไรไว้เลยคนเขาจะไม่สนใจหรอก

ช่วงเดือนที่แล้วไปงานฉลองประโยค ๙ ของสามเณรชวิน วัดปรังกาสี ไปงานนั้นแล้วทำให้รู้ว่าคนปัจจุบันนี้ มากต่อมากด้วยกันที่ไม่รู้กาลเทศะ เพราะว่างานนั้นโยมที่เป็นประธานเปิดงานนุ่งกางเกงขาสั้นมา แล้วญาติโยมผู้หญิงนุ่งกางเกงขาสั้นมา ๗-๘ คน เดินกระมิดกระเมี้ยนเข้ามา นั่นทั้ง ๆ ที่เขารู้อยู่ว่าเขาจะไปวัด แล้วก็ไปงานของพระด้วย

ถ้าจำเป็นต้องพรางตัวออกมาไม่ให้ทางบ้านเขาสงสัย ก็หาชุดมาเปลี่ยนแล้วกัน ห้องน้ำที่นี่มีจ้ะ"

เถรี 20-07-2011 07:14

มีโยมพาแม่มาทำบุญเนื่องในวันเกิด พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "วันเกิดของแม่เราพาแม่ไปทำบุญถือว่าดี แต่ถ้าวันเกิดของเราพาแม่ไปทำบุญด้วยจะดียิ่งกว่า เพราะวันเกิดของเราก็คือวันที่แม่เจ็บปวดแทบจะตายนั่นแหละ"

เถรี 20-07-2011 07:24

พระอาจารย์กล่าวถึงแพลงกิ้งว่า "จริง ๆ แพลงกิ้ง (planking) เป็นการเลียนแบบสัตว์ สัตว์หลายชนิดเวลาอันตรายจวนตัว ก็จะแกล้งตายแข็งทื่อ พอศัตรูมาดม ๆ เขี่ย ๆ หน่อย เห็นว่าตายแล้วก็ปล่อยไป โดยเฉพาะพวกงูนี่ชอบมากเลยประเภทที่ทำเป็นตาย

ที่วัดท่าขนุนมีอยู่ช่วงหนึ่ง ประมาณสัก ๔ โมงเย็น ‘แหลมทอง ๐๕๒’ เป็นนามเรียกขานของลูกข่ายมูลนิธิพิทักษ์กาญจน์ที่อาตมาเป็นหัวหน้าอยู่ เขาวิทยุมาว่า “อาจารย์..ใครเอางูมาทิ้งไว้ทางออกป่าช้าตัวเบ้อเร่อเลย ผมเกือบจะทับมันแน่ะ” อาตมาก็ถามว่าอยู่ตรงไหน ? เขาบอกว่าอยู่เกือบถึงปากทางออก อาตมาก็ตอบไปว่าจะไปดูให้

พอเดินไปจนเกือบทะลุถนนใหญ่ ปรากฏว่าไม่มี ก็เลยวิทยุไปบอกว่า "โชคดีที่เอ็งไม่ลงไปดู เอ็งขี่มอเตอร์ไซค์มา งูมันหนีไม่ทันก็ทำเป็นตายนอนแข็งทื่อ แล้วไอ้ตัวใหญ่ ๆ ขนาดนั้นแถวนี้มีแต่จงอาง..!"

เพราะฉะนั้น..คนที่ทำแพลงกิ้งขอให้รู้ว่า ย้อนหลังไปสมัยไดโนเสาร์นั่นเลย เพราะเลียนแบบสัตว์ สัตว์บางชนิดนี่เรายิ่งเขี่ย ๆ ก็ยิ่งนอนแผ่ทำเป็นว่าตายไม่รู้ไม่ชี้"

เถรี 20-07-2011 09:26

พระอาจารย์กล่าวถึงหนังสือธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น ของ พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน ว่า "เล่มหลัง ๆ คุณหมอท่านเปิดมากขึ้นเรื่อย ๆ ประเภทเปิดมากขึ้นเรื่อย ๆ นี่มักจะเป็นการทิ้งทวน ก็คือไม่เอาแล้ว..ไปดีกว่า สังเกตดูพระปฏิบัติ ช่วงท้าย ๆ ประมาณ ๒-๓ ปี มักจะเปิดเต็มที่ ไม่ต้องเกรงใจใครแล้ว กูจะตายแล้ว ใครจะด่าส่งท้ายก็ช่างมัน

ถ้าไปศึกษาในพระไตรปิฎกจะเห็นว่า ช่วงท้าย ๆ พระพุทธเจ้าท่านจะเทศน์เฉพาะส่วนของธรรมล้วน ๆ แทบทั้งนั้น โดยเฉพาะในมหาปรินิพพานสูตร ซึ่งเป็นพระสูตรสุดท้าย เป็นพระสูตรใหญ่ที่อมพระสูตรเล็กเอาไว้มาก แต่ละหัวข้อที่พระองค์ท่านเทศน์ออกมานี่ ถ้าคนไม่มีพื้นฐานจะมึนไปเลย

เริ่มตั้งแต่อปริหานิยธรรม ๗ ประการ หมวดที่ ๑, ๒, ๓, ๔, ๕, ๖ เพราะฉะนั้น..อปริหานิยธรรม เราอย่าคิดว่ามีหนึ่งเดียวนะ มีทั้งวัชชีอปริหานิยธรรม อปริหานิยธรรมของชาววัชชี ภิกษุอปริหานิยธรรม อปริหานิยธรรมของภิกษุทั้งหลาย

และหมวดสุดท้าย อย่างสาราณียธรรม สาราณียธรรมนี่มีแค่ ๖ ข้อ ก็เลยไม่ครบ ๗ เกี่ยวกับการปฏิบัติที่พระพึงปฏิบัติต่อกัน เพื่อยังความระลึกถึงของเพื่อนสพรหมจารีให้เกิดขึ้น อย่างเช่นว่า ปฏิบัติต่อกันด้วยความเมตตา เอ่ยวาจาที่มีแต่ความเมตตาต่อกัน ปฏิบัติต่อภิกษุอื่นด้วยความมีเมตตาต่อกัน แม้กระทั่งคิดต่อภิกษุอื่นด้วยความมีเมตตาต่อกัน แบ่งปันลาภผลที่ได้มาต่อเพื่อนภิกษุทั้งหลาย เหล่านี้เป็นต้น

สาราณียธรรม คือธรรมอันยังเครื่องระลึกถึงให้เกิดขึ้น ฟัง ๆ ดูก็คล้าย ๆ กับสังคหวัตถุเหมือนกัน แต่ว่าสังคหวัตถุนั้นจะเป็นทาน ปิยวาจา อัตถจริยา สมานัตตา โดยเฉพาะสมานัตตานั้นตัวสุดท้ายคนมักจะแปลผิด แปลว่าทำตนให้เสมอต้นเสมอปลาย

ความจริงสมานัตตานั้น แปลว่าเสมอด้วยตนเอง ก็คือเราชอบอย่างไรให้ทำอย่างนั้นกับคนอื่น เราไม่ชอบอย่างไรอย่าทำอย่างนั้นกับคนอื่น คือเอาใจเขามาใส่ใจเรา บาลีบางคำถ้าหากว่าเราไม่เข้าใจจริงก็จะแปลไปเรื่อย แล้วก็จะพาผิดเข้ารกเข้าพงไปเรื่อย

บาลีเขามีแปลโดยพยัญชนะ คือว่าตามตัวอักษร แปลโดยอรรถ คือว่าโดยความหมาย เพราะฉะนั้น..โดยพยัญชนะแปลอย่างหนึ่ง โดยอรรถอาจจะแปลไปอีกอย่างหนึ่งก็ได้"

เถรี 20-07-2011 09:29

พระอาจารย์กล่าวว่า "พระที่ไปบวชช่วงวันที่ ๒๑ กรกฎาคม ส่วนใหญ่ตั้งใจที่จะบวชน้อย การบวชน้อยก็มีทั้งส่วนที่ดีและก็ไม่ดี ส่วนที่ดีก็คือพระที่บวชน้อยโอกาสที่จะพลาด ทำให้ศีลต้องขาดตกบกพร่องเศร้าหมองก็น้อยไปด้วย เพราะระยะเวลาไม่นาน

แต่ส่วนที่ไม่ดี ก็คือ ทำตัวเหมือนกับคนไม่เอาจริง ในเมื่อรู้ตัวว่าไม่กี่วันก็จะสึก น้อยคนที่จะทุ่มเทให้เต็มที่ ในเมื่อเป็นดังนั้นโอกาสที่จะได้ดีจึงยาก อาตมาเองตั้งใจบวชแค่ ๗ วัน ขนาดตั้งใจบวชแค่ ๗ วัน ข้าวของทุกอย่างอาตมาทิ้งหมดเลย แม้กระทั่งเงินทองก็ยกให้น้องไปเป็นทุนการศึกษาหมด กะว่าสึกออกไปจะเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ ต้องบ้าให้ได้ขนาดนั้น ถ้าความบ้าไม่พอก็จะเอาดีได้ยากนิดหนึ่ง"

เถรี 20-07-2011 10:54

ถาม : เทวดานางฟ้านี่เวลาเขาช้ากว่าเราหรือคะ?
ตอบ : จะบอกว่าช้าก็ไม่ได้ช้าหรอก แต่ถ้าเปรียบกันแล้ววงจรชีวิตท่านยาวกว่าเรามาก ในเมื่อยาวกว่าเรามากเวลาที่ท่านทำอะไรในระยะเวลาที่สั้น ๆ นั้น มนุษย์ตาย ๆ เกิด ๆ ไปตั้งเยอะแล้ว อย่างนางปติปูชิกามาเกิด ๕๐ กว่าปี มีสามีมีลูก จนกระทั่งป่วยตายกลับขึ้นไปข้างบน เวลาบนนั้นผ่านไปแค่ครึ่งวันเอง

เถรี 21-07-2011 07:42

ถาม : ท่านรู้จักใบไม้นี้ไหมคะ ?
ตอบ : รู้จักจ้ะ

ถาม : ใบนี้เห็นเขาว่า กันพวกสัตว์ร้ายเวลาเข้าป่า กันได้จริง ๆ หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : เขาเรียกว่าใบไม้สีทอง มีอยู่ตามป่าแถวปักษ์ใต้ เป็นเถาวัลย์ชนิดหนึ่ง อาตมาเอามาปลูกที่ทองผาภูมิ ใบกลายเป็นสีเขียวหมด..! คาดว่าดินคงจะไม่เหมือนกัน

แต่ถ้าหากว่าปลูกแล้วขึ้นเป็นสีทองได้จะสวยมาก ส่วนสรรพคุณอื่นไม่รู้ รู้แต่ว่าเป็นไม้ประดับที่สวยงามทีเดียว

ถาม : ตอนนี้ที่บ้านมีทั้งใบทอง ใบเงิน และใบทองแดง ว่าจะเอามาถวายท่าน
ตอบ : ไม่ต้องเอามาหรอกจ้ะ เพราะอาตมาปลูกแล้วกลายเป็นใบมรกตหมด..! ไม่เป็นเงิน ไม่เป็นทอง ไม่เป็นนากเลย

เถรี 21-07-2011 11:10

ถาม : หัวใจพุทธคุณ ๙ เกี่ยวกับอะไรคะ ?
ตอบ : เขาเรียกว่า นวหรคุณ ได้แก่ อะสังวิสุโลปุสะพุภะ เป็นคำที่เขาย่อมา

อะ คือ อะระหัง
สัง คือ สัมมาสัมพุทโธ เขาตัดมาแต่บาลีแค่ สํ จึงอ่านว่า สัง
วิ คือ วิชชาจะระณะสัมปันโน
สุ คือ สุคะโต
โล คือ โลกะวิทู
ปุ คือ ปุริสะทัมมะสารถิ
สะ คือ สัตถา เทวะมะนุสสานัง
พุ คือ พุทโธ
ภะ คือ ภะคะวาติ

เขาเรียกนวหรคุณ คุณ ๙ อย่างของพระพุทธเจ้า

ถาม : ที่ดูในบทสวดมนต์ของพระไตรปิฎก รู้สึกจะมีบทสวดมนต์ย่อ ๆ
ตอบ : จริง ๆ แล้วในพระไตรปิฎกเขาไม่ได้ย่อจ้ะ ที่เขาย่อนั่นเพื่อให้คนรุ่นหลังจำง่าย ไป ๆ มา ๆ กลับเอาไปท่องเป็นคาถาขลัง อย่างเช่นว่า ทีมะสังอังขุ พระสุตันตปิฎกประกอบด้วย ทีฆนิกาย มัชฌิมนิกาย สังยุตตนิกาย อังคุตรนิกาย และขุททกนิกาย เขาก็เอาคำย่อไปเป็นคาถา

หรือไม่ก็ สังวิธาปุกะยะปะ หัวใจพระอภิธรรม ประกอบไปด้วย สังคิณี วิภังค์ ธาตุกถา ปุคคลปัญญัติ กถาวัตถุ ยมก มหาปัฏฐาน เขาย่อเอาไว้เพื่อช่วยจำ แต่คนรุ่นหลังก็เอาไปทำเป็นคาถาแล้วก็ขลังเสียด้วย..!

เถรี 21-07-2011 11:19

ถาม : คาถาพระปริตรเกี่ยวกับอะไร ?
ตอบ : คำว่า "ปริตร" แปลว่า ป้องกัน คาถาพระปริตร ก็คือคาถาป้องกันอันตรายต่าง ๆ เพื่อช่วยให้เกิดความสุขความเจริญ ส่วนใหญ่ก็จะสวดอยู่ใน ๗ ตำนาน ๑๒ ตำนาน

พวกตำนานต่าง ๆ เช่น ตำนานพระยาฉัททันต์ เขาเรียกฉัททันตปริตร ตำนานนกคุ้มกันไฟ เขาก็เรียกวัฏฏกปริตร ตำนานนกยูงทอง เขาเรียกโมรปริตร เป็นต้น

ถาม : คาถาชุมนุมเทวดาใน ๗ ตำนาน และ ๑๒ ตำนาน ใช้ต่างกันอย่างไรคะ ?
ตอบ : ถ้า ๑๒ ตำนาน เขาจะขึ้นสะรัชชัง สะเสนัง สะพันธุง นะรินทัง ปะริตตานุภาโว สะทารักขะตู ติ แต่ถ้าเป็น ๗ ตำนาน เขาขึ้น ผะริตตะวา นะเมตตัง สะเมตตา ภะทันตาฯ

เวลาขึ้นจะต่างกัน พอขึ้นไปพระท่านก็รู้แล้วว่าต้องสวดแบบไหน คราวนี้ไม่ใช่อาชีพของโยม ไม่ต้องรู้ก็ได้ เป็นอาชีพของพระท่านจ้ะ

เถรี 21-07-2011 11:24

ถาม : อังคุลิมาลปริตร เกี่ยวกับอะไร ?
ตอบ : อังคุลิมาลปริตร ส่วนใหญ่เขาเอาเป็นคาถาทำน้ำมนต์ ให้คลอดลูกง่าย ตำนานพระองคุลีมาล เขาบอกว่าท่านออกบิณฑบาตแล้วหญิงท้องวิ่งหนี ท่านก็เลยประกาศว่า ยะโตหัง ภะคินิ อะริยายะ ชาติยาฯ ดูก่อนน้องหญิง ตั้งแต่เราเกิดแล้วในอริยชาตินี้ สัญจิจจะ ปาณัง ชีวิตา โวโรเปตา ไม่เคยมีเจตนาที่จะปลงชีวิตสัตว์เลย

แต่คราวนี้สถิติการฆ่าคนของท่านแต่เดิมนั้นน่ากลัวมาก ฆ่าเสียเป็นพันคน ท่านประกาศไว้ลงท้ายว่า โสตถิ เต โหตุ โสตถิ คัพภัสสะ ฯ ก็คือ ด้วยสัจจะวาจานี้ขอความสวัสดีจงมีแต่ครรภ์นี้เถิด ผู้หญิงนั้นก็คลอดพอดี ปลอดภัยทั้งแม่และลูก

ตั้งแต่นั้นมาหลวงพ่อองคุลีมาลมีหน้าที่ผลิตน้ำมนต์อย่างเดียว จนกระทั่งท่านนิพพานไปแล้ว คนยังเอาเตียงที่ท่านนั่งกรรมฐานไปทำน้ำมนต์เลย แล้วก็ได้ผลเสียด้วย ถึงเวลาก็เอาน้ำไปราดเตียง แล้วเอาภาชนะรองเอาไปให้คนเขาจะคลอดลูกดื่มเป็นน้ำมนต์

เถรี 21-07-2011 15:31

พระอาจารย์เล่าว่า "ชาวต่างชาติเขาสรุปว่า เหตุการณ์การประท้วงต่าง ๆ สารพัดสีที่ผ่านมาของประเทศไทย เป็นเรื่องการเมืองล้วน ๆ ถ้าหากเป็นเรื่องของความแตกแยกของประชาชนในประเทศจริง ๆ ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง ในหลวงท่านต้องออกมาแล้ว แต่ที่ในหลวงท่านไม่ออกมาเพราะว่าเป็นเรื่องการเมือง นี่ชาวต่างประเทศเขามองเรานะ.."

เถรี 21-07-2011 15:59

ถาม : ศีลข้อวิกาละโภชะนา ถ้าตัวเองเป็นโรคกระเพาะต้องทำอย่างไร ?
ตอบ : ของที่กินแทนข้าวได้มีเป็นร้อยเป็นพัน จำเป็นต้องกินข้าวอย่างเดียวหรือถึงอยู่ได้ ? จะกินนมก็ได้ โอวัลตินก็ได้ น้ำผึ้งก็ได้ น้ำอ้อยก็ได้ น้ำตาลก็ได้ กินไปสัก ๕ - ๑๐ ถ้วย อิ่มกว่าข้าวอีก

ถาม : กินอย่างนี้แล้วไม่ผิดหรือคะ ?
ตอบ : ก็พระยังฉันได้เลย โยมกินจะผิดตรงไหนวะ ?

ถาม : หมอบอกว่า ให้เลิกศีลแปดได้แล้ว เพราะเป็นโรคกระเพาะ
ตอบ : ก็บอกหมอไปสิว่า "อาจารย์สอนให้ตัวตายดีกว่าศีลขาด เพราะฉะนั้นหมอบอกได้ ฉันรับฟังแต่ไม่รับปฏิบัติ"

ถาม : หมอบอกว่าวันธรรมดากินข้าว แต่พอวันพระไม่กินแล้วจะทำให้ปวดท้องค่ะ
ตอบ : เหตุผลเดียวกัน ของที่กินแทนได้มีตั้งเยอะ ของบางอย่าง เช่น น้ำผึ้งนั้นดีต่อสุขภาพร่างกาย คนที่เป็นเบาหวานแล้วอยากของหวาน ถ้ากินน้ำตาลเข้าไปจะเดือดร้อน ให้กินน้ำผึ้งแทน น้ำผึ้งสักหนึ่งช้อนโต๊ะ ละลายน้ำร้อนแก้วหนึ่ง กินลงไปแทน ร่างกายสามารถดึงไปใช้ได้เลย เพราะว่าโมเลกุลของน้ำผึ้งร่างกายไม่ต้องเสียเวลามาย่อยสลาย

ถาม : อานิสงส์ถือศีลห้ากับศีลแปดต่างกันมากไหมคะ ?
ตอบ : อานิสงส์ของศีลห้าเต็มที่ก็พระสกิทาคามี แต่ถ้าถือศีลแปดได้จะเป็นพื้นฐานของพระอนาคามีเลย ต่างกันมากไหม ? ก็เหมือนปริญญาตรีต่างกับปริญญาโท

ถาม : ตั้งใจไว้แน่ว่าวันพระจะถือศีลแปดตลอดไปค่ะ
ตอบ : ทำไปเถอะจ้ะ ถึงเวลาก็ตุนพวกไมโล โอวัลตินเอาไว้ด้วย

เถรี 22-07-2011 09:01

ถาม : จริงไหมคะ ที่เขาบอกว่า การรบกวนของไฟฟ้าสถิต ทำให้การใช้พลังจิตในการเคลื่อนย้ายของทำไม่สำเร็จ..?
ตอบ : ถ้ากำลังของบุคคลนั้นต่ำอยู่ การรบกวนจากภายนอกจะมีผล ถ้ากำลังเขาสูงแล้ว การรบกวนภายนอกก็ไม่มีผล

ถาม : กำลังสูง..?
ตอบ : สมมติว่าเรายกของชิ้นหนึ่งที่เกินกำลังแล้ว แม้แต่เด็กเพิ่งหัดเดิน เดินมาชนเรา เราก็อาจจะล้ม โดนของทับแบนได้ แต่ถ้าหากว่าของชิ้นนั้นไม่ได้หนักเกินกำลังของเรา ต่อให้คนตั้งใจพุ่งเข้ามาชน เราก็ยกไหว

ถาม : พวกฝรั่งญี่ปุ่นที่เขาทดลองใช้สนามแม่เหล็กไฟฟ้า ในการกวนหรือป้องกันไม่ให้เกิดคาถาอาคม..?
ตอบ : เป็นไปได้..อย่าลืมนะว่าไฟฟ้ายังทำให้ผีบางส่วนหลอกเราไม่ได้

ถาม : กำลังที่จะโดนกวนอย่างนี้ได้ แสดงว่าต่ำ..?
ตอบ : ต่ำ..ถ้าระดับสูงไม่อาจทำอย่างนี้ได้

ถาม : อย่างพวกคุณไสย ..?
ตอบ : ไม่แน่..เพราะเราไม่รู้ว่าตอนที่เขาทำ สมาธิของเขาสูงเท่าไร ถ้าสมาธิเขาสูงเกินระดับ เราก็ไม่สามารถที่จะป้องกันได้

แต่ถ้าเอาอย่างจ่าปัญญา ไม่ต้องสมาธิสูงหรอก ไปถึงจ่าก็ควักปืน ๑๑ มม. ขึ้นลำแล้วก็วางโครมลงตรงหน้าหมอผี..! ประกาศว่า "๒ นาที ถ้ามึงทำกูล้มไม่ได้..กูยิง..!" กำลังใจของจ่าข่มเขาตั้งแต่แรกแล้ว หมอผีที่ไหนจะมีอารมณ์มานั่งทำของใส่ นั่นเรียกว่าจู่โจมถึงจิตใจ คนกลัวปืนนี่สมาธิไม่รวมตัวหรอก

เถรี 22-07-2011 09:17

พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องการเรียนว่า "ของอื่นล้วนแล้วแต่เป็นธรรมอันเนิ่นช้า เอาของที่พาเราหลุดพ้นดีกว่า แต่ที่เรียนอยู่ปัจจุบันนี้เนื่องจากเห็นประโยชน์อยู่ตรงที่ว่า คนเราเชื่อมั่นในกระดาษแผ่นเดียว

ถ้าหากว่าอาตมาไปบรรยายที่ไหน เขาแนะนำตัวว่า "พระครูธรรมธรเล็ก วัดท่าขนุน" มีวุฒินักธรรมเอกห้อยท้ายอยู่ เขาก็รู้สึกว่าอย่างนั้น ๆ แหละ แต่ถ้ามีปริญญาเกียรตินิยมอันดับ ๑ ห้อยท้ายอยู่ เขาจะหูผึ่งเลย ต่างกันตรงนี้แหละ จากเรื่องที่พูดแล้วไม่น่าใส่ใจ เขาก็ตั้งใจฟังขึ้นมาหน่อยหนึ่ง ว่าคนที่ได้เกียรตินิยมอันดับ ๑ จะพูดเรื่องอะไร แทนที่เขาจะนั่งหลับหรือกินขนมแข่งกันก็ตั้งใจฟังบ้าง

ที่เรียนอยู่ทุกวันนี้รู้สึกว่าไม่ได้อะไรขึ้นมา นอกจากเอาทฤษฎีที่ลอกฝรั่งมาเกือบทั้งนั้น แต่สำคัญอยู่ตรงที่ว่า พอถึงเวลาแล้วเขาให้ความเชื่อถือ แต่อย่าให้มากจนเฟ้อเหมือนประเทศจีนก็แล้วกัน

ประเทศจีนมีวุฒิบัตร เกียรติบัตร ประกาศนียบัตร เกลื่อนกลาดไปหมด เคยเห็นคนจีนเขาสมัครงานไหมเล่า ? วางเกียรติบัตรแปะอยู่ตรงหน้า มากเท่ากับความกว้างของพรม ๔ ผืนที่พวกเรานั่งอยู่นี่ แล้วก็ประกาศหางาน ใครเดินผ่านจะจ้างก็ดูว่าเขาได้เกียรติบัตรอะไรมาบ้าง"

เถรี 22-07-2011 09:46

พระอาจารย์กล่าวกับทิดท่านหนึ่งที่เพิ่งสึกว่า "เอากำลังที่เพาะสร้างมาระหว่างที่บวชไปลุยกับเขาต่อ จะได้เห็นคุณค่าของความสงบว่าเป็นอย่างไร ? แต่ว่าสภาพจิตของเรามักจะกลับกลอก พอไปอยู่ที่สงบก็คิดไปถึงชีวิตข้างนอก พอออกไปอยู่ข้างนอกจริง ๆ ก็คิดถึงความสงบที่วัด"

เถรี 22-07-2011 09:54

ถาม : พระที่ท่านเจริญอสุภะ เวลาท่านมองเห็นคนเป็นกระดูกนี่คือเห็นเป็นกระดูกจริง ๆ เดินไปเดินมาเลยหรือคะ ?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับว่าท่านฝึกมาแบบไหน ถ้าฝึกมาแบบอุทุมาตกอสุภ ก็เห็นบวมอืด

ถาม : หนูพิจารณาแล้วแค่รู้สึกว่าเป็นกระดูก แต่ไม่เห็นว่าเป็นกระดูกค่ะ ?
ตอบ : แค่รู้สึกก็ใช้ได้แล้ว..ในพระไตรปิฎกมีพระรูปหนึ่ง ผู้หญิงหัวเราะให้ ท่านเห็นฟันก็เลยพิจารณาเป็นอัฏฐิกัง ปฏิกุลัง แล้วก็บรรลุเป็นอรหันต์ แสดงว่าท่านมีปัญญาสูงมาก ท่านเห็นฟันก็มองทะลุไปถึงกระดูกทั้งตัวเลย

เห็นความไม่มีแก่นสาร เห็นความตั้งอยู่ไม่ได้ทั้งของเขาและของเรา อย่างเรานี่ต่อให้มีคนยิ้มใส่หน้าทั้งวัน วันละ ๒๔ ชั่วโมงก็ไม่เห็นความไร้แก่นสารสักที

เถรี 22-07-2011 10:33

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "สมัยอยู่ท่าซุง ท่านย่าจะลง(เข้าทรง)เจ้าตึ๊กทุกที เจ้าตึ๊กเขาก็กลัว เพราะว่าท่านย่าลงและออกไปแล้ว เจ้าตึ๊กก็จะหมดเรี่ยวหมดแรงสลบไปครึ่งค่อนวัน เจ้าตึ๊กก็หนีไปซ่อน สักพักหนึ่งก็โดนหิ้วปีกออกมา ร้องโอย ๆ

หลวงพ่อท่านก็หัวเราะ "ย่าทำตัวสาวหน่อยก็ได้ ทำตัวแก่ขนาดนั้น ไอ้ตึ๊กมันอ้วน ใครเขาจะแบกไหวเล่า ?" ท่านย่าบอกว่า "ก็ข้าตายตอนแก่แล้วนี่หว่า ก็ต้องมาแบบคนแก่"

หลวงพ่อท่านก็ว่า "หลานมันกลัว แล้วย่าก็อุตส่าห์ไปลงมันอีก ทำไมไม่เลือกคนอื่นบ้างเล่า ?" ท่านย่าบอกว่า "ต้องเอาไอ้ตึ๊กเพราะมันอ้วน" หลวงพ่อถามว่าทำไม ? ท่านย่าบอกว่า "คนอ้วนกำลังมันดี ถ้าเป็นคนอื่นรับไม่ไหวแล้วจะแย่"

เถรี 22-07-2011 10:37

"แต่มีอยู่เที่ยวหนึ่ง ตอนนั้นงานบวงสรวงพระเจ้าพรหมมหาราช เจ้าตึ๊กนั่งอยู่ดี ๆ ก็ลุกพรวดพราดขึ้นมาวางท่าขึงขัง เสียงกลายเป็นผู้ชายดังก้องมากเลย หลวงพ่อก็บอกว่า "ช่วยประกาศตัวให้ลูกหลานมันรู้หน่อยซิ ว่าใครมา"

เสียงผู้ชายดังกระหึ่มอย่างกับออกไมค์ว่า “กู..สหัมบดีพรหม” ท่านมาเองเลย รอบนั้นเจ้าตึ๊กเสียงหายไป ๒ เดือนกว่า เพราะเส้นเสียงผู้หญิงกลายเป็นเส้นเสียงผู้ชายคงอักเสบมาก แต่ท่านต้องการจะให้รู้ว่ามาจริง ๆ ก็เลยเปลี่ยนเสียง เปลี่ยนเสียงจากเสียงผู้หญิงเล็ก ๆ กลายเป็นเสียงผู้ชายห้าวกระหึ่มเลย"

ถาม : แล้วเขารู้ตัวไหมคะ?
ตอบ : ไม่รู้เรื่องเลย เขารู้อย่างเดียวไม่เอาอีกแล้ว กลัวจริง ๆ ลองคิดดูอยู่ ๆ เสียงหายไป ๒ เดือนกว่า เป็นเราเอาไหมเล่า ? เจ็บคออย่างนั้นน่ะ

ถาม : ตอนนี้ยังมีชีวิตอยู่ไหมคะ ?
ตอบ : ไม่รู้ น่าจะอยู่ อายุก็ยังไม่มากนี่ รุ่น ๆ เดียวกับอาตมา

เถรี 22-07-2011 10:50

ท่านปู่ท้าวสหัมบดีพรหมท่านเป็นอรหัตมรรค คือพร้อมจะไปนิพพาน ชาติสุดท้ายท่านบวชเป็นพระ ชื่อหลวงปู่สิงห์ พอเวลาท่านมา เสียงก็เปลี่ยน ผิวก็เปลี่ยน

ถ้าจะเอาคนที่กำลังพอฟัดพอเหวี่ยงกันต้องพี่แดง (พลตรีศรีพันธุ์ วิชชุพันธุ์) ตอนนั้นน่าจะเป็นงานฉลองวันเกิดหลวงพ่อวัดท่าซุงปี ๒๕๒๖ พี่แดงก็นั่งฮึด ๆ ๆ อยู่ หลวงพ่อจึงบอกว่า "แดงเอ๊ย..ท่านจะลงก็ให้ท่านลงหน่อยสิวะ" พี่แดงบอกว่า "ไม่เอา..ลงมาแล้วผมไม่รู้เรื่องผมไม่ยอม ถ้าจะให้ลงต้องให้ผมรู้เรื่องด้วย"

ปรากฏว่าพี่แดงกำลังสูงจริง ๆ แกสู้ได้ พออ่านสัญญาบัตรตราตั้ง คนอื่นเขาแสดงความยินดีกัน พี่แดงลุกพรวดพราดเดินหัวเราะไปจับมือหลวงพ่อเขย่า "ดีใจด้วย ดีใจด้วย ได้เป็นเจ้าคุณแล้ว" พูดเสร็จนั่งลงไปตามเดิม โห...แรงแกเยอะขนาดนั้น ขนาดท่านลงได้แล้วพี่แดงยังสะบัดหลุดได้

น่าจะเป็นคุณชัยณรงค์กระมัง ถามหลวงพ่อว่า "ใครครับ ?" หลวงพ่อบอกว่า “ผกาพรหม ถ้าไม่ได้กำลังขนาดไอ้แดงนี่เอาท่านไม่อยู่หรอก” ขนาดท้าวผกาพรหมมาลง อยู่ได้ไม่ถึงครึ่งนาที พี่แดงเหวี่ยงหลุดอีกตามเคย

ถาม : แล้วท่านทำให้รู้เรื่องด้วยไม่ได้หรือคะ ?
ตอบ : ท่านลงมานี่จะต้องเบียดเจ้าตัวออก เพื่อที่จะใช้ร่างนั้นทำอะไรตามที่ตัวเองต้องการ ถ้าเจ้าตัวอยู่แล้วต่อต้าน ท่านจะทำในสิ่งที่ต้องการไม่ได้ แต่พี่แดงแกไม่ยอม แกจะเอาลักษณะแบบมาแล้วต้องรู้

เถรี 22-07-2011 11:10

ถาม : พระไปเลือกตั้งได้ไหมครับ?
ตอบ : เขาห้ามพระยุ่งเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ถึงเวลาก็มีหนังสือสั่งการมาตามลำดับชั้น

ที่เขาห้ามพระเลือกตั้งเพราะกลัว เขาคงเล็งแล้วว่า ถ้าหัวแถวเลือกใคร ลูกศิษย์ก็ตามกันหมดทั้งขบวน อย่างหลวงพ่อคูณบอกว่า "ให้ไอ้ชวลิตมันเป็นนายก " แล้วคนแห่ไปเลือกพรรคนั้น พรรคอื่นก็เฮงสิ

เถรี 22-07-2011 11:55

พระอาจารย์กล่าวกับคนเป็นพ่อแม่ว่า "เด็กบางคนเก่ง แต่พ่อแม่เลี้ยงดีเกินไป ทำให้เด็กไม่กล้าไปอยู่ไกลบ้าน

เพราะพ่อแม่เลี้ยงแบบไม่คิดว่าตัวเองจะตาย ถ้าเลี้ยงแบบคิดว่าตัวเองจะตาย ต้องให้ลูกทำอะไรได้ด้วยตัวเองให้เร็วที่สุด

คนเป็นพ่อแม่จะมีจุดอ่อนตรงที่ไม่เคยเห็นลูกโต พอลูกเป็นวัยรุ่นเริ่มมีความคิดเป็นของตัวเอง ก็จะเห็นว่าลูกดื้อ ลูกเถียง ถ้าเด็กโตถึงระดับนั้นแล้ว เราต้องยกเหตุผลขึ้นมาหักล้าง จะไปใช้อำนาจเหมือนตอนเขาเป็นเด็ก ๆ ไม่ได้

เรื่องพวกนี้เกิดจากความรักตัวเอง กลัวจะสูญเสียเขาไป ในเมื่อรักตัวเอง กลัวจะสูญเสียเขาไป ถึงเวลาก็ต้องปกป้อง วิธีปกป้องของเรา ทำให้เด็กวัยรุ่นเขารำคาญ"


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 07:23


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว