![]() |
ถาม : มีครั้งหนึ่งผมเคยเอาข้าวมาจากวัดครับ ?
ตอบ : มีอยู่ ๒ อย่าง อย่างแรกก็คือพระท่านฉันเสร็จแล้ว ท่านสละแล้ว อีกอย่างหนึ่งก็คือไปเอามาเฉย ๆ ถ้าอย่างหลังเป็นหนี้สงฆ์หัวโต..! ถาม : คนอื่นเขาเอามาให้อีกทีครับ ตอบ : เราก็โดนหางเลขไปด้วย ไม่ได้เจตนาหรอก แต่เพื่อนพาจน ถาม : แล้วอย่างเอาข้าวของที่วัดกลับมาบ้านเล่าครับ ? ตอบ : แบบนั้นซวยมาเยอะแล้ว หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า “เอาไฟเผาบ้านดีกว่า” ไฟเผาบ้านก็เจ๊งครั้งเดียว แต่เอาของสงฆ์กลับมาบ้านเจ๊งกันเป็นกัป เพราะลงอเวจี ส่วนใหญ่เขาไม่รู้ มีอะไรก็เอาไปให้ลูกให้หลาน เอาเถอะ..แก้ไขกันไปตามเพลง จะตั้งใจสร้างพระชำระหนี้สงฆ์หรืออะไรก็ว่าไป ถาม : (ไม่ชัด) ตอบ : เราไม่มีเจตนาเอาไม่เป็นไร แต่มีข้อแม้อยู่นิดหนึ่งว่าก่อนตายรีบเอาไปคืนเขา ที่เป็นหนี้สงฆ์เพราะเจตนาเอาเป็นของตน ส่วนเราทำงาน ไม่มีเจตนาเอาไม่เป็นไร |
ถาม : มีคนหนึ่งเขาโดนไสยศาสตร์ จะพาเขาไปรักษาก็ไม่ยอม ?
ตอบ : เรื่องพวกนี้ต้องให้หมดวาระกรรมก่อน ถ้ายังไม่หมดวาระก็ต้องบังคับกัน แต่คราวนี้งานเป่ายันต์ก็เลยไปแล้ว ถ้ามีอีกทีก็ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๕ ถาม : จะพาเขาไปรักษาก็ไม่ยอม ตอบ : ไม่ต้องบอก เอาตัวเขาไปเข้าพิธีก็จบเลย ถาม : (ไม่ได้ยิน) ตอบ : ถ้ายังไม่พ้นวาระ อย่างไรก็ไม่หลุดหรอก เพราะว่าของพวกนี้เขามีเวลา เหมือนอย่างกับวาระกรรมยังส่งอยู่ ก็ต้องรอให้พ้นไปก่อน ถาม : (ไม่ได้ยิน) ตอบ : ยาก...เดี๋ยวถ้าไปถามผิดที่ก็โดนเขาหลอกให้แก้กรรม เสียเงินเสียทองเยอะแยะอีก วันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๕ ที่วัดมีงานเป่ายันต์เกราะเพชร ลองหลอกเขาไปเข้าพิธีดู ดูสิว่าจะดิ้นจนศาลาถล่มไหม ? คราวที่แล้วเขาดันมาดิ้นกันอยู่ข้างตัวอาตมาเลย ส่วนเราก็อย่าไปเครียด เดี๋ยวจะแย่แทน ภาวนาอิติปิโสฯ นึกถึงยันต์เกราะเพชรไปเรื่อย ๆ ใครทำอะไรเราก็ปล่อยให้ซวยของเขาเอง ไม่ต้องไปตอบโต้ นั่งภาวนาของเราไป ถาม : กรรมอะไรคะ ? ตอบ : บอกไม่ได้จ้ะ แค่นี้ก็เยอะมากแล้ว เรื่องของพระ บางทีรู้ก็บอกไม่ได้ ถ้ามีโอกาสลองพาเขาไปงานเป่ายันต์ฯ ก็แล้วกัน เราอาจจะตายก่อนเพราะไปเครียดแทนเขา ไม่ต้องเครียด คนเรามีกรรมรักษา มีบุญรักษา เพราะฉะนั้น..กรรมของใครของมัน เราจะได้รู้ว่าถ้าเราไม่ได้สร้างบุญเอาไว้ เราจะโดนหนักกว่านี้อีก อย่างนี้ถือว่าเบาแล้ว |
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนเราไม่เหมือนกัน ในเมื่อไม่เหมือนกัน จะให้เรียบเหมือนโขลกออกมาจากเบ้าเดียวกันไม่ได้หรอก ต้องมีกระโดกกระเดกบ้าง"
|
ถาม : ฆราวาสมีสิทธิ์ทำกิจเหมือนพระได้ไหมครับ ?
ตอบ : หมายถึงอะไรล่ะ ? ถ้ากินข้าวก็กินเหมือนกันนั่นแหละ ถาม : ยกระดับชีวิตขึ้นครับ ? ตอบ : มีสิทธิ์เป็นได้แม้กระทั่งพระอรหันต์ อยู่ที่เราจะทำหรือไม่ ? |
ถาม : เกี่ยวกับการแผ่เมตตาเป็นกรรมฐาน ?
ตอบ : ซักซ้อมบ่อย ๆ ไว้เท่านั้นเอง ถึงเวลาเมื่อเราแผ่เมตตาจนอารมณ์ใจทรงตัวสบายแล้ว ก็ให้ภาวนาต่อไปเลย ถ้าเราไม่มีการจับลมหายใจภาวนาต่อ อารมณ์จะไม่ทรงตัว อยู่ได้พักเดียวก็สลายไปหมด ต้องอาศัยฌานสมาบัติเข้าไปช่วย เพราะฉะนั้น..เราจำเป็นที่จะต้องภาวนาต่อเลย อารมณ์ใจที่เป็นฌานตอนนั้นก็จะเป็นฌานในพรหมวิหาร จะรักษาเอาไว้ให้เราได้นาน แต่ถ้าเผลอหลุดก็ไปอีก ต้องซ้อมแล้วซ้อมอีก เบื่อไม่ได้ หน่ายไม่ได้ |
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อครู่นี้ที่ขึ้นไปพัก แทนที่อาตมาจะพักผ่อน ก็ไปออกกำลังกาย เนื่องจากข้างบนมีแผ่นไม้กระดานที่ให้ขึ้นไปยืนแล้วยืดเส้นได้
การออกกำลังนั้นมีอยู่ ๒ สาเหตุ สาเหตุแรก ก็คือ ร่างกายของเราต้องบริหารอยู่เป็นปกติ ถึงจะอยู่ในสภาพที่ใช้งานได้โดยไม่ลำบากมากนัก ถ้าไม่บริหารร่างกายก็จะรวน ทำให้เราลำบาก ประการที่ ๒ ก็คือ หน้าที่ที่อาตมารับผิดชอบอยู่ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นพระอาจารย์สอนหนังสือของมหาวิทยาลัย ๒ แห่งก็ดี หรือว่าหน้าที่ในการสงเคราะห์ญาติโยมที่มีจิตศรัทธาก็ตาม ถ้าร่างกายไม่ดีก็ทำหน้าที่ได้ไม่เต็มที่ เรื่องนี้ดูจากในหลวงเป็นตัวอย่าง ในหลวงทรงออกกำลังพระวรกายในสมัยก่อนเป็นประจำทุกวัน ไม่ว่าจะทรงงานดึก ๆ ดื่น ๆ ขนาดไหนก็ตาม ช่วงบ่ายพระองค์ท่านจะออกวิ่ง แล้วไม่ได้วิ่งระยะใกล้ ๆ นะ ทรงวิ่งที ๓ - ๔ กิโลเมตร ส่วนใหญ่บรรดาข้าราชบริพารที่ติดตามก็มักจะเป็นข้าราชการที่มีอายุมากแล้ว คำว่ามากแล้วก็คือเกิน ๔๐ ปีแล้วทั้งนั้น ในหลวงทรงวิ่งสม่ำเสมอตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง ส่วนบรรดาข้าราชบริพารก็อยู่ประมาณสักครึ่งทางก็ลิ้นห้อยแล้ว มีบุคคลที่ค่อนข้างจะกล้าหน่อยทูลถามว่า ทำไมต้องออกกำลังเอาจริงเอาจังขนาดนั้น พระองค์ท่านตรัสว่า “รับผิดชอบคนทั้งประเทศ ถ้าร่างกายไม่ดีก็ทำหน้าที่ไม่ได้” |
"แม้กระทั่งทุกวันนี้พระองค์ท่านก็พยายามที่จะทำกายภาพบำบัด เพื่อจะเสด็จพระราชดำเนินโดยพระองค์เองให้ได้ แต่บรรดาหมอต่าง ๆ ก็ยังไม่ไว้วางใจ ถ้าออกงานสำคัญก็มักจะให้พระองค์ประทับรถเข็นไปมากกว่า ประทับบนรถเข็นแล้วก็มีคนเข็นไป เพราะว่าพระองค์ท่านประชวรเป็นโรคน้ำในพระสมองมาก ไปเบียดประสาทการทรงตัว หมอต้องคอยระบายน้ำออก เกรงว่าถ้าเสด็จพระราชดำเนินไปเองแล้วล้มก็ไม่คุ้มกัน
จากที่เสด็จพระราชดำเนินไม่ได้ จนกระทั่งทุกวันนี้ระยะใกล้ประเภท ๑๐๐ ก้าว หรือ ๕๐ ก้าวนี่ไปได้สบาย แต่เวลาออกงานหมอขอร้องให้ประทับรถเข็น ถ้าล้มหมอรับผิดชอบไม่ไหว มีหวังคนทั้งประเทศรุมหมอยับเยินแน่ อาตมายืนออกกำลังบนแป้นไม้นั้นก็ไม่ได้ยืนเปล่า ๆ หรอก พกหนังสือไปอ่านด้วย เขาให้ยืนอย่างน้อย ๑๕ นาทีในช่วงแรกเริ่ม ส่วนอาตมาทำมาเป็นปี ๆ แล้ว แค่ ๑๕ นาทีไม่พอหรอก ต้องเยอะกว่านั้น ไม่น่าเชื่อว่าจะช่วยเรื่องเส้นสายได้ สมัยก่อนหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านมีเครื่องออกกำลังอยู่ ญาติโยมซื้อไปถวาย “เฮ้ย..เล็ก วันนี้ร่างกายดีหน่อย เอามาลองซิ” ส่วนหลวงปู่มหาอำพันปั่นจักรยานวันละครึ่งชั่วโมงทุกวัน กราบเรียนหลวงปู่ว่า “ทำไมถึงต้องออกกำลังครับ ?” ท่านบอกว่า “หมอสั่ง..เป็นคนไข้อย่าดื้อกับหมอ ถ้าดื้อแล้วรักษายาก” หลวงปู่อายุ ๘๐ กว่าปี แต่กล้ามขาแข็งแรงเหมือนคนหนุ่มเลย" |
"เราจะเห็นได้ว่าพระที่ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบระดับนั้น ท่านทำอะไรท่านทำแบบจริงจัง ไม่ได้เหยาะแหยะแบบพวกเรา พวกเราถ้ามีเครื่องออกกำลังอยู่กับบ้าน ส่วนใหญ่ก็ใช้เป็นที่ตากผ้า เพราะฉะนั้น..เลิกตากผ้าได้แล้ว ลองใช้ดูหน่อย แค่เราทำจริงจังสม่ำเสมอทุกวัน ผลก็จะปรากฏเอง
เรื่องของการปฏิบัติก็เช่นกัน ต้องจริงจังและสม่ำเสมอ ความจริงจังและสม่ำเสมอก็คือสัจจะบารมี ถ้าสัจจะบารมีพร่องก็ทำบ้างทิ้งบ้าง ไป..เริ่มต้นใหม่ รักษาร่างกายไว้ให้ดีนิดหนึ่ง ร่างกายก็โอดครวญน้อยหน่อย พอโอดครวญน้อยหน่อยเราก็ปฏิบัติธรรมได้ดีขึ้น อาตมาไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่า พอเกษียณอายุแล้วยังนั่งหลังตรงได้ ถ้านั่งตัวตรงไม่ได้จะงอลงบ้าง ๖๐ ปีก็จะเกษียณแล้ว แต่พระเขาให้เกษียณตอนอายุ ๘๐ ปี ตำแหน่งเจ้าอาวาสกับกรรมการมหาเถรมหาคมห้ามเกษียณ เข้าใจว่าตำแหน่งกรรมการมหาเถรมหาคมเป็นส่วนที่สำคัญที่สุด ถ้าอยู่ ๆ เกษียณพร้อมกันไปสัก ๓-๔ รูป ที่มาใหม่ก็เคว้ง ส่วนตำแหน่งเจ้าอาวาสที่ไม่ให้เกษียณ พระผู้ใหญ่ท่านอธิบายว่า ถ้าเจ้าอาวาสใหม่ขัดคอกับเจ้าอาวาสเก่า เจ้าอาวาสเก่าจะอยู่ไม่ได้ เพราะฉะนั้น..ให้อยู่ตายคาตำแหน่งไปเลย" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "เวลายกของ ถ้าหายใจออกจะยกขึ้นง่ายกว่า ส่วนใหญ่พวกเราไปสูดหายใจเข้าแล้วก็ยก ทำให้เหนื่อยง่าย"
|
พระอาจารย์กล่าวว่า "บ้านเราตอนนี้ระแวงน้ำท่วมกันเพราะปีที่แล้วโดนหนัก ใจเย็น ๆ ปีนี้น้ำท่วมในที่ที่ไม่ควรท่วม และแล้งในที่ที่ไม่ควรแล้ง ปีนี้ถ้าจะกลัวก็กลัวแผ่นดินไหวดีกว่า ความจริงแผ่นดินไหวทุกวันแหละ ลองยืนตอนที่รถสิบล้อวิ่งผ่านดูสิ
มีอยู่สมัยหนึ่งที่แผ่นดินไหวแล้วเขากลัวเขื่อนแตกกัน เขาเอานักธรณีวิทยาระดับอาจารย์ ก็คือ ศ.ดร.ปริญญา นุตาลัย ลูกศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุงไปออกรายการโทรทัศน์ พิธีกรตั้งคำถามได้ดีมาก “ท่านอาจารย์ครับ แผ่นดินไหวเกิดจากสาเหตุอะไรครับ ?” ท่าน ดร.ปริญญา จบธรณีวิทยามาโดยตรง บอกว่า “ในพระไตรปิฎกกล่าวไว้ว่า แผ่นดินไหวมาจากสาเหตุ ๘ ประการด้วยกัน ๑. ลมกำเริบ ๒. ผู้มีฤทธิ์บันดาล ๓.พระโพธิสัตว์จุติลงสู่ครรภ์พุทธมารดา ๔.พระโพธิสัตว์ประสูติ ๕. พระโพธิสัตว์ตรัสรู้ ๖.พระพุทธเจ้าแสดงปฐมเทศนา ๗.พระพุทธเจ้าปลงอายุสังขาร ๘.พระพุทธเจ้าปรินิพพาน” พิธีกรไปไม่เป็นเลย เตรียมคำถามทางวิชาการมาเยอะแยะ แต่ท่านงัดพระไตรปิฎกมาทั้งเล่ม ความรู้ทางโลกไม่ทันสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้มา ๒,๕๐๐ กว่าปี แต่พวกฝรั่งเขาเคยชินกับความเป็นวิทยาศาสตร์ คือพิสูจน์ได้ในระดับหนึ่ง ถ้าสิ่งไหนยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ก็ตั้งเป็นสมมติฐานขึ้นมา ถ้าสมมติฐานนั้นยังหาคนคัดค้านไม่ได้ก็เป็นทฤษฎี เพราะฉะนั้น..คำว่าทฤษฎีนี้ยังไม่แน่นอนจนกว่าจะมีคนค้านได้ ค้านได้เมื่อไรทฤษฎีของคุณก็ตกไป ของคนใหม่ก็จะเป็นทฤษฎีใหม่ขึ้นมาอีก ทฤษฎีจะแน่นอนแค่ตอนนี้ ถ้ามีคนสามารถพิสูจน์ได้ว่าของคุณผิด ก็เป็นอันว่าทฤษฎีนั้นใช้ไม่ได้ ถ้าเราเป็นพิธีกรจะไปต่ออย่างไรล่ะ ? ดร.ปริญญาอุตส่าห์เมตตาบอกว่า “ผู้มีฤทธิ์บันดาลก็ดูสมัยนี้แหละ พวกคนขับรถ ๑๐ ล้อบันดาลได้ทุกคน แค่วิ่งผ่านก็ไหวแล้ว” ถ้าจะไปพูดถึงอภิญญาสมาบัติอะไรกลัวพิธีกรจะขาดใจตายก่อน" |
"อาตมาชื่นชมท่าน ดร.ปริญญา ตรงที่ท่านเป็นบุคคลที่ทันสมัยสุด ๆ จบปริญญาเอกจากต่างประเทศ สอนอยู่สถาบัน AIT แต่พูดถึงพระไตรปิฎกอย่างเต็มปากเต็มคำ เอาพระพุทธเจ้าเป็นใหญ่ ไม่ได้เอาทฤษฎีตะวันตกเป็นใหญ่ เป็นพวกเราจะกล้าพูดไหม ? ถ้ารักตัวเองจะไม่กล้าพูด เพราะถ้ารักตัวเองกลัวคนอื่นเขาหาว่าบ้า ต้องรักพระพุทธศาสนาหรือว่ารักพระพุทธเจ้ามากกว่า จึงจะกล้าพูด
ดังนั้น..พุทธศาสนาของเราจึงต้องการบุคคลที่ปฏิบัติธรรมจนถึงระดับที่พระพุทธเจ้าท่านใช้คำว่า “สามารถชี้แจงแก่บุคคลที่มีความสงสัย และบุคคลที่กล่าวตู่พระพุทธศาสนาได้จนแจ่มแจ้ง” ถ้ายังไม่ถึงระดับนั้นยังไม่ใช่พุทธบริษัทที่พระพุทธเจ้าต้องการ" |
"สมเด็จกรมพระยาบำราบปรปักษ์ ในสมัยรัชกาลที่ ๔ ท่านเป็นผู้ที่ใฝ่บุญมาก จัดทำบุญเลี้ยงพระและฟังเทศน์ที่บ้าน ๓ วัน ๓ คืน แล้วนิมนต์ท่านเจ้าคุณพระพิมลธรรม (อ้น) วัดมหาธาตุ กับท่านเจ้าคุณพระธรรมกิตติ (โต) วัดระฆัง ไปในงานด้วย
ท่านเจ้าคุณพระพิมลธรรม (อ้น) เทศน์ปฐมสมโพธิกถาว่า เมื่อกาฬเทวิลดาบสได้ข่าวว่าเจ้าชายสิทธัตถะประสูติจึงรีบไปดู ตอนนั้นกาฬเทวิลดาบสนอนอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เห็นเทวดานางฟ้าอื้ออึงกัน ก็แปลกใจว่าเกิดอะไรขึ้น ? พอสอบถามดูจึงรู้ว่าพระมหาโพธิสัตว์เจ้าประสูติแล้ว จึงรีบเหาะลงมา อาศัยความคุ้นเคยกับพระเจ้าสุทโธทนะ เข้านอกออกในพระราชวังได้ ก็เลยเข้าไปจนถึงด้านใน พอเห็นมหาปุริสสลักษณะของสิทธัตถะราชกุมารจึงหัวเราะและร้องไห้ พระเจ้าสุทโธทนะตรัสถามว่าทำไมถึงหัวเราะและร้องไห้ ? กาฬเทวิลดาบสบอกว่า หัวเราะเพราะดีใจที่ในชีวิตได้ทันเห็นมหาปุริสสลักษณะที่สมบูรณ์พร้อมขนาดนี้ บุคคลที่เป็นศาสดาเอกของโลกได้เกิดขึ้นแล้ว แต่ที่ร้องไห้ก็เพราะอายุมากจนป่านนี้แล้ว ไม่มีโอกาสได้อยู่ทันท่านเผยแผ่ธรรมะ และไม่ได้รับผลของธรรมนั้นด้วย เพราะตายแล้วก็จะต้องไปเกิดในอรูปพรหม แต่สมเด็จกรมพระยาบำราบปรปักษ์มีปัญญามาก ท่านจึงสงสัย ถามพระพิมลธรรม (อ้น) ว่า “พระคุณเจ้าขอรับ..ฌานโลกีย์เสื่อมได้ไม่ใช่หรือ ? ” พระพิมลธรรม (อ้น) ก็รับรองว่าเสื่อมได้ สมเด็จกรมพระยาบำราบปรปักษ์ตรัสว่า “แล้วทำไมกาฬเทวิลดาบสไม่ทำลายอรูปฌานเสีย แล้วไปเกิดเป็นรูปพรหม อย่างไรก็ทันเจ้าชายสิทธัตถะตรัสรู้อยู่แล้ว เพราะถ้าไปเกิดเป็นอรูปพรหม ถึงเจ้าชายสิทธัตถะตรัสรู้ ตนเองก็ไม่มีโอกาสรับรู้" ท่านเจ้าคุณพระพิมลธรรม (อ้น) น็อกคาสนามเลย ไปต่อไม่เป็น แล้วพวกเราคิดว่าอย่างไร...? " |
"ท่านเจ้าคุณพระธรรมกิตติ (โต) วัดระฆัง ชื่อคุ้น ๆ ใช่ไหม ? ตอนหลังท่านเป็นสมเด็จพระพุฒาจารย์ ท่านเห็นว่าท่านเจ้าคุณพระพิมลธรรมไปไม่รอด ท่านก็ถอนหายใจเฮือกแล้วช่วยเฉลยว่า “แล้วทำไมพระเดชพระคุณถึงต้องลำบากมาจัดงานที่นี่ ๓ วัน ๓ คืน ? ข้ามฝั่งไปทำที่วัดระฆังก็ได้ทำบุญแล้ว” จบเลย เพราะว่ากำลังใจท่านตั้งใจจะเอาอย่างนั้น จึงตะเกียกตะกายทำที่วังตัวเอง จัดงาน ๓ วัน ๓ คืน ตัวเองก็เหนื่อยแทบตาย ต้องเรียกบริวารลูกน้องมาช่วยงานทุกอย่าง ต้องนิมนต์พระลำบากลำบนมาถึงวัง ข้ามฝั่งไปทำบุญวัดระฆังที่พระอยู่ก็จบแล้ว
กาฬเทวิลดาบสก็เหมือนกัน ท่านทำมาของท่านอย่างนั้น จะให้ท่านเลือกทางง่าย ๆ อย่างที่สมเด็จกรมพระยาฯ ท่านคิดไม่ได้หรอก เพราะใจท่านมุ่งไปทางเดียวเสียแล้ว คิดดูแล้วกันว่า หลวงพ่อวัดระฆังท่านตอบง่าย ๆ ประโยคเดียว สมเด็จกรมพระยาฯ ปัญญาท่านมาก ฟังแล้วเข้าใจทันทีเลย เป็นอันว่าจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย ทำบุญต่อไปได้ ไม่อย่างนั้นสงสัยไปเรื่อยจบไม่ลง ตรงนี้แสดงให้เห็นอัจฉริยภาพของหลวงพ่อวัดระฆังว่าสุดยอดมาก" |
:4672615: เก็บตกจากบ้านวิริยบารมีเดือนนี้จบแล้วค่ะ :4672615: ถอดจากเสียงเป็นตัวอักษร โดย ทาริกา คะน้า เถรี และรัตนาวุธ |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 01:01 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.