กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านเติมบุญ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=65)
-   -   เก็บตกบ้านเติมบุญ ต้นเดือนเมษายน ๒๕๖๓ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=6940)

เถรี 03-04-2020 20:06

"ปกติแล้วการประชุมพระสังฆาธิการในเขตปกครองคณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมิ จะมากจะน้อยก็ต้องมีขาดประชุมบ้าง แต่งานนี้มากันครบถ้วน แม้กระทั่งผู้ที่ติดงานสำคัญก็ส่งตัวแทนมาขอรับการช่วยเหลือ แสดงให้เห็นว่าเดือดร้อนกันหนักจริง ๆ ซึ่งไม่ว่าพระหรือฆราวาสก็ตาม ถ้ามีแต่รายจ่ายโดยไม่มีรายรับ ก็คงจะไม่เดือดร้อนไม่ได้"

เถรี 03-04-2020 20:08

1 Attachment(s)
"ช่วงบ่ายอาตมาเข้าไปเยี่ยมชุมชนคุณธรรมวังท่าขนุน เพื่อดูการทำหน้ากากอนามัยสำหรับถวายพระ เพราะว่าที่ส่งไปให้จำนวน ๕๒๐ ชิ้น อาตมาถวายให้ทั้ง ๕๒ วัดหมดเกลี้ยงไปแล้ว

พร้อมกันนี้ก็ยังนำเอาเจลแอลกอฮอล์ล้างมือไปมอบให้กับชุมชนด้วย แต่ปรากฏว่าไม่มีใครอยากได้เจลแอลกอฮอล์ ทุกคนบอกว่าอยากได้ขวดแอลกอฮอล์แบบสเปรย์ที่ถวายพระ เพราะว่าทางคุณต๋อง (นายณัฐพล สุขวัฒนศิริ) ประธานชุมชนคุณธรรมบริษัทมุลเลอร์กรุ๊ป สั่งให้ทางโรงงานพิมพ์ภาพยันต์เกราะเพชรติดเข้าไปด้วย ดังนั้น..สิ่งที่ทุกคนพูดเหมือนกันก็คือ "ขอขวดแอลกอฮอล์แบบสเปรย์ เอาเฉพาะแบบมียันต์..!"

สรุปว่าขวดรูปยันต์เกราะเพชร ขลังทั้งที่ยังไม่ได้เข้าพิธีพุทธาภิเษก เป็นที่ต้องการของชาวบ้านทั่วไป แสดงว่านอกจากใช้ล้างมือเพื่อป้องกันเชื้อโรคแล้ว ยังพกพาไว้เพื่อเป็นที่พึ่งทางใจอีกด้วย"

เถรี 04-04-2020 07:13

พระอาจารย์เล่าว่า "ตื่นตีหนึ่ง เก็บที่นอนเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ออกเดินมายังสำนักงานเจ้าอาวาส ผ่านต้นมะม่วงและมะปราง ปรากฏว่ามีลูกสุกตกลงเกลื่อนพื้นไปหมด บางส่วนเกิดจากความสุกงอมจนได้ที่ อีกส่วนหนึ่งเกิดจากฝีมือของ "นกมีหูหนูมีปีก"

การที่ "ตื่นแต่มืดแต่ดึก" แบบที่บางคนบอก เกิดจาก ๒ สาเหตุด้วยกัน สาเหตุแรกก็คืออายุมากแล้ว พูดง่าย ๆ ว่าโดยธรรมชาติคนแก่ย่อมนอนน้อยลง สาเหตุที่ ๒ เกิดจากการฝึกหนักตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นวัยรุ่น ทุ่มเทกับการปฏิบัติกรรมฐาน โดยยึดหลัก "กินน้อย นอนน้อย พูดน้อย ปฏิบัติให้มาก"

เมื่อต้องมาเป็นครูบาอาจารย์สั่งสอนลูกศิษย์ คำถามหนึ่งที่เจอก็คือ "ทำไมต้องตื่นเช้าขนาดนั้นด้วย ?" อาตมาตอบไปว่า "ต้องตื่นก่อนกิเลส ถ้ากิเลสตื่นก่อนเราจะฟุ้งซ่านไปทั้งวัน" เรื่องนี้หลายคนมีประสบการณ์ โดยเฉพาะบรรดาผู้ชายทั้งหลาย ถ้าไม่ได้เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ ย่อมเข้าใจดีว่าถ้ากิเลสตื่นก่อนแล้วจะเกิดอะไรขึ้น ?!!"

เถรี 04-04-2020 07:15

"สภาพจิตของเราทำงานตลอดเวลาแม้ว่าเราจะหลับ การที่เราจะหลับได้นั้นจะต้องมีสมาธิในระดับปฐมฌานหยาบ ไม่อย่างนั้นแล้วเราจะนอนไม่หลับและฟุ้งซ่านมาก แต่สภาพจิตที่ทรงปฐมฌานหยาบในระหว่างที่เราหลับนั้น ไม่มีอานิสงส์ของการทรงฌาน เนื่องจากเป็นกัมมวิปากชาฤทธิ์ คือ ฤทธิ์ที่เกิดโดยวิบากกรรม เมื่อเกิดเป็นมนุษย์หรือสัตว์ต้องมีความสามารถตรงจุดนี้ ไม่อย่างนั้นถ้าสภาพร่างกายไม่ได้พักผ่อนนาน ๆ ก็อาจจะถึงตายได้

ปริศนาธรรมโบราณกล่าวว่า "กลางคืนเป็นควัน กลางวันเป็นเปลว" คือสภาพจิตของเราแม้ว่าตอนกลางคืนจะหลับ แต่ก็ยังมีสภาพการทำงานกรุ่นอยู่ เหมือนไฟป่าดอยสุเทพที่รอเวลาปะทุ เมื่อถึงกลางวันก็เร่งทำหน้าที่ของตนตามที่ได้คิดฟุ้งซ่านเอาไว้ตั้งแต่ตอนกลางคืน

ในเมื่อสภาพจิตของเราทำงานทั้งกลางวันและกลางคืน ไม่มีโอกาสได้พักได้ผ่อน หลายท่านจึงสงสัยตนเองว่า เราก็ได้นอน ๖ - ๘ ชั่วโมงแล้ว ทำไมถึงยังรู้สึกเหนื่อยอยู่ตลอดเวลา ? เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าท่านได้พักแต่ร่างกาย สภาพจิตใจไม่ได้พักเลย"

เถรี 04-04-2020 07:16

"สภาพจิตที่จะได้พักอย่างแท้จริง ต้องทรงอัปปนาสมาธิ ตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไป ยิ่งถ้าได้ถึงฌาน ๔ หรือสมาบัติ ๘ ก็ยิ่งดี คือ สมาธิยิ่งสูงเท่าไร เราก็ได้พักอย่างแท้จริงมากเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเข้านิโรธสมาบัติ หรือที่เรียกอย่างเป็นทางการว่า สัญญาเวทยิตนิโรธ นั่นคือการได้พักผ่อนอย่างแน่นอนที่สุด

เนื่องจากว่าการเข้านิโรธสมาบัตินั้น สภาพร่างกายจะหยุดทำงานเกือบหมด ถ้าหากว่าใช้เครื่องมือแพทย์มาตรวจวัด ก็จะบอกว่าตายไปแล้ว เพราะว่าเหลือเพียง "ปราณละเอียด" ที่เครื่องมือแพทย์สมัยใหม่ยังจับไม่ได้ จึงรายงานว่าเจ้าของร่างนี้ตายไปแล้ว..!

ดังนั้น..ท่านที่ทรงฌาน ๔ ก็ดี สมาบัติ ๘ ก็ดี หรือว่านิโรธสมาบัติก็ดี ต้องระมัดระวังไว้ด้วยว่า บุคคลที่ไม่รู้จะเหมาว่าท่านตายไปแล้ว และอาจจะดำเนินการตามแบบคนตาย อย่างเช่นว่า เอาใส่โลง เอาไปฝัง เอาไปเผา เป็นต้น"

เถรี 04-04-2020 07:17

"พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง เมื่อท่านพักผ่อนจะล็อกประตูห้องเสมอ ด้วยเกรงว่าถ้าลูกศิษย์ที่ไม่รู้ไปพบเข้า ก็จะเกิดปัญหาใหญ่ตามมา โดยเฉพาะบรรดาบุคคลที่ "โง่แล้วขยัน" เนื่องจากว่ามีอยู่ครั้งหนึ่ง หมอขออนุญาตติดเครื่องมือบางอย่างเพื่อวัดคลื่นหัวใจ เมื่อเอาไปตรวจสอบแล้วปรากฏว่า ตลอด ๑ คืนหัวใจของหลวงพ่อท่านหยุดเต้นถึง ๓๐๐ กว่าครั้ง..! แปลว่าพอสมาธิสูงขึ้น ร่างกายหยุดทำงาน เครื่องมือก็รายงานว่าหัวใจหยุดเต้นไปแล้ว..!

มีอยู่ครั้งหนึ่งที่อาตมาไปเฝ้าไข้หลวงปู่พระภาวนาปัญญาวิสุทธิ์ (อำพัน อาภรโณ, บุญ - หลง) ที่ตึกพิเศษ ๕ โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า ลูกศิษย์สำคัญท่านหนึ่งของหลวงปู่ก็คือ พลเรือโทนายแพทย์บรรยงก์ ถาวรามร อดีตเจ้ากรมแพทย์ทหารเรือ มารักษาตัวอยู่ที่ห้องข้างเคียง

หลวงปู่อยากจะไปเยี่ยมลูกศิษย์ แต่สภาพร่างกายก็ไม่อำนวย ช่วงนั้นอาตมาต้องอุ้มท่านเข้าออกห้องน้ำเป็นว่าเล่น ท่านจึงใช้วิธีไปโดยมโนมยิทธิเต็มกำลัง ก็คือถอดจิตไปเยี่ยมลูกศิษย์แทนตัวท่านที่นอนอยู่"

เถรี 04-04-2020 07:18

"พอดีเป็นช่วงเวลาที่หมอออกตรวจไข้ในช่วงเช้า ซึ่งภาษาแพทย์เรียกว่า "ออกราวด์" เมื่อจับชีพจรของหลวงปู่ นาวาตรีนายแพทย์สุรเสน ตวงวรนันท์ ก็ตกใจสุดขีด เพราะว่าชีพจรไม่เต้นเลย คุณหมอสุรเสนวิ่งไปรายงานเจ้านาย คือ พลเรือโทพนิต ศรียาภัย ท่านเจ้ากรมแพทย์ทหารเรือคนใหม่ ที่เป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่มหาอำพันเช่นกัน

อาตมาเห็นท่าไม่ดีจึง "สะกิด" หลวงปู่ ท่านจึงดึงจิตกลับ ลืมตามาบอกกับท่านเจ้ากรมฯ พนิตว่า "ฝันว่าไปเยี่ยมลูกศิษย์มา" แล้วไม่ได้อธิบายอะไรมากไปกว่านั้น เพราะท่านเกรงว่าจะเป็นการอวดอุตริมนุสสธรรม จึงได้แต่ทำไม่รู้ไม่ชี้ ปล่อยให้คุณหมอทั้งสองงงกันต่อไป"

เถรี 04-04-2020 07:19

"อาตมาเองถึงจะล็อกประตูแล้วก็ตาม ก็ยังคงโดนบรรดาลูกศิษย์แสนดี ที่ให้ช่างทำกุญแจสำรองแจกกันอย่างสนุกสนาน เข้าไป "ยำใหญ่" มาแล้ว จึงขอยกเป็นตัวอย่างให้ท่านทั้งหลายสังวรไว้ว่า ถ้าปฏิบัติธรรมจนถึงระดับอัปปนาสมาธิเมื่อไร ต้องระวังให้จงหนัก ถ้าท่านสร้างกรรมเอาไว้มากอย่าง "หลี่เถี่ยไกว่" หนึ่งในแปดเซียนของจีน ก็อาจจะโดนหามไปเผาแบบนั้นเช่นกัน..!"

เถรี 04-04-2020 15:57

พระอาจารย์กล่าวว่า "ในช่วงเวลาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส covid-๑๙ ทุกคนก็พยายามที่จะช่วยกันทำสิ่งต่าง ๆ ที่คิดว่าจะช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น อย่างหนึ่งที่เห็นออกมาหลากหลายมากก็คือการแต่งเพลง มีทั้งบรรยายถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มีทั้งให้กำลังใจผู้ปฏิบัติงานโดยเฉพาะบุคลากรทางการแพทย์ มีทั้งให้กำลังใจบุคคลที่ต้องกักกันตัวเอง

แต่ว่าเพลงส่วนใหญ่ที่ออกมาแล้วมักจะ "แป้ก" จากหลายสาเหตุด้วยกันดังนี้

๑. ขาดความงามของฉันทลักษณ์ เพลงสมัยนี้คนรุ่นเก่าอย่างอาตมามีความรู้สึกว่า แย่กว่าเด็กท่องอาขยานเสียอีก ลองเปรียบเทียบ "โคหวิด โควิด โคหวิด" กับ "ป่าเหนือเมื่อหน้าดอกไม้บาน ลมฝนบนฟ้าผ่าน ฟ้ามองดังม่านน้ำตา" เท่านี้ก็ "น้ำตาจิไหล" แล้ว..!

๒. ฟังแล้วไม่เห็นภาพ ลองเปรียบเทียบกับ "เหลืองเหลืองเรืองรองลิบลิ่ว สงฆ์เดินเป็นทิวยาวเหยียดดูน่ามอง" และ "ตาลเดี่ยวยืนต้นเหมือนคนตรอมใจ หมองไหม้ระทม ท่ามกลางสายลมขอบฟ้ากว้างใหญ่" หรือ "ลั่นทมเอนก้านกิ่งไหว หลบสายลมไล่จูบพัลวัน" ซึ่งเห็นภาพพจน์ทุกอย่างชัดเจนมาก"

เถรี 04-04-2020 16:00

"๓. ไม่มีบรรยากาศ ลองเปรียบเทียบกับ "แดดบ่ายปลายคุ้งท้องทุ่งรวงทอง" และ "เมื่อถึงเดือนเมษา หนุ่มบ้านนานั่งหมอง" หรือสุดยอดระดับ "ขลุ่ยเป่าแผ่วพริ้วผ่านทิวแถวต้นตาล" แค่นี้ก็รู้ว่าระดับอนุบาลกับปริญญาเอกนั้นต่างกันขนาดไหน ?

๔. ไม่มีนางเอกพระเอก ลองเปรียบเทียบกับ "สิบห้าหยก ๆ เปรียบดั่งนกน้อยเริ่มหัดบิน ระวังลมเล่ห์ลิ้น ชายให้กินจะบินตกคู" และ "นกเอี้ยงจ๋าก่อนเอี้ยงเคยเลี้ยงทุยอยู่" หรือ "พี่เป็น อส. เฝ้ารอรัก น้องจึงไม่อยากเห็นใจ" จะเห็นภาพพจน์หญิงชายชัดมาก

๕. เอาดนตรีนำเสียง ขอให้จังหวะดนตรีสนุกเอาไว้เต้นมัน ๆ อย่างเดียว เสียงร้องจะแหบจะห่วยแค่ไหนก็ได้ อยากให้คนรุ่นนี้ไปลองฟังเสียง สมยศ ทัศนพันธ์, ทูล ทองใจ, ไพรวัลย์ ลูกเพชร, พนม นพพร นักร้องหญิงอย่าง วงจันทร์ ไพโรจน์, ผ่องศรี วรนุช, ลัดดาวัลย์ ประวัติวงศ์ หรือรุ่นใหม่ ๆ อย่าง สุนทรี เวชานนท์ ก็ได้ จะได้รู้ว่าเสียงที่นำดนตรีได้นั้นเป็นอย่างไร ต่อให้ไม่มีดนตรีก็สามารถร้องได้ไพเราะอย่างเป็นธรรมชาติ"

เถรี 04-04-2020 16:02

"อาตมาไม่ได้มาตำหนิผลงานที่ท่านเหนื่อยยากสร้างสรรค์มา แต่มาบอกให้ได้รู้ว่าจุดบกพร่องอยู่ตรงไหน เผื่อว่าจะนำไปแก้ไขได้ ก็จะมีเพลงดังติดหูชาวบ้านเขาบ้าง ไม่ต้องระดับศิลปินแห่งชาติ ประเภท "ตะวันส่องใสสาดสายลงมาทาบทาทิวทุ่ง แผ่วลมผ่านโปรยเหมือนโชยกลิ่นปรุงดอกฟางหอมลอย" หรอก เอาแค่ระดับ "ขอนไม้กับเรือ" หรือ "ได้หมดถ้าสดชื่น" แล้วเอามาเปรียบกับสิ่งที่อาตมาพูดถึงข้างต้น ซึ่งยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ ก็จะเห็นว่าท่านที่ประสบความสำเร็จนั้นเพราะว่าเขามีอะไรบ้าง แล้วถ้าเราพยายามทำตามนั้นก็จะประสบความสำเร็จได้เช่นกัน

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า วิริเยน ทุกฺข มจฺเจติ บุคคลจะล่วงทุกข์ได้เพราะความเพียร ภาษิตไทยกล่าวไว้ว่า "ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น" ขอให้ทุกคนพยายามกันต่อไป "ต้องมีสักวัน ต้องมีสักวัน เดินตามความฝัน ไม่ท้อไม่หวั่นสุดแรงที่มี" แล้วท่านจะประสบความสำเร็จเช่นกัน"

เถรี 04-04-2020 18:44

"การหัวเราะเยาะคนอื่นจัดอยู่ในผรุสวาทา พร่องในกรรมบถ ๑๐ อย่างร้ายแรง"
"เฮ้ย..มีอย่างนี้ด้วย ? เพิ่งเคยได้ยิน"

"ผรุสวาทา แปลว่าอะไร ?"
"วาจาเหมือนขวานถาก"

"พูดไปแล้วเกิดอะไรขึ้น ?"
"คนฟังย่อมเจ็บใจ"

"นั่นแหละ..การหัวเราะเยาะย่อมทำให้ผู้อื่นเจ็บใจ"

เถรี 04-04-2020 18:45

เหวอสิครับท่าน..! แต่ที่เจ็บกว่านั้นก็คือโดนแมลงภู่สอน..!

"ไม่ใช่แมลงภู่ครับ ตอนนี้ผมโมทนาบุญที่ท่านทำ มีศักดานุภาพเหมือนพรหม..!"

หนักเข้าไปอีก..! อนุสนธิ์สืบเนื่องมาจากการไปทำ "พิธีมหาระงับโรคาพินาศ" กว่าจะไปถึงบริเวณมณฑลพิธี มีด่านคอยตรวจผู้เดินทางเป็นร้อยแห่ง เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส covid-๑๙ อาตมาไม่อยากเสียเวลา จึงบอกพญาแมลงภู่คำทั้งคู่ ซึ่งติดรถอยู่เป็นประจำว่า "ผ่านฉลุยทุกด่านทั้งขาไปและขากลับ แล้วจะเลี้ยงของดี..!"

เถรี 04-04-2020 18:48

ภาพที่เห็นก็คือพญาแมลงภู่คำเทียบปีกเคียงคู่ พา "น้องแก้ว" วิ่งผ่านทุกด่านเหมือนไม่มีตัวตนทั้งขาไปและขากลับ แม้แต่จะโบกให้หยุดเพื่อสอบถามก็ไม่มี นายแน่มาก..!

เมื่อเป็นดังนั้นก็ต้องทำตามคำสัญญา กลับมาแล้วชีวิตยังยุ่งเหยิงวุ่นวายมาก เมื่อมีเวลาก็รีบปรุง "ของดี" เพื่อตอบแทนพญาแมลงภู่คำทั้งสอง ซึ่งมีสูตรดังนี้

น้ำมันงาดิบ (คั้นมือ) ๑ ส่วน น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น ๑ ส่วน น้ำมันทานาคา ๑ ส่วน น้ำมันชาตรี ๓ หยด

คนให้เข้ากันเทใส่โหลแก้ว แล้วเชิญพญาแมลงภู่คำทั้งสองลงไปดำผุดดำว่าย ไหน ๆ ก็ยังมีที่ว่างเหลืออยู่มาก จึงฉวยโอกาสนำแมลงภู่คำทุกตัว ไม่ว่าจะแกะจากไม้ดุมล้อเกวียน แกะจากงาช้างกำจัด แกะจากเขี้ยวหมูตัน ออกจากรังใส่ลงในขวดโหลไปทั้งหมด

ปิดฝาแล้วไปนึกถึงการเรียนชีววิทยาสมัยชั้นมัธยม ที่คุณครูผู้สอนนำเอาสารพัดสัตว์มาดองไว้ในขวดโหลด้วยฟอร์มาลีน เพื่อใช้ประกอบการสอนในชั่วโมง เมื่อแมลงภู่คำทั้งฝูงลงไปสถิตอยู่ในขวดโหล ภาพที่เห็นก็คือแมลงดองชัด ๆ..! ก็หัวเราะสิครับ

เถรี 04-04-2020 18:50

นั่นแหละครับพระคุณท่าน..เกิดมาแก่จนป่านนี้ ก็เพิ่งจะโดนแมลงสอนธรรมะเข้าให้ ซ้ำยังลึกซึ้งแบบที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังจากที่อื่นมาก่อนด้วย ยังไม่รู้ว่าถ้าผิดสัญญาแล้วจะโดนอะไรบ้าง ? ยังดีที่สัจจบารมีไม่บกพร่อง ไม่อย่างนั้นก็ไม่อยากจะนึกว่า เวลาโดนแมลงด่าแล้วต้องทำหน้าแบบไหน ? ฮ่า..ฮ่า..!

เถรี 05-04-2020 05:14

พระอาจารย์กล่าวว่า "มีหลายท่านถามว่า การเขียนหนังสือก็ดี การพูดถึงเรื่องราวให้มาลงใน "เก็บตกฯ" ก็ดี มีการวาง "พล็อต" ไว้ก่อนหรือเปล่า ? ขอยืนยันไว้ตรงนี้ว่าไม่มี หนังสือที่เขียนส่วนใหญ่หนักไปทางบันทึกการเดินทาง จึงเป็นไปตามสภาพที่พบเห็นในช่วงนั้น ๆ ส่วนหนังสือ "กรรมฐาน ๔๐" นั้น เป็นการบรรยายธรรมแล้วมีผู้ถอดเสียงมา

การที่ทำเช่นนั้นได้สำหรับอาตมาแล้ว เกิดจาก ๒ สาเหตุด้วยกัน

๑. ภาวนาคาถาท่านปู่พระอินทร์จน "ขึ้น" แล้ว ถึงขนาดท่านให้คาถาเพิ่มเติมมาว่า อิกะวิติ พุทธะสังมิ โลกะวิทู ซึ่งลูกศิษย์สายหลวงพ่อวัดท่าซุงหลายท่านคัดค้านว่า ตามที่หลวงพ่อท่านบอกมานั้น ไม่มีคาถาตรงนี้

ภาษาวัยรุ่นสมัยอาตมาบอกว่า "พูดอีกก็ถูกอิฐ" คนประเภทนี้แหละที่ทำให้วิชาการต่าง ๆ ไม่มีการพัฒนาเลย เป็นพวกอนุรักษ์นิยมขนานแท้ ไม่ยอมเปิดใจรับสิ่งอื่นที่แตกต่างไปจากความเคยชินของตน จัดอยู่ในประเภทไดโนเสาร์เต่าล้านปี รอเวลาสูญพันธุ์เท่านั้น..!"


เถรี 05-04-2020 05:16

"๒. ผ่านการฝึกมโนมยิทธิมาแล้ว เมื่อมีความคล่องตัวก็สามารถปรับใช้กับสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันได้ ไม่ใช่ว่ามโนมยิทธิใช้สำหรับดูนรกดูสวรรค์เท่านั้น ประเภทนั้นก็ "จ๊าดง่าว" ตามที่ผู้ใหญ่ "จาวเหนีย" ด่าเด็ก ๆ ประเภทเข็นไม่ไป

ในเมื่อเป็นเช่นนั้นถึงเวลา จะเขียน จะพูด อะไรก็ตาม อาตมาก็มอบความไว้วางใจให้กับพระ พรหม เทวดา หรือครูบาอาจารย์ ตามแต่ท่านจะเมตตาสงเคราะห์ให้

ก็ยังมีผู้สงสัยอีกว่า ถ้าทำแบบนั้นแล้วจะไม่ "เฝือ" หรือ ? บังเอิญว่าอาตมาฉลาดว่ะ..! เชื่ออารมณ์แรกตามที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเมตตาสอนไว้ เมื่อซักซ้อมจนมั่นใจว่าอารมณ์แรกนั้นเป็นอย่างไร ก็กำหนดจดจำเอาไว้และใช้ตามนั้นด้วยความระมัดระวัง โอกาสที่จะ "เฝือ" จึงมีน้อยมาก"

เถรี 05-04-2020 05:17

"มีวิชาเหมือนมีทรัพย์อยู่นับแสน จะตกถิ่นฐานใดคงไม่แคลน ถึงคับแค้นก็พอยังประทังตน" ในเมื่อวิชาความรู้ครูบาอาจารย์ท่านก็ถ่ายทอดให้หมดแล้ว ก็เหลืออยู่แต่เราเท่านั้น ว่าจะศึกษาและนำเอาไปใช้ได้เท่าไร ต้องกล้าได้กล้าเสีย กล้าเปลี่ยนแปลง กล้าสู้ครู แล้วจะวิวัฒนาการได้เร็วกว่าคนอื่นเขา

ในชีวิตนี้ตั้งแต่เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุงมา มีครั้งเดียวที่รู้สึกว่าเสียใจ ก็คือท่านบอกว่า "เล็ก..ตั้งแต่นี้ไปเทศน์แทนพ่อนะ" กราบเรียนตอบไปแบบไม่ต้องคิดว่า "ขออนุญาตผ่านครับ ผมกลัวโดนถีบตกธรรมาสน์..!"

หลวงพ่อท่านยังเมตตาทักท้วงว่า "ตำแหน่งใบฎีกาเท่ากับเป็นตัวแทนของหลวงพ่อ ถ้าแกไม่เอาแล้วใครจะทำ ?" อาตมาก็ได้แต่เงียบ เพราะว่าตอนนั้นยังรักตัวเองมากจนเกินไป"

เถรี 05-04-2020 05:19

"ภายหลังมานึกว่าพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านนั้น นอกจากงานท่วมหัวแล้วยังป่วยหนักเป็นปกติ การที่ต้องลงเทศน์ทุกวันพระจัดเป็นภาระหนักมาก อุตส่าห์ขอให้ช่วยแบ่งเบาภาระแล้ว อาตมากลับไปกลัวคนอื่นเขาจะว่า จึงไม่สมกับที่ปฏิญาณตนว่ามอบกายถวายชีวิตต่อพระรัตนตรัย..!

แต่ถ้าใครเคยอยู่วัดท่าซุงมาจะรู้ว่า "จงทำดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัย ไม่มีใครเขาอยากเห็นเราเด่นเกิน" แล้วช่วงนั้นความทนต่อการเสียดสีของอาตมายังไม่เพียงพอ จึงต้องปฏิเสธไปทั้งที่เป็นคำสั่ง และหลวงพ่อท่านต้องเล็งเห็นแล้วว่าอาตมาทำได้

ถ้าเป็นสมัยนี้ไม่มีทางที่จะปฏิเสธหลวงพ่อท่านแน่ เพราะว่าฝึกมาจนกระทั่งหนังหนาหน้าทนแล้ว ต้องกราบเท้าขอขมาพระเดชพระคุณหลวงพ่อไว้ ณ ที่นี้ หลังจากที่ปฎิเสธงานเล็กน้อยที่ท่านมอบให้ มาในปัจจุบันเจองานสอนทั้งทางโลกและทางธรรม ถึงแม้ว่าหนักจนเกือบจะพูดไม่ออกก็ต้องทนเอา รู้ชัดเจนแล้วว่าตอนนั้นหลวงพ่อท่านเป็นอย่างไร ?"

เถรี 05-04-2020 05:19

"มาตอนนี้เหมือนกับอยู่ในช่วงกรรมตามสนอง ไม่ว่าจะบอกจะสั่งพระหรือฆราวาสอย่างไร มีแต่คนปฏิเสธไม่กล้าทำ น่าจะอยู่ในอารมณ์เดียวกับอาตมาสมัยโน้น ก็ได้แต่หวังว่ากรรมส่วนนี้คงจะคลายตัวลงในเร็ววัน ไม่เช่นนั้นก็คงต้องแบกงานจนมรณภาพ แบบเดียวกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่าน แต่การตายในหน้าที่ ปกติแล้วต้องปูนบำเหน็จ ๘ ขั้นนะครับ ฮ่า..!"

เถรี 05-04-2020 13:11

พระอาจารย์กล่าวว่า "การบิณฑบาตเป็นกิจวัตร (สิ่งที่ทำเป็นงานประจำ) สำหรับพระภิกษุสามเณร ถ้าเป็นประเทศพม่าแม่ชีก็ออกบิณฑบาตด้วย แต่พม่าบิณฑบาตได้ทั้งวัน ออกบิณฑบาตตอนตี ๔ เพื่อฉันเช้า ออกบิณฑบาตหลัง ๘ โมงเพื่อฉันเพล และออกบิณฑบาตช่วงบ่ายเพื่อข้าวสารอาหารแห้งและเงินบริจาค

การบิณฑบาตแต่ละวันก็มีเหตุการณ์ต่าง ๆ กันไป ช่วงเช้าเมื่อเดินไปเกือบสุดสะพานใหญ่แล้ว มีรถจอดกลางเลนเพื่อรอใส่บาตร เนื่องจากว่าพระเดินอยู่ข้างทาง โยมเกรงว่าถ้าจอดข้างทางแล้วจะเป็นการขวางหน้าพระ ยังดีว่าช่วงนี้ไวรัส covid-๑๙ อาละวาด โยมจึงใส่บาตรได้ตลอดรอดฝั่ง ไม่ถูก ๑๘ ล้อขย้ำไปเสียก่อน..!"

เถรี 05-04-2020 13:14

"เมื่อเดินสวนกับพระวัดทองผาภูมิ ซึ่งมักจะนำโดยหลวงตาสุ่ย หรือว่าเดินสวนกับท่านเอ (พระมอญ) ท่านก็จะยกมือไหว้ ทำเอาอาตมารับไหว้แทบไม่ทัน ทั้งที่มีระบุชัดเจนในอภิสมาจาร (ศีลพระที่มานอกปาฏิโมกข์) ว่าเวลาใดไม่ควรที่จะไหว้กัน แต่ด้วยความเกรงใจที่ท่านพรรษาน้อยกว่า และอาตมาก็เป็นผู้บังคับบัญชาระดับสูงของอำเภอ ท่านจึงไหว้ทุกครั้ง และอาตมาก็ต้องรับทุกครั้งเหมือนกัน

เวลาพ่อออกซาน ซึ่งอายุเก้าสิบปีเศษใส่บาตร หรือว่ามีญาติโยมที่นำเด็กตัวเล็ก ๆ มาใส่บาตร อาตมาจะน้อมตัวลงต่ำเพื่อความสะดวกของคนแก่หรือเด็ก แต่สังเกตว่าพระบางรูปท่านไม่ยอมน้อมตัวลง ถ้าเป็นภาษาเฉพาะตัวของอาตมาก็เรียกว่า "ยืนแข็งเป็นสากกะเบือ" เนื่องจากท่านยังไม่มีประสบการณ์

คนแก่มีเรี่ยวแรงน้อย ยิ่งอำนวยความสะดวกให้มากเท่าไร เราก็จะไปได้เร็วขึ้นเท่านั้น บางท่านถ้ายกทัพพีห่างตัวก็มือไม้สั่น เพราะว่ากำลังไม่พอ บางทีถึงกับข้าวหกตกพื้นไปเลย

ส่วนเด็กนั้นเมื่อใส่บาตรไม่ถึงก็ต้องเขย่ง เด็กก็มีกำลังน้อยเช่นกัน เมื่อเขย่งหลาย ๆ รอบเข้าก็หมดแรง เคยมีอยู่ที่เด็กดึงทัพพีกลับไม่ทัน เมื่อหมดแรงเขย่งทิ้งส้นเท้าลง มือยังจับทัพพีคาบาตรอยู่ ก็งัดบาตรกระเด็นหลุดจากมือพระไปเลย..!"

เถรี 05-04-2020 13:16

"บางบ้านเวลาแม่ใส่บาตร ลูกสาวก็เพิ่งจะอาบน้ำเสร็จมาแต่งตัวอยู่หน้ากระจก ปกติพระรับบาตรก็สำรวมสายตามองเฉพาะในบาตร แต่วันนั้นพอได้ยินเสียง "ว้าย..!" ทุกรูปเหลือบตาขึ้นไป แล้วก็เบือนหน้าหนีแทบไม่ทัน เพราะว่าแม่เจ้าประคุณนุ่งกระโจมอกอยู่หน้ากระจก ปากคาบยางรัดผม สองมือก็รวบผมเพื่อที่จะมัด กระโจมอกหลุดพอดี..! คาดว่าคืนนั้นพระหลายรูปคงเห็นภาพหลอนติดตาไปนาน..!

แทบทุกครั้งของการบิณฑบาต จะต้องมีหมาเดินตามแถวพระ โดยไม่ทราบแน่ว่าวัตถุประสงค์ของหมาคืออะไร ? โดยเฉพาะเจ้าโก้ เป็นหมาพันธุ์อลาสกันมาลามิวท์ น้ำหนักตัวน่าจะถึง ๕๐ กิโลกรัม เรียกว่าหมายักษ์ดี ๆ นี่เอง คอยเดินตามแถวพระตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง เหมือนกับไปเดินออกกำลังลดความอ้วน พอพระเลี้ยวลงสะพานแขวนหลวงปู่สาย เจ้าโก้ก็เลี้ยวกลับบ้านเหมือนกัน"

เถรี 05-04-2020 13:17

"หมาวัดหลายตัวก็มักจะฉวยโอกาสตามพระออกบิณฑบาต เหมือนกับออกไปเปลี่ยนบรรยากาศเพื่อคลายเครียด คราวนี้โดยกฎเกณฑ์กติกามารยาทของหมา ก็ต้องดูก่อนว่าเจ้าถิ่นจะยอมให้ผ่านทางหรือไม่ ? จึงมีการกัดกระจายกันทุกครั้ง

หมาหลายตัวเมื่อโดนกัดก็เข็ด ไม่ตามพระออกบิณฑบาตอีก แต่ "เจ้าไข่เค็ม" โดนเท่าไรก็ไม่เคยเข็ด อาตมาก็ยังสงสัยว่ามันจะลงทุนขนาดนี้ไปทำอะไร ? จนกระทั่งวันหนึ่งถึงได้รู้ว่า ทำไมเจ้าไข่เค็มจึงออกไปได้ทุกวัน เพราะโยมที่ใส่บาตรบอกกับหมาว่า "รอเดี๋ยวนะไข่เค็ม แม่เตรียมไก่ย่างไว้ให้แล้ว" สรุปว่าแม่ค้าทุกคนรู้จักเจ้าไข่เค็ม และคอยเลี้ยงอยู่เสมอเมื่อมันไปตลาด เจ้าไข่เค็มถึงได้ยอมลงทุนเจ็บตัวทุกวัน เพื่อไปรอกินไก่ย่างนี่เอง"

เถรี 05-04-2020 13:19

"ภาษิตจีนบอกว่า "คนตายเพราะสมบัติ สัตว์ตายเพราะอาหาร" บอกให้รู้ชัดว่า ถ้าเราทำตามตัณหา (ความอยาก) อย่างใดอย่างหนึ่ง ก็จะมีจุดอ่อนถึงตายถ้าศัตรูล่วงรู้ แล้วท่านทั้งหลายได้พิจารณาดูหรือไม่ว่า จุดอ่อนของตนเองอยู่ตรงไหน ? ถึงได้โดนกิเลสโจมตีอยู่ทุกวัน

"คนดีชอบแก้ไข คนจัญไรชอบแก้ตัว" ถ้าท่านพิจารณาเห็นจุดอ่อนของตนเองแล้ว ก็ใช้ปัญญาแก้ไขตามแนว ทาน ศีล ภาวนา ก็จะช่วยกำจัดจุดอ่อนของตนเองให้น้อยลงไปได้เรื่อย ๆ จนท้ายที่สุดก็ไม่มีจุดอ่อนให้กิเลสโจมตีได้อีก เราก็สามารถที่จะล่วงพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดให้ลำบากอยู่ในวัฏสงสารไปอีกนานแสนนาน"

เถรี 05-04-2020 13:23

1 Attachment(s)


"ภาพที่เห็นข้างบนเป็นภาพยุคสงครามโลกครั้งที่ ๒ ทหารกำลังแบกลาเดินผ่านทุ่งที่เต็มไปด้วยกับระเบิด ทหารที่แบกลาอยู่ไม่ได้รักลาตัวนั้นเป็นพิเศษ แต่เป็นเพราะว่ากลัวลาจะวิ่งเพ่นพ่านไปทำให้กับระเบิดทำงาน แล้วทุกคนจะเดือดร้อนถึงตาย

เรื่องนี้สอนให้เรารู้ว่า ในยามวิกฤตเราต้องระมัดระวังคนที่ไม่รู้ไม่เข้าใจ แล้วยังทำอวดฉลาด ทำอะไรตามอำเภอใจ ซึ่งอาจก่อให้เกิดภัยใหญ่หลวงตามมาในคนหมู่มาก


แต่น่าเสียดาย ความเป็นจริงก็คือเรามีจำนวนลามากกว่าจำนวนทหาร การแก้ปัญหาเรื่อง covid-๑๙ จึงอาจต้องใช้เวลาที่ยาวนานกว่าที่ควรจะเป็น

เราทุกคนต้องพยายามเปลี่ยนลาเหล่านั้นให้เป็นทหาร และไม่ทำตัวเองเป็นลา ต้องพยายามให้การศึกษาแก่คนที่ไม่รู้ เปลี่ยนทัศนคติพวกเขา วิกฤตจะผ่านไปได้ ถ้าเราทุกคนร่วมมือกันแก้ปัญหา"

เถรี 05-04-2020 20:01

พระอาจารย์กล่าวว่า "สิ้นเดือนมีนาคมก็ต้องจัดการทำสารพัดบัญชีให้เรียบร้อย แล้วก็เริ่มลงบัญชีของเดือนเมษายน ๒๕๖๓ พอเห็นตัวเลขเงินสังฆทาน ๑,๖๐๐ บาท ก็หัวเราะอยู่ในใจ..! จากระดับหลายแสนลงมาเหลือแค่ระดับเงินพัน ถ้าเป็นคนอื่นเขาจะรู้สึกอย่างไรหนอ ?

แต่สำหรับอาตมานั้นเงินน้อยย่อมดีกว่าเงินมาก เพราะว่าเงินน้อยก็ไม่ต้องลงมือทำอะไร ถ้าเห็นเงินมาก ๆ เมื่อไรรู้ชะตากรรมเลยว่างานกำลังจะมา จะว่าไปแล้วอาตมาค่อนข้างจะเป็นคนกลัวเงินเสียด้วยซ้ำไป เรื่องนี้ก็มีสาเหตุและที่มาที่ไปเช่นกัน"

เถรี 05-04-2020 20:06

"ประการแรก...ตั้งแต่สมัยดูแลศาลาหลวงพ่อ ๔ พระองค์ที่วัดท่าซุง ช่วงนั้นมีลูกมืออยู่ ๒ ท่าน คือ พระสมปอง สุธมฺมสนฺตจิตโต และ พระชาติชาย สุธมฺมธนปาโล เมื่อเลิกงานทั้ง ๓ รูปก็ช่วยกันโกยเงินเหรียญออกจากตู้ทำบุญ แล้วแยกออกเป็นถัง ๆ ว่าแต่ละตู้ทำบุญรายการอะไรบ้าง จากนั้นก็เริ่มลงมือนับกัน เพื่อที่จะได้นำส่งให้คุณครูนนทา อนันตวงษ์ โดยเร็วที่สุด

ท่านสมปองและท่านชาติชาย นับได้ ๒ ถุง ถุงละร้อยเหรียญก็วางมือ บอกว่ามีธุระ แล้วขอตัวหายไปเลย ส่วนอาตมามีนิสัยดังในพระบาลีที่ว่า อนากุลา จ กมฺมนฺตา การทำงานต้องไม่คั่งค้างถึงจะเป็นมงคล จึงต้องนั่งนับเหรียญไปคนเดียว

สรุปว่าวันนั้นนับเหรียญไปจนถึงตีสองกว่าถึงจะเสร็จเรียบร้อย บรรจุลงกระสอบใส่เงินของธนาคาร กระสอบละ ๔,๐๐๐ เหรียญ เป็นจำนวนถึง ๓๗๐ กว่ากระสอบ รู้สึกปวดเหมือนหลังแทบจะขาด..!

ตั้งแต่นั้นมาก็เข็ดกับเงิน ใจหมดอยากในตัวเงินโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าจะมากจะน้อยเท่าไรก็ไม่เอาอีกแล้ว เห็นทุกข์เห็นโทษของการมีเงินจริง ๆ ต้องบอกว่าบรรลุนิพพิทาญาณพร้อมด้วยสังขารุเปกขาญาณระดับสูงสุด จากการนับเงินครั้งนั้นนั่นเอง
..! "

เถรี 05-04-2020 20:22

"ประการที่ ๒ หลังจากออกจากวัดท่าซุงมาแล้ว เริ่มมาก่อสร้างสำนักสงฆ์เกาะพระฤๅษี แล้วตามมาด้วยวัดอื่นอีกมากมายหลายวัด เมื่อสังเกตดูจะรู้ว่า ถ้าช่วงไหนเงินมามาก แปลว่างานใหญ่กำลังรออยู่ เตรียมตัวเหนื่อยได้เลย

ในเมื่อเป็นเช่นนั้นจึงทำให้กลายเป็นคนไม่สนใจเงิน เพราะว่ารับมาก็ไม่ใช่ของตัวเอง ซ้ำยังต้องเหนื่อยยากในการก่อสร้างอีกด้วย เมื่อมาเห็นบัญชีเงินหลักพัน ก็ได้แต่ยิ้มอยู่ในใจว่า หลังจากเหนื่อยมา ๒๘ ปีเต็ม เพิ่งจะได้ "หยุดเทอม" กับเขาบ้าง ได้แต่หวังว่าอย่า "เปิดเทอม" เร็วนักก็แล้วกัน..!"

เถรี 06-04-2020 06:05

บันทึกไว้เป็นประสบการณ์ : ตำราการใช้แมลงภู่คำกล่าวไว้ว่า เมื่อท่านพกแมลงภู่คำติดตัว จะพบกับแมลงภู่ตัวเป็น ๆ มาบินวนอยู่ใกล้ ๆ บ่อย ๆ หรือพบซากแมลงภู่ตายอยู่ในบริเวณที่อยู่ของท่าน ซึ่งจากที่ผ่านมาก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ

แต่ที่ขอบันทึกเอาไว้ตรงนี้ก็เพราะว่ามีความต่างอย่างมากเกิดขึ้น คือ วันแรกที่นำแมลงภู่คำลงแช่น้ำมัน
ผสมน้ำมันชาตรี ฝูงผึ้งจำนวนมหาศาลไม่ทราบว่าแห่มาจากที่ไหน มาบินตอมไฟจนหมดแรงตกลงเกลื่อนพื้น เรื่องนี้อาจจะถือว่าบังเอิญก็ได้

แต่ว่าที่กุฏิเรือนไทยซึ่งเป็นสำนักงานเจ้าอาวาส มีแมลงวันตัวลายขนาดใหญ่ บินเข้ามาหลายตัว โดยไม่ทราบว่าเข้ามาช่องทางไหน เพราะว่ามีมุ้งลวดครบถ้วนและสมบูรณ์ดี

ทันทีที่จับไปปล่อยด้านนอกกุฏิ ไม่ถึง ๑๐ วินาทีก็มาปรากฏตัวใหม่อยู่ข้างใน เหมือนกับว่าสามารถบินทะลุกระจกหรือว่าบินทะลุมุ้งลวดเข้ามาในทันทีทันใด ทำเอาวันแรกหมดไปด้วยการไล่จับแมลงวัน และสำรวจดูว่ามีช่องทางใดที่แมลงวันเข้ามาได้บ้าง

เถรี 06-04-2020 06:07

วันที่ ๒ ยังคงไล่จับแมลงวันกันเป็นปกติ ทันทีที่เอาไปปล่อยออกข้างนอก ก็จะเข้ามาปรากฏตัวใหม่อยู่ในกุฏิเสมอ และเป็นแมลงวันตัวลายขนาดใหญ่เท่านั้น

จนกระทั่งอาตมาปรารภว่า "สงสัยว่าพญาแมลงภู่คำจะต้องมีบริวารคอยรับใช้ ก็เลยทำให้แมลงวันพวกนี้โดนดึงเข้ามาในกุฏิ" โดยเฉพาะว่ามาตอมหัวตอมหูอาตมาอยู่คนเดียว น้องเล็กที่นั่งทำงานอยู่ไม่ไกลไม่โดนตอมเลย

เรื่องมาชัดเจนตอนที่น้องเล็กไล่จับแมลงวันจนฉิว แล้วเอ่ยเสียงดุขึ้นมาว่า "พี่ภู่..ไล่จับแมลงวันไม่สนุกเลย ถ้ายังขืนเป็นแบบนี้อีกจะไม่ให้อนุโมทนาบุญแล้วนะ..!" ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ไม่ว่าจะจับเอาไปปล่อยกี่ตัวก็หายวับไปกับตา ไม่มีมาปรากฏด้านในกุฏิอีกเลย..!

เถรี 06-04-2020 06:08

ที่แน่ ๆ คือเจ้า ๒ ตัว ท่านทำไม่รู้ไม่ชี้ ไม่บอกไม่กล่าวอะไรทั้งนั้น จนกระทั่งถามว่าทำไมแมลงวันถึงตอมอาตมาอยู่คนเดียว ? ตูก็อาบน้ำแล้วนี่หว่า..! ถึงมีเสียงตอบกลับมาว่า "ก็ท่านพกอะไรติดตัวอยู่ล่ะ ?"

อาตมาจึงนึกได้ว่าในกระเป๋าอังสะ มี "เจ้าเผือกน้อย" ติดอยู่ด้วยเสมอ แม้แต่ไปต่างประเทศก็ติดไปด้วย เพราะว่าสามารถผ่านเครื่องเอ๊กซเรย์ได้ทุกแห่ง จึงขอบันทึกเหตุการณ์นี้เอาไว้เป็นประสบการณ์ เผื่อว่าใครพบเหตุการณ์อย่างเดียวกันแล้ว จะได้ไม่ต้องเสียเวลามาสงสัย สามารถฟันธงได้เลยว่า เป็นฝีมือของพญาแมลงภู่คำอย่างแน่นอนที่สุด

ปกติแล้วจากข้อแนะนำก็คือ นาน ๆ ครั้งให้เอาพญาแมลงภู่คำลงแช่ในน้ำผึ้ง หรือหาดอกไม้สดใส่ขันใส่ถาด แล้วเอาพญาแมลงภู่คำวางลงไป เป็นการให้รางวัลที่ช่วยดูแลรักษาบ้านเรือนและผู้คนมานาน ส่วนที่ต้องระวังก็คือ ถ้า "เลี้ยง" อิ่มจนเกินไปแบบที่อาตมาทำ ก็อาจจะออกอาการ Hyper Active แบบที่อาตมาและน้องเล็กเจอมาด้วยตนเองใน ๒ วันที่ผ่านมา

เถรี 06-04-2020 07:40

2 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1586133516

แมลงวันลายหน้าตาแบบนี้


http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1586133516

พญาแมลงภู่คํากับ "เจ้าเผือกน้อย"

เถรี 06-04-2020 18:21

พระอาจารย์เล่าว่า "ทางจุดตรวจเพื่อเฝ้าระวังป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัส covid-๑๙ บ้านทุ่งเสือโทน หมู่ที่ ๔ ตำบลชะแล ขอสนับสนุนหน้ากากอนามัย แอลกอฮอล์ล้างมือ และอาหารแห้งสำหรับชุดเฝ้าระวัง โดยบอกว่าจะออกมารับด้วยตนเอง แต่ผ่านไป ๒ วันแล้วไม่มีใครออกมารับที่วัดท่าขนุน

มีความเป็นไปได้ว่า "ท้อทางไกล" ถ้าใครไม่เคยไปบ้านทุ่งเสือโทน หรือที่ตามภาษากะเหรี่ยงเรียกว่า บ้านคลีตี้ จะไม่รู้หรอกว่าไกลแค่ไหน คนที่จะเข้าไปต้องทำใจบุกป่าฝ่าดงไป เป็นระยะทางประมาณ ๘๐ กิโลเมตร ถ้าเป็นหน้าฝนต่อให้เป็นรถขับเคลื่อน ๔ ล้อก็ต้องทั้งขุดทั้งเข็น..!

จนมีเรื่องตลกเล่ากันว่า นักผจญภัยชาวเมืองนำรถขับเคลื่อน ๔ ล้อบุกเข้าไป เจอพี่น้องกะเหรี่ยงกำลังเดินกลับบ้าน ก็ชวนให้ขึ้นรถไปด้วยกัน พี่น้องกะเหรี่ยงตอบกลับมาว่า "ไม่ละ..เรากำลังรีบ" แปลว่าถ้าไปกับคุณต้องทั้งขุดทั้งเข็นรถ เดินเอาเองไปได้เร็วกว่า..!"

เถรี 06-04-2020 18:22

"ในเมื่อเป็นเช่นนั้น อาตมาเกรงว่า ถ้าช้าแล้วชุดเฝ้าระวังจะต้องเดือดร้อน จึงได้นำเอาสิ่งของทั้งหลายขึ้น "น้องแก้ว" แล้วให้น้องเล็กขับกระเด็นกระดอนไปตามถนน เขย่าจนตับไตไส้พุงเคลื่อนไปคนละทิศคนละทาง ประมาณว่าถ้าติดไวรัส covid-๑๙ ก็คงเขย่าจนไวรัสกระเด็นตกรถไปหมดแล้ว..!

ระยะทางแค่ ๘๐ กิโลเมตร ใช้เวลาเขย่าไปเกือบ ๒ ชั่วโมงจนถึงจุดหมาย ตอนแรกคิดว่าชุดเฝ้าระวังจะตั้งอยู่ตรงสามแยกเขาพระอินทร์ ปรากฏว่าไปตั้งอยู่ตรงหน่วยพิทักษ์ป่าลำคลองงู (๒) ซึ่งอยู่ที่หน้าหมู่บ้านทุ่งเสือโทนเลย

เมื่อให้เขาตรวจวัดอุณหภูมิและกระทำตามวิธีการเฝ้าระวังแล้ว อาตมาก็นำสิ่งของที่เขาร้องขอมามอบให้แก่ชุดเฝ้าระวัง ซึ่งมีทั้งเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่า และเจ้าหน้าที่อาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน จากนั้นก็นั่งให้รถเขย่าจนตับไตไส้พุงคลอนกลับออกมาอีกครั้งหนึ่ง"

เถรี 06-04-2020 18:24

"การที่จะเดินทางเข้าไปยังบ้านทุ่งเสือโทนนั้น เมื่อวิ่งจากทองผาภูมิตรงขึ้นไปตามเส้นทางหมายเลข ๓๒๓ ซึ่งมุ่งไปสู่อำเภอสังขละบุรี ไปได้ประมาณ ๓๔ กิโลเมตร ก็เลี้ยวขวาเข้าตรงที่ชาวบ้านเรียกกันว่า "สามแยกพุทโธ" วิ่งผ่านวัดพุทโธภาวนาตรงเข้าไป จนถึงบ้านกะเหรี่ยงทิพุเย (หมู่ที่ ๓) ก็เลี้ยวขวามุ่งตรงไปยังบ้านทุ่งนางครวญ (หมู่ที่ ๖) ซึ่งเป็นหมู่บ้านชาวไทยอีสาน ต่อมามีชาวม้งมาอาศัยอยู่ท้ายหมู่บ้าน จนปัจจุบันมีพี่น้องม้งถึง ๒๙ ครอบครัวแล้ว

จากนั้นก็วิ่งยาวไปจนถึงหมู่บ้านห้วยเสือ (หมู่ที่ ๑) เลี้ยวขวาวิ่งไปจนถึงท้ายหมู่บ้าน ก็เลี้ยวซ้ายมุ่งตรงเข้าป่าเข้าดงไป จนถึงสามแยกเขาพระอินทร์ ถ้าเลี้ยวขวาก็จะเป็นหมู่บ้านภูเตย (หมู่ที่ ๕) แต่ให้เราเลี้ยวซ้าย บุกป่าฝ่าเหวตรงไปยังบ้านทุ่งเสือโทน (หมู่ที่ ๔) ซึ่งกว่าจะไปถึงถ้าเป็นคนท้องแก่ก็อาจจะคลอดพอดี..!

หนทางทั้งไกลและหฤโหด ถ้ามัวแต่รอเขาออกมารับของเองก็อาจจะอีกนาน อาตมาจึงตัดสินใจนำของเข้าไปส่งเอง สมัยธุดงค์แถวนี้อาตมาเดินจนพรุนไปหมดแล้ว เมื่อมาด้วยรถยนต์ก็แค่เหนื่อยกว่าเพราะว่าโดนรถเขย่าเอาเท่านั้น"

เถรี 06-04-2020 18:25

"ตำบลชะแลนั้นมีขนาดใหญ่มาก ต้องนับจากทองผาภูมิก่อน ว่าอำเภอทองผาภูมินั้นมีพื้นที่ใหญ่เท่ากับสมุทรสาคร สมุทรสงคราม และสมุทรปราการ ๓ จังหวัดรวมกัน แล้วตำบลชะแลนั้นใหญ่ประมาณครึ่งอำเภอ..!

สมัยที่อาตมาเป็นเจ้าคณะตำบลชะแล เขต ๒ วิ่งเข้าไปเพื่อตรวจการคณะสงฆ์ เจอหลวงปู่ไกโพ่เป็นเจ้าอาวาสวัดทุ่งเสือโทน หรือชื่อเรียกเป็นทางการว่า วัดคลีตี้ผลธรรมาราม หลวงปู่บอกว่าเป็นเจ้าอาวาสมา ๒๗ ปีแล้ว เพิ่งจะได้เห็นหน้าเจ้าคณะตำบลก็วันนี้เอง..!

พื้นที่ตำบลชะแล เขต ๒ เกือบทั้งหมด เป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรตะวันตก อุทยานแห่งชาติเขื่อนศรีนครินทร์ และอุทยานแห่งชาติลำคลองงู บรรดาหมู่บ้านต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้วข้างต้น โดนล้อมเป็นไข่แดงอยู่ท่ามกลางอุทยานและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เพราะว่าชาวบ้านอยู่กันมาก่อน แล้วทางราชการค่อยมาประกาศเขตทีหลัง"

เถรี 06-04-2020 18:28

"ในเมื่อเป็นเช่นนั้น จึงไม่สามารถที่จะนำไฟฟ้าเข้า ไม่สามารถที่จะมีเสาสัญญาณโทรศัพท์มือถือ การติดต่อกับทางคณะสงฆ์ต้องส่งเอกสารอย่างเดียว เมื่ออาตมาวิ่งส่งเอกสารตั้งแต่วัดแรกจนถึงวัดสุดท้าย เคยวัดระยะทางได้ ๑๔๒ กิโลเมตร..! ซึ่งอาตมาวิ่งเข้าไปทุกอาทิตย์ แปลว่าภายใน ๗ วันเจ้าอาวาสต้องได้เห็นหน้าเจ้าคณะตำบลครั้งหนึ่ง เมื่อย้ายมาเป็นเจ้าคณะตำบลท่าขนุน เขต ๒ เหตุการณ์ก็กลับไปเหมือนเดิมก็คือ นานทีปีหนถึงจะได้เจอหน้าเจ้าคณะตำบลสักครั้งหนึ่ง

ญาติโยมทั้งหลาย การทำงานทุกอย่างนั้นถ้าประกอบด้วยอิทธิบาท ๔ ผลงานก็จะออกมาดีและประสบความสำเร็จ เพราะว่าเราเต็มอกเต็มใจที่จะทำงานนั้น มีความพากเพียรพยายามทุ่มเทอย่างเต็มที่ กำลังใจจดจ่ออยู่กับงานโดยไม่ท้อถอย และทบทวนอยู่เสมอว่างานออกมาดีหรือไม่ดีอย่างที่ใจเราคิดไว้ แล้วพยายามแก้ไขให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป"

เถรี 06-04-2020 18:29

"สมัยอาตมาเริ่มเป็นหนุ่ม มีเพลงเขาร้องว่า "ภูเขาจะกั้นขวางหน้า แดดกล้าจะร้อนเพียงใด พี่จะไปหาเธอจนได้ เป็นตายก็จะไปหานาง" แสดงว่าพ่อหนุ่มในเนื้อเพลงนั้น ประกอบด้วยอิทธิบาท ๔ อย่างเปี่ยมล้น ทุ่มเททุกอย่างเพื่อจะได้ไปหาสาวอันเป็นที่รัก ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นก็เชื่อได้ว่าต้องประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน

ถ้าท่านทั้งหลายต้องการกระทำงานสิ่งหนึ่งประการใดให้ประสบความสำเร็จ ต้องทุ่มเทด้วยตนเอง อย่าหวังพึ่งพิงคนอื่น เพราะว่าคนอื่นไม่มีสำนึกในความเป็นเจ้าของ สักแต่ว่าทำงานให้ได้วัน ไม่ได้คิดจะทำงานให้ได้งาน ถ้าเราไว้วางใจคนอื่น กิจการงานของเราอาจจะถึงกับล้มละลายได้ การทำงานทุกอย่างจึงต้องเป็นไปตามหลักอิทธิบาท ๔ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น จึงจะประสบความสำเร็จได้ดั่งใจหวังทุกประการ"

เถรี 07-04-2020 04:25

พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมา สิ่งแรกเลยก็คือนึกถึงพระและลมหายใจเข้าออก เมื่อภาพพระและสมาธิทรงตัวแล้ว ก็เริ่มภาวนาคาถาต่าง ๆ ตามความเคยชินที่ฝึกฝนมา เช่น อิติปิโสฯ ๓ ห้อง พระคาถาชินบัญชร เป็นต้น

สมัยที่ยังเป็นวัยรุ่น ศึกษาตัวบทพระคาถาต่าง ๆ จากครูบาอาจารย์ โดยเฉพาะหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง เอาไว้มาก สิ่งที่หลวงพ่อท่านสอนและจดจำขึ้นใจก็คือ เมื่อจะเปลี่ยนคาถาใหม่ ต้องทบทวนคาถาเก่าให้คล่องตัวเสียก่อน คำว่า คล่องตัว ในที่นี้ก็คือ เมื่อกำหนดใจภาวนาแล้ว ต้องเกิดผลตามคาถานั้น ๆ

จึงต้องมีการภาวนาทบทวนพระคาถาแต่ละบท เมื่อมีมาก ๆ เข้า ก็ต้องจัดเป็นชุดการภาวนาเฉพาะของตนเอง เช่น การเริ่มต้นด้วย อิติปิโสฯ ๓ ห้อง ๓ จบ พระคาถาชินบัญชร ๗ จบ พระคาถาบารมี ๓๐ ทัศ ๑๐ จบ เป็นต้น

ทำให้กำหนดเวลาได้คร่าว ๆ ว่า ในช่วงนี้ของวันเราภาวนาไปถึงพระคาถาไหนแล้ว ถ้าหากว่าหลงลืมก็สามารถนึกได้ว่า ในระยะเวลานี้เราจะภาวนาถึงพระคาถาบทนี้ ถ้าภาวนาไปแล้วกี่จบ เกิดหลงลืมจำไม่ได้ ก็จะขึ้นต้นใหม่ที่จบแรกเสมอ เมื่อโดนบ่อย ๆ เข้าก็เข็ด ต้องเอาสติเข้าไปกำหนดจดจำ ไม่อย่างนั้นแล้วถ้าต้องเริ่มต้นใหม่อยู่เรื่อย ก็จะเหนื่อยมาก"


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:27


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว