![]() |
ถาม : บุคคลที่สอนผู้อื่นเป็นมิจฉาทิฐิ แล้วภายหลังกลับมาเป็นสัมมาทิฐิ เขาสามารถไปสู่สุคติได้ไหมครับ ?
ตอบ : หลวงพ่อวัดท่าซุงเคยเทศน์สอนเขาว่าพระนิพพานสูญ พอได้รับความกระจ่างจากหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ หลวงพ่อบอกว่าท่านต้องมานั่งทบทวนว่า หลายปีที่ผ่านมาท่านไปเทศน์ที่ไหนบ้าง แล้วก็ย้อนกลับไปเทศน์แก้ทั้งหมด แปลว่ากลับไปแก้ความผิดของตัวเองเสียก่อน ไม่อย่างนั้นแย่แน่ แล้วสมัยนั้นท่านดังด้วย เขานิมนต์เทศน์แต่ละปีไม่รู้ตั้งเท่าไร พอย้อนกลับไปเทศน์ใหม่ เทศน์ให้ฟรี ๆ ก็เอา สมัยโน้นนี่เทศน์ทีหนึ่งอย่างน้อยก็ได้ผ้า ๑ ไตร |
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อปีที่แล้ว...ถ้าบอกว่าเดือนที่แล้วก็ดูใกล้ อาตมาไปตรวจเครื่องมือในการทำวิจัยของนิสิตปริญญาโท มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี ท่านเป็นเจ้าอาวาส ท่านทำในเรื่องของการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเด็กชั้น ป. ๕ ด้วยหลักสัปปุริสธรรม ๗
อาตมาไปถึงก็ท้วงเป็นคนแรกเลย ทำไมคุณทำแค่การรู้เหตุ รู้ผล รู้ตน แล้วอีก ๔ ข้ออยู่ที่ไหน ? เขาก็บอกอาจารย์ที่ปรึกษาให้ทำแค่นี้ อาตมาบอกท่านไปว่า "อาจารย์ที่ปรึกษาของคุณให้ผ่าน แต่อาจารย์อื่นที่ตรวจ ถ้าได้ยินคำว่าสัปปุริสธรรม ๗ แล้วทำมาแค่ ๓ ไม่มีใครให้คุณผ่านหรอก เพราะว่าผิดหลักธรรม สัปปุริสธรรมไม่ได้มี ๓ ข้อ แต่มีถึง ๗ ข้อ" ปรากฏว่าท่านอาจารย์ ดร.พาทีสนับสนุนสุดตัวเลย ท้ายสุดอีก ๒ ท่านก็ช่วยกันหาทางออก บอกว่าบัณฑิตวิทยาลัยอนุมัติหัวข้อวิทยานิพนธ์มาจนถึงขนาดทำเครื่องมือแล้ว แก้ไขยาก อาตมาบอกว่า "ถ้าไม่แก้ออกนอกหัวข้อก็ได้ คุณต้องบอกว่าการใช้หลักธรรมในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเด็กชั้น ป. ๕ ให้รู้จักเหตุ รู้จักผล รู้จักตน ก็อยู่ในเนื้อหานั่นแหละ ไม่ได้ไปไกล" |
"ประการที่ ๒ เครื่องมือทุกอย่างที่คุณทำมาไม่ใช่เครื่องวัดความรู้เด็กชั้น ป. ๕ แต่เป็นเครื่องมือวัดความรู้ของอาจารย์สอนปริญญาโท สูงเกินไป เด็กโหนไม่ถึง แล้วถ้าคุณต้องการที่จะทำวิจัยมาในแนวนี้ จะมาหนักตรงที่ว่า คุณจะต้องเปิดคอร์สอบรมครูบาอาจารย์ หรือวิทยากรที่สอนเด็กเกี่ยวกับจริยธรรมด้านนี้ใหม่ ไม่อย่างนั้นเขาไม่มีทางที่จะมาแนวเดียวกับคุณได้
ส่วนข้อที่ ๓ อาจจะไม่เกี่ยวกับเนื้อหาเครื่องมือทำวิจัย แต่พฤติกรรมของคุณแย่มาก ผมพูดคุณไม่บันทึกเสียง เขียนก็ไม่เขียน คุณคิดว่าความจำของคนดีกว่าคอมพิวเตอร์หรืออย่างไร ? ทั้งหมดอาจารย์ ๔ รูปช่วยว่ากันมา ๒-๓ ชั่วโมงนี่คุณจะจำได้หมดหรือ ?" |
"คราวหน้าแก้ตัวเสียใหม่ ไม่อย่างนั้นผมไม่แปลกใจหรอกว่าทำไมคุณเรียนมาปีที่ ๓ แล้วยังไม่จบ ก็คือเวลาบอกข้อบกพร่อง แทนที่ท่านจะน้อมรับแล้วเอาไปแก้ไข ท่านกลับมาคอยแก้ตัวว่าเป็นเพราะอะไรถึงเป็นอย่างนี้ แล้วแถมยังไม่บันทึกเอาไว้อีกด้วยว่าอาจารย์บอกแบบไหน
อาจารย์ ๔ ท่านพยายามที่จะน้อมท่านให้ไปในด้านเดียวกัน เพื่อให้เนื้อหาของงานวิจัยออกมาเป็นแนวเดียวกัน สืบเนื่องกันได้ทั้ง ๕ คน แต่ท่านเองมานั่งเถียงอาจารย์ทีละข้อ ๆ ดูอนาคตแล้วอาจจะต้องเรียนถึง ๕ ปี ซึ่งผิดระเบียบ เพราะว่าปริญญาโทเรียน ๒ ปี ต่ออายุได้แค่ ๒ เทอม" |
พระอาจารย์กล่าวสอนผู้จัดงานสวดพระคาถาเงินล้านว่า "การตั้งงบประมาณ จะตั้งอะไร ถ้าเป็นไปได้ให้สืบราคาก่อน เพราะว่าถ้าเราตั้งเกินราคาท้องตลาดมา คนที่เขารู้จะหาว่าเราทุจริต บริสุทธิ์ใจขนาดไหนก็โดนสอยจนได้"
|
พระอาจารย์เล่าว่า "ที่ตึกแดงวัดท่าขนุน ตรงจุดที่พระนั่งทำวัตรกัน นั่งทับผีอยู่นับไม่ถ้วน อาตมาเป็นคนเทลงไปเอง คนอื่นกลัวโถกระดูกหรือ ? มา..อาตมาเอาไว้ถมที่ได้ ว่าแล้วก็เทลงไปเลย ไม่รู้ว่าญาติพี่น้องของเขาไปอยู่กันถึงไหนแล้ว หาตัวไม่ได้ ก็จะให้ทำอย่างไรได้"
ถาม : อย่างนี้เราต้องทำบังสุกุลให้เขาหรือครับ ? ตอบ : จะว่าไปก็พยายามทำทุกอย่างแล้ว ส่วนคุณจะรับหรือไม่รับ ยินดีหรือไม่ยินดีก็แล้วแต่คุณเถอะ ผมในนามผู้จัดการแทนเจ้าอาวาสก็จัดการทุกอย่าง แรก ๆ ก็มีอาละวาดบ้าง พอนาน ๆ ไปทำวัตรสวดมนต์อุทิศส่วนกุศลให้ทุกวัน ก็ต่างคนต่างไป คือบางอย่างคนเขาไม่กล้าแก้ไข อย่างตรงเรือนรับรองพระเถระ แต่ก่อนมีสระใหม่เบ้อเร่อ ผมก็ให้ช้อนปลาไปปล่อย ถมสระ แต่ละอย่างล้วนแล้วแต่อยู่ในจุดที่ฮวงจุ้ยพาเสียทั้งนั้น" |
พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนใครไปวัดท่าขนุนนะ (...เจมส์จิครับ...) เจมส์จิไปถ่ายทำรายการ ปล่อยให้ชาวบ้านเขาไปกรี๊ดกันเถอะ อาตมาเซ็นอนุมัติให้ถ่ายแล้ว คุณก็ทำของคุณไป
เดินบิณฑบาตอยู่กำลังเดินข้ามสะพาน “หลวงพ่อ..ทางนี้ครับ...หลวงพ่อ..ทางนี้” ไอ้ห่...ต้องให้กูหันไปยิ้มแล้วยกสองนิ้วอย่างนี้ด้วยใช่ไหม ? มึงก็ถ่ายของมึงไปสิ พระเดินบิณฑบาตข้ามสะพานอยู่ มาตะโกน “หลวงพ่อ..ทางนี้ครับ...หลวงพ่อ..ทางนี้” วอนหาเรื่องโดนด่า ไอ้เด็กติ๊งต๊อง..! คิดดู..พระเดินบนสะพานแขวน คุณจะถ่ายก็ถ่ายไปสิ อุตส่าห์เว้นจังหวะให้อย่างดีแล้วยังจะมา "หลวงพ่อทางนี้" ต้องให้หันไปมองกล้องด้วย อาตมาไม่ค่อยจะเหมือนชาวบ้านชาวเมืองเขา คนอื่นเขาเห่อดารา แต่อาตมาไม่เห่อ...ไม่รู้จัก ตอนคุณปิยะมาศไป บอกเขาว่า “ขอโทษนะ..ไม่มีเวลาสนใจโยมเลย” คุณปิยะมาศก็บอกว่า “หนูก็ไม่มีเวลาสนใจพระเหมือนกันค่ะ”เขามัวแต่เปิดโรงทาน |
พระอาจารย์กล่าวว่า "บรรดาท่านทั้งหลายที่จองตะกรุดพยัคฆราชเกราะเพชรนี่จุกไปตาม ๆ กัน พิมพ์ผิดไปจึงต้องเริ่มต้นจองใหม่ ก็คือดันไป Copy คนที่ผิดมา เตือน "ตัวเล็ก" ว่าดูดี ๆ นะ มีผิดบานเลย เขาก็จัดการไล่ดู สรุปว่าผิดเป็นร้อย ตะกรุดแบบที่หนึ่งมีแค่ ๒๒๐ ดอก พอคนเขาจองเกินไป คุณมาช้าก็อด กลายเป็นว่าคนจองก่อนแล้วไม่ได้ เขาต่อว่ากันกระจายอยู่ใน Facebook ว่าทำไมจองแล้วไม่ได้ ? ก็เลยต้อง Copy ที่เขาจองไปให้ดูว่าผิดตรงไหน
เด็กสมัยนี้ตกภาษาไทย อย่าง “เพชฌฆาต” เขียนอย่างนี้ ดันเขียน “เพชรฆาต” เลย แทนที่จะเป็น ฌ. กลายเป็น ร. พวกจองทีหลังได้เปรียบ เพราะว่าพอมีคนรู้ตัวเริ่มแก้ เขาก็รีบไปดูของตัวเอง" ถาม : ตะกรุดทั้งสามแบบต่างกันอย่างไรคะ ? ตอบ : วัสดุคนละอย่าง คนละชนิดกัน คนละสายพันธุ์ แต่ตระกูลเดียวกัน ถาม : ต่างกันตรงแค่หายากกว่าหรือคะ ? ตอบ : หาโคตรยากกว่า..! ไม่ใช่หายากกว่าเฉย ๆ ถาม : แต่ตามตำราถือว่าใช้ได้เหมือนกัน ? ตอบ : เหมือนกัน แต่ถ้าได้อย่างแรกก็ถือว่าดีที่สุด เพราะป้องกันอาถรรพ์ป่าได้ทุกอย่าง ขนาดเขาดึงขนใช้กันทีละเส้นเลย ดึงขนออกมาเส้นหนึ่งโยนเข้ากองไฟ จะปลอดภัยจากอาถรรพ์ป่าทั้งคืน |
พูดถึงกลีบกุหลาบที่ประดับบนขนม "สมัยอาตมายังเด็ก ๆ ส่วนใหญ่เป็นกุหลาบมอญ ที่เขาเอามาโรยในน้ำยาอุทัย กุหลาบมอญจะเป็นช่อ ๆ ช่อหนึ่งมี ๕-๖ ดอก เถาค่อนข้างจะเลื้อย ตอนหลังกุหลาบทางด้านยุโรปเข้ามา พวกเราก็ไปเห่อตามเขา จำได้ว่าชุดแรกที่เข้ามาก็คือโซเฟีย เป็นกุหลาบสีชมพูดอกใหญ่ ๆ แต่ว่าทรงค่อนข้างตูม ไม่บานจนหมด ตอนหลังกุหลาบควีนสิริกิติ์ดังระเบิดเถิดเทิง เขาผสมกุหลาบพันธุ์ใหม่ได้ ขอพระนามสมเด็จพระราชชนนีพันปีหลวงไป ตั้งเป็นกุหลาบควีนสิริกิติ์
ระยะหลัง ๆ ทางเหนือของเราเพาะกุหลาบเก่งมาก ดอกตูมใหญ่เท่ากำปั้น แล้วเวลาบานจะใหญ่เท่าไร ก้านดอกยาว ๓ ฟุต ถามว่าทำไมตัดก้านดอกยาวขนาดนี้ ? เขาบอกว่าให้เขาไปตัดต่อได้เรื่อย ๆ ก้านดอกยาวและดอกใหญ่ราคาจะสูง ถามเขาว่าประมาณเท่าไร ? เขาหยิบให้ดู บอกว่าดอกนี้ถ้าเป็นช่วงวาเลนไทน์ดอกละประมาณ ๗๐๐ บาท ตายละวา...กุหลาบดอกหนึ่ง ๗๐๐ บาท แล้วถ้าไปเจอช่อใหญ่จะราคาเท่าไรเอ่ย ?" |
"เดี๋ยวนี้คนเริ่มรู้แล้วว่ากุหลาบกินได้ สมัยก่อนเขาไม่รู้ แต่ว่าสมัยนี้อันตรายเพราะว่าสารเคมีเยอะ สมัยก่อนปลูกกันแบบธรรมชาติจริง ๆ พอถึงเวลาเอามาแปะหน้าตะโก้ กระทงหนึ่งก็กลีบหนึ่ง หรือไม่ก็ไปลอยหน้าน้ำยาอุทัย
สมัยก่อนอะไร ๆ ก็เพาะเมล็ด สมัยนี้ ตอน เสียบกิ่ง ต่อยอด ติดตา ปั่นเนื้อเยื่อ ฯลฯ อาตมาเคยเอากล้วยปั่นเนื้อเยื่อไปปลูกที่เกาะพระฤๅษี สูงประมาณหนี่งเมตรเท่านั้นก็ออกลูกแล้ว ไม่ลำบากตอนตัด มีหน่อเหมือนกัน แต่ว่าหน่อนั้นเอาไปสืบพันธุ์ต่อไม่ได้" |
ถาม : ไปอยู่ในที่ที่ทำอะไรแล้ว คนอื่นเขาทำตามเราตลอด ?
ตอบ : ไม่รู้จักคำว่า "ไอดอล" หรือ ? เป็นเรื่องปกติ บางคนก็สร้างเวรสร้างกรรมร่วมกันมา พอถึงเวลาสร้างเวรสร้างกรรมร่วมกันมา เห็นเข้าก็ชอบใจ อยากจะทำตาม ถาม : เกี่ยวกับเคมีเข้ากันไหมคะ ? ตอบ : ไอ้นั่นภาษาฝรั่ง ต้องบอกว่าเวรกรรมผูกพัน แหม...เคมีเข้ากัน เดี๋ยวก็เหวี่ยงให้...! |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้กำลังมีพระเลียนแบบอย่างคร่ำเคร่ง ว่าจะให้พรบทมงคลจักรวาลน้อยโดยการหายใจครั้งเดียวเหมือนกับหลวงพ่อ อาตมาบอกไปว่าถ้าสมาธิไม่เท่ากันทำไม่ได้หรอก สมาธิสูงใช้ลมหายใจน้อยก็ว่าได้ยาว"
|
พูดถึงการถ่ายรูป "มีคนจำนวนมากที่เขาสามารถถ่ายรูปคนมากให้เป็นคนน้อยได้ โยมเต็มห้องแบบนี้ เขาถ่ายออกมามีอยู่ ๒ คน ก็คือคนกำลังถวายกับคนรับ ก็เลยทำให้คนเขาสงสัยว่ามีคนไปถวายสังฆทานกี่คน
เมื่อวานซืนตอนบิณฑบาตที่โรงพยาบาล ตากล้องก็จ่อตั้งแต่คนแรกยันคนสุดท้าย อาตมาบอกว่าถ้าคุณถ่ายแบบนี้ คุณจะไม่มีภาพรวมของงานไปให้เขาเห็น นอกจากแพทย์พยาบาลและเจ้าหน้าที่ซึ่งใส่บาตรพระอาจารย์เล็ก ทั้ง ๆ ที่พระเดินตามหลังพระอาจารย์เล็กไปตั้ง ๓๒ รูป แต่เห็นพระอาจารย์เล็กอยู่รูปเดียว เนื่องจากว่าประสบการณ์ไม่เหมือนกันอย่างหนึ่ง ความคิดไม่เหมือนกันอย่างหนึ่ง ก็เลยทำให้เขาทำงานในลักษณะอย่างนั้น ประสบการณ์ไม่พอ ก็คือไม่รู้ว่าการที่ส่งรายงานการทำงานขึ้นไป ผู้บังคับบัญชาต้องการเห็นงานรอบด้าน ไม่ใช่ว่าต้องการให้คุณเสนอหน้าอยู่คนเดียว อาตมาด่าไปสองสามทีแล้วตอนที่ถ่ายรูป บิณฑบาตคนทั้งอำเภอมาร่วมงานที่วัดท่าขนุน ดันถ่ายแต่เจ้าอาวาสวัดท่าขนุนเป็นร้อย ๆ รูป แล้วเขาจะเห็นหรือว่าบรรยากาศรอบด้านเป็นอย่างไร ? ตอนหลังโดนไปหลายทีค่อยดีขึ้น" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นประธานองคมนตรี ก็คงต้องทรงตั้งองคมนตรีเพิ่มอีกหนึ่งท่าน
อาตมายังได้เห็นนายกฯ สุรยุทธ์แบบใกล้ชิด ๑ ครั้ง นายกฯ บรรหาร ๒ ครั้ง นายกฯ ชวน ๒ ครั้ง นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ๑ ครั้ง ท่านที่ได้เห็นมากที่สุดก็คือนายกฯ ทักษิณ ๔ ครั้ง ไม่น่าเชื่อ...เป็นรัฐบาลอยู่ไม่กี่ปี เฉพาะพื้นที่เดียวไปถึง ๔ ครั้ง ทุ่มเทให้กับงานมาก ก็เลยเป็นที่หมั่นไส้จนไม่มีแผ่นดินจะอยู่ ส่วนนายกฯ ยิ่งลักษณ์อย่าไปดูในโทรทัศน์หรือรูปถ่าย ดูตัวจริงสง่ากว่านั้นมาก ไม่ใช่คนสวย คนสวยกว่านั้นมีเยอะ แต่เป็นคนสง่าแบบมีราศี แบบคนที่มีบุญเก่ามามาก ซึ่งบอกว่าบุญเก่าไม่มากก็ไม่ได้ ใช้เวลาหาเสียงไม่กี่เดือน เอาชนะพวกเขี้ยวลากดินมาเป็นนายกฯ ได้" |
"เวลานักการเมืองจะหาเสียง ก็มักจะไปอาศัยวัดเป็นหลัก เพราะรู้ว่าวัดเป็นศูนย์รวมของชาวบ้าน โดยเฉพาะอย่างวัดท่าขนุน หลวงปู่สายเป็นหัวจิตหัวใจของชาวบ้าน ถึงเวลาก็ไปรวมตัวกันที่วัด สมัยท่านอาจารย์สมพงษ์เป็นเจ้าอาวาส อาตมาเป็นรองเจ้าอาวาสนี่เครียดเลย คณะกรรมการมี ๒ ฝ่าย ๓ ฝ่าย ส่วนใหญ่เป็นคู่แข่งการเมืองท้องถิ่น แต่ว่าเป็นลูกศิษย์หลวงปู่ทั้งหมด
ฝ่ายหนึ่งก็เชิญ ส.ส. พรรคไทยรักไทยเป็นประธาน อีกฝ่ายหนึ่งก็เชิญ ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์เป็นประธาน อีกฝ่ายหนึ่งก็เชิญ ส.ส. พรรคภูมิใจไทยเป็นประธาน พอเจ้านายมา พวกชุดซาฟารีพกปืนตุงเอวตามมาฝ่ายหนึ่ง ๘ คน ๑๐ คนเต็มศาลาไปหมด อาตมาได้แต่นั่งเซ็ง อย่ามายิงกบาลกันบนศาลาตูนะเว้ย..!" |
"เรื่องของนักการเมือง สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเขาต้องรักษาฐานเสียงของเขา คราวนี้การรักษาฐานเสียงมีรายจ่ายที่เป็นภาษีสังคมเยอะมาก งานแต่ง งานศพ ขึ้นบ้านใหม่ สารพัดงานฉลองต้องไป อย่างไม่มีอะไรก็แจกันดอกไม้ ถ้างานศพพวงหรีดต้องมีให้เขา จนกระทั่งบรรดาร้านดอกไม้ในพื้นที่รู้เลย ถึงเวลาจัดเตรียมพวงหรีด หรือแจกันดอกไม้ไว้ให้ แล้วก็โทรไปบอกหน้าห้องเตรียมมาจ่ายเงินได้ ล็อกงานกันไว้อย่างนั้นเลย
เวลาเจ้านายจะมา อาตมาเป็นประธานในงานเขา หน้าห้องวิ่งเข้ามาถึงบอกว่า "อาจารย์ขอประกาศชื่อเจ้านายด้วย" บอกเขาว่า "ได้...ไม่เป็นไร ถ้าท่านบวชมา อาตมาจะไม่ยอมให้เป็นประธานแทนหรอก แต่ถ้ายังไม่บวชนี่ให้เป็นประธานฝ่ายฆราวาสได้" ฉะนั้น..บางท่านต้องบอกว่าเข้าถึงชาวบ้านมาก งานเล็กงานใหญ่ไปให้เขาหมด" |
"คราวนี้สังคมไทยของเรา การพึ่งพิงผู้มีอิทธิพลฝังรากลึกมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ ตั้งแต่สมัยยังมีทาส พึ่งพิงนายทาส พอมารัชกาลที่ ๕ ค่อย ๆ คิดวิธีว่าทาสที่เกิด พ.ศ. นี้ ปล่อยเป็นอิสระไปเลย ทาสที่เกิด พ.ศ. นี้จ่ายค่าไถ่ตัวเท่านี้ ๆ ทาสที่เกิด พ.ศ. นี้ จะไถ่ตัวหรือไม่ไถ่ตัวก็ไม่เป็นไร พระองค์ท่านหาวิธีที่นุ่มนวลมาก แต่เหลือเชื่อว่าทาสเกินครึ่งไม่ยอมไป ด้วยความที่พึ่งพิงเจ้านายจนชิน ก็เลยอยู่ใน DNA มา
พอพ้นจากช่วงการเลิกทาส เพราะว่ารุ่นเก่า ๆ ที่เป็นทาส ที่เรียกว่าทาสในเรือนเบี้ย คือเกิดมาปู่ย่าตาทวดเป็นทาสมาชั้นแล้วชั้นเล่า รุ่นเก่าตายหมด เหลือรุ่นใหม่พวกที่เป็นไทอยู่ก็ยังพึ่งพิงผู้มีอำนาจ โดยเฉพาะพึ่งพิงในลักษณะ อย่างเช่นว่าอยู่ในกรม" |
"คำว่า อยู่ในกรม ก็คือบรรดาเจ้านายท่านทรงกรม เป็นกรมหมื่น กรมขุน กรมหลวง กรมพระ กรมพระยา เจ้านายทรงกรมขึ้นมาก็ต้องมีลูกน้อง มีปลัดกรม มีจางวางกรม มีสมุห์กรม แต่ละท่านพอทรงกรมแล้วมีศักดินา อย่างเช่นตำแหน่งกรมหลวงทรงศักดินา ๒๕๐,๐๐๐ ไร่ จะให้ท่านไปทำนาเองหรือ ? ก็ไม่ไหว พอไม่ไหวบรรดาปลัดกรม สมุห์กรม จางวางกรม ก็ไปหากำลังมา หามาก็ต้องมีการสักเลข จะได้รู้ว่าขึ้นอยู่กับกรมไหน เขาถึงได้เรียกว่าในกรม อยู่ในกรมไหน ท่านก็เลยกลายเป็นเสด็จในกรม"
|
"คราวนี้การพึ่งพิงอำนาจ พอตนเองมีเรื่องเดือดร้อน สมมติว่าครอบครัวนี้มาพึ่งพิง เป็นไพร่เลขไพร่สมอยู่ในกรมนี้ ปู่ย่าตายายทางบ้านเกิดมีปัญหาอะไรขึ้นมา ทางด้านนี้ขอรับสั่ง คำเดียวจบเลย
การพึ่งพิงผู้มีอำนาจจึงฝังอยู่ในสายเลือดของคนไทย จนกระทั่งระยะหลัง ๆ ก็ยังมีบรรดาผู้มีอิทธิพลท้องถิ่นที่เขายังต้องพึ่งพิงอยู่ แม้กระทั่งอาตมาก็ยังเป็นผู้มีอิทธิพลท้องถิ่น มีเรื่องมีราวอะไรขึ้นมา "พระอาจารย์ช่วยเคลียร์ให้หน่อย" นี่มึงเห็นกูเป็นมาเฟียใช่ไหม ? แต่พอพระพูดแล้วเขายอมรับได้ง่ายกว่า ในเมื่อเป็นลักษณะอย่างนี้ เราจะเห็นท่านนั้นเป็นเจ้าพ่อ...ไม่ใช่ ในสายตาชาวบ้านเขาคือผู้ที่พึ่งพาอาศัยได้ เดือดร้อนเรื่องเงินแก้ปัญหาเรื่องเงินให้ เดือดร้อนโดนผู้อื่นเบียดเบียนแก้ปัญหาได้ เดือดร้อนเรื่องที่ทำกินแก้ปัญหาได้ ลูกจะเข้าเรียนหลานจะรับราชการแก้ได้หมด" |
"คราวนี้พอมีบุญคุณกันขึ้นมา คนไทยเรามีหลักธรรมอยู่ในหัวใจ พระพุทธเจ้าตรัสว่า ภูมิ เว สัปปุริสานัง กตัญญูกตเวทิตา พื้นฐานของคนดีก็คือความรู้คุณและตอบแทนคุณท่าน ถึงเวลาท่านขอแค่คะแนนเสียง ทำไมจะให้ไม่ได้ ดังนั้น..เรื่องระบบอุปถัมภ์บ้านเราแก้ไขยาก ในเมื่อแก้ไขยากแล้วทำอย่างไร ? ก็อาศัยระบบอุปถัมภ์นี่แหละ
ถึงเวลานักการเมืองบางท่าน กลายเป็นผู้มีอิทธิพลท้องถิ่นที่กว้างขว้างมาก ใคร ๆ ก็รู้จัก ก็ตั้งพรรคการเมือง คุณจะเป็นใครมาจากไหนไม่สำคัญ สำคัญตรงที่ว่าปฏิญาณตนรับใช้ประชาชนแล้วต้องทำตามคำพูด ถ้าไม่สามารถทำตามคำพูดได้ คุณจะหลุดหายไปจากวงการเมืองอย่างรวดเร็ว" |
"เสียงประชาชนคือเสียงสวรรค์ ถึงเวลาดลบันดาลให้ได้ทุกเรื่อง แม้ว่าจะใช้อำนาจทางการเมือง อำนาจอิทธิพลของข้าราชการในการบีบคั้น ก็ได้แค่ชั่วคราว ในลักษณะที่ปิดฝาหม้ออัดความดัน ถึงเวลาปิดล็อกเอาไว้ แต่พอความดันสูง ๆ ก็จะระเบิด คราวนี้ไม่ต้องชวนวิ่งไล่ลุงหรอก เขาก็จะไปไล่เอง
เรื่องพวกนี้เป็นวงจรปกติ การพัฒนาประชาธิปไตยใช้เวลายาวนานมาก แค่ ๘๐ กว่าปีของบ้านเรานี่ถือว่าน้อย ประเทศประชาธิปไตยของอังกฤษอเมริกาที่เราถือเป็นต้นแบบ เขามีมาเป็นร้อย ๆ ปี ในเมื่อเป็นร้อยปี เราพัฒนาระยะนี้ถือว่าล้มลุกคลุกคลาน เพียงแต่น่าเสียดายว่าการเมืองของเรากำลังจะเข้าสู่รูปแบบที่ดีที่เหมาะสม ก็คือเหลือพรรคการเมืองใหญ่แค่ ๒ พรรค แต่ปรากฏว่าเราสามารถออกรัฐธรรมนูญพิกลพิการมาทำให้พรรคเป็นร้อย ๆ พรรค ผุดขึ้นมาได้ เพื่อที่จะสร้างความอ่อนแอให้กับบุคคลที่ตนเองเห็นว่าเป็นคู่แข่ง ตรงนี้อาตมาถือว่าเป็นการทำลายประชาธิปไตยอย่างร้ายแรง..!" |
"อังกฤษที่เป็นต้นแบบการเมือง ถึงเวลาพรรคคุณได้คะแนนมากกว่าก็เข้าไปบริหารประเทศ พรรคฝ่ายค้านจะตั้งรัฐมนตรีเงาประกบทันที ทำงานร่วมกัน ศึกษาเรียนรู้งานไปด้วยกัน ไม่มีการหมกเม็ด
ถ้าฝ่ายค้านเสนอความคิดเห็นหรือโครงการอะไร ที่เป็นประโยชน์ต่อชาวบ้านได้มากกว่า เขานำออกไปสู่ประชาชนแล้วให้เครดิตว่าเป็นของฝ่ายค้าน เราจะเห็นว่าเวลาอังกฤษเปลี่ยนนายกรัฐมนตรี จะเป็นมากาเร็ต แทชเชอร์ เป็นโทนี่ แบลร์ จากโทนี่ แบลร์ มาเป็นมิสเตอร์จอห์น ไล่มาเรื่อย ๆ เป็นเทเรซา เมย์ พอหลุดไปแล้ว เขาไม่มีปัญหาอะไร ฝ่ายค้านสามารถเสียบเข้ามาทำงานแทนได้ทันที เพราะว่าเรียนรู้งานมาด้วยกัน" |
"บ้านเราพัฒนาไปไม่ถึงระดับนั้น ของบ้านเรายังอยู่ในระหว่างการเติบโต ๘๐ กว่าปีเป็นเด็กก็ประมาณ ๘ ขวบกว่า ๆ ในอายุของการเมือง จะหวังให้ดีเลยก็ไม่ได้ เพียงแต่ว่าใครที่ทำอะไรไม่ดีเอาไว้กับประเทศชาติ ก็จะถูกจารึกเป็นประวัติศาสตร์ คุณจะให้เขากล่าวถึงในลักษณะชื่นชมหรือสาปแช่งก็โปรดเลือกเอาเอง..!"
|
โยมถวายพระธาตุข้าวบิณฑ์ "พระธาตุข้าวบิณฑ์ของหลวงปู่ครูบาไชยวงศ์ บริเวณวัดพระพุทธบาทห้วยต้มจริง ๆ คือห้วยข้าวต้ม หลวงปู่ครูบาไชยวงศ์ท่านได้นิมิตว่า ในสมัยพุทธกาลพระพุทธเจ้าเคยเสด็จมาโปรดแถวนั้น คราวนี้ชาวบ้านถวายข้าวต้ม พอฉันเสร็จ พระอานนท์ล้างบาตร เอาน้ำเทลงบนแผ่นดิน เศษข้าวต้มที่เหลือก็กลายเป็นพระธาตุข้าวบิณฑ์ที่เห็น ถ้าในสายตาคนทั่วไป น่าจะเห็นเป็นก้อนกรวด แต่อาตมาอยากจะบอกว่านั่นแหละคือปฐวีธาตุ"
|
พระอาจารย์เล่าว่า "ช่วงเดือนธันวาคมหลวงปู่บะซานพระลูกวัดห้วยปากคอกมรณภาพ เส้นโลหิตในสมองแตก คราวนี้ในส่วนที่อาตมาทึ่งมากก็คือท่านอายุ ๙๒ ปี ถ้าเส้นโลหิตในสมองไม่แตกก็จะยังอยู่อีกนานมาก พอดีว่าอะไหล่ชำรุด รถก็เลยไปไม่ได้...พัง
คราวนี้ไปแห่ศพท่าน ด้วยความที่น้อยครั้งจะเห็นศพพระ โดยเฉพาะตอนแห่ขึ้นเมรุ ทั่วไปแล้วไปถึงเขาก็จะเอาขึ้นบนเมรุเรียบร้อยแล้ว แต่นี่เขาทำเป็นเหมือนอย่างกับบุษบกวิมานทรงเรือ แล้วก็มีคานหาม พอเอาโลงตั้งบนบุษบกเสร็จ ก็ผูกมัดกันอย่างแน่นหนามาก อาตมาก็สงสัยว่าหามไปหน่อยเดียวแค่นั้นจะผูกขนาดนั้นทำไม ปรากฏว่าเขาหามไปเต้นไป เหวี่ยงไป กระโดดโลดเต้นกันสนุกสนาน เป็นประเพณีของเขาที่ว่าคนตายแล้วย่อมไปดี จึงไม่มีอะไรที่น่าเสียใจ เขาก็สนุกกันเต็มที่" |
ถาม : การตั้งศาลเจ้าที่ ถ้าเราตั้งเองได้ไหมคะ ?
ตอบ : ได้ ถาม : มีผู้ใหญ่บอกว่า ต้องดูว่าเชิญใครได้ ถ้าเชิญผิดไม่อย่างนั้นจะถึงตาย ? ตอบ : ต้องบอกว่าไปลองทำดู ถ้าหากว่าเชิญท่านได้เอง อาตมาจะสบายใจที่สุด เรื่องของเจ้าที่ ใครเป็นเจ้าของบ้านควรให้คนนั้นทำเอง เป็นการแสดงออกซึ่งการเคารพนับถือท่านจริง ๆ แต่ถ้าไม่รู้วิธี ทำอะไรก็ไม่ถูก ก็ต้องเชิญหมอ เชิญพระไปทำให้ ถาม : ถ้าทำเองได้ก็ดี ? ตอบ : ทำเองได้เป็นดีที่สุด ผู้ใหญ่คนไหนทำใจไม่ได้ ก็ให้เขานอนฝันร้ายไป |
ถาม : ตอนที่บวชเนกขัมมะช่วงปีใหม่ หลวงพ่อพูดถึงอิสลามว่า เขารวมหัวกันช่วย แต่พุทธไม่ยอมช่วย ทีนี้หนูมานึกว่าที่เขาไม่ช่วย เพราะลึก ๆ เขาลังเลว่าเป็นเรื่องโกหกหรือเปล่า ?
ตอบ : เขาเรียกว่าฟังไม่ได้ศัพท์แล้วจับเอาไปกระเดียด อาตมาบอกว่า ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นจะผิดหรือถูก อิสลามเขาก็ช่วยกัน ส่วนพุทธของเราก็มองห่าง ๆ อย่างห่วง ๆ อย่างดีก็ถ่ายคลิป ความสามัคคีของเราสู้เขาไม่ได้ เพราะเราไม่มีจิตสำนึกในพรรคพวกเพื่อนพ้องหรือชาติพันธุ์ของตัวเอง ตูบอกแล้วว่าอะไรหลุดจากตรงนี้ก็ไปเละจนได้..! ขนาดเมื่อเช้าพูดอยู่ตรงนี้ บอกว่าของวัดท่าขนุนจัดพิพิธภัณฑ์เครื่องราง โยมถวายพระมา ก็ไม่สามารถเอาเข้าพิพิธภัณฑ์ได้ ให้เอาคืนไป เขาโทรไปบอกเพื่อนว่าบอกของแบบนี้ไม่รับ นั่นแค่ถอยห่างจากอาตมาแค่ ๒ ก้าว ยังไปคนละเนื้อหากันเลย |
ถาม : เรื่องหมาที่วัด ที่เขาปล่อยหมาไปไม่ใช่เฉพาะคนที่วัดอย่างเดียว คนที่เขามาเที่ยวที่วัด เขาก็ปล่อยไป หมาก็แห่กันไปหลายตัว ?
ตอบ : บอกแล้วว่าอย่าโง่กว่าหมา หมารอกันอยู่หน้าประตู ดันไปเปิดประตูจนสุด เปิดช่องให้แค่ตัวเองเบียดออกไปแล้วปิดไม่ได้หรือ ? ถาม : เหลือตัวเดียวเข้าไม่ได้ เขาก็ไปแปะอยู่หน้าประตู ? ตอบ : ก็เรื่องของหมา เราไม่ได้บังคับให้ไป แล้วก็ไม่ได้เรียกร้องให้กลับ ที่มีปัญหาเพราะว่าหมายกขบวนไปถล่มฝั่งโน้น โดยเฉพาะอาศัยบ้านผู้กำกับเป็นที่ขี้ จนท่านทนไม่ไหว ต้องส่งลูกน้องมาทำประตูกั้นไว้ อาตมาเดินไป ไอ้เจ้านั่นก็ทำท่าจะเปิดประตูให้ อุตส่าห์บอกกับเขาเสียงดังว่า "อย่าโง่กว่าหมา" เขาก็ยังเปิดกางเข้าเต็มที่ เพื่อให้พระได้ออกไป หมาทั้งฝูงก็รออยู่ ก็พรวดเดียวข้ามไปหมด ก็เลยบอกว่าให้ไปตามจับคืนมา ปรากฏว่าแม้แต่ตัวเดียวเขาก็ไล่ไม่ทัน ความจริงต้องโทษอาตมาเอง ที่พูดอะไรไม่อธิบายให้ชัดเจน กว่าเขาจะรู้ก็เหตุเกิดแล้ว ถ้าเป็นอาตมามีคนบอกว่าอย่าโง่กว่าหมา จะชะงักแล้วคิดก่อน ทำไมกูถึงต้องโง่กว่าหมา นี่เตือนขนาดนี้แล้วยังไม่ฟังเลย |
ญาติโยมบางคนอยากจะตามพระออกบิณฑบาต อาตมาถามว่า "ไม่เคยขับรถสี่ล้อเลยใช่ไหม ?" "ครับ...ขี่แต่มอเตอร์ไซค์" บอกว่า "เดินแบบคุณรถเขาขับไม่ได้ คุณเดินลงไปบนถนนครึ่งเลน" เขาก็คงคิดว่าถนนเหลืออีกตั้งเลนครึ่ง แล้วถ้ารถสวนมาอีกคันหนึ่ง เขาจะไปอย่างไร ?
โดยเฉพาะบ้านเรา ขับรถพวงมาลัยขวา ถึงเวลาจะบอดทางด้านซ้าย ต่อให้ห่างเป็นเมตร เขาก็จะเห็นว่าใกล้ แล้วดันทะลึ่งเดินลงไปบนเลน คนขับรถเขาก็ไม่กล้าไป แต่ตัวเองเห็นว่าอยู่ห่างจากรถ ก็ถึงได้ถามว่าไม่เคยขับรถสี่ล้อเลยใช่ไหม ? "ใช่ครับ...ขี่แต่มอเตอร์ไซค์" แล้วมอเตอร์ไซค์ที่น่าตายที่สุด ก็คือขณะที่รถจะเลี้ยวซ้าย เจ้าของรถจะต้องมองว่ารถทางขวามาหรือเปล่า มอเตอร์ไซค์จะเสียบออกซ้ายทุกคัน ถ้ารถใหญ่เขาเห็นว่าปลอดภัย เขาก็เหยียบคันเร่งขึ้นถนนเลยโดยการหักซ้าย ไอ้คันที่กำลังเสียบจะเกิดอะไรขึ้น ? |
หลายปีแล้วเสี่ยตือมาบ่นให้ฟังว่า "เพื่อนผมก่อนหน้านี้ขี่มอเตอร์ไซค์ ตอนนี้ซื้อรถใหญ่มาขับ มาบ่นกับผมว่า กูเพิ่งจะรู้ว่าสมัยก่อนกูขี่มอเตอร์ไซค์ได้เหี้_มากเลย" เพราะตัวเองไปเจอเองแล้วว่าเป็นอย่างไร รถมอเตอร์ไซค์เขาคิดว่าช่องนั้นเขาไปได้ แต่เขาไม่ได้คิดเผื่อรถใหญ่เลย
แล้วปัจจุบันนี้ในกรุงเทพฯ ที่เห็นเป็นประจำก็คือ ในระหว่างที่ด้านหนึ่งไฟแดง อีกด้านหนึ่งรอไฟเขียวอยู่ จะมีช่วงจังหวะประมาณ ๒ - ๓ วินาที มอเตอร์ไซค์จะชิงออกกันก่อน ก็คือฝ่าไฟแดงนั่นแหละ เขาถือว่าตอนจราจรหนาแน่น ตำรวจไม่มีเวลาไปไล่จับเขา แล้วถ้าเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา ใครจะรับผิดชอบ ? ก็ตัวเขาเองนั่นแหละ แล้วส่วนใหญ่มาเสียใจก็ไม่ทันแล้ว พ่อแม่ลูกเมียเดือดร้อนไปหมด |
ถึงได้บอกไปตั้งแต่เช้าว่า บ้านเราต้องจัดเป็นวาระแห่งชาติในการสร้างเสริมจิตสำนึกให้กับคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะเริ่มตั้งแต่เด็กเลย สรุปว่าใครเริ่มเข้าศูนย์พัฒนาเด็กเล็กหรืออนุบาล ก็ต้องเน้นเรื่องพวกนี้ ไม่อย่างนั้นรอให้โตขึ้นมากลายเป็นไม้แก่ดัดยาก ก็แก้ไขไม่ได้แล้ว
เมื่อวานที่มีข่าว พ่อขี่มอเตอร์ไซค์ไปส่งลูกสาวที่โรงเรียน พอครึ่งวันครูที่โรงเรียนโทรไปถามว่าเป็นอะไรไม่ไปเรียน พ่อก็ยืนยันว่าไปส่งด้วยตัวเอง มาวันนี้ตำรวจตามเจอแล้วจากคลื่นโทรศัพท์ของลูกสาว ว่าไปอยู่ในโรงแรมอีกจังหวัดหนึ่งกับเด็กผู้ชายอายุ ๑๕ ปี ส่วนเด็กผู้หญิงอายุแค่ ๑๒ ปี เห็นหรือยังว่าเด็กสมัยนี้ทำอะไรตามอารมณ์ตัวเอง ไม่มีเหตุไม่มีผลอะไรทั้งนั้น รู้จักกันในแชตแค่ไม่กี่ชั่วโมง ก็หนีตามไปกันเลย |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ส่วนใหญ่ช่วงปีใหม่จะติดงานกันหมด บางคณะอย่างคณะท่านอาจารย์วิชชุก็ต้องแบ่งภาคเลย วัดโน้นก็ขอให้ช่วย วัดนี้ก็ขอให้ช่วย บางทีคนขอให้ช่วยก็ขอแบบไม่ดูตาม้าตาเรือ อย่างของอาตมา ปัจจุบันนี้พระไปขอความช่วยเหลือกันเยอะมาก บอกเขาว่าเข้าคิวไปก่อน ผมเองทอดกฐินปีละวัด ของคุณอีกประมาณ ๓๐๐ ปีก็น่าจะถึงแล้ว..!
วันก่อนเจ้าคุณชั้นราชท่านหนึ่ง ขอให้ไปช่วยสร้างโบสถ์ที่อำเภอฝางให้เสร็จเรียบร้อย ขาดเงินประมาณ ๑๐ ล้านบาท ก็บอกกับท่านว่าเข้าคิวไปครับ ของหลวงพ่อก็ใกล้ ๆ คิวที่ ๓๐๐ ท่านบอกว่าลัดคิวหน่อยไม่ได้หรือ ? ปีนี้ผมป่วยเกือบทั้งปีเลย บอกท่านว่าถ้าหากว่าผมลัดคิวแล้วคนอื่นจะว่าอย่างไร ? เดี๋ยวก็ได้อ้างป่วยกันบ้าง แล้วไอ้ที่จะป่วยก็เลยกลายเป็นผม" |
"อย่างเมื่อสักครู่ที่โทรมาก็ไม่ได้รู้จักกัน แต่ไปขอเบอร์โทรมาจากเพื่อนของเพื่อนของเพื่อนของเพื่อนมาอีกทีหนึ่ง คือเดี๋ยวนี้ข่าวโซเชียลเร็วมาก ข่าวที่อาตมาช่วยเหลือตรงนั้นเท่านั้น ช่วยเหลือตรงนี้เท่านี้ มีแต่คนเขาเอาไปลง แล้วก็แชร์ต่อกันไป พอเขาเห็น เขาก็พยายามไขว่คว้าหาเบอร์โทร
ที่น่าเกลียดที่สุดก็คือหลายคนโทรมาแบบไม่รู้เวล่ำเวลา ห้าทุ่มเที่ยงคืน ตัวเองไม่นอน ก็คิดว่าคนอื่นไม่นอนแล้วโทรไป ที่ระยะหลังอาตมาเลิกรับโทรศัพท์ก็เพราะอย่างนี้ เหนื่อยแทบจะตายชัก สี่ห้าทุ่มเพิ่งจะเอนลงไปก็โทรมา อาตมามีนิสัยว่าถ้าตื่นแล้วจะลุกเลย ไม่หลับอีก จึงต้องเลิกรับโทรศัพท์ไปเลย" |
"ส่วนวันก่อนพระกำลังฉันเพลอยู่ มีคนโทรมา ก็เลยบอกท่านว่า "ถ้าเป็นโยม คุยธุระเสร็จแล้วบอกเขาด้วยว่า ต่อไปให้ดูเวลา ช่วงเวลานี้อย่าโทรมา เพราะว่าพระกำลังฉันเพลอยู่ แต่ถ้าเป็นพระโทรมา มึงด่าไปเลย กูเคยด่ามาแล้ว..!" ก็คือกำลังฉันเพลอยู่ ประมาณ ๑๑ โมง ๑๕ นาที พระโทรมา ก็เลยบอกไปว่า "วางหูไปก่อน ถึงมึงไม่แดก กูก็จะฉัน..!"
เรื่องของกาลเทศะเป็นเรื่องสำคัญมาก กาละคือเวลาที่เหมาะ ที่สม ที่พอควร เทศะคือสถานที่ ถ้าเวลาและสถานที่เหมาะสม ทำอะไรก็ดีไปหมด แต่ไม่ดูกาละเทศะก็พอ ๆ กับไม่ดูตาม้าตาเรือนั่นแหละ ไม่ดูตาม้าตาเรือ เป็นศัพท์ของนักเล่นหมากรุก เพราะว่าม้าเขาเดินเดินเป็นรูปตัวแอล ส่วนเรือวิ่งตลอดแนวของตัวเองเป็นเส้นตรงซ้ายขวา มองไม่ไกลพอนี่ตายไม่รู้ตัว" |
"เมื่อวานส่งท้ายปีเก่า เพิ่งจะด่าพวกถ่ายคลิปไม่ดูตาม้าตาเรือไป ถึงเวลาเอากล้องจ่อไว้ตลอดเวลา อาตมาจะขยับตัวก็ไม่ได้ จะขี้จะเยี่ยวก็ไม่ได้ จะเกาหัวเกาหูก็ไม่ได้ เพราะว่ากล้องจ่ออยู่ตลอดเวลา
หลายต่อหลายอย่างเคยบอกไปแล้ว แต่คราวนี้ถ้าบอกดี ๆ บางทีก็ไม่ค่อยจะฟังกัน ถึงฟังแล้วผ่านหูไปเฉย ๆ ก็เลยต้องด่าประจานท่ามกลางคนเยอะ ๆ จะได้จำ เคยบอกอยู่เสมอว่า ภาพครูบาอาจารย์แต่ละภาพ ควรจะเป็นภาพที่ดูดีที่สุด คนเห็นแล้วเกิดความศรัทธาเลื่อมใส ไม่ใช่ถ่ายไปทุกอิริยาบถ โดยเฉพาะบางอย่างท่านกำลังทำงานทำการอะไรอยู่ ให้ดูความเหมาะสมด้วย" |
"อย่างวันก่อนที่ถ่ายวิดีโอตอนช่วงสวดมนต์ข้ามปี พระกำลังจัดแถวให้พระให้โยมเข้าที่กันอยู่ เขาก็ถ่ายไปเรื่อย เขาจะรออีกสัก ๓ นาที ๕ นาที ถ่ายตอนทุกคนนั่งเรียบร้อยก็ไม่ได้ กลายเป็นว่าบรรยากาศงานเละเทะดูไม่ได้ ต้องมาไล่ต้อนกันเป็นหมูเป็นหมากว่าจะนั่งเข้าที่กัน
บางทีเพื่อนพระก็ส่งรูปมาในไลน์ อาตมาถามว่า ไปเอามาจากไหนวะ ? ท่านบอกว่า "ในเฟซฯ เต็มไปหมดเลยครับ มีทุกอิริยาบถ " ก็เลยบอกท่านไปว่า "ขาดอยู่อิริยาบถหนึ่ง เพราะว่าตอนเข้าส้วมมันตามเข้าไปไม่ได้...!" |
"บางคนก็ภูมิใจมากที่ได้แชร์ภาพที่ไม่เหมือนกับคนอื่น พระกำลังเดินขึ้นอาสน์สงฆ์ ลองคิดดูว่าอาสน์สงฆ์สูงประมาณหนึ่งเมตร ขาหนึ่งก้าวขึ้นไป อีกขาหนึ่งอยู่กับพื้น ภาพงามมากเลยใช่ไหม ? ถึงเวลาเจอไอ้พวกไม่ดูตาเรือก็จะตำหนิเอาไว้ก่อน แล้วใครทำให้โดนตำหนิ ? ก็ไอ้คนถ่ายรูปนั่นแหละ สร้างกิเลสให้เกิดขึ้นในใจคนอื่น ไปทำให้ รัก โลภ โกรธ หลง ท่วมหัวเขา โทษก็เกิดขึ้นกับเราด้วย"
|
พระอาจารย์กล่าวว่า "บุคคลที่คิดเพื่อส่วนรวม จะทำอะไรได้รอบคอบกว่า ถ้าคิดเฉพาะตัวเองหรือเฉพาะองค์กร ทำอะไรก็ไม่รอบคอบหรอก"
|
พระอาจารย์กล่าวว่า "อากาศจะร้อนจะแล้งขึ้นไปเรื่อย ๆ ทีนี้ความร้อนความแล้งอย่างปัจจุบัน อย่างไฟป่าที่ออสเตรเลียก็ดีหรือที่อเมริกาก็ตาม บ้านเขาธรรมชาติทำให้ไฟป่าไหม้ได้ แต่บ้านเราความชื้นมีมาก ไม่เพียงพอที่จะเกิดไฟป่าทางธรรมชาติ ไม้สีกันให้ตายก็ไม่ไหม้หรอก ไฟจะไหม้ก็ต่อเมื่อฟ้าผ่า คราวนี้ถ้าฟ้าผ่า ฝนก็มักจะมาด้วย ก็กลายเป็นว่าบ้านเราไฟป่าทั้งหมด ร้อยละร้อยเกิดจากคนจุดทั้งนั้น
ความร้อนความแล้งจะเพิ่มมากขึ้นไปเรื่อย ๆ ตามที่พระไตรปิฎกว่าไว้ เพราะว่าดาวเคราะห์ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นมาเป็นดาวฤกษ์ รัศมีความร้อนที่ส่งออกมีผลกระทบมากขึ้น ๆ จนกระทั่งท้ายสุด แหล่งน้ำทั้งหมดก็แห้ง แค่ลมพัดใบไม้แห้งสีกันก็ติดเป็นไฟได้ ก็เลยเกิดไฟบรรลัยกัลป์ล้างโลก ยุคของเรายังไม่ได้ล้าง ผงซักฟอกยังมากไม่พอ...! ทนร้อนไปก่อนก็แล้วกัน" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "เหลือเวลาประมาณ ๔๐ นาทีอาตมาจะไปฉันเพล ที่ต้องเตือนไว้ เพราะบางท่านมาแล้วมัวแต่ช็อปปิ้งอยู่ข้างล่าง ถึงเวลาเบิกวัตถุมงคลเสร็จ เห็นวัตถุมงคลถูกตาถูกใจก็นั่งเลือกกันอยู่นั่นแหละ ไม่ต้องแปลกใจหรอก เพราะว่าเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจนแล้ว พระองค์ท่านตรัสว่า สุขของคฤหัสถ์คือผู้ครองเรือนมี ๔ อย่าง
อย่างแรกคือมีทรัพย์ อย่างที่สองคือจ่ายทรัพย์ ถ้าได้ช้อปปิ้งจะมีความสุขสุด ๆ รูดบัตรจนเกินวงเงินไม่รู้ตัว อย่างที่สามก็คือไม่เป็นหนี้ อย่างที่สี่คือทำงานที่ไม่มีโทษ ไม่ต้องกลัวคนอื่นเขามาจับติดคุกติดตารางเพราะว่าไปขายยาบ้า ยาไอซ์ ยาอี สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจน ถ้าคุณสามีหรือคุณภรรยาบ่นว่าช็อปปิ้งมากเกินไปแล้ว "อ๋อ..พระพุทธเจ้าทรงตรัสแล้วว่าเป็นความสุขของฆราวาส" อ้างให้ถูกหลักถูกการนะ อ้างไม่ถูกหลัก เดี๋ยวจะเจอไม้หน้าสาม..!" |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 02:37 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.