กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านเติมบุญ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=65)
-   -   เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๐ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=5682)

เถรี 21-07-2017 21:59

พระอาจารย์กล่าวว่า "พระปิดตาพิมพ์ปั้นของหลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์ ท่านสร้างตั้งแต่สมัยยังอยู่วัดปากทะเล เนื่องจากว่าปั้นด้วยมือ ก็เลยหาความแน่นอนไม่ได้ จึงต้องไปดูเนื้อหามวลสารกับฝีมือการปั้นแทน ถ้ามีที่ปิดทองมานี่ยิ่งดีเลย เพราะว่าทองเก่าเลียนแบบไม่ได้ อย่างไรทองเก่าคือทองเก่า ทองใหม่ทำอย่างไรก็ไม่เหมือน"

เถรี 21-07-2017 22:03

พระอาจารย์กล่าวกับโยมท่านหนึ่งว่า "พอใจอะไรง่าย ๆ แล้วจะมีความสุขขึ้น เห็นอะไรแล้วไม่พอใจเลยสักอย่างก็จะกลุ้มไปเรื่อย"

เถรี 21-07-2017 22:04

พระอาจารย์กล่าวว่า "เวลาทำบุญถ้ารอพวกก็จะได้พวก ไปเกิดใหม่จะมีบริวารมาก"

เถรี 21-07-2017 22:35

ถาม : เดือนที่แล้วมีโอกาสจะได้งาน เกือบจะได้แล้ว แต่ว่าโดนยกเลิก ในทางธรรมหรือการปฏิบัติจะมีทางป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอย่างไรบ้างครับ ?
ตอบ : เรื่องพวกนี้ป้องกันไม่ได้ เพราะว่าอดีตเคยทำไว้ปัจจุบันถึงได้รับ ประเภทเวลาเขาจะทำบุญเราก็ไปขัดคอเขา

ถาม : ชาติก่อนหรือครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องชาติก่อนหรอก ชาตินี้ก็ทำ ของทำไปแล้วแก้ไม่ได้ มีอยู่อย่างเดียวก็คือก้มหน้ารับไป ไม่เป็นไร...เดี๋ยวค่อยไปเอาอย่างอื่นมาทดแทนไป อย่าไปเชื่อใครว่าแก้กรรมได้ ถ้าแก้ได้ก็รวยกันหมดทั้งประเทศแล้ว..!

เถรี 22-07-2017 21:04

ถาม : ก่อนหน้านี้จะนึกถึงพระนิพพาน ตั้งแต่วันวิสาขบูชาที่ผ่านมา เกาะแต่พระพุทธเจ้า เรื่องพระนิพพานไม่เอาเลย ควรจะทำอย่างไรดีคะ ?
ตอบ : ก็แค่นึกว่าพระพุทธเจ้าอยู่บนพระนิพพานก็จบแล้ว เท่ากับเอากรรมฐาน ๒ กองมารวมกันเป็นกองเดียว ก็คือพุทธานุสติบวกกับอุปสมานุสติ เพิ่มขึ้นมาอีกกองหนึ่ง ได้มากกว่าเดิมเสียอีก

ถาม : เกาะอารมณ์นี้ต่อไป ?
ตอบ : เกาะต่อไป เพราะพระพุทธเจ้าไม่ได้อยู่ที่ไหนนอกจากพระนิพพาน เราตายเมื่อไรก็ขอไปอยู่กับพระองค์ท่านที่นั่น ของเราเขาเรียกว่าไปต่อไม่เป็น

เถรี 22-07-2017 21:10

พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงปู่ไล้ วัดเขายี่สาร ท่านเกิดรัชกาลที่ ๓ อายุมากที่สุดในบรรดาพระที่สร้างลูกอม ท่านเป็นลูกคนจีน แต่มาบวชพระไทยแล้วขลังมาก ตอนเด็ก ๆ เขาก็คงเรียก “อาไล้” บวชเป็นพระ คนไทยไม่รู้จัก เรียกหลวงปู่ร้าย"

เถรี 22-07-2017 21:13

ถาม : ตอนนี้ลำบาก ท่องคาถาเงินล้านก็ไม่เอา จะเอาอย่างไรดีคะ ?
ตอบ : ไม่เอาแล้วจะไปเอาอะไร ก็ต้องตั้งหน้าตั้งตาภาวนาให้ได้ระยะหนึ่ง

ถาม : จะได้หรือคะ ?
ตอบ : มัวแต่สงสัยอยู่ก็ไม่ต้องเอาอะไรหรอก ทำคาถาเขาห้ามสงสัย เขาให้ลงมือทำเลย

ถาม : ถ้าเกิดไม่เอาก็ต้องบังคับให้เอาใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ไม่มีอย่างอื่นแล้ว ถ้าอยากได้ก็ต้องทำ

เถรี 22-07-2017 21:19

พระอาจารย์กล่าวว่า “ห้างสรรพสินค้าสุดท้ายที่อาตมารู้จักก่อนบวช ก็คือห้างมาบุญครอง ตอนนั้นสร้างยังไม่เสร็จ ใครสร้างทีหลังมาบุญครองอาตมาไม่เคยไปทั้งนั้น

พระห้ามเดินห้าง เป็นคำสั่งเจ้าคณะกรุงเทพมหานครว่าห้ามพระเดินห้าง พระวินยาธิการไปตรวจสอบ ปรากฏว่าห้างพันธุ์ทิพย์มีพระเพียบเลย จับมาตรวจสอบแต่ละท่านปรากฏว่าไปหาอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ สรุปก็คือไม่ใช่พระปลอม แต่มีความจำเป็นไปหาซื้ออุปกรณ์คอมพิวเตอร์มาเพื่อทำงาน เพราะว่าส่วนใหญ่เดี๋ยวนี้วัดต่าง ๆ เก็บข้อมูลด้วยคอมพิวเตอร์กันหมดแล้ว ก็จะมีพระส่วนหนึ่งของแต่ละวัด ที่มีความสามารถทางด้านนี้ ก็ไปหาซื้ออุปกรณ์คอมพิวเตอร์กันที่นั่น อาตมาใช้วิธีบอกลูกศิษย์ผู้ชายให้ไปซื้อแทน ไม่ให้พระไปเองหรอก

คำสั่งเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร ห้ามพระปักกลดในเขตกรุงเทพมหานคร ห้ามบิณฑบาตเกิน ๘.๓๐ น. ห้ามเดินห้าง ห้ามพักบ้านโยม ถ้ามากรุงเทพฯ ต้องพักในวัด แต่ขอโทษ...ถ้าพระด้วยกันไม่รู้จัก ท่านก็ไม่ให้พักหรอก

ที่ห้ามพักบ้านโยมเพราะว่า พวกที่ปลอมตัวหากินมักจะไปเช่าบ้านพักกัน ถึงเวลาก็นั่งรถกระบะไปทีหนึ่ง ๘-๑๐ คน เดินบิณฑบาตตั้งแต่เช้ายันเพล แล้วก็ขนอาหารที่บิณฑบาตได้ไปขายต่อ ต้องบอกว่าเป็นการใช้ปัญญาในทางที่ผิด พระพุทธเจ้าสอนให้เรามีสัมมาปัญญา ปรากฏว่าพวกนี้กลายเป็นมิจฉาปัญญา ใช้ปัญญาในการคดเคี้ยวเลี้ยวลดเพื่อที่จะโกง จะกิน จะแหกกฎไปให้ได้ ตัวนี้บาลีเรียกว่า “เฉโก” คือฉลาดแบบขี้โกง ถ้า “กุศโล” คือฉลาดแบบสร้างกุศล “โกวิโท” ฉลาดในการเป็นอยู่"

เถรี 22-07-2017 21:23

พระอาจารย์กล่าวว่า “พระอนุรุทธเถระ เป็นผู้ที่พระพุทธเจ้าตั้งไว้ในฐานะผู้เลิศด้วยทิพจักขุญาณ ท่านอื่น ๆ มาบวช ๗ วันเป็นพระอรหันต์ ๑๕ วันเป็นพระอรหันต์ พระอนุรุทธติดอยู่ ๗ ปี เพราะว่ามัวแต่ไปคิดถึงมหาปุริสวิตก ๘ ประการ

มหาปุริสวิตก ๘ ประการมีข้อหนึ่งว่า “ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้เป็นผู้มีใจตั้งมั่น” คำว่ามีใจตั้งมั่น คือ มีสมาธิดี คนมีสมาธิดีนี่ผลพลอยได้อย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือความจำจะดี เพราะว่าสมาธิเวลาทรงตัวก็เหมือนกับน้ำนิ่ง น้ำที่นิ่งเหมือนกระจกเงา สามารถสะท้อนทุกอย่างรอบข้างลงไปอย่างชัดเจน ก็เลยช่วยให้ความจำดีไปโดยอัตโนมัติ

แรก ๆ อาตมาไม่รู้ว่าตัวเองเกิดมามีของเก่ามาก รู้อยู่อย่างเดียวว่าทำอะไรก็ง่ายไปหมด อย่างตอนเด็ก ๆ มีงานศพ ไปดูผู้ใหญ่เขาเล่นไพ่กัน พักเดียวก็โดนไล่กลับมานอน ตอนหลับตาเห็นโพดำ โพแดง ดอกจิก ข้าวหลามตัด บินว่อนไปหมด

เขาเปิดหน้าศพให้ดูก่อนที่จะเผา มองแวบเดียวเท่านั้นติดตาไป ๒ วัน ๓ วัน คิดว่าผีตามมาหลอก ไม่ได้นึกว่าเป็นเพราะภาพเหล่านี้เคยทำได้ในอดีต ถึงเวลามองก็ติดตาเลย จนกระทั่งมาเจอหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านถึงได้เฉลยให้ฟังว่า “พวกนี้เป็นของเก่า”

ท่านก็เล่าให้ฟังว่าของเก่าตาม
ท่านมาเยอะแยะ เกิดเป็นนักรบมาทุกชาติ การใช้อาวุธทุกประเภทมีความคล่องตัวโดยอัตโนมัติ หลวงพ่อท่านบอกว่า ท่านย่าสั่งให้ไปเก็บหัวปลีให้หน่อย หัวปลีก็คือดอกกล้วย เด็กรุ่นหลัง ๆ ไม่ค่อยรู้จักกันแล้ว เอามาทำอาหารได้หลายชนิด โดยเฉพาะยำหัวปลี ผัดหัวปลี

ท่านบอกว่าท่านไม่เคยใช้ไม้ขอยาว ๆ สอยแบบคนอื่น หากแต่พกมีดบางทำครัวไปหลาย ๆ เล่ม ถึงเวลาใช้ขว้างตัดขั้วเอา ท่านบอกว่าสั่งได้ว่าจะให้ปลายแทง จะให้สันตี จะให้คมฟันได้ทั้งนั้น อาตมาก็แปลกใจว่า แบบนี้เราก็ทำเป็นตั้งแต่เด็ก"

เถรี 22-07-2017 21:24

พระอาจารย์กล่าวว่า “เด็กมอญเด็กพม่า พอคลอดออกมาเขาก็พาเข้าวัดเลย ส่วนพวกเราไปกลัวเด็กโดนแดดโดนลมจะป่วย ปรากฏว่าพวกนั้นหัวแข็งทุกราย ไม่เห็นว่าจะป่วยสักที ฉะนั้น...เลี้ยงลูกต้องลักษณะอย่างนี้แหละ ให้สมบุกสมบันเข้าไว้ พอเดินได้นี่ไม่มีคำว่าอุ้ม ไม่มีคำว่าใส่รถเข็น ให้เดินอย่างเดียว ไม่เดินตามใช่ไหม ? อยู่นั่นแหละ...แม่ไปแล้ว พักเดียวก็ต้องวิ่งตาม

ต้องเลี้ยงลูกให้แข็งแกร่ง เอาตัวรอดให้ได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ มัวแต่ไปทะนุถนอมอยู่ เดี๋ยวเด็กจะเอาตัวไม่รอด”

เถรี 22-07-2017 21:26

พระอาจารย์กล่าวว่า “งานอุปสมบทหมู่ประจำพรรษาปีนี้มีผู้กล้าหาญสมัครบวชมา ๑๐ ราย ไม่นึกว่าจะใจถึงกันขนาดนั้น ปกติระยะหลังส่วนใหญ่มักจะบวชระยะสั้น ๆ ๗ วัน ๑๐ วัน เต็มที่ก็ ๑ เดือน

๑๐ รายนี้ใจถึงมาก วัดท่าขนุนมีกติกาว่า บวชแล้วต้องรับกฐินก่อนถึงสึกได้ สมัครมา ๑๐ ราย ถ้าไม่ขี้เกียจก็ผ่านทุกคนนั่นแหละ เพราะว่าที่วัดท่าขนุนต้องท่องขานนาคได้ด้วยตนเอง ซึ่งก็หลายหน้ากระดาษทีเดียว เพราะว่าการขอบวชคือตัวของอุปสัมปทาเปกขะ (ผู้ขอบวช) เข้าไปเอ่ยวาจาขอร้องต่อคณะสงฆ์ ให้ยกตนเองเป็นอุปสัมบัน คือผู้ที่มีศีลเสมอกัน

เมื่อเป็นเช่นนั้นก็ต้องไปขอด้วยตัวเอง ไม่ใช่ให้คนอื่นสอนให้ขอ วัดท่าขนุนจะไม่มีการบอกให้ว่าตาม อย่างเก่งก็แค่บอกว่าขั้นตอนไหน ที่เหลือคุณไปจัดการเอาเอง จึงควรจะเข้าวัดก่อนอย่างน้อย ๑ อาทิตย์”

เถรี 22-07-2017 21:27

มีผู้มารับวัตถุมงคล "ตะกรุดของหลวงพ่อเชื้อ วัดใหม่บำเพ็ญบุญ มีแต่ใหญ่ขนาดนี้แหละ เพราะว่าหลวงพ่อเชื้อท่านทำแต่ตะกรุดขนาดนี้ กราบเรียนถามหลวงพ่อว่า ทำไมถึงต้องทำใหญ่ขนาดนี้ ? ท่านบอกว่าท่านมีความรู้อะไรท่านใส่หมด

อย่าเอาไปเป็นอาวุธตีหัวใครนะ คนนั้นจะบ้าเลย ขอยืนยันว่าของท่านแรง"

เถรี 23-07-2017 22:49

ถาม : (เล่าเรื่องอารมณ์ใจขณะว่ายน้ำ)
ตอบ : ก็เหมือนกับเราเดินจงกรม เพียงแต่เปลี่ยนไปว่ายน้ำแค่นั้นเอง เหมือนเดินจงกรมด้วยมือแทนที่จะเดินจงกรมด้วยตีน..!

ถาม : ในความรู้สึกเหมือนเราแกะสก๊อตเทปออกจากหัวใจเรา ?
ตอบ : ระวังจะแกะผิด สมมติก็เป็นความจริง ปรมัตถ์ก็เป็นความจริง เพียงแต่ว่าเป็นความจริงแท้ หรือความจริงที่ผู้คนเขาเชื่อถือกัน เพราะฉะนั้นต่อให้เข้าถึงปรมัตถ์จริง ๆ ท่านก็ยังเคารพสมมติอยู่ ไม่ใช่ก้าวข้ามไปเฉย ๆ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะกลายเป็นวางใส่กบาลคนอื่นอีก ชอบตีความธรรมะผิดกันอยู่เรื่อย

ถาม : อารมณ์นี้ ถ้าไม่มีเครื่องกระทบใจเรา...?
ตอบ : ถ้าไม่กระทบก็ไม่กำเริบ หรือไม่กระทบก็ไม่ฉุกใจคิด เพราะฉะนั้น...เรื่องอายตนะต่าง ๆ มีทั้งโทษและมีประโยชน์ เพียงแต่ว่าเรารู้จักละทิ้งส่วนที่เป็นโทษ แสวงหาเฉพาะส่วนที่เป็นประโยชน์หรือเปล่า ? ไม่ใช่ว่าเก็บทุกเรื่องทุกราวที่เจอขึ้นมา กลายเป็นขยะอยู่เต็มหัว ถึงเวลาสางไม่ออกก็เครียดตายห่...!

เถรี 23-07-2017 22:51

ถาม : จะมีจังหวะหนึ่ง ที่รู้สึกอะไรสักอย่างขึ้นมา แล้วความเศร้าหมองก็หายไปหมด ?
ตอบ : สติระลึกได้ รู้ตัวอยู่ว่าเราทำอะไรอยู่ แต่ว่าต้องมีปัญญาประกอบ จึงจะเห็นว่าเรื่องนั้นเป็นอย่างนั้นจริง ๆ มีธรรมดาเป็นอย่างนั้น ในเมื่อธรรมดาเป็นอย่างนั้น สมมติเป็นอย่างนั้น เราก็อย่าไปยุ่งกับสมมติ พอเราถอนตัวออกมา ก็เหมือนวางของหนักลง จึงเบาขึ้นเยอะ แต่คราวนี้ต้องให้วางได้ตลอดเวลา ไม่ใช่วางได้เป็นพัก ๆ กลับไปทำใหม่...!

เถรี 23-07-2017 23:03

ถาม : มีอยู่วันหนึ่งหนูนั่งรถตู้ ...(ไม่ชัด).... อันนี้คือทิพจักขุญาณ ?
ตอบ : ไม่ใช่ อันนี้ก็คือตัวปัญญาเลย แต่ว่าเป็นปัญญาในลักษณะของทิพจักขุญาณ ลักษณะของความคล่องตัวแล้วก็ชำนาญ ถ้าหากว่า สติ สมาธิ ปัญญา ต่อเนื่องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จะมีเหตุลักษณะอย่างนี้ขึ้น ไม่อย่างนั้นแล้วเราจะไม่สามารถที่จะรู้เท่าทันกิเลสได้ ก็คือเราจะรู้ว่าตอนนี้รัก ตอนนี้โลภ ตอนนี้โกรธ ตอนนี้หลง ทำอย่างไรเราจะควบคุมให้อยู่ในจุดที่ไม่ทำอันตรายแก่เราได้ แต่ถ้าท้ายสุดไม่ไปยุ่งได้นั่นแหละดีที่สุด ระวังไว้...ว่าจะเป็นโทษมากกว่า

ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : อย่างนั้นแหละ ก็คือสภาพจิตที่ฝึกฝนแล้วมีกำลัง ถึงเวลาก็เป็นมโนมยา สำเร็จด้วยใจ อาตมาเคยนั่งรถไปแล้วปรากฏว่าโดนสิบแปดล้อตบ เหลือขอบถนนอยู่หน่อยเดียว ถ้าเราไม่มีทางไปก็คือโดนตบเต็ม ๆ หรือต้องยอมตกถนน ก็มีทางเดียวคือต้องยันรถออกไป คนขับก็บอกว่าทำไมอยู่ ๆ ถนนกว้างขึ้นแล้วผมไปได้...! แต่อย่าทำบ่อย ไม่ใช่เรื่องดี ฝืนกฎของกรรมเดี๋ยวต้องไปชดเชย

ถาม : เราก็ต้องได้ผลจากการกระทำของเราหรือคะ ?
ตอบ : ใช่....ถึงไม่รับผลเรื่องนี้ก็ต้องไปรับผลเรื่องอื่นแทน อาจจะหนักกว่าเดิมด้วย เหมือนกับถ้าเข้าบ้านไปโดนแม่ด่า ก็ก้มหน้าก้มตารับคำด่าไปก็จบ แต่ถ้าไม่โดนแม่ด่าแล้วพ่อหมั่นไส้ ไอ้นี่ยังไม่โดนด่าเดี๋ยวกูใส่เสียเอง อาจจะตบคว่ำไปเลย อะไรแบบนี้

เถรี 23-07-2017 23:21

พระอาจารย์กล่าวว่า "เจงกิสข่านเป็นผู้นำที่สุดยอดมาก ทหารรวมอยู่เป็นแสน ๆ ใครจะนับถือศาสนาอะไร เจงกิสข่านไม่เคยห้าม ขอให้รบได้เท่านั้น

ถึงเวลาพักก็จะมีคนไปนั่งละหมาด มีคนไปบูชาไฟ มีคนไปเดินจงกรม นับลูกประคำอะไรก็แล้วแต่ คุณจะทำอะไรทำไป จึงกลายเป็นว่าพอถึงเวลายึดบ้านยึดเมืองได้ ก็ทิ้งกองทหารเอาไว้เพื่อให้ดูแล ถ้ากองทหารที่นับถือพุทธก็ช่วยกันสร้างวัด จะได้นิมนต์พระไปอยู่

พวกเราจะแปลกใจว่าทำไมอยู่ ๆ ในรัสเซียมีวัดพุทธได้อย่างไร ใหญ่ที่สุดในโลกด้วย ก็เพราะคุณูปการของเจงกิสข่าน ปัจจุบันนี้รัสเซียเอาหลักธรรมในพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะส่วนของสมาธิ กรรมฐาน ไปใช้กันเป็นล้าน ๆ คนเลย เพียงแต่ว่าเขาไม่ได้ประกาศตัวนับถือพุทธ เข้าวัดเข้าวา มาไหว้พระ มานั่งสมาธิหาความสงบ เพราะเขาเห็นผลว่าช่วยให้การทำงานเขาดีขึ้นมาก เพราะฉะนั้น...ต่อให้เขาไม่ประกาศเป็นพุทธก็เป็นไปครึ่งตัวแล้ว"

เถรี 23-07-2017 23:23

ถาม : เจ้านายชอบพาไปที่นั่น...(ไม่ชัด)... ?
ตอบ : ท่านเป็นคนยอมลำบากเลยอยู่ที่นั่น แต่ว่าบางอย่างก็เป็นทิฏฐิเฉพาะตัว ผมเองไม่เคยถือสาเรื่องนี้ ถ้าใครทำงานได้ผมให้หมด เพราะว่าเรื่องของกิเลสเฉพาะตัวผมไม่ว่าใคร อยู่ที่ใครละได้ก่อนเท่านั้น วางได้ก่อนก็สบายก่อน ถ้าใครอยากแบกก็ให้เขาแบกไป

เถรี 23-07-2017 23:26

ท่านอาจารย์ ดร.ชาตรีเคยไปวัดท่าขนุนนะ ไปเยี่ยมกันทีหนึ่ง ท่านไปเรียนที่ต่างประเทศก่อน เรียนจนกระทั่งสามารถเผยแผ่ธรรมได้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะเรื่องของหลักธรรมเป็นคำพูดเฉพาะมาก อธิบายเสร็จแล้วยังต้องอธิบายซ้ำอีกว่าคืออะไร

ผมบอกฝรั่งว่า ทุกข์ คือ Suffering เขาไม่เข้าใจ ต้องอธิบายว่า สมมติคุณเดินสักหนึ่งชั่วโมง...เหนื่อยฉิบหา...เลย นั่นก็คือทุกข์ คุณทำงานสักครึ่งวันเครียดมากเลย นั่นก็คือทุกข์ อธิบายไป กำกับแล้วกำกับอีก ทุกข์คำเดียวปาไปครึ่งค่อนชั่วโมง

ฝรั่งนี่นิสัยแปลก ถ้าเขาเข้าใจไม่ชัดเจนก็ถามอยู่นั่นแหละ ไม่เหมือน
กับคนไทยเรา ฟังรู้เรื่องไม่รู้เรื่องกูก็ไม่ถาม จึงกลายเป็นโง่กว่า ฝรั่งเขาไม่ยอมหรอก เอาจนฉลาด ถามแล้วถามอีก ถามจนกระทั่งหมดทุกซอกทุกมุมแล้วเขาถึงยอมเลิก

เถรี 23-07-2017 23:28

เรื่องหลักธรรมนี้เราเสียท่า ทางด้านศรีลังกาและพม่า เขามีธรรมะภาษาอังกฤษมานานแล้ว แต่ของไทยเรายังไม่มี การอธิบายหลักธรรมเป็นภาษาอังกฤษได้ จึงทำให้พระพม่าได้รับความนิยมมากกว่า พวกต่างชาติไปฝึกกรรมฐานที่พม่าแต่ละวัดนี่เป็นร้อย ๆ คน ไปเนปาลไปทิเบตก็เห็นเขาไปกราบอัษฎางคประดิษฐ์กันไม่รู้จักหยุดจักหย่อน ทำกันเป็นพันเป็นหมื่นครั้ง พวกฝรั่งส่วนใหญ่ทำอะไรเขาทำจริง ๆ

เถรี 23-07-2017 23:29

พระอาจารย์กล่าวว่า “พอลำบากมาก ๆ ทุกข์มาก ๆ ก็จะคิดถึงพระไปเอง ตอนนี้ยังไม่เห็นคุณค่าก็ไม่เป็นไร”


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 01:35


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว