กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมกราคม ๒๕๕๖ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=3634)

เถรี 11-01-2013 20:50

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมกราคม ๒๕๕๖
 
ถาม : กระผมอยากบริจาคอวัยวะทุกอย่างที่ใช้ได้และร่างกาย แต่พอแจ้งกับแม่ว่าจะทำการบริจาค แม่มักจะห้ามไม่ให้บริจาค แล้วไม่คุยเรื่องนี้ด้วยทุกครั้งที่กระผมพยายามจะพูด ถ้าจะไปบริจาคเลยโดยไม่แจ้งให้ท่านทราบ แล้วค่อยกลับมาเล่าให้ท่านทราบภายหลัง กระผมจะมีบาปที่ทำกับแม่หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าทำโง่ ๆ แบบนั้นก็บาป..! ไปบริจาคแล้วอย่าบอกกับท่านก็หมดเรื่อง

ถาม : การบริจาคเลือดเป็นประจำ ได้บุญเหมือนกับการบริจาคอวัยวะ และร่างกายหรือไม่ครับ ?
ตอบ : การบริจาคเลือดถือว่าเป็นทานตัดชีวิตอย่างหนึ่ง ส่วนอานิสงส์การบริจาคอวัยวะอื่น ๆ จะต่างกันไป อย่างเช่น บริจาคดวงตา เกิดชาติใหม่ก็จะมีสายตาดี แต่บางคนกลัวว่าเกิดใหม่แล้วจะตาบอด
การบริจาคเลือดเป็นทานสละชีวิตเพราะตัดชีวิตของเราเองแบ่งให้กับผู้อื่นเขาไป อานิสงส์เหล่านี้ถ้าไม่ได้ทำบุญอื่นเลย จะส่งผลให้อย่างน้อยเข้าถึงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

เถรี 11-01-2013 20:53

ถาม : ถ้าการทำบุญทุกครั้งเราปรารถนาพระนิพพานอย่างเดียว อานิสงส์อื่น ๆ จะยังคงได้หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ปรารถนาพระนิพพานอย่างเดียว แล้วจะเอาอย่างอื่นทำไมอีก..!? เขาเรียกว่าถามแบบหัวมังกุท้ายมังกร

เถรี 11-01-2013 20:55

ถาม : กระผมได้เคยนำเหรียญที่เป็นรูปฆราวาสอย่างเดียวไม่มีรูปพระพุทธเจ้าอยู่เลย ไปเข้าพิธีพุทธาภิเษกในวันเสาร์ ๕ ของทางวัดท่าขนุน ไม่ทราบว่าเหรียญที่มีแต่รูปฆราวาสอย่างเดียว จะมีบารมีพุทธคุณขององค์พระพุทธเจ้าคุ้มครองผู้ที่นำเหรียญติดตัวหรือห้อยคอหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าเอาเข้าพิธีแล้วอัญเชิญพระท่านมาเสก ก็เป็นพุทธคุณอยู่แล้ว

เถรี 11-01-2013 20:59

ถาม : ตอนที่กำลังสวดมนต์ บ่อยครั้งที่ทำนองของการสวดมนต์เปลี่ยนไปเอง คือเปลี่ยนไปอีกทำนองที่เราไม่คุ้น หลังที่รู้ตัวว่าทำนองเปลี่ยนไปก็บังคับให้กลับมาทำนองเดิมแต่ทำไม่ได้ อยากทราบมีทางแก้ไขอย่างไรครับ ? และสาเหตุคืออะไร ?
ตอบ : ตั้งสติให้ดีกว่านั้น ถ้าสติไม่พอทำนองก็เพี้ยน หรือไม่อีกอย่างหนึ่งที่อาตมาเคยโดนมา กำลังสวดมนต์อยู่ ๆ ก็กลายเป็นทำนองภาคเหนือ สงสัยจึงลืมตาขึ้นมา ปรากฏว่าหลวงปู่ครูบาธรรมชัยมายืนยิ้มอยู่ข้าง ๆ ถ้าลักษณะอย่างนั้น แปลว่าท่านแสดงให้รู้ว่าท่านมา

เถรี 11-01-2013 21:12

ถาม : เตรียมจะสร้างบ้าน วางหน้าบ้านไว้ทิศเหนือ หลังบ้านไว้ทิศใต้ ด้านข้างไว้ทิศตะวันออกและตะวันตก ยกพื้นสูงแบบบ้านสมัยก่อน เมื่อเทียบกับการสร้างบ้านของคนโบราณ วางตำแหน่งบ้านตามนี้ถูกหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ภาษิตจีนเขาเรียกว่าถอดกางเกงผายลม ถามเสียยาวยืดโดยไม่มีความจำเป็น..! เอาหน้าบ้านไว้ทิศเหนือ หลังบ้านไว้ทิศใต้ ถ้าข้างบ้านไม่เป็นทิศตะวันออกหรือตะวันตก แล้วจะอยู่ทิศไหนได้..!?

สรุปว่าโบราณนิยมหันหน้าบ้านไว้ทิศเหนือหรือทิศใต้ เพราะถ้าหันทิศตะวันออกหรือตะวันตกแล้ว แดดจะเข้าทั้งเช้าและบ่าย แต่การหันทิศเหนือหรือทิศใต้นั้นให้ดูทิศให้ดี บ้านเราทิศเหนือจะรับลมหนาว เพราะฉะนั้นหน้าต่างควรจะหันหลังให้ทิศเหนือ เปิดรับลมทางด้านทิศใต้ แต่เจอหลายที่หน้าต่างเปิดรับลมทิศเหนือแล้วหันหลังทิศใต้ กลายเป็นฤดูร้อนลมไม่เข้าบ้าน แต่ฤดูหนาวลมเข้าเต็มที่เลย


ถาม : เตรียมการไว้จะลงเสาเอกในวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ถูกต้องหรือไม่ครับ ?
ตอบ : สรุปว่าไปเปิดตำราดูเถอะ

ถาม : จะบรรจุตะกรุดโสฬสที่ประมูลจากเว็บวัดท่าขนุนด้วย ควรอธิษฐานขออย่างไรและวางตะกรุดส่วนใดของเสาเอกครับ ?
ตอบ : ถ้าเป็นไปได้เอาไว้บนยอดเสา..! อยากจะบรรจุก็บรรจุลงไปพร้อมกับเทปูนไปเลย ที่บ้านวิริยบารมีก็ใส่ตะกรุดลงไปพร้อมกันอยู่แล้ว

ถาม : ถ้าจะสร้างรั้วบ้าน ถนนปูนเข้าไปในเขตบ้าน และอาคารชั้นเดียวไว้เก็บของต่าง ๆ ก่อนจะถึงพิธีลงเสาเอกของบ้าน ทำได้หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ปัญหานี้ตอบไม่ได้เพราะไม่มีแผนที่ให้ดู บางอย่างควรทำก็ทำไปก่อน ที่เหลือค่อยรอหลังจากลงเสาเอกหรือรอให้บ้านเสร็จ

เถรี 11-01-2013 21:18

ถาม : มีดหมอสร้างตามตำราวิชาเนื้อทองมหาสัตตโลหะ สายสำนักเขาอ้อ ตำราวิชามีดหมอวัดประดู่ทรงธรรม ตำราวิชามีดหมอหลวงพ่อเดิม ตำราวิชามีดหมอหลวงปู่ศุข และตำราวิชาวชิระโลหะสร้างดาบฟ้าฟื้นของขุนแผน กรรมวิธีการสร้างแตกต่างกันอย่างไร ? อานุภาพเฉพาะมวลสารอย่างไหนเหนือกว่ากันครับ ?
ตอบ : ตำราของขุนแผนเขาสร้างตามตำรามหาศาสตราคม ไปเอาตำราวชิระโลหะมาจากไหน ? ถ้าอยากจะรู้ว่าต่างกันอย่างไร เอาของทั้งหมดมาถวายอาตมา แล้วจะบอกให้..! ถ้าไม่มีก็เปรียบเทียบไม่ได้

เถรี 11-01-2013 21:24

ถาม : ตอนที่กระผมไม่สบายเป็นไข้หวัด กินยารักษาตัวอยู่ บังเอิญไปพบหลวงพ่อที่ท่านกำลังป่วยเป็นไข้หวัดเหมือนกัน แต่ท่านยังไม่มียาสำหรับฉันเพื่อรักษา กระผมจึงถวายยาที่ตนเองกำลังใช้อยู่ให้ท่านไป เนื่องจากหาที่ซื้อใหม่ไม่ได้ อย่างนี้ถือเป็น "ทาสทาน" ด้วยหรือไม่ โดยที่ไม่ได้มีเจตนาที่จะถวายของที่เหลือใช้แก่ท่านครับ ?
ตอบ : จะเป็นทาสทานหรือไม่ ไม่ต้องไปสนใจ สนใจที่ว่าเราได้มีโอกาสถวายหรือเปล่า ? ไม่ว่าจะเป็นของดีกว่าที่เรากินเราใช้ ของที่เสมอกัน หรือของที่ต่ำกว่าก็ตาม สำคัญว่าเราสละออกได้หรือไม่ ? เรื่องของอานิสงส์จะมาอย่างไรก็ช่างเถอะ เพราะถ้าตอนหลังเราไปถวายของที่ดีกว่าที่เรากินเราใช้ ก็จะทดแทนกันไปเอง

เถรี 11-01-2013 21:25

ถาม : ภิกษุได้สมาทานธุดงค์ข้อมีการเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร จะต้องไม่พึงยินดีภัต ๑๔ ชนิด มีสังฆภัตเป็นต้น ถ้าเขามานิมนต์ให้ไปฉันด้วยคำว่า "ไปฉันเช้าหรือฉันเพลเท่านั้น" แต่ไม่ได้บอกว่า "ไปรับสังฆทานด้วย" แต่เมื่อไปถึงบ้านโยมแล้ว มีการกล่าวคำถวายสังฆทานด้วย พอโยมกล่าวคำถวายสังฆทานเสร็จ เมื่อภิกษุรับว่า "สาธุ" ก็ดี ไม่รับว่าสาธุก็ดี ธุดงค์ข้อนี้จะขาดหรือไม่ครับ ?

ตอบ : ถ้ารับก็ขาดไปเลย แต่ถ้าจะรักษาไม่ให้ธุดงควัตรขาดเลย ก็อาจจะชีวิตขาดแทนเพราะอดฉัน..! เลือกเอาแล้วกันว่าจะรักษาอะไร

เถรี 11-01-2013 21:32

ถาม : เวลานั่งรถโดยสารจะหลับตาสวดพระคาถามงกุฏพระพุทธเจ้า พร้อมกับนับเม็ดประคำไปด้วย เมื่อสวดไปเรื่อย ๆ มีความรู้สึกว่าทุกอย่างเงียบ เหลือแต่ที่เรากำลังสวดอยู่ สักพักเดียวเหมือนหลับไป แล้วไม่มีความรู้สึกใด ๆ เลย แต่พอใกล้ถึงปลายทางที่จะลง ก็รู้สึกตัวขึ้นมาก่อนทุกครั้ง แต่สังเกตดูว่าเราก็ยังคงสวดของเราไปเรื่อย ๆ มือก็ยังนับเม็ดประคำไปเรื่อย ๆ เป็นเพราะอะไรครับ ?
ตอบ : สติขาด..ในเมื่อสติขาดก็เลยตามสมาธิไม่ทัน ทั้ง ๆ ที่สมาธิยังดำเนินไปตามปกติอย่างนั้น จนกระทั่งสติคืนมา สมาธิยังทำหน้าที่อยู่ เมื่อเรารับรู้ก็เลยรู้สึกว่าทำไมเรายังทำหน้าที่นั้นอยู่ โดยที่เราไม่รู้สึกอะไรเลย

วิธีแก้ไข..ให้เอาใจจดจ่ออยู่กับลมหายใจและคำภาวนาเฉพาะหน้า เอาให้แนบชิดติดกันไปเลย ถ้าเผลอก็จะเป็นอย่างนี้อีก

เถรี 11-01-2013 21:32

ถาม : กระผมเคยกระทำการย้ายเจดีย์มาหลายรอบเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ อยากทราบว่ากระผมจะมีวิธีแก้ไขความผิดที่แล้วมาได้อย่างไรครับ ?
ตอบ : ย้ายที่วัดไหนก็ไปย้ายคืนซะ..!

เถรี 13-01-2013 20:19

พระอาจารย์กล่าวกับโยมว่า "ภาราหะเว ปัญจักขันธา ขันธ์ ๕ นี้เป็นภาระยิ่งหนอ นอกจากภาระเลี้ยงดูตัวเอง บริหารตนเอง ดูแลรักษาตนเองแล้ว ยังต้องมีคู่ครอง ยังต้องมีลูก ยังต้องมีหลาน เยอะแยะไปหมด ตอนอยู่ตัวคนเดียวไม่อาบน้ำ ๓ - ๔ วันก็ยังเฉย ๆ ตอนอยู่กับเขา เย็นไม่อาบน้ำก็โดนดึงหูยานแล้ว ตอนเช้าขี้เกียจจะนอนเลื้อยตื่นสัก ๑๐ โมงก็ไม่เป็นไร ตอนนี้ไม่ได้ ต้องรีบแหกขี้ตาตื่นขึ้นมาเตรียมอาหารเผื่อเขาด้วย แค่คิดก็เหนื่อยแล้ว"

เถรี 13-01-2013 20:34

พระอาจารย์กล่าวว่า "ใครอยากจะไหว้พระเขี้ยวแก้วก็ไปวัดในวันมาฆบูชา วิสาขบูชา อาสาฬหบูชา ถ้าศาลาใหม่วัดท่าขนุนสร้างเสร็จ จะตั้งถาวรให้เข้าไปไหว้ได้ทุกวัน ให้เขาเริ่มรื้อศาลาแล้ว จะลงเสาเอกวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๕๖ นี้ หลังงานเป่ายันต์ ๑๑ วัน

พอลงเสาเอกแล้วคราวนี้ก็แล้วแต่ช่าง ทำไปเรื่อย ๆ ถึงก็ช่างไม่ถึงก็ช่าง อย่าทำเร็วเดี๋ยวอาตมาหาเงินไม่ทัน เพราะว่าตอนที่ทำแบบเมื่อเกือบ ๓ ปีก่อน ประเมินราคามา ๔๐ ล้านบาท ของเกือบ ๓ ปีขึ้นราคาไปเยอะ อาตมามัวแต่ทำพระชำระหนี้สงฆ์กับสมเด็จองค์ปฐมองค์ใหญ่ ก็เลยต้องรอมาจนป่านนี้ ระยะนี้ไม่อยากทำงานหลายอย่างพร้อมกัน เหนื่อยตอนหาเงินมาจ่ายค่าก่อสร้าง"

เถรี 13-01-2013 20:55

พระอาจารย์กล่าวว่า "คนเป็นพ่อแม่ ไม่เคยมองเห็นลูกตัวเองโตเลย นึกถึงสมัยก่อน ถ้าอาตมามีโอกาสลากลับบ้านก็จะไปนอนตักแม่ แม่จับหัวคลำไปคลำมาก็พูดว่า “ยังจำได้ว่าเห็นนอนดิ้น ๆ อยู่ ยังคลานไม่ได้เลย ทำไมโตขนาดนี้แล้ว ?” อาตมาบอกแม่ว่า “แม่..ตอนนี้ลูกแม่เป็นนายทหาร มีลูกน้องบานตะเกียงแล้ว แม่ยังเห็นเป็นเด็กอยู่อีก”

ความรักของพ่อของแม่เป็นความรักที่บริสุทธิ์ มีความปรารถนาดีต่อลูกอย่างเดียว จึงเป็นความรักเดียวกันกับความรักของพระอริยเจ้า ความรักของพระอริยเจ้าก็คือรักอย่างไม่มีข้อแม้ รักทุกคนโดยเสมอหน้ากัน ปรารถนาให้ทุกคนล่วงพ้นจากความทุกข์ มีแต่ความสุขเสมอกัน พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสอย่างเต็มปากเต็มคำว่า พระองค์รักราหุลเท่าใดก็รักเทวทัตเท่านั้น ถ้าคนที่ทำไม่ถึงจุดนี้จะไม่เข้าใจอย่างเด็ดขาดว่าเป็นไปได้อย่างไร คนหนึ่งเป็นลูกชายคนเดียว อีกคนหนึ่งเป็นศัตรู แต่สำหรับพระองค์ท่าน ไม่ได้เห็นว่าเป็นลูก ไม่ได้เห็นว่าเป็นศัตรู นั่นเป็นสิ่งที่ทางโลกเขาสมมติกันพระองค์ท่านเห็นว่าเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทุกคน

ในเมื่อเป็นดังนั้น ความรักของพระอริยเจ้ากับความรักของพ่อแม่ จึงเป็นความรักที่เหมือนกัน เขาถึงได้บอกว่าพ่อแม่คือพระอรหันต์ของลูก เพราะความรักของพ่อแม่ก็คือความรักแบบเดียวกับพระอรหันต์ แต่ปรากฏว่าพระอรหันต์ในบ้านจำนวนมากในปัจจุบันนี้ ไปลดคุณค่าของตัวเองลง รักลูกโดยมีข้อแม้ ถ้ารักลูกโดยมีข้อแม้แสดงว่ากำลังใจตกมาก ไม่ใช่พระอรหันต์แล้ว เพราะฉะนั้น..ห้ามรักลูกโดยมีข้อแม้ ต้องเป็นอัปปมัญญา (ไม่มีประมาณ) สงเคราะห์ได้แค่ไหนก็สงเคราะห์ สงเคราะห์ไปเต็มที่แล้วเอาดีไม่ได้ก็ปล่อยวาง แต่ถึงปล่อยวางก็ยังประกอบไปด้วยเมตตากรุณา เมื่อมีโอกาสก็พร้อมที่จะสงเคราะห์ใหม่ในทันที

คำว่ารักในความรู้สึกของบุคคลทั่ว ๆ ไป กับคำว่ารักในความรู้สึกของพระอริยเจ้า ห่างกัน ๘๔,๐๐๐ ลี้ยังว่าน้อยไปเลย ความรักของคนทั่ว ๆ ไปคือความรักที่มีเงื่อนไข มีข้อแม้ทั้งหมด พอถึงเวลาไม่ได้อย่างเงื่อนไข ไม่ได้อย่างข้อแม้ก็ทะเลาะกันบ้านแตก แต่ความรักของพระอริยเจ้าท่านไม่ทะเลาะกับใครหรอก คำว่ารักคนละความหมายกัน บางอย่างท่านถึงได้บอกว่า เมื่อเข้าถึงแล้วเป็นปัจจัตตัง ปัจจะ กับ อัตตะ ก็คือเฉพาะตน คนอื่นอธิบายให้เข้าใจไม่ได้ ต้องเข้าถึงเองถึงจะซาบซึ้งว่าแปลว่าอะไร

แบบเดียวกับพระปัจเจกพุทธเจ้า ปัจจะ กับ เอกะ เป็นปัจเจกะ อันนั้นเฉพาะหนึ่งเดียวจริง ๆ"

เถรี 13-01-2013 21:04

ถาม : คำสอนของเหลาจื๊อกับขงจื๊อต่างก็เป็นปรมัตถธรรม ?
ตอบ : ไม่ใช่จ้ะ...คำสอนของขงจื๊อส่วนใหญ่เป็นจริยธรรม คือเรื่องที่คนทั่ว ๆ ไปควรปฏิบัติ ส่วนคำสอนเหลาจื๊อเป็นการเข้าถึงธรรมชาติโดยส่วนหนึ่ง พูดง่าย ๆ ว่าเห็นทุกอย่างในความเป็นธรรมชาติแท้ ถือว่าเข้าถึงปรมัตถธรรมเหมือนกัน แต่ไม่เข้าถึงที่สุด แต่ขนาดเข้าไม่ถึงที่สุด คัมภีร์เต๋าเต็กเก็งที่ท่านเขียนสั้นนิดเดียว ทำเอาคนศึกษามาจนป่านนี้แล้วยังไม่ทะลุเสียที

เหลาจื๊อมีประวัติการเกิดที่พิสดาร อยู่ในท้องแม่ตั้ง ๘๐ ปี พอฤดูหนาวบ้านก็อบอุ่น ดอกไม้บานสะพรั่งรอบบ้าน ฤดูร้อนอากาศก็เย็นสบาย มวลหมู่แมลงนกกามาบินล้อมเต็มบ้านไปหมด แม่ออกไปทางไหนก็มีแต่ความรื่นรมย์ ไม่มีความลำบากในการตั้งท้องเลย สามารถทำงานทำการทุกอย่างได้เหมือนคนปกติ ตอนที่คลอดก็คลอดแปลก ๆ แม่ไปชมสวน เห็นดอกไม้สวยอยากได้ เอื้อมมือไปเด็ด รู้สึกว่าสีข้างขาดแควก แล้วลูกก็หล่นลงมา พอหล่นลงมาหน้าตาก็เท่าคนอายุ ๘๐ ปี หนวดเคราขาวแล้ว แม่ยังสาวพริ้งอยู่เลย ตั้งท้องมา ๘๐ ปี ที่เขาเรียกเหลาจื๊อ = ตาเฒ่า

เรื่องของศาสดาต้องมีเรื่องอัศจรรย์ ไม่อย่างนั้นแล้วคนส่วนใหญ่ที่ยึดติดกับเรื่องของปาฏิหาริย์ เรื่องของคุณวิเศษจะไม่เชื่อ คราวนี้ท่านเองก็คงระอาใจ สิ่งที่ท่านรู้ลึกซึ้งเหลือเกิน อธิบายให้คนทั่ว ๆ ไปแล้วเหมือนกับดีดพิณให้กระบือฟัง ท้ายสุดท่านก็เลยตัดสินใจเดินทางออกนอกด่าน ก็คือออกนอกกำแพงใหญ่ ถ้าเป็นสมัยก่อนก็คือไปพ้นเขตความเจริญ คราวนี้นายด่านเสียดายความรู้ท่าน ตอนที่พักอยู่ที่ด่าน จึงขอให้ช่วยเขียนความรู้ของท่านไว้เป็นที่ระลึกสักชุดหนึ่ง ท่านจึงเขียนเต๋าเต็กเก็ง (คัมภีร์แห่งเต๋า) ท่านเขียนใส่ไม้ไผ่ ที่เขาเรียกว่าเต็กเก็งก็คือคัมภีร์ไม้ไผ่

ถ้ามาสายของเหลาจื๊อนี่จะเข้าถึงปรมัตถธรรมได้อย่างลึกซึ้ง แต่ถ้าสายของขงจื๊อส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของคุณธรรม ก็คือพื้นฐานที่มนุษย์ควรจะมีควรจะเป็น จนกระทั่งทุกวันนี้ยังฝังลึกอยู่ในครอบครัวจีนอยู่ตลอดเวลา อย่างเรื่องความกตัญญู จะว่าไปแล้วท่านก็อยู่ร่วมสมัยกับพระพุทธเจ้า เกิดทันพุทธกาลเหมือนกัน แต่ที่น่าสงสารก็คือพวกฝรั่ง ศาสดาต่าง ๆ อยู่ตะวันออกหมดเลย ไม่มีตะวันตกสักท่านเดียว แม้แต่ศาสนาคริสต์ที่แพร่หลายทางตะวันตก พระเยซูก็เกิดที่อิสราเอล ตะวันออกกลางพอดีเลย

เถรี 13-01-2013 21:15

ถาม : เรื่องโลกแตก ?
ตอบ : อาตมายืนยันว่าโลกไม่แตกหรอก แต่เรื่องภัยพิบัติต่าง ๆ เป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้น เพราะคนเราถึงวาระสร้างกรรมมา กรรมนั้น ๆ ก็จะสนอง เรื่องภัยพิบัติมีแน่ แต่เรื่องโลกแตกนี่อาจจะร้าว ๆ บ้าง แต่ไม่แตกแน่นอน

เถรี 13-01-2013 21:35

ถาม : วัดท่าขนุนอยู่ในส่วนที่ทัพไทยไปรบพม่าที่ท่าดินแดง ?
ตอบ : เป็นที่ตั้งค่ายเลย เป็นที่ตั้งค่ายของรัชกาลที่ ๑ กับสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท สมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ ยังเป็นที่ตั้งค่ายเชลยศึกที่ทหารญี่ปุ่นคุมมาสร้างทางรถไฟสายมรณะ พูดง่าย ๆ ว่าท่าขนุนเป็นที่สำคัญสุด ๆ

ท่านเจ้าคุณพระราชสารสุธี เจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี สุพรรณบุรี นครปฐม ฝ่ายธรรมยุติ ท่านปรารภว่า "ทำไมอาจารย์เล็กไม่เลื่อนพระใหญ่ไปข้างหลังสัก ๑๐ - ๒๐ เมตร ให้พระใหญ่อยู่ข้างหลัง แล้วพระชำระหนี้สงฆ์อยู่ด้านหน้า ๒ ข้างนี่จะเด่นมาก ๆ เลย" อาตมากราบเรียนท่านว่า "ผมก็อยากจะเลื่อนไปข้างหลังครับ แต่จะไปทับทางรถไฟสายมรณะเสียหมด ผมต้องการที่จะเปิดทางรถไฟสายมรณะตรงนั้นเป็นแหล่งเที่ยว ถึงเวลาก็ซื้อรางรถไฟเก่า ๆ กับตู้มาตั้งไว้สัก ๒ ตู้ก็ยังดี ให้คนเขาได้มาเห็นกัน"

ด้านหน้าอาตมาถมทางรถไฟไปแล้ว ๔๐ - ๕๐ เมตร ถ้าเลื่อนพระใหญ่ถอยไปอีกก็หายไปเป็น ๑๐๐ เมตร ตอนนี้ทางรถไฟสายมรณะช่วงบนก็เหลืออยู่แค่ตรงวัดท่าขนุนเท่านั้นแหละ เพราะว่าที่อื่นเขาไถทิ้งเพื่อทำไร่ไปหมดแล้ว


ถาม : ตรงที่ป่าช้าหรือครับ ?
ตอบ : ก่อนป่าช้าตัดข้ามถนนมา เฉียง ๆ อยู่ด้านหลังสมเด็จองค์ใหญ่ แล้วก็วิ่งเฉียดเขาวัดท่าขนุนไป แต่ด้านที่เฉียดภูเขาโดนเขาไถทิ้ง กลายเป็นไร่ยางพาราไปแล้ว เหลือแต่ส่วนที่อยู่ในดงไผ่ของวัดท่าขนุน

อาตมาตั้งใจว่าจะบูรณะขึ้นมา เพราะว่าปีนี้ดินฟ้าอากาศอำนวย ป่าไผ่วัดท่าขนุนตกขุยหมดเลย แปลว่าจะตายเกลี้ยงยกป่า อาตมาสามารถรื้อเอาทางรถไฟออกมาได้ โดยที่ชาวบ้านไม่ด่า ไม่อย่างนั้นอยู่ ๆ ไปฟันป่าทิ้งเดี๋ยวเป็นเรื่อง เวลารื้อออกมาเสร็จสรรพเรียบร้อย ตอนปรับแต่งคงต้องฝังท่อบางช่วงเพื่อให้น้ำไหลผ่านได้ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวน้ำจะขังเป็นแอ่ง

พอฝังท่อเสร็จก็ต้องไปหาซื้อเหล็กรางรถไฟเก่า ๆ กับไม้หมอน จ้างเขาประกอบ ซื้อตู้รถไฟเก่า ๆ มาตั้ง ให้นักท่องเที่ยวไปตั้งท่าถ่ายรูปกัน

เถรี 13-01-2013 21:50

ถาม : สงครามพม่าครั้งนั้น ผมก็รบด้วย ?
ตอบ : อาตมาอยากจะบอกว่า อาตมาก็รบด้วย ตอนนั้นอาตมาเป็นทัพหน้าเข้าไปซุ่มตีพม่า พอพม่าข้ามเขากำลังจะลงมา ก็ตีกระหนาบขึ้นไป คือไม่ให้เขาลงมาถึงที่ราบ ในเมื่อไม่ให้ลงมาถึงที่ราบ พวกที่ดาหน้ามา ต่อให้มาพร้อม ๆ กันก็ได้แค่ ๑๐ - ๒๐ คน พวกข้างหลังก็ไปอัดเบียดกันอยู่

พอข้างล่างบุกขึ้นไป ข้าง ๆ กระหน่ำออกมา ก็ต้องแตกฮือกันไป พวกที่แตกออกข้างทางนี่ซวยที่สุด เพราะฝังขวากไว้หมดแล้ว ถึงเวลาโดนขวากก็กองอยู่ตรงนั้นแหละ ตามไปฟันหัวทีละคน เพราะฉะนั้น..ไม่ต้องแปลกใจหรอกว่าทำไมอาตมาป่วยอยู่อย่างนี้ ไปกวาดกองหน้ามาหมดเกลี้ยงมาแล้ว ไม่เหลือสักรายเลย ผลัดกันรุกผลัดกันรับ ฟาดกันอยู่ ๓ วัน พวกเราอาศัยชำนาญพื้นที่มากกว่า และทหารมอญ ทหารกะเหรี่ยงเข้าข้างเรา เขาเห็นว่าพม่าเป็นฝ่ายมารุกราน

จากนั้นมาก็มีการตั้งนายด่านกะเหรี่ยง นายด่านมอญ ๗ เมืองด้วยกัน ตลอดลำน้ำแควใหญ่แควน้อย เพื่อป้องกันการรุกรานของพม่า เมืองด่านเก่า ๆ มี เมืองสิงห์ เมืองลุ่มสุ่ม เมืองท่าตะกั่ว เมืองไทรโยค เมืองท่าขนุน เมืองทองผาภูมิ พวกนี้อยู่สองฝั่งแม่น้ำแควน้อย ส่วนเมืองท่ากระดานอยู่ฝั่งแม่น้ำแควใหญ่ จะมีหน้าที่ส่งส่วยให้ทางกรุงเทพฯ ก็คือมีข้าวของอะไรที่เป็นของดีในพื้นที่ อย่างพวกของป่า บางแห่งก็เป็นทองคำเลย

อย่างเขตเมืองท่าขนุนนี่เป็นแหล่งทองคำ เขาถึงได้เรียกว่าทองผาภูมิ เพราะว่ามีแหล่งทองคำด้วย เพิ่งจะมาเปลี่ยนแปลงเมื่อสมัยรัชกาลที่ ๖ ไม่อย่างนั้นแล้วทางด้านกะเหรี่ยงแถวด่านเจดีย์ ๓ องค์นี่มีตำแหน่งเป็นคุณพระ พระศรีสุวรรณคีรี เป็นกะเหรี่ยง ได้รับพระราชทานพระแก้วจากในหลวงรัชกาลที่ ๕ ด้วย ทุกวันนี้เขาเก็บไว้ที่วัดสะเนพ่อง ถึงเวลาก็มีการจัดงานฉลอง ก็ถือว่าเป็นของมงคลใหญ่ ได้รับพระราชทานจากเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน

เถรี 13-01-2013 21:58

เมืองสิงห์ในปัจจุบันก็คือปราสาทเมืองสิงห์ บางทีเขาเรียกบ้านวังสิงห์ เมืองท่าตะกั่วปัจจุบันเป็นแค่หมู่บ้าน เมืองลุ่มสุ่มเป็นตำบล เมืองไทรโยคเป็นอำเภอ เมืองท่าขนุนเป็นอำเภอ เมืองท่ากระดานปัจจุบันเป็นตำบลอยู่ในเขตอำเภอศรีสวัสดิ์ เหตุที่ทางด้านแควน้อยมีเมืองหน้าด่านมากกว่าทางด้านแควใหญ่ เพราะว่าเป็นเส้นทางเดินทัพที่สะดวก จึงต้องตั้งด่านสกัดเป็นระยะ ๆ ทางด้านแควใหญ่เดินทางลำบากก็เอาด่านเมืองท่ากระดานไปเมืองเดียว

เมืองนี้เป็นต้นตำรับพระกรุท่ากระดาน เกศคดสนิมแดง อาตมายังมีพระกรุท่ากระดานของหลวงปู่สายอยู่ ๗ - ๘ องค์ ยังคำนวณไม่ได้เลยว่าราคาเท่าไร เพราะในพื้นที่เขาให้กันราคา ๓๐,๐๐๐ - ๔๐,๐๐๐ บาท อาตมาก็อมเงียบ แต่ครั้งก่อนความลับแตก ทิดวุฒิ ลูกโยมเตือน ลูกศิษย์เก่าแก่วัดท่าขนุน เอาตะกรุดไป ๒ ชุด อาตมาบอกว่าแม่ชีตั้งราคาไว้ ๓๐,๐๐๐ บาท เขาบอกว่า ๓๐,๐๐๐ บาทก็จะเอา จึงให้ไปจ่ายเงินกับแม่ชี แล้วมาเอาตะกรุดที่อาตมา

ปรากฏว่าแม่ชีเห็นว่าเป็นลูกศิษย์เก่าแก่ จึงลดให้เหลือชุดละ ๒๐,๐๐๐ บาท เป็นตะกรุดตำราหลวงปู่เดิม วัดหนองโพ หลวงปู่สายท่านจารแล้วท่านถักเชือกเอง คนในพื้นที่จะหวงกันมาก

เถรี 13-01-2013 22:16

ถาม : ตอนนี้พม่าเขามาป่วนเรา ?
ตอบ : ตอนนี้ก็เรื่องของเขาสิ อาตมาไปกวนเขามาเยอะแล้ว ไปป่วนในบ้านในเมืองเขามา ๖ ปีเต็ม ๆ ป่วนจนเวียนหัวอยู่ทุกวันนี้ อ่านดูในบันทึกเที่ยวเมืองพม่าก็ได้ พวกชาวบ้านยังทึ่งเลย "คราวที่แล้วอาจารย์เพิ่งจะโดนยิง..มาอีกแล้ว" ก็พวกนั้นยิงแล้วอาตมาไม่ตายนี่หว่า จะไม่มาได้อย่างไร ถ้ายิงแล้วตายก็มาไม่ได้ เขาไม่นึกว่าโดนไปขนาดนั้นแล้วยังกล้ามา

ไปนึกถึงไกรทองรบกับชาละวัน "ไกรทองเข้าชิดติดชนัก จมน้ำสำลักไม่ยักหนี ทิ้งชนักควักมีดกรีดกุมภีร์ เชื่อดีต่อสู้ไม่รู้รา" คำว่า "เชื่อดี" คือรู้ว่าตัวเองมีดี ตรงที่มีวิชาที่ครูบาอาจารย์ประสิทธิ์ประสาทมา จระเข้กัดไม่เข้า ไม่ตายอยู่แล้ว..ไม่หนีหรอก

จระเข้ตัวใหญ่ตั้งหลายวา พอเข้าใกล้จะแทงด้วยชนักก็ไม่ถนัด เพราะด้ามยาว จึงโยนชนักทิ้งแล้วเอามีดแทงจนชาละวันเลือดอาบไปทั้งตัว ชาละวันจะทำอะไรก็ไม่ถนัด เจอคาถาไกรทองผูกปากไว้ อ้าปากไม่ออก

ของอาตมาเชื่อว่าบารมีพระ บารมีครูบาอาจารย์คุ้มได้แน่ ถึงโดนขนาดไหนก็ไปอีก ทำเอาชาวบ้านเขาทึ่งกันไปหมด เพิ่งโดนไล่ยิงไปไม่กี่วัน กลับมาอีกแล้ว


ถาม : ได้อภิญญาหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : คาถาเป็นเบื้องต้นของอภิญญา ถ้าคนเล่นคาถาขึ้นก็เล่นอภิญญาได้

ถาม : ต้องได้สมาธิเป็นอย่างน้อย ?
ตอบ : อุปจารสมาธิขึ้นไปคาถาก็ได้ผลแล้ว เพียงแต่ต้องมั่นใจ ถ้าความมั่นใจลดลงเมื่อไรก็คือวิชาเสื่อม ถ้ายิ่งทรงฌานได้อำนาจคาถาก็ยิ่งมาก ลองไปศึกษาประวัติของครูบาอาจารย์ที่เป็นฆราวาสของสายวัดเขาอ้อดูสิ แต่ละท่านทรงฌานทั้งนั้น ประเภทบางคนหันมามองนี่กระเด็นเลย ความรู้สึกของคนโดนมองเหมือนกับโดนฟ้าผ่า ก็คือเขาภาวนาจนเป็นปกติ พลังส่งออกก็เป็นปกติ มีคนไม่รู้เรื่องดันเข้าไปบริเวณที่เขาฝึกวิชาอยู่ แค่หันมามองนี่ปลิวเลย..!

เถรี 14-01-2013 20:53

ถาม : คาถาต้องใช้สมาธิ ?
ตอบ : คาถาอาคมทุกอย่างต้องมีสมาธิเป็นพื้นฐาน ถ้าไม่มีสมาธิเป็นพื้นฐาน สักแต่ว่าท่อง ๆ ไปก็ไม่อาจสำเร็จประโยชน์ได้

ถาม : ผมไปอ่านเจอว่าพระคาถาเงินล้านให้ท่องวันละ ๑๐๘ จบแล้ววางจิตไว้ที่ศูนย์กลางกาย แล้วคนที่ได้ขณิกสมาธิจะได้ผลไหมครับ ?
ตอบ : ได้ผลหมดทั้งนั้น ขอให้ทำจริง ๆ และสม่ำเสมอ ถ้าทำจริงและสม่ำเสมอ ต่อให้เป็นขณิกสมาธิก็มีผล แต่ถ้าสมาธิยิ่งสูงผลก็ยิ่งมาก

ถาม : ถ้าเป็นขณิกสมาธิจะเห็นผลทันทีไหมครับ ?
ตอบ : ทำต่อเนื่องกันระยะหนึ่ง ๒ เดือนก็รู้เรื่องแล้ว เพียงแต่ตัดตัวอยากออกไปให้หมด อย่าทำเพราะอยากรวย แต่ให้ทำเพราะคิดว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ดีที่สุด เป็นสิ่งที่หลวงปู่หลวงพ่อครูบาอาจารย์ท่านให้มา หน้าที่ของเราก็คือต้องรักษาไว้อย่างดี ด้วยการท่องบ่นภาวนาไว้ประจำ เราก็ว่าของเราไปเรื่อย ก่อนจะภาวนาอยากรวยก็ไม่เป็นไร ไม่ผิดปกติ แต่ตอนภาวนาต้องลืมตัวนี้ให้ได้ มีหน้าที่ภาวนาอย่างเดียว ผลจะเกิดหรือไม่เกิดก็แล้วแต่ เราว่าของเราไปเรื่อย ใช้เป็นคำภาวนาควบลมหายใจเข้าออกเลย

ถาม : เวลาที่เรามองภาพนิมิต ความอยากจะอยู่ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้ากำลังใจจดจ่อที่นิมิต ความอยากต่าง ๆ ก็ไม่มี แต่ถ้าหลุดออกมาเมื่อไรก็อยากใหม่

ถาม : ที่บอกว่าถ้าใช้พระคาถาเงินล้านเป็นฌานได้ ก็จะเป็นผลดี แต่ทีนี้ขณะที่เราจับภาพนิมิตกับท่องคำภาวนาไปเรื่อย ๆ จิตก็จะเป็นอุปจารสมาธิหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ทำไป...เข้าถึงแล้วก็จะรู้เอง ถ้าเริ่มเป็นฌานจะรู้ลมหายใจและคำภาวนาโดยอัตโนมัติ ต่อให้ทำอะไรอยู่ก็รู้ได้ ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าเริ่มทรงฌานแล้ว ไม่ต้องเสียเวลาบังคับก็จะภาวนาเอง รู้ลมหายใจเอง

เถรี 14-01-2013 21:04

ถาม : ผมบูชาลูกแก้วของหลวงพ่อวัดท่าซุงมา จะใช้ควบกับคาถาเงินล้านอย่างไร ?
ตอบ : นึกถึงพระ นึกถึงหลวงพ่อวัดท่าซุง นึกถึงลูกแก้ว ขอให้ท่านสงเคราะห์แล้วเราก็ภาวนาคาถาเงินล้านไป มีของเหล่านี้ช่วย ผลทั้งหลายจะเกิดเร็วขึ้น ถ้าไม่มีเราก็ต้องว่าเองสักประมาณ ๒ เดือน แต่ต้องเป็นคนช่างสังเกต แรก ๆ เงินเกินมาเราไม่ค่อยรู้หรอก จะไปสังหรณ์ใจตอนที่จำได้ว่าเรามีเงินเท่าไร ซื้อของไปตั้งเยอะตั้งแยะแล้วเงินยังอยู่เท่าเดิม ตอนนั้นจะเริ่มรู้สึกว่าแปลก ๆ แล้ว

อย่างอาตมาเอาเงินไปฝากธนาคาร พนักงานธนาคารชอบถามว่าใครนับเงินเพราะผิดทุกที อาตมาก็เลยบอกว่าถ้าอย่างนั้นคุณมานับก็แล้วกัน เขาก็มานับเงินที่วัดแล้วก็เอาไป จดตัวเลขไว้เรียบร้อย เดี๋ยวสักพักโทรศัพท์มา เสียงอ่อยเลย “อาจารย์ครับ...เงินเกินมา ๓,๐๐๐ บาท เดี๋ยวผมเอาเข้าบัญชีเลยนะครับ” “เออ..คราวนี้เอ็งนับเองใช่ไหม ?” ไม่อย่างนั้นอาตมานับเองทีไร เขามองหน้ากันแล้วหัวเราะว่าอาตมานับผิดทุกที

เถรี 14-01-2013 21:06

พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาเสียดายอยู่อย่างหนึ่งว่า เอาวัตถุมงคลของเก่าออกในเว็บแล้วคนไม่รู้จักกัน อย่างสมเด็จวัดพลับ ออกในเว็บราคาไม่ได้ครึ่งของท้องตลาด เขายังไม่รู้จักของกันเลย อาตมารู้สึกดีใจมากที่ไม่มีใครเอา เพราะจะได้บูชาต่อ ก็เลยคิดว่ากระทู้ต่อไปคงเอาของที่เขารู้จักเป็นหลัก

แต่คนที่เขารู้จัก อย่างพระมเหศวร ขนาดอาตมาบอกชัด ๆ ว่าสภาพ ๘๐% ยังโดดคว้าหมับเลย สมเด็จจิตรลดาคิดทองแท่งตั้ง ๒๐ บาท ก็คว้าไปทันทีเลย"

เถรี 14-01-2013 21:16

ถาม : เวลาที่เราจับภาพนิมิตอยู่แล้ววูบไป ไม่รู้ว่าหลับหรือรู้สึกตัวครับ ?
ตอบ : ถ้าสมาธิเริ่มทรงตัวจนเป็นฌาน แต่สติหยาบไปหน่อย สภาพจิตก็จะพลัดลงมา อาการจะวูบเหมือนคนตกจากที่สูง ก็แปลว่าใกล้จะดีแล้ว ให้เอาสติจดจ่ออยู่กับลมหายใจเข้าออก แนบชิดสนิทติดตามไปเลย ถ้าเผลอหลุดเมื่อไรเดี๋ยวก็เป็นอีก แต่ถ้าก้าวข้ามไปได้ทีเดียวจะไม่เป็นอีกเลย เพราะสภาพจิตชินแล้ว กระโดดข้ามไปเป็นฌานเลย

ถาม : คือเรารู้ตัวก็ดึงกลับมา ?
ตอบ : รู้ตัวก็เริ่มต้นใหม่ ตามลมหายใจไป ให้สังเกตว่า ทันทีที่เราหลุดจากลมหายใจเมื่อไรก็จะวูบ

ถาม : เราดึงกลับมาใหม่ก็คือเราถอยหลัง ?
ตอบ : เท่ากับเราถอยหลัง ก็เริ่มต้นใหม่ แค่พักเดียวเอง ถอยมาตั้งหลักแล้วก็ไปต่อ

ถาม : เวลาจิตเข้าสู่ฌานลึก การภาวนายังคงอยู่ต่อใช่ไหมครับ ?
ตอบ : มีเป็นปกติ แต่จะรู้ลมอัตโนมัติ ลมหายใจละเอียดลง สนใจอยู่แต่กับลมหายใจ ไม่สนใจเรื่องภายนอก เรื่องภายนอกถ้ามีอะไรน่าสนใจก็จะส่งความคิดความรู้สึกไปสนใจหน่อยหนึ่ง แล้วกลับมาอยู่กับลมหายใจใหม่

เถรี 14-01-2013 21:27

พระอาจารย์กล่าวกับเด็กวัยรุ่นที่กำลังเรียนว่า "การเรียนไม่มีอะไรยากหรอก ถ้าที่ผ่านมาไม่รู้เรื่องก็ทิ้งไปเลย เปิดเทอมใหม่ตั้งต้นใหม่ แล้วเริ่มให้ความสนใจกับวิชาใหม่ก็จะเข้าใจเอง การเรียนอย่าทิ้งช่วง ถ้าทิ้งช่วง ขาดเรียน โดดเรียน ต่อไปจะลำบาก เพราะต่อไม่ติด ถ้าต่อไม่ติดเมื่อไรต้องรีบถามอาจารย์ โดยเฉพาะถ้าเราขาดเรียน มีเอกสาร มีการบ้านอะไรต้องรีบติดต่อเพื่อนแล้วหามาศึกษา หามาทำไว้

หลวงพ่อเองไม่ได้เรียนเก่งกว่าคนอื่นเขาหรอก เพียงแต่ว่าให้ความสนใจ โดยเฉพาะหลวงพ่อเหมือนเป็นตัวแทนของห้อง ต้องทำสรุปคำสอนของอาจารย์แต่ละชั่วโมงแจกให้เพื่อน ก็เท่ากับว่าได้ทบทวนอยู่ตลอดเวลา ที่ได้เกียรตินิยมอันดับ ๑ ของประเทศมา ไม่ได้เก่งหรอก แต่ว่าทบทวนอยู่ตลอด

ช่วงนี้เป็นช่วงวิกฤต พอเริ่มเข้าสู่วัยรุ่นสิ่งที่น่าสนใจมากกว่าการเรียนมีเยอะแยะไปหมด แต่เราพลิกวิกฤตเป็นโอกาสได้ เพราะเพื่อนส่วนใหญ่เขาก็เป็นอย่างนี้ เราพลิกวิกฤตเป็นโอกาสคือมาเร่งตัวเองในเรื่องการเรียน จะแซงเพื่อนได้สบายเลย ที่แล้ว ๆ มาก็ช่างหัวมัน เรามาเริ่มต้นสนใจใหม่ ใครจะว่าอะไรปล่อยเขา เขาจะว่าเราบ้าเรียนก็ช่าง เรียนจบออกมาทำงานแล้ว คราวนี้จะเที่ยวเท่าไรจะกินเท่าไรค่อยไป เราต้องรู้หน้าที่ตัวเองว่าตอนนี้ควรจะทำอะไร"

เถรี 14-01-2013 21:37

"ปกติกระแสโลกไปทางนั้นอยู่แล้ว สิ่งต่าง ๆ ที่มาดึงดูดความสนใจมีมาก ถ้าวัยรุ่นตามพวกนี้ไม่ทัน คุยกับเพื่อนก็ไม่รู้เรื่อง แต่เราเองก็ต้องมีเวลา อย่างเช่นว่าอย่านอนดึก ถ้านอนดึกแล้วรุ่งขึ้นเรียนไม่รู้เรื่องหรอก แย่ที่สุด ๔ ทุ่มก็ให้นอนได้แล้ว ตื่นเช้ามาตี ๕ ทวนสิ่งที่เรียนมาสักหน่อย กินอาหารเสร็จ ไปโรงเรียนพร้อมลุยเลย

ตอนอาตมาเรียนอยู่ พอถึงเวลาเข้าห้องอาจารย์จะถามว่า "อาทิตย์ที่แล้วผมสอนไปถึงไหน ?" จึงต้องอ่านทวนอยู่ตลอดเวลา ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวอาจารย์ถามแล้วตอบไม่ได้ ก็เท่ากับว่าได้ทวนความรู้อยู่ทุกวัน อาจารย์พูด จับจุดให้ได้ว่าท่านสอนเรื่องอะไร หัวข้อใหญ่คืออะไร หัวข้อย่อยคืออะไร ถ้าได้แค่นี้พอแล้ว คำพูดอื่น ๆ เราไปอธิบายเองได้

พอถึงเวลาก็จดตามไป อาตมามีแต่เศษกระดาษ โดยเฉพาะกระดาษใช้แล้วหน้าหนึ่ง จดไปเรื่อย อาจารย์พูดเร็วก็เขียนเร็ว พูดช้าก็เขียนช้า เสร็จแล้วมาลอกลงสมุด เท่ากับได้ทวนอีกรอบหนึ่ง อย่าทิ้งนานนะ..ถ้าทิ้งนานจะลืม แล้วบางทีมานั่งแคะลายมือตัวเองยังอ่านไม่ออกเลย พอลอกลงสมุด คราวนี้อ่านง่ายแล้ว ก่อนเข้าห้องเรียนก็อ่านทวนสักรอบหนึ่ง จะได้รู้ว่าอาจารย์ท่านสอนไปถึงไหนแล้ว

วันก่อนสอบวิชาสถิติ ทำเสร็จเพื่อนเอาไปลอกกัน ยังขำเพื่อนเลย “เฮ้ย...ไปกินกาแฟกันก่อน มารยาทในการลอกต้องใจเย็น ๆ อย่าไปเร่งเขา ให้เขาทำเสร็จก่อน” เพื่อนแต่ละคนสุดยอดจริง ๆ จริงของเขา ถ้ามาเร่งเดี๋ยวก็โดนเตะเพราะยังไม่เสร็จ พอทำเสร็จคราวนี้สุมหัวกันเป็นกระจุกเลย

พออาจารย์ออกไปห้องน้ำ “เฮ้ย ๆ ฉายขึ้นจอไปเลย” จะได้ลอกพร้อม ๆ กัน คนหนึ่งก็คอยดูต้นทาง อาจารย์ออกจากห้องน้ำหรือยัง ดูแล้วอย่างกับเด็ก ๆ ทั้ง ๆ ที่แต่ละคนอายุ ๕๐ - ๖๐ ปีแล้ว สมกับที่เรียนปริญญาเอก เพราะสามารถสรุปได้ว่าคนลอกที่ดีจะต้องทำอย่างไร"

เถรี 15-01-2013 21:37

ถาม : บูชาท่านท้าวมหาราชทั้งสี่ไว้ที่บ้าน เอาไว้ที่ไหนดีคะ ?
ตอบ : ไว้ที่ไหนก็ได้จ้ะ ให้อยู่สูงหน่อย

ถาม : ที่บ้านมีศาลพระภูมิเจ้าที่ด้วย
ตอบ : ไม่เป็นไรจ้ะ ท่านเป็นนายใหญ่ของพระภูมิเลย ไหว้ท่านก็นึกถึงเจ้าที่ด้วย ท้าวมหาราชเป็นเจ้านายของพระภูมิ กว่าจะถึงพระภูมิเจ้าที่ยังต้องลงไปอีก ๓ ชั้น

ถาม : ควรบูชาท่านอย่างไรคะ ?
ตอบ :การบูชาท่านก็กราบไหว้ตามปกติ ถ้าอยากให้รู้สึกว่าเราได้ทำการบูชาท่านจริง ๆ วันพระใหญ่ก็ถวายผลไม้หรือน้ำสะอาดสักครั้งหนึ่ง เวลาเราทำบุญสังฆทานก็อุทิศส่วนกุศลให้ท่าน มีอะไรที่ไม่เกินวิสัยขอให้ท่านช่วยสงเคราะห์เราด้วย

ถาม : อุทิศแบบเจาะจงเลยใช่ไหมคะ ?
ตอบ : จะอุทิศเจาะจงเป็นท่านเลยก็ได้ หรือจะอุทิศให้เทพเจ้าทั้งหลายที่ปกปักรักษาข้าพเจ้าก็ได้

เถรี 15-01-2013 21:43

ถาม : ถ้าเราจะอุทิศส่วนบุญให้พ่อแม่เลยได้ไหมครับ ?
ตอบ : บอกให้ท่านโมทนาดีกว่า ได้ตรง ๆ เลย

ถามว่าการอุทิศให้มีผลไหม ? เคยมีตัวอย่าง คนไทยไปลักลอบทำประมงในเขมร แล้วโดนจับไปขังคุกอยู่ ๒ - ๓ ปีกว่าจะปล่อยกลับมาได้ ตอนที่เรือของเขมรไล่ยิงเอา ต่างคนต่างก็โดดน้ำหนี คนที่รอดกลับมาเมืองไทยได้ก็นึกว่าเพื่อนตายแล้ว จึงมาบอกกับครอบครัวว่าเพื่อนตายแล้ว ทางครอบครัวก็ทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้

หลังจากออกจากคุก กลับมาถึงบ้านแล้ว เขาบอกว่าวันที่ทางบ้านทำบุญแล้วอุทิศไปให้ อยู่ ๆ เขาก็อิ่มขึ้นมาเฉย ๆ ทั้งที่ในคุกอด ๆ อยาก ๆ จะว่าไปแล้วแสดงว่าก็มีผลเหมือนกันนะ เพียงแต่ว่าไม่ใช่ลักษณะของผลโดยตรงเหมือนกับเทวดา ที่เขาโมทนาแล้วก็ได้ดีไปเลย

ถ้าเอาแน่ ๆ ก็บอกให้ท่านโมทนาดีกว่า ได้ตรง ๆ ไปเลย ลักษณะอย่างนั้นถ้ากำลังใจไม่ได้คิดถึงทางบ้าน และทางบ้านไม่ได้อุทิศไป ก็พอดีไม่ต้องเจอกัน เขาคงคิดถึงทางบ้านเต็มที่แล้ว กลายเป็นว่าคลื่นต่อกันได้พอดี ยกเว้นอย่างหนึ่งคือบุญการบวช ถ้าบุญบวชพระบวชเณร พ่อแม่ไม่รู้หรือไม่โมทนาก็ยังได้บุญ เพราะว่าเราเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของท่านโดยตรง ส่วนบุญอื่นต้องโมทนาถึงจะได้

เถรี 15-01-2013 21:50

ถาม : ถ้าเราอุทิศส่วนกุศลให้เขา เขายังไม่ได้รับบุญ แล้วถ้าเขาตายไป เขาจะได้บุญกุศลนั้นไหมครับ ?
ตอบ : เอาอย่างคุณลุงที่ไปลงในเว็บ ที่บอกว่าทุกวันให้ตั้งใจโมทนาบุญที่คนอื่นเขาทำ

อย่างตอนที่คุณลุงขึ้นไปบนสวรรค์ แล้วเทวดาเขาให้กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศล เทลงมาเป็นประกายคลุมลงมาทั้งโลกเลย ใครที่ตั้งใจรับก็จะได้ไป ใครที่ไม่ตั้งใจรับก็สูญเปล่า ท่านพบมาเองจึงบอกว่า ตื่นเช้าขึ้นมาให้ตั้งใจโมทนาความดีที่คนอื่นเขาทำทั้งหมด เท่ากับเราเปิดกำลังใจรับเลย ถ้าทำอย่างนั้นแล้วจะได้แน่ ๆ กำลังใจของเราน้อมนึกถึงว่า วันนี้คนอื่นเขาทำความดีเท่าไร เราขอโมทนาด้วย แล้วสิ่งที่เราทำทั้งหมดก็ขออุทิศให้กับเขาทั้งหลายด้วย

พูดง่าย ๆ ก็คือเราก็อุทิศส่วนกุศลด้วย แล้วก็โมทนาเองด้วย ไม่อย่างนั้นก็กลายเป็นสูญเปล่าไปเฉย ๆ เหมือนกับส่งอาหารไปแล้วไม่มีใครกิน หมดสภาพไปเฉย ๆ


ถาม : อย่างนี้ก็ได้กำไรเพียบเลยสิครับ
ตอบ : กำไรก็คือกำไร แต่ต้องวางกำลังใจให้ถูก อย่างที่บอกว่า โมทนาเป็นการพลอยยินดีในความดีของคนอื่น ไม่ใช่ว่ากูจะเอาของมึง ถ้าวางกำลังใจประเภทกูจะเอาของมึงนั่นผิด เขาส่งให้ทางประตู แต่ไปรับทางหน้าต่างแล้วจะไปได้รับอะไร

เถรี 15-01-2013 22:09

พระอาจารย์เล่าว่า "มีโยมจะมาช่วยตั้งกองทุนอาหารหมา อาตมาไล่เตลิดไปแล้ว บอกว่าไม่ต้องเลย หมาวัดท่าขนุนไม่ได้อด เลือกกินอีกต่างหาก อาหารเหลือเฟือ แต่ถ้าไม่อร่อยหมาไม่กินเลย นึกถึงสมัยเด็ก ๆ อาตมาเลี้ยงหมา อย่างเก่งก็ได้กินน้ำข้าวเท่านั้น ที่เหลือไปหากินเอาเอง ไล่จับตุ่น จับแย้ จับกิ้งก่ากินเอง ก็เห็นแข็งแรงดีออก

แต่สัญชาตญาณเขาสุดยอดเลย บางทีตั้งใจแกล้งเขา ตอนตรุษจีนกินไก่แล้วเหลือกระดูกขาไก่ ยกให้หมาดูแล้วขว้างเข้าไปในดงหญ้าคา หมาวิ่งพรวดเข้าไปไม่ถึง ๑ นาทีเอาออกมากินแล้ว สมัยนี้โยนเลยหัวไปคืบเดียวยังหาไม่เจอ สมรรถภาพของหมาเสื่อมลงขนาดนั้น ต้องปล่อยลักษณะอย่างที่อาตมาเลี้ยง แบบนั้นอยู่ในสถานการณ์ไหนก็เอาตัวรอดได้

หนังสือ Survival ที่เขาแปลเป็นไทยว่าต้องรอด เนื้อเรื่องกล่าวถึงว่าแผ่นดินไหวแล้วถล่มลงทะเลไป ตัวเองไปติดอยู่บนเกาะ กว่าจะข้ามมาทางด้านแผ่นดินใหญ่ได้ก็หลายเดือน ปรากฏว่ามาเจอหมาจับกลุ่มกันล่าสัตว์ หมากลับคืนสัญชาตญาณป่าแล้ว มาเจอคนก็จะกินคน พอตัวเองเดินอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพังของกรุงโตเกียว อยู่ ๆ เสือก็โผล่ออกมา เสือหลุดจากสวนสัตว์มา เจออะไรก็จับกินไปเรื่อย คราวนี้ไม่มีคนให้กินก็กินสัตว์ อยู่ ๆ มาเจอคนเข้าก็จะกินคนแล้ว

สัญชาตญาณของสัตว์จะมีความเป็นสัตว์ป่าอยู่เยอะ พอถึงเวลาตามความเคยชินก็จะออกล่า เราจะสังเกตว่า ที่หมากัดคน ถ้ายิ่งร้องเอะอะเอ็ดตะโรหมาจะยิ่งกัด เพราะว่าเป็นสัญชาตญาณในการล่าของเขา สัตว์ที่โดนล่าก็จะต้องร้องอย่างนี้"


ถาม : เป็นกรรมหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เป็น...แต่น้อย เพราะว่าเขาอยู่ในภพภูมิที่มืดบอดกว่า เมื่ออยู่ในภพภูมิที่มืดบอดกว่า สิ่งที่เขาทำกรรมก็น้อยกว่า ถ้าอย่างเราทำบาปจะหนักกว่ามาก

เถรี 16-01-2013 11:30

พระอาจารย์กล่าวถึงการสร้างพระพุทธรูปทองคำว่า "ช่างเขาประเมินมาว่า ต้องใช้ทองประมาณ ๔๐ กิโลกรัม ตอนนี้ได้มาแล้วประมาณ ๒ กิโลกรัม เหลืออีก ๓๘ กิโลกรัม ไม่ได้กลัวเลย..เพราะว่าเหลือเวลาอีกตั้ง ๖ ปี..อีก ๖ ปีข้างหน้าจะหล่อพระฉลองอายุ ๖๐ ปี จึงเตรียมการตั้งแต่ตอนนี้"

เถรี 16-01-2013 12:00

พระอาจารย์กล่าวว่า "โดยประเพณีนิยมแล้วในงานศพ ถ้าผู้ตายอาวุโสกว่าเราต้องแต่งชุดขาว ถ้าผู้ตายเด็กกว่าเราถึงแต่งชุดดำ แต่ในปัจจุบันนี้แต่งดำกันให้มั่วไปหมด กลายเป็นว่าคนตายอายุ ๘๕ ปี คนไปงานศพอายุ ๒๐ ปีก็แต่งดำไป มีอยู่อย่างเดียวคนที่จะแต่งดำได้ต้องอาวุโสด้วยฐานะ อย่างเช่นเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ตัวอย่างสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เสด็จไปงานของสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดาฯ โดยพระยศสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สูงกว่าจึงแต่งดำ ถ้ายศต่ำกว่าท่านต้องแต่งขาว คนสมัยใหม่ไม่ค่อยรู้ธรรมเนียม เอะอะก็แต่งดำกันหมด

ถ้าคนตายอาวุโสกว่าเราต้องแต่งขาว ถ้าคนตายเด็กกว่าเราแต่งดำ จำไว้แม่น ๆ "


ถาม : เคยเห็นรัชกาลที่ ๖ ไปงานสมเด็จพระพันปีหลวง พระองค์แต่งขาว ?
ตอบ : แบบนั้นพระองค์ท่านยกย่องให้ แบบเดียวกับในหลวงเสด็จงานสมเด็จย่า พระองค์ท่านก็แต่งขาว เพราะแม้สมเด็จย่าพระยศจะต่ำกว่า แต่พระองค์ท่านยกย่องให้ในฐานะของแม่

เถรี 16-01-2013 12:11

ถาม : ทำไมเป่ายันต์เกราะเพชร จึงเป็นเสาร์ ๕ ทำไมถึงไม่เป็นวันอังคาร ?
ตอบ : ในเรื่องของวันเวลาที่โบราณาจารย์ท่านกำหนดมาตามสายครูบาอาจารย์นั้น ท่านศึกษาทางโหราศาสตร์อย่างลึกซึ้ง แล้วก็รู้ว่าในวันนั้นเวลานั้น กำลังของดวงดาวที่ส่งลงมาจะแรงที่สุด ในเมื่อเป็นอย่างนั้นท่านก็จะเอาประโยชน์ตรงจุดนั้น จึงต้องเลือกวันที่เหมาะกับงาน

ไปนึกถึงปราสาทหินเขาพนมรุ้ง พอถึงวันเวลาแล้วพระอาทิตย์จะส่องแสงตรงทุกช่องพอดี กำลังที่ว่าก็จะมาในลักษณะอย่างนั้น ถ้าไม่ได้วันนั้นก็จะเอียงไปบ้าง ส่องไม่ได้ทุกประตู เรื่องอย่างนี้โบราณเขาเก่งกว่าเราเยอะ เพราะว่าเขาศึกษาทางจิตมามาก รู้โดยความเป็นทิพย์ ซึ่งแม่นกว่าตำรา

แต่ปฏิทินมายานี่คนรุ่นใหม่มั่วเอานะ ตกลงโลกแตกไปหรือยัง ?


ถาม : จริง ๆ เป็นเรื่องหลอกหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ต้องถามคนมายา มายาภาษาบาลีแปลว่าหลอกลวง จะได้รู้ว่าคนเราที่กลัวตายนั้นกลัวตายจริง ๆ คนที่กลัวตายอย่างมีสติ อย่างเช่นว่าเตรียมตัวรับมือก็ดี ตั้งหน้าตั้งตาประกอบกองบุญการกุศลก็ดี อย่างนี้ถือว่ามีสติ แต่หลายคนไปปล้นไปจี้ ปล้นธนาคารเอาเงินไปกินไปเที่ยวก่อนโลกแตก ๗ วัน นั่นไร้สติ คิดว่าโลกจะแตกแล้วก็เลยรีบทำ

เถรี 16-01-2013 12:18

สมัยอาตมาเรียนมัธยมอยู่ตอนปี ๒๕๑๘ อาตมาอายุ ๑๖ ปี เขามีคำร่ำลือว่าอีก ๑๐ วันโลกจะแตก เพื่อน ๆ ในห้องลาออกไปแต่งงานกันหลายคู่ กลัวว่าโลกแตกแล้วจะไม่ได้แต่ง สรุปแล้วพอหลังจาก ๑๐ วันโลกไม่แตก อาตมายังคงเรียนหนังสือต่อ แต่เพื่อนเขาต้องไปเลี้ยงลูกแล้ว จะบอกว่าสมน้ำหน้าดีไหม ?

เรื่องพวกนี้แสดงให้เห็นว่าคนเราขาดหลักธรรมมาก พระพุทธเจ้าท่านตรัสแล้ว มา อิติ กิรายะ อย่าเชื่อเพราะเขาลือกัน แม้กระทั่ง มา ตักกะเหตุ ขนาดตรองแล้วเข้ากับตรรกะหรือทฤษฎีต่าง ๆ ยังเชื่อไม่ได้เลย เพราะถ้าคนเอาข้อพิสูจน์มายืนยันได้ว่าทฤษฎีนี้ไม่ถูก ตั้งทฤษฎีใหม่ขึ้นมานี่ก็เจ๊งแล้ว

ดังนั้น..สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ทุกอย่างเป็นสัจธรรมที่ไม่สามารถที่จะเถียงได้ คราวนี้เราไปเชื่อคำร่ำลือก็ไปกันใหญ่ แต่ว่าคนที่เชื่อคำร่ำลือแล้วตั้งหน้าตั้งตาประกอบกองบุญการกุศล คิดว่าใกล้วาระสุดท้ายของชีวิตแล้วเราต้องทำกำลังใจให้ดีที่สุด ถึงเวลาจะได้ไปให้ไกลที่สุด ถือว่าเชื่ออย่างมีสติ แต่พวกไปทำผิดทำพลาด ถือว่าสิ้นสติ..!

เถรี 16-01-2013 12:29

ถาม : ถวายสังฆทานให้แม่ แม่เขาเสียมาครบปีแล้ว ไม่ทราบว่าแม่จะได้รับหรือเปล่า ?
ตอบ : ผู้ตายได้รับไม่ได้รับไม่เป็นไรหรอก เราเองให้ได้ทำไว้ก่อน เพราะว่าคนทำต้องได้เอง ถ้าฝันถึงท่านบ่อยนี่ได้แน่จ้ะ พวกที่มาในฝันได้แสดงว่าไม่ลำบากหรอก พวกที่ลำบากจะมาไม่ได้

เถรี 16-01-2013 12:32

พระอาจารย์กล่าวกับโยมว่า "เคยอ่านเรื่องสาวฝรั่งเศสไม่มีวันอ้วนไหม ? สาวฝรั่งเศสไม่ดื่มกาแฟ ไม่ดื่มน้ำหวาน ไม่ดื่มโค้ก สาวฝรั่งเศสดื่มแต่น้ำเปล่า เครื่องดื่มที่ว่ามาเป็นตัวอ้วนดีนักแล ดื่มแล้วไม่อิ่ม ลองเปลี่ยนนิสัยมาดื่มน้ำเปล่าดูสิ แล้วจะรักษาหุ่นได้อย่างหลวงพ่อบ้าง หลวงพ่อก็ถนัดแต่น้ำเปล่า

สาวฝรั่งเศสเขาไม่อ้วนเพราะว่าแม้กระทั่งตามออฟฟิศเขาก็เตรียมน้ำเปล่าไว้ให้ มีทั้งใส่คูลเลอร์ ตามโต๊ะก็ตั้งน้ำแร่โต๊ะละขวด โรงอาหารก็มีน้ำแร่โต๊ะละขวด ขวดขนาดลิตรครึ่ง ถ้าหมดก็เบิกเพิ่มได้ เพราะฉะนั้น..ตามออฟฟิศของเขาก็เลยไม่มีของพวกนี้ขาย ไม่มีน้ำหวาน ไม่มีโค้ก ไม่มีเป๊ปซี่ ไม่มีกาแฟ"

เถรี 16-01-2013 12:52

ถาม : มีคนอยากจะศึกษาว่าพระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างไร ทำไมถึงตรัสห้ามผู้หญิงบวช ?
ตอบ : ท่านบอกว่าถ้าพระธรรมวินัยนี้มีผู้หญิงเข้ามาบวช ศาสนาจะตั้งอยู่ไม่ครบ ๕,๐๐๐ ปี คุณลองนึกถึงทุกวันนี้ว่าขนาดผู้หญิงอยู่นอกวัด ยังมีเรื่องมีราวฉาวโฉ่ไม่รู้ตั้งเท่าไร แล้วภิกษุณีนี่ท่านบังคับเลยว่าต้องอยู่ในอารามที่มีผู้ชายคือภิกษุ เพียงแต่ให้กันเขตไว้ต่างหาก เพราะสมัยก่อนอยู่แต่ในอารามที่มีแต่ผู้หญิงแล้วโดนเขาข่มขืน จึงต้องมีภิกษุคอยป้องกันให้ แต่แบ่งเขตให้อยู่ต่างหาก คราวนี้กลายเป็นว่าน้ำมันกับไฟใกล้กัน โอกาสเสียหายมีเยอะ เพราะสมัยหลัง ๆ ไม่ใช่พระอริยเจ้า ส่วนใหญ่เป็นปุถุชน พระพุทธเจ้าท่านไม่ต้องการที่จะให้เกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นมา ถึงได้สั่งห้ามไว้

ถาม : สามเณรีกับสิกขมานาต่างกันมากน้อยแค่ไหน ?
ตอบ : สามเณรีบวชเป็นเณรผู้หญิง ถือศีล ๑๐ ข้อ ส่วนสิกขมานาเป็นผู้หญิงเตรียมบวช ถือศีลแค่ ๖ ข้อ ถึงแค่ข้อวิกาลโภชนา แต่สิกขมานาให้ถือศีล ๖ อยู่ ๒ ปี ถ้าภายใน ๒ ปีศีลขาด ให้เริ่มต้นนับ ๑ ใหม่

ถาม : สามเณรีต้องถือสิกขมานาก่อนหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ไม่ต้อง...บวชเป็นสามเณรีเลย ถ้าอายุครบ ๒๐ ปี ก็บวชเป็นภิกษุณีต่อไปได้เลย

เถรี 16-01-2013 13:17

ถาม : สังฆาทิเสสที่บอกว่า ภิกษุห้ามถูกต้องจับกายหญิง แล้วถ้าผู้หญิงถูกตัวพระ ?
ตอบ : ไม่เป็นไร..แต่เราต้องระมัดระวังตัวเองว่ามีจิตยินดีหรือเปล่า ? ถ้าเขาจับตัวแล้วเรายินดีในสัมผัสนั้นก็ซวยไปด้วย

ถาม : ถ้าเป็นผู้ชายจับผู้ชายด้วยกัน ?
ตอบ : โดนอาบัติเหมือนกัน ท่านใช้คำว่า กายสังสัคคัง มีกายอันสัมผัสกัน ต่อให้พระกับพระ ถึงไม่ถูกตัวกันก็ห้ามนอนใต้ผ้าห่มเดียวกัน พระวินัยห้ามไว้ชัดเลย โดนอาบัติทุกกฎ

พระพุทธเจ้าท่านรู้ยิ่งกว่ารู้ ถึงได้ห้ามไว้รอบคอบขนาดนั้น เพราะถ้าไม่ห้าม สมัยนี้พวกชอบผู้ชายด้วยกันมีเยอะ ของพระจึงห้ามถูกต้องเนื้อตัวกันทั้ง ๆ ที่เป็นผู้ชาย ต่อให้ไม่ถูกเนื้อตัวกัน นอนใต้ผ้าห่มเดียวกันก็ไม่ได้ สั่งห้ามขาดเลย

ถาม : ที่มุงที่บังเดียวกันได้ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าที่มุงที่บังเดียวกันต้องแยกส่วน ก็คือเป็นพระด้วยกันไม่เป็นไร แต่ต้องมีเขตของตัวเอง เรียกว่า ติจีวรวิปปวาส เขตที่อยู่ที่ปราศจากไตรจีวรของตัวเอง

ถาม : พวกจีวรที่ให้อยู่ในเขตหัตถบาส ?
ตอบ : หนุนหัวสิครับ รักษาจีวรง่ายจะตาย เอาหนุนหัวไปเลย

ถาม : ภิกษุที่มีกำหนัดถูกจับต้องภิกษุ ผิดอาบัติทุกกฎหรือครับ ?
ตอบ : ภิกษุก็ผู้ชาย อย่าลืมว่าจับต้องกายผู้ชายโดนอาบัติทุกกฎ ถ้าจับต้องกายบัณเฑาะว์ โดนสังฆาทิเสส ซวยหนักเข้าไปอีก ขาดความเป็นพระเลย ไปเห็นเขากระตุ้งกระติ้งแล้วไปลูบ ๆ คลำ ๆ เข้าก็เป็นเรื่อง..!

เถรี 18-01-2013 12:18

พระอาจารย์กล่าวว่า "เขาว่าคนรวยจริงมักจะไม่อวดรวย แต่คนไม่เคยรวยมักจะอวดรวย เขาใช้คำว่า "มะพร้าวตื่นดก ยาจกตื่นมี" เขาว่าได้แสบมาก คนทั้งหลายเหล่านี้ขาดความมั่นใจในตนเอง ก็เลยต้องเอาเครื่องประดับมาช่วยเพิ่มความมั่นใจให้ ทำให้กลายเป็นเป็นประเภทตู้เพชรตู้ทองเคลื่อนที่

มีอยู่รายหนึ่ง ถ้าจำไม่ผิดเขาใส่สร้อยคอทองคำหนัก ๑๗ บาท โดนกระชากแล้วสร้อยเหนียวดึงไม่ขาด ตัวเองก็เลยหัวฟาดพื้นเป็นอัมพาตไปเลย การแต่งตัวอวดร่ำอวดรวย สมัยนี้เป็นเรื่องที่ไม่ควรทำอย่างเด็ดขาด

สมัยก่อนยายของอาตมามีแหวนปลอกมีด เป็นทองคำเกลี้ยง ๆ เหมือนโลหะรัดปลอกมีด เขาก็เลยเรียกว่าแหวนปลอกมีด ยายจะใส่ติดนิ้วไว้ อาตมาถามยายว่าทำไมต้องใส่ ยายว่า “ถ้าเผื่อข้าตายแล้วคนเห็นว่ามีแหวนทองอยู่ ก็ยังคิดที่จะช่วยทำศพให้” แหม..ยายคิดรอบคอบมากเลย ของตัวเองมีเท่าไร ๆ ให้ลูกให้หลานหมด ส่วนตัวเองมีแหวนปลอกมีดติดนิ้วไว้วงเดียว"

เถรี 18-01-2013 12:27

ถาม : มีสวรรค์ชั้นไหนที่เทวดาบนนั้นอายุ ๗๐,๐๐๐ ปีบ้างคะ ?
ตอบ : แค่ชั้นแรกก็เกินแล้ว..อย่าลืมว่าเทวดาชั้นจาตุมหาราชเขาอายุ ๒๐๐ ปีทิพย์ วันหนึ่งของเขาเท่ากับ ๕๐ ปีมนุษย์ เดือนหนึ่งของเขาปาไปกี่ปีของเราแล้ว ? ปีหนึ่งของเขาตั้งเท่าไรแล้ว ? ลองคูณออกมาดูสิ เกิน ๗๐,๐๐๐ ปีไปตั้งเยอะ ๗๐,๐๐๐ ปีมนุษย์นี่น้อยเกินไป

เถรี 18-01-2013 12:34

ถาม : ศีลข้อสามในศีลแปด เป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : ห่างผู้หญิง ๓ วาได้จะดี ใกล้กว่านั้นไม่ได้ ใกล้กว่านั้นเดี๋ยวเผลอแตะ..! จริง ๆ แล้ว อพฺรหฺมจริยา หมายถึงการที่เราทรงอารมณ์ภาวนาอยู่โดยที่ไม่ส่งใจออกนอกเลย เขาจึงเรียกว่า จริยาอย่างพรหม เพราะพรหมท่านทรงฌานอยู่ตลอดเวลา ในเมื่อทรงฌานอยู่ตลอดเวลา กามราคะก็เกิดไม่ได้ เขาถึงได้เรียกว่าประพฤติพรหมจรรย์ เพราะฉะนั้น..ถ้าตั้งใจจะเอาอพฺรหฺมจริยาจริง ๆ ก็แปลว่าต้องไม่หลุดจากฌานเลย

ถาม : แล้วที่เขาไปถืออุโบสถศีล ?
ตอบ : สมัยก่อนถ้าเขาถืออุโบสถศีลก็คือไปนอนที่วัดเลย เว้นจากเรื่องพวกนี้โดยตรง ปัจจุบันนี้จะมีขาประจำอยู่ที่วัดท่าขนุนประมาณ ๓๐ คน วันพระก็จะไปนอนค้างที่วัดเลย

ถาม : แล้วนึกถึงกามสัญญา ?
ตอบ : เรื่องนึกถึงหรือจิตประหวัดถึงเขาเรียกว่า กามสัญญา นับเป็นเรื่องปกติ แต่กายวาจาต้องงดเว้นให้ได้ ไม่ไปพูดจาเกี้ยวเขา ไม่ไปแตะต้องเขาอะไรแบบนั้น

ถาม : ห่าง ๓ วาหรือครับ ?
ตอบ : ๓ วา ตาก็ไม่มอง ปากก็ห้ามพูด อกจะแตกตาย..!

ถาม : อย่างนี้ต้องปฏิบัติในศีล สมาธิ ?
ตอบ : ถ้าไม่มีสมาธิจะตัดตัวนี้ยาก ถ้าจะตัดกามราคะ อย่างน้อยสมาธิต้องทรงตัว

ถาม : ถ้าไปล่วงศีลข้อนี้ใจก็เศร้าหมอง ?
ตอบ : เศร้าหมองก็เป็นเรื่องปกติ เพราะเรายังห้ามความคิดไม่ได้ เพราะฉะนั้น..ถ้าทรงฌานอยู่ความคิดไปในกามก็ไม่มี อยู่กับการภาวนา หลุดออกมาแล้วค่อยฟุ้งใหม่ ตอนที่ทรงฌานอยู่ก็เอาตัวรอดไว้ก่อน ถ้าไม่มีสมาธิส่วนใหญ่แล้วพระเณรอยู่ไม่ได้หรอก


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 23:01


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว