![]() |
"แต่คราวนี้พระโมคคัลลานะ ท่านได้เอตทัคคะคือเลิศทางมีฤทธิ์ ท่านจะมีอภิญญาใหญ่ระลึกชาติได้ไม่จำกัดก็เป็นเรื่องปกติ พระสารีบุตร ท่านเป็นเอตทัคคะทางด้านผู้มีปัญญามาก จะระลึกได้ไม่จำกัดก็น่าจะปกติ พระมหากัสสปะท่านปรารถนาพุทธภูมิมา จนกระทั่งมีมหาปุริสลักษณะตั้งหลายประการแล้ว ระลึกได้ นางยโสธราพิมพาหรือบาลีเรียกว่าภัททากัจจานา ก็เป็นคู่บารมีพระพุทธเจ้ามานับชาติไม่ถ้วน ท่านระลึกได้ก็ถือว่าเป็นปกติ
แต่ปรากฏว่าผู้ที่เป็นเอตทัคคะทางมหาอภิญญา กลายเป็นนางยโสธราพิมพาภิกษุณี เพราะว่าท่านอื่น ๆ มีเรื่องอื่นที่เด่นกว่า กลายเป็นว่าผู้หญิงเป็นเอตทัคคะคือผู้เลิศทางมหาอภิญญา ส่วนผู้ชายท่านอื่น ๆ อย่างพระมหากัสสปะท่านก็เป็นเลิศทางด้านธุดงควัตร ใครจะมาฟังต่อ มาฟังพรุ่งนี้นะ พรุ่งนี้จะพาเดินขึ้นเขาแล้ว เพราะว่าไม่มีเวลาจะเขียนให้โยมอ่าน ก็เลยเล่าให้ฟัง เป็นภาระคนถอดเสียง ถอดเสร็จก็เหมือนกับบันทึกการเดินทางนั่นแหละ" |
สนทนากับพระเรื่องการเดินทางไปจีน "สถานที่ที่ไปเป็นภูเขา เป็นทะเลสาบ เป็นแม่น้ำ มีความเกี่ยวเนื่องกับพระพุทธศาสนาทางวัชรยาน เป็นที่บำเพ็ญเพียรของพระโพธิสัตว์บ้าง เป็นที่บำเพ็ญเพียรของคุรุของเขาบ้าง จึงกลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่เขาต้องไปแสวงบุญ เขาใช้คำว่าแสวงบุญ ส่วนเราไปแสวงหาความตาย ไปยากเป็นบ้าเลย
ไปที่นั่นนี่ลอกคราบเลย หน้าล่อนเป็นแผ่น ๆ ผมนี่จมูกล่อนเป็นขุย ๆ หนาวจริง ๆ เพราะว่ายอดเขาหิมะอยู่ห่างไปนิดเดียว แล้วลมพัดมาจากทางนั้น เขาบอกว่าอากาศลบ ๖ องศาเซลเซียส แต่ความรู้สึกของเราน่าจะลบสัก ๑๐ - ๒๐ ถึงได้หนาวแบบนั้น ลมแรงมาก เพราะว่าเป็นช่องลมพอดี ผมไปนึกถึงพวกพระลามะที่เขาไปฝึกกัน เราแค่เดินไปก็จะตายแล้ว นั่นเขาไปฝึกกันเป็นเดือนเป็นปี ไปแบบนั้นแล้วเห็นสองอย่าง อย่างแรกคือแผ่นดินนี้กว้างใหญ่ไพศาลจริง ๆ อย่างที่สองคือความตายอยู่แค่ปลายจมูก ไม่รู้ว่าจะหายใจเข้าแล้วจะไม่หายใจออกเมื่อไร" |
"ตอนไปพม่า ผมไม่ได้สังเกตตัวเอง แรก ๆ ก็ไปกันแค่คนสองคน ไม่มีใครกล้าไปด้วย กลัวทหารกะเหรี่ยงบ้าง กลัวพวกกะหร่างบ้าง ประเภทจับเผายิงรถอะไรสารพัด พอไป ๔ - ๕ เที่ยว ทำไมคนเยอะขึ้นเรื่อย ๆ วะ ?
ท้ายสุดไปถามนายท่าว่าเกิดอะไรขึ้น เขาบอกว่าพวกนี้สังเกตว่าพระอาจารย์ไปแล้วปลอดภัยทุกครั้ง เขาเลยขออาศัยไปด้วย พวกนี้ช่างสังเกต โดยเฉพาะพวกที่เราเช่ารถเขาไป ไปแล้วปลอดภัยทุกครั้ง ไม่เคยโดนอะไร กลับมาเล่าต่อ ๆ กัน ฉะนั้น..พอถึงเวลาเราไป เขาชวนใครไปด้วยก็ไปทั้งนั้น สรุปว่าค่าเช่ารถ ๓๐,๐๐๐ จั๊ตของเรา เขาเก็บไว้รองรัง แล้วก็ยังไปไล่เก็บคนอื่นได้อีกเยอะแยะ" |
สั่งงานโยม "ปีหน้าที่เราจะสวดคาถาเงินล้าน ช่วยขึ้นป้ายด้วยว่าเราจะสวดพระคาถาเงินล้าน อุทิศให้พระครูประโชติรัตนานุรักษ์ ตอนแรกจะจัดงานให้ท่านต่างหากแล้วเวลากระชั้น เพราะว่าท่านมรณภาพวันที่ ๑๘ มกราคม เราสวดพระคาถาเงินล้านวันที่ ๑๙ มกราคม ไม่อยากให้ท่านตายเปล่า ตายแล้วคนลืม หาทางจัดงานให้ท่านไปเรื่อย ๆ อย่างน้อยในกลุ่มเล็ก ๆ ของเราก็ยังไม่ลืมท่าน"
|
สนทนากับพระ "หลวงหว่างท่านเป็นสหธรรมมิกร่วมงานกันมาตั้ง ๒๖ ปี ตอนนี้แก๊งค์นั้นทั้งแก๊งค์เหลือผมกับหลวงพ่อนิล ๒ รูป นอกนั้นตายเรียบ..! ไปนึกถึงตอนนั้นว่าช่างกล้าหาญเหลือเกิน ผมแค่ ๘ พรรษา หลวงหว่างหรือพระครูประโชติฯ แค่ ๒ พรรษา ตั้งใจอธิษฐานทำงานเพื่อพระศาสนากัน แม้จะต้องสละชีวิตก็ยอม
ตอนนั้นหลวงพ่อเจ้าคณะจังหวัดนราธิวาสรูปปัจจุบัน ท่านเป็นเจ้าคณะอำเภอสุไหงปาดี บอกว่าลงมาช่วยงานกันหน่อย แถวนี้ตำแหน่งมีเยอะมากเลย หาคนไม่ได้ ท่านเองรักษาการเจ้าคณะจังหวัด เป็นเจ้าคณะอำเภอ เป็นเจ้าคณะตำบล เป็นเจ้าอาวาส หลวงหว่างถึงได้โตเร็ว เพราะว่านอกจากท่านกล้าทำงานแล้วยังยอมเรียนด้วย ท่านจบปริญญาโท มจร." |
"อย่างมหาชรัช (ชรัช อุชุจาโร ป.ธ.๖ ,ดร.) เพื่อนผม ท่านเป็นเจ้าคณะจังหวัดปัตตานีไปแล้ว น้อยกว่าผมหลายพรรษา บางทีมีโอกาสคุยกันแค่ทางโทรศัพท์ คุยกันแค่เจอหน้าบนเครื่องบิน เดี๋ยวรอให้พ้นกฐินจะโทรไปถามท่านว่า ปีหน้าจะเอากฐินไปช่วยสร้างพุทธมณฑลปัตตานีจะตกลงไหม ถ้าท่านตกลงรับผิดชอบได้ พวกเราก็ลุยตั้งแต่ต้นปีเลย ให้ท่านได้เงินเยอะหน่อย
ปัตตานีนี่อิสลาม ๘๐ - ๙๐ เปอร์เซ็นต์ แล้วท่านกล้าสร้างพุทธมณฑล..! คนแบบนี้ไม่สนับสนุนไม่ได้แล้ว เพราะว่าบ้าพอกับผมเลย ตอนเป็นมหาชรัชอยู่วัดช้างให้ ไม่มีอะไรเลย พอกล้าลงไปอยู่วัดตานีนรสโมสร สักพักเดียวก็เป็นเจ้าอาวาสพระอารามหลวง เป็นพระครูสิริจริยาลังการ เป็นรองเจ้าคณะจังหวัด เป็นเจ้าคณะจังหวัด เป็นเจ้าคุณ เป็นให้ยุ่งไปหมดเลย ท่านอยู่กลางดงอิสลามเขาเลย ไปถึงใหม่ ๆ ท่านก็โทรมา "อาจารย์เล็ก..ขอหนังสือสวดมนต์สัก ๓,๐๐๐ เล่ม" ถามว่า "พิมพ์เองได้ไหม ?" "ได้..แต่เล่มละ ๒๐ กว่าบาท" "เออ..นั่นแหละ เดี๋ยวผมส่งเงินไปให้" ให้ส่งหนังสือ ๓,๐๐๐ เล่มไป ตูว่าจ่ายค่าพิมพ์ให้จะง่ายกว่านะ ตอนที่รู้จักกัน ท่านจบปริญญาโท ผมจบด็อกเตอร์ก่อนท่าน พอสักพักหนึ่งท่านก็ "อาจารย์เล็ก..ลงมาช่วยผมสอนหนังสือหน่อย" "สอนที่ไหน ?" "มจร.ปัตตานี..ผมจะตั้งวิทยาลัยสงฆ์" โห...พ่อคุณเถอะ ตอนแรกขอหนังสือ ๓,๐๐๐ ถามว่า "คุณจะเอาไปแจกใคร ? ที่นั่นมีแต่อิสลาม" เขาบอก "ผมจะเอาเด็กนักเรียนเข้าวัด" บอกท่านว่า "เออ..ถ้าเด็กนักเรียนเข้าวัด ๓,๐๐๐ เล่มนี่สมเหตุสมผล คุณดึงเข้ามาได้สัก ๔ - ๕ โรงเรียน ก็แทบจะไม่พอให้อยู่แล้ว" |
"เวลาผมลงไปช่วงนั้น ถ้าตรงกับวันศุกร์ เขาจะให้ผมไปเทศน์ เพราะว่าวันศุกร์พวกนักเรียนของอิสลามเข้าสุเหร่ากันหมด ไปละหมาดกัน เด็กไทยเราก็โดนปล่อยเกาะ จึงต้องเอาพระไปเทศน์ ตอนแรกผมก็ไม่รู้เหตุผล สงสัยว่าเขานิมนต์เทศน์ทำไม ?
ตอนที่ ดร.หนึ่ง (พระจิตศิลป์ เหมฺรํสี,ดร.) ของเราจะลงไปเก็บวันปฏิบัติธรรมปริญญาเอก ท่านถามว่า "หลวงพ่อ..มีใครรู้จักใกล้เคียงแถวนั้นไหม ?" ผมบอกว่า "ไม่ต้องใกล้เคียงหรอก เจ้าของ มจร. ที่คุณจะไปเก็บวันนั่นแหละ ไปบอกท่านว่าเป็นลูกศิษย์อาจารย์เล็กก็จบแล้ว" ไปได้ ๒ วัน ท่านโทรมา "บารมีหลวงพ่อแท้ ๆ ผมได้อยู่ห้องปรับอากาศเลย" ไปปฏิบัติธรรม ได้อยู่ห้องปรับอากาศ บอกแล้วว่าเพื่อนกัน คุณไปบอกว่ามาจากวัดท่าขนุน มาจากหลวงพ่อเล็กก็จบแล้ว" |
"ท่านเป็นนักเทศน์รุ่นเดียวกัน ช่วงที่ยังว่าง ๆ ต่างคนต่างไม่มีงานทำ ไปสุมหัวเรียนเทศน์รุ่นเดียวกัน นอนห้องเดียวกันมา ๑๕ วัน แล้วก็นั่งโต๊ะเดียวกันมาตลอด
ส่วนใหญ่เพื่อนร่วมรุ่นจะจำผมได้หมด ที่จำได้หมดเพราะว่าอาจารย์สอนครั้งเดียวแล้วทำได้ อีกอย่างก็คือ พอถึงเวลาก็ไปช่วยงานอาจารย์ มีหน้าที่จับเวลาให้เพื่อน เขาให้คนละ ๕ นาที พอ ๓ นาทีก็เคาะเตือนครั้งหนึ่ง ๕ นาทีก็เคาะเตือน ๒ ครั้ง เพื่อนจึงจำได้หมด พวกป๋าลอ (พระครูสุตาภรณ์พิสุทธิ์) ก็รุ่นเดียวกันหมด พระครูปริยัติวโรปถัมภ์ วัดอู่ทอง เจอหน้ากัน ถามว่า "หลวงพ่อจำผมได้ไหม ?" "มีเค้านะอาจารย์ ผมว่าผมรู้จักอาจารย์แน่" "รู้จักสิครับ เราเป็นนักเทศน์รุ่นเดียวกัน" "หา...ขนาดนั้นเลยหรือ นานเกินไปแล้ว" "หลวงพ่อจำผมไม่ได้ แต่ผมจำหลวงพ่อได้นะครับ" ส่วนใหญ่ช่วงที่พรรษายังไม่มาก ต้องรับงานที่เขาให้อบรม ไปนี่ไปนั่น ถ้าใครเคยรับงาน เจ้านายเขาก็จะส่งแต่คนนั้น กี่งาน ๆ ก็ไปเจอหน้ากัน กลายเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกันไม่รู้กี่รุ่นต่อกี่รุ่น" |
พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนมีโยมมาถวายเหรียญบาทรัชกาลที่ ๙ ปี ๒๕๑๗ เลี่ยมมาให้อย่างดี เขาตั้งใจให้ใช้ เหรียญหลังตราครุฑ เกิดจากคนที่เข้าป่าแล้วไปโดนผีหลอก ปรากฏว่ามีเหรียญในหลวงรัชกาลที่ ๙ อยู่ ผีเลยเตลิดเปิดเปิงไม่กล้าหลอก
ทำให้นึกถึงตอนสมัยสร้างทางรถไฟผ่านดงพญาเย็น จำเป็นต้องตัดต้นไม้ใหญ่บางต้นที่อยู่ในแนวทางรถไฟแล้วตัดไม่ได้ ถ้าใช้เลื่อยใช้ขวานก็จะโดนตัวคนทำบาดเจ็บ ใช้รถเกรดเข้าไปถึงรถก็ดับ ท้ายสุดเสนาบดีกระทรวงรถไฟ ก็คือกรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน ต้องเอาตราแผ่นดินไปตอก ประกาศว่าเป็นพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะทำทางรถไฟผ่านตรงนี้ ฉะนั้น..ไม่ว่าท่านจะเป็นเจ้าที่เจ้าทางอะไรก็ตาม ต้องขออนุญาตตัดต้นไม้เพื่อทำทางผ่าน" |
"จะเห็นว่าในเรื่องของตราครุฑตราแผ่นดิน ส่วนใหญ่แล้วแสดงออกถึงซึ่งพระราชอำนาจ แบบเดียวกับหลวงปู่โต วัดระฆัง สมัยรัชกาลที่ ๓ ถวายตำแหน่ง ท่านไม่รับ พอมาสมัยรัชกาลที่ ๔ ถวายตำแหน่ง แล้วท่านรับ
รัชกาลที่ ๔ ตรัสถามว่า ทำไมครั้งนี้ถึงรับ ? ท่านบอกว่ารัชกาลที่ ๓ เป็นแค่พระเจ้าแผ่นดิน ท่านพอจะหนีได้ รัชกาลที่ ๔ เป็นทั้งเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ท่านไม่รู้ว่าจะหนีไปที่ไหน รัชกาล ๓ เป็นลูกสามัญชน เกิดใหม่เป็นแค่หม่อมเจ้า ท่านไม่ได้เป็นเจ้าฟ้าโดยกำเนิดเหมือนกับรัชกาลที่ ๔" |
พระอาจารย์กล่าวว่า “พระปิดตาสี่เกลอยอดบายศรีของหลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์ ขอครึ่งล้านบาทถ้วน ตอนแรกลงไป ๒ องค์คิดว่าไม่มีใครเอา ที่ไหนได้..แย่งกันเกือบตาย เขาบอกว่าในตลาดราคาเป็นสิบล้าน..!
พระปิดตาสี่เกลอยอดบายศรี ท่านต้องบวงสรวงครั้งหนึ่งถึงจะได้ทำองค์หนึ่ง พระปิดตายอดบายศรีนอกจากหมายถึงความสุดยอด คือที่สุดของที่สุดแล้ว ท่านยังเป็นแบบสี่เกลอคือหันหลังชนกัน ล้มไม่ได้ ค้ำกันอยู่ โดยเฉพาะพวกนักการเมืองจะหากันมากเป็นพิเศษ ยอมสู้ราคา..สิบกว่ายี่สิบล้านก็เอา” |
พระอาจารย์กล่าวว่า “หลวงพ่อกวยท่านเป็นที่เคารพนับถือกันมาก เพราะว่าท่านเก่งจริง แล้วอีกอย่างคือท่านรักลูกศิษย์เป็นที่สุด ท่านไม่ได้สนใจว่าลูกศิษย์ของท่านจะดีจะชั่ว ต่อให้เป็นโจรติดคุกอยู่ ถ้าเคารพนับถือท่านก็ไปเยี่ยม ท่านบอกตอนดีเราก็ใช้มัน ตอนมันเดือดร้อนเราก็ต้องไปดูไปแล”
|
พระอาจารย์กล่าวว่า “อัญโญ เม อากัปโป กะระณีโยติ อาการ กาย วาจา ใจ อย่างอื่นที่ดีกว่านี้ยังมีอยู่อีก มิใช่เพียงเท่านี้ฯ”
|
ถาม : ศาสดามหาวีระกับนิครนถนาฏบุตรเป็นคนเดียวกันหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : คนเดียวกัน ลูกศิษย์เขาก็เรียกว่าศาสดามหาวีระ แต่คราวนี้ด้วยความที่เขาเป็นนักบวชประเภทนิครนถ์ก็เลยเรียกว่า “นิครนถนาฏบุตร” นักบวชลูกของนางรำ ถาม : ทำไมประวัติคล้ายพระพุทธเจ้ามาก ? ตอบ : คล้ายพระพุทธเจ้าทุกอย่างเลย เพราะว่าเกิดในสกุลกษัตริย์ ถึงเวลาออกบวช ปฏิบัติแล้วเจริญก้าวหน้ากว่าคนอื่นเขา ท้ายสุดก็เป็นศาสดาเอง แล้วโดยเฉพาะว่ารูปร่างก็คล้ายกัน ถาม : คำว่านาฏบุตร แปลว่า นักฟ้อนรำ ? ตอบ : ใช่..เป็นลูกของหญิงฟ้อนรำในวัง ที่ท้องกับพระมหากษัตริย์ |
เวลาเราไปอินเดีย ถ้าเจอเหมือนกับพระพุทธรูปต้องดูก่อน ถ้าห่มจีวรเรียบร้อยก็แล้วไป แต่ถ้าโชว์อวัยวะเพศคือนิครนถนาฏบุตรเพราะว่าเขาเป็นชีเปลือย เพียงแต่ว่าลักษณะคล้ายกับพระพุทธเจ้าเลย แสดงว่ามีมหาปุริสลักขณะเหมือนกัน
ต้องบอกว่าท่านเป็นรุ่นพี่หรือรุ่นอาจารย์ของพระพุทธเจ้า ตั้งศาสนาขึ้นมาก่อน คราวนี้ตอนที่ท่านตาย บรรดาลูกศิษย์ก็ทะเลาะเบาะแว้งกัน จนกระทั่งพระจุนทเถระกับพระสารีบุตรทูลให้พระพุทธเจ้าทำสังคายนาพระธรรมวินัย ก็คือจัดคำสอนให้เป็นหมวดหมู่ ถึงเวลาจดจำง่าย จะได้ไม่ต้องทะเลาะกัน ลูกศิษย์ของท่านปัจจุบันนี้ก็แบ่งเป็น ๒ พวก พวกหนึ่งนุ่งผ้าขาวเรียกว่า เศวตัมพร อีกพวกหนึ่งแก้ผ้าไปเลยเรียกว่า พวกทิฑัมพร คือนุ่งลมห่มผ้า นั่นอาจารย์ตายแค่ไม่กี่วันลูกศิษย์ก็แตกเป็น ๒ คณะใหญ่ |
คราวนี้พระจุนทะก็ขอพระพุทธเจ้าทำสังคายนา พระพุทธเจ้าตรัสว่ายังไม่ถึงเวลา พระสารีบุตรขอพระพุทธเจ้าทำสังคายนา พระพุทธเจ้าตรัสว่ายังไม่ถึงเวลา จนกระทั่งพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ๓ เดือน พระมหากัสสปะจึงรวบรวมพระอรหันต์ ๕๐๐ รูป โดยเฉพาะพระอานนท์ ทำสังคายนาพระธรรมวินัยที่ถ้ำสัตตบรรณคูหา ภูเขาเวภาระ
มีคนสงสัยว่าถ้ำสัตตบรรณคูหาเล็กนิดเดียว แล้วบรรจุพระตั้ง ๕๐๐ ได้อย่างไร ? ถ้ำนั้นเป็นแค่ที่อาศัยหน่อยเดียว เขาปลูกเป็นเพิงยาวออกมา ที่รู้เพราะตอนนั้นอาตมาเป็นพราหมณ์ไปดูพิธีเขาอยู่ด้วย ชาตินั้นไม่ได้ถือพุทธศาสนาด้วยนะ เป็นพราหมณ์ ตอนหลังถึงได้ปฏิญาณตนถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ท่านทำสังคายนาอยู่ ๗ เดือน ถามว่าทำไมสังคายนาพระไตรปิฎกนานถึง ๗ เดือน ? เพราะว่าต้องถาม – ตอบ กันทีละพระสูตร ทีละบท ทีละประโยคเลย สอบสวนทวนความกันจนไม่มีใครขัดค้านแล้วถึงรับรองว่าใช่ พอรับรองว่าใช่ค่อยสวดสาธยายขึ้นพร้อมกัน ถ้าสวดตรงกันไม่มีผิดแล้วค่อยรับรองได้ว่าถูกต้อง ถึงได้เรียกว่าสังคายนา คือการร้อยกรองพระธรรมวินัย มีการสวดสาธยายก่อน |
อย่างเช่นเขาถามว่า ปฐมํ ปาราชิกํ กตฺถ ปญฺญตฺตนฺติ ปฐมอาบัติปาราชิกบัญญัติขึ้นที่ไหน ? เวสาลิยํ ปญฺญตฺตนฺติ บัญญัติขึ้นที่เมืองเวสาลี คนถามก็ถาม คนตอบก็ตอบ
กํ อารพฺภาติ ด้วยปรารภเรื่องอะไร ? สุทินฺนํกลนฺทปุตฺตํ อารพฺภาติ ปรารภเรื่องของพระสุทินกลันทบุตร ถ้าเราสวดได้แปลได้ จะเข้าใจเนื้อหาเป็นเรื่องเป็นราว แต่ถ้าเราแปลไม่ได้ก็ได้แต่สวดขลัง ๆ ไปเท่านั้น |
โยมที่บูชาวัตถุมงคลไปกำลังใช้กล้องนั่งส่องอยู่ "แสดงว่าระดับอาชีพแล้ว พกกล้องมานั่งส่อง แต่อาตมาน้อยครั้งที่จะใช้กล้อง เหตุที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะว่าอะไรก็ตามที่ก่ำกึ่งจะไม่แตะ ถ้ามีที่สงสัยให้ “เอ๊ะ” แม้แต่นิดเดียวก็ไม่แตะ
พยายามแนะนำทิดเฟิร์สอยู่ บางทีทิดเฟิร์สเจอของถูกใจแล้วหน้ามืด..โดดใส่ ระวังโดนเขาสอยร่วงนะ..! ถ้าขนาดต้องมาส่องมาพิจารณานี่อาตมาไม่เอาด้วย มีข้อแม้เมื่อไรหยุดทันที ถ้าไม่โลภ..โอกาสโดนหลอกก็มีน้อย" |
อย่างที่พูดถึงแชร์แม่มณี ส่วนใหญ่ที่โดนก็เพราะความโลภ อาตมาเองเห็นชัดเลยว่า ถ้าคนเราสร้างกรรมไว้อย่างไรก็โดน แชร์แม่ชม้อย อาตมารู้จักหัวหน้าสายใหญ่เลย เพราะว่าเขาเป็นเพื่อนของน้า ชวนอาตมาเล่นมาหลายปีแต่ก็ไม่เล่นกับเขา จนกระทั่งลูกศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุงเล่นกันเกือบครบคน อาตมาก็ยังไม่เล่นกับเขา
แต่ท้ายที่สุดพวกพี่ ๆ น้อง ๆ ก็มาอ้อนขอยืมเงินไปเล่น มาถึงก็ “พี่เป็นคนไม่มีความโลภก็จริง แต่พวกผมยังต้องกินต้องใช้อยู่ ถ้าผมได้มาแบ่งพี่บ้าง พี่ก็ได้เอาไปทำงานพระศาสนาด้วย” สารพัดที่เขาจะกล่อม ท้ายสุดจากที่อาตมาไม่เล่นแชร์ แต่คนยืมเงินไปเล่น ๗ คันกว่า แชร์น้ำมันเขามีแบ่งเป็นคัน แบ่งเป็นล้อ แบ่งเป็นน็อต แล้วแต่ใครเงินมากเงินน้อย อาตมาไม่เล่นเลยโดนไป ๗ คันกว่าเพราะว่าพรรคพวกยืมเงินไปเล่น ถึงเวลาแม่ชม้อยล้มครืนขึ้นมา อาตมาเองถือว่าเจ็บตัวน้อยที่สุด เพราะว่ารับดอกมาท่วมต้นแล้ว แต่สงสัยเลยไปถามหลวงพ่อวัดท่าซุงว่า “ผมทำอะไรมาครับ ผมไม่ได้โลภทำไมถึงโดน ?” “สมัยที่รบกัน เอ็งเป็นกองเสบียง คอยสนับสนุนเขา” โดนจนได้..งานนั้นไม่ได้ออกหน้าแต่โดนด้วยจนได้ |
ตอนหลังโยมแม่ได้เงินค่าเวนคืนที่มาหลายล้าน บอกกับท่านว่าอาตมาไม่เอา แต่ท่านก็เอามาถวายจนได้ พอโยมแม่แบ่งให้พี่ ๆ น้อง ๆ แล้ว ก็เอาเงินมาถวายให้อาตมาด้วย อาตมาก็ไม่ได้ถามว่าคนอื่นได้เท่าไร แต่ท่านให้อาตมาเยอะน่าดู
มีคนชวนเล่นแชร์น้ำมันอีก ทั้ง ๆ ที่แม่ชม้อยล้มแล้วนี่แหละ เล่นก็เล่น เพราะอาตมารู้นี่ว่าเล่นได้ ก็เล่นไปอยู่ ๓-๔ ปี ดอกท่วมต้นแล้วท่วมต้นอีก ปีนั้นก็บอกกับนายหน้าเขาว่า "ช่วยถอนเงินคืนให้ที อาตมาเลิกเล่นแล้ว" นายหน้ามากระซิบถามว่า "จะมีเรื่องไม่ดีแล้วใช่ไหมครับ ?" บอกว่า "ใช่..ช่วยถอนให้หน่อย จะเอาเงินต้นคืน" ก็ปรากฏว่าทางด้านหัวหน้าแชร์ก็กราบมือกราบเท้าขอร้อง บอกว่า "พระอาจารย์อย่าถอนเงินเลย ถ้าอาจารย์ถอน เดี๋ยวคนอื่นแตกตื่นแล้วถอนกันหมด หนูเจ๊งแน่" อาตมาเองก็คิดว่าจะเอาอย่างไรดี ? เขาจะล้มอยู่แล้ว ท้ายสุดก็ตัดใจว่า "ล้มก็ช่างมันวะ เราได้ดอกท่วมต้นมาตั้งหลายเท่าแล้วนี่" ท้ายสุดก็ล้มจริง ๆ สรุปได้ว่าต่อให้คุณมีอนาคตังสญาณดีขนาดไหนก็ตาม ถ้าเวรกรรมมาถึงก็โดนจนได้แหละ ขอถอนล่วงหน้าตั้งครึ่งค่อนปี เขาขอร้องว่าอย่าถอนเลย อาตมาเองได้ดอกมาก็ทยอยซื้อทองคำแท่งเก็บไว้ จำได้ว่าซื้อตั้งแต่บาทละ ๔,๒๕๐ ทยอยขึ้นมาจนบาทละ ๔,๗๕๐ ซื้อเก็บเอาไว้หลายสิบบาท ฉะนั้น...ปัจจุบันนี้ถ้าถามมีเงินส่วนตัวไหม ? มี...เป็นเงินมรดกที่แม่ให้ แต่ว่าไม่ใช่เงินต้นนะ เงินต้นล้มไปกับแชร์เขาเรียบร้อยแล้ว เหลือแต่ดอกที่ท่วมต้นแล้วซื้อทองเก็บเอาไว้ ถึงได้บอกว่าต่อให้คุณมีอภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ อะไรก็ตาม ถ้าวาระกรรมมาถึงก็เลี่ยงไม่ได้ ยังโดนจนได้ ทั้ง ๆ ที่รู้ไปขอเขาเบิกคืน แต่เขาไม่ให้คืน |
ถาม : ผมจำเป็นต้องภาวนาจนจิตรวมไหมครับ ?
ตอบ : ถามว่าจำเป็นไหม ? ต้องดูคุณว่าต้องการแค่ไหน ? หากว่าต้องการมรรคผลก็ควรที่จะทำ เพราะว่าเป็นสิ่งที่ช่วยให้ใจเราห่างจาก รัก โลภ โกรธ หลง แล้วก็มีปัญญาในการพิจารณามากขึ้น แต่ถ้าคุณคิดแค่ว่าเอาแค่ ทาน ศีล ภาวนา เบื้องต้น เราก็อยู่ได้แล้ว จะไปเรื่อย ๆ มาเรียง ๆ ก็ไม่มีใครเขาว่าอะไร ฉะนั้น..สำคัญที่เราเอง เวลาใจของเราวุ่นวายมาก ๆ เราเครียดไหม ? เบื่อไหม ? แล้วตอนที่จิตของเรารวมเรามีความสุขแค่ไหน ? อยู่ที่เราเองว่าต้องการแค่ไหน ถามคนอื่นไม่ได้หรอก ถ้าเป็นอาตมานี่โกยได้เท่าไรก็เอาเท่านั้น ถาม : กลัวทำไปแล้วจะ....? ตอบ : ไม่ต้องกลัวหรอก อาตมาทำมาแล้ว ทำมาหลายสิบปี ตั้งแต่อายุ ๑๖ ปี อายุ ๑๖ นี่ทุ่มเทปฏิบัติอย่างมอบกายถวายชีวิตเลยนะ ทำจนคนรอบข้าง พ่อแม่ พี่น้อง เพื่อนฝูง ครูอาจารย์ หาว่าบ้ากันหมด แต่คราวนี้อาตมารู้ว่าถ้าทำแล้วจะได้อะไร จึงไม่กลัวคำนินทา ถาม : เหมือนกับเราไม่รับผิดชอบกับคนรอบข้าง ? ตอบ : เรื่องของการมุ่งทางธรรมไม่ใช่ทิ้งทางโลก ไปด้วยกันได้ เพียงแต่ว่ากั้นขอบไว้หน่อยหนึ่ง คืออะไรที่นอกกรอบของศีลเราไม่ไปยุ่งด้วย ไม่ใช่ว่าถึงเวลาปฏิบัติธรรมแล้วทิ้งครอบครัว ทิ้งหน้าที่การงาน อันนั้นผิด ดูตัวอย่างพระโสดาบัน อย่างอนาถปิณฑิกเศรษฐี อย่างนางวิสาขามหาอุบาสิกา แต่ละคนรวยล้นฟ้าก็ยังมีครอบครัว ยังทำมาค้าขายเป็นปกติ |
พระอาจารย์กล่าวว่า “เวลาได้ยินว่าไปเที่ยวกับหลวงพ่อแล้วก็อยากจะไปกันนัก หารู้ไหมว่าหลวงพ่อจะไปตาย..! อย่าลืมว่าความตายอยู่กับเราทุกลมหายใจเข้าออก คราวนี้ถ้าใจของเราเกาะอยู่กับร่างกาย ก็ขึ้นอยู่กับเวรกรรมเก่าของเราแล้ว อย่างดีที่สุดก็เกิดเป็นคนใหม่ นอกจากนั้นก็มีแต่อบายภูมิรอเราอยู่ แต่ถ้ากำลังใจเราเกาะ ทาน ศีล ภาวนา ได้ ก็ยังมีเทวดา นางฟ้า มีพรหม มีพระนิพพานอยู่”
|
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนที่อายุมาก ๆ ถ้าร่างกายไม่แข็งแรง ต้องอาศัยพึ่งพาคนอื่น จะทำให้เกิดปฏิฆะ คือแรงกระทบทางใจได้ง่าย และก็เกิดโทสะ กระทบแล้วไม่ชอบใจ หงุดหงิด กลัดกลุ้ม ทำอะไรไม่ได้อย่างใจ บางคนก็บ่นลูกบ่นหลานไม่เลิก กลายเป็นคนปากร้าย ลูกหลานก็ยิ่งเบื่อเข้าไปใหญ่
อาตมาถึงได้บอกว่า ยอมเหนื่อยหอบออกกำลังเสียตั้งแต่ตอนนี้ จะได้ไม่ต้องเอาเงินที่หามาทั้งชีวิตไปให้หมอใช้" |
ถาม : ถ้าชาวต่างชาติต้องการเปลี่ยนมานับถือพระพุทธศาสนา ต้องแนะนำให้เขาไปแสดงตนเป็นพุทธมามกะไหมครับ ?
ตอบ : บอกเขาว่าลองปฏิบัติตามศีล ๕ ดู ถ้าไม่หนักใจค่อยไปแสดงตนเป็นพุทธมามกะ ขอศีลจากพระอย่างเป็นทางการอีกที ให้โอกาสเขาตัดสินใจ ไม่ใช่เห็นว่าเขาอยากถือศีลของเราแล้วต้องรีบคว้าเอาไว้ โดยเฉพาะบรรดาสาวอิสลามนั้นเชื่อไม่ได้ บอกว่าอยากศึกษาพุทธศาสนา แต่จริง ๆ แล้วก็คืออิสลามร้อยเปอร์เซ็นต์ ท้ายสุดพอแต่งงานขึ้นมาเราก็ต้องเปลี่ยนเป็นอิสลามตามเขาไป พม่าออกกฎหมายห้ามคนพุทธแต่งงานกับศาสนาอื่น ถ้าแต่งงานกับศาสนาอื่น คู่สมรสคนนั้นต้องเปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธด้วย ทันทีที่กฎหมายออกมา โดนประท้วงไปทั่วโลก โดยเฉพาะพวกมุสลิม ปรากฏว่าพม่าสวนกลับว่า ทำไมทีแต่งกับมุสลิมจึงต้องเปลี่ยนเป็นมุสลิมด้วย ? ก็เลยกลายเป็นอ้าปากไม่ขึ้น คุณจะมาเรียกร้องสิทธิมนุษยชน คุณจะมาบอกว่าพระลิดรอนสิทธิเสรีภาพคนอื่น ทำไมศาสนาอิสลามทำอย่างนั้นแล้วไม่โดน เจอรัฐบาลพม่าเล่นแบบนั้นเข้า คนประท้วงก็เลยเซ็ง |
มีโยมอุ้มเด็กมาถวายสังฆทานด้วย พระอาจารย์กล่าวว่า "ไอ้เจ้านี่โหวงเฮ้งเก็บเงินเก่งมาก เพิ่งจะเกิดก็มีเงินแล้ว ไปยัดเข้าบัญชีไว้ให้เขาเยอะเลย..ใช่ไหม ?
เรื่องของตําราโหงวเฮ้ง จะว่าไปแล้วก็คือบุญกรรมเก่าที่เราเคยทำมา เมื่อทำมาแล้วอย่างไรถึงเวลาก็ส่งผลให้เป็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าท่านถึงได้ตรัสว่า อุตุนิยาม ดินฟ้าอากาศทำให้เป็นไป อย่างเช่นว่าทางแอฟริการ้อนมากก็ผิวดำ ทางยุโรปหนาวมากก็ผิวขาว ทางเอเชียของเราครึ่งร้อนครึ่งหนาวก็ผิวเหลือง นี่คือเป็นไปตามสภาพดินฟ้าอากาศ พีชนิยาม เป็นไปตามดีเอ็นเอ พีชะก็คือพืชพันธุ์ มาจากพ่อแม่ปู่ย่าตายาย ถ่ายทอดลักษณะมา จิตตนิยาม คือเป็นไปตามกำลังใจ ใจของเราเกาะความดีความชั่วอย่างไร ถ้าเจ้าโทสะก็ออกมาหน้าตาดูไม่ได้ ถ้ามีเมตตากรุณาก็ออกมาสวยงาม อันนี้คือจิตนิยาม" |
"กรรมนิยาม คือการกระทำของเราทำให้เป็นไป อย่างเช่นว่าถ้าฆ่าสัตว์ก็อายุสั้น ถ้าหากมีใจเมตตาก็อายุยืนนาน อ่อนน้อมถ่อมตนเกิดในฐานะสูง ยโสโอหังเกิดในตระกูลต่ำ อันนี้เป็นกรรมนิยาม เป็นการกระทำของเราเอง
ท้ายสุดก็คือ ธรรมนิยาม ความเป็นธรรมชาติ ทำให้แปรปรวนไปได้ อย่างเช่นว่าพืชหรือสัตว์เกิดการผ่าเหล่า ถ้าเราดูกฎของเมนเดล หลักพันธุศาสตร์ของเมนเดลเขาบอกว่า ลักษณะเด่นจะปรากฏมา ๓ ลักษณะด้อยจะปรากฏมา ๑ บางอย่างเช่นเด็กเกิดมามีตัวติดกัน พระพุทธเจ้าท่านรู้จริงที่สุด บอกไว้ครบทุกอย่าง แต่ส่วนใหญ่แล้วพวกเราศึกษากันไม่ค่อยจะครบ หรือไม่ค่อยจะศึกษากัน รออาจารย์ไปอ่านแล้วมาเล่าให้ฟัง เรื่องของเรื่องก็กลายเป็นรู้บ้างไม่รู้บ้าง แล้วก็ไม่รู้เสียมากกว่า" |
"หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกลูกศิษย์ว่า ถ้าเป็นไปได้ให้อ่านพระไตรปิฎกปีละจบ อาตมาอ่านมาตลอดชีวิตจนถึงอายุ ๖๐ ปีแล้ว เพิ่งจะได้ ๗-๘ จบ ขยันสู้หลวงพ่อท่านไม่ได้ เพราะว่าช่วงท้าย ๆ คือพระอภิธรรมเข้าใจยากมาก พอเข้าใจยากก็วาง กว่าจะมีอารมณ์อ่านอีกก็ผ่านไปเป็นเดือน พอเริ่มอ่านใหม่ อ่านได้หน้าสองหน้าทำความเข้าใจยากก็วางอีก เลยกลายเป็นว่าหลวงพ่อท่านอ่านปีละจบ ส่วนหลวงลูก ๖๐ ปีเพิ่งจะอ่านได้ ๗-๘ จบ
เดี๋ยวนี้พระไตรปิฎกมีหลายฉบับมาก ถ้าจะให้ดีให้อ่านฉบับอรรถกถาของมหามกุฎราชวิทยาลัย ๙๑ เล่ม รายละเอียดจะมีเยอะ แต่เราจะรำคาญกับภาษาบาลีที่ปนมา แต่เป็นบาลีที่เขาแปลให้เลย เพียงแต่เป็นสำนวนเก่า ถ้าอ่านเล่มนั้นก็จะครบถ้วน หรือถ้าจะเอาเฉพาะเนื้อหาจริง ๆ ก็เอาพระไตรปิฎกฉบับแก่นธรรมของมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่มหนา ๆ ใหญ่ ๆ ประมาณ ๔ เล่มเท่านั้น ฉบับของมหาจุฬาฯ เป็นพระไตรปิฎก ๔๕ เล่ม หน้าปกสีฟ้า บางทีเขาก็ไปเปลี่ยนชื่อจากที่เราคุ้นเคยกลายเป็นไม่คุ้นเคย อย่างอาตมาเปิดหาอปริหานิยธรรม หาไม่เจอ ต้องไปไล่เปิดทีละหน้าจนกระทั่งเจอ ซึ่งเขาใช้ชื่อว่า ปฐมสัตตกสูตร ก็คือสูตรที่ขึ้นด้วยหลักธรรม ๗ ข้อ สูตรแรก ไม่รู้เหมือนกันว่าพระไตรปิฎกเล่มเดียวกัน ทำไมเวลาแปลแล้วแปลไปคนละทิศละทางได้ขนาดนี้" |
"บางส่วนที่พวกเราเคยชิน แต่ถ้าไปเปิดหาอาจจะไม่เจอ ก็คือกาลามสูตร จริง ๆ แล้วชื่อนี้ในพระไตรปิฎกไม่มี ที่เราเรียกว่ากาลามสูตรในพระไตรปิฎกเรียกว่า เกสปุตตสูตร แสดงแก่ชาวกาลามะ พวกเราเลยเรียกว่ากาลามสูตร ท่านบอกว่า อย่าเชื่อโดยเขาเล่าสืบ ๆ กันมา อย่าเชื่อเพราะมีบันทึกไว้ในตำรา ไล่ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่ง อย่าเชื่อเพราะสมณะนี้เป็นครูของเรา ถามว่าแล้วจะเชื่ออะไร ? ก็ต้องพิสูจน์ก่อนว่าเป็นจริงตามนั้นไหม พิสูจน์แล้วว่าจริงแล้วค่อยเชื่อ
มา ภพฺพรูปตาย อย่าเชื่อเพราะมีลักษณะน่าเชื่อถือ อาจจะเป็นการไลฟ์สดเพื่อแหกตากันแบบแม่มณีก็ได้ ดูแล้วลักษณะน่าเชื่อถือ มีกระทั่งร้านทอง มีรถยนต์ราคาแพงอีกหลายคัน ที่ไหนได้..ตั้งใจแหกตาชาวบ้านล้วน ๆ มา ตกฺกเหตุ ไตร่ตรองแล้วเป็นไปตามตรรกะก็เชื่อไม่ได้ อาตมาเคยบอกแล้วว่าบางอย่างเขาหลอกกัน เราเห็นว่าเขาไล่ฆ่าไล่ฟันกันมา เราก็ลากมีดลากปืนไปช่วยเขา เขาจะฆ่าเราตายแทน เพราะว่าเขากำลังถ่ายหนังกันอยู่ เราเห็นเขาไล่ฆ่าฟันกันจริงไหม ? ก็จริง แล้วเรื่องที่เราเห็นจริงไหม ? ไม่จริง..เพราะว่าเขากำลังแสดงหนังกันอยู่ มา ปิฏกสมฺปทาเนน อย่าเชื่อเพราะมีอยู่ในตำรา เพราะว่าบางทีตำราก็เขียนผิด ปัจจุบันนี้ตำราที่เขียนผิดชัด ๆ เลยที่อาตมาเจออยู่ ก็คือการปฏิบัติกรรมฐานสายพองยุบ" |
พระอาจารย์กล่าวว่า “รุ่นพวกเรามีหลายคนที่ทันหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ แต่ไม่ได้รู้จักหรือไม่ได้ยินชื่อเสียงเกียรติคุณของท่าน อาตมาเองตั้งแต่เด็ก ๆ เลย น้องชายพี่ชายนี่ตะเกียกตะกายหาหลวงปู่ทิมกัน ตอนนั้นพระสองอย่างที่ต้องมีให้ได้ก็คือพระปิดตาหลวงปู่โต๊ะกับพระกริ่งชินบัญชรหลวงปู่ทิม ปรากฏว่าระยะหลังนี้พระกริ่งชินบัญชรหลวงปู่ทิมองค์ละล้านสองล้าน..ตาย สมัยโน้น ๕๐๐ บาทยังบ่นว่าแพงมาก ...(หัวเราะ)...
หลวงปู่ทิม หลวงปู่โต๊ะ เป็นพระที่เขาใช้คำว่า รุ่นหลัง ๒๕๐๐ ก็คือท่านอยู่มาจนถึงหลัง พ.ศ. ๒๕๐๐ แล้วถึงมรณภาพ เป็นพระรุ่นหลัง ๒๕๐๐ ที่พระขึ้นราคาแพงเป็นพิเศษ เพียงแต่ว่าหลวงปู่โต๊ะท่านสร้างมาก ราคาก็เลยยังอยู่ระดับหมื่นกลาง ๆ แสนต้น ๆ ส่วนหลวงปู่ทิมนี่ของท่านสร้างน้อย แต่ละชิ้นไปหลายแสนหลายล้านแล้ว" |
"วันก่อนถามท่านอาจารย์วิสุทธิ์ ซึ่งเป็นอาจารย์ของอาตมาเองว่า “ท่านอาจารย์เคยเห็นพระขรรค์หลวงปู่ทิมไหม ?” ท่านบอกว่า “นั่นของในตำนานเลยนะ ในชีวิตผมยังไม่ได้เห็นเลย” เลยบอกท่านไปว่า “ท่านอาจารย์ไม่ได้เห็น แต่ผมมี ๒ เล่มเลย” ...(หัวเราะ)...
บางอย่างท่านสร้างน้อย อย่างพระขรรค์ทำจากไม้ดำดง ท่านต้องขี่เกวียนไปเอาที่ป่าประจันตคาม จังหวัดปราจีนบุรี ยุคนั้นไปกลับตั้ง ๒ เดือน นั่งเกวียนค่อย ๆ รอนแรมกันไป เพราะว่ามีต้นไม้ที่ตายพราย ก็คือยืนตายไม่ยอมล้ม ท่านก็ไปเอามาทำเป็นพระขรรค์ ทำเป็นกริช แล้วหลวงปู่ท่านสร้างวัตถุมงคลประณีตมาก..จารทั้งเล่มเลย อาตมาส่งลูกศิษย์ไปเป็นเจ้าอาวาส ก็ให้ท่านไปเป็นของคู่ตัว บอกว่าเลือกเอาเลย ใครยอมสละเป็นเจ้าอาวาสก็รับไป พวกที่ไม่ยอมเป็นเจ้าอาวาสก็นั่งน้ำลายไหลจ๊อก..!" |
"หลวงปู่ทิมส่วนใหญ่พวกเราอยากได้ลูกอมผงพรายกุมาร หารู้ไม่ว่า ถ้าลูกศิษย์หลวงปู่ทิมขนานแท้เขาหานางพรายปิดตากัน ทำจากผงเดียวกันนั่นแหละ ทำเป็นรูปผู้หญิงปิดตา สององค์ที่เอามาออกให้บูชานี้ส่งประกวดได้รางวัลทั้งคู่ งานเดียวกันด้วยนะ จำได้ว่ารางวัลที่ ๒ กับรางวัลที่ ๓ แต่เดี๋ยวนี้ส่งประกวดพระต้องระวังนิดหนึ่ง เพราะว่าเจอเซียนบางคนจ้องไปเอาของเราเลย พอถึงเวลาส่งของเราเข้าไป..หาย แล้วหยิบเอาของเทียมมาวางไว้แทน ก่อนจะส่งนี่ต้องถ่ายรูปไว้ทุกซอกทุกมุม จะได้ดูหลักฐานกันได้
ส่งประกวดพระเดี๋ยวนี้ประมาณองค์ละ ๓๐๐ บาท สมมติว่าในงานมีส่งประกวดสักพันองค์ก็ได้ ๓ แสนบาท แต่ส่วนใหญ่แล้วงานประกวดหลายงานได้เยอะกว่านั้น อย่างงานของตำรวจภาค ๗ ที่จัดที่ผ่านมานั้น ได้ไปตั้ง ๒๐ กว่าล้านบาท เพราะว่าคณะกรรมการเป็นที่เชื่อถือ ผ่านมือผ่านตามานี่แท้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แล้วบางคนที่ส่งพระไปประกวดนี่ไม่ได้ต้องการอะไรหรอก ต้องการให้กรรมการช่วยดูว่าแท้หรือเปล่า เพราะว่าถ้าไม่แท้เขาจะส่งคืนเลย” |
พระอาจารย์กล่าวว่า “พระปิดตานี่โบราณเขาถือว่าหาทรัพย์ เอามาจากพระควัมปติที่ท่านเข้านิโรธสมาบัติอยู่ตลอดเวลา ทำให้มีลาภมาก คราวนี้การเข้านิโรธสมาบัติก็เหมือนกับปิดหู ปิดตา ปิดปาก ปิดจมูก เขาก็เลยทำเป็นรูปพระปิดตา หรือที่เรียกว่าพระควัมปติ จึงเป็นที่มาว่าทำไมพระปิดตาถึงได้มีลาภมาก”
|
ถาม : ระหว่างตะกรุดกำลังแม่พระธรณีกับพระขุนแผน ถ้าต้องการด้านเมตตามหานิยม ควรบูชาองค์ไหนคะ ?
ตอบ : ท่านทำไว้ให้ครบทุกอย่างแล้ว แต่ถ้าเป็นอาตมาจะเลือกพระขุนแผนเพราะว่าเป็นรูปพระ ก็คือจะมากจะน้อย เวลาเราเห็น เราจะนึกถึงพระ ตะกรุดนี่เราไม่ได้เห็นรูปพระ ถ้าหากว่ากำลังใจไม่ดีนี่ บางทีก็นึกถึงพระไม่ออก พวกเราส่วนหนึ่งพอเจอวัตถุมงคลมักจะรักพี่เสียดายน้อง อยากได้เมตตามหานิยม ถามว่าจะเอาพระขุนแผนหรือตะกรุดกำลังแม่พระธรณี ? ความจริงพระท่านทำให้ครบทุกอย่าง แต่ความเชื่อถือของคนเชื่ออย่างนั้นว่าเป็นด้านเมตตา คราวนี้ถ้าเป็นอาตมาเองก็จะเลือกวัตถุมงคลที่เป็นรูปพระไว้ก่อน แบบเดียวกับสมัยก่อน อาตมาพกลูกอมหลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ เป็นเมตตามหานิยมแท้ ๆ พอไปเจอพระขุนแผนหลวงพ่อสงวน ไม่รู้ว่าหลุดมาจากไหน ๑ องค์ ดูอย่างไรก็ใช่ของท่านแน่ ๆ จึงเปลี่ยนมาพกพระแทน อย่างน้อยตอนเราเห็นรูปพระ ใจก็นึกถึงพระพุทธเจ้า ได้กำไรมากกว่า ไปเห็นลูกอมก็ต้องนึกว่า ลูกอมหลวงพ่อสงวนท่านทำมา ท่านศึกษาวิชาการมาจากครูบาอาจารย์ กว่าจะนึกถึงพระได้ก็หลายยก ...(หัวเราะ)... ดังนั้น..เอาที่นึกถึงพระได้ง่าย ๆ ไว้ดีกว่า อาตมาเป็นคนขี้เกียจ..มักง่าย |
พระอาจารย์กล่าวว่า “ช่วงนี้คนเป็นหวัดกันเยอะมาก คราวนี้หวัดคนไม่เท่าไรหรอก หน้าหนาวนี่ไข้หวัดนกมักจะระบาด แล้วตอนนี้ก็ติดต่อกับคนได้ง่ายขึ้น เพราะฉะนั้น..บรรดากระทรวงเกษตร กระทรวงสาธารณสุขของเรา ต้องวางแผนป้องกันแต่เนิ่น ๆ ไม่ใช่รอให้เกิดแล้วค่อยมาแก้กันทีละอย่าง”
|
ถาม : ...(ไม่ชัด)... ไปผูกคอแต่ว่าไม่รู้ตัว ท่านบอกว่าโชคดีจังหวะที่เอาคอเข้าไปในห่วง ท่านรู้สึกตัวพอดีครับ แต่ว่าตอนที่ขึ้นไปผูกเป็นห่วงไม่รู้ตัวครับ ?
ตอบ : แบบเดียวกับที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเล่าให้ฟัง ท่านบอกว่าคนผูกคอตายไม่ได้คิดจะผูกเอง ก็คือว่าพระท่านนั่งส้วมอยู่ แล้วเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง อยู่ ๆ ก็ปีนขึ้นต้นไม้ แล้วก็เอาผ้าแถบ คือสมัยก่อนเขาไม่ได้ใส่ยกทรง เขาใช้ผ้าแถบพันหน้าอก เอาผ้าแถบผูกกับกิ่งไม้ แล้วอีกข้างหนึ่งก็คล้องคอ พระท่านก็ตกใจโวยวายขึ้นมา คนได้ยินก็เฮกันมาช่วย พอเอาตัวลงจากต้นไม้มา เขาบอกว่าเขาไม่ได้ผูกคอตาย เดินจากบ้านจะไปไร่ธรรมดา เจอขบวนเขากำลังแห่กัน เหมือนกับขบวนแห่สนุกสนานเวลาสงกรานต์หรือว่าบวชพระ แล้วก็มีผู้หญิงคนหนึ่งมาชวนให้เข้าขบวนไปกับเขาด้วย แล้วก็ส่งพวงมาลัยให้คล้องคอ แกบอกว่ากำลังจะหยิบพวงมาลัยคล้องคอ แล้วก็มีเสียงคนโวยวายแล้วกระโดดจับตัวแก คือตัวแกไม่รู้เรื่องเลยนะ คิดว่าแกเอาพวงมาลัยคล้องคอ แต่ที่คนเห็นก็คือกำลังเอาผ้าแถบผูกกิ่งไม้จะรัดคอตัวเองอยู่ ต้องบอกว่ากุศลช่วยไว้ทันจริง ๆ ไม่อย่างนั้นก็เสร็จ เอาเถอะ..ท่านรอดมาได้ก็ถือว่าดีแล้ว |
ถาม : เมื่อวานรักษากำลังใจทั้งวัน กลับบ้านไปเจอแม่เซอร์ไพร์สอยู่หน้าประตูเลยค่ะ สอบตก ?
ตอบ : ถ้าหวั่นไหวก็สอบตกอยู่แล้ว จะไหวมากหรือไหวน้อยก็แล้วแต่ สำคัญที่ว่าแก้คืนได้เร็วไหม ? |
พระอาจารย์กล่าวว่า “ปี ๒๕๑๗ เป็นปีสุดท้ายที่ยังหัวหกก้นขวิดอยู่ ไปเหนือ ไปกลาง ไปใต้ เสาะแสวงหาครูบาอาจารย์ ปี ๒๕๑๘ เจอตำราคู่มือปฏิบัติกรรมฐานของหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง อ่านแล้ว โอ้โห...ทำไมง่ายอย่างนี้ ? คนอื่นเขียนวิธีปฏิบัติธรรมยากอย่าบอกใครเลย ทำไมหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเขียนตำราง่ายขนาดนี้ ? จึงทุ่มเททำอย่างเต็มที่ ในเมื่อง่ายก็เอาเลย
เวลา ๙ ปีที่เกือบจะไม่คุยกับใครเลย ตั้งแต่อายุ ๑๖ ปี จนถึง ๒๕ ปี กลายเป็นคนพูดน้อย นอนน้อย กินน้อย ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติอย่างเดียว ใคร ๆ เขาก็ว่าบ้า ยังโชคดีที่ไปทุ่มเทตอนเป็นฆราวาสตั้งแต่อายุน้อย ๆ เอาไว้มาก พอบวชพระเข้ามาก็เลยสบาย ถ้าให้มาเริ่มทำตอนเป็นพระนี่ก็คงสาหัส แต่มีหลายอย่างส่วนที่เป็นฆราวาสทุ่มเทเต็มที่อย่างไรก็ไม่ได้ อย่างในส่วนของพรหมวิหาร ๔ ส่วนของอรูปฌาน กรรมฐาน ๔๐ กองอื่น ๆ ไม่ได้รู้สึกว่ายาก มายากอยู่ ๒ หมวดนี้ แต่พอบวชเข้ามา เอ๊ะ...ทำไมง่ายขึ้น พอไปเจอหลวงปู่มหาอำพันก็กราบเรียนถามท่าน ท่านบอกว่า "ก่อนหน้านี้เหมือนกับเราเก็บเงินเพื่อซื้อของแพง เงินยังไม่พอก็ซื้อไม่ได้สักที คราวนี้พอท่านบวชเข้ามา บุญของการบวชเป็นบุญใหญ่มาหนุน ของที่ควรจะได้ก็ได้มาเอง” |
พระอาจารย์กล่าวว่า "บ้านไหนมีหนุ่ม ๆ ถึงสามสี่คน พ่อแม่จะปวดหัวมาก ลูกผู้ชายดูแลยาก แต่ลูกผู้หญิงสมัยนี้ก็ไม่ค่อยจะอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนเหมือนกัน โลกภายนอกกว้าง ขึ้นไปเรื่อย
อาตมาเองลำเอียง รักลูกสาวมากกว่า โดนกรอกหูอยู่ทุกวัน โดยเฉพาะตัวเล็ก ๆ สั่งห้ามรับลูกชายเด็ดขาด ถามว่าทำไม ? เขาบอกผู้ชายใกล้พระได้มากกว่า เดี๋ยวหลวงพ่อรักลูกชายมากกว่า พวกเขาคิดแบบเด็ก ๆ แต่ที่บอกว่าพ่อแม่รักลูกไม่เท่ากันเป็นเรื่องปกตินะ อาตมาเองมาถึงขนาดนี้แล้วยังรักลูกไม่เท่ากันเลย ใครเป็นเด็กดี ว่านอนสอนง่าย สั่งอะไรทำได้อย่างใจ ก็รักมากหน่อย เพียงแต่ว่าถึงรักไม่เท่ากัน ก็อย่าให้ต่างกันมากมายจนเกินไป” |
พระอาจารย์กล่าวว่า “ร่ำร้องว่าอยากจะเป็นผู้ใหญ่ ถึงเวลาเจอขนมก็วิ่งเข้าใส่ รับรองว่ายังเป็นเด็ก..!
ถ้าห้ามใจตัวเองไม่ได้ก็ยังถือว่าเป็นเด็ก คนที่หักห้ามใจตัวเองได้จึงถือว่าเป็นผู้ใหญ่ การเป็นผู้ใหญ่ดูง่ายมาก สามารถฝืนใจทำสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบได้เมื่อไร ก็ถือว่าเป็นผู้ใหญ่แล้ว” |
เล่าเรื่องเมืองจีนต่อ "วันก่อนจบที่วันเสาร์ที่ ๒๐ เราพักอยู่ที่โรงแรมชื่อ “เซวี่ยเฉิงจื่อเตี้ยม” แปลว่าแดนหิมะ ตื่นเช้ามาอากาศไม่หนาวมากหรอก -๔ องศาเซลเซียสเท่านั้น..! เก็บข้าวของลงมาปรากฏว่ายังขึ้นรถไม่ได้ คนขับรถยังไม่มาเปิดรถให้ จึงไปสุมหัวรวมกันที่โรงครัว
อาหารเช้าเริ่มตอน ๐๗.๐๐ น. ดีใจที่เห็นว่ามีไข่พะโล้ ปรากฏว่าตักขึ้นมาชักสงสัย ไข่พะโล้บ้านเอ็งมาทั้งเปลือกเลยหรือวะ..?! สรุปว่าข้าโง่เอง ไม่ใช่ไข่พะโล้ แต่เป็นไข่ต้มใบชา พอต้มนาน ๆ น้ำชาออกมาดำปี๋ อาตมาเห็นก็นึกว่าน้ำพะโล้ แต่เชื่อเถอะ...ทุกคนเห็นก็คิดว่าไข่พะโล้เหมือนกันนั่นแหละ เพียงแต่ว่าไม่พูดหรอก อาตมาเองหน้าแตกก็ยอมรับ หลงผิดคิดว่าเป็นไข่พะโล้ กะว่าจะตักสัก ๒ ฟอง เจอฟองแรกเข้าไป เอ๊ะ...ทำไมมีเปลือกวะ ? ยกขึ้นมาดมก็ไม่มีกลิ่นพะโล้ ท้ายสุดนึกขึ้นมาได้ว่าประเทศจีนเขามีไข่ต้มใบชา ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพิ่มคุณค่าทางอาหารอย่างไร แต่เขาก็ต้มไปแบบนั้นแหละ ก็เลยต้องกินทั้งอย่างนั้นเหมือนกัน" |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 01:26 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.