![]() |
วันนี้คุยกับพี่รัตน์ผ่านทางเอ็มเอสเอ็น เฮียก็ถามอาหมวยแถวว่า "นี่ ลื้อไม่รู้อะไรเลยหรือ" หมวยแถวตอบด้วยใจอันใสซื่อ "มีเรื่องอะไรที่ต้องรู้หรืออาเฮีย"
พี่รัตน์บอกว่า"พี่กำลังจะตาย เอ็งไม่ได้รู้เรื่อง ไม่เล่าไม่บอก ไปอ่านเอาเองในเว็บ" เฮ้อ...ก็เฮียเขียนยาวและเยอะ อาหมวยก็เลยไม่(ค่อยจะ)ได้อ่าน จึงไม่รู้เรื่องอาเฮียเปื่อย แต่ตอนนี้รู้แล้วก็คงส่งกำลังใจให้ได้แค่ว่า "ขอให้หมอวางยาสลบ อย่าได้ผ่าสดก็แล้วกัน" :onion_wink: |
อ้างอิง:
...เธอเพิ่งมีอาการเป็นลม ล้มไปเฉย ๆ ไม่รู้ตัวล่วงหน้า แบบหมดสติ ถึง ๓ ครั้งติดกัน เมื่อประมาณ ๑-๒ สัปดาห์ที่แล้ว จนเธอนึกว่าจะตายแน่แล้ว ...เธอเล่าให้ฟังว่า เพิ่งได้กราบหลวงพ่อโนรีเป็นครั้งแรกมา ท่านเมตตาทักหลายประโยค "โชคดีนะ ที่เข้ามาทางธรรมได้" และว่า "จะไปนิพพานชาตินี้ ก็ไปได้นะ... พี่ น้อง เขาไปกันหมดแล้ว" |
อ้างอิง:
หลวงพี่:ไอ้ที่โยมว่า โยมไปช่วยงานหลวงพี่เล็กท่านมา แล้วมันเหมือนกับมารเขาเข้ามาขวาง เลยทำให้โยมอยู่ในสภาพนี้ อาตมาก็ขอบอกว่า งานนั้นมันบุญล้วน ๆ ไม่เกี่ยวข้องกันกับเรื่องนี้หรอก บุญส่วนบุญ มันก็เหมือนกับกงล้อที่หมุนไป ช่วงนี้ไปตกตรงไหน ก็ตรงนั้นแหละที่ส่งผล บุญก็รอส่งผลอยู่ แต่ที่ส่งผลตอนนี้ มันตรงกันข้ามแล้วทำไมละ ก็เมื่อเราก่อเอาไว้เองทั้งนั้น จงคิดใหม่นะ จงภูมิใจที่ยังมีโอกาสได้สร้างกุศล โดยเฉพาะการแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อครูบาอาจารย์ คำว่ากรรมไม่ส่งผลนั้น ไม่มีหรอกโยม แต่ถ้าเราทำความดีไว้เยอะ ๆ ไม่ประมาท กรรมไม่ดีมันก็ส่งผลได้ยาก แต่ไม่ใช่ไม่ส่งผลนะ :f449b82c: ทัดฤทธิ์:ขอรับ |
"ไกลจากอีกฟากหนึ่งของโลก" นับว่าเป็นวาสนาของโยมแล้ว ที่ได้ลูกสาวที่น่ารัก และจักเป็นที่พึ่งได้ในยามแก่เฒ่า เลี้ยงลูกให้ดี ดูแลเขาให้เต็มที่ นับว่าเป็นการก้าวไปอีกขั้นให้เรื่องครอบครัวของโยม มีลูกชายคน ลูกสาวคนนับว่าสมบูรณ์แบบแล้ว จงทำหน้าที่พ่อที่ดีให้กับลูก ๆ อาตมาขออำนวยพรให้ลูกสาวของโยมเลี้ยงง่าย และเป็นเด็กดีของพ่อและแม่ สู้ต่อไปนะโยม อาตมายังคอยดูแลโยมอยู่ แม้อาจหายไปนาน ด้วยภาระทางศาสนา แต่ก็ยังห่วงใยพวกโยมเสมอ เจริญพร |
"ก่อนบวช" (ไกลจากอีกฟากหนึ่งของโลก ๒) ถูกต้องแล้วโยม การจะเป็นพระดี...มันยาก วันนี้อาตมาอยากให้โยมใช้โอกาสที่ตัดสินใจละทางโลกนี้ให้เกิดประโยชน์ ศึกษาพระธรรมวินัย อย่าได้หวังฤทธิ์เดช หรือสิ่งใดใดในพระพุทธศาสนาเลย หากทำไม่ได้ก็ให้สงบนิ่ง นิ่งและนิ่ง ไหน ๆ โยมก็เลือกเส้นทางนี้แล้ว อาตมาก็อนุโมทนาแต่อยากให้ทำจริงจัง ไม่ใช่เพราะอยากเพียงอย่างเดียว ความอยากมักให้โทษเสมอ ชาติหนึ่งเราจะมีโอกาสไม่กี่ครั้งหรอกโยมที่จะได้บวช บางคนครั้งเดียวในชีวิตด้วยซ้ำที่ทำตามพ่อแม่ อาตมาจะเป็นกำลังใจให้อีกแรง ทำทุกวันให้สุข...สุข....สุข เจริญพร |
"ไกลจากอีกฟากหนึ่งของโลก ๓" โยมรู้.........ว่าอาตมาจะเทศน์โยมเรื่องอะไร โยมวุ่นวายใจ สับสน รุ่มร้อน ขาดที่พึ่ง ทุกอย่างมีทางออก แต่อย่าลงกับลูกกับเมียโยมเลย มันจะเป็นจุดอ่อนให้ชีวิตลูก ลูกสาวเห็นเหตุการณ์พ่อแม่ทะเลาะกัน ภายในจะเกิดปมด้อยในใจ กลัวและอ่อนแอต่อโลก อาตมาอยากให้โยมวางรากฐานครอบครัวให้แข็งแรง โยมเองก็เป็นหัวหน้าครอบครัว กับคำพูดกระทบกระเทือนใจบางคำ มันทำให้โยมตัดสินใจประเมินค่าเมียโยมได้แล้วหรือ การหย่าร้างไม่ใช่ทางออก โยมก็เคยโดนกับตัวมาแล้ว ชีวิตที่ขาดพ่ออยู่กับแม่ มันทรมานไหมโยม การที่โยมร้อนได้ขนาดนี้ เพราะโยมกำลังหลงในรสของสัตว์ใหญ่ เลยทำให้แรง รุนแรงจนน่ากลัว มันออกมาทางอารมณ์และกลิ่นอายแห่งความร้ายกาจแฝงมาเรื่อย ๆ โยมเคยตั้งสัตย์ปฏิญาณไว้ว่าอย่างไร อาตมาไม่ว่า หากโยมทำไม่ได้ ตลอดชีวิตก็อย่าตั้งสัตย์เลยโยม มันมุสา อาตมาคิดว่าการที่โยมไม่กินก็ดีกับตัวคนปฏิบัติ วัวควายก็คนชั่วนี่แหละ โดนสาปกันมา ชดใช้กรรมกันไป เขามีชีวิตอยู่กันนานเท่าคนเรานี่แหละโยม จนกว่าจะหมดกรรมกันไป โยมลุ่มหลงในรสมาก มันก็ลงกับอารมณ์ ก็แล้วแต่ความศรัทธาของโยม หน้าที่การงานก็ปล่อยมันไปตามเส้นทาง โยมจะเห็นว่าอาตมาขาดการติดต่อโยมไปนาน คิดว่าเวลาจะทำให้โยม ครองตน ครองคน ครองงานได้ โยมคงไม่ทำให้อาตมาผิดหวัง โยม....ก็พร้อมแล้ว หมดวาระในวิมานของเขาไปแล้ว เป็นหน้าที่ของโยมที่ต้องทำหน้าที่ ชดเชยและทดแทนตามสัญญา เรื่องคดี ขึ้นอยู่ที่บุญ กรรมของโยม ไปให้ใครดู อาตมาก็คิดว่าตามแต่ศรัทธา ทุกอย่างอยู่ที่ศรัทธาเท่านั้น ธุรกิจที่หวังแต่ผลประโยชน์จากคนอื่นเลี่ยงได้ก็อย่าทำเลย มันไม่มีอะไรได้มาง่ายในชีวิตโยมอยู่แล้ว บำเพ็ญเพียร ฝึกสมาธิ เพื่อให้เกิดปัญญาเถิดโยม แน่นอนที่สุด อาตมาเป็นกำลังใจให้แม้โยมจะไม่ได้ติดต่อมา และเราไม่ได้เจอกันหรือคุยกันเลย โยมอาจเห็นอาตมาเป็นคนอื่นหรือลืมอาตมาไปแล้ว เลี้ยงลูกลูกทั้งสองให้ดีอย่ารุนแรงทั้งทางกาย วาจา และใจ กับคนในครอบครัวเลย วันสิ้นลมก็มีแต่คน ๓ คนนี้เท่านั้น ที่จะอยู่เคียงข้างโยมจนหมดลมหายใจ อาตมาจะดูแลโยมในจิตเสมอ แม้โยมจะยังมาไม่ถึงก็ตาม อย่างไรอาตมาจะคอยโยมอยู่ที่ต้นทางเข้าป่าละเมาะ หวังว่าอาตมาจะได้เห็นโยมมา สักครั้งก่อนที่อาตมาจะสิ้นลมเช่นกัน เจริญพร |
รออ่านเรื่องเฮียขึ้นเขียงอยู่นาน เมื่อไหร่จะเล่าเสียทีคะ ว่าคุณหมอแงะไขมันไปกี่ชั้น
|
อ้างอิง:
|
อ้างอิง:
|
วันนี้ ๙.๐๐ น. ต้องเข้าห้องผ่าตัด งานนี้ต้องวางยาสลบ เตรียมตัวเตรียมใจเต็มที่แล้ว ยินดีคืนให้ทุกประการ
|
"เหมือนตายไปแล้ว"
ครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกและครั้งใหญ่ที่สุด ที่ล้มหมอนนอนเสื่อเข้าโรงพยาบาล ก่อนผ่าตัดกับหลังผ่าตัด อารมณ์มันช่างแตกต่างกันเสียเหลือเกิน เข้าโรงพยาบาลตั้งแต่เก้าโมงเช้า กว่าจะได้เข้าห้องผ่าตัดก็บ่ายสองโมงเย็น นอนภาวนาไปบ้าง ฟุ้งไปบ้างแล้วแต่จะจิตมันเผลอไปขนาดไหน อดอาหาร อดน้ำ ตั้งแต่เที่ยงคืนที่ผ่านมา ใกล้ถึงเวลาเข้าห้องผ่าตัด ค่อย ๆ บรรจงถอดพระเครื่อง พร้อมพนมมืออธิษฐาน "ขอบารมีพระคุ้มครอง ตั้งใจว่า ท่านใดที่เป็นเจ้ากรรมนายเวรในครั้งนี้ เราขออุทิศส่วนกุศลที่ทำมาดีแล้วตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน ขอท่านจงโมทนาและขออโหสิกรรมต่อกัน นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป" เวรเปลค่อย ๆ เข็นรถนำไปยังห้องผ่าตัด สภาพมันช่างดูน่าสังเวชใจ เหมือนตอนที่ "สัปเหร่อเข็นโลงเข้าเตาเผา"พอขึ้นบนเตียงผ่าตัดได้ไม่นาน คุณหมอก็มาบอกว่าไม่ต้องกลัวนะ เดี๋ยวจะวางยาสลบ แค่ไม่กี่อึดใจที่กระผมนอนภาวนาอยู่ สติมันค่อย ๆ เลือนไป ทั้ง ๆ ที่พยายามจับคำภาวนาสู้เอาไว้ มารู้สึกตัวอีกที มองไปที่นาฬิกา ทุ่มกว่า ๆ แล้ว มีสายอะไรไม่รู้อยู่ในคอมันเจ็บไปหมด ร่างกายอ่อนกำลังจะขยับแขนก็ไม่มีแรง เพราะฤทธิ์ยาสลบ พยายามตั้งสติภาวนาเอาไว้ จนคุณหมอเดินมาเรียก "คุณรัตน์ คุณรัตน์ ฟื้นหรือยังคะ" กระผมค่อย ๆ ลืมตาพยักหน้าตอบรับ หลังจากนั้นก็เวรเปล ก็เข็นออกมาจากห้องผ่าตัด เสียงลูกกับภรรยาร้องเรียกอยู่ใกล้ ๆ ในชีวิตไม่เคยเจ็บขนาดนี้มาก่อน มันแสบร้อนไปหมด ขอน้ำกิน พอดูดน้ำเข้าไป เลือดก็ไหลทางจมูกตลอด ไม่รู้จะทำอย่างไรได้แต่ทน พลางคิดในใจ "เราทำกรรมกับใครไว้ตอนไหนก็ตาม ตอนนี้เรารู้แล้วว่ามันทรมานขนาดไหน เราขออโหสิกรรม เราไม่ขอโกรธแค้นใด ๆ เราขอชดใช้ให้ด้วยความเต็มใจ" หายใจทางจมูกไม่ได้ต้องหายใจทางปากแทนมันทรมานมาก ใจก็คิดไปเมื่อสมัยตอนกระผมยังไม่ได้ปฏิบัติธรรม ก็ชอบตกปลาไปตามประสาเด็กชาวเกาะ มันเหมือนปลาที่เราปลดจากเบ็ดแล้วยังไม่ตาย ยังกระเสือกกระสนดิ้นรนหายใจอยู่ นอนก็ไม่หลับแทบทั้งคืนเพราะมันเจ็บ ค่อย ๆ จิบน้ำ อมเอาไว้ทีละนิดให้มันหายคอแห้ง |
ขอให้อาการดีวันดีคืนนะคะ กายทุกข์แต่ใจไม่ทุกข์
|
เจอค่ารักษาพยาบาลไปแสนกว่าบาท ประกันสุขภาพที่ทำกับบริษัทยักษ์ใหญ่ของคนไทย รับผิดชอบเพียงเล็กน้อย งานนี้ได้ใบบุญคุณแม่ช่วยออกค่าใช้จ่ายให้ ผมเองยังคงมีการผิดหวังอย่างแรงกับประกันชีวิตที่ทำไว้
วันเข้าพรรษาปีที่แล้วกระผมบวชอยู่ที่วัดท่าขนุน เห็นผู้คนมากมายต่างมาร่วมบุญงานเข้าพรรษา แต่ปีนี้ภาพมันช่างแตกต่างกันเสียเหลือเกินต้อง มานอนให้น้ำเกลืออยู่ที่โรงพยาบาล และแล้ว "แม่" ก็เป็นที่พึ่งของกระผมอีกครั้ง บุญคุณในชาตินี้คงไม่สามารถทดแทนได้หมด ผมออกจากโรงพยาบาลด้วยความชอกช้ำใจเป็นที่สุดในเรื่อง ๆ หนึ่ง แต่พอถึงบ้าน ห้าโมงเย็นก็กระเสือกกระสนขึ้นไปตามประทีป เจอหลวงพี่ท่าน ก็ก้มกราบด้วยความดีใจ หลวงพี่: เป็นอย่างไรบ้าง เรียบร้อยดีหรือเปล่า ทัดฤทธิ์:เรียบร้อยดีขอรับ หลังจากนั้น หลวงพี่ท่านก็เริ่มตามประทีป ระหว่างกระผมกับท่านก็เกิดความเงียบขึ้น ระหว่างที่ท่านตามประทีปเป็นอันว่ารู้กันว่า "ห้ามรบกวน" ผมจึงค่อย ๆ ตั้งจิตเป็นสมาธิ นั่งสมาธิในระหว่างที่ท่านตามประทีป ไม่นานเท่าไหร่นัก ก็มีญาติโยมขึ้นมาตามประทีป เมื่อตามประทีปจนครบทุกดวงก็อุทิศส่วนกุศล แล้วเข้าไปกราบลาหลวงพี่ หลวงพี่:ไปพักผ่อนก่อนเถอะไป พุทโธ ๆ ทัดฤทธิ์: ขอรับ กลับมารับประทานยาเรียบร้อย เข้าห้องพระ กราบพระสวดมนต์ แล้วก็รีบเข้านอน ที่นอนที่สบายที่สุดของผมคือตรงหน้าโต๊ะหมู่บูชา มองภาพพระวิสุทธิเทพเรซิ่นใส ที่ผมซ่อนดวงไฟไว้ด้านหลัง ให้เห็นเป็นภาพกสิณแสงสว่าง ใจมันมีสุขขึ้นมาจับใจ แต่ก็ยังไม่วายฟุ้งออกไป คิดสับสนวุ่นวายไปหมด หลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ ก็คงเป็นเพราะฤทธิ์ยา |
เช้าวันนี้คุณซัน (ลูกเจ้าคุณนรฯ)โทรมาหา
ลูกเจ้าคุณนรฯ: เป็นอย่างไรบ้างพี่ ผมเพิ่งเห็นสายของพี่ที่โทรเข้าแต่ผมไม่ได้รับ ทัดฤทธิ์: อ๋อ ไม่เป็นอะไรมาก ตอนนั้นจะเข้าห้องผ่าตัด เลยโทรฝากงานกฐินวัดท่าขนุนให้ช่วยดูแล เผื่อพี่เป็นอะไรไป คุยกันอยู่นาน สรุปความได้ว่า "พี่ ผมผ่าหัวเข่าเรียบร้อยแล้ว คราวนี้เป็นทีของพี่บ้างกระมังครับ" เห็นทีจะใช่อย่างที่คุณซันว่า ลูกเจ้าคุณนรฯ: เอา ๆ พี่พักผ่อนก่อนดีกว่า ผมไม่กวนแล้ว หายไว ๆ นะพี่ สู้ ๆ ทัดฤทธิ์: ขอบใจมาก ซัน |
วันนี้อารมณ์มันตัดหมด ไม่รู้ว่าจะบ่นอะไรและจะบ่นไปทำไม อย่างไรเสียก็ต้องรีบตั้งหน้าตั้งตาเดินต่อไป ล้มแล้วก็ต้องรีบลุก เพราะยังมีอีกหลายชีวิตที่อยู่ในความรับผิดชอบของผม ถ้ายังไม่ตายจากกัน ก็ต้องดูแลให้กำลังใจซึ่งกันและกันต่อไป
|
หลังจากผ่าตัดมาแล้ว ช่วงนี้จะเรียกว่า "ระยะพักฟื้นตัว" ก็เห็นจะได้อยู่ ร่างกายมันไม่เข้ารูปเข้ารอย เหมือนเก่าเท่าไหร่นัก ยังมีลิ่มเลือดออกมาเป็นระยะ ๆ อันนี้ยังพอสู้ไหว แต่ในเรื่องกำลังใจนั้น คราวนี้มันมีสองฝ่ายต่อสู้กันอยู่ข้างใน
"ใจหนึ่งมันสู้แบบถวายชีวิต ตายเป็นตาย เหมือนหมาจนตรอก" แต่อีก "ใจหนึ่งหมดสิ้นซึ่งเรี่ยวแรงและกำลัง พร้อมจะยกธงแพ้ตลอดเวลา" มันมาให้เห็นทุกวัน และเกือบจะทุกเวลา แล้วแต่ฝ่ายไหนเท่านั้นเอง ที่จะสามารถยึดพื้นที่ได้ในแต่ละช่วงขณะจิต กระผมส่งจดหมายข้ามฟากไปแดนไกล อย่างน้อยที่สุดก็เป็นการบอกกล่าวเล่าเหตุให้ครูบาอาจารย์ท่านฟัง ตั้งแต่ก่อนเข้ารักษาตัวและหลังทำการรักษาตัว มันมีประโยคหนึ่งที่ผมเขียนบอกท่านว่า "ถ้าจะให้ผมร้องไห้ออกมาตอนนี้ ผมร้องไม่ออก แต่กระผมจะพยายามต่อสู้อย่างเต็มที่" เมื่อคืนก่อนนอน ก็ว่าจะทำกรรมฐาน แต่ก็สู้ฤทธิ์ยาที่กินเข้าไปไม่ไหว มันอ่อนแรง ใช่ว่าจะนอนหลับ มันหลับตื่น ๆ เปิดเสียงธรรมของหลวงปู่หลวงพ่อท่านฟัง ให้เกิดกำลังสู้ มารู้สึกตัวอีกทีตอนตีสาม เคลิ้ม ๆ กึ่งหลับกึ่งตื่น เห็นภาพพระวิสุทธิเทพ ท่านลอยมาขาวสว่าง จนตัวผมเล็กเป็นอณูไปเลย ได้สติว่า "ลุกขึ้นมาทำกรรมฐานเถอะ นอนไปก็เท่านั้น" ค่อย ๆ คลานไปหน้าโต๊ะหมู่บูชา กราบพระสวดมนต์ แล้วทำกรรมฐาน จนตีสี่ครึ่ง เห็นร่างกายมันเริ่มอ่อนแรงลงอีก ก็เลยนอนทำกรรมฐานจนหลับไป รู้สึกอีกครั้ง ในนิมิต เห็นหลวงพ่อเล็ก ท่านกำลังสอนกระผมอยู่ ท่านเอากระดาษขึ้นมาพร้อมวาดรูปลงไปในกระดาษใบนั้น พร้อมกับสอนว่า "โครงสร้างของรูปอะไรก็แล้วแต่ สำคัญที่สุดก็คือเส้นหลัก ๆ ที่เราวาดลงไปก่อน จะเป็นรูปอะไร สวยงามขนาดไหน มันต้องให้ความสำคัญที่เส้นหลัก ๆ ก่อนเสมอ เหมือนกับการทำสมาธิ ทำกรรมฐาน ให้เราให้ความสำคัญตั้งแต่พื้นฐานขึ้นไปเสมอ ๆ " |
สองวันนี้ กำลังใจดีขึ้นมาก หลังจากได้ร่วมปฏิบัติกรรมฐาน ตามเสียงถ่ายทอดสดจากบ้านอนุสาวรีย์ กระผมก็กำหนดรู้ตลอดว่ากำลังใจดีขึ้น แต่ไม่ประมาท และอาจจะเป็นเรื่องอัศจรรย์สำหรับใครบางคนหรือหลาย ๆ คน โดยเฉพาะที่ยังลังเลสงสัยในเรื่องของผลการปฏิบัติ
หลวงพ่อท่านเคยสอนว่า "ให้จับภาพพระแล้วอาราธนาขอบารมีท่าน เคลื่อนภาพพระไปตรงบริเวณที่เรามีความเจ็บป่วยอยู่ในร่างกาย แล้วขอพระฉัพพรรณรังสีของพระองค์ท่าน ให้สว่างคลุมตรงจุดหรือบริเวณนั้น เพื่อเป็นการรักษา" กระผมก็ทำเช่นนั้น วันแรกหลังจากทำกรรมฐาน โดยใช้ภาพพระอย่างที่หลวงพ่อท่านสอน ปรากฏว่า รูจมูกด้านซ้ายที่ผ่าตัดเอาเนื้องอกออกไป ซึ่งปกติช่วงนี้รู้สึกว่าทึบและตัน กลับกลายเป็นหายใจได้ปกติ โล่งสบาย อาการเจ็บน้อยลง วันที่สอง หายใจได้เป็นปกติทั้งสองข้าง อาการเจ็บแทบไม่มีเลย ลิ่มเลือดน้อยลงไปกว่าเก่าเยอะมาก ร่างกายรู้สึกสดชื่นขึ้น มีกำลังมากขึ้น สาธุ สาธุ สาธุ |
"สื่อกลางทางสว่าง"
สองสามวันนี้ผมสังเกต ภรรยา เธอมีอาการแปลก ๆ และด้วยความรู้สึกบางอย่างในใจกระผม มันจะต้องมีเหตุการณ์บางเหตุการณ์เกิดขึ้นแน่ ๆ วันพระแรม ๘ ค่ำที่ผ่านมา หลวงพี่ :เอา! ใครจะอธิษฐานต่อหน้าพระบรมสารีริกธาตุ ก็อธิษฐานเลยนะ เอาเชิญ (หลวงพี่ท่านย้ำอยู่สามวาระ แต่กระผมก็ยังนั่งเฉยอยู่) เจอของดี เจอทางสว่างแล้วก็จะเลือกเอานะโยมเส็ง แล้วท่านก็หันมาทางผมอีกครั้ง ด้วยอาการที่ท่านเฉลย บางสิ่งบางอย่างที่ทำให้กระผมตาสว่าง หลวงพี่: วันนี้เราตั้งใจตามประทีปหนึ่งพันดวง บูชาพระรัตนตรัยและพระบรมสารีริกธาตุ เราเลยบอกให้เธอตั้งจิตอธิษฐานขอในสิ่งที่เธอติดขัดอยู่ ทัดฤทธิ์: ขอรับหลวงพี่ แล้วผมก็ตรงไปกราบพระ งานนี้มีกระผมคนเดียวที่ตั้งจิตอธิษฐานบารมี หลวงพี่:เป็นอย่างไรบ้าง อธิษฐานเสร็จแล้ว ทัดฤทธิ์: เบาเลยครับหลวงพี่ อารมณ์ใจโล่งสบาย เหมือนได้กำหนดเป้าหมายในชีวิตอีกครั้ง หลวงพี่: อือม์ สาธุ สาธุ สาธุ หลังจากกลับมาถึงบ้านด้วยอารมณ์ใจที่เบาสบาย มาเจอภรรยาผมใส่หัวโขนหน้ายักษ์ พายุฝีปากโหมกระหน่ำแบบ "summer sell" กระผมไม่โต้คารมอะไรมากนักเท่าแต่บอกให้เธอมีสติ แล้วก็รีบชิ่ง ไปปาดเหงื่อในห้องพระ พลางคิดว่า "อะไรวะ มันออกข้อสอบกันชนิดที่เรียกว่า ก้าวต่อก้าวเลยหรือ" แล้วก็วางอารมณ์ทิ้งไป ปฏิบัติ สวดมนต์ไหว้พระแล้วเข้านอนตามปกติ |
วันพุธ กระผมนำข้าวไปถวายท่านตามปกติ
ทัดฤทธิ์:หลวงพี่ครับ เมื่อคืน เขาเล่นผมไม่ได้เขาเล่นภรรยาผมแทนครับ หลวงพี่:ธรรมดาโยม เขาใช้เครื่องมือทุกอย่างแหละ ดูไป รู้ไป พิจารณาไป มาคืนนี้เหตุการณ์สด ๆ อยู่ ๆ เธอก็มีอาการร้องไห้ ผิดปกติ เวลาเดินก็เหมือนไม่ใช่ตัวเธอเอง ผมเตรียมใจไว้แล้ว พอเข้าไปในห้อง เอาแล้วตูเจออีกแล้ว "พี่รัตน์ เอ๋ขอพระหน่อย เอ๋รู้สึกไม่ค่อยดี" สีหน้าแววตาเปลี่ยนไปหมด ผมเองก็อารธนาบารมีพระท่านเป็นที่พึ่งทันที วางกำลังใจ เอาวะ มาคุยกันให้รู้เรื่อง พอผมถอดพระสมเด็จองค์ปฐม สวมคอให้ เธอก็กรี๊ดออกมาลั่นบ้าน ทัดฤทธิ์: เอาเธอเป็นใครว่ามา เธอต้องการอะไรว่ามา เรายินดีช่วยหากไม่ผิดศีลและไม่เป็นการต้องทำให้ผู้อื่นตกอยู่ในความยากลำบาก เราหนาว เราจะมาอยู่กับเอ๋ เราจะมาบำเพ็ญบารมี เอ๋เป็นคนดี เราต้องการเอ๋ ทัดฤทธิ์: เดี๋ยว เธอต้องเข้าใจนะว่า เธอกำลังทำอะไรอยู่ และการที่เธอบอกเธอเป็นเทพหรือเทวดา เธอต้องมีธรรมะ ธรรมะของเธอตอนนี้ เธอกำลังทำให้เจ้าของร่างทุกข์ทรมานอยู่ เธอว่ามันถูกแล้วหรือ เราจะมาอยู่กับเอ๋ เราจะมาบำเพ็ญบารมี ท่านอย่าทำอะไรเราเลย ท่านไม่อนุญาตหรือ ทัดฤทธิ์:เราไม่สามารถอนุญาติได้หรอก เพราะเราและภรรยาเราต่างมอบกายถวายชีวิตต่อพระรัตนตรัย พระรัตนตรัยต่างหากเป็นเจ้าของชีวิตเราเธอจะมาทึกทักเอาแบบนี้ไม่ได้ เธอไม่เห็นหรือว่าร่างกายนี้สกปรก เราต้องการร่างนี้บำเพ็ญบารมี ทัดฤทธิ์:แล้วเธอคิดว่าเธอจะมีความสุขหรือ ความสุขที่แท้จริงคือการยังเวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่าง ๆ อีกหรือ เราขออาราธนาบารมีพระประทับเหนือเศียรเหนือเกล้าเรา ถ้าเธอเห็น ก็ขอให้เธอจงรู้เถิดว่า พระองค์ท่านเท่านั้นที่ทรงชี้ทางสว่างจากการเวียนว่ายตายเกิด อันคือพระนิพพาน เราคงไม่สามารถคุยอะไรกับเธอได้มากกว่านี้ หากเธอยังดื้อดึง แต่หากเธอต้องการไปที่สว่าง ก็ขอเธอจงตามแสงแห่งพระฉัพพรรณรังสีแห่งพระองค์ท่านไปเถิด พระองค์ท่านทรงพระเมตตาแด่สัตว์ทั้งหลายโดยเท่าเทียมกัน ............(เงียบ) เราหนาว เราต้องการบำเพ็ญบารมี ทัดฤทธิ์: หากเป็นแบบนี้เราก็คงจำเป็นจะต้องขอบารมี ท่านท้าวมหาราชทั้งสี่ จากพระขรรค์โสฬสเล่มนี้ ซึ่งเราไม่ต้องการทำเช่นนี้ เราต้องการให้เธอ พยายามนึกถึงธรรมะ ของพระพุทธองค์ เพื่อเธอจะได้ไปสู่ภพภูมิอันสว่าง อย่า เรากลัวแล้ว เรากลัวแล้ว อย่า ทัดฤทธิ์: ถ้าอย่างนั้นเธอจงตอบเรามาตรง ๆ ว่าไม่ใช่เทพหรือเทวดาใช่หรือไม่ .ใช่ เราไม่ใช่ เราเคยสัญญากับเอ๋ไว้ ว่าเราจะไม่พรากจากกันมานานแล้ว ทัดฤทธิ์: นั้นหาใช่สิ่งที่ถูกต้อง เพราะคือการผูกภพผูกชาติผูกเวรผูกกรรม อย่างไรเสียเราขอให้เธอจงตัดสัญญานั้นเสียเถิด แล้วไปสู่ภพภูมิตามแนวทางของเธอที่เธอได้สร้างเอาไว้ ทั้งกุศล และอกุศล ขอเธอจงน้อมจิตตามแสงพระฉัพพรรณรังสีแห่งพระองค์ท่านไป นับแต่นี้เป็นต้นไป สิ่งที่เธอทั้งสองก่อผูกเอาไว้ ได้มลายหายสิ้นไปหมดแล้วด้วยพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ภพชาติระหว่างเธอทั้งสองได้ขาดลงแล้ว ขอเธอจงอโหสิกรรมที่ต่างเคยก่อกันมา และขอเธอจงโมทนาบุญที่เราและภรรยาได้บำเพ็ญมาดีแล้วด้วยเทอญ |
ท้ายสุด สุดท้าย เธอก็ยอมออกจากร่าง แต่ไปไหนอย่างไรกระผมไม่ทราบ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า เธอจะได้ไปสู่ภพภูมิที่ดีขึ้น หากเธอสามารถระลึกนึกถึง พระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งได้
ทัดฤทธิ์: หลวงพี่ขอรับ เมื่อคืนเกิดเหตุการณ์ขึ้นขอรับ หลวงพี่: มันเป็นสภาวธรรม พุทโธ ๆ เอาไว้ |
"เพราะความที่เรียกว่า ไม่รู้แต่ยังอวดรู้"
หลวงพี่: วันนี้เราได้คุย อะไรหลาย ๆ อย่างกับโยมแอ๋ว โยมจำเรื่องที่โยมไปอัญเชิญพระธาตุ ที่ผิดวิธีจากถ้ำได้หรือเปล่า โยมแอ๋วบอกกับหลวงพี่ว่า เทวดาเหล่านั้นท่านยังไม่ยอมอยู่ โยมแอ๋วมีความคล่องตัวสูง วันนี้เขาพูดเรื่องนี้ขึ้นมา ทัดฤทธิ์: ขอรับหลวงพี่ กระผมเองก็ทราบดี ด้วยความที่กระผมไม่รู้ก็ดีหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี ตอนนั้นกระผมได้ถวายหลวงพ่อ กะว่าจะให้หลวงพ่อท่านได้แจกจ่ายญาติโยมที่มาทำบุญ จะได้นำไปบูชา จนหลวงพ่อท่านบอกว่า "พระธาตุที่คุณรัตน์เอามานั้น ขโมยเทวดามา" ถึงสองครั้ง กระผมถึงได้หยุดพิจารณาว่า การที่เรากระทำไปนั้น มันถูกต้อง สมควร หรือว่าเราเพียงแค่เชื่อคนอื่น ด้วยความไม่รู้ ไม่รอบคอบ เห็นเขาบอก ว่าได้ ว่าดี ก็เชื่อโดยขาดการพิจารณา กระผมเองนำไปบรรจุในองค์พระที่สร้างที่กระบี่ไปเยอะแล้วขอรับ ยังเหลือที่บ้านอีกเล็กน้อย เรื่องจะแจกจ่ายผู้อื่นกระผมคิดมาก เพราะให้ไปแล้วถ้าเขาไม่เห็นคุณค่า หรือไม่บูชา เดี๋ยวจะเกิดโทษ มากกว่าบุญ กระผมจึงไม่กล้าให้ใครขอรับหลวงพี่ หลวงพี่: อือม์ อวิชชาคือความไม่รู้ หรือรู้ไม่จริง ในสังคมปัจจุบันนี้มีเยอะมาก ดีนะที่อัญเชิญมามีเทวดาท่านดูแล ถ้าเป็นอย่างอื่นดูแลเห็นท่าโยมจะเดือดร้อน ทัดฤทธิ์:กระผมวางเฉยกับเรื่องความอยากรู้อยากเห็น และอยากครอบครอง ลงไปได้เยอะมากครับหลวงพี่ ด้วยความที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ที่ผ่าน ๆ ทำมากระผมต้องเดือดเนื้อร้อนใจมาหลายเรื่อง กระผมเองก็มีเรื่องจะรบกวนหลวงพี่ขอรับ แต่ก็ขอกราบขอความเมตตาหลวงพี่ด้วยขอรับ คือกระผมจะนำเอาพระธาตุชุดที่ไปอัญเชิญมา มาถวายและประดิษฐานที่นี่ขอรับ หลวงพี่จะว่าอย่างไรขอรับ หลวงพี่:เอาเชิญ ๆ เราตั้งใจตามประทีปบูชาแน่นอน และก็ดีสำหรับโยม เพราะโยมก็ขึ้นมาตามประทีปประจำอยู่แล้ว จุดธูปบอกกล่าวท่านเทวดาที่ดูแลพระธาตุเหล่านั้นขอขมาท่าน ว่าเราเองทำไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ จำคำขอขมาของหลวงพ่อฤๅษีได้หรือเปล่า ท่านผูกไว้ดีมาก ๆ ที่ว่า "ที่รู้เท่าถึงการณ์ก็ดี รู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี" นี่แหละคนสมัยนี้ มันไม่รู้ยังอวดฉลาดกันอีก เอา ๆ เจริญพร ๆ |
อ้างอิง:
ตอนนั้นยายนุ้ยรู้ซึ้งถึงคำว่า แม้แต่ลูกและสามีที่ว่ารักนักรักหนา ก็ไม่อาจช่วยอะไรเราได้เลย สุดท้ายหากเราจะต้องตาย ณ ขณะนั้น เราคงต้องตายคนเดียว แล้วอารมณ์สลดสังเวชก็เกิดขึ้น จับลมหายใจภาวนา พุทโธ ๆ ๆ ๆ ๆ...แล้วแต่แพทย์จะจัดการต่อไปตามวิถีทาง แต่ในที่สุดก็ยังรอดมาได้ค่ะ ฮิฮิ..เลยต้องมานั่งชดใช้กรรมกันต่อไป |
"คนทั่วไป"
ทัดฤทธิ์:หลวงพี่ครับ มีคนมาปรึกษากระผมว่า เขาจะล้างแค้นให้พี่ชายของเขา ที่ถูกฆาตกรรม ผมเลยต้องคุยปรับเปลี่ยนทัศนะคติของเขาอยู่นานเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของ การให้พิจารณาว่านั้น คือกรรมที่คู่กรณีได้ก่อกันมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของบุญ ที่ถือว่าเป็นของวิเศษ ให้ทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ ยังไม่วายย้อนถามกระผมว่า "บุญที่ให้ไปแล้วทุกคนจะได้เท่า ๆ กันหรือ" หลวงพี่:อย่างนี้แหละโยม คนประเภทแบบนี้มีมากมายเสียเหลือเกินในเขตพระพุทธศาสนาของเรา ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกไม่รู้จักจบจักสิ้น น่าสงสาร น่าเวทนาเป็นที่สุด สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม อย่างโยมมาใส่บาตรอาตมาวันนี้....เทวดาท่านมาให้พรนะ มันช่างต่างกับคนที่ยังไม่รู้อีกมากมายเลยโยม ทัดฤทธิ์:สาธุขอรับหลวงพี่ อย่างที่กระผมให้คำปรึกษาแบบนี้ เรียกว่ากระผมไปยุ่งเรื่องของชาวบ้านหรือเปล่าขอรับ หลวงพี่:เปล่าหรอกโยม แบบนี้เราถือว่า เราให้ธรรมะ เป็นธรรมทาน ให้เขาเห็นว่ามันคืออะไร บาป บุญ คุณ โทษ และสัจธรรมมันมีมาคู่โลกเรามานานแล้ว.......เราให้เขาแล้ว เราก็วาง ถือว่าที่เหลือเป็นเรื่องของเขา บุญเป็นของเรา จะเล็กจะน้อยก็เก็บสะสมไป |
"ขอขมาชุดใหญ่"
หลวงพี่: โยมรัตน์ เรามีเรื่องจะบอก ให้โยมทำบายศรีมาขอขมาพระรัตนตรัยและพระบรมสารีริกธาตุ ตลอดจนเหล่าเทวดาที่ดูแลรักษาพระบรมสารีริกธาตุ พระปัจเจกสารีริกธาตุ พระธาตุ พระอรหันตธาตุ ทำบายศรีมาสองชุดนะ ไม่เข้าใจอะไรให้ปรึกษาโยมแอ๋ว อะไร ๆ ที่ปิดทางโยมในการปฏิบัติอยู่จะได้เปิด จะได้สว่างเสียที ถึงเวลาแล้ว.......สนุกสนานเลยนะโยม ไอ้ความไม่รู้คราวนี้ส่งผลหลายปีเลยนะโยม ไปขโมยมามันก็ต้องเป็นอย่างนี้แหละ ทัดฤทธิ์: ขอรับหลวงพี่ บายศรีขอขมา ปกติกระผมไม่เคยได้ยินนะขอรับ เดี๋ยวกระผมจะรีบไปจัดการขอรับ หลวงพี่: ดีแล้วอย่างได้นิ่งนอนใจ............นี่เราบอกแล้วนะ ทัดฤทธิ์:ขอรับหลวงพี่ กราบนมัสการลาขอรับหลวงพี่ หลวงพี่: เอา ๆ เดินทางปลอดภัย มีสติทำงาน เอาพุทโธ ๆ ทัดฤทธิ์:พี่แอ๋ว บายศรีขอขมาผมไม่เคยได้ยินนะพี่ ผมรู้จักแต่พานธูปเทียนแพขอขมาครับ แล้วรู้สึกว่าต้องทำสองชุด พานแรกขอขมาพระรัตนตรัยและเทวดาที่ดูแลรักษาพระบรมสารีริกธาตุถวายที่สำนักสงฆ์ พานที่สองขอขมาพระรัตนตรัยและเทวดาที่ดูแลรักษาพระบรมสารีริกธาตุที่บ้านครับ พี่แอ๋ว:แบบนั้นแหละถูกแล้ว นี้หลวงพี่ท่านบอกเธอแล้วหรือ ทัดฤทธิ์:ครับพี่ ผมไปร้านทำบายศรีมาแล้ว แต่ไม่แน่ใจเลยโทรมาสอบถามพี่อีกครั้งเพื่อความถูกต้อง พี่แอ๋ว:รีบจัดการเสียนะ อย่าให้เกินเดือนสิบ วันสารทไทยนะ ทัดฤทธิ์:ผมว่าจะขอขมาวันพระใหญ่สิบห้าค่ำนี้แหละครับพี่ พี่แอ๋ว:สาธุ ๆ ขอโมทนาด้วย |
ทุกเช้าหลังจากไปส่งลูกที่โรงเรียน ผมจะขับรถกลับมาบ้านอีกครั้ง เพื่อนำอาหารไปใส่บาตรหลวงพี่ ลุ้นกันแทบทุกวัน รถก็ติดขึ้นเรื่อย ๆ
แต่ท่านก็เมตตารับอาหารทุกครั้งถึงจะไปสายบ้าง หลวงพี่:โยม พระบรมสารีริกธาตุทั้งหมด รวมถึงพระปัจเจกสารีริกธาตุ พระธาตุ พระอรหันต์ธาตุ ล้วนแล้วแต่มีความสำคัญและศักดิ์สิทธิ์มาก ถ้าโยมประดิษฐานไว้ในห้องพระ แล้วหากโยมเป็นคนที่มีความคล่องตัวในฌานมาก ๆ จะดีมาก แต่นี้โยมมันตรงกันข้ามเลย ......(ท่านยิ้ม ๆ) ทัดฤทธิ์: หลวงพี่! กระผมขอถามอะไรตรง ๆ นะครับ (ท่านพยักหน้าตอบรับด้วยสีหน้าเหมือนจะรู้ว่ากระผมจะถามอะไร) ที่ผ่านมาก่อนกระผมจะไปบวชและอยู่จำพรรษากับหลวงพ่อเล็ก ก่อนหน้านั้นกรรมฐานหรืออะไรที่ผมรู้สึกว่าผมรู้ ผมคล่อง แท้จริงแล้วผิดเกือบหมดเลยใช่หรือไม่ขอรับ หลวงพี่ :อือม์ เกือบจะผิดทั้งหมด เกือบ ๆ นะ ไอ้ที่ถูกก็มีอยู่ โยมมีบุญ หลุดออกมาจากวงจรแห่งอวิชชาตรงนั้นมาได้ ก็ถือว่าได้รับบทเรียนมาเยอะมาก จะได้โตเป็นผู้ใหญ่ในการปฏิบัติเสียที ยังมีคนหลงทางอีกเยอะโยมเพราะความอยากได้ อยากมี อยากรู้อยากเห็นจนขาดเหตุผล และโดยเฉพาะโลกธรรมแปดที่มันเป็นบ่วงร้อยรัดบุคคลเหล่านั้นเอาไว้ มันน่าสงสารจริง ๆ อะไร ๆ ที่ปิดโยมอยู่เหมือนที่ครูบาอาจารย์ของโยมเคยบอกโยมไว้ว่าเมื่อถึงเวลาทุกอย่างมันจะเปิดออก ตามที่โยมเคยเล่าให้อาตมาฟัง ไม่ต้องห่วงหรอก ทำไป ปฏิบัติไป เดี๋ยวหลวงพ่อเล็กท่านเปิดทางให้โยมเองแหละ ครูบาอาจารย์ท่านเมตตาเราอยู่ ท่านดูแลเราตลอดนั้นแหละโยม โชคดี ความดีไม่ทิ้งใครหรอกโยม ทัดฤทธิ์:สาธุ กราบแทบเท้าขอบพระคุณมากขอรับหลวงพี่ ปีนี้ถ้าผมไม่ได้ความเมตตาจากหลวงพี่ ผมเองก็ไม่รู้จะเป็นอย่างไร หลวงพี่: เอา ๆ ไปทำงาน เดี๋ยวจะสาย |
วันพระที่ผ่านมาหลังจากตามประทีปบูชาพระรัตนตรัยและพระบรมสารีริกธาตุเสร็จเรียบร้อยแล้ว กระผมก็ทำการขอขมาด้วยพานธูปเทียนแพ ทั้งที่สำนักสงฆ์และที่บ้าน
วันถัดมาหลังจากตักบาตรถวายข้าวหลวงพี่เสร็จเรียบร้อยแล้ว ท่านค่อยบรรจงเอาผ้าปิดบาตรที่รับอาหาร เป็นอันว่ารู้กันว่าท่านมีเรื่องจะคุยด้วย หลวงพี่:โยม! รู้หรือเปล่าว่าเมื่อคืนเทวดาท่านเสด็จมากันมาก มากจริง ๆ ล้วนแล้วแต่ทรงฤทธานุภาพมาก ๆ ใครได้มโน ฯ ก็ลองย้อนไปดูนะ แต่อาตมาขอบอกว่าแทบจะเห็นด้วยตาเนื้อเลยเชียว ท่านมากันเยอะจริง ๆ ท่านรับคำขอขมา ดีแล้วโยมอะไร ๆ จะได้เป็นไปอย่างถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ทัดฤทธิ์: สาธุ ที่บ้านกระผมก็เริ่มด้วยเทปเสียงบวงสรวงชุมนุมเทวดาของหลวงพ่อ ตามด้วยบูชาพระรัตนตรัย สมาทานศีลแปด และถวายพานธูปเทียนแพขอขมาพระรัตนตรัย และเหล่าเทวดาทั้งหลายที่ดูแลรักษาประทีป รู้สึกโล่งเลยขอรับ สบายใจ ที่ผ่านมากระผมก็รู้ว่าผิดมาตลอด จะไปโทษใครก็ไม่ได้ ต้องโทษตัวเองนั่นละครับ อยากได้บุญ แต่ไม่รู้ว่าได้อย่างอื่นแถมมาด้วย หลวงพี่: เอาคราวนี้รู้ก็เป็นบทเรียนที่ดีแล้ว ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติต่อไป |
มาป่วยเป็น "อีสุกอีใส" เอาตอนแก่ มันน่าอายเด็กจริง ๆ ร่างกายนี้มันไม่ใช่ของของเรา ไม่ใช่เราจริง ๆ ดอกบัวหน้าบ้าน บานอยู่สามดอก ว่าพรุ่งนี้จะนำไปถวายพระรัตนตรัยที่สำนักสงฆ์ กลัวว่าจะเอาอีสุกอีใสไปติดหลวงพี่หรือเปล่าก็ไม่รู้ วันนี้รู้สึกเหนื่อย ๆ มันคันในลูกตา แต่ไม่รู้จะเกาอย่างไร เมื่อเช้าตื่นมานั่งสมาธิ มันช่างสงบดีแท้ คิดถึงหลวงพ่อ ตกตอนเย็นก็มีสายโทรเข้ามาจากคุณซัน ว่า
"พี่รัตน์หลวงพ่อถามถึง มีญาติโยมเขาต้องการมารับพระอุปคุตเนื้อชุบทองที่บ้านอนุสาวรีย์หลายท่าน" งานเข้า! กระผมต้องกราบแทบเท้าขอขมาหลวงพ่อ และทุก ๆ ท่านด้วย ลืมคิดถึงเรื่องนี้ไปจริง ๆ นึกถึงแต่งานกฐินที่วัดท่าขนุน คิดไปว่าหลาย ๆ ท่านคงไปรับที่นั่นและบางส่วนก็คงขอรับที่บ้านอนุสาวรีย์ ต้องกราบขออภัยอย่างยิ่งอีกครั้งขอรับ:875328cc: |
วันนี้ไข้มันหลบอยู่ข้างใน มันปวดเมื่อยชนิดที่เรียกว่า นอนซมอย่างเดียว ตื่นมาดูนาฬิกา ก็ถึงเวลาถ่ายทอดเสียงหลวงพ่อสอนกรรมฐาน รีบอาบน้ำ อือม์! มันหนาวเข้ากระดูกเลยเชียว
เมื่อเช้ากระผมเจอบุคคลที่หลวงพี่กล่าวถึงเสมอ ๆ นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เจอบุคคลท่านนี้ตัวเป็น ๆ หลวงพี่ :เอาโยมรัตน์ติดขัดเรื่องปฏิบัติอะไรก็สอบถามกันเอาเองนะ ทัดฤทธิ์ : ขอรับหลวงพี่......ผมดีใจที่ได้เจอพี่นะ หลวงพี่ท่านพูดถึงพี่ให้ผมฟัง ผมหันไปหาพี่ชายท่านนั้น พลางเห็นสีหน้าพี่แกตกใจเล็กน้อย พี่ชาย: โอ้โห เอาอย่างนี้เลยหรือท่าน หลวงพี่:อาตมาแค่บ่นถึงโยมให้โยมรัตน์เขาฟัง....ท่านพูดพลางยิ้ม การสนทนาธรรมระหว่าง หลวงพี่กับพี่ชายท่านนั้น ช่างเป็นบรรยากาศที่กระผมบรรยายไม่ถูก ได้แต่ฟังและปล่อยให้จิตมันเก็บเอาประโยชน์ในธรรมนั้น "แบบดิบ ๆ" มาเท่านั้น ถ้าคิดตามมันฟังแทบไม่รู้เรื่อง จนเสียงโทรศัพท์ของแม่บ้าน (ภรรยา) โทรมาตามให้ช่วยไปดูลูกเพราะป่วยเป็นอีสุกอีใสเช่นกัน กราบลาหลวงพี่และพี่ชายท่านนั้นรีบลงมาบ้าน จัดข้าวปลาอาหารให้ลูก กินยา แล้วก็นอนหลับเพราะฤทธิ์ยา จนตื่นมาเมื่อตอนเกือบ ๆ หกโมง |
กระผมมีประสบการณ์สด ๆ ร้อน ๆ จะมาเล่าให้ฟังเรื่องของ "บุญสังฆทาน"
สืบเนื่องจากมีญาติผู้ใหญ่ทางภรรยาท่านป่วยหนักเป็นตายเท่ากันอยู่ กระผมก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้มากเท่าแต่ปลอบใจว่า มันเป็นเรื่องธรรมดาโลก ให้ทำใจกันไว้ อย่างน้อยที่สุด เรายังได้ดูแลท่านที่บ้าน ไม่ต้องให้ไปนอนโดนหมอเจาะใส่สายอะไรต่อมิอะไรเต็มไปหมด ในเมื่อหมอเองก็บอกว่าหมดทางรักษาแล้ว ช่วงเช้าของวันฝนตก หลังจากได้ตักบาตรถวายอาหารหลวงพี่แล้ว ก็เรียนเรื่องนี้ให้ท่านทราบ อย่างน้อยที่สุดก็ขออานิสงส์ในบุญนี้อุทิศให้คนป่วย หลวงพี่ท่านรับทราบแล้วท่านก็บอกกับกระผมว่า หลวงพี่:จำที่หลวงพ่อฤๅษี ท่านสอนเรื่องบุญสังฆทานได้หรือเปล่า? บุญสังฆทานนี้อานิสงส์ใหญ่มากนะ หากท่านมีโอกาสได้ทำก่อนสิ้นใจสักครั้งก็จะดีมากนะ โยมไปนิมนต์พระ ๕ รูป ให้ไปรับฉันเพลและรับสังฆทานที่บ้านสิ ให้คนป่วยได้ทำบุญ ได้เห็นผ้าเหลือง วิธีนี้แหละที่หลวงพ่อฤๅษีท่านแนะนำลูกหลานเอาไว้ ทัดฤทธิ์:ขอรับหลวงพี่ กระผมจะรีบนำไปจัดการขอรับ หลังจากนั้นวันถัดมาก็ได้นิมนต์พระ ๕ รูป มาฉันเพลพร้อมรับสังฆทาน มีพระพุทธรูป ผ้าไตรจีวร ซึ่งคุณตาท่านก็อิ่มบุญและดูท่านมีความสุขในบุญนั้น เมื่อวานตอนทุ่มเศษ ๆ ท่านได้เสียชีวิตลงอย่างสงบ ทุกคนต่างร้องห่มร้องไห้เป็นธรรมดา ผมเองก็ได้แต่คอยปลอบใจ หลังจากนั้นก็เดินออกมาจัดโทรติดต่อเรื่องฉีดยาศพและหีบศพ เสียงโวยวายก็ดังขึ้น ฟังไม่ได้ใจความเพราะผมอยู่ห่างพอสมควร รีบเดินจ้ำ เข้าไปดู ที่ไหนได้ วิญญาณคุณตาสื่อผ่านภรรยาผม ซึ่งตอนนี้ผมเองก็พยายามควบคุมสติ และดูว่าที่เป็นอยู่นี้ มันใช่ตาจริง ๆ หรือเปล่าที่สื่อกันอยู่ ท่านก็บอกว่าทุกคนไม่ต้องเป็นห่วง ท่านไปสบาย ขอบใจรัตน์มากที่บอกให้เชิญพระมารับสังฆทาน ท่านไปสบาย ให้ทุกคนรักกันปรองดองกันสามัคคีกัน แล้วท่านก็ไป พอภรรยาผมได้สติผมเลยถามว่า เมื่อครู่ คุณเห็นอะไรบ้าง เธอก็บอกว่า เห็นตั้งแต่แรกแล้วว่า กายทิพย์ของตาพยายามจะคว้าร่างของตนเอง แต่ทำไม่ได้ เลยพุ่งมาที่เธอทางด้านหลังแล้วเธอก็ไม่ได้สติเลย วันนี้ผมก็ไปตามประทีปบูชาพระรัตนตรัยและพระบรมสารีริกธาตุตามปกติ ได้กราบเรียนแจ้งข่าวให้หลวงพี่ท่านทราบ ท่านก็บอกว่าดีแล้ว บุญสังฆทานเป็นเนื้อนาบุญช่วยได้มากเลย |
เห็นภาพหลวงพี่เทิดท่านขึ้นแสดงธรรมโปรดญาติโยมแล้ว น้ำตาแทบไหล
เห็นหลวงพี่บอยท่านกลับมาบวชอีกครั้ง ในช่วงพรรษานี้ น้ำตาแทบไหล เห็นตัวเองอยู่ในเป็นฆราวาสแล้ว น้ำตาแทบไหล.... กระผมไม่ขอเกิดอีกแล้ว |
นี่ก็เกือบ ๆ จะครบสัญญาทำงานกับชาวต่างชาติแล้ว..... แล้วอะไรละ?...:l43841274qn5:อ๋อ (ถามเองตอบเองก็ได้) กับคำถามว่า ที่ผ่านมาผมทนได้อย่างไร? หลาย ๆ คนถามผม ผมก็ได้แต่ยิ้ม :8dcf9699: แล้วตอบว่า "ถ้าด่ามา ผมก็ด่ากลับทันที (โดยเฉพาะเรื่องอะไร ๆ ที่ไม่ถูกต้อง)"
แต่ประเด็นสำคัญที่สุดคือ กระผมพยายามเอาธรรมะที่ปฏิบัติอยู่ มาใช้กับชีวิตจริงให้มากที่สุด ปีที่แล้วกระผมบวชเข้าพรรษา ระยะเวลาก็สามเดือนเหมือนกัน ตอนแรกมันก็อยู่ในสภาวะว่า "สึกก่อนดีหรือเปล่า :l43841274qn5: สามเดือนมันนานนะ" แต่ก็ผ่านมาได้แบบภาคภูมิใจที่สุดในชีวิต ความกดดันมันคนละแบบกัน จะเรียกว่า "กดดันในธรรม" มีหวังหัวแตก :e111de78: มันกดดันก็แต่เฉพาะคนไม่อยู่ในธรรมเท่านั้น สำหรับคนที่อยู่ในธรรม "ธรรมย่อมรักษา" ส่วนงานนี้ก็ระยะเวลาเท่า ๆ กับปีที่แล้ว คือสามเดือน แต่เป็นสามเดือนที่ผมต้องพิจารณาเอาข้อธรรมต่าง ๆ มาใช้ เพราะผมคือคนกลาง ระหว่างฝรั่งกับผู้รับเหมางานต่าง ๆ เท่านั้น เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะไปทางซ้ายหรือทางขวา ก็มีแต่อุปสรรคทั้งนั้น เพราะฉะนั้นผมจึงต้องวางตัวเป็นกลางให้มากที่สุด "ฝรั่งที่ดูถูกคนไทยเยอะแยะไป:215ad82f:" ผมต้องใช้คำนี้ตามสภาวะความเป็นจริง แต่ที่ดี ๆ ก็มีอยู่มาก ส่วนคนไทยเราที่จ้องจะฟันอย่างเดียวเพราะเห็นเป็นฝรั่ง ก็มากมายเหลือจะคณานับ :msn_smileys-09: "วาง" คำเดียวสั้น ๆ แต่มีความหมาย นี่คือคาถาที่หลวงพี่ท่านบอก "ว่าทำให้ได้นะโยม" จะสู้หรือจะหนีมันก็อยู่ที่ตัวเราทั้งนั้น อย่าหลอกตัวเองเหมือนการปฏิบัติธรรมที่ผ่านมาก่อนหน้าจะไปอยู่กับหลวงพี่เล็กท่าน อย่าหลอกตัวเอง อย่าปรุงแต่ง เท่านี้เองโยม ทำได้นะ :onion_yom: |
"ตาฝาดไปหรือเปล่า"
ผมจำได้ว่า ผมได้ไปเกาะแก้วพิสดารที่ภูเก็ตอยู่ห้าครั้ง หลังจากครั้งแรก ผมจะแอบไปหารอยพระพุทธบาทที่หน้าเกาะเสมอ เพราะผมเห็นจริง ๆ ว่ามีรอยพระพุทธบาทอยู่บนหินอีกรอยหนึ่ง ชัดเจนเหมือนรอยพระพุทธบาทที่ท้ายเกาะ ที่ต้องไปสักการะทุกครั้งที่มาเกาะแก้วพิสดาร ผมยืนยันได้ นอนยันก็ได้ว่าผมเห็นจริง ๆ และได้กราบสักการะด้วย แต่อยู่ที่หน้าเกาะ ตรงใกล้ ๆ พระใหญ่ รอยพระบาทหันไปทางทิศตะวันออก หรือผมจะตาฝาด เพราะหลังจากนั้นก็ไม่เห็นอีกเลยเดินหาก็ไม่เจอ |
สิ่งที่ครูบาอาจารย์ท่านเตือน
ก่อนหน้านี้มีสหายธรรมท่านหนึ่ง ส่งพระบรมสารีริกธาตุให้กระผมทางไปรษณีย์ กระผมรู้ตัวก่อนหน้านั้น เพราะ......? อย่าคิดว่ากระผมมีความวิเศษใด ๆ เลยนะครับ เพราะคนที่ส่งมาเขาโทรมาแจ้งให้ทราบครับ งานนี้เล่นเอาผมเหงื่อกาฬตกเหมือนกัน เพราะเมื่อเดือนที่แล้วเพิ่งจะจัดพานขอขมาพระรัตนตรัยไปเอง ก็เกี่ยวเนื่องกับเรื่องของความไม่รู้นี้แหละครับ หลวงพ่อเคยสอนเกี่ยวกับเรื่องความไม่รู้นี้ว่า มันก็เหมือนแก้วน้ำที่ใส่ยาพิษ (ชนิดรุนแรงนะครับ จะได้เข้าใจกันง่าย ๆ ครับ) แก้วแรกใส่ยาพิษเต็มแก้วเลย (เป็นยาพิษแบบไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ไม่มีรสนะครับ ประเภทหยดเดียว ก็เที่ยวได้ แต่ไปเที่ยวภพอื่นนะครับ ขอย้ำเพื่อความเข้าใจ) แก้วที่สองใส่แค่หยดเดียวเท่านั้น สรุปไม่ว่าจะหยิบแก้วไหนมากิน ก็ตายทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นแก้วแรกหรือแก้วที่สอง ก็อุปมาเหมือน "อกุศลกรรม" ต่อให้เราไม่ตั้งใจทำก็ได้รับผลกรรมนั้น ๆ หรือตั้งใจทำก็ได้รับผลกรรมนั้น ๆ "กุศลกรรม" ก็เช่นเดียวกัน แค่ประสบพบเจอด้วยความบังเอิญ แล้วร่วมบุญก็ได้รับผลบุญนั้น หากตั้งใจทำกุศลก็ได้รับผลของกุศลนั้น มีหลายคนเคยสนทนาธรรมกับผมในเรื่องเหล่านี้ว่า "มันอยู่ที่ใจพี่ มันอยู่ที่เจตนา" เอา:8dcf9699: เอากันเข้าไป ผมเลยต้องแจ้งไปว่า เจตนาดีแต่วิธีการไม่ถูกต้องครับ สอบถามครูบาอาจารย์ท่านก็บอกว่า "นั้นแหละ เขาเรียกว่ารู้...แต่รู้ไม่หมด หลาย ๆ คนเป็นอย่างนี้ น่าสงสารพวกเขานะโยม" |
วันนี้วันพระ กระผมตั้งใจขึ้นไปตามประทีปบูชาพระรัตนตรัยและพระบรมสารีริกธาตุ ก็ขอทุกท่านร่วมโมทนาบุญนี้ด้วยเทอญ ย้อนไปเรื่องพระบรมสารีริกธาตุ ก็มีเรื่องแปลกเป็นอัศจรรย์อยู่ก็คือ ผมเองตั้งใจจะปฏิเสธสหายธรรมท่านนั้นไปว่าไม่ขอรับ แต่มันพูดไม่ออก ทั้ง ๆ ที่ในใจคิดไปแล้ว แต่พูดไปไม่ออก หลังจากรู้วันที่พระบรมสารีริกธาตุจะเสด็จมาถึง ก่อนหน้านั้นสามวันนั่งสมาธิได้ดีมาก ๆ หลังจากประดิษฐาน (ถวายหลวงพี่) ในเครื่องแก้วอัญเชิญประทับหน้าพระประธาน พร้อมตามประทีปบูชา วันนั้นและหลังไปอีกสามวัน นั่งสมาธิได้ดีมาก ๆ อารมณ์อิทธิบาท ๔ มันทรงตัวมาก ๆ
ทิดฤทธิ์:หลวงพี่ขอรับ ช่วงเจ็ดวันที่ผ่านมาก่อนสาม หลังสาม จากวันที่พระบรมสารีริกธาตุเสด็จมาถึง กระผมนั่งสมาธิได้ดีมากเลยขอรับ หลวงพี่:แล้วโยมคิดว่าเป็นเพราะเหตุใดหรือ ทัดฤทธิ์:กระผมไม่อาจจะทราบได้ขอรับ แต่ถ้าเข้าข้างแต่ขอตอบว่าเป็นเพราะ พุทธบารมีขององค์พระบรมสารีริกธาตุขอรับ หลวงพี่:คิดได้อย่างนั้นก็ดีแล้ว "พุทโธอัปปมาโณ" |
"ยังไม่ตายและไม่ได้หายไปไหน"
กับบททดสอบที่ยากขึ้นทุกวัน จนต้องปรับเครื่องใหม่อยู่เรื่อย ๆ อือม์.....จะรอดหรือเปล่า....ความทุกข์ยังวนเวียนเข้ามาทุกวัน คำสอนของหลวงพ่อเล็กก็ยังก้องอยู่ในหู "บอกมันเอาไว้ว่า ทุกข์ได้ก็ทุกข์ไป อีกไม่นานกูก็พ้นจากมึงแล้ว" เมื่อไม่กี่วันก่อนได้คุยกับสหายธรรมท่านหนึ่ง "นี่คุณจะลาตายแล้วหรือ ?" ก็เลยตอบไปว่า "เปล่าครับพี่แต่ผมเตรียมตัวไว้ทุกวินาทีครับ" อารมณ์แบบนี้มันก็เกิดของมันทุกวัน ในหนึ่งวินาทีผมคิดว่า "ความตายมันคือส่วนหนึ่งของชีวิต" แต่ในมุมตรงกันข้าม ยังมีอีกหลายคนหลายท่านที่ยังคิดว่าชีวิตนี้เที่ยงแท้แน่นอน ความตายเป็นเรื่องไกลตัว ในมุมหนึ่งที่ทุกท่านในสถานที่นี้ ปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นก็ยังมีอีกหลายผู้หลายคน สร้างภพสร้างชาติที่ไม่รู้สิ้นสุดออกไปอีกนานแสนนาน ยังดีวะ วันนี้ยังได้ทำความดี ดีกว่าหายใจเข้าหายใจออกฟรี ๆ แม้แต่ลมหายใจก็มีต้นทุน |
อ้างอิง:
...แลกกับการเสี่ยงเกิดใหม่:onion_emoticons-17: ต้องระวังประหยัดต้นทุนทุกลมหายใจให้ดีเชียว:onion_wink: |
วันนี้ได้โทรศัพท์ไปคุยกับคุณซัน (ลูกเจ้าคุณนรฯ )
ลูกเจ้าคุณนรฯ :พี่เป็นอย่างไรบ้าง (ตายหรือยังมีชีวิตอยู่) ทัดฤทธิ์: สบายดี...แต่เหนื่อยว่ะ จบสัญญากับบริษัทเก่า แล้วก็มาเริ่มงานกับบริษัทใหม่ทันที ที่เดิมตั้งกำลังไว้สามเดือนก็ผ่านมาได้ ส่วนที่ใหม่นี้ ตกลงระบุกันในสัญญาหกเดือน แต่ทำงานตั้งแต่แปดโมงเช้ายันสองทุ่มไม่มีวันหยุด ไม่รู้ว่าจะรอดหรือเปล่า อยากจะทดสอบกำลังใจตัวเองดูเหมือนกัน ว่าจะเอาชนะใจตัวเองได้หรือเปล่า ลูกเจ้าคุณนรฯ:พี่! ผมลืมเล่าให้พี่ฟัง ตอนงานกฐินวัดท่าขนุนปีนี้ ชาวบ้านร้านตลาด พวกเชื้อสายมอญ กะเหรี่ยง พม่า ร่วมทำบุญกฐินกับหลวงพ่อกันอย่างหนาแน่น หลวงพ่อท่านก็เมตตาแจกพระอุปคุตเถระเนื้อทองเหลืองชุบทองอย่างทั่วถึง ผมดูแล้วมีความสุขมากเลยพี่ ดูพวกเขาเหล่านั้นศรัทธาในบารมีหลวงปู่พระอุปคุตเถระมาก ๆ เลยพี่ ทัดฤทธิ์:ขอบใจที่เล่ามา ผมได้ฟังก็ดีใจ ถึงจะผ่าจมูกอีกข้างก็ยอม ลูกเจ้าคุณนรฯ::55318906:เอา ๆ ผมก็ว่าเหมือนกัน ถึงจะผ่าขาอีกข้างก็ยอม ทัดฤทธิ์:ของผมจมูกข้างซ้าย ลูกเจ้าคุณนรฯ:ของผมก็ขาซ้ายพี่ ทัดฤทธิ์:โอ้...เพราะเราเกิดมาคู่กัน.....ก๊าก ๆ ๆ ๆ "ตู๊ด ๆ ๆ ๆ และแล้วมันก็ปิดเครื่องหนีทันที":onion_sadd: |
เรากำลังสู้กับอะไร
เวลาช่างผ่านไปไวเหมือนโกหก จบจากงานที่เก่า ด้วยสภาพที่ทนเอาชนะใจตัวเองมาได้ ทำงานจนครบ ๓ เดือนตามสัญญา ถือเป็นชัยชนะเล็ก ๆ ที่กระผมมีความภูมิใจไม่น้อย เพราะทุกวันมันมีการทดสอบอารมณ์อยู่ตลอด "ออกเถอะ,อย่าไปสนใจอะไรเลย,ออกดีกว่าสบายกว่า,อิสระเสรีเหนืออื่นใด" ธรรมะที่เล่าเรียนมาจากการบวชเรียนในพรรษาที่แล้ว กระผมได้นำมาใช้ ควบคู่กับการปฏิบัติและการใช้ชีวิตประจำวัน คาถาสั้น ๆ แต่ได้ใจความ "ทน" ทนดูว่า "ระหว่างกระผมกับกิเลสอะไรมันจะหน้าด้านกว่ากัน" ผมหลงอารมณ์ไปหลายครั้ง แต่ก็เอาสติพิจารณาย้อนกลับมาดู เหตุการณ์ต่าง ๆ ในแต่ละวัน สรุปได้ว่า ผมสู้กับตัวเอง ผมไม่ได้สู้กับคนอื่นเลย แต่เมื่อก่อนผมหลงผิดคิดว่าสู้กับคนอื่นตลอดเวลา ผมหาความสุขตามอัตภาพของตัวกระผมเองไม่เจอ ผมไปทุกข์กับเรื่องของคนอื่น ไปทุกข์กับเหตุการณ์ที่คนอื่นกระทำ หลังจากใช้คาถา "ทน" มาได้ระยะหนึ่ง คราวนี้ กระผมก็รู้จักกับคาถาสั้น ๆอีกบทว่า "วาง" อะไรจะผ่านเข้ามามากมายขนาดไหน สุดท้ายจบงานในแต่ละวันผมก็ "วาง" อือม์...ไม่ได้วางแบบควาย ๆ นะครับ วางแบบมีสติรู้ว่าอะไรควร อะไรไม่ควร |
"ฝัน ผี"
ความฝันคงเป็นเรื่องธรรมดาที่เรา ๆ ท่าน ๆ เคยมีประสบการณ์พบเจอกันเป็นปกติ ทั้งฝันดีและฝันร้าย ผมเองไม่ค่อยฝันเหมือนกับชาวบ้านเขามากเท่าไหร่ แต่เวลาฝันร้ายผมจะมีเรื่องประจำ ๆ ของผม เล่นเอาตื่นมาทีไรเป็นต้องนั่งถอนหายใจทุกครั้ง "ตู..ฝันไปว่ะ!" มุกเด็ด ๆ ที่เจอประจำ ก็คือ ปกติผมเป็นคนวิ่งเร็ว...เอาเป็นว่า ขอให้เชื่อว่าผมวิ่งเร็ว (ด้วยเหตุผลกลไกอะไรอย่าไปสนใจมันเลยครับ เรื่องมันยาว) แต่ฝันร้ายของผมก็คือ ผมมักจะฝันเห็นก้อนหินก้อนใหญ่ ๆ กลิ้งมาแต่ไกล ด้วยความที่รู้ตัวว่า ตัวเองวิ่งเร็ว...พลางคิดว่า "แหม...ไม่ได้กินผมหรอก" แต่ภาพในฝันทุกครั้งที่เริ่มออกตัววิ่งหนี จากคนที่วิ่งเร็วกลับกลายเป็นวิ่งแบบ "slow-motion" ทุกครั้ง จนหินก้อนนั้นกลิ้งจนจะมาถึงตัว แล้วผมก็ตื่นด้วยอารมณ์ทั้งกลัว ทั้งผิดหวัง ทั้งเหนื่อย ทุกครั้ง อตีดชาติไปทำอะไรไว้ก็ไม่รู้...เซ็ง หลังจากปฏิบัติธรรมมาได้ระยะหนึ่ง ความฝันแบบนั้นก็หายไป ส่วนเรื่องผี ๆ ก็มีฝันบ้าง ตามปกติ ผมไม่ใช่คนกลัวผี แต่ก็ไม่ค่อยอยากจะเจอก็เท่านั้นเอง อาจจะเรียกว่า เกรงใจกันก็ได้:l438412717dh8: สองวันที่ผ่านมา ด้วยงานใหม่ที่ทำก็กินเวลาในแต่ละวันแบบแสนยาวนาน ดีที่มี "ที่อยู่" ที่อยู่ของผมก็คือคำภาวนา เก็บเรื่อย ถามว่าเหนื่อยหรือเปล่า ทำงานทุกอย่างย่อมเหนื่อยเป็นธรรมดา รักษากายบ้างตามอัตภาพ แต่รักษาใจเอาไว้ในทุกขณะอันนี้ดีที่สุด "กลับมาล้มตัวลงนอน กอดหมอนน้ำตาพรั่งพรู" มุกนะครับของยืมเขามาใช้ เอาเป็นว่า กราบพระเสร็จ พอหัวถึงหมอน ภาวนาได้ไม่กี่คู่ก็หลับโลดเป็นปกติ |
ช่วงใกล้รุ่ง ประมาณตีสามกว่า ๆ เห็นจะได้ ผมก็ฝันไป ว่านั่งซ้อนท้ายจักรยานยนต์ของเพื่อน เข้ากันไปตามทางเล็ก ๆ ในป่าตอนกลางคืน สวนยางสลับกับป่าใหญ่มันมืดได้ใจเลยทีเดียว ใจมันก็กลัว ๆ เพราะทั้งมืดและเปลี่ยว ผมมองไปรอบ ๆ ทาง พลางมองขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่ ทันใดนั้น! ผมเห็นก็เป็นเงาดำ เป็นร่างคนเป็นเงาดำ ๆ แขวนอยู่บนกิ่งมะม่วงใหญ่ อย่างกับในภาพยนตร์สยองขวัญแนวหนังไทย
เพ่งมองไป อ้าว"พระ" ท่านผูกคอตาย จึงร้องบอกเพื่อน "เฮ้ย มึงดูนั่นสิ! คนผูกคนตาย" ไม่ทันขาดคำ รถจักรยานยนต์ที่เรานั่งก็ขับผ่านไปด้วยความเร็ว ผมเองยังหันกลับไปมองอีกครั้ง แต่คราวนี้ งานเข้า..ศพนั้น กระโดดลงมาแล้ววิ่งตามพวกผมทันที "ผี!" แค่สิ้นเสียงอุทานออกไป ผีตนนั้นกระโดดแค่สองครั้งก็เข้ามาใกล้จนถึงตัวผมแล้ว.......จากความฝันมันก็กลายเป็นเหมือนเรื่องจริง ผมสังเกตจิตตอนนั้น มันมีสองอารมณ์ อารมณ์แรกกลัวมาก อารมณ์ที่สองเห็นเป็นธรรมดา แต่ก็ยังกลัวอยู่แต่ไม่มาก ตอนนั้นมันเหมือนกึ่งหลับกึ่งตื่น งานนี้ใจมันสู้ เลยถามไปว่า "เธอจะเอาอะไร มีอะไรให้เราช่วยหรือไม่" ไม่มีเสียงตอบใด ๆ กลับมา ผีตนนั้นยังอยู่ ภาพเพื่อนในความฝันหายไปนานแล้ว (อย่าให้นึกออกว่าเป็นเพื่อนคนไหนนะครับ) งานนี้ "ตัวต่อตัว" ผมกับผี "เอาแบบนี้ บุญอะไรที่เราทำมาดีแล้ว เราขออุทิศให้ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมดา ขอเธอจงโมทนาบุญนี้นะ" เงียบไม่มีคำตอบใด ๆ และยังจ้องผมอยู่เป็นปกติ งานนี้ผมเลยเริ่มได้ใจ "เอาแบบนี้ สามตัวงวดนี้ออกอะไร บอกผมได้หรือเปล่า" เงียบ...และก็จ้องหน้าผมเป็นปกติ งานนี้อารมณ์มันเริ่มเดือดแล้วครับ "เอายัง...ไม่ไปอีก อะไรวะ..เอา..มา มาเจอกันซึ่ง ๆ หน้าเลย" ผมเลยตื่น แต่อารมณ์มันต่อเนื่อง มองไปรอบ ๆ ห้องก็ไม่เจอผีสักตนหนึ่ง แต่มันยังรับรู้อยู่ถึงเรื่องราวต่าง ๆ อย่างชัดเจน ผมเลยพูดออกไปว่า "เอาท่านผีที่เคารพ ผมเป็นลูกหลานหลวงปู่ หลวงพ่อฤๅษีลิงดำนะ อย่ามาแกล้งกันแบบนี้ ผมไม่ชอบ บุญก็ไม่เอา อะไรก็ไม่เอา ที่สำคัญหวยก็ไม่ให้ อุตสาห์มาหากันทั้งทีแล้ว...เอาเป็นว่า ผมจะนอนแล้วนะ ผมเหนื่อย พรุ่งนี้ต้องทำงานแต่เช้า ขอตัวนอนก่อนนะ" แล้วผมก็ล้มตัวลงนอนจนเช้า ตื่นมาก็คิดทบทวนแล้วยังนั่งหัวเราะ "อะไรวะนี่ กูบ้าไปหรือเปล่าวะ" แต่งานนี้มันภูมิใจลึก ๆ ๕๕๕๕๕ เพราะถ้าเป็นเมื่อก่อน จะลุกไปปัสสาวะก็ยังไม่กล้าเลย! |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 07:42 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.