กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านเติมบุญ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=65)
-   -   เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๒ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=6823)

เถรี 14-12-2019 10:33

"อาตมาไปเดิน ๆ ดูแล้วก็กวักมือเรียกคุณบี ช่างภาพประจำกลุ่ม บอกว่า “บี..ส่งภาษาถามเขาหน่อยสิ ว่าชิ้นนี้ราคาเท่าไร ?” คุณบีเขาก็พาซื่อ วิ่งเข้ามาถึงถามว่าชิ้นไหน อาตมาชี้ให้ดู ปรากฏว่าสินค้าชิ้นนั้นได้ยินเสียงก็เลยพลิกตัวลุกขึ้น สาวเจ้าของร้านเขานอนอยู่ ก็ในเมื่อนอนอยู่ตรงที่วางสินค้าขาย ก็เลยให้ถามว่าราคาเท่าไร..! คราวนี้เวรกรรมเกิดขึ้นตรงที่ว่า ดันไปทำให้เขาตื่น ก็เลยมาตามตื๊อให้ซื้อของเขา โชคดีที่ว่ารถของเรามาถึงพอดี จึงพากันเผ่นหนีขึ้นรถ

จากนั้นก็วิ่งกลับไปสถานที่พักของเรากัน ไปถึงโรงแรมแล้วตกใจ โรงแรมชื่อเฉิงตี้ คือจักรพรรดิของเมืองเต้าเฉิง น่าจะอยู่ในระดับอย่างต่ำก็ ๔ ดาว โอ้โฮ...ทำไมถึงได้หรูขาดใจขนาดนั้น ไม่นึกว่าทางทัวร์เขาจะใจถึง เช่าโรงแรมระดับนี้ให้พวกเราอยู่"

เถรี 15-12-2019 08:29

"อาตมาเองเวลาเข้าโรงแรม สิ่งแรกที่ทำก็คือสรงน้ำ เสร็จสรรพเรียบร้อยก็ซักถุงเท้า เอาถุงเท้ากันหนาวไป ๖ คู่ ใช้อยู่แค่ ๒ คู่ คู่แรกคือคู่ที่ใช้ทุกวันเช้ายันค่ำ ซึ่งต้องซัก คู่ที่สองก็คือใช้ตอนค่ำจนถึงประมาณเที่ยงคืน คู่นี้ใส่กันหนาว พอหลังเที่ยงคืนจะลุกขึ้นมาเอาถุงเท้าที่ซักไว้มาใส่ ถ้ายังไม่แห้งหรือแค่หมาด ๆ เวลาเราใส่ก็จะแห้งคาเท้าไปเอง ใครจะเลียนแบบก็ได้นะ แต่ถ้าเปิดฮีตเตอร์แบบห้องอื่นเขาก็ไม่มีปัญหา เพราะว่าใช้ฮีตเตอร์ตากถุงเท้าแห้งได้

อาตมาเองเข้าห้องไป อันดับแรกเลยคือ เปิดหน้าต่าง อากาศข้างนอกหนาวเท่าไร ข้างในต้องหนาวเท่านั้น แล้วถ้าปิดไฟไม่ได้ก็จะดึงบัตรออกเลย บัตรกุญแจถ้าเราชักออก ไฟจะดับทั้งห้อง เหตุที่ทำอย่างนั้นเพราะว่า เวลาอากาศข้างในกับข้างนอกเย็นเท่ากันแล้ว ตอนช่วงเช้าไปไหนเราจะไม่หนาว แต่ถ้าในห้องอุ่นแล้วออกไปข้างนอกจะหนาวมาก นี่เป็นวิธีปฏิบัติประจำตัว ไม่แนะนำให้คนอื่นทำตาม

ซักถุงเท้าเอาไปตาก เสร็จแล้วก็มาสำรวจทรัพย์สินของตัวเอง ปรากฏว่าหูเป้ขาด ก็ต้องเอามาผูกกันเอง สรุปแล้วมีคนประมูลไป ๒๐๐ หยวน เป้ขาด ๆ ๑ ใบ ไม้เทร็กกิ้งได้มา ๕๐๐ หยวน แล้วก็รองเท้าลุยหิมะ ๑ คู่ ได้มา ๗๐๐ หยวน สรุปแล้วสินค้าที่ซื้อไปทุกชิ้นขายได้หมดเลย เก่าแค่ไหนก็ขายได้

ยังขำ ๆ โยมบางคน ถามว่าเป้หูขาดแล้วเอาไปทำไม ? ความจริงคือพลาสติกหัก ถ้าเอาสายเป้มาผูกกับห่วงของเป้ก็ยังใช้ได้อยู่ เพียงแต่ว่าในสายตาของเขาก็คือเป้ขาดแล้ว ส่วนคนที่อยากได้ก็เพราะเห็นว่า มีรอยจารของหลวงพ่ออยู่ที่เป้ ที่แย่งกันประมูลก็คือจะเอารอยจารนั่นเอง"

เถรี 15-12-2019 08:30

"ก็เป็นอันว่าหมดไปอีกหนึ่งวัน สรุปแล้วสองวันที่ยากที่สุดในทริปผ่านพ้นไปแล้ว บอกกับคุณตั้วหัวหน้าทัวร์ว่า ตลอดระยะเวลาที่มา ๗ วันนี้ อาตมาให้การเดินเข้าไปที่ภูเขาหยางเหม่ยหยง ๘๐ เปอร์เซ็นต์ ส่วนที่เหลืออีก ๙ วัน รวมกันเอาไป ๒๐ เปอร์เซ็นต์แล้วกัน"

เถรี 15-12-2019 08:32

วันพุธที่ ๒๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๒

"วันนี้อาตมามีปัญหาคือ ผิวแตก ปากแตก จมูกแตก หน้าลอก ...(หัวเราะ)... เพราะว่าทั้งหนาว ทั้งแดดเผา เลยไปถามโยมว่ามีอะไรแก้ได้บ้าง คนโน้นมีวาสลีน คนนี้มีครีม คนนั้นมีลิปมันทาปาก ก็เลยมานั่งคิดว่า เออหนอ..ไม่คิดว่าชีวิตนี้จะได้ใช้ของพวกนี้ก็ต้องมาใช้ ดังนั้น..ถ้าญาติโยมไปสถานที่แบบนั้น อย่าลืมของพวกนี้เป็นอันขาด สำคัญมากทีเดียว

อาตมาผิวแตกจนคันคะเยอไปทั้งตัว อากาศที่นั่นหนาวจัดจริง ๆ แล้วก็ปากแตกเลือดซิบ ๆ เลย แม้กระทั่งจมูกก็แตก ปัญหาใหญ่ก็คือตาเจ็บจากแสงสะท้อนของหิมะ จึงต้องใส่แว่นตาดำเป็นก็อดฟาเธอร์..! ของพวกนี้ถ้าไม่มีประสบการณ์ก็ไม่รู้ว่าต้องใช้อะไรบ้าง ด้วยความที่เคยชินว่าไม่เคยใช้ของพวกนี้ ไม่รู้ว่าแดดจัด ๆ ของฤดูหนาว เวลาสะท้อนหิมะจะยิ่งแรงจัดกว่าเดิมหลายเท่า มองไปทางไหนก็ขาวพร่าไปหมด กว่าจะรู้ตัวก็น้ำตาไหลไม่เลิกไปแล้ว

เช้านี้ร้านอาหารเขาค่อนข้างจะสมบูรณ์พร้อม เพราะว่าเป็นโรงแรมมีระดับ ข้าวปลาอาหารค่อนข้างจะกินได้ดั่งใจ แต่อากาศดีขึ้นมาหน่อยหนึ่ง คือจากติดลบ ๔ หรือ ๕ องศาเซลเซียส เหลือ ๐ องศาเซลเซียส ...(หัวเราะ)... พวกเราต้องเดินทางย้อนเส้นทางเดิมกลับมาทางด้านเต้าเฉิง หลี่ถัง ก็คือต้องผ่านสถานที่ซึ่งผ่านมาแล้วนั่นแหละ เช่น พระสถูปขาว ภูเขากระต่าย ช่องเขาคาซาลา เป็นต้น"

เถรี 15-12-2019 08:33

"ถึงจะผ่านที่เดิมแต่ไม่เหมือนเดิม เพราะว่าเมื่อคืนหิมะตกหนักมาก ถามว่าหนักขนาดไหน ? อาตมาลองเหยียบพื้นดู หนาประมาณ ๑ นิ้วกว่า เกือบ ๒ นิ้ว สวยมาก ๆ

พวกเราก็บ้า เห็นหิมะแล้ววิ่งไปเล่น ชาวบ้านเขาเห็นหิมะก็เดินหลบ ต้องบอกว่าเจ้าที่ท่านจัดโปรแกรมได้ดีมาก ถ้าหิมะตกตั้งแต่ขามา ขากลับเราเห็นอะไรซ้ำ ๆ กันก็จะน่าเบื่อ แล้วท่านจัดสรรให้ตกตั้งแต่กลางคืน กลางวันบนถนนหิมะละลายหมดแล้ว รถวิ่งได้..ไม่ลื่น แถมสองข้างทางงามสุด ๆ จอดถ่ายรูปกันไปตลอดทางจนหมดไปครึ่งค่อนวันไม่รู้ตัว

แล้วที่ยิ่งกว่านั้นก็คือ ไม่รู้ว่าความสูงระดับนั้นพวกเราเคยชินแล้วหรืออย่างไร เพราะว่าไม่เหนื่อยกันเลย อย่างช่องเขาคาซาลาระดับความสูง ๔ พันกว่าเกือบ ๕ พันเมตร ลงไปกระโดดโลดเต้นถ่ายรูปกันได้ จากนั้นก็ผ่านเมืองซางตุย ทุ่งหญ้าแดง ไล่ย้อนเส้นทางเดิมไปเรื่อย"

เถรี 15-12-2019 08:34

"เรื่องพวกนี้ต้องบอกว่าเป็นความเมตตาของเจ้าที่ ท่านจัดสรรบรรยากาศได้งามสุด ๆ โดยเฉพาะบางจุดนี่เวลาหิมะละลายเป็นไอฟุ้งขึ้นมา เหมือนอย่างกับป่ากำลังไฟไหม้ มองไปทางไหนก็มีแต่ควันขึ้น แล้วถ้าพระอาทิตย์ส่องถูกมุมละก็..เหมือนอย่างกับแสงฉัพพรรณรังสีเลย เพราะว่าเป็นสีรุ้ง

พื้นที่ของแถวนั้น โอกาสที่จะทำนานั้นยาก เพราะว่าส่วนใหญ่เป็นภูเขา มีที่ราบน้อยมาก ข้าวที่เขาปลูกส่วนใหญ่ก็คือข้าวบาร์เลย์ที่คนจีนเรียกว่าเกาเหลียง แล้วก็มีปลูกข้าวโพดและถั่ว คือส่วนใหญ่เขาจะปลูกผักแปลงเล็ก ๆ อาตมาดูจากพื้นที่แล้วคาดว่าเขาต้องซื้อข้าวจากที่อื่น เพื่อที่จะให้เพียงพอเลี้ยงคนในพื้นที่ซึ่งส่วนใหญ่ทำปศุสัตว์ การทำปศุสัตว์ทางแถบซีหนิง ชิงไห่ และทิเบต เราจะเห็นความหลากหลาย มีทั้งแพะ แกะ และจามรี แต่ทางด้านนี้จามรีเป็นหลักเลย แล้วมีวัวปนอยู่นิดหน่อย"

เถรี 15-12-2019 08:36

"เวลาเราขับรถไป บางทีโดนจามรีล้อมกรอบไปไหนไม่ได้ มาฝูงใหญ่เกือบร้อยตัวเต็มถนนไปหมด คนเลี้ยงจามรีก็มีม้าตามมา ๔-๕ ตัว บรรทุกข้าวของเครื่องใช้มา ถามว่าแล้วทำไมถึงต้องต้อนจามรีไปลักษณะอย่างนั้น ? ก็เพราะว่ามีสัตว์จำนวนมาก อาหารไม่พอให้กิน ก็ต้องเดินหาอาหารกินไปเรื่อย อย่างเช่นว่าเดินขึ้นหน้าไป ๑ เดือนฝั่งถนนนี้ เดี๋ยวย้อนหลังกลับมา ๑ เดือนฝั่งถนนโน้น ก็กลับถึงบ้านพอดี"

เถรี 15-12-2019 08:37

"Eric ที่เป็นมัคคุเทศก์เขาให้เดาว่า จามรีตัวหนึ่งราคาเท่าไร ? ไล่ไปไล่มาปรากฏว่าจามรีราคาตัวละเป็นหมื่นหยวนเลย..! ก็ตกราว ๆ ๕ หมื่นบาทไทย ถามเขาว่า “แพงขนาดนั้นแล้วซื้อกันไหวหรือ ?” เขาบอกว่าไหว เพราะว่าจามรีใช้งานได้ตั้งแต่หัวยันเท้าเลย

ใช้เนื้อเป็นอาหาร ใช้ไขมัน ขน กระดูก เขา ใช้ได้ทุกอย่าง เขาบอกว่าแค่เสื้อโค้ทที่ทำจากขนจามรี ถ้าฝีมือดี ๆ ตัวหนึ่งราคา ๔-๕ พันหยวน แสดงว่าถลกหนังมานี่ได้คืนไปครึ่งหนึ่งแล้ว..! ก็เลยกลายเป็นว่าพวกเขาเลี้ยงสัตว์กันมาก

เวลาพวกเราไปเจอจามรีปิดถนนกัน ๔๐-๕๐ ตัว เสียงร้องกันว่า “Millionaire” ไอ้นี่มหาเศรษฐีแน่นอน ...(หัวเราะ)... และจะมีพวกหมาทิเบต ก็คือทิเบตัน มาสตีฟฟ์ เขาเลี้ยงเอาไว้ช่วยต้อนจามรีและวัว พวกนี้จะแข็งแรงมาก วิ่งไล่ม้า ไล่จามรีทั้งวัน ถ้าเจ้าของขี่ม้าก็วิ่งไล่ม้าทัน ถ้าหากว่าเจ้าของต้อนจามรี ตัวเองก็ต้องวิ่งคอยต้อนไม่ให้จามรีแตกฝูง"

เถรี 15-12-2019 08:38

"ต้องบอกว่าวิถีชีวิตของเขาเป็นอย่างนั้น ถ้าเราไปอยู่อาจจะไม่สบาย ถามว่าทำไมถึงไม่สบาย ? ส่วนใหญ่เขากินแต่อาหารที่เป็นเนื้อ ร่างกายของพวกเราน่าจะไม่ชิน แต่ว่าทางด้านโน้นส่วนใหญ่จะเป็นผลไม้ คือผักมีบ้างนิดหน่อย ส่วนผลไม้มีเยอะ ผลไม้ส่วนใหญ่ที่เขาปลูกที่เห็นอยู่มีแอปเปิ้ล พลัม ทับทิม องุ่น ซึ่งองุ่นของเขากลิ่นหอมมาก แล้วรสชาติไม่หวานจัด น้องเล็กไปขอซื้อองุ่นเขากะละมังหนึ่ง แค่ ๑๒ หยวนเอง ตีเป็นเงินไทยก็ ๖๐ บาท อาตมากินอยู่ ๒ วันครึ่งกว่าจะหมด..!"

เถรี 15-12-2019 08:43

"นอกจากนั้น Eric ก็ไปซื้อแอปเปิ้ลมาลังหนึ่ง พอพวกเราขึ้นก็หยิบลูกหนึ่ง ลงก็หยิบลูกหนึ่ง ขนาดนั้นยังกินอยู่หลายวันกว่าจะหมด แล้วแถวนั้นมีตู้เย็นฟรี ก็คือผลไม้เย็นเฉียบแข็งโป๊กอยู่ตลอดเวลาเนื่องจากอากาศอุณหภูมิต่ำมาก จะกินแต่ละทีต้องทำพิธีกรรมมานั่งเสกนั่งเป่าให้อุ่นขึ้นมาหน่อยถึงจะแทะเข้า..! เพราะฉะนั้น..พวกเราหากต้องไปอยู่ที่โน่นก็คงจะต้องเปลี่ยนวิธีการกิน ไม่อย่างนั้นก็อาจจะเจ็บไข้ได้ป่วย เพราะว่าเราไม่คุ้นชินกับอาหาร

ตอนช่วงกลางวันเข้าภัตตาคารหรูมาก ชื่อว่าซื่อหยาหยวน แปลว่า สวนของนายท่านคนที่สี่ อาหารของเขาก็ตามหลักเลย คือใส่พริกมาก่อน และร้านนี้เอาข้าวใส่ถังไม้มา เป็นถังไม้ซึ่งพวกรุ่นหลัง ๆ อย่างของเราไม่ค่อยได้เห็น ในเมืองไทยน่าจะมีคนเคยเห็นบ้าง อาตมาเด็ก ๆ นี่ถังไม้ใช้งานหลากหลายมาก เป็นไม้เป็นชิ้น ๆ ที่เข้าลิ้นกัน เสร็จแล้วก็มีเหล็กรัด ถึงเวลาเทน้ำลงไป ไม้โดนน้ำแล้วพองบีบกันแน่น ทำให้บรรจุน้ำได้

แต่ที่ประเทศจีนเขาเอาถังไม้ใบเล็กใส่ข้าวสุกมา ก็คงเอาลงไปนึ่งทั้งถังอย่างนั้น ข้าวปลาอาหารตามแบบของจีนก็คือ ทุกมื้อจะต้องมีน้ำแกงจืดมา ๑ ชาม จืดสนิท จืดไม่มีรสชาติอะไรเลย เหมือนกับว่าเขาใส่ผักลงไปเฉย ๆ ต้มน้ำแล้วเอาขึ้นมาอย่างนั้น ไม่รู้จักใช้น้ำต้มกระดูกหรืออะไรเลย พวกเรากินอาหารรสจัดแบบคนไทย ไปที่โน่นก็เกือบจะบรรลุกันเลย..!"

เถรี 15-12-2019 08:44

"ซื่อหยาหยวนอยู่ใกล้ ๆ ซุ้มประตูเข้าเมืองหลี่ถัง ก็แปลว่าเราหยุดกินอาหารกลางวันกันที่เมืองหลี่ถัง ตัวซุ้มประตูเมืองห่างจากภัตตาคารประมาณ ๒๐๐-๓๐๐ เมตร อาตมาเดินไปถ่ายรูป ปรากฏว่าเจอรถจอดขวางทาง แล้วเจ้าของรถยืนฉี่อยู่ข้างถนนหน้าตาเฉย..! เข้าท่าดีเหมือนกัน ก็คือถ้ากูยังไม่ไป คนอื่นก็ยังไม่ต้องไป ขอให้ฉี่เสร็จก่อนแล้วค่อยไปด้วยกัน ...(หัวเราะ)... เป็นอะไรที่ดูแล้วขำก็ขำ ถ้าเป็นบ้านเราคงได้ตีกันตาย

เสร็จจากอาหารกลางวันก็วิ่งย้อนกลับไปทางเดิม ผ่านช่องเขาเซี่ยกา ช่องเขาคาซาลา ไปหยุดพักเข้าห้องน้ำที่ช่องเขาสนเดี่ยว พวกเราก็ยอดฝีมือเหมือนเดิม พักเข้าห้องน้ำ ๑๕ นาที มีเวลาช็อปปิ้ง ๑๒ นาที..! โดยเฉพาะเริ่มฉลาดขึ้น ใครอยากได้อะไรที่เหมือน ๆ กันให้บอกกันไว้ ถึงเวลาซื้อหลายชิ้นจะต่อราคาได้มาก ถ้าหากว่าซื้อชิ้นเดียวก็ต่อราคาได้น้อย"

เถรี 15-12-2019 09:03

"พอออกจากช่องเขาสนเดี่ยวก็รถติด ติดชนิดไม่กระดิกเลย ๒๐-๓๐ นาที จนกระทั่งโชเฟอร์ทนไม่ไหว ซือฝู่ (คำเรียกโชเฟอร์แบบให้เกียรติ ประมาณว่ายกเป็นท่านอาจารย์) แกก็เดินลงไปดู แล้วมารายงานว่ามีอุบัติเหตุ พวกเราก็รอไปเถอะ ต้องบอกว่าพื้นที่ไกลขนาดนั้น ตำรวจจราจรจีนมาได้เร็วมาก ขนย้ายรถ ๒ คันที่ชนกันขวางทางออกไปได้ภายในครึ่งชั่วโมง ก็คือตั้งแต่รถเริ่มติดจนกระทั่งไปได้ใช้เวลาไม่เกินครึ่งชั่วโมง พื้นที่ไกลขนาดนั้นเขามีความพร้อมในการที่จะแก้ไขปัญหา เป็นบ้านเราขนาดในกรุงเทพฯ ยังติดไปเถอะ เป็นชั่วโมงนั่นแหละ

คราวนี้เส้นทางที่วิ่งมา ของเราจะแยกไปเมืองซินตูเฉียว ไม่ได้วิ่งย้อนเส้นเดิมตลอด เพราะว่าเป็นทางลัดที่จะวนกลับไปทางเมืองเฉิงตูได้ ทางด้านซินตูเฉียวที่เราวิ่งไปมียอดเขาหิมะโผล่มา Eric บอกว่า “คงคาพีค” เราก็ว่า ตูฟังผิดหรือเปล่าวะ ? ปรากฏว่าเป็นยอดเขาชื่อคงคาจริง ๆ เป็นยอดเดียวในบริเวณนั้นทั้งหมดที่สูง ๗ พันกว่าเมตร แต่พวกเราไม่ได้ไป เพราะว่าอยู่นอกเส้นทางไปไกลมาก คือถ้าเห็นภูเขาโปรดทราบว่าใกล้ตา แต่ไกลตีน..! เห็นยอดเขาเหมือนกับอยู่ไม่ไกล แต่ต้องวิ่งรถไปเป็นวัน เขาก็เลยไม่ได้พาพวกเราไป นอกจากพามุดเข้าอุโมงค์วิ่งกลับเส้นทางไปพักที่โรงแรมในเมืองซินตูเฉียว"

เถรี 15-12-2019 09:05

"คราวนี้มีปัญหาก็คือ เราอยู่ในพื้นที่ความสูง ๔-๕ พันเมตรมาตลอด ลงมาถึงซินตูเฉียวประมาณ ๓,๘๐๐ เมตร อากาศ ๑๗ องศาเซลเซียส ร้อนเกือบตาย..! แล้วโรงแรมนี้ก็น่ารักมาก อาตมาเองเป็นพระ ไม่รู้ว่าเขาเจาะจงหรือเปล่า ? ส่งไปอยู่ชั้น ๓ ยังดีว่าแค่ ๓,๘๐๐ เมตร อากาศยังพอมีให้หายใจ แบกกระเป๋าขึ้นชั้น ๓ ได้แบบไม่ทรมานมากนัก..!

สรุปว่ามานอนที่ซินตูเฉียวอากาศไม่หนาวมาก นอนไม่หลับเพราะว่าร้อน รู้สึกว่าตัวเองชักจะบ้า ๆ บอ ๆ อากาศ ๑๗ องศาเซลเซียสแล้วดันร้อน..! โยมลองนึกถึง -๖ องศาเซลเซียส แล้วบวกให้เป็น ๑๗ ดูสิ อุณหภูมิต่างกันตั้ง ๒๐ กว่าองศาเซลเซียส ปกติต่างกันแค่ ๒-๓ องศาเซลเซียสก็รู้สึกร้อนแล้ว ดังนั้น..ตอนมหาเคไปเรียนอยู่ที่ไซบีเรีย บอกว่าอากาศ -๔๐ องศาเซลเซียส พอขึ้นมา -๒๐ องศาเซลเซียสนี่เหงื่อแตกพลั่กเลย ถ้าเราไปเจอ -๒๐ ก็ตายแล้ว กลางคืนอาตมาก็เลยมีปัญหาหลับ ๆ ตื่น ๆ เพราะว่าอากาศไม่เย็น"

เถรี 15-12-2019 09:06

"คราวนี้ด้วยความที่หลับ ๆ ตื่น ๆ จึงได้เจอหลวงปู่ใหญ่โลกอุดรท่านแวะมา ท่านก็อุตส่าห์ไปถึงแถวนั้นได้เหมือนกัน จะถามท่านว่านั่งเครื่องบินอะไรมาก็เกรงใจ..! ได้แต่กราบขอพรให้คณะของเราเดินทางสะดวกและปลอดภัย เวลาเจอพระเจอครูบาอาจารย์ อาตมาไม่ได้ขอมากหรอก ส่วนใหญ่ขอเผื่อคนอื่นเขา ตัวเองไม่ค่อยได้ขอ เพราะว่าไม่ค่อยจะห่วงตัวเอง

ก็เป็นอันว่าผ่านไปอีก ๑ วัน ไม่ค่อยมีอะไร ที่ไม่มีอะไรเพราะว่าย้อนทางเดิมไปเสีย ๗๐-๘๐ เปอร์เซ็นต์ แล้วค่อยแยกจากเมืองเหล่าเก้อหล่าเซียง เพื่อไปเมืองซินตูเฉียว"

เถรี 15-12-2019 09:12

วันพฤหัสบดีที่ ๒๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๒

"อาตมาหลับไปหลังเที่ยงคืน เพราะว่าอากาศเย็นลงเร็วมาก ตอนเช้ามืดดูอุณหภูมิเหลือแค่ ๑ องศาเซลเซียส บ่ายกับเช้านี่ต่างกันเป็นสิบองศาเซลเซียส อาหารเช้าของโรงแรมก็เหมือนเดิมคือ ผัดผัก ข้าวต้ม หมั่นโถว ไข่ต้ม ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านี้เลย

วันนี้พวกเราเดินทางกันเร็วมาก เพราะว่ามัคคุเทศก์นัดเดินทาง ๐๗.๓๐ น. เนื่องจากว่าเราจะต้องข้ามภูเขาไปเมืองคังติ่ง จากเมืองคังติ่งวิ่งผ่านเมืองเทียนฉวน ทะลุไปเมืองหย่าอันกลับเมืองเฉิงตู ต้องกลับถึงเฉิงตูให้ได้ในวันนี้ ระยะทาง ๓๐๐ กว่ากิโลเมตร แล้วรถเขาให้วิ่งแค่ ๖๐ กม./ชม. แล้วมีกฎเกณฑ์ด้วยนะ ว่าคนขับขับต่อเนื่องได้กี่ชั่วโมงแล้วต้องหยุดพัก เราขับแทนก็ไม่ได้อีกด้วย ถึงเวลาคนขับก็จะหยุดพักของเขาเลย เราเองจะไปช็อปปิ้งหรืออะไรก็ไปเถอะ"

เถรี 15-12-2019 09:13

"เวลา ๐๗.๓๐ น. พวกเราพร้อม โชเฟอร์ก็พารถออกข้ามเขาไปเมืองคังติ่ง วิ่งไปได้หน่อยเดียวโชเฟอร์ถามว่าจะไปต่อไหม ? เพราะว่าหมอกลงหนักมาก มองทางไปข้างหน้าได้แค่ ๕-๖ เมตรเท่านั้น พวกเราทุกคนยืนยันว่าไปต่อ เขาก็เลยต้องวิ่งไป แล้วก็ถึงได้รู้ว่าทำไมเขาถึงไม่อยากไป เพราะว่าพวกบรรดาใจร้อนเจอรถบรรทุกบ้าง เจอรถวิ่งช้าบ้าง เขาจะวิ่งสวนเลนมา ของเรายังไม่ทันจะเกิดอะไรขึ้นก็เห็นรถอื่นชนกันอยู่กลางถนนหน้าบี้ไปแล้ว ยังดีว่ากฎหมายจีนให้ขับรถไม่เกิน ๖๐ กม./ชม. อุบัติเหตุก็เลยไม่หนักมาก ถ้าขับเร็วขนาดบ้านเราคงได้ตายกันนับศพไม่ถ้วน..!

ขนาดนั้นรถเรายังเกือบเกิดอุบัติเหตุหลายครั้ง เพราะพวกประเภทใจร้อนวิ่งแซงมา โชเฟอร์ก็เลยต้องอาศัยเสียงแตรไปตลอดทาง อาศัยแตรรถใหญ่ขู่เอาไว้ก่อนเพราะว่าเสียงดัง ถึงเวลาไม่ว่าจะเป็นทางโค้ง ทางลงเขา ทางอะไรก็บีบแตรไว้ก่อน"

เถรี 15-12-2019 09:14

"พวกเราไปถึงเมืองคังติ่งประมาณ ๐๙.๐๐ น. ตอนแรกก็สงสัยว่าเมืองอะไรมหึมามโหฬารขนาดนี้ ก็คืออยู่หลังเขาแล้วใหญ่ขนาดนี้เลยหรือ ? ปรากฏว่าพวกคังติ่งเขาบอกว่า พวกซินตูเฉียวนั่นอยู่หลังเขา ส่วนพวกซินตูเฉียวก็บอกว่าพวกคังติ่งนั่นแหละอยู่หลังเขา เพราะว่าต่างคนต่างต้องข้ามเขาถึงจะไปหากันได้ ได้ข้อมูลนี้จากมัคคุเทศก์ แต่คราวนี้ข้อมูลจากมัคคุเทศก์นี่ไม่ค่อยอยากจะเชื่อหรอก เพราะว่าเขาพูดติดปากเลยว่า “I’m not sure.” ในเมื่อข้อมูลไม่แน่นอน แล้วจะให้เราเชื่อดีไหม

เขาบอกว่าคังติ่งเหมือนกับเมืองหลวงของเสฉวนตะวันตก เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในเขตนั้นทั้งหมด เพราะฉะนั้น..ไม่ว่าจะเป็นเมืองหลัก ๆ อย่างพวกหลี่ถัง รื่อหวา ซางตุย ซินตูเฉียว ย่าติง ล้วนแต่มีขนาดเล็กกว่าทั้งหมด แล้วก็ตามกฏของเขาก็คือ ขับรถ ๒ ชั่วโมง คนขับต้องได้พักครึ่งชั่วโมง พวกเรานอกจากเข้าห้องน้ำจ่ายเงินแล้วก็เดินสำรวจตลาด ไปเจอเนื้อจามรีสดมาก ประมาณว่าเขาเพิ่งจะถลกหนัง เนื้อเต้นดิก ๆ มาเลย"

เถรี 15-12-2019 09:15

"เวลาประมาณ ๐๙.๓๐ น. เราออกจากเมืองคังติ่ง โชเฟอร์เขาพาเราไปลองของใหม่ เป็นอุโมงค์ยังไม่เปิดใช้อย่างเป็นทางการ อุโมงค์ใหญ่มาก อย่างสั้น ๆ ก็ ๕-๖ กิโลเมตร อย่างยาว ๆ ก็ ๒๐ กว่ากิโลเมตร วิ่งเข้าอุโมงค์กันแบบต่อเนื่องเลย ก็คือหลุดจากอุโมงค์มา เห็นแดดได้ไม่เกิน ๑๐ วินาทีก็เข้าไปในอุโมงค์อีกแล้ว เขาบอกว่าเส้นทางนี้จะลัดกลับไปเฉิงตูได้โดยใช้เวลาน้อยกว่าเส้นทางเก่า ๓ ชั่วโมง

อาตมาเห็นแล้วก็คิดว่า จีนนี่เขาทำอะไรเล็ก ๆ ไม่เป็น..ทำใหญ่มาก ลองคิดดูว่าอุโมงค์ใหญ่ขนาดรถ ๑๘ ล้อวิ่งสวนกันแล้วยังมีทางเหลือนี่ บ้านเราถ้าทำสักเส้นเดียวก็แย่แล้ว แต่นี่เขาทำไปกลับ ก็คือไป ๒ เลน กลับ ๒ เลน เป็นคนละอุโมงค์กัน แล้วที่แน่ ๆ ก็คือ พอหลุดไปปลายอุโมงค์แล้วเจอโรงงานผลิตปูนซีเมนต์ ถึงได้เห็นว่าเขาทำงานเป็นระบบมาก ก็คือพอเขาเจาะภูเขาได้หินมา เขาก็ส่งเข้าโรงงานทำเป็นปูนซีเมนต์ แล้วเอามาก่อสร้างต่อ กลายเป็นว่าเขาไม่ได้ทำลายธรรมชาติ เพราะว่าอย่างเก่งก็ภูเขาเป็นรูอยู่หน่อยหนึ่ง ไม่ใช่อย่างบ้านเราที่ระเบิดกันแหลกลาญไปเลย"

เถรี 15-12-2019 09:16

"ตรงช่วงที่เป็นรอยต่อระหว่างภูเขาซึ่งก็คือเหวนั้นจะเป็นสะพาน บางแห่งนี่เสาสูง ๔๐-๕๐ เมตร มองลงไปแล้วใจหาย ซ้ำยังมีบางแห่งเป็นสะพานใหญ่เหมือนสะพานโกลเด้นเกตของสหรัฐอเมริกา น่าเสียดายที่อยู่ในภูเขา ถ้าอยู่ในเมืองใหญ่ ๆ นี่คงจะเป็นแลนด์มาร์คได้เลย คราวนี้ด้วยความเมตตาของเจ้าที่ เนื่องจากว่ามีแต่มุดอุโมงค์ ออกมาแล้วก็มุดเข้าไปใหม่ ไม่มีอะไรให้ดู ไม่มีอะไรให้จอด แม้กระทั่งส้วมระหว่างทางก็ไม่มี ท่านก็เลยให้ฝนตก ถ้าตกวันอื่นนี่เราเที่ยวไม่ได้ มาตกวันนี้มีปัญญาก็ตกไปเถอะ..!

ออกจากคังติ่งมาไม่นานก็ฝนตก ตกไปถึงเมืองเทียนฉวน จากเมืองเทียนฉวนตกไปจนถึงเมืองหย่าอัน พวกเราไปพักฉันเพลที่หย่าอันกัน ก็ต้องเดินเปียกกันครึ่งตัว ที่เดินเปียกครึ่งตัวเพราะว่าเขากางร่มมารับ เขาก็กางให้ตัวเองครึ่งหนึ่ง กางให้พวกเราครึ่งหนึ่ง เปียกกันคนละซีก แล้วจะกางทำไมวะ ? กางแล้วเปียกคนละซีก ...(หัวเราะ)... ที่เมืองหย่าอันเขาเลี้ยงเพลเรา ต้องบอกว่ากับข้าวมากกว่าที่คิด พวกเราเห็นมา ๔ อย่าง มีน้ำแกงด้วย ก็นึกว่าหมดแล้ว ปรากฏว่ากินไป ๆ อย่างที่ ๕ - ๖ - ๗ - ๘ ตามมา ดันไม่ได้เผื่อกระเพาะเอาไว้ ...(หัวเราะ)... ก็เลยกลายเป็นมื้อที่กับข้าวเหลือเยอะมาก"

เถรี 15-12-2019 09:17

"อิ่มแล้วเดินทางต่อ เข้าอุโมงค์บ้าง ลุยฝนบ้าง ในอุโมงค์เขาสวย ถึงเวลาเขาจะประดับไฟแพรวพราวไปหมด ตรงโน้นสีหนึ่ง ตรงนี้สีหนึ่ง ถาม Eric ที่เป็นมัคคุเทศก์ว่า ทำไมเขาต้องมีไฟสี ๆ ด้วย ? เขาบอกว่าให้คนขับรู้สึกไม่เบื่อ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะหลับใน

พวกเราลุยฝนไปจนกระทั่งหลุดพ้นอุโมงค์มา เริ่มเข้าเมืองเฉิงตูก็รถติด เมืองใหญ่ ๆ นี่รถติดหนักมาก ไปถึงเฉิงตูประมาณ ๑๔.๓๐ น. คนขับรถเขามีงานอื่นรออยู่ ตอนแรกเขาบอกว่าจะพาเราไปส่งที่ช็อปปิ้งมอลล์เลย จะสังเกตว่าตั้งแต่เราออกเดินทางมา วันที่ ๑๖ จนถึง ๒๔ ไม่มีการช็อปปิ้งอย่างเป็นทางการ แต่วันนี้เขามีให้ช็อปปิ้งอย่างเป็นทางการด้วย"

เถรี 15-12-2019 09:18

"ตอนแรกเขาก็กะว่าจะพาพวกเราไปทิ้งไว้ที่ช็อปปิ้งมอลล์แล้วให้นั่งแท็กซี่กลับ ปรากฏว่าฝนตกหนัก ก็เลยทำให้เขาเปลี่ยนแผนใหม่ พาพวกเราไปส่งที่โรงแรมเอ๋อเหมย เก็บข้าวเก็บของ อาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้วค่อยพาไปช็อปปิ้ง

ในเมื่อเป็นลักษณะอย่างนั้น พอเข้าโรงแรมได้อาตมาก็ไม่ออกแล้ว ปล่อยคนอื่นเขาไปกันเอง ปรากฏว่าไปได้ดีมาก อาตมาคำนวณตามที่คนขับรถบอกว่า ช็อปปิ้ง ๒ ชั่วโมง ไปถึง ๑๕.๐๐ น. ก็น่าจะเสร็จ ๑๗.๐๐ น. เผื่อเวลาเดินทางกลับโรงแรมด้วยก็ ๑๗.๓๐ น. พอไปเคาะห้อง...เงียบ ๑๘.๓๐ น. ไปเคาะห้อง...เงียบ ๒๐.๐๐ น. ไปเคาะห้อง...เงียบ เออ...นอนก็ได้วะ..! คือตั้งใจจะไปขอโลชั่นมาทาแก้คัน ปรากฏว่าโยมไปแล้วเหมือนปล่อยเสือเข้าป่า ไปแล้วหายวับไปเลย วันรุ่งขึ้นได้ยินเล่าว่ากลับมา ๒๐.๓๐ น.

ตอนเช้าก็ไปถามว่าทำไมถึงช้า ? ได้คำตอบว่าฝนตก ลมแรง แล้วอากาศหนาวมาก ออกมารอแท็กซี่ได้พักหนึ่ง ทนหนาวไม่ไหวก็ผลุบกลับเข้าไปในห้างกัน พอกลับเข้าไปในห้างก็ประเภทว่าอยู่เฉย ๆ ก็น่ารำคาญจึงเดินดูของไปเรื่อย นึกขึ้นมาได้ก็โผล่ออกมาหาแท็กซี่ใหม่ แท็กซี่ยังไม่มาแถมยังหนาวก็กลับเข้าไปใหม่ ก็เลยนาน อาตมาจำขึ้นใจตั้งแต่ก่อนบวชแล้วว่า อย่าปล่อยผู้หญิงเข้าช็อปปิ้งมอลล์ ไม่ค่อยกลับง่าย ๆ หรอก..!"

เถรี 15-12-2019 09:19

"ตอนนั้นปล่อยคนอื่นเขาไป ส่วนตัวเองนอนภาวนา อยู่ ๆ ห้องก็สว่างขึ้น ๆ อาตมาก็เอ๊ะ..กลางวันแล้วหรือ ? เพิ่งภาวนาไม่นานเอง ปรากฏว่าแสงสว่างเป็นสีเขียวกับสีเหลือง ผสมผสานกันงามมาก ๆ ลองนึกถึงว่าแสงแดดเหลือง ๆ ถ้าส่องผ่านใบไม้อ่อนเขียว ๆ แล้วสวยแบบไหน ก็แบบนั้นแหละ

เสร็จแล้วก็มีรูปหลวงพ่อโตวัดเขาเล่อซานโผล่มา จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นหลวงปู่แก่ ๆ ท่านบอกว่า ท่านชื่อ "ไห่ทง" เป็นผู้ที่แกะสลักหลวงพ่อโตที่เขาเล่อซาน ใช้เวลาแกะพระองค์นั้น ๗๑ ปี ไม่ใช่ท่านอายุ ๗๑ ปีนะ ท่านแกะภูเขาทั้งลูกเป็นพระ จึงถามท่านว่าแล้วรัศมีที่หลวงปู่ส่งมาแปลว่าอะไร ? ท่านบอกว่าท่านปรารถนาพุทธภูมิ เพิ่งได้แค่ ๒ สี ได้สีเขียวกับสีเหลือง ยังต้องหาอีก ๔ สี ได้ไม่ครบ ๖ สีก็ไม่สามารถที่จะไปรอตรัสรู้ได้

แสดงว่าหลวงปู่ยังต้องเกิดอีกเยอะ อาตมาขอพรท่านว่า นอกจากเดินทางกลับเมืองไทยสะดวกปลอดภัยแล้ว ไปถึงขอให้ทำงานได้ เพราะว่าถ้าอากาศเปลี่ยนมาก ๆ ไปแล้วนอนหงิกอยู่ทำงานไม่ได้ก็จะแย่ เนื่องจากว่างานกฐินปลดหนี้ยังรออยู่"

เถรี 15-12-2019 22:29

วันศุกร์ที่ ๒๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๒

"คราวนี้พอหลวงปู่ท่านมา อารมณ์ใจก็รื่นเริงบันเทิงใจมาก ภาวนาไม่นานลืมตาขึ้นมา อ้าว..ตีสาม ก็แปลว่าวันนี้คือวันสุดท้ายที่เราจะอยู่ในเมืองจีนกัน ต้องเดินทางกลับแล้ว วันเสาร์ที่ ๒๖ ต้องไปสกลนครเตรียมเป็นเจ้าภาพทอดกฐินปลดหนี้

โรงแรมเอ๋อเหมยที่เฉิงตูนั้น ถ้าใครไปอาตมาแนะนำให้พัก คือนอกจากที่พักจะดีมากแล้ว บุฟเฟ่ต์อาหารเช้าเขาตักได้ไม่อั้น จะกินแบบจีนหรือฝรั่งก็มีทั้งนั้น แบบฝรั่งก็มีแซนด์วิช เค้ก ขนมปังปิ้ง มีอะไรสารพัด แบบจีนก็มีข้าวต้มทุกอย่างเลย ทั้งข้าวต้มเกาเหลียง ข้าวฟ่าง ถั่วไม่ทราบชนิดนำมาต้มเป็นข้าวต้ม เลือกเอาเลยว่าต้องการแบบไหน

อาตมาก็ประเภทเจ๊กปนลาว ถึงเวลาเอาขนมปังทาเนย แต่ก็เอาข้าวต้มด้วย ที่แนะนำเพราะว่าสถานที่ดีและอาหารก็ดี แต่เวลาลงไปอย่าลืมบัตรห้อง เพราะว่าเขาจะเอาบัตรของเราไปรูดผ่านเครื่องให้รู้ว่าเราเข้ามากินแล้ว ใครที่ไม่มีบัตรห้องก็แปลว่าเป็นตัวปลอมแอบเข้ามากิน"


เถรี 15-12-2019 22:31

"เสร็จเรียบร้อยก็ขึ้นรถ โชเฟอร์พาวิ่ง วิ่งไป ๆ เราก็เอ๊ะ..นี่ทางออกนอกเมือง เพราะว่าวิ่งไปรถก็น้อยลง ปรากฏว่าพอถึงถนนสายหนึ่งเขาก็เลี้ยวเข้าไป ลักษณะเหมือนลานจอดรถเก่า ๆ อยู่หน้าตึกเก่า ๆ ที่หมดสภาพแล้ว

ถามเขาว่ามาทำอะไร เขาบอกว่าพามาซื้อของ จะให้ซื้ออะไร มีตึกร้างอยู่หลังหนึ่ง ปรากฏว่าไกด์เขาพาขึ้นไปชั้นที่ ๒ พอโผล่เข้าไปแล้วก็ตกใจ คือขนาดประมาณเซ็นทรัลเวสต์เกตบ้านเรา ซ่อนอยู่ในตึกร้าง สารพัดของที่ระลึก จะของกินของใช้อะไรก็มีหมด ไปยืนงง ๆ เพราะอาตมาเป็นคนเห็นของเยอะแล้วเลือกไม่ค่อยเป็น ปล่อยคนอื่นเขาเลือกกันไป

คราวนี้ด้วยความเคยชินจะถ่ายรูป อาเจ๊เขาบอกว่าอย่าถ่าย ถามไปถามมาได้ความว่าเป็นร้านที่แอบเปิดโดยที่รัฐบาลไม่รู้ ถ้าถ่ายรูปไปเดี๋ยวความลับแตกจะพาซวยกันหมด ก็คือบรรดาโชเฟอร์หรือไกด์เขาจะมีเส้นมีสายเกี่ยวกับพวกนี้อยู่ ถึงเวลาพาเราไปซื้อของดีราคาถูกได้โดยไม่เสียภาษี ดังนั้น..เพื่อความปลอดภัยก็ไม่ให้ถ่ายรูป"

เถรี 15-12-2019 22:31

"ซื้อเสร็จเอาข้าวเอาของไปเก็บก็ได้เวลาอาหารกลางวัน เขาบอกว่ามื้อนี้จะเลี้ยงอาหารขยะ ...(หัวเราะ)... พาไปกินแฮมเบอร์เกอร์ เจ้าประคุณเอ๋ย..แฮมเบอร์เกอร์อันหนึ่งเกือบจะเท่าจานบ้านเรา คนจีนทำไมกินข้าวกันเยอะขนาดนั้น ? ข้าวกล่องของเขาที่อาตมาเอามา ถ้าเป็นบ้านเราต้องกิน ๔ คนถึงจะหมดกล่อง แฮมเบอร์เกอร์ของเขาก็อันใหญ่ประมาณนั้นแหละ มีคนเดียวที่รู้เท่าทันคือหม่าม้า รู้ว่าพวกนี้ชิ้นใหญ่แน่เลยสั่งมาแต่ไก่ทอด..!

แล้วอย่างหนึ่งที่เห็นก็คือ ร้านขายแฮมเบอร์เกอร์เขามีการส่งแบบเดลิเวอรี ปรากฏว่าผู้จัดการกำลังอธิบายพนักงานในร้านทั้งหมดอยู่ มีการฉายความรู้ต่าง ๆ ขึ้นจอโปรเจคเตอร์ให้ด้วย ใช้เวลานานเหมือนกัน พวกเราใช้เวลาในร้านเกือบ ๑ ชั่วโมง เขาก็ใช้เวลาใกล้เคียงกัน ประมาณว่าคุณไปส่งของแล้วมีปัญหาอะไรบ้าง ลูกค้ามีความต้องการอะไรเป็นพิเศษ เขตไหนสั่งสินค้าของเรามากที่สุดทำนองนั้น พวกนี้เขาเก็บเป็นข้อมูล ถึงเวลาจะได้บริการลูกค้าได้"

เถรี 15-12-2019 22:33

"พอพวกเรากินเสร็จออกมาหารถ เขาบอกให้ไปรอที่ป้ายรถเมล์ เดี๋ยวรถจะวนมารับ อาตมาก็เลยไปรอรถเมล์ในนครเฉิงตูมา ปรากฏว่ารออยู่พักหนึ่งรถเมล์จริงผ่านไปหลายคันแล้ว รถของเราก็ยังไม่มา ไกด์ของเราโทรศัพท์ถามได้ความว่าลานจอดรถเดินไปอีกบล็อกหนึ่ง ก็เลยให้พวกเราเดินต่อไป ไปถึงรถเขาออกมาพอดีก็ขึ้น ไปส่งที่สนามบินเฉิงตู

อาตมาเองปลดข้าวของทุกอย่างที่อยู่ในตัวใส่กระเป๋า ขาไปน้ำหนักกระเป๋า ๖.๕ กิโลกรัม ไป ๑๐ วันนะ ขากลับของเพิ่มขึ้น น้ำหนัก ๖.๘ กิโลกรัม ได้เพิ่มมา ๓ ขีด..! ญาติโยมก็กระดี๊กระด๊าจะขอเฉลี่ยน้ำหนัก ปรากฏว่าทุกคนที่กระเป๋าใบยักษ์ ๆ ชั่งแล้วก็อยู่ระดับ ๒๑ กิโลกรัมเศษ ๆ เขาอนุญาตให้ ๒๐ กิโลกรัม แต่ถ้าไม่เกิน ๒๓ กิโลกรัมก็อนุโลมให้ ก็เลยมีเสียงร้องเย้กันขึ้นมาเพราะว่าผ่านทุกคน"

เถรี 15-12-2019 22:38

"ผ่านเครื่องเอ็กซเรย์มาเจอเด็ก ๆ ๔ คน หน้าตาคุ้น ๆ ปรากฏว่าเป็นเด็กนักเรียนของโรงเรียนพระสุธรรมยานเถระวิทยาที่วัดท่าซุง เขาได้ทุนไปเรียนที่ประเทศจีน ก่อนที่จะไปก็มาลาอาตมาที่นี่ ก็ยังบอกกับเขาว่า เดี๋ยวมีเวลาหลวงตาจะไปเยี่ยม ปรากฏว่าไม่กี่วันหลวงตาไปเยี่ยมเสียแล้ว ...(หัวเราะ)...

เด็ก ๆ เขาเอาของมาฝากหลวงตา มีแต่ของกิน ของที่เอามาฝากนี่ประมาณว่า ถ้าหลวงตาหลงอยู่ในเฉิงตูสักอาทิตย์หนึ่งก็อยู่ได้..! พยายามจัดใส่กระเป๋าที่ยังมีช่องว่างอยู่เยอะแยะ ใส่ไปใส่มาท้ายสุดต้องเอาบะหมี่กระป๋องคืนไปกระป๋องหนึ่ง ก็คือบะหมี่ชื่อว่ากระป๋อง แต่อาตมาอยากจะเรียกว่าบะหมี่ถัง เพราะว่ากระป๋องใหญ่มาก ...(หัวเราะ)... บอกเขาว่าเอากลับไปกินเอง หลวงตาเอาลงกระเป๋าไม่ได้

พอเช็คอินได้ตั๋วมาแล้วก็ไปรอที่ประตูหมายเลข ๑๐๓ จีนเขาสร้างสาธารณูปโภคทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นรถเมล์ รถไฟ เครื่องบิน เขาเผื่ออีก ๒๐ ปีข้างหน้า ดังนั้น..สนามบินเขาเลยใหญ่มาก คาดว่าส่วนประตูที่ไม่เกินหมายเลข ๑๐๐ จะเป็นส่วนของผู้โดยสารในประเทศ พอไปถึงประตูรอขึ้นเครื่อง ทุกคนวางของ แล้วก็ซาวด์เสียงกันว่าใครจะเฝ้า ที่เหลือจะได้ไปช็อปปิ้ง สรุปว่าอาตมาก็จะไปเดินดูของเหมือนกัน ไม่ได้ซื้อหรอก แต่ไปดูเสียหน่อย ท้ายสุดทิดดอยเลยต้องเป็นผู้เสียสละเฝ้ากระเป๋า"

เถรี 15-12-2019 22:40

"อาตมาไปเดินดูของในร้าน พวกร้านที่เป็นเครื่องหยกกับวัตถุโบราณ เขาห้ามถ่ายรูป ซึ่งไม่เคยเป็นปัญหาสำหรับอาตมาเลย เดินประกบขนาดไหนก็ถ่ายได้ เพราะเราต้องการเวลาแค่วินาทีเดียว พอเดินดูจนรู้ว่าของทุกชิ้นราคาแพงขนานแท้ก็กลับไปนั่งเฝ้ากระเป๋าบ้าง ปรากฏว่าอีกพักเดียวทิดเฟิร์สวิ่งมาตาม “หลวงพ่อไปช่วยดูให้หน่อย ว่าของแท้หรือเปล่า ?” แล้วที่แน่ ๆ ขอกู้เงินหลวงพ่อด้วย..! เงินไม่พอซื้อ เขาบอกราคามา ๔,๕๙๘ หยวน ก็เลยต้องไปดูให้เขา สรุปว่าเสียเงินแล้วค่อยกลับมานั่งได้

พวกเราขึ้นเครื่องที่สนามบินเฉิงตู กลับมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิประมาณ ๑๗.๐๐ น. ความจริงได้กำไรมา ๑ ชั่วโมง เพราะเวลาบ้านเราช้ากว่าประเทศจีน ๑ ชั่วโมง ตอนที่เรามาถึงคือ ๑๘.๐๐ น. ของประเทศจีน แต่บ้านเราเป็นเวลา ๑๗.๐๐ น. เจ้าประคุณรุนช่องเอ๋ย...รถติดอย่าบอกใคร จากสนามบินสุวรรณภูมิวิ่งมาถึงบ้านเติมบุญที่นี่ใช้เวลาเกือบ ๒ ชั่วโมง"

เถรี 15-12-2019 22:40

"มาถึงอันดับแรกเลยก็คือสรงน้ำ อาบน้ำเช็ดตัวเสร็จเหงื่อแตกพลั่ก ๆ ...(หัวเราะ)... ดูอุณหภูมิบ้านเรา ๓๓ องศาเซลเซียส ตายละวา...อุณหภูมิต่างกันสุดขั้ว -๖ กับ ๓๓ ต่างกัน ๓๙ องศาเซลเซียส นั่งเหงื่อแตกพลั่กอยู่ครึ่งค่อนชั่วโมง ส่วนที่เหลือใครมีเรี่ยวมีแรงก็ซักผ้า ส่วนอาตมาขอนอนดีกว่า เพราะว่ารุ่งขึ้นต้องเดินทางไปงานกฐินปลดหนี้ที่จังหวัดสกลนคร นอนเก็บแรงไว้ก่อน

สรุปว่าทริปนี้ประทับใจตรงที่ว่า ไปหาที่ตายตอนอายุ ๖๐ ปี แต่อุตส่าห์รอดมาได้ แล้วที่แน่ ๆ คือเจ้าที่ท่านจัดโปรแกรมได้สุดยอดมาก ทุกอย่างลงตัวเป๊ะ ๆ หมด อะไรที่อยากดูได้ดู อะไรที่อยากเห็นได้เห็น ท่านคงหวังจะให้เราไปใหม่ ส่วนเราก็คิดว่าไม่อยากจะไปอีก บรรยากาศแบบนี้ครั้งเดียวก็เกินพอกระมัง ...(หัวเราะ)..."

เถรี 15-12-2019 22:41

ถาม : ตกลงน้ำมนต์เอากลับมาได้ไหมคะ ?
ตอบ : เขาเปลี่ยนไปใส่ขวดแชมพู หรือขวดสบู่เล็ก ๆ ของโรงแรม ซึ่งสามารถนำขึ้นเครื่องได้ ในเมื่อเปลี่ยนไปใส่ขวดเล็ก ขนาดไม่เกินที่เขาห้ามก็เลยผ่านได้

ส่วนอาตมาเองนี่ลำบาก สนามบินเขาตรวจเข้มงวดมาก ขนาดพระให้เอาจีวรออก อาตมาก็ว่าเอาออกหมดทุกอย่างแล้ว คราวนี้กำไลงาช้างวงเบ้อเริ่มเลย เขาถามว่าอะไร ก็ตอบว่ากำไลงาช้าง เขาบอกให้เอาไปสแกน ก็ส่งไปสแกนแต่โดยดี ซึ่งผ่านมาแบบงง ๆ คือสงสัยว่าเขาเห็นเป็นอะไรถึงได้ปล่อยผ่านมา แต่ก็ไม่อยากที่จะสงสัย ฝีมือท่านทำได้ก็ให้ท่านทำไปเถอะ เรามีหน้าที่รับอย่างเดียว แต่หวังว่าพวกเราไปแล้วจะไม่ซื้อมา มีสิทธิ์ติดคุกหัวโต..!

เถรี 15-12-2019 22:42

ถาม : กำไลใหญ่ไหมคะ ?
ตอบ : ใหญ่มาก มาบ้านเราราคาคงไม่หนี ๗-๘ หมื่นบาท อยู่ที่โน่นเขาบอกราคามา ๔,๙๐๐ กว่าหยวน เขาขายเป็นกรัมตามน้ำหนัก เฉลี่ยแล้วกรัมหนึ่งประมาณ ๒๐ หยวน ประเทศจีนโดนต่างชาติเขาแอนตี้เรื่องที่ยังมีการใช้วัสดุจากงาช้าง ใช้ซากสัตว์ในการทำสมุนไพรต่าง ๆ

ที่แน่ ๆ ก็คือญาติโยมเห็นอาตมาโดน รปภ.สาวจีนลูบทั้งตัวแล้วบอกว่าขนลุกแทน เขาไม่สนใจว่าพระหรือไม่พระ เขาตรวจอาวุธอย่างเดียว ถึงเวลาก็ลูบแทบจะหัวจรดเท้าว่าพกอะไรมาบ้างหรือเปล่า โยมพอเห็นเขาบอกให้เอาผ้าจีวรออก แต่ละคนบ่นกันใหญ่ ขนาดพระยังไม่เว้นเลย เพราะฉะนั้น..ที่เหลือก็ถอดเสียดี ๆ ถ้าขนาดพระเขายังไม่เว้นแล้วละก็..!

เถรี 15-12-2019 22:43

:cebollita_onion-17::cebollita_onion-17: เก็บตกเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๒ หมดแล้วค่ะ :cebollita_onion-17::cebollita_onion-17:
ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า เถรี เผือกน้อย นายกระรอก และรัตนาวุธ


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:32


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว