![]() |
พระอาจารย์กล่าวว่า “เรื่องของพระเกจิอาจารย์ ท่านเหมือนกับสร้างบุญร่วมกันมา พอมีชื่อเสียงก็มีชื่อเสียงเป็นรุ่น ๆ ไป ไล่ ๆ กันไปเลย ถึงได้บอกว่าช่วงอาตมาเด็ก ๆ นี่ มีแต่ชื่อเสียงของหลวงปู่หลวงพ่อแต่ละท่าน กรอกหูซ้ายหูขวาเต็มไปหมด ที่ใกล้บ้านที่สุดเลยก็คือหลวงพ่อแดง วัดทุ่งคอก ท่านมีฉายา "แดงไม้ใหญ่" ถามว่าทำไมต้อง "แดงไม้ใหญ่" ? อย่างหลวงพ่อเต๋ วัดสามง่าม ไปหาไม้พร้อมกับท่านแล้วได้มาแต่ต้นเล็ก หลวงพ่อแดงท่านได้มาต้นใหญ่เป็นโอบ ถามว่าทำไม ? เกวียนหลวงพ่อแดงที่ไปขนไม้เทียมควาย ควายอึดกว่าวัว ลากน้ำหนักได้เยอะกว่า แต่ของคนอื่นนั้นเกวียนเทียมวัว แล้วทำไมไม่เอาควายไปเทียมบ้าง ? ลองไปฝึกควายเทียมเกวียนดูสิว่ายากแค่ไหน ..(หัวเราะ)..
ควายเป็นอะไรที่ปฏิเสธเกวียนที่สุดแล้ว แต่ว่าหลวงพ่อแดงท่านทำได้ โดยเฉพาะท่านไปหาไม้ สมัยก่อนก็มักจะโดนเจ้าที่เล่นงานเอา ลูกศิษย์โดนก็หกล้มหกลุก หัวทิ่มหัวตำมา หลวงพ่อแดงบอก “มา..ไปกับข้า” ไปก็ไม่ได้ไปทำอะไรหรอก ไปนั่งกรรมฐาน แผ่เมตตา อุทิศส่วนกุศลให้ รุ่งขึ้นต้นไม้ล้มเองเสียอย่างนั้น แสดงว่าเขาเต็มใจยกบ้านให้..! ถามว่าทำไมหลวงพ่อแดงเก่งขนาดนั้น ? อ๋อ..ท่านเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อโหน่ง วัดคลองมะดัน ..(หัวเราะ)..” |
ถาม : ที่เขาบอกว่าควายใช้ในที่แจ้ง วัวใช้ในที่ร่ม ?
ตอบ : วัวทนร้อนมากกว่า ควายชอบเย็น คราวนี้งานอะไรที่ทั้งร้อนทั้งเหนื่อยนี่ ควายไม่ค่อยอยากทำหรอก แล้วเวลาควายดื้อขึ้นมานี่เอาอยู่ยาก เพราะว่าควายแข็งแรงมาก สมัยอาตมาอายุสัก ๑๕-๑๖ ปี ทางบ้านเริ่มทำไร่อ้อย เอาควายมาไถกลบร่องอ้อย โอ้โฮ..ควายคู่นั้นน่ารักสุด ๆ สั่งอะไรได้อย่างนั้นเลย โดยเฉพาะว่าไม่กินใบอ้อย ปกติควายเข้าดงอ้อยก็กินยอดด้วนหมด พอถึงเวลาเริ่มสักสิบโมงครึ่ง สิบเอ็ดโมง เจ้าของต้องปลดจากไถให้ไปพักแล้ว ควายร้อนจนน้ำลายฟูมปากเลย..สงสารควาย พอบ่ายสองบ่ายสามแดดร้อนน้อยแล้วค่อยเอามาไถอีกทีหนึ่ง |
“แล้วที่อัศจรรย์ก็คือ ควายตัวเล็กลงไปเรื่อย ๆ สมัยอาตมาวัยรุ่น ควายตัวหนึ่งหนักตันกว่า สมัยนี้ถึง ๖๐๐ กิโลกรัมก็เก่งตายชักแล้ว อาจจะเป็นเพราะว่าผสมสายเลือดใกล้ชิดไปเรื่อย หาสายเลือดใหม่ ๆ ไม่ได้ ถึงเวลาผสมสายเลือดชิดไปเรื่อยก็แกร็นไปเรื่อย แบบเดียวกับพวกชาวเขาโดยเฉพาะกะเหรี่ยง แต่งไปแต่งมาก็ญาติตัวเองนั่นแหละ เลยตัวเล็กลง ๆ เดี๋ยวนี้กะเหรี่ยงสูงถึงไหล่อาตมาก็สูงมากแล้ว ลักษณะเดียวกัน ตอนแรกก็ว่า เอ๊ะ..เรายังเด็กควายเลยดูตัวโตหรือเปล่า ? ก็ไม่ใช่ น้ำหนักตัวยืนยันอยู่”
ถาม : เกี่ยวกับที่ปลายพระศาสนา สัตว์โลกจะตัวเล็กลงเรื่อย ๆ ? ตอบ : ก็น่าจะใช่ แต่ว่าเราก็เห็นว่าญี่ปุ่นเขาเปลี่ยนแปลงได้ ถึงเวลาใช้โภชนาการเข้าช่วย สมัยก่อนที่เราเรียก “ไอ้ยุ่น” น่ะ ความจริงก็มาจากคำว่าญี่ปุ่น แล้วมาผวนเรียกกลับหลังเป็น “ยุ่นปี่” แล้วก็เป็นไอ้ยุ่น แต่ความหมายหนึ่งก็คือไอ้เตี้ย ..(หัวเราะ).. พอเรียกไอ้ยุ่นแปลว่าเตี้ย ปรากฏว่าญี่ปุ่นแก้ไขได้ ปัจจุบันนี้ตัวโตกว่าเราอีก |
พระอาจารย์กล่าวว่า “อาตมาเป็นคนภูมิคุ้มกันบกพร่อง เพราะว่าภูมิคุ้มกันไม่ทำงาน คล้าย ๆ จะเป็นเอดส์ ใครมีเชื้ออะไรมาหน่อยหนึ่งก็ติดหมด แค่เดินผ่านเขาหายใจใส่หน้าก็เป็นแล้ว สงสัยโดนท่านเซอร์เป่าซิการ์ใส่มาตลอดทางก็เลยเป็นหวัด ผีอะไรจะเฮี้ยนขนาดนั้น เอาซิการ์วางไว้ตรงที่สูบบุหรี่ กลับมาอีกทีหายไปทั้งอัน แล้วก็มีแต่กลิ่นซิการ์ตามมา ..(หัวเราะ)..
ไปดูพิพิธภัณฑ์ทหาร Zilo fort ก็สงสัยว่าทำไมไม่มีชื่อท่านเซอร์เลย ปรากฏว่าห้องสุดท้ายเขียนไว้ชัดเลย Admiral Sir Phillips Spencer คำว่า Admiral คือนายพลเรือ พลเรือเอก ถ้าพลเอกทหารบกเป็น General ถ้าหากว่าพลอากาศเอกก็เป็น Air Force General ยศทางทหารยศหนึ่งที่หายไปคือ Field Marshal ของเราเรียกว่ายศจอมพล ก็คือเหนือนายพลทั้งหมด แล้วมาตอนหลังประเทศอเมริกาที่เลือกตั้ง Marshal ถ้าเป็นปัจจุบันของเราก็น่าจะประมาณผู้ใหญ่บ้าน แต่เขาเรียก Marshal ที่เราไปแปลว่านายพลประจำเมือง ถ้าเป็นบ้านเราก็ประมาณผู้ใหญ่บ้าน ดังนั้น..จอมพลเลยต้องเป็น Field Marshal บอกให้รู้เลยว่ามาจากสนามรบ ..(หัวเราะ)..” |
พระอาจารย์กล่าวว่า “ปีที่แล้วอาตมาติดขบวนป้าติ๋มไปญี่ปุ่น ปีนี้ติดขบวนคุณชวงไปสิงคโปร์ ถามว่าเมื่อไรจะจัดทัวร์เองบ้าง ? ไม่จัดแล้ว โดนต่อว่าเยอะไปหน่อย พวกจองไม่ทันก็ "แน่ละสิ..เราไม่ใช่คนในนี่"”
ถาม : มีด้วยหรือ ? ตอบ : มี..เยอะมากด้วย น้อยอกน้อยใจไปนั่งบ่นกัน อีกประเภทหนึ่งก็ตามเช็คราคา ทำไมทัวร์โน้นจัดราคาถูกกว่า แล้วทำไมเอ็งไม่ไปกับเขา ? ไม่ได้ดูว่าของเราพักโรงแรมสี่ดาวตลอด แถมยังนั่งเครื่องภายในอีก จะเอาราคาเดียวกับเขา เลยขี้เกียจฟัง..รำคาญหู ต่อไปใครจัดก็จัดไปเถอะ อาตมาไม่จัดหรอก ใครจัดแล้วมาชวนถ้าว่างก็จะไปด้วย ความจริงของคุณสิทธา ลาภกระจ่าง เขาให้มา ๔ ที่นั่ง ปรากฏว่าติดงานครูบาเหนือชัยไปไม่ได้ เลยต้องให้พระอื่นไปแทน |
พระอาจารย์กล่าวว่า “ดูคำอธิบายภาษาอังกฤษเกี่ยวกับพระพุทธรูป ปรากฏว่ามีอย่างเช่นว่า Ayutthaya period กับ Ayutthaya style พยายามพิจารณาอยู่ตั้งนาน อ๋อ..ถ้าหากว่าระบุ ‘Period’ ได้แปลว่ารู้อายุการสร้างแน่นอน ว่าอยู่ประมาณช่วง พ.ศ. ไหน แต่ถ้าหากว่าไม่รู้อายุการสร้างแน่นอน รู้แค่ว่าเป็นศิลปะอยุธยา จะใช้คำว่า ‘Style’ พิจารณากันอยู่ตั้งนานกว่าจะรู้ว่าต่างกันตรงไหน”
|
ถาม : ของที่เขาเอามาออกโรงทาน เอากลับไปกินที่บ้านได้ไหม ?
ตอบ : ได้..โรงทานไม่ใช่ของสงฆ์ โรงทานเจ้าของเขาตั้งใจเลี้ยง จะขนไปไหนก็ขนไปเถอะ ถ้าเจ้าของเขาไม่ด่าเอา ..(หัวเราะ).. โรงทานเป็นสิทธิของเจ้าของ ไม่ใช่สิทธิของวัด ไม่ใช่ของสงฆ์ |
พระอาจารย์กล่าวว่า “เห็นกระเป๋าถือของโยมแล้วนึกถึงสมัยก่อน มีโยมผู้หญิงที่รู้จักอยู่คนหนึ่ง สะพายกระเป๋าถือวิ่งข้ามถนนแล้วสายกระเป๋าขาด พอสายขาดเขาก็หยุดแล้วเลี้ยวกลับไปเก็บกระเป๋า รถวิ่งมาก็กะระยะว่าจะวิ่งผ่านข้างหลัง พอเขาเลี้ยวกลับไปเก็บกระเป๋า ระยะการวิ่งของรถเขาเสียหมด ไปไหนไม่ได้ ต้องหักหลบคว่ำคะเมนไปเลย แล้วอะไรก็ไม่ว่า รถคันนั้นบรรทุกไก่สดมาเต็มรถ ที่เขาจะเอาไปส่งตลาด ก็เลยมีไก่กระจายเกลื่อนทั้งถนนเลย”
|
พระอาจารย์กล่าวว่า “มีโยมอยู่คนหนึ่งเขียนบอกว่าถวายแหวนทองคำ ๑ สลึง อาตมาชั่งอย่างไรก็ได้ ๕๐ สตางค์ ตกลงเจ้าของเขารู้หรือเปล่าว่าตัวเองใส่แหวนหนัก ๕๐ สตางค์ ?”
|
พระอาจารย์กล่าวว่า “สมัยก่อนพบเพนิซิลลินเขาก็มั่นใจว่าชนะพวกโรคติดเชื้อได้ ปรากฏว่าชนะได้พักเดียว โรคนี่เขาเป็นไปตามวาระกรรมของคน ต่อให้มียาแก้ชนิดนี้ได้ วาระกรรมก็ทำให้มีโรคชนิดอื่นเกิดขึ้นมา”
ถาม : พวกตำรายาไทยโบราณละคะ ? ตอบ : จำเพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยาได้ไหม ? ทั้งพืชพรรณว่านยาก็ถอยรส ป่าหมดไป..แล้วจะเหลืออะไร ? |
พระอาจารย์กล่าวว่า “สมัยก่อนเขาบอกว่ามีวิทยาธร หรือครูยา ถึงเวลาไปเก็บไปพลีทำไม่ถูก ฤทธิ์ยาก็ไม่บังเกิด บางทีต้องพูดเป็นรหัส ปู่หมออาจจะบอกเด็กลูกมือ “เฮ้ย..ไปเอาช้างมาเชือกหนึ่ง” เด็กต้องเข้าใจว่านั่นคือบอระเพ็ดพุงช้าง เพราะว่าถ้าบอกไปเอาบอระเพ็ดพุงช้างมา เดี๋ยวฤทธิ์ยาหนีหมด”
|
พระอาจารย์กล่าวว่า “สัตว์โลกที่อยู่มาตั้งแต่ยุคโบราณสืบสายมาถึงปัจจุบันได้ต้องมีอะไรดี คลิปล่าสุดที่หนูทะเลทรายหนีนกอินทรี ท้ายสุดต้องไปซ่อนอยู่ในกะโหลกวัวที่ตายแล้ว แล้วนกอินทรีก็ไปได้กิ้งก่าไปแทน กิ้งก่าทะเลทรายตัวใหญ่ไล่กินตัวเล็ก พอตัวเล็กพุ่งหลบไปอยู่ใต้ท้องเต่า ตัวใหญ่ต้องกระโดดข้ามหลังเต่าไป ปรากฏว่าหลุดไปอยู่ในที่โล่ง โดนนกอินทรีคว้าไปเลย”
|
พระอาจารย์กล่าวว่า “สมัยก่อนเวลาจัดงานปฏิบัติธรรม จะให้สิทธิ์ผู้ปฏิบัติธรรมบูชาวัตถุมงคลแต่ละรุ่นได้ คราวนี้เว้นว่างไปนาน เพราะว่าพอไปออกบูชาในเว็บก็หมดก่อน มางวดนี้ปีใหม่ปฏิบัติธรรมแล้ว ให้สิทธิ์ผู้ปฏิบัติธรรมบูชาแผ่นยันต์เกราะเพชรเนื้อทองคำได้ บางคนดีใจเกือบจะร้องไห้ เพราะตั้งใจว่าจะมาปฏิบัติธรรมอย่างเดียว ไม่นึกว่าจะได้สิทธิ์ อาตมาก็ไปบอกเอาคืนสุดท้ายเลย ไม่มีใครเตรียมตัวทัน”
|
พระอาจารย์กล่าวว่า “มีใครบ้านอยู่ปักษ์ใต้บ้าง ? "ปาบึก" ลงทะเลไปแล้ว แต่น่ากลัวตรงที่ว่า ถ้าลงทะเลแล้วทองผาภูมิจะหนาวมากขึ้น คือร่องมรสุมสุราษฎร์ธานีเป็นร่องเดียวกับร่องมรสุมกาญจนบุรี มาจากทะเลอันดามันเหมือนกัน ถามว่ากาญจนบุรีเกี่ยวอะไรกับทะเลอันดามัน ? ทางด้านกาญจนบุรีด้านล่างไม่เกี่ยวหรอก แต่ด้านทองผาภูมิพอข้ามสันเขาก็เห็นทะเลอันดามันแล้ว
มีอยู่ปีหนึ่งแล้งจัด ท้าวมหาราชท่านไล่คลื่นจากกลางทะเล ดันเอาความชื้นขึ้นมาให้ฝนตก ท่านเอาไม้กระบองกวาดน้ำทะเล โอ้โฮ..มาเป็นภูเขาเลย ลักษณะแบบสึนามิชัด ๆ ปรากฏว่าเกิดจากกลางทะเลไล่ขึ้นมา พอใกล้ฝั่งก็ต่ำลง ๆ จนกระทั่งไม่มีอันตราย แต่ว่าความที่กำแพงน้ำสูงมาก เลยดันความชื้นข้ามเขามา ก็เลยมากลายเป็นฝนที่เมืองไทย รอดตายไป จะว่าไปแล้วเรื่องของพรหมเทวดา บางทีท่านก็สงเคราะห์ตามที่ผู้นำหรือว่าบุคคลที่ท่านเกรงใจร้องขอไว้ อย่างในหลวงรัชกาลที่ ๙ เป็นผู้นำประเทศ เป็นที่เกรงใจของเขา ถึงเวลาขออะไรท่านก็ให้” |
พระอาจารย์กล่าวว่า “ขึ้นชื่อว่าปีใหม่ อาตมาไม่ได้เห็นอะไรใหม่เลย แม้แต่โยมก็หน้าเก่า ๆ สรุปว่าตกลงมีอะไรใหม่บ้าง ?”
|
พระอาจารย์กล่าวว่า “ช่วงเดือนที่ผ่านมา ทางวัดมอบพระพุทธรูปให้วัดอื่น ๆ ไป ๗-๘ องค์ โดยเฉพาะพระพุทธรูปทรงเครื่องลพบุรีหน้าตัก ๑๐๐ นิ้ว..! หน้าตัก ๑๐๐ นิ้วคือเท่าไร ? ประมาณ ๕ ศอก ตอนแรกยกออกไม่ได้ ประตูเล็กกว่าองค์พระ ก็เลยต้องขอร้องพระท่านว่าช่วยออกไปหน่อยเถอะ แล้วอยู่ ๆ องค์พระท่านก็เล็กลงประมาณศอกหนึ่ง ..(หัวเราะ).. ไม่รู้เหมือนกันว่าคนยกเขาสังเกตกันหรือเปล่า ?”
|
พระอาจารย์กล่าวว่า “ส่วนใหญ่พระนาคปรกสร้างผิดแบบ เพราะว่าถ้าสