![]() |
มีแม่พาเด็กคนหนึ่งมาทำบุญ พระอาจารย์จึงบอกว่า "คนนี้แหละ ตัวอย่างของชื่อที่มีอิทธิพลต่อชีวิต ตอนเด็กเข้าโรงพยาบาลเป็นว่าเล่นเลย พ่อแม่เขาพามาถามว่าเป็นอะไร ? อาตมาจึงบอกให้ไปเปลี่ยนชื่อเล่นเสีย พอเปลี่ยนก็หายเลย ร้อยวันพันปีจะมีสักคนหนึ่งที่ชื่อมีอิทธิพลต่อชีวิต ไม่ใช่ชื่อจริงด้วย เปลี่ยนแค่ชื่อเล่นก็หายดีเป็นปกติ"
ถาม : ชื่ออะไรคะ ? ตอบ : เขาตั้งชื่อเป็นเด็กฝรั่ง บางที "แม่ซื้อ" ไม่ชอบใจ เด็กรุ่นใหม่ ๆ นี่เขาไม่มีแม่ซื้อแล้วกระมัง ? หมอทรัพย์ สวนพลู เวลาเขียนเรื่องผี ๆ จะใช้นามปากกาว่าหลวงเมือง แกเล่าให้ฟังเรื่องแม่ซื้อนี่แหละ ตอนนั้นแม่อยู่คนเดียว ไกวเปลลูกไปเรื่อย พอใกล้เที่ยงแล้วก็หิวข้าว แต่ถ้าปล่อยไว้เดี๋ยวลูกจะตื่น ไม่รู้จะทำอย่างไร ได้ยินเขาบอกว่ามีแม่ซื้อ ก็เลยเงยหน้ามองฟ้ามองดิน ร้องบอกว่า “ฝากลูกด้วยนะ จะไปซื้อก๋วยเตี๋ยวปากซอยหน่อย” แล้วแกก็ออกไปซื้อก๋วยเตี๋ยว ตอนกลับเดินถือถุงก๋วยเตี๋ยวมา เจอผู้หญิงผมยาวกำลังแกว่งเปลอยู่ แกตกใจถุงก๋วยเตี๋ยวตกแตกเลย ผู้หญิงผมยาวพอได้ยินเสียงถุงก๋วยเตี๋ยวตกก็เงยหน้าขึ้นมาบอกว่า “อ้อ..กลับมาแล้วหรือ ? อย่างนั้นฉันไปล่ะ” ว่าแล้วก็กระโดดขึ้นเพดานหายไปต่อหน้าต่อตา เล่นกันอย่างนี้เลย มาให้เห็นกันกลางวันแสก ๆ ส่วนคนเป็นแม่ก็วิ่งไปอยู่หน้าบ้าน ยืนสั่นอยู่ตั้งนาน พอนึกขึ้นได้ว่าลูกยังอยู่ในบ้านก็วิ่งกลับเข้ามาอุ้มลูก คราวนี้จึงคิดได้ว่า ถ้าตอนแรกอุ้มลูกไปกินก๋วยเตี๋ยวด้วยก็หมดเรื่องไปแล้ว จริง ๆ แม่ซื้อก็เป็นเทวดาประจำตัวนั่นแหละ ส่วนใหญ่จะเป็นบุคคลที่มีความสัมพันธ์กันมาก่อน มีความรักความเมตตาต่อเรา จะเป็นพ่อแม่ครูบาอาจารย์ ญาติพี่น้องเพื่อนฝูง พอท่านตายแล้วไปอยู่ข้างบน เห็นแล้วยังจำได้ก็มาตามดูแลเรา |
โยมนี้ก็อีกท่านหนึ่ง ชื่อณพล แปลว่า ไม่มีแรง ส่วนณเดช แปลว่า ไม่มีอำนาจ ไม่มีอำนาจกับไม่มีแรงก็ไม่ต้องทำอะไรกันพอดี แต่ยังดีนะ ดีกว่าชื่อปราษณี ตั้งชื่อไพเราะเชียว แต่แปลว่าส้นเท้า
คำบางคำพอไปอยู่อีกภาษาหนึ่งแล้วน่ากลัว มีโยมนามสกุลฟักมี พอไปทำหนังสือเดินทาง เจ้าหน้าที่เขาแนะนำว่าให้เปลี่ยนนามสกุลเถอะ โยมที่เขาชื่อชิตก็เหมือนกัน พอเขียนเป็นภาษาอังกฤษแล้วออกเป็นคำด่าตรง ๆ เลย ที่ขำที่สุดก็คือคริสตีน เป็นฝรั่งผู้หญิงไปขอปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัดท่าขนุน ตอนแรกเขาขออยู่ ๑ วัน แล้วก็ขออยู่อีก ๒ วัน ขออีก ๕ วัน เพิ่มไปเรื่อย พอวันท้าย ๆ ดวงจะเฮง