![]() |
"ตอนที่หน้าที่การงานยังไม่รัดตัวมาก รีบเรียนให้มากเข้าไว้ พอการงานมาถึง คราวนี้จะไม่มีเวลาเรียน คนเก่าพอรู้งานจะใช้งานได้ก็กลายเป็นเจ้าอาวาสหมด ส่วนครึ่ง ๆ กลาง ๆ พอทำงานเป็นก็ไปเรียนกันหมด สรุปก็คือผมต้องหัดพระใหม่อยู่ทุกปี เพราะฉะนั้น..ไม่ต้องเกรงใจผม เชิญไปให้หมดได้เลย ไหน ๆ ก็ต้องหัดใหม่อยู่บ่อย ๆ แล้ว จะหัดคนสองคนหรือหัดทั้งหมดก็เท่ากัน"
|
ถาม : มีคนบอกให้หนูไปลาพุทธภูมิ หนูต้องไปลาที่ห้องพระไหม หรือที่วัดท่าซุง ?
ตอบ : ลาที่ไหนก็ได้ต่อหน้าพระพุทธรูป เอาบัวขาว ๕ ดอก เทียน ๕ เล่ม ธูป ๕ ดอกไปด้วย ถึงเวลาจุดบูชาแล้วถวายดอกบัว ตั้งใจว่า ‘ข้าพเจ้าเคยปรารถนาพระโพธิญาณมาในชาติหนึ่งชาติใดก็ตาม บัดนี้ขอถอนซึ่งความปรารถนาอันนั้น จะขอปฏิบัติตามพระธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน เพื่อบรรลุพระนิพพานในชาตินี้’ ธูปเทียนก็จุดบูชาไป เลิกงานแล้วดับด้วยนะ เผาบ้านมาเยอะแล้ว..! อาตมาไปงานข้างนอกโดยเฉพาะสวดศพกลางคืน ทั้ง ๆ ที่ตัวเองเป็นคนเทศน์เป็นคนสวด พอเลิกงานก็ดับเทียนทันที บางทีเจ้าภาพก็งง ๆ ต้องบอกเขาว่าอาตมาเข็ด เพราะว่าเคยโดนเผาโบสถ์มาแล้ว ยังดีที่ดับได้ทัน ไหม้แค่พรมเท่านั้น |
ถาม : ผมจะเปิดโรงเรียน ขอเมตตาให้ช่วยตั้งชื่อโรงเรียนครับ ?
ตอบ : ตั้งเองตามใจชอบนั่นแหละ ถ้าอาตมาตั้งจะยุ่ง แบบเดียวกับที่ไปให้พระตั้งชื่อร้านเสริมสวย พระท่านตั้งชื่อร้าน ‘นะโม’ โยมก็ตะขิดตะขวงใจ บอกชื่อนะโมจะไม่ดีเกินไปหรือ ? ท่านบอกว่าไม่ใช่หรอกเพราะ ‘นะโม’ ต่อด้วย ‘ตัสสะ’ ประมาณว่าจะ ‘ตัดสระซอยเซ็ต’ ไปเลยดีไหม ? |
สนทนากับโยม "อายุ ๗๔ เท่าทุนแล้ว อยู่ต่อที่เหลือเป็นกำไรล้วน ๆ อรรถกถาจารย์บอกว่าสมัยพระพุทธเจ้า อายุขัยของคน ๑๐๐ ปี พอผ่านไป ๑๐๐ ปีอายุจะลดลง ๑ ปี ตอนนี้ผ่านไป ๒,๖๐๐ ปี ก็เหลือ ๗๔ ปี ของโยมแปลว่าเท่าทุนแล้ว ที่เหลือก็คือกำไร
ส่วนอาตมาเองกำไรเยอะมาก ทำปาณาติบาตไว้ทุกชาติ เกิดมาอายุสั้นพลันตาย ชาตินี้หมดอายุตั้งแต่ ๒๗ อาตมาเลยไม่ค่อยได้กังวลกับชีวิต เพราะว่าเท่ากับตายไปแล้ว ที่อยู่มาจนถึงตอนนี้ก็เท่ากับต่อวีซ่า อยู่ได้วันหนึ่งก็กำไรวันหนึ่ง จึงต้องทุ่มเททำหน้าที่การงานให้เต็มที่ ทำให้คุ้มกับที่ท่านให้อยู่" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ส่วนใหญ่เด็ก ๆ ชอบอยู่กับคนแก่ เพราะว่าปู่ย่าตายายมักจะเอาใจ พ่อแม่มักจะขัดใจลูกอยู่เรื่อย วันก่อนเจ้านัทธมนไปเขียนใบสมัครบวช พอถึงเวลาบุคคลที่ติดต่อได้ เขาลงชื่อ ระบุเป็น ‘ป้าสาว’ ก็เลยบอกว่า..จำไว้นะลูก ป้าชายไม่มี คำว่าป้า คำว่าลุง บอกเพศสภาพชัดเจนแล้ว ไม่ต้องไปลุงหนุ่มป้าสาวอะไรหรอก ถ้าเป็นน้า เป็นอา ยังมีน้าสาว น้าชาย อาหญิง อาชาย ถ้าเป็นลุงเป็นป้านี่ไม่ต้อง
เป็นปู่เป็นย่าก็ชัดเจน เป็นตาเป็นยายก็ชัดเจน ที่ไม่ชัดเจนก็คือน้า...น้องแม่ คราวนี้น้องแม่มีทั้งผู้หญิงผู้ชาย ก็ต้องระบุว่าน้าชายน้าสาว พอถึงเวลาก็อา...น้องพ่อ น้องพ่อก็มีทั้งผู้หญิงผู้ชาย สมัยอาตมาเด็ก ๆ คำว่า อา ไม่มี คำว่าอาตรง ๆ เพิ่งใช้ไม่นานเอง สมัยก่อนเขาใช้ ‘อาว์’ กัน ออกเสียงเหมือนมี ว.แหวนสะกด เด็กรุ่นหลังออกเสียงไม่ได้" |
"ภาษาเก่า ๆ ทำเอาเด็กรุ่นใหม่อ่านไม่ค่อยจะถูก
อันใดย้ำแก้มแม่............หมองหมาย ยุงเหลือบฤๅริ้นพราย........ลอบกล้ำ ผิวชนแต่จักกราย............ยังยาก ใครจักอาจให้ช้ำ.............ชอกเนื้อ เรียมสงวน ผิ-วะ / ผิ-ว่า ก็แปลประมาณว่า ถ้าหาก แต่คราวนี้เขาเขียนแล้วเป็น ผิว เด็กรุ่นหลังอ่านเป็นผิว ผิ-วะ ในที่นี้แปลว่า แม้แต่ ถ้าหาก ต้องดูบริบทก็คือรูปประโยคว่าใช้อะไรจะได้แปลถูก" |
ถาม : บางทีแปลหนังสือบาลีไป ปีติจะขึ้นตาม เหมือนจะร้องไห้ออกมา ?
ตอบ : ธรรมดา หลวงปู่อ่ำ(พระราชกวี วัดโสมนัสวรวิหาร) แปลตอนช้างปาลิไลยกะตามพระพุทธเจ้าออกจากป่ามา พระพุทธเจ้าตรัสว่า ปาลิไลยกะ...ตรงนี้เป็นเขตแดนมนุษย์ ไม่สมควรแก่เธอ เธอจงกลับไปเถิด ช้างปาลิไลยกะยืนร้องไห้น้ำตาไหล หลวงปู่ท่านก็น้ำตาไหลไปด้วย บางอย่างเป็นภาษาใจ ขนาดบาลียังเอาชัดไม่ได้ ถ้าเราปฏิบัติธรรมมาก่อนแล้วเราจะแปลได้ลึกกว่า แต่ถ้าลึกเกินไปอาจารย์เขาก็ไม่เอาด้วย เพราะฉะนั้น..เอาแค่ประมาณที่อาจารย์เขาต้องการ ถาม : อย่างบางเรื่องน่าโมโห เราก็โมโหตามละครับ ? ตอบ : ต้องทำตัวเป็นคนดู นั่นเราโดดไปเป็นคนเล่น เสียท่าเขาไปแล้ว |
เรื่องของความชั่วร้ายในการแย่งชิงอำนาจมีทุกยุคทุกสมัย คนดี ๆ ตายมานับไม่ถ้วนแล้ว เอาแค่งักฮุย ภาษาจีนกลางเรียกว่าเย่เฟย พวกกิมยอมกลัวงักฮุยอยู่คนเดียว คราวนี้พวกมหาเสนาบดีรับสินบนไว้เยอะ ก็เกลี้ยกล่อมฮ่องเต้บอกว่างักฮุยอยู่แนวหน้า คนเคารพนับถือมาก มีชื่อเสียงมาก มีกำลังทหารมาก อาจจะกบฏชิงราชสมบัติได้ เพราะฉะนั้น..ให้เรียกกลับมา ถ้าเรียกกลับมาก็เอาทหารมาไม่ได้ มาได้แต่ตัว
ส่งป้ายทองไปเร่งรัด ๑๒ ครั้ง ท่านเองตอนแรกก็ถือว่าเป็นแม่ทัพอยู่แนวหน้า ไม่จำเป็นที่จะต้องรับคำสั่งจากเบื้องหลัง คราวนี้พอโดนหลาย ๆ ครั้งเข้าก็รู้ว่าเขาเอาเราแน่ จะช้าก็ตาย จะเร็วก็ตาย ท้ายสุดก็ต้องยอมกลับมา แล้วก็ตายจริง ๆ แต่กลายเป็นฝากชื่อไว้ในแผ่นดิน ส่วนฉิ่งไกว่ก็ฝากชื่อไว้ในแผ่นดินเหมือนกัน คนเกลียดทั้งประเทศ ถึงเวลาก็เอาแป้งทอดเป็นฉิ่งไกว่กับเมียกอดกัน โยนลงกระทะ ทอดเสร็จก็กินให้หายแค้น ดันกลายเป็นอาหารนิยม ‘ปาท่องโก๋’ แต้จิ๋วเขาเรียก ‘อิ่วจาก้วย’ ก็คือฉิ่งไกว่ทอดน้ำมัน |
จีนกลางก็เป็นโหยวฉิ่งไกว่ ตอนหลังเขาก็เลิกโกรธเลิกแค้น เปลี่ยนมาเป็นโหยวเถียว ถึงเวลาให้รู้ว่าที่มาที่ไปเป็นอย่างไร คนเกลียดถึงขนาดปั้นหุ่นทอดน้ำมันเลย กินให้หายแค้น คนดี ๆ ปกป้องประเทศชาติได้ดันเอาฆ่าทิ้ง..!
ฝ่ายตรงข้ามเห็นว่าไม่มีอะไรต้องเกรง ก็บุกเข้ามาถล่มเสียเละเทะไปทั้งประเทศ คนที่ไม่สมควรตายก็ตายไปเป็นแสนเป็นล้าน เพราะความเห็นแก่ตัวของคนแค่นิดเดียว ไม่ได้เห็นแก่ส่วนรวม ไปปลุกม็อบลงถนน เอ้ย...ไม่ใช่ ขอโทษ...พูดผิด ท่านประธานที่เคารพ ผมขออนุญาตแก้ไข เผลอสติไปหน่อย..! ฟังแล้วเครียด ขึ้นด้วยท่านประธานที่เคารพทุกครั้ง แต่ทุกอย่างที่แสดงออกไม่ได้เคารพท่านประธานเลย..! |
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา อาตมาลงไปภูเก็ต แล้วก็รับปากกับญาติโยมไว้ว่า ถ้าลงไปงวดนี้ก็จะไปสงเคราะห์ญาติโยมทางสตูลด้วย รับปากไปโดยที่ไม่รู้ว่าสตูลใกล้ไกลภูเก็ตแค่ไหน ด้วยความคิดว่าสตูลไม่ไกล เพราะว่าทุกครั้งที่ไปญาติโยมจากสตูลก็วิ่งมาหา
ปรากฏว่าเขาพาอาตมานั่งรถไป ๖ ชั่วโมงเต็ม ๆ ผ่านพังงา กระบี่ ตรัง แล้วถึงเข้าสตูล สรุปว่าวิ่งไปประมาณ ๔ จังหวัด ถามไปถามมาได้ความว่า จากทางด้านสตูลไปหาดใหญ่แค่ ๘๐ กว่ากิโลเมตร เลยบอกว่าคราวนี้รู้แล้ว ถึงเวลาไปหาดใหญ่แล้วให้แวะสตูล ไม่ใช่ไปภูเก็ตแล้วมาสตูล ด้วยความที่ญาติโยมมีศรัทธา ถึงเวลาอาตมาไปภูเก็ตพวกเขาก็วิ่งมา เห็นมาได้ทุกครั้ง อาตมาก็คิดว่าอยู่ใกล้ ใกล้มากเลย..นั่งรถแค่ ๖ ชั่วโมง..! แล้วเป็น ๖ ชั่วโมงที่เขาค่อนข้างจะทำความเร็วด้วย ไม่ได้คลานไป อาตมาได้รู้อีกว่าคนแถวนั้นเขาทำอะไรแปลก ๆ เขากินหมูย่างกับกาแฟ..! เคยได้ยินหมูย่างเมืองตรังไหม ? มีชื่อเสียงมากเลย แต่เขากินกับกาแฟ ในความคิดของอาตมาคือ หมูย่างต้องกินกับข้าว หรือไม่ก็ข้าวเหนียว อะไรที่ไม่เคยชินก็รู้สึกว่าแปลก แต่สำหรับพวกเขาแล้ว เขาทำจนเคยชินก็เลยไม่รู้สึกว่าแปลก" |
"ส่วนหลวงปู่เจ้าคุณอำนวยส่งฎีกามานิมนต์ให้ไปฉลองอายุ ๙๔ ปี แล้วก็ฉลองพัดยศเจ้าคุณวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๖๒ ที่ผ่านมา แต่ไปไม่ได้ เพราะว่าติดอยู่ ๓-๔ งานแล้ว เกรงใจท่านมาก เพราะว่างานของอาตมาท่านมาทุกครั้ง แต่พอถึงเวลางานของท่านอาตมากลับไปไม่ได้
ระยะหลังงานทางคณะสงฆ์มีมากขึ้น ๆ เพราะว่าผู้บังคับบัญชาไว้วางใจ ท่านก็มอบหมายงานให้เยอะขึ้นเรื่อย ๆ คงเห็นว่าอาตมาไม่บ่น ในเมื่อไม่บ่นก็แปลว่ายังไม่หนัก พอ ๆ กับที่ไม่ร้องก็คือไม่เจ็บ..! งานมากขึ้นจึงปลีกตัวไปไหนยาก กำหนดการบางอย่างก็ตายตัวอยู่ แบบเดียวกับการมารับสังฆทานที่นี่ ทางด้านโน้นก็มีงานผูกพัทธสีมาวัดหินดาดผาสุการาม อาตมาในฐานะรองเจ้าคณะอำเภอ เป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรงที่จะต้องไป ก็ต้องทิ้งงานท่านมาที่นี่แทน" |
"ไปภูเก็ตมีเรื่องที่น่าดีใจ ขณะเดียวกันก็มีเรื่องที่น่าตี เรื่องที่น่าตีก็คือ ญาติโยมบอกว่าพอเห็นหน้าพระอาจารย์แล้วค่อยมีกำลังใจในการปฏิบัติขึ้นมาหน่อยหนึ่ง น่าปล่อยให้ตาย..! สรุปว่าถ้าไม่เห็นหน้าก็ไม่คิดที่จะปฏิบัติกัน
ส่วนที่น่าดีใจก็คือเด็กนักเรียนมัธยมชั้น ม. ๔ ม. ๕ มากันเยอะมาก เพราะว่าไปภาวนาโดยเฉพาะคาถาท่านปู่พระอินทร์ ช่วยในการเรียนได้ดีมาก ก็เลยเกิดความเลื่อมใส คนที่ไม่เคยมาก็ขอให้เพื่อนพามา แต่ละคนล้วนแล้วแต่มีคำถามเกี่ยวกับหลักการปฏิบัติ ดูท่าว่าจะเป็นคนรุ่นใหม่ที่หวังความก้าวหน้า แต่คราวนี้ในช่วงชีวิตวัยรุ่น ถ้าเลี้ยวเข้าวัดก็ถือว่ามีภูมิคุ้มกันมากขึ้น โอกาสที่จะอยู่รอดปลอดภัยในสังคมก็มีมากขึ้น แต่ก็ไม่แน่..เพราะว่าบางท่านถึงเลี้ยวเข้ามาแล้ว ถึงเวลาก็ยังเลี้ยวออกไปอยู่ดี" |
"แล้วอีกอย่างหนึ่งก็คือฝรั่ง ฝรั่งเข้ามาปฏิบัติธรรมในเมืองไทยกันเยอะมาก แล้วบางทีพอเกิดปัญหาขึ้น สอบถามแล้วพระวิปัสสนาจารย์ไม่สามารถให้ความกระจ่างได้ ถึงเวลาก็ต้องรอว่าเมื่อไรพระอาจารย์จะโผล่ไป บางคนก็วีซ่าหมดกลับบ้านไปก่อน แต่เขาบอกว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวได้คำตอบแล้วส่งให้เพื่อนทาง Facebook ได้
คราวนี้ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมสำหรับฝรั่ง หรือแม้แต่คนไทยก็เถอะ ถ้าหากว่าแรกเริ่มปฏิบัติจะสายไหนก็ได้ เดี๋ยวพอนาน ๆ ไปก็จะรู้เองว่าอะไรที่เหมาะสมกับตน" |
พระอาจารย์กล่าวถึงวัตถุมงคล "อาตมาไม่ได้สร้างของพวกนี้ เพราะว่าบางอย่างทำให้เกิดส่วนของสัทธรรมปฏิรูปขึ้นมา ก็คือมีของที่แทรกเข้ามาในระหว่างธรรมะของพระพุทธเจ้า
อย่างที่เขาทำเป็นรูปพีระมิดบ้าง ทำเป็นอักษรรูน เคยได้ยินไหม ? ตัวคาถาอาคมสมัยดึกดำบรรพ์ของทางด้านโลกตะวันตก เรื่องพวกนี้เป็นของอิงศาสนา อิงความเชื่อ ถ้าเราไปทำ คนรุ่นหลังที่ไม่รู้ก็ไปคิดว่าเป็นของศาสนาพุทธ แล้วก็จะทำให้เกิดความสับสนปนเปกันขึ้นมา ศาสนาที่เรียกว่าแท้จริงของเรา ก็จะโดนหลักเกณฑ์หลักการอื่นแทรกเข้ามา แล้วก็จะทำให้สูญเสียความเป็นพุทธไปทีละน้อย จนกระทั่งท้ายสุดก็จะเหลือแต่เปลือก แต่ว่าส่วนเปลือกกลับเป็นส่วนที่บุคคลต้องการมากที่สุด เพราะว่าเข้าถึงง่ายที่สุด เพราะฉะนั้น..สิ่งที่เราทำก็อย่าให้ไปไกลศาสนามากจนต่อไม่ติด อย่างเช่นว่าถ้าเราสร้างพีระมิด ก็ควรที่จะเป็นในส่วนของพระรัตนตรัย พีระมิดเป็นสามเหลี่ยม อธิบายเข้าในส่วนของคุณพระรัตนตรัย ซึ่งเรื่องพวกนี้ต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจอย่างสูง ถึงจะพูดให้ชัดเจนได้" |
"แม้กระทั่งอาตมาสร้างตะกรุดพยัคฆราชเกราะเพชร ก็พยายามเอายันต์เกราะเพชรที่เป็นบทสรรเสริญคุณพระพุทธเจ้า คืออิติปิ โสฯ ใส่ลงไป จะได้ไม่ไปไกลเกิน คนที่มีจริตนิสัยชอบทางเครื่องรางของขลัง ก็จะได้มีของที่ตนเองชอบเอาไว้บูชา เอาไว้ติดตัวป้องกันอันตราย ในส่วนของพระพุทธศาสนา เราก็จะได้มีคุณพระรัตนตรัยแทรกเข้าไปด้วย"
|
พระอาจารย์เล่าว่า "ช่วงส่งท้ายปีเก่า ทางคณะผู้บริหารหนังสือพิมพ์ไทยรัฐมานิมนต์ บอกว่าคุณสราวุธ วัชรพลสร้างอาคารใหม่ น่าจะเป็นสำนักงานใหม่ จะนิมนต์อาตมาไปทำพิธีเปิดให้ ถามเขาว่ามีเวลาที่แน่นอนไหม ? เขาบอกว่าประมาณเดือนพฤษภาคม
ก็เลยแจ้งไปว่า ถ้าคุณประมาณนี่ไม่สามารถที่จะรับปากได้ว่าไปได้หรือเปล่า เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วอาตมารับงานข้ามปี ขนาดคนนิมนต์ข้ามปียังไม่ค่อยจะได้ตัวเลย ท้ายสุดทางคณะก็ตัดสินใจว่า เอาวันที่หลวงพ่อสะดวก เออ...ถ้าอย่างนี้มีโอกาสได้ แต่ว่าให้รีบแจ้งกำหนดการพร้อมสถานที่จะจัดงานมา แล้วอาตมาจะหาวันให้" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงนี้ทางรัฐบาลเน้นยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี โดยอาศัยทฤษฎีพลังบวรของในหลวงรัชกาลที่ ๙ สร้างความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืนให้กับชุมชน ซึ่งถ้าทุกชุมชนประสบความสำเร็จ ประเทศชาติก็จะเจริญรุ่งเรืองมาก
คำว่า บวร บ. มาจากบ้าน ก็คือทุกบ้านในชุมชน ว. คือวัด ร. คือโรงเรียนและหน่วยราชการทั้งหมด ต้องดำเนินงานร่วมกัน คราวนี้คณะรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีคำสั่งลงไปถึงระดับจังหวัด ให้ดำเนินงานตามโครงการบวรนี้ อาตมาเองก็เพิ่งกลับจากทำหน้าที่วิทยากร ไปบรรยายว่าทำอย่างไรถึงจะใช้พลังบวรในการสร้างชุมชนของเราให้ประสบความสำเร็จ โดยยกเอาชุมชนวัดท่าขนุนเป็นตัวอย่าง การที่ไปบรรยายครั้งนี้ต้องบอกว่าเป็นครั้งที่ผู้ฟังหลากหลายที่สุด เพราะว่ามีศาสนาอื่นด้วย เนื่องจากว่าคำว่า วัด ไม่ได้หมายถึงวัดอย่างเดียว ถ้าเป็นชุมชนอิสลามก็คือมัสยิด ถ้าเป็นชุมชนคริสต์คือโบสถ์คริสต์ ถ้าเป็นชุมชนชาวซิกซ์คือโบสถ์ซิกซ์ ถ้าเป็นชุมชนฮินดูก็คือเทวาลัย โดยใช้คำว่า วัด รวมความหมายทั้งหมดไว้ด้วยกัน" |
"คราวนี้ส่วนที่เห็น ส่วนราชการและโรงเรียน ก็คือพวกอำนวยการโรงเรียนและหัวหน้าส่วนราชการ ๕๐๐ คนไปกันเต็ม เพราะว่าเจ้านายสั่ง ถ้าผู้ว่าฯ สั่งไม่ไปนี่ตาย..! ชุมชนชาวคริสต์ ๕๐๐ ชุมชนอิสลาม ๕๐๐ มีแต่เกิน นั่งกันแน่นไม่มีที่จะหายใจ ส่วนพระเรานิมนต์เจ้าอาวาส ๕๐๐ รูป ทั้ง ๆ ที่จังหวัดกาญจนบุรีมีวัดเกือบ ๖๐๐ วัดสำนักสงฆ์อีก ๙๐ กว่าแห่ง แต่ไปไม่ถึง ๓๐๐ รูป เห็นชัดที่สุดว่าจุดบกพร่องของทฤษฎีบวรอยู่ที่วัด..!
เพราะว่าพระสงฆ์ไม่ได้เต็มใจที่จะทำหน้าที่เพื่อชุมชน เหตุที่กล้าฟันธงเช่นนั้นเพราะว่าเรื่องสำคัญขนาดนี้ยังไม่มา เอากิจนิมนต์เป็นใหญ่ รับนิมนต์แล้วได้เงิน ไปฟังวิธีบริหารโครงการบวรแล้วไม่ได้เงิน..! นี่อาตมาพูดได้เต็มปากเต็มคำเลย เพราะว่ารู้ซึ้งถึงสันดานพวกเดียวกันเอง เป็นโอกาสทองที่ดีที่สุดเพราะว่ารัฐบาลให้ความสำคัญ ให้วัดเราเป็นศูนย์กลางในการบริหารชุมชน แต่แทนที่จะรีบไปฟัง รีบไปรับนโยบาย รีบไปศึกษารูปแบบการบริหารจัดการ กลับไปกิจนิมนต์ ไปสวดมนต์ ไปฉันเพล ไปทำบุญบ้านโยม ไปงานเพื่อนพระนิมนต์ “เห็นแล้วน้ำตาจิไหล” |
"ส่วนพี่น้องคริสต์อิสลามไม่ต้องพูดถึง...ไปเกิน เพราะว่าท่านทั้งหลายเหล่านี้มีจิตสำนึกเพื่อส่วนรวมสูงมาก ไปแล้วแย่งกันนั่งข้างหน้า ส่วนพระเราไปก่อนนั่งข้างหลังสุด ต้องเคี่ยวเข็ญ ทั้งนิมนต์ ทั้งฉุด ทั้งกระชาก ถึงจะยอมไปนั่งข้างหน้า แปลว่าเราสู้เขาไม่ได้ตั้งแต่ในมุ้ง..!
ถามว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ? เพราะว่า สติ สมาธิ ปัญญา ของเราอ่อนมาก ทำให้ไม่กล้าคิด ไม่กล้าพูด ไม่กล้าทำ ไม่กล้าแสดงออก ขนาดวัดท่าขนุนของอาตมาทำวัตรเช้าเย็นวันละ ๓ รอบ อย่าคิดว่ามาก พี่น้องอิสลามละหมาดวันละ ๕ รอบ..! สรุปก็คือถ้าเราจะสร้างเสริมสมาธิของเราให้แน่น เพื่อที่จะเอาตรงนี้ไปสู้เขา เราก็ยังสู้ไม่ได้ เพราะว่าของเราทำวัตร ๓ รอบ ยังมากเกินไปในความรู้สึกของวัดอื่น ๆ อาตมาไปทองผาภูมิใหม่ ๆ เขาสวดมนต์ทำวัตรกันเฉพาะในช่วงเข้าพรรษา จนกระทั่งไปปรับปรุงแก้ไขแบบยัดเยียด แล้วปรากฏว่าประสบความสำเร็จ วัดอื่นก็ค่อย ๆ ลุกตามมา แล้วถ้าจะเอาความสามัคคี โดยนิสัยคนไทยเราก็ไม่ได้อย่างนั้น เราไม่ได้เป็นทาสคนอื่นมานานเกินไป เอาแค่เราไปพม่า จะมีชุมชนคนไทยโดนกวาดต้อนไปตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงเป็นพระราชกุมาร หลายแห่งพูดไทยไม่ได้แล้ว แต่สำนึกความเป็นไทยยังเต็มเปี่ยม เกาะกลุ่มอยู่ในชุมชนเหนียวแน่นมาก เพราะว่าไปอยู่ใจกลางบ้านศัตรู ถ้าไม่เหนียวแน่นรักใคร่กันไว้ เราก็อยู่ไม่รอด ดังนั้น...การที่เราว่างเว้นจากศึกเสือเหนือใต้ ตลอดจนกระทั่งการเป็นทาสคนอื่นเขามานาน บางทีทำให้จิตสำนึกความรักความสามัคคีกลมเกลียวนั้นน้อยลง ต้องบอกว่าสมควรที่จะเป็นทาสเขาอีกนาน ๆ จะได้เอาจิตสำนึกส่วนนี้กลับมา..!" |
"เราดูพี่น้องชาวกะเหรี่ยงกับชาวมอญ ชาวกะเหรี่ยงอยู่เมืองไทยมา ๒๐๐ - ๓๐๐ ปี ไม่รู้สึกว่าตัวเองเป็นกะเหรี่ยงแล้ว รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนไทย ความเหนียวแน่นก็เลยมีน้อย แต่พี่น้องมอญรู้สึกว่าเป็นคนต่างบ้านต่างเมือง เป็นคนแปลกหน้าที่มาอาศัยเมืองไทยอยู่ เขาต้องรักใคร่สามัคคีกัน ไม่อย่างนั้นเขาอาจจะอยู่ไม่ได้
ฉะนั้น..เราจะเห็นว่าชุมชนมอญอยู่ที่ไหนก็เกาะกลุ่มกันเหนียวแน่น มีงานที่ไหนก็แห่กันไปช่วย ถึงจะทำอะไรไม่ได้ ไปให้เห็นหน้ากันเป็นกำลังใจให้กันก็ยังดี ซึ่งตรงจุดนี้บ้านเราบกพร่องเยอะมาก" |
"ความสามัคคีที่เกิดขึ้นเพียงชั่วครั้งชั่วคราว เกิดจากการมีผลประโยชน์ร่วมกัน พอแบ่งผลประโยชน์ไม่ลงตัวก็จะแตกแยกกันอีก ไม่ต้องอื่นไกล...ดูรัฐบาลกับฝ่ายค้านเราก็เห็น ตรงจุดนี้เป็นจุดบกพร่องใหญ่ของคนไทยเรา แล้วโดยเฉพาะเป็นจุดบกพร่องใหญ่ของพระสงฆ์ระดับเจ้าอาวาส ซึ่งจะต้องรีบหาทางแก้ไขให้เร็วที่สุด ไม่อย่างนั้นเราไม่มีทางที่จะสู้ศาสนาอื่นได้เลย
คนไทยเราขาดภาวะผู้นำ พี่น้องคริสต์พี่น้องอิสลามไป เข้าไปช่วยกันเรียกร้องประโยชน์ให้กับกลุ่มของตนให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ แต่คนไทยของเราไปดูว่าตัวเองจะได้ประโยชน์ไหม ? ถ้าส่วนไหนได้ประโยชน์จะรับไว้ ถ้าส่วนไหนไม่ได้ประโยชน์ คนอื่นจะได้ จะช่วยกันเรียกร้องเพื่อให้ได้มากขึ้นก็ไม่มี ต่างคนต่างไป เวลามีปัญหาอะไรขึ้น พี่น้องอิสลามสุมหัวปรึกษากัน ส่วนคนไทยเราดูห่าง ๆ อย่างห่วง ๆ ถ้าไม่เกี่ยวกับกูก็ถ่ายคลิปเอาไว้อวดเขา ดูแล้วเห็นชัดเจนว่าพวกเราต้องอาศัยการเคี่ยวกรำจากสถานการณ์ ต้องไม่มีแผ่นดินจะอยู่แบบโรฮิงญาเมื่อไรถึงจะรักกัน..!" |
"บรรยายเสร็จถามว่าเข้าใจไหม ?...เงียบ มีอะไรสงสัยจะไต่ถามไหม ?...เงียบ ไม่เข้าใจใช่ไหม ?...เงียบ อาตมาเกือบจะถามไปแล้วว่า “มึงจะเอาอย่างไรกับกูวะ ?” อุตส่าห์เหลือเวลาให้ตั้งครึ่งชั่วโมง เผื่อว่าใครสงสัยข้องใจจะได้ไต่ถาม ปรากฏว่าไม่มีใครถามเลย
พี่น้องคริสต์อิสลามอาตมาไม่สงสัย เพราะมั่นใจว่าเขาเข้าใจแน่ เพราะว่าท่านทั้งหลายเหล่านี้ตั้งใจฟังมาก แต่เห็นพระไทยของเราถ่ายรูปส่ง LINE ตอบแชตกันให้ยุ่งไปหมด ก็เลยไม่ทราบว่าที่พูดไปนั้นเข้าถึงได้สักเท่าไร เพราะถ้าไม่เข้าใจ ไม่เข้าถึง ก็ไม่สามารถที่จะพัฒนาได้" |
"แต่คราวนี้ถ้ามาดูบริบทสังคมของพระในปัจจุบันก็น่าเห็นใจ ส่วนหนึ่งประมาณ ๓๐-๔๐% บวชเข้ามาเพื่อให้มีโอกาสได้เรียนมากขึ้น เพราะว่าอยู่กับบ้านโอกาสที่จะเรียนต่อไม่มี ต้องเป็นผู้ใช้แรงงานเท่านั้น ท่านทั้งหลายเหล่านี้ก็จะแสวงหาความก้าวหน้า มาบวชพระบวชเณรเพื่อให้ได้เรียนต่อ แล้วส่วนใหญ่จะขยันมาก เรียนจนจบเปรียญสูง ๆ จบปริญญากันมากมาย แต่ก็ยังเป็นส่วนน้อย
ส่วนใหญ่ประมาณ ๕๐-๖๐% อาจจะถึง ๗๐-๘๐% เป็นบุคคลที่สังคมข้างนอกไม่เอาแล้ว พ่อแม่ยัดเยียดมาให้บวช หวังว่าความประพฤติจะดีขึ้น ในเมื่อวัตถุดิบคุณภาพต่ำ ถ้าสร้างสินค้าคุณภาพสูงได้ก็อัศจรรย์มาก ส่วนใหญ่มาถึงก็ “หลวงพ่อเจ้าขา ลูกอีฉันเกเรเหลือเกิน ทั้งกินเหล้า ทั้งสูบบุหรี่ ทั้งติดยา ทั้งคบเพื่อนเลว หลวงพ่อช่วยอบรมสั่งสอนให้เป็นคนดีด้วยเถอะ” ถามว่าแล้วโยมจะให้ลูกบวชนานเท่าไร ? “เจ็ดวันเจ้าค่ะ” เออหนอ....มึงเลี้ยงลูกมาอย่างน้อยก็ ๒๐ ปีถึงจะบวชพระได้ อบรมลูกมา ๒๐ ปีเอาดีไม่ได้ ให้เวลาพระแค่ ๗ วัน อาตมาไม่ใช่ผู้วิเศษนี่หว่า จะได้เสกให้ลูกมึงให้บรรลุได้เลย..!" |
"คราวนี้ส่วนหนึ่งที่สังคมภายนอกเขาไม่เอา ที่กลับเนื้อกลับตัวเป็นเสือกลับใจ แล้วก็มาประสบความสำเร็จ กลายเป็นหลวงปู่หลวงพ่อครูบาอาจารย์ที่เราเคารพนับถือกัน แต่ก็เป็นส่วนน้อย ส่วนที่เหลือเอาตัวไม่ค่อยจะรอด ประคับประคองไม่ให้สร้างความเสียหายให้กับพระศาสนาก็ยากแล้ว จะไปหวังอะไรให้ท่านมาสร้างความเจริญให้กับพระศาสนาได้ ?
ดังนั้น...ในเมื่อวัตถุดิบของเราเกรดต่ำ จะเอาของเกรด C เกรด B มาผลิตให้เป็นสินค้าเกรด A จึงยากยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นภูเขา ไปนึกถึงที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อเจ้าคุณชัยวัฒน์ (หลวงพ่อพระเทพมหาเจติยาจารย์) เจ้าคณะจังหวัดนครปฐม ท่านถามว่า “อาจารย์เล็กไปคัดบุคลากรที่ไหนมาถึงได้เก่งขนาดนี้ เรียนก็เก่ง เทศน์ก็เป็น คุมปฏิบัติธรรมก็ได้ เป็นครูสอนก็เอา แถมให้ไปคุมกรรมฐานไม่เคยหนีเลย..อยู่ตลอด” เรื่องกรรมฐาน ถ้าเป็นที่อื่นมีโอกาสเขาหนีทันที ไม่อยากอยู่หรอก แต่พระวัดท่าขนุนอยู่ตลอด ของชอบเลย กราบเรียนท่านไปว่า “หลวงพ่อครับ..ผมไม่ได้หามานะครับ ท่านมาบวชกันเอง” |
ถาม : เรามองเห็นสิ่งที่ปรากฏต่อหน้าควรคิดอย่างไร?
ตอบ : เห็นรูป ได้ยินเสียง ได้กลิ่น ได้รส สัมผัส ใจไม่คิดได้ไหม ? แค่นั้นแหละ ถ้าไม่คิดก็จบ ทุกวันนี้ที่ทุกข์ไม่รู้จบเพราะว่าเราคิด ต้องควบคุม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ของเราตามหลักอินทรียสังวร เห็นรูปรู้ว่าเป็นผู้หญิงผู้ชายก็แย่แล้ว กันไม่ทันแล้ว เพราะเรายังปรุงว่าเป็นหญิงเป็นชาย ทำอย่างไรจะสักแต่ว่าเห็น สักแต่ว่าเป็นรูป สักแต่ว่าเป็นธาตุ ? ก็แปลว่าสติ สมาธิ เราต้องมีมากกว่านี้ ปัญญาถึงจะเกิดในระดับนั้น กลับไปเร่งสมาธิอย่างเดียวเลย ถาม : ที่ทำยังไม่พอใช่ไหมครับ ? ตอบ : ไม่พอ...ถ้าพอก็ไม่ต้องตะเกียกตะกายอย่างนี้หรอก สำเร็จไปนานแล้ว |
ถาม : นั่งแล้วเวทนาเยอะ ทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : เปลี่ยนท่าสิวะ..ดันไปบ้าสู้กับเวทนา..! หลักการปฏิบัติ ทุกขา ปฏิปทา ทันธาภิญญา ปฏิบัติก็ลำบากบรรลุก็ยาก เพราะว่าเมื่อใจไม่นิ่งไม่สงบ ก็ต้องทนอยู่กับอาการเจ็บปวด ทุกขา ปฏิปทา ขิปปาภิญญา ปฏิบัติลำบากแต่บรรลุง่าย เพราะว่าปัญญาถึง เห็นว่าความเจ็บปวดเป็นของร่างกาย ไม่ใช่ของเรา จิตกับกายแยกกันเป็นคนละส่วน เห็นอย่างชัดเจน สภาพจิตไม่เกาะร่างกายนี้ ไม่เกาะร่างกายคนอื่น ไม่เกาะในโลก ก็จบ สุขา ปฏิปทา ทันธาภิญญา ปฏิบัติง่ายแต่บรรลุลำบาก เพราะว่าติดสุขมากเกินไป สุขา ปฏิปทา ขิปปาภิญญา ปฏิบัติง่ายแต่บรรลุเร็ว เพราะว่าปัญญาถึง เพราะฉะนั้น..พวกเราเองถ้าไม่ใช่ไปแนวนั้นแล้วพยายามไปฝืน ก็ไปไม่รอดหรอก เพราะว่าเราไปทุกข์ ไปกลุ้ม ไปเครียด อยู่กับสภาวะทางร่างกายอยู่ตลอดเวลา ไปไม่ได้ก็เลิก เปลี่ยนท่าทำใหม่ ทำอย่างไรให้ใจของเราสงบ รัก โลภ โกรธ หลง ไม่เกิดก็พอแล้ว |
ผมเคยมาแล้ว นั่งภาวนาไปใจสงบประมาณชั่วโมงหนึ่ง คราวนี้ภาวนาไปเวทนาเกิด ก็กัดฟันทนไปเรื่อย ทนไป ๆ ถึงชั่วโมงที่ ๓ ที่ ๔ คราวนี้ด่าอย่างเดียวเลย จะนั่งไปหาโคตรพ่อโคตรแม่มันหรือวะ..? นานขนาดนี้ เจ็บฉิบหาย ปวดฉิบหาย แบบนี้ไม่มีทางสงบหรอก
ในสิ่งที่เราปฏิบัติก็คือต้องเป็นมัชฌิมาปฏิปทา และเป็นมัชฌิมาปฏิปทาของตัวเรา ไม่ใช่ของคนอื่น มัชฌิมาปฏิปทาแต่ละคนไม่เท่ากัน บางคนนั่ง ๓ วัน ๕ วันสบายมาก เรานั่ง ๓ นาที ๕ นาทีก็จะตายแล้ว ความพอดีของแต่ละคนก็คือฝืนแล้วไปต่อได้ไหม ? ถ้าฝืนแล้วไปต่อได้ แสดงว่าเมื่อครู่นี้กิเลสหลอกเรา แต่ถ้าฝืนแล้วไปต่อไม่ได้ ลองเปลี่ยนอิริยาบถไปทำอย่างอื่น พอสภาพจิตเริ่มผ่อนคลาย เราก็มาเข้าที่ภาวนาของเราใหม่ ที่สรุปตอบให้พวกคุณง่าย ๆ เพราะว่าผมทำมา ๔๐ กว่าปี เจอมาทุกรูปแบบแล้ว นั่งแข่งทนกับเขามาเยอะแล้ว |
ถาม : สัมมาสมาธิ ฌานอะไรครับ ?
ตอบ : ถ้าไม่ถึงฌาน ๔ ยังไม่เป็นสัมมาสมาธิเต็มที่ แต่จัดเป็นสัมมาสมาธิได้ตั้งแต่ฌาน ๑ ขึ้นไป ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิยังนับเป็นสัมมาสมาธิไม่ได้ เพราะว่ากด รัก โลภ โกรธ หลง ให้ดับลงชั่วคราวไม่ได้ ถ้าเป็นตั้งแต่ฌาน ๑ ขึ้นไป กด รัก โลภ โกรธ หลง ให้ดับลงชั่วคราวได้ ถึงจะเป็นสัมมาสมาธิ แต่คราวนี้สัมมาสมาธิก็สำคัญตรงที่ว่า เวลา รัก โลภ โกรธ หลง ดับแล้ว เราเอากำลังตรงนี้ไปใช้งานอย่างไร ? ก็ต้องใช้ในการพิจารณาวิปัสสนา เพื่อให้เห็นทุกข์เห็นโทษของการเกิด ถอนจิตออกจากการยึดเกาะต่าง ๆ ไม่อย่างนั้นก็จะกลายเป็นมิจฉาสมาธิใหม่ สำคัญที่สุดก็คือเห็นร่างกายนี่แหละ เพราะว่าเกิดมานับชาติไม่ถ้วน แล้ว ๆ เล่า ๆ ไม่หยุดสักที ถ้ารู้สึกเห็นชัดเจนในร่างกายนี้ อย่าลืมที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า โลกคือหมู่สัตว์ โลกคือดวงดาว ที่ท่านเรียกโอกาสโลก โลกคือร่างกาย ในเมื่อเห็นลักษณะนี้ ตัวเราก็คือโลก ตัวเราเป็นเช่นนี้ โลกคือหมู่สัตว์ทั้งหมดก็เป็นเช่นนี้ โอกาสโลก ดวงดาวต่าง ๆ ก็เป็นเช่นนี้ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป ในเมื่อไม่เห็นสาระแก่นสารในสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ใจก็ถอนจากการยึดมั่นถือมั่น |
ถาม : โลกคือทุกข์ล้วน ๆ ?
ตอบ : ความจริงคือทุกข์ล้วน ๆ แต่อวิชชาบังตาทำให้เห็นเวลาทุกข์น้อยเป็นความสุข ฝรั่งเขารับไม่ได้ เขาบอกว่าเป็นศาสนาที่มองโลกในแง่ร้าย อะไร ๆ ก็เห็นแต่ทุกข์อย่างเดียว อธิบายทุกข์ให้ฝรั่งฟังนี่เครียดตายเลย บอกว่า Suffering คำเดียวเขาฟังไม่รู้เรื่อง ต้องบอกกับเขาว่าหิวเป็นอย่างไร กระหายเป็นอย่างไร เจ็บไข้ได้ป่วยเป็นอย่างไร เหนื่อยเป็นอย่างไร ฯลฯ กว่าจะสรุปว่า ไอ้ที่ว่าทั้งหมดมานี่ร่วมกันเรียกว่าทุกข์ อธิบายให้ฝรั่งฟังนี่เหนื่อยฉิบหา..เลย เขาถามแล้วถามอีก ถามไม่เลิก แต่นิสัยคนไทยเราไม่ถาม รู้ก็ไม่ถาม ไม่รู้ก็ไม่ถาม สิ่งแวดล้อมของเราต่างกัน ฝรั่งเขาโดนปล่อยให้โตเองตั้งแต่เล็ก ถ้าเขาไม่ช่างค้นคว้าไม่ช่างถาม เขาอาจจะเอาตัวรอดไม่ได้ เราเองโดนทะนุถนอมกล่อมเกลี้ยงมา เรียนชั้น ป. ๕ ป. ๖ แล้ว พ่อแม่ยังไล่ป้อนข้าวให้ลูกอยู่เลย..น่าตายไหม ? |
ถาม : ผมต้องเพิ่มโยนิโสฯ ด้วยไหมครับ ?
ตอบ : โยนิโสฯ นี้มีทั้งดีและไม่ดี อย่าลืมว่าปรโตโฆสะ คือการสะท้อนจากภายนอกมา เราต้องเลือกรับส่วนที่เหมาะสมกับเรา ไม่ใช่เขาโยนกระสอบข้าวสารมาเราก็รับ มีหวังโดนทับตายพอดี เพราะฉะนั้น..คำว่าโยนิโสมนสิการ สำคัญที่สุดคือการน้อมมาด้วยความแยบคาย ต้องใช้ปัญญาเต็ม ๆ เลย ไม่อย่างนั้นคุณจะโดนไอ้กระสอบนั่นทับตาย..! |
ถาม : หลวงพ่อคะ..อธิษฐานจิตให้หน่อยค่ะ (เด็กน้อยถาม)
ตอบ : อธิษฐานจิต ? ไม่ต้องแล้วกระมัง แค่นี้ก็ดีเลิศประเสริฐศรีแล้ว เด็ก ๆ เหมือนกับเป็นหน่ออ่อน อยู่ที่เราดัดว่าจะให้ไปทางไหน สิ่งแวดล้อมสำคัญต่อเขามาก |
ถาม : เราจะรักษาสมาธิให้ดำรงอยู่ในชีวิตประจำวันได้อย่างไรครับ ?
ตอบ : เอาสติประคองไว้เลยให้เป็นอัตโนมัติ คำว่าอัตโนมัตินี้ก็คือรู้ลมเอง ภาวนาเอง คราวนี้เราเอาสติประคองเอาไว้อย่าให้ไหลไป รัก โลภ โกรธ หลง แล้วก็พยายามให้เห็นทุกอย่างที่กระทบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีอะไรยึดถือมั่นหมายได้ ถ้าทำอย่างนั้นได้ชีวิตนี้จะทุกข์น้อยมาก เพราะว่าเห็นจริงหมดแล้วก็ไม่ไปยุ่ง ไม่ไปปรุง ไม่ไปแต่ง ทุกวันนี้ที่เราทุกข์ก็เพราะความคิด หยุดคิดเมื่อไรก็เลิกทุกข์ จำไว้นะ...คิดแล้วทุกข์ ตำหนิตัวเองมีประโยชน์อะไร ? ให้ตั้งหน้าตั้งตาเอาเวลาที่ตำหนิตัวเองไปทำสิ่งที่ดี ๆ ก็หมดเรื่อง พุทโธ ๆ ก็ยังดี พุทโธทีหนึ่งอานิสงส์มหาศาล มัวแต่ "หนูผิดไปแล้ว" หนูผิดไปแล้วเดี๋ยวก็ผิดอีก แปลว่าปัญญายังไม่พอ ก็จะ "ผิดไปแล้ว" อยู่ได้เรื่อย ๆ แต่ผิดแล้วต้องรู้จักแก้ไข |
ในเมื่อเราทุกข์เพราะความคิด หยุดคิดก็หยุดทุกข์ เพราะว่าส่วนใหญ่ที่เราคิดก็คือยัง อยากมี อยากได้ อยากเป็น อยากก็ทำ สร้างเหตุปัจจัยไม่พอเราก็ไม่มี ไม่ได้ ไม่เป็น เพราะฉะนั้น..จึงต้องสร้างเหตุปัจจัยให้พอ ก็จะมี จะได้ จะเป็น ต่อให้ไม่อยากก็มาเอง
โยมคนไหนฟังไม่รู้เรื่องยกมือประท้วงได้ เพราะว่าบางทีท่านที่ทำมาเยอะแล้ว เขาศึกษามาเยอะแล้ว ท่านใช้ภาษาในตำรามากไป ของเราเองถ้าตะกายไม่ถึงให้ยกมือประท้วง เดี๋ยวอธิบายเป็นภาษาง่าย ๆ ให้ อย่างคำว่า ปรโตโฆสะ จริง ๆ แล้วก็คือเสียงอื่นที่ดังมา ก็คือเสียงสะท้อนจากภายนอก หรือ Comment นั่นแหละ ปรโตโฆสะคือคนอื่นเขา Comment เราว่าอย่างไร |
โยนิโสมนสิการ คือการน้อมนำสิ่งทั้งหลายเข้ามาโดยแยบคาย คำว่าโดยแยบคายก็คือ ต้องมีปัญญาเลือกเอาสิ่งที่ดี ๆ เข้ามา คัดสิ่งที่ไม่ดีออกไป จริง ๆ แล้วก็อยู่ในหลักปธาน ๔ อย่าง ดูว่าใจเรามีความชั่วไหม ? ถ้ามีอยู่ก็ไล่ออกไป ระวังไว้อย่าให้เข้ามาอีก ใจเรามีความดีไหม ? ถ้าไม่มีก็สร้างขึ้นมา มีแล้วก็ทำให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไปอีก
คราวนี้สิ่งทั้งหลายทั้งปวงนี้ก็ต้องดูเสียงสะท้อนจากคนรอบข้าง โดยเฉพาะครู ที่บาลีท่านใช้คำว่า กัลยาณมิตร กัลยาณมิตรในบาลีนี้คือครูแท้ ๆ เลย ปิโย มีความน่ารักน่าใกล้ชิด ครุ มีใจคอหนักแน่น ไม่เปลี่ยนแปลงแปรปรวนง่าย ภาวนีโย เป็นผู้แสวงหาความเจริญ คือแสวงหาความรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอ หลังจากนั้นไม่ว่าจะ วตฺตา เป็นผู้รู้จักใช้คำพูด วจนกฺขโม ทนต่อวาจาผู้อื่น ทนต่อการตำหนิด่าว่าของผู้คน ฯลฯ จนกระทั่งท้ายสุด โน จฏฐาเน นิโยชเย ไม่นำพาไปในทางเสียหาย อันนั้นบอกเอาไว้ชัดเลยว่าต้องเป็นครู ไม่ชักนำศิษย์ไปในทางเสียหาย เพราะฉะนั้น..ในเมื่อมีเสียงสะท้อนจากภายนอก เราก็คัดเลือกรับเอาส่วนที่เหมาะสมเข้ามาปรับปรุง กาย วาจา ใจ ของเรา ก็จะมีความดีเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ ท้ายสุดความดีมากเข้า ๆ สิ่งไม่ดีเหมือนกับเกลือในน้ำ น้ำจืดเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เกลือถึงจะอยู่ก็แสดงออกไม่ได้แล้ว |
สมัยก่อนอยู่ที่วัดเทพศิรินทราวาส หลวงปู่มหาอำพันบอกว่า ท่านเจ้าคุณนรฯ ท่านสอนว่า “ทำดี..ดีกว่าขอพรนะ” “คิดแต่สิ่งที่ดี ๆ นะ” “พูดแต่สิ่งที่ดี ๆ นะ” “ทำแต่สิ่งที่ดี ๆ นะ” โอ๊ย..ท่านสอนสั้นมาก แต่เจ้าประคุณเถอะ..คิด ๓ ปีไม่หมดหรอก
มีพระที่ไหนมรณภาพแล้วทุกวันศุกร์เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินยังต้องให้คนไปถวายดอกไม้ อาตมาพักอยู่กับหลวงปู่มหาอำพันตรง กุฏิ น. ๔ คณะเหนือ อยู่ตรงข้ามกับหอเก็บอัฐิเลย ถึงเวลาพระองค์ท่านเสด็จเขาก็กันคนจนหมด ส่วนอาตมาอยู่ในกุฎิก็เห็นหมด จะไปไหนได้ ทำอย่างไรจะสร้างคุณงามความดีได้ระดับนั้น อันดีชั่วตัวตายเมื่อภายหลัง ชื่อก็ยังยืนอยู่ไม่รู้หาย |
ถาม : ผมไปตรวจบทสวดธัมมจักฯ พรหมจะมีทั้งหมด ๑๖ ชั้นใช่ไหมครับ แต่พรหมชั้นที่ ๑๐ แล้วชั้นที่ ๑๑ หายไป ทำไมถึงเป็นแบบนั้น ?
ตอบ : อสัญญีสัตตา เขาเรียกว่า พรหมลูกฟัก สภาพจิตท่านดิ่งอยู่ในฌาน ๔ ละเอียดอยู่ข้างใน ไม่อยู่ข้างนอก รับรู้อะไรไม่ได้ พอถึงเวลาท่านก็เลยไม่ได้โมทนา ไม่ได้ยินดีอะไรกับใคร เขาบอกว่า พอได้ยินเสร็จแล้วก็อนุโมทนา อนุโมทนาเสียงก็ดังต่อ ๆ กันไป พอไปถึงตรงนั้นก็แป้กเงียบ จึงต้องข้ามท่านไป ถาม : แสดงว่ารูปพรหมก็เป็นลูกฟักได้ ? ตอบ : อรูปพรหมจริง ๆ แล้วแย่กว่าเพราะว่ามีแต่ดวงจิต แต่นี่ท่านเป็นรูปพรหมที่จิตดำเนินสมาธิอยู่ข้างใน ไม่ออกมาข้างนอก ในเมื่อไม่ส่งออกมาข้างนอก อายตนะก็รับรู้ไม่ได้ อาตมาสงสัยมาก่อน ว่าอสัญญีสัตตาพรหมหายไปไหน ? มีบางคนรู้มากก็เติมเข้าไป ไปเติมได้อย่างไร ก็ท่านไม่ได้อนุโมทนาด้วย แล้วดันไปบอกว่าเสียงดังต่อไปชั้นอื่น |
ในเรื่องของธัมมจักกัปปวัตตนสูตรมีหลายอย่างที่น่าสงสัย อย่างเช่นว่า พระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรม บาลีเขาแปลเป็นไทยว่าเป็นพระโสดาบัน แต่คราวนี้เทวดาทั้งหมด พรหมทั้งหมด ยกเว้นอสัญญีสัตตาพรหมท่านอนุโมทนาด้วย เราไปนึกดูว่าพระโสดาบัน ถ้าคิดไปแล้วก็คงประเภทอนุปริญญาตรี เพราะว่าปริญญาตรีที่แท้จริงคือพระสกิทาคามี แล้วไปปริญญาโทคือพระอนาคามี ปริญญาเอกคือพระอรหันต์ แล้วบรรดาพรหมชั้นที่ ๑๖ ท่านเตรียมปริญญาเอก เป็น Candidate กันหมด แล้วคุณคิดว่าถ้าเห็นคนจบอนุปริญญาแล้วจะเฮไหม ? เพราะฉะนั้น..น่าสงสัยศัพท์คำนี้แปลถูกไหม ? ดวงตาเห็นธรรมเห็นอะไร ?
ยังกิญจิ สมุทยธัมมัง สัพพันตัง นิโรธธัมมัง สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเกิดแต่เหตุ เหตุดับสิ่งนั้นก็ดับ น่าจะเกินพระโสดาบันไหม ? เพราะว่าถ้าไม่เกินพระโสดาบันแล้ว พรหมชั้นที่ ๑๒ ถึง ๑๖ ซึ่งเป็น "ว่าที่พระอรหันต์" ท่านจะตื่นเต้นไหม ? บางท่านพยายามแก้ว่า ท่านอนุโมทนาที่มีบุคคลสามารถเป็นพยานยืนยันในธรรมที่พระพุทธเจ้าบรรลุ ถ้าคุณจะยืนยันได้ก็ต้องจิตบริสุทธิ์เท่ากัน เพราะว่าแค่พระโสดาบันคุณยังยืนยันไม่ได้ |
ถาม : ทำไมถึงตีว่าพระสกทาคามี เป็นปริญญาตรีครับ ?
ตอบ : พระโสดาบัน พระสกทาคามี หลักศีล ๕ เท่ากัน เพียงแค่สมาธิและปัญญาต่างกันเท่านั้น อาตมาจึงตีเทียบกับทางโลกง่าย ๆ ว่าถ้าเป็นพระโสดาบันก็คืออนุปริญญา เป็นแค่ Diploma ยังไม่ใช่ Bachelor ถาม : หลวงพ่อเคยสอนว่าพระโสดาบันต้องมีฌานหนึ่งละเอียดใช่ไหมครับ พระสกทาคามีต้องมากกว่านั้นไหมครับ ? ตอบ : ใช่...ส่วนใหญ่ต้องมากกว่า ไม่อย่างนั้นจะกด รัก โลภ โกรธ หลง ให้นิ่งไม่ได้ เพราะว่าของท่านเอง ราคะ โทสะ เบาบางลง คำว่า เบาบางลง ในที่นี้คือต้องไม่เกิด หรือเกิดน้อยมาก ถาม : ตีได้ไหมครับว่าต้องเป็นฌานสี่ ? ตอบ : มีสิทธิ์ที่จะเป็นฌานสี่เลย อย่างพระอานนท์ก็ถือว่าเป็นตัวอย่างอัศจรรย์ของพระโสดาบัน เพราะว่าท่านถวายการรับใช้พระพุทธเจ้า ๒๕ พรรษาเต็ม ๆ ท่านบอกว่าแม้แต่กามสัญญาก็ไม่เกิดขึ้นในจิตเลย กามสัญญาคือการนึกถึง รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสระหว่างเพศ แค่นึกยังไม่นึกเลย อัศจรรย์มาก..! |
แต่คราวนี้ถ้าดูการปฏิบัติของท่านก็ไม่น่าอัศจรรย์ ในบาลีบอกว่า ‘ปฐมยามมีมืออันถือคบไฟดวงใหญ่ เดินจงกรมรอบคันธกุฎี ดูว่าองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า จะตรัสเรียกใช้อะไร เมื่อไม่ได้เรียกใช้ก็เข้าสู่ที่นั่งภาวนาของตน
ยามสองมีมือถือคบไฟดวงใหญ่ เดินจงกรมรอบคันธกุฎี เมื่อไม่เห็นสมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเรียกใช้ ก็เข้าสู่ที่นั่งภาวนาของตน ยามสุดท้ายมีมืออันถือคบไฟดวงใหญ่ เดินจงกรมรอบคันธกุฎี เมื่อองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไม่เรียกใช้ ก็ไปเตรียมน้ำใช้น้ำฉัน ไม้สีฟัน ตลอดจนกระทั่งปูผ้าอาสนะ เตรียมบาตรรอไว้’ ท่านได้นอนไหม ? คนที่อยู่กับการปฏิบัติตลอดทั้งคืนก็ถือว่าไม่อัศจรรย์ แต่ถ้าหากว่าสำหรับคนทั่ว ๆ ไป พระโสดาบันทำได้ขนาดนี้ก็ถือว่าอัศจรรย์มาก แบบเดียวกับพระอนุรุทธ บรรลุมรรคผลแล้วตลอด ๕๕ ปีไม่เคยนอนราบลงกับพื้นเลย ถือเนสัชชิกังคะธุดงค์ ถึงเวลาหลับก็นั่งหลับ ตั้ง ๕๕ ปีเชียวนะ..! |
ถาม : พระอานนท์ปฏิบัติทั้งวันทั้งคืนแบบนี้ ทำไมจึงไม่บรรลุมรรคผล ?
ตอบ : ก็เพราะว่าห่วงพระพุทธเจ้า ใจผูกอยู่ตลอดเวลา ยามต้นก็รอว่าจะเรียกไหม ยามสองรอว่าจะเรียกไหม ยามสามก็รอว่าจะเรียกไหม ในเมื่อใจไม่ปลดจากภาระหน้าที่ จะไปบรรลุได้อย่างไร ? ถือว่าพวกเราฟุ้งซ่านนอกเขตไปหน่อย แต่ว่าอย่างน้อย ๆ ก็คุยกันในเรื่องของ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่ได้ไปไกลนัก จะบอกว่า กาเลนะ ธัมมะสากัจฉา เอตัมมังคะละมุตตะมัง |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 02:46 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.