เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมกราคม ๒๕๕๙
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันนี้อุตส่าห์ภาวนาคาถาเงินล้าน ปรากฏว่าท่านเจ้าของพระคาถาอยู่โน่น เพราะสมเด็จพระพุทธกัสสปเสด็จมา ท่านเจ้าของพระคาถาก็เลยนั่งเสียห่างเลย ประเภทสบายใจแล้ว...ไม่เหนื่อย
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสป เป็นพระพุทธเจ้าที่มากด้วยลาภผลเป็นพิเศษ เป็น ๑ ใน ๒ พระองค์ ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงแนะนำให้ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์จะต้องสร้างบารมี ๓๐ ทัศมาเหมือนกัน แต่ท่านที่มีความพิเศษในทางลาภเกิดจากเริ่มต้นด้วยทานบารมีก่อน เห็นท่านเสด็จมาอาตมาก็สบายใจแล้ว อธิษฐานกันเอาเองเถอะ ตอนแรกก็ตั้งใจดูว่าพระปัจเจกพุทธเจ้าเจ้าของพระคาถาเงินล้าน ท่านจะมาทำอะไรให้พวกเราบ้าง ปรากฏว่าพอ "พ่อใหญ่" มา ท่านก็เลยนั่งสบายใจเฉิบ หมดหน้าที่แล้ว" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "วัตถุมงคลที่เข้าพิธีสวดพระคาถาเงินล้านจะให้เขาเอาลงเว็บให้ ไปลุ้นบูชากันข้างใน ราคาไม่แพงหรอก มีพระพุทธรูป รูปหล่อ รูปปั้น ทางด้านตัวเล็กเขาตั้งใจขนจากคลังวัดมาเข้าพิธีโดยเฉพาะ"
|
พระอาจารย์กล่าวว่า "เดี๋ยววันที่ ๑๖ มกราคมนี้ อาตมาไปงานของหลวงพี่วิรัช คราวที่แล้วท่านนิมนต์ตรงกับงานเป่ายันต์ที่วัดท่าขนุน จึงไม่ได้ไป งานนี้ท่านส่งฎีกามา อาตมาไปได้ แต่ได้ยินว่าจัดงานหลายวัน
อาตมาเองถ้าต้องจัดงานสองวันนี่ก็เครียดแล้ว ที่เครียดเพราะต้องคอยรักษากำลังสมาธิเอาไว้สงเคราะห์โยม เนื่องจากขอพระไว้ว่า ให้คนที่ไปร่วมงานเดินทางไปกลับสะดวกและปลอดภัย แต่ท่านไม่ให้ขอเฉย ๆ ท่านให้รักษาอารมณ์ใจในระดับที่ท่านสั่งด้วย เพื่อจะได้อาศัยอาตมาเป็นเครื่องถ่ายทอด ฉะนั้น..เวลาทรงสมาธินาน ๆ บางทีประสาทก็ตึง ๆ รู้สึกเลยว่าเครียด เหมือนกับร่างกายไม่ได้พักผ่อน" |
พระอาจารย์เล่าว่า "มีลูกศิษย์หลวงพ่ออีกรูปหนึ่งที่ไม่ได้ข่าวคราวเลย รุ่นใกล้เคียงกับหลวงพ่อมนัส ก็คือ หลวงพ่อประดิษฐ์ พวกอาตมาเรียกหลวงพี่กันจนชิน พออายุกาลนานเข้าก็เลยต้องเรียกนำให้ลูกศิษย์ จึงต้องเรียกหลวงพ่อ
หลวงพ่อประดิษฐ์ไปอยู่ที่เกาะสีชังระยะหนึ่ง ไม่รู้ตอนนี้ไปที่ไหนแล้ว ไม่ได้ข่าวคราว และก็มีหลวงพี่จะเด็ดอยู่ทางด้านอุบลราชธานี บวชรุ่นเดียวกับหลวงพี่ละออง ออกไปแล้วก็เงียบ ไม่มีข่าวคราว ท่านเหล่านี้ส่วนใหญ่รักสันโดษ มักจะอยู่ในลักษณะของพระธุดงค์ ไปอยู่ตรงนั้นตรงนี้แล้วขยับไปเรื่อย ๆ ถ้าไม่ปักหลัก โยมก็ไม่สามารถที่จะไปหาอย่างเป็นทางการได้ จึงไม่ค่อยปรากฏนามในยุทธจักร อาตมาหนีไปอยู่ป่า ๘-๙ ปี โผล่ออกมา โยมเห็นก็กระโดดเกาะทันที เสร็จเขาจนได้ ตอนช่วงอยู่ป่าเป็นเวลาที่สบายใจที่สุด แม้ว่างานจะหนัก แต่ก็เหนื่อยแค่กาย เวลาที่ต้องรบกับโยมมาก ๆ แล้วกำลังใจเขาไม่เท่ากัน ต้องแบกเขาตลอด ก็เลยเหนื่อยใจด้วย สงเคราะห์ผีสบายใจกว่ากันเยอะเลย" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "รัฐบาลทหารส่วนมากจะไม่เก่งทางด้านเศรษฐกิจ โลกปัจจุบันส่วนใหญ่อยู่ด้วยเรื่องของเศรษฐกิจทั้งนั้น ในเรื่องของการ "ช็อปเพื่อชาติ" ที่ผ่านมาไม่ได้ช่วยคนทั่วไป กลายเป็นช่วยนายทุนเจ้าของห้าง เพราะเงินไม่ได้กระจายออก ไปตกอยู่กับห้างใหญ่ ๆ แค่ไม่กี่แห่งเท่านั้น"
|
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้พระครูหน่อยไปเรียนต่อปริญญาเอก ท่านบอกว่าอยู่ ๆ ก็หมดอารมณ์ในการก่อสร้างไปเฉย ๆ ระดมสร้างใหญ่อยู่สามปี ทำหัวไม่วางหางไม่เว้น และก็หมดไฟเอาดื้อ ๆ
วันนั้นย่องมาถามว่า "หลวงพ่อ...ไม่เบื่อบ้างหรือครับ ?" "เบื่อเหมือนกันแหละ" "เบื่อแบบไหนของหลวงพ่อ ? ยิ่งทำก็ยิ่งเยอะ" "อ๋อ...ตอนนี้เกินเบื่อไปแล้ว เหลือแต่ว่าควรจะทำงานอะไรเท่านั้น" อยู่ก็สร้างประโยชน์ให้กับส่วนรวมไป ตายก็จบ เป็นเรื่องของคนรุ่นหลังก็แล้วแต่ว่าเขาจะเห็นหรือไม่เห็น อย่างที่เสด็จในกรมชุมพรท่านแต่งเพลงมาร์ชทหารเรือ "เกิดมาทั้งทีมันก็ดีอยู่แต่เมื่อเป็น อีกสามร้อยปีก็ไม่มี ใครจะเห็น" ชื่อเสียงยืนยงไปอย่างเก่งก็ ๓๐๐ ปี พอรุ่นหลัง ๆ ก็ไม่รู้จักแล้ว" |
"อมตะเถราจารย์บ้านเราที่เอ่ยชื่อแล้วรู้จักกันทั่วถึง อย่างหลวงปู่ทวด วัดช้างให้ น่าจะจวน ๔๐๐ ปีแล้ว ตั้งแต่สมัยอยุธยา ส่วนหลวงปู่โต วัดระฆัง ก็แค่ช่วงรัชกาลที่ ๔-๕ นี้เอง
ครูบาอาจารย์สมัยเก่า พอขึ้นเป็นเจ้าอาวาสก็ต้องมีความสามารถเป็นที่ยอมรับกัน ไม่ว่าจะเรื่องของหลักธรรม เรื่องของศีล สมาธิ ปัญญา จนกระทั่งบรรดามนตราอาคมต่าง ๆ ต้องอยู่ในระดับพอตัว มีอยู่รูปหนึ่งที่ไม่ใช่เจ้าอาวาสแล้วดังมาก คือ หลวงปู่ทับ วัดอนงคาราม ท่านสร้างพระปิดตาเนื้อเมฆสิทธิ์ ติดอันดับเบญจภาคีพระปิดตาของประเทศ ท่านเป็นรุ่นไล่ ๆ กับหลวงปู่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (นวม) วัดอนงคาราม แต่เป็นรุ่นพี่ หลวงปู่ทับเคยดุอาตมาตอนพุทธาภิเษก ถามว่าหลวงปู่เป็นใคร ? มาจากไหน ? ท่านบอกว่า "ข้าชื่อทับ" อาตมาก็ "อ๋อ..หลวงพ่อวัดทอง" ท่านตวาดเสียงเขียวเลยว่า "มีแต่ไอ้ท่านวัดทองดังคนเดียวหรือวะ..?!" บ้านเรามีหลวงปู่ทับ วัดอนงคาราม , หลวงปู่ทับ วัดทอง (สุวรรณาราม) สององค์นี้ดังเรื่องพระปิดตาทั้งคู่ แต่วัดทองดังกว่า พระปิดตายันต์ยุ่งของท่าน ปั้นหุ่นด้วยมือทีละองค์ สวยงามประณีตมาก และหลวงปู่ทับ วัดโสมนัสวรวิหาร ท่านเป็นครูบาอาจารย์ของสมเด็จพระวันรัต (จับ) แต่ว่าท่านเป็นสมเด็จพระวันรัต (ทับ) ชื่อใกล้เคียงกันมากเลย" |
ถาม : ผมมักจะทำในสิ่งที่ฝืนใจตัวเอง ตรงข้ามกับความต้องการของตัวเองเพื่อให้คนอื่นได้รับในสิ่งที่ดี แล้วตัวผมเองก็มายิ้ม หัวเราะทั้งน้ำตา อิ่มใจเคล้าความทุกข์ความเจ็บปวดเพื่อแลกกับการเห็นคนอื่นได้ดี หลายครั้งผมถามตัวเองว่าเมื่อรู้ว่าทำแล้วเสียใจ ทุกข์ เจ็บปวดและโดนเข้าใจผิดทีหลัง แล้วตัดสินใจทำอย่างนั้นไปทำไม คำตอบจากตัวเองคือ ผลที่คนอื่นจะได้รับ ผลที่คนที่ผมรักจะได้รับนั้นยิ่งใหญ่กว่า หากแต่ว่าผมเป็นคนรุ่นหลังเพราะฉะนั้นปัญญาของผมอาจจะเลวจนไม่สามารถบรรลุธรรมได้ ถ้าผมยังมีแนวคิดอย่างนี้ต่อไป แล้วตอนตายผมมาคิดเสียดายทีหลัง คติที่ไปของผมคงไม่พ้นอบายภูมิใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่สามารถพยากรณ์คติที่ไปได้ ขนาดพระพุทธเจ้ายังตรัสไว้เลยว่า บุคคลที่ได้ทิพจักขุญาณไปเห็นว่าการทำดีไปสวรรค์ การทำชั่วไปนรก แล้วกล่าวว่าคนทำดีต้องไปสวรรค์ คนทำชั่วต้องไปนรก พระองค์ท่านตรัสว่าไม่ใช่ แต่ถ้าอยากจะลงนรกก็ไม่ยาก รักษาอารมณ์ให้เศร้าหมองไว้ เดี๋ยวก็ได้ไปเอง..! ถาม : ในเมื่อปัญญาของผมไม่สามารถบรรลุธรรมได้ ผมก็ควรทำตามใจตัวเองให้มีความสุข เพื่อที่ผมจะสามารถไปสุคติได้ใช่หรือไม่ ? ตอบ : ทำตัวเองให้มีความสุขอาจจะลงนรกง่ายกว่าทำตัวเองให้มีความทุกข์อีก เพราะความสุขทางโลกผูกอยู่กับเรื่องกามฉันทะ รูปสวย กลิ่นหอม รสอร่อย เสียงไพเราะ สัมผัสระหว่างเพศ ซึ่งมีแต่จะฉุดจะดึงให้เราตกต่ำได้ง่ายขึ้นเท่านั้น |
ถาม : ผมมีความคิดที่จะทำแหวนนามสกุลเนื้อเงินให้กับสมาชิกในครอบครัว และตั้งใจว่าจะนำตะกรุดมหาสะท้อนรุ่น ๕ จำนวน ๑ ดอกหลอมลงไปด้วย จึงขอกราบเรียนถามว่า แหวนที่มีมวลสารของตะกรุดมหาสะท้อนดังกล่าว ในกรณีที่มิได้นำเข้าพิธีพุทธาภิเษกอีก แหวนนั้นจะยังมีอานุภาพมหาสะท้อนเช่นเดียวกับตะกรุดหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าวงละบาทเท่าน้ำหนักตะกรุดก็ยังมีอานุภาพอยู่ ถ้าอยากจะทำแหวนก็คือ ตะกรุด ๑ ดอกต่อแหวน ๑ วง ถ้าไม่ได้ไปเข้าพิธีใหม่ก็ต้องใส่ให้เต็มน้ำหนัก แต่ถ้าไม่เต็มน้ำหนัก ก็ต้องเอาไปเข้าพิธีใหม่ ถาม : ยังมีข้อห้ามเช่นเดียวกับตะกรุดมหาสะท้อนหรือไม่ครับ ? คือห้ามให้เด็กบูชาติดตัว และห้ามเข้าใกล้คนหรือสัตว์ที่กำลังจะคลอดลูก ตอบ : ข้อห้ามเหมือนกัน ถาม : ถ้าใส่ตะกรุดไปเสี้ยวหนึ่งล่ะคะ ? ตอบ : ก็ได้แค่เสี้ยวหนึ่ง ถาม : หากการกระทำดังกล่าวเป็นการไม่สมควร ขอพระอาจารย์ท่านได้โปรดติเตียน เพื่อที่ผมจะได้ล้มเลิกความตั้งใจนี้ แล้วทำแหวนเนื้อเงินไปตามปรกติครับ ? ตอบ : ไม่ใช่หน้าที่ของอาตมา...เชิญท่านด่าตัวเองไปเถอะ..! |
ถาม : ปกติทิพจักขุญาณ เวลาเห็นจะเหมือนตาเนื้อเห็น แต่พักนี้ผมเหมือนมีแค่ความรู้สึก ไม่เป็นภาพ และตรงด้วย ยกตัวอย่าง เช่น ผมได้รับพัสดุเป็นกล่องบรรจุแน่นหนา โดยไม่ได้ระบุรายละเอียดอะไร ผมก็ไม่ได้สนใจ จนอยู่ ๆ ผมก็มีความรู้สึกว่าในกล่องนั้นมีหนังสือที่ผมตามหาและต้องใช้งาน แล้วความรู้สึกนั้นถูกต้อง หลัง ๆ มานี่ความรู้สึกแบบนี้เป็นบ่อยมาก ลักษณะนี้เรียกว่าอะไรครับ ?
ตอบ : เรียกว่าทิพจักขุญาณ ใครบอกคุณว่าทิพจักขุญาณจะเห็นเหมือนตาเนื้อเห็น..? |
ถาม : ถ้าพระสงฆ์ได้ชำระเงินให้เราเพื่อเป็นค่าจ้างหรือค่าสินค้าและบริการ เราสามารถนำเงินดังกล่าวไปใช้ได้โดยไม่เป็นโทษใช่หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าเอาไปซื้อยาบ้าก็เป็นโทษ..! |
ถาม : หากเราไม่เจอตู้หยอดชำะหนี้สงฆ์ในวัด แต่เจอตู้ที่เขียนในลักษณะที่ว่า "รับบริจาค" หรือ "ทำบุญบำรุงวัด" หรือ "ค่าน้ำ ค่าไฟ" แล้วเรานำเงินใส่ซองโดยเขียนหน้าซองว่า "ทำบุญชำระหนี้สงฆ์" แล้วนำไปหยอดในตู้ เพื่อให้ทางวัดนำไปคัดแยกเอง สามารถทำได้หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ทำได้ |
ถาม : สมมติว่า ถ้าลูกต้องพาพ่อหรือแม่ไปรักษาอาการป่วยที่โรงพยาบาล แล้วหมอเสนอทางเลือกในการรักษาโดยให้ลูกเป็นผู้ตัดสินใจไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ถ้าหากผู้เป็นลูกได้เลือกไป แล้วหมอใช้วิธีนั้นในการรักษาจนพ่อหรือแม่เสียชีวิตในที่สุด ผู้เป็นลูกจะโดนอนันตริยกรรมหรือไม่ครับ ?
ตอบ : การตัดสินใจรับเลือกการรักษา เป็นในลักษณะว่าเราเลือกทางที่ดีที่สุดแล้ว ส่วนการรักษาเป็นหรือตายอยู่ที่ฝีมือหมอ ไม่ใช่อยู่ที่ฝีมือเรา ยกเว้นว่าเราเลือกโดยตั้งใจว่าทางนี้หมอรักษาแล้วพ่อแม่เราตายแน่ ๆ ถ้าอย่างนั้นก็โดนอนันตริยกรรมแน่นอน แต่ถ้าไม่ใช่ เราเลือกแล้วหมอรักษาตายหรือไม่ตาย ก็ขึ้นอยู่กับกรรมของพ่อของแม่แล้ว ถาม : การที่หมอให้ลูกเซ็นเอกสารยินยอมในการรักษา ซึ่งหากหมอรักษาอาการป่วยของผู้เป็นพ่อหรือแม่เสียชีวิต ผู้ที่เป็นลูกจะโดนอนันตริยกรรมหรือไม่ครับ ? ตอบ : นั่นเป็นในแง่กฎหมายซึ่งเราต้องเซ็นยินยอมอยู่แล้ว การรักษาอยู่ที่ฝีมือหมอ ไม่ใช่อยู่ที่เรา จึงไม่เป็นอนันตริยกรรม |
ถาม : ลูกที่มีหน้าที่ดูแลพ่อและแม่ยามเจ็บป่วย ต้องป้อนข้าวป้อนน้ำและยา หรือต้องฉีดยาให้ตามที่หมอสั่ง หากสุดท้ายแล้วพ่อหรือแม่ตาย ลูกจะโดนอนันตริยกรรมหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าอย่างนั้นก็โดนกันทั้งประเทศไทย ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดด้วยความกตัญญู ถ้ายังโดนอนันตริยกรรมก็โดนกันทั้งประเทศ รวมทั้งอาตมาด้วย เพราะรักษาพ่อตายคามือไปแล้ว..! ถาม : สมมติว่าถ้าลูกได้ชวนพ่อหรือแม่ไปเที่ยวต่างจังหวัด โดยซื้อตั๋วโดยสารเพื่อเดินทางให้ แล้วหากพ่อหรือแม่ต้องประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตระหว่างการเดินทาง ลูกจะโดนอนันตริยกรรมหรือไม่ครับ ? ตอบ : นี่เรียกว่าฟุ้งซ่านจัด ถ้าจะโดนอนันตริยกรรมก็แปลว่าคุณซื้อตั๋วให้ แล้วไปทำอะไรกับรถคันนั้นเพื่อให้เกิดอุบัติเหตุจนได้ ถ้าอย่างนั้นเป็นอนันตริยกรรมแน่ แต่ถ้าไม่ได้ไปทำอะไร ซื้อตั๋วรถตามปกติ รถเกิดอุบัติเหตุ แล้ว เกี่ยวอะไรกับเรา ? |
ถาม : การที่นักแสดงรับบทเป็นพระสงฆ์หรือพระพุทธเจ้า บุคคลนั้นจะมีโทษฐานปรามาสพระรัตนตรัยหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ต้องดูว่าเขาแสดงไปในลักษณะไหน ถ้าประเภทโกยเถอะโยม อย่างนั้นปรามาสพระรัตนตรัยแน่นอน ถาม : แล้วคนที่รับชมภาพยนตร์นั้นจะมีโทษไปด้วยหรือไม่ครับ ? ตอบ : ถ้าไปยินดีในส่วนที่เขาปรามาสพระรัตนตรัย ก็มีโทษไปด้วย ถาม : ถ้าสร้างภาพยนตร์ขึ้นมาแล้วมีส่วนในการผิดเพี้ยนจากความเป็นจริง มีโทษไหมคะ ? ตอบ : ถ้าผิดเพี้ยนจากความเป็นจริง ก็ต้องดูว่าเขาสื่อหรือนำเสนออะไร ถ้านำเสนอในด้านที่ดี คนชมแล้วเกิดความเลื่อมใสในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หรือเกิดศรัทธาเพิ่มขึ้นก็ไม่มีโทษอะไร กลับได้บุญเสียอีก |
ถาม : ระบบอินเทอร์เน็ตหรือเครือข่ายของผู้ใช้งานขนาดใหญ่ อย่างเช่น Facebook เป็นเครื่องมือของบ่วงมารที่หลอกล่อให้มนุษย์จมปลักอยู่กับกิเลสตัณหา โลกธรรม ๘ และนำไปสู่การผิดศีล ๕ ตามที่เห็นกันในข่าวใช่หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ใช่หรือไม่ก็ต้องดูว่าคุณใช้ทำอะไร ถ้าทั้งวันเอาแต่สนทนาธรรมกัน แล้วจะไปผิดได้อย่างไร ? |
ถาม : การที่เราชมภาพยนตร์ บทเพลง จากช่องทางออนไลน์ เช่น เว็บไซต์ YouTube BitTorrent ซึ่งของพวกนี้บางอย่างมีการสงวนลิขสิทธิ์ แต่เขาเอามาลง เราซึ่งเป็นผู้รับชมถือว่าผิดศีลข้อสองหรือไม่ ?
ตอบ : ถ้าคุณรู้ว่าเขาสงวนลิขสิทธิ์แล้วยังตั้งใจไปชมก็แปลว่าผิดแน่ ๆ ถาม : การที่เอาระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ที่มิใช่ของแท้มาใช้งาน เช่น Windows หรือ Mac ที่เป็นของปลอมมาใช้ เนื่องจากของแท้มีราคาสูง เรารู้ว่าไม่ใช่ของแท้แต่เอามาใช้ ถือว่าละเมิดศีลข้อ ๒ ขาดโดยบริบูรณ์แล้วใช่หรือไม่ ? หรือเพียงแค่ศีลข้อ ๒ ด่างพร้อยครับ ? ตอบ : ตอบไปเมื่อครู่นี้แล้ว |
ถาม : การที่เรารับชมภาพหรือคลิปจากอินเทอร์เน็ต เช่น คลิปหนุ่มเมายาไอซ์ คลั่งปาดคอตัวเอง แทงเพื่อนสาหัส หรือคลิปนักเรียนหญิงหึงโหด ตบกันแย่งผู้ชาย หรือคลิปหนุ่มช่างไฟโหด ใช้มีดแทงภรรยาดับ ฯลฯ แล้วเราเกิดความรู้สึกร่วม ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกบวกหรือลบไปด้วยนั้น เท่ากับตัวเราได้ร่วมก่อกรรมใหม่กับกลุ่มบุคคลในคลิปไปเรียบร้อยแล้วใช่หรือไม่ครับ ?
ตอบ : เขาเรียกว่ายินดีในความชั่วของคนอื่น ก็คือโมทนาความชั่วของเขา มีส่วนในโทษนั้นเช่นกัน |
ถาม : เหตุใดผมถึงรู้สึกเหมือนว่าพอปฏิบัติธรรมไปเรื่อย ๆ จะมีอยู่ช่วงหนึ่งก่อนหน้านี้ที่ผมรู้สึกว่า "ตัวจริง" ของผมเดินตามหลังตัวของผมเอง เสมือนมีตัวผมอีกคนซ้อนกันอยู่ แต่ตัวที่คอยควบคุมตัวจริง ๆ ของผม คือคนด้านหลัง ไม่ใช่คนที่เดินอยู่ตรงหน้าจริง ผมไม่แน่ใจว่าสภาวะนี้คืออะไรครับ ?
ตอบ : ถ้าไปถามคนทั่วไปเขาก็ว่าใกล้บ้าแล้ว..! แต่สำหรับนักปฏิบัติถือเป็นเรื่องปกติ เพราะสภาพจิตที่คุมกาย หากมีความรู้สึกชัดเจน ก็จะเหมือนกับว่าเราบังคับหุ่นยนต์หรือรถยนต์ให้ทำหน้าที่ไป ต้องพยายามมองให้ชัดว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเราจริง ๆ เป็นสิ่งที่เราอาศัยอยู่เพื่อสร้างความดีแค่ชั่วคราวเท่านั้น ถึงเวลาตายจากละกันไป ถ้าไปพระนิพพานได้ก็จบ ถาม : การที่เขาเห็นว่าเป็นเขาที่เดินอยู่ แต่จิตที่ควบคุมอยู่เป็นตัวที่ตามมา อย่างนี้ถือว่ายังยึดร่างกายไหมคะ ? ตอบ : อย่างน้อยก็รู้ว่าแยกออกจากกัน ในเมื่อแยกออกจากกัน ก็พยายามมองให้เห็นว่าไม่ใช่ของเราให้ได้ |
ถาม : เหตุใดผมถึงรู้สึกค้างคาภายในใจลึก ๆ มานานตั้งแต่เด็กแล้วว่ามนุษย์ทุกคนล้วนอยู่ใน Matrix หรือประมาณกล่องใบหนึ่ง แล้วพิจารณาว่าถ้าบรรลุมรรคผลหรือออกจาก Matrix นี้ได้ แล้วจะเป็นอย่างไรต่อ ? เกิดคำถามพวกนี้มากมายขึ้นในใจผม เช่น ทำไมเราต้องเกิดมาเป็นดวงจิต ? เหตุใดต้องมีโลกและจักรวาลอื่นนับไม่ถ้วน ? ฯลฯ อยากกราบเรียนถามพระอาจารย์ว่าผมผิดปกติหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ค่อนข้างจะผิดปกติมาก..! ถาม : แล้วอาการผิดปกตินี้ควรจะแก้อย่างไร ? ตอบ : ไม่ต้องแก้...ทำไปจนกว่าจะรู้ครบทุกเรื่องก็จบแล้ว |
ถาม : ทุกวันนี้ดูเหมือนอินเทอร์เน็ตและ Facebook จะมีอิทธิพลต่อชีวิตมนุษย์ปุถุชนในโลกแห่งความเป็นจริงยิ่งกว่าสมัยก่อน และดูเหมือนจะเป็นเกือบทุกอย่างของชีวิต เช่น การรู้จักคน การซื้อขายสินค้า การทำบุญ และการปฏิสัมพันธ์ต่าง ๆ ที่สามารถสร้างกุศลกรรมและอกุศลกรรมได้อย่างรวดเร็วและฉับพลัน อีกทั้งสามารถทำให้เกิดความสุขและความทุกข์แบบปลอม ๆ ได้แนบเนียนเสียเหลือเกิน ผมกราบขอคำชี้แนะจากพระอาจารย์ว่า ผมผิดปกติหรือไม่ที่มีความรู้สึกเช่นนี้มาสักพักใหญ่แล้ว ? และขอกราบเรียนถามถึงวิธีการหนีรอดจากเครื่องมือของบ่วงมารนี้ได้
ตอบ : ผิดปกติไหม ? ก็ถือว่าแปลกแยกจากสังคม ส่วนวิธีทำอย่างไรจะให้ได้ประโยชน์ที่สุดหรือหลุดพ้นไปได้ ก็พยายามใช้ไปในเรื่องของการปฏิบัติธรรม หรือใช้สนับสนุนศีล สมาธิ ปัญญา ของเราให้ก้าวหน้ายิ่ง ๆ ขึ้นไป |
ถาม : ผู้ที่ปรารถนาความเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า จะสามารถบรรลุความเป็นพระโสดาบันได้หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าไม่ได้ละความปรารถนานั้นเสียก่อนก็บรรลุไม่ได้ |
ถาม : เคยมีคนบอกว่าเรื่องการย้ายเจดีย์นั้น หากนำเอาเงินทำบุญของพุทธบริษัทมาใช้ในงานบุญที่มีอานิสงส์มากกว่าเจตนาเดิมที่คนร่วมบุญมา ไม่ถือว่าเป็นการย้ายเจดีย์จริงไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเจ้าของเงินไม่ยินดีด้วย อย่างไรก็โดน..! |
ถาม : ถ้าฆราวาสมีปัญหากับพระสงฆ์ และต้องการขอขมาท่าน แต่ไม่สามารถขอขมาแบบตัวต่อตัวได้ ใช้วิธีถวายพานดอกไม้ธูปเทียนแพขอขมาต่อหน้าพระพุทธรูป และภาวนาคำขอขมาพระรัตนตรัยต่อพระเครื่องประจำตัวก่อนนอนตลอดทุกคืน อยากทราบว่าการทำเช่นนี้ถือว่าการขอขมาพระรัตนตรัยมีผลสมบูรณ์หรือไม่ครับ ? และหากไม่สมบูรณ์ กราบขอคำชี้แนะที่ถูกต้องจากพระอาจารย์ด้วยครับ
ตอบ : ดูท่าว่าจะไปไม่รอดหรอก เพราะใจกังวลเหลือเกิน สำหรับบุคคลนี้ที่ถาม เกิดจากการที่ไม่มีความกล้าหาญพอที่จะไปเผชิญหน้ากับพระท่าน ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ที่บอกว่าไม่สามารถไปพบและขอขมาซึ่งหน้าได้ ก็เป็นแค่ข้ออ้างเท่านั้น..! |
การถามคำถาม มีบุคคลหลายประเภทด้วยกัน ประเภทแรก...ถามเพื่อตั้งใจให้อาตมารับรองผลการปฏิบัติ เพื่อที่จะได้เอาไปอวดคนอื่นเขา ประเภทนี้จะเห็นว่าอาตมาจะไม่ตอบเลย ประเภทที่สอง...ถามให้คนอื่นรู้สึกว่าตนเองเป็นคนดี ซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่ารังเกียจพอกัน ฉะนั้น...ในส่วนที่น่าตอบที่สุดคือ ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติ เราติดขัดตรงไหนแล้วสอบถามมา ไม่ใช่ถามเปะปะไปเรื่อยเปื่อย หรืออวดความรู้ของตนเอง แต่บุคคลที่ว่ามาก็ดันมีมากเสียอีก..!
ไปนึกถึงแม่ชีท่านหนึ่งไปพักที่วัดท่าซุงราว ๆ ปี ๒๕๒๘ ประมาณหกโมงเช้าก็ไปทุบประตูศาลานวราช บอกว่า "ท่าน..เทปที่เปิดเมื่อเช้ามืด มีขายไหม ?" พระก็ตั้งหลักไม่ทัน ถามว่าเทปไหน ? แม่ชีก็ว่า "เทปที่ด่าฉันน่ะ" พระก็บอกว่า "ไม่มีนะ...เทปที่ด่าโยม" เขายืนยันว่ามี พระท่านถามว่า "โยมได้ยินเสียงด่าหรือ ?" เขายืนยันว่าหลวงพ่อด่าเขาตลอดครึ่งชั่วโมงที่ฟังเทป ในเมื่อเป็นเช่นนั้นพระท่านก็ถามต่อว่า "เกิดอะไรขึ้นถึงโดนด่าอย่างนั้น หลวงพ่อท่านด่าด้วยเรื่องอะไร ?" เขาตอบว่า ได้ปฏิบัติธรรมไปจนถึงระดับหนึ่งแล้วรู้สึกว่าตัวเองดี ก็เลยตั้งใจจะมาสนทนาธรรมกับหลวงพ่อ แต่ความตั้งใจอยู่ในลักษณะที่จะอวดว่าตัวเองดีแล้ว เวลาฟังเทปตอนเช้ามืดก็เลยได้ยินหลวงพ่อท่านด่า "อวดดี..ความรู้มีแค่หางอึ่ง ปฏิบัติได้นิดหน่อย ตั้งใจจะมาหาเรื่องคุยอวดชาวบ้านเขา หาเรื่องลงนรกชัด ๆ...ฯลฯ" หลวงพ่อท่านก็ว่าของท่านไปเรื่อย สรุปได้ความว่า เทปที่เปิดตอนเช้ามืดนั้น เป็นเทปปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะ ตั้งแต่ต้นจนท้ายไม่มีคำด่าสักคำเดียว แสดงว่าหูดีมาก สามารถได้ยินในสิ่งที่คนอื่นไม่ได้ยิน..! |
สมัยก่อนพอเลิกกรรมฐานทุ่มครึ่ง พวกเราก็มาจับกลุ่มสนทนาธรรมกัน พอสองทุ่มทางวัดจะเปิดเสียงตามสายของหลวงพ่อ หลวงตาวัชรชัยก็ยกมือไหว้อย่างดี แล้วก็ปิดเสียงที่ลำโพง ปรากฏว่าวันนั้นดวงเฮงทั้งคณะเลย พอยกมือไหว้ เอื้อมมือจะไปปิดเสียงลำโพง ก็มีเสียงหลวงพ่อดังออกมาว่า "ไอ้พวกชอบคุยแข่งเสียงธรรมะ แถมยังชอบปิดเสียงลำโพงด้วย หาเรื่องไปอเวจีทั้งก๊วน...!" สรุปแล้วเทปของหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านด่าได้จริง ๆ..!
|
อาตมาก็เจอมากับตัวเอง หลวงพ่อท่านเทศน์ว่าพระนางโรหิณีเกิดมาสวยมาก แต่ไม่กล้าที่จะไปพบพระพุทธเจ้า เพราะได้ยินว่าพระพุทธเจ้าไม่สรรเสริญเรื่องความงาม อาตมาก็นึกในใจว่า "ไม่น่าจะใช่ เพราะตามที่เคยอ่านมาเป็นพระนางรูปนันทา" เสียงหลวงพ่อในเทปบอกว่า "ถ้าในพระสูตรเป็นพระนางรูปนันทา แต่ในธรรมบทบอกว่าเป็นพระนางโรหิณี" อ้าว...แค่คิดในใจท่านก็เถียงแล้ว แสดงว่าเทปเสียงหลวงพ่อวัดท่าซุงเถียงเก่งทุกม้วน...!
|
ประสบการณ์ที่พบบ่อยก็คือ เวลาตั้งใจฟังเสียงสอนธรรมของหลวงพ่อวัดท่าซุง โดยปกติอาตมาจะฟังตั้งแต่ต้นจนจบ โดยขยับขาเปลี่ยนท่านั่งเพียงครั้งเดียว บางวันฟังไปพลิกขาไปสองครั้งก็แล้ว สามครั้งก็แล้ว ไม่จบสักที จนในที่สุดก็เกิดความสงสัยว่าทำไมวันนี้ท่านเทศน์ยาวแท้ ? จึงลืมตาขึ้นมาดู ปรากฏว่าทันทีที่ลืมตามา เสียงก็หายวับไปเลย เทปที่ตั้งใจเปิดฟังดีดจบไปตั้งนานแล้ว แต่ทำไมได้ยินเสียงต่อเนื่องตลอดเวลาก็ไม่รู้ ? เนื้อหาก็ต่อเนื่องเป็นเรื่องเดียวกันอีกด้วย
|
พระอาจารย์กล่าวว่า "ความเจ็บไข้ได้ป่วยสำหรับนักปฏิบัติแล้วถือเป็นกำไรใหญ่ อันดับแรก...ได้เห็นว่าร่างกายนี้ไม่ดีจริง ๆ อันดับที่สอง...การประคับประคองร่างกายตัวเองต้องใช้กำลังของสติ สมาธิมากกว่าปกติ ในลักษณะอย่างนั้นกิเลสจะกินใจของเราไม่ได้ โดยเฉพาะเมื่อเห็นความตายมาอยู่ตรงหน้า อาการเจ็บไข้ได้ป่วยหนักอย่างนี้ไม่ทราบว่าจะรอดหรือเปล่า ? ถ้าท่านที่ทำได้ก็จะส่งใจไปเกาะพระหรือเกาะพระนิพพานไว้ก่อน เป็นการประกันความเสี่ยง แต่สำหรับคนทั่วไปที่ไม่ใช่นักปฏิบัติธรรม บางทีก็โอดครวญอยู่กับความเจ็บป่วยนั้น
ถ้าเป็นนักปฏิบัติที่ปฏิบัติไปได้ระยะหนึ่ง บางทีไม่รู้ว่าตัวเองทำไปแล้ว ผลในการปฏิบัติมีมากน้อยเท่าไร ตอนเจ็บไข้ได้ป่วยหนัก ๆ จะรู้ว่าต้นทุนของเรามีเพียงพอหรือไม่ เพราะกำลังที่เราปฏิบัติได้ทั้งหมดจะมารวมตัวกัน แสดงออกให้เห็นอย่างชัดเจนว่าตอนนั้นเรามีกำลังเท่าไร ถ้าใครเป็นแล้วกำลังใจไม่เกาะร่างกาย ปล่อยวางได้เป็นปกติ รักษาไปตามหน้าที่...หายก็หาย ถ้าไม่หาย...จะตายก็เชิญตามสบาย ถ้าไม่มีความหวั่นไหว ปล่อยวางได้ขนาดนั้น โอกาสที่จะไปพระนิพพานก็มีสูง จึงสามารถวัดผลการปฏิบัติของตนเองได้ด้วย" |
ถาม : พระโพธิสัตว์ที่บำเพ็ญแบบปัญญาธิกะ บำเพ็ญบารมีเพียง ๔ อสงไขยหรือครับ ?
ตอบ : เฉพาะตอนท้าย ถาม : ปรมัตถบารมี ? ตอบ : ถูกต้อง บารมีต้นของปัญญาธิกะบำเพ็ญ ๗ อสงไขย บารมีกลางบำเพ็ญ ๙ อสงไขย บารมีปลายบำเพ็ญ ๔ อสงไขย รวมแล้ว ๒๐ อสงไขยถ้วน ๆ กับเศษอีกหนึ่งแสนมหากัป เพราะฉะนั้น...ได้ยินมาว่าปัญญาธิกะบำเพ็ญมา ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป โปรดทราบว่านั่นเป็นตอนท้ายเท่านั้น บาลีท่านบอกว่า จิตติตัง สัตตะสังเขยยัง คิดในใจว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าใช้เวลา ๗ อสงไขย นะวะสังเขยยะ วาจะกัง พูดว่าเราจะเป็นพระพุทธเจ้า ๙ อสงไขยกัป ก็เหลือสุดท้าย กาย วาจา ใจทำเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป ถ้าเป็นศรัทธาธิกะก็บวกเท่าตัวเลย รวมแล้ว ๔๐ อสงไขย วิริยาธิกะบวกไปอีกเท่าตัว รวมแล้ว ๘๐ อสงไขย ส่วนใหญ่ท่านทั้งหลายเหล่านี้ทำเพื่อความสุขความสบายของบริวาร ท่านก็เลยไม่ค่อยได้ใส่ใจว่าตัวเองจะลำบาก |
ถาม : หลวงพ่อวัดท่าซุงสัมพันธ์กับสมเด็จองค์ปฐมอย่างไรครับ ?
ตอบ : เคยเกิดเจอท่านมา ถาม : แล้วท่านปรารถนาพุทธภูมิสมัยสมเด็จองค์ปฐมหรือเปล่าครับ ? ตอบ : ไม่ได้ถาม ท่านเพียงแต่บอกว่าสมัยที่ท่านปรารถนาพุทธภูมิครั้งแรก ภูกระดึงยังเป็นเกาะเล็ก ๆ อยู่กลางทะเล ตอนนี้น้ำถอยไปยังปักษ์ใต้แล้ว แค่สมัยคณะของหลวงพ่อโสณะกับหลวงพ่ออุตตระมาเผยแผ่พุทธศาสนาในสุวรรณภูมิ ตอนนั้นนครปฐมอยู่ชายทะเล เป็นท่าเรือที่คนเข้ามาค้าขายกัน ปัจจุบันทะเลถอยยาวไปถึงชะอำของเพชรบุรีแล้ว |
พระอาจารย์กล่าวว่า "โดยปกติแล้วหลังการจัดงานวัด อาตมาจะอาศัยเวลาทำวัตรค่ำวันนั้น สรุปและประเมินผลการจัดงานว่ามีอะไรผิดพลาดที่ต้องแก้ไขบ้าง
เมื่อวานนี้ข้อผิดพลาดใหญ่ที่เห็นก็คือคน โดยเฉพาะแม่งานก็คือคุณชยาคมน์ พลาดตรงที่ไม่กล้าตัดสินใจ คนมาแน่นขนาดนั้นต้องเปิดบ้านให้เขาขึ้นเลย ไม่อย่างนั้นจะระบายคนไปทางไหน ? เขาให้คนวิ่งมาถาม อาตมาก็เลยไม่ตอบ โทษฐานที่ตัดสินใจไม่ได้ ท้ายสุดก็ไม่ยอมตัดสินใจอีก อาตมาจึงต้องเปิดบ้านเอง ถ้าหากว่าเป็นแม่งานต้องกล้าตัดสินใจ สมัยอยู่วัดท่าซุง หลวงพ่อตั้งคณะกรรมการสงฆ์ ๑๒ รูป ให้ดำเนินการแทนท่าน ให้อำนาจถึงขนาดว่า ถ้ากรรมการสงฆ์ ๒ ใน ๓ มีมติขับไล่ท่านออกจากวัด ท่านก็จะไป แต่ก็ไม่มีใครกล้าตัดสินใจสักคน ไม่ว่าเรื่องอะไรท้ายสุดก็ต้องให้หลวงพ่อท่านตัดสินใจ แล้วท่านจะตั้งคณะกรรมการสงฆ์ไว้ทำอะไร ? ท้ายสุดพออาตมาไปถวายการรับใช้หลวงพ่อ อะไรที่มั่นใจว่าทำแล้วไม่พลาดแน่ จะตัดสินใจทำแทนท่านไปเลย เพราะฉะนั้น...ช่วงสี่พรรษาสุดท้ายก่อนที่หลวงพ่อท่านจะมรณภาพ ท่านก็เลยเรียกใช้อาตมาอยู่คนเดียว เพราะอาตมา "กล้ารับผิด" พูดง่าย ๆ ว่าถ้าพลาดยอมแม้กระทั่งให้หลวงพ่อไล่ออกจากวัด แต่จะพยายามให้งานไปถึงท่านให้น้อยที่สุด เพื่อถนอมสังขารของท่านเอาไว้ให้นานที่สุด ก็เลยเป็นคนที่กล้าตัดสินใจและค่อนข้างที่จะเผด็จการ ส่วนใหญ่แล้วคนเรามักจะกลัวผิดกลัวพลาด ถนัดรับแต่ชอบ ไม่รับผิด ถ้ามีคนตัดสินใจแทนก็จะทำงานแบบสบายใจ ฉะนั้น...คนที่จะตัดสินใจรับผิดจึงหาได้ยาก ต่อไปถ้ารักที่จะทำอะไรโปรดรับผิดเสียบ้าง แล้วงานทุกอย่างจะไปได้ดีขึ้นกว่านี้ ถ้าเป็นแม่งานก็ไม่ต้องเกรงใจใครแล้ว แม้แต่เจ้าของบ้านก็ออกไปห่าง ๆ เลย ต้องตัดสินใจได้ทุกเรื่อง ไม่ใช่วิ่งมาถามทุกเรื่อง ถ้ามาถามทุกเรื่องอาตมาก็เป็นแม่งานเอง ไม่ใช่คนอื่นเป็น" |
"งานในส่วนอื่นของเมื่อวานนี้ก็คาดว่าจะเรียบร้อย ที่ต้องใช้คำว่า "คาดว่า" เพราะอาตมาไปไหนไม่ได้ ติดอยู่ข้างบนนี้ ไม่ได้ลงไปดู ได้ไปดูเอาก็ตอนที่เก็บกวาดเรียบร้อยแล้ว
เคยย้ำเตือนตั้งแต่สมัยจัดงานนิโรธกรรมของครูบาวิฑูรย์ที่ปรียานันท์ธรรมสถานครั้งแรก ๆ ว่า ใครรับงานต้องเป็นผู้เสียสละ ก็คือต้องประจำอยู่กับหน้าที่ของตนเอง ไม่ใช่ไปเสนอหน้าอยู่ใกล้ ๆ ครูบาอาจารย์ ถ้าเช่นนั้นงานของตัวเองก็จะบกพร่อง แล้วก็จะพาให้งานส่วนอื่นเสียไปด้วย งานของครูบาวิฑูรย์ส่วนที่ต้องแก้ไข แม้กระทั่งครั้งล่าสุดก็คือการจราจร อาตมาบอกไปครั้งหนึ่งว่า ให้หาไฟไปติดตรงทางเข้าด้านนอกให้คนเขาเห็น ปรากฏว่าไปติดเอาปากทางฝั่งโน้น แปลว่าคนเห็นคือเลยทางเข้าไปแล้ว ค่อนข้างจะติดได้ปัญญานิ่มมาก ไม่รู้เคยขับรถหรือเปล่า ? ต้องติดก่อนทางเข้าอย่างน้อยสัก ๑๐-๒๐ เมตร รถจะได้ชะลอและเข้าได้ทัน หรือถ้าจะให้ดีก็แต่งชุดสะท้อนแสง แล้วถือแท่งไฟโบกให้เขาเห็นเลย ปีนี้อาตมาก็เกือบจะถลำเลยไป ดีที่รู้ว่าทางเข้าอยู่บริเวณนั้น ถ้าคนที่ไม่รู้ก็คงต้องไปวนรถกลับมาใหม่" |
ถาม : เวลาสร้างพระ ทำไมถึงต้องสร้างสมเด็จองค์ปฐมกัน ?
ตอบ : อยู่ที่ความตั้งใจของเขา ส่วนใหญ่ที่สร้างแล้วประกาศว่าสร้างสมเด็จองค์ปฐมก็เพราะต้องการอานิสงส์ เนื่องจากหลวงพ่อวัดท่าซุงเคยบอกกับลูกศิษย์ว่า ถ้าใครสร้างสมเด็จองค์ปฐม พระยายมราชจะขึ้นบัญชีทองคำไว้ให้ ท่านเหล่านี้ถ้าไม่ใช่ถึงขนาดทำอนันตริยกรรมแล้ว ท่านจะพยายามประคองจิตให้นึกถึงความดีให้ได้ก่อนตาย คนก็เลยโยนภาระให้พระยายมราช โดยการประกาศว่ากูก็สร้างสมเด็จองค์ปฐม ถึงได้สร้างกันยกใหญ่ |
ถาม : ไปงานศพแล้วผีตามมาค่ะ ?
ตอบ : ไปบอกผีว่า มีปัญญาก็ตามไปเถอะ ถ้าเอ็งตามมา ข้าจะไม่อุทิศส่วนกุศลให้เอ็ง..! ถาม : ทำให้ไม่สบายเลยค่ะ ? ตอบ : ที่เขาบอกว่าไปแล้วชง อาตมาไปทีไรก็ชงทุกที บางทีตามมาเป็นร้อยเลย พวกไม่ใช่เจ้าของศพก็ตามมาด้วย เขาอยากได้บุญ ไปงานศพนี่ไข้จับตะครั่นตะครอเลย บางทีไม่ได้เฉลียวใจ ไม่ได้ตั้งใจดู ก็ปล่อยให้เขาตามไป ถาม : เขาทำให้หลวงพ่อไม่สบายหรือคะ ? ตอบ : ตะครั่นตะครอเหมือนจะจับไข้ บางทีกระอักกระอ่วนอยากจะอาเจียนก็มี แล้วแต่ว่าแรงมากแรงน้อย ถาม : ทำไมจึงมีผลได้ขนาดนั้น ? ตอบ : เขาพยายามตามตื๊อเรา ถ้าอุทิศส่วนกุศลให้เขาไป แผ่เมตตาให้เขาไปก็จบแล้ว แต่นี่บางทีลืม ไม่ได้นึกถึงเขา |
พระอาจารย์บอกกับโยมเรื่องที่ทำงานว่า "ทน ๆ เอาหน่อย อยู่ที่ไหนเราก็ต้องทน ถ้าทนแรงเสียดทานไม่ได้ อยู่ที่ไหนก็ลำบาก น่าเบื่ออย่างนี้ทุกที่แหละ โลกนี้ไม่มีอะไรได้ดั่งใจหรอก..ต้องทนอยู่ไป ตายแล้วอย่ามาเกิดอีกก็แล้วกัน"
|
มีโยมใส่กางเกงขาสั้น (มาก) มาบ้านวิริยบารมี พระอาจารย์จึงกล่าวกับโยมว่า "โยมใส่ชุดจนอาตมานึกว่าไม่ได้นุ่งอะไรข้างล่าง ถ้าตั้งใจมาหาพระไม่ต้องสวยมาก เล่นใส่สวยมากเดี๋ยวคนเขาจะนินทาเอา..!"
|
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันเสาร์นี้เตรียมสตางค์ไว้ทำบุญ ๒๐๐ บาท มีเหรียญของขวัญปีใหม่แจกให้ ยกเว้นใครอยากได้มากกว่า ๑ เหรียญก็เตรียมสตางค์ไว้เยอะ ๆ เหรียญของขวัญปีใหม่ชุดเดิมนั่นแหละ แต่ชุดนี้เป็นเนื้อชินตะกั่ว รับไปแล้วโปรดระวังจมูกพระจะบี้ ออกในราคาเหรียญละ ๒๐๐ บาทแค่พรุ่งนี้เท่านั้น"
|
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาเพิ่งจะทำบัญชีรายรับรายจ่ายของวัดเสร็จ จะส่งพรุ่งนี้ ฝากพระที่วัดไว้ให้ท่านไปส่งแทน ปีที่ผ่านมาจ่ายเกินรายรับไปนิดหน่อยแค่ ๔๐ ล้านกว่าบาท บวกของเก่าแล้วจ่ายเกินไป ๗๗ ล้านกว่าบาท ไม่เป็นไรหรอก...เดี๋ยวพวกเราช่วยกันทำบุญนิด ๆ หน่อย ๆ ก็หมดหนี้ไปเอง เพราะปีนี้มีการก่อสร้างใหญ่ ๆ อยู่แค่เมรุเท่านั้น ตอนนี้พวกโครงสร้างที่ถือว่าเป็นส่วนราคาแพงและสำคัญก็จ่ายไปจะหมดแล้ว"
|
พระอาจารย์กล่าวว่า "เหรียญของขวัญปีใหม่นั่นเข้าพิธีมา ๓ งานแล้ว เข้าเสาร์ ๕ มา ๒ ครั้ง แล้วก็เข้ากรรมฐาน ๓ วันมาอีกครั้งหนึ่ง ต้องบอกว่างานนี้เก็บความลับดีมาก โผล่ออกมาแล้วถึงจะรู้กัน แม้แต่อาตมาเองก็ยังไม่ได้เห็นว่าหน้าตาเหรียญเป็นอย่างไร เปิดกล่องเห็นพร้อมกันวันนั้นแหละ
รู้ไหมทำไมต้องเก็บความลับขนาดนั้น ? เพราะมีคนสร้างเลียนแบบทันทีทันใดเลย พอสร้างเลียนแบบแล้วก็เอามาเข้าพิธีของวัดท่าขนุน ขนาดมีดหมอเพชราวุธยังทำเลียนแบบกันให้ชุ่ยไปหมด" |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:51 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.