เขาพยายามกินอาหารไทยทุกอย่าง วันนั้นก็สงสัยว่าแกงนี้คืออะไร เจ้าไพศาลก็ตอบหน้าตายว่า "ฟัก" คริสตีนขอกลับวันนั้นเลย นึกว่าโดนด่า..! รู้อยู่ว่าเจ้าไพศาลลูกศิษย์วัดเป็นคนประเภทหน้าตาย ยิ้มกับใครไม่เป็น แล้วไปตอบเป็นจริงเป็นจังขนาดนั้น ตัวเองก็ไม่รู้ว่าตอบไปแล้วดุเดือดขนาดไหน เล่นเอาฝรั่งปฏิบัติธรรมอยู่ดี ๆ เปิดแน่บไปเลย คงไปนั่งวิเคราะห์วิจัยกันยกใหญ่ว่า เราทำอะไรผิดถึงได้โดนด่า ไพศาลเป็นคนไม่ค่อยยิ้มแล้วก็พูดห้วน ๆ ด้วย อุตส่าห์ตอบคำถามให้กลายเป็นฝรั่งเปิดไปเลย |
ถาม : เวลาเราภาวนาก็ภาวนาไป ที่ฟุ้งก็ฟุ้งไป ควรทำอย่างไร ?
ตอบ : การแยกจิตเป็นหลายส่วนถ้าไม่ชำนาญจะคุมยาก แล้วจะมีผลเสียตรงที่ว่าภาวนาไปด้วยฟุ้งซ่านไปด้วย วิธีแก้ก็ต้องดึงความรู้สึกทั้งหมดมาอยู่ที่ลมหายใจเข้าออกเฉพาะหน้า คือรวมจิตให้เป็นหนึ่งเดียวใหม่ ไม่อย่างนั้นก็จะฟุ้งไปภาวนาไป ในส่วนของกุศลก็ได้ ในส่วนของอกุศลก็ได้ ก็เลยไม่รู้ว่าไปทำแล้วจะขาดทุนหรือเปล่า ? |
ถาม : ร้านคอมพิวเตอร์เขาลงโปรแกรมเถื่อนมาให้ค่ะ กลัวผิดศีลข้อสอง
ตอบ : แล้วเราได้ขโมยเขามาไหมเล่า ? ถาม : เปล่าค่ะ ตอบ : แล้วตอนที่เอาคอมพิวเตอร์ไปให้ร้าน เราระบุหรือเปล่าว่าเอาโปรแกรมเถื่อน ? ถาม : เปล่าค่ะ ตอบ : ถ้าไม่ได้ระบุ เขาลงอะไรมาให้ก็ใช้ไปสิ ถาม : แล้วอย่างหนังแผ่นเถื่อนล่ะคะ ? ตอบ : นั่นละเมิดลิขสิทธิ์ชัด ๆ เลย ถาม : เรายืมเขาดูค่ะ ตอบ : ยืมดูไม่เป็นไร แต่อย่ายืมบ่อย เดี๋ยวพาให้เพื่อนเขาละเมิดบ่อย |
ถาม : ช่วงนี้เพื่อนขับรถแล้วประสบอุบัติเหตุบ่อยค่ะ จะมีนิมิตทำให้เขาเกิดอุบัติเหตุ เช่น เห็นผู้หญิงมาเดินกลางถนนบ้าง
ตอบ : บอกเขาว่าให้ภาวนา ขอบารมีพระสงเคราะห์ทุกวันก่อนออกรถ ถ้าหากมีเวลาก็ว่าอิติปิโสฯ ๓ จบไปเลย ถ้าหากไม่มีเวลาก็ใช้คาถาบารมี ๓๐ ทัศก็ได้ ขอบารมีพระท่านสงเคราะห์ จะได้ป้องกันเรื่องพวกนี้ได้ อันนี้ต้องมีกรรมเก่าเนื่องกันมาด้วยจ้ะ ถ้าไม่มีกรรมเก่าเนื่องกันมาเขาก็ทำอะไรไม่ได้ หรือไม่ก็ให้เขาไปปล่อยปลา ปล่อยวัวปล่อยควายสะเดาะเคราะห์ไปเลย |
พระอาจารย์กล่าวว่า "จริง ๆ แล้วถ้าให้เด็กมีสัตว์เลี้ยงแล้วจะดีนะ เขาจะได้รู้วิธีปฏิบัติต่อคนอื่น แต่ว่าต้องค่อย ๆ สอน บางคนไม่รู้หนักไม่รู้เบา เหมือนอย่างจ๊ะเอ๋สมัยก่อน อาตมาเลี้ยงอีเห็นไว้ จ๊ะเอ๋เขาวิ่งไล่ต้อนซ้ายต้อนขวา พักเดียวบีบคอห้อยร่องแร่งมาเลย ถ้าไม่รีบแย่งเอาไว้ก่อนก็ตายแน่นอน"
|
คุณบัง (นที) ซึ่งเคยอยู่รับใช้หลวงพ่อฤๅษีมาก่อน มากราบพระอาจารย์ที่บ้านวิริยบารมี พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "บังเมื่อครู่ที่มาเป็นอิสลามจริง ๆ นะ ช่วงแรก ๆ พี่อรรณนพ (ร.ต.ท. อรรณพ กอวัฒนา - ยศขณะนั้น) ส่งมารักษาความปลอดภัยให้หลวงพ่อ บังก็ยืนเฝ้าหน้าประตูโน้น เขาก็คงจะได้รับการสอนแบบของเขามาว่า การเข้าศาสนสถานของศาสนาอื่นจะลงนรก บังก็ได้แต่ยืดคอมองคนที่มาถวายสังฆทาน
วันหนึ่งก็แล้ว สองวันก็แล้ว คนเยอะขึ้น ๆ พอวันที่ ๓ บังเขานึกอย่างไรไม่รู้ กราบหลวงพ่อด้วย ตั้งแต่นั้นมาก็ค่อย ๆ เกิดความเลื่อมใสมาเรื่อย เพราะสิ่งที่หลวงพ่อบอกและสิ่งที่หลวงพ่อทำ เขาเห็นอยู่กับตาว่าเป็นจริงอย่างไร ตอนหลังจึงเปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธแบบไม่บอกทางบ้าน ถึงเวลาก็แขวนลูกแก้วหลวงพ่อ ทางบ้านก็ว่าไม่ได้เพราะไม่ใช่รูปพระ ถามว่าบังเป็นคนเกเรไหม ? เป็นนะ..ที่เขามาบ่นเรื่องลูกให้ฟัง อาตมาถึงได้บอกว่าได้เลือดพ่อไปเยอะ แต่เขาเกเรแบบคนฉลาด เกเรอยู่ในกรอบ ไม่ไปนอกกรอบไกล อย่างไหนถ้าหลวงพ่อห้ามเขาเลิกเลย ถ้าหลวงพ่อไม่ห้ามเขาทำไปเรื่อยแหละ คนอื่นเห็นแล้วคิดว่าหวาดเสียวเกิน เขาไม่สนใจหรอก แต่ถ้าหลวงพ่อห้ามเขาจะหยุด" ถาม : ลูกศิษย์หลวงพ่อที่เป็นอิสลามมาก่อนมีอีกบ้างไหมคะ ? ตอบ : มีเยอะ..เจ้าแขก (นางสาววัลยาภรณ์ ปุณยัง) นั่นก็อิสลาม สมัยก่อนบวชอาตมาก็เพื่อนอิสลามเยอะแยะ ที่มีปัญหากันก็คือพวกรุ่นหลัง ๆ ที่ไปเรียนต่างประเทศแล้วก็โดนล้างสมองมา รุ่นก่อน ๆ เขาไม่เป็นแบบนั้นหรอก |
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : รักษาศีลได้ไหมจ๊ะ ? พอไหวไหม ? ถ้าได้เน้นในเรื่องความบริสุทธิ์ของศีล ศีลจะเป็นเครื่องคุ้มครองป้องกันได้ดีมาก ๆ ถ้าเราไม่ละเมิดศีลด้วยตัวเอง ไม่ยุยงให้คนอื่นทำ ไม่ยินดีเมื่อคนทำ อานุภาพของศีลจะคุ้มครองเราได้ คราวนี้ก็เพิ่มความมั่นคงด้วยการทำสมาธิไปด้วย การทำสมาธิที่ดีที่สุดก็คือการกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ตื่นนอนมาก็ว่าสัก ๕ - ๑๐ นาที ก่อนนอนก็ว่าสัก ๕ - ๑๐ นาที พอกำลังใจมั่นคงก็อาราธนาบารมีพระ ถ้าหากว่าแขวนพระเครื่องก็นึกถึงพระเครื่องที่คอ ถ้าไม่ได้แขวนพระก็นึกถึงพระพุทธรูปสำคัญองค์ใดองค์หนึ่ง อย่างเช่น พระแก้วมรกต เป็นต้น ขอบารมีพระท่านสงเคราะห์คุ้มครองเราให้ปลอดภัย ถ้าทำอย่างนี้ได้ทุกวันก็ปลอดภัยแน่ ๆ ถาม : (ไม่ได้ยิน) ตอบ : ที่ทำแล้วก็แล้วกัน ถ้ามีโอกาสก็ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เขาไป ถ้าไม่มีโอกาสก็ตั้งใจว่าสิ่งที่เราทำ ไม่ว่าจะเป็นการรักษาศีลหรือเจริญภาวนาเป็นบุญใหญ่อยู่แล้ว ให้ตั้งใจอุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรบ่อย ๆ พวกนี้พอรับไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวเขาก็ใจอ่อนอโหสิกรรมให้เอง การสะเดาะเคราะห์ที่ดีที่สุดต้องทำด้วยตัวเองจ้ะ |
มีพระรูปหนึ่งกำลังตรวจต้นฉบับหนังสือ พระอาจารย์กล่าวว่า "อย่าดูบ่อย ดูบ่อยแล้วจะตาลาย เพราะคิดว่าถูกแล้ว ถ้านาน ๆ ดูทีจะเห็นข้อผิดพลาด พวกตรวจต้นฉบับหนังสือเขาก็มักจะคิดว่าถูกแล้ว พอดูแล้วเขาจะมองผ่าน ประสบการณ์นี้เจอด้วยตัวเอง ตรวจเมื่อไรมักจะเจอที่ผิดทีหลัง
เพราะฉะนั้น..หนังสือราชการเขาถึงได้มี ผู้พิมพ์ ผู้ตรวจ ผู้ทาน ถ้ามีข้อผิดพลาดขึ้นมา ๓ คนนี้รับผิดชอบร่วมกัน คนหนึ่งพิมพ์ คนหนึ่งตรวจแก้ คนหนึ่งสอบทาน ถ้า ๓ คนแล้วยังผิดอีกก็เตรียมตัวรับเละได้เลย" |
"คำว่า กราย ใช้ ร.เรือ ควบกล้ำ แปลว่า ผ่าน ใกล้ กระทบ เช่น “กรายหัวข้าเฝ้าเข้ามา ยืนอยู่ตรงหน้าเจ้าธานี” คือเดินเฉียดหัวเข้ามาเลย อันนั้นคือมาตุลีเทพบุตรแปลงเป็นพลถือสารเข้าไปหาท้าวสามล
ในสารว่าองค์พระทรงเดช.............. มงกุฎเกศกษัตริย์เป็นใหญ่ ยกทัพมาประชิดติดเวียงชัย............มิใช่จะณรงค์สงคราม ขอให้ท้าวสามลคนดี...................มาตีคลีพนันในสนาม จะได้มีชื่อยศปรากฏนาม.................ให้ชีพราหมณ์ราชครูดูเป็นกลาง แม้เราแพ้แก่ท่านในการเล่น..............จะยอมเป็นเมืองขึ้นไม่ขัดขวาง เราชนะจะริบไม่ละวาง...................สาวสรรกำนัลนางเป็นของเรา แม้วันนี้มิออกมาเล่นคลี..................จะเข้าตีกรุงไกรเอาไฟเผา ท้าวสามลแม้รู้อย่าดูเบา................จะวอดวายตายเปล่าทั้งเวียงชัย เรียกว่าทั้งปลอบทั้งขู่เลย แล้วไปตีคลีกับพระอินทร์ ใช่ว่าหน้าไหนจะชนะได้ เท่ากับว่าวางหมากให้อย่างไรก็ต้องออกไปเจอสังข์ทองจนได้ นั่นแหละมาตุลีเทพบุตร เดินเฉียดหัวบรรดาเสวกามาตย์ข้าราชบริพารเข้าไปเลย จริง ๆ แล้วสถาบันพระมหากษัตริย์ของเรานั้น ต้องบอกว่าเปิดกว้างมาตั้งแต่โบราณ ทั้งที่มีกฎมณเฑียรบาลบังคับอยู่ ยังเปิดกว้างทางวรรณคดี อย่างเรื่องสังข์ทองสถาบันพระมหากษัตริย์กลายเป็นตัวตลกไปเลย เพราะฉะนั้น..พวกที่จะมาแก้กฎหมายไม่ต้องมาแก้ให้เสียเวลาหรอก เขาระบายอารมณ์กันมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์แล้ว" |
ถาม : เรื่องคลีครับ ไม่ทราบว่านอกจากเรื่องสังข์ทองแล้วมีวรรณคดีเรื่องไหนอีกบ้างที่กล่าวถึงการตีคลี ?
ตอบ : น่าจะมีแต่เรื่องนี้ สมัยก่อนเขาเรียกตีคลี ปัจจุบันเป็นโปโล ถาม : ตามประวัติศาสตร์เขาบอกว่ามีในอินเดียมาก่อน ตอบ : เรารับวัฒนธรรมจากอินเดียเป็นส่วนใหญ่อยู่แล้ว วรรณคดีเก่าทั้งหมดที่อ่านมาไม่มีเรื่องไหนเอ่ยถึงคลีมาก่อน ยกเว้นสังข์ทอง |
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวันที่ ๑๔ มกราคม ทางร้านสมชัยดนตรีไทยเขาช่วยเอากลองหลวงไปซ่อมให้ใบหนึ่ง ทำเสร็จแล้วจะเอาไปจัดเข้าพิพิธภัณฑ์ไว้ กลองใบนั้นน่าจะโตสัก ๒ คนโอบเศษ ๆ ไม้ใหญ่ขนาดนั้นเดี๋ยวนี้หายากแล้ว กลองใบนี้เหลือแต่โครงอยู่ หนังกลองผุเปื่อยหมด เหล็กรัดก็แทบจะไม่เหลือแล้ว ทางร้านสมชัยดนตรีไทยก็เลยเอาไปขึงให้ใหม่ เขามารายงานว่าเหลือแต่การทำสี
การขึงหนังกลองควรจะขึงหน้าฝน เพราะว่าหนังจะชื้นแล้วก็หย่อน ถ้าเราขึงตึง พอถึงหน้าหนาวก็จะตึงได้ที่พอดี แต่ถ้าเราไปขึงหน้าหนาว ต่อให้ตึงขนาดไหน ถึงเวลาหน้าฝนก็จะหย่อน" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมากำลังรอจังหวะเอาผ้าไตรพระราชทานมาครอง ความจริงอาตมาเป็นคนที่ไม่ค่อยจะเปลี่ยนของ โดยเฉพาะผ้าไตรชุดเก่า ๆ จะห่มสบายกว่าเพราะอยู่ตัวแล้ว แต่คราวนี้พระผู้ใหญ่ท่านเตือนมาว่า ของพระราชทานควรจะเอามาใช้งาน เพื่อที่จะได้อุทิศถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็เลยกำลังคิดว่าจะเอาชุดเก่ามาประมูลก่อนดีไหม ?
แต่คิดว่าคงต้องเลยงานฉลองไปแล้ว เพราะว่าตอนงานฉลองนี่สัญญาบัตร พัดยศ กับผ้าไตรต้องอยู่ครบ ถ้ามาอยู่กับตัวเราก็ดูไม่ดี ต้องอยู่บนพานเท่านั้น" |
พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยที่ทหารติดตามพระเจ้าตากออกรบกัน ตอนช่วงนั้นพระเจ้าตากมีทหารคู่พระทัยอยู่ ๑๐ ท่านด้วยกัน ท่านทั้งหลายเหล่านี้รบไปรบมากลายเป็นพระยากันหมด มีพระยาศรีสิทธิสงคราม พระยาสามเมืองระย่อ พระยาพนอราชบาท พระยาไพรีพินาศ พระยาพิฆาตไพรี พระยาพิชัยสงคราม เป็นต้น
มีศึกอยู่ครั้งหนึ่งพม่ามาตี จึงยกทัพออกไปตั้งค่ายรับ ปรากฏว่าตั้งค่ายเสร็จม้าเร็วก็ยังไม่มาแจ้งว่ากองทัพพม่าอยู่ที่ไหน แปลว่ายังห่างจากพม่าอยู่ ท่านพระยาทั้งสิบก็ “เฮ้ย..ไปหาหวากกินกันหน่อย” อันนี้เป็นเรื่องนอกประวัติศาสตร์นะ ถือว่าเล่านิทานให้ฟัง เด็กสมัยนี้คงไม่รู้จัก "หวาก" จริง ๆ แล้วก็คือกระแช่หรือน้ำตาลเมานั่นแหละ ขาไปนั่งคานหามไปอย่างโก้เลย เพราะว่าพระยาจะมีคานหามประจำตำแหน่ง พอไปถึงบ้านที่มีหวากขายก็ไล่ทหารรับใช้กลับ ถามว่าทำไมถึงไล่กลับ ท่านบอกว่า “เมาเหมือนหมา..เดี๋ยวคนจะไม่เคารพ” ต้องไล่กลับก่อนแล้วค่อยเมา พอกินกันหัวทิ่มหัวตำเรียบร้อยดีแล้วค่อยกลับค่าย ผลปรากฏว่ามาเอาค่ำแล้ว..ค่ายปิด กลางคืนค่ายปิดนี่อย่าไปเรียกให้เปิดนะ..หัวขาดเลย เพราะกลัวว่าข้าศึกจะปลอมตัวมาหลอกให้เปิดค่าย ท่านทั้งสิบก็ไปซุกนอนอยู่กับทหารยาม เมาก็เมา ง่วงก็ง่วงเลยนอนเพลิน ฟ้าสว่างโร่ทัพพม่ายกโผล่มาชายทุ่งแล้ว คราวนี้ต้องตาลีตาเหลือกลุก อาวุธก็ไม่มี คว้าดาบพลทหารได้ก็วิ่งดาหน้าเข้าหากองทัพพม่า บอกพลทหารว่าให้รีบไปแจ้งพระเจ้าตากให้ยกทัพมาช่วย เป็นการรบที่พร้อมเพรียงมาก ๑๐ กองทัพออกพร้อมกันหมดเลย กำลังพล ๑๐ นาย ไม่มีลูกน้องแม้แต่คนเดียว..!" |
"ด้วยความที่นายทหารแข็งแรง กำลังดีกว่า ก็จะใช้อาวุธที่ทั้งหนาทั้งหนัก แต่นี่ไปคว้าอาวุธทหารยามมา ซึ่งเป็นอาวุธน้ำหนักเบากว่า บางกว่า พอไปปะทะกับแม่ทัพฝ่ายตรงข้ามก็เป็นเรื่อง เพราะเอาอาวุธพลทหารไปปะทะกับอาวุธแม่ทัพ ครั้งนั้นพระยาพิชัยท่านถึงได้ฉายาว่า "ดาบหัก"
ความจริงไม่ใช่อันตรายที่เกิดขึ้นกับตัวเอง เป็นอันตรายเกิดขึ้นกับพระยาศรีสิทธิสงคราม ข้าศึกฟันจากข้างหลังเพราะว่าตะลุมบอนกัน พระยาพิชัยท่านสอดดาบเข้าไปรับแทน ดาบจึงหัก ครั้งนั้นถ้าหากว่าพระเจ้าตากเปิดค่ายมาช่วยไม่ทันก็คงน่วม พอถล่มทัพพม่าเละเทะเรียบร้อยเสร็จสรรพ ยกทัพกลับค่าย สิบพระยาก้มหน้าดูดินกันหมดเลย พระเจ้าตากชี้หน้าบอกว่า “งานนี้ถ้าแพ้พม่า พวกมึงหัวขาดหมด..!” ยังโชคดีว่าสิบท่านยันพม่าอยู่ จนเปิดค่ายออกมาต่อสู้ได้ทัน ตอนนั้นพูดง่าย ๆ ว่าสู้กันถวายหัว ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องยันให้หยุดให้ได้ สรุปว่าเรื่องนี้เป็นนิทาน อวสานแต่เพียงเท่านี้แล..!" |
"ตอนไปที่บ่อเหล็กน้ำพี้ จะมีบ่อพระแสง บ่อพระขรรค์ อาตมาไปหาดาบเผื่อได้ถูกใจตัวเอง จับดูทุกร้านแล้วไม่มีถูกใจเลย มีแต่เบาเกินไป จับไปก็บ่นไป จนกระทั่งท้ายสุดเจ้าของร้านหนึ่งบอกว่า “เดี๋ยวครับ..ผมเอาที่ทำพิเศษให้เลย” ว่าแล้วแกก็คว้าดาบมายาวเมตรครึ่ง อาตมาลองจับดูก็ยังเบาเกินไปอยู่ดี เลยถามว่านี่ถ้าสั่งตีจริง ๆ ทำให้หนากว่านี้ได้ไหม ? เขาบอกว่า “ได้ครับ..แต่ราคาต้องอีกระดับหนึ่ง เพราะว่าเหล็กน้ำพี้ปัจจุบันเป็นของหายากมาก”
ถ้าจะเอาน้ำหนักที่อาตมาต้องการ คงตีแบบเดิมได้อีกหลายเล่มเลย ฉะนั้น..เมื่อหาทั้งหนาทั้งหนักขนาดนั้นไม่ได้ ก็เลยรีรอมาถึงทุกวันนี้ เพราะว่าถ้าอยู่ ๆ ไปสั่งเอาสันดาบหนา ๑ เซนติเมตร เขาคงช็อกตาค้าง แต่อาตมาขำตอนที่บรรดาท่านพระยาพูดว่า “พวกเอ็งกลับกันได้แล้ว” ทหารเขาว่า “อ้าว..ทำไมละขอรับ ?” พอไล่ทหารไปเสร็จแล้วค่อยหันมาคุยกัน “ถ้าขืนเมาเหมือนหมาให้พวกนี้เห็น เดี๋ยวมันก็เลิกเคารพเท่านั้น” แสดงว่ายังมีสติ ไม่อยากให้ลูกน้องเห็นตอนหมดสภาพ เรื่องของการศึกการสงคราม บางอย่างถ้าไม่ใช่ผิดกฎอัยการศึกจริง ๆ ก็ต้องพยายามเมิน ๆ เสียบ้าง เพราะต่างคนต่างเครียดด้วยกันทั้งนั้น ถ้าไม่เสียงาน อยากจะไปกินเหล้าเมาหัวทิ่มบ่อให้หายบ้าสักหน่อยก็ไปเถอะ " |
"สมัยนั้นตำแหน่งอาลักษณ์จะเหนื่อยมาก ถ้าเทียบเป็นสมัยนี้ก็เป็นเลขานุการ ถึงเวลาออกรบ ถ้าใครมีความดีความชอบ หรือโดนปลดยศลดขั้น หรือตัดเบี้ยหวัด ก็จะมีรับสั่งออกมา อาลักษณ์จะต้องเป็นคนจดรายละเอียด เช่น ท่านนี้ได้รับเลื่อนขึ้นมาจากหัวหมื่นขึ้นมาเป็นคุณหลวง ท่านนี้จากคุณหลวงขึ้นไปเป็นพระยา ต้องรีบจดรายละเอียดไว้
พอถึงเวลากลับสู่บ้านเมืองแล้ว ก็แจ้งให้ทางกองพระราชพิธีเขาทำตราตั้ง เพื่อที่จะพระราชทานอย่างเป็นทางการอีกที เพราะฉะนั้น..อาลักษณ์จะพลาดไม่ได้เลย พลาดเมื่อไรเดี๋ยวหัวขาด เมื่อถึงเวลาจะมีการให้รางวัลคนนั้นเท่านั้น คนนี้เท่านี้ เบี้ยหวัดเท่าไร ผ้าปีเท่าไร ไปนึกถึงสมัยนั้นแล้วเรื่องการทอผ้าเป็นงานยาก เวลาบ้านเมืองต่าง ๆ ส่งบรรณาการเข้ามา เป็นผ้าหรือภาษีเข้ามาก็จะเป็นพวกผ้า ช้าง ม้า เครื่องเทศหรือข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ เก็บเข้าคลังหลวง แล้วเบิกมาแจกรางวัลทหาร คราวนี้ ผ้าปี ก็คือ ปีหนึ่งเบิกได้ครั้งหนึ่ง ปีหนึ่งพระราชทานครั้งหนึ่งเรียกว่าผ้าปี อย่างสมัยที่เจ้าพระยายมราช สมัยยังเป็นจมื่นไวยวรนาถ จะกี่ปีท่านก็ใช้ผ้าสมปักอยู่ชุดเดียว เพราะว่าเป็นชุดที่ต้องใส่เพื่อเข้าเฝ้า ในเมื่อกี่ปีก็ใส่อยู่ชุดเดียว คนเขาก็เลยไปอธิษฐานกันว่า ขออย่าให้เป็นผ้าสมปักพระนายไวย เขาอธิษฐานคล้องจองกันยาวยืดเลย แต่มีอยู่อันหนึ่งว่าขออย่าให้เป็นผ้าสมปักพระนายไวย เพราะใช้กันหัวไม่วางหางไม่เว้น ผืนเดียวใช้จนเปื่อยแล้วเปื่อยอีก" |
"มานึกถึงตัวอาตมาเองซึ่งมีความเคยชินอย่างหนึ่ง ก็คือประหยัดในเรื่องของบริขารต่าง ๆ ถ้าของเก่าไม่เสีย ของใหม่จะไม่ใช้ ตอนไปเรียนหนังสือ เพื่อนร่วมห้องเขาเห็นจีวรอาตมามีรอยเย็บรอยปะ ความที่สนิทกันเขาก็บอกว่า “เฮ้ย..เดี๋ยวอาทิตย์หน้ากูถวายชุดหนึ่ง” อาตมาก็หัวเราะบอกว่า “ไม่ต้องหรอก..กูมีเยอะกว่ามึงอีก" ด้วยความที่อาตมาประหยัด ก็ใช้ของเก่าไปก่อน
โดยเฉพาะจีวรเก่าจะห่มสบาย จีวรใหม่ ๆ ห่มไม่ติดตัวหรอก พับก็ไม่อยู่กับร่องกับรอย กว่าจะห่มติดตัวได้ก็ต้องปล้ำผีลุกปลุกผีนั่งกันหลายเดือน ส่วนใหญ่ถ้าเป็นพระเก่าจะไม่ค่อยใช้จีวรใหม่หรอก บางทีไปเล็งรอพระใหม่ออกพรรษา พอพระใหม่สึกก็ไปขอผ้าเขามา เพราะอย่างไรพระใหม่ต้องส่งคืนคลังอยู่แล้ว ก็ไปขออนุญาตเบิกมา เอามาเปลี่ยนแล้วทำพินทุ อธิษฐานใหม่ กลายเป็นว่าพระใหม่ใช้มาพรรษาหนึ่ง ผ้ากำลังนุ่มได้ที่ พระเก่าก็คว้าต่อเลย" |
"สมัยอยู่กับหลวงพ่อวัดท่าซุง อาตมาพยายามที่จะเปลี่ยนบริขารท่านเพื่อเก็บไว้ แรก ๆ เปลี่ยนจีวรท่านทีไรโดนด่าทุกที พอถึงเวลาก็ “เฮ้ย..ใครเอาจีวรข้าไปวะ ?” อาตมากราบเรียนว่า “ผมครับ” ท่านบอกว่า “ไปเอาของเก่าคืนมา” อาตมาก็ต้องไปเอาของเก่ามาถวาย แล้วก็มานั่งเล็งดูว่าเป็นเพราะอะไร
ผืนใหม่ก็อุตส่าห์ซักจนดูเก่าแล้ว ระยะหลังต้องใช้วิธีกางออกมาวัด ปรากฏว่าผืนใหม่ยาวกว่า ๒ นิ้ว แค่จับก็รู้ว่าผิดปกติแล้ว ถึงเวลาจึงต้องหาผ้าที่เท่ากันให้ได้ แล้วก็ไปซักแล้วซักอีก สะบัดแล้วสะบัดอีก จนกว่าผ้าจะนุ่มใกล้เคียงผืนเก่าแล้วค่อยเอาไปเปลี่ยนกับท่าน เปลี่ยนมาแล้วก็เก็บไว้ กะว่าหลวงพ่อสิ้นเมื่อไรกูรวยแน่ อันนี้ไม่ใช่นะ..พูดเล่น..(หัวเราะ) พอมาช่วงหลังหลวงพ่อท่านป่วยหนัก ซึ่งเป็นช่วงสุดท้ายของท่านแล้ว ท่านเข้าโรงพยาบาล อยู่ ๆ หลวงปู่สมเด็จวัดสามพระยาก็โทรศัพท์มาหาหลวงพี่วิรัช บอกให้รีบจัดพิธีเผาศพสะเดาะเคราะห์ให้กับหลวงพ่อวัดท่าซุง โดยเฉพาะให้นำของใช้เก่าของหลวงพ่อเผาไปด้วย แล้วก็มีหน้าเหี้ยม ๆ ยื่นมาถามอาตมาว่า “เฮ้ย.! มีไหม ?” ตายละวา..ถ้าไม่ให้แล้วเกิดหลวงพ่อเป็นอะไรไป ก็ซวยคนเดียว ถ้าให้...อุตส่าห์เก็บมาแทบตายก็หมดเท่านั้น ท้ายสุดก็ต้องตัดใจให้ไป ปรากฏว่าสะเดาะเคราะห์ช้าไปหรืออย่างไรไม่รู้ หลวงพ่อช็อกไปก่อน หมอกู้ไม่คืน..!" |
ถาม : แล้วตอนนี้ยังเหลือบ้างไหมครับ ?
ตอบ : เหลือสังฆาฏิอยู่ ๒ ผืน โดนปล้นไปผืนหนึ่งแล้ว..! ถาม : ใครปล้นคะ ? ตอบ : พี่แถว ๆ สระบุรีท่านขอไป สังฆาฏิของหลวงพ่อนี่จะชัดมากเลย เพราะว่าท่านเป่ายานัตถุ์ประจำ จะมีผงยานัตถุ์เป็นรอยอยู่ ถ้าแกะออกมาแล้วไม่มีนี่ไม่ใช่หรอก ถาม : แล้วที่เปลี่ยนจีวร หลวงพ่อท่านรู้ได้อย่างไรว่านี่ไม่ใช่จีวรของท่านคะ ? ตอบ : พอกางจีวรออกมาแล้วจะรู้ อาตมายังรู้เลย พอกางออกมาแล้วยาวเกิน สั้นเกิน จะรู้ทันที เพราะว่าใช้จนชินแล้ว ด้วยความที่ไม่เคยชิน พอหลวงพ่อถอดจีวรอาตมาก็คลี่สะบัดแล้วเอาไปตากแดด จะได้ไม่ชื้น โดนด่าอีก ท่านบอกว่าจีวรตากแดดสีจะซีดเร็ว ให้ตากในร่ม สรุปว่าโดนทุกเม็ด อยู่กับท่านต้องละเอียดจริง ๆ เดินผิดจังหวะยังโดนเลย จนท้ายสุดต้องเดินอย่างไรให้เบา ไม่ใช่ไปลงส้นดังตึง ๆ |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 09:17 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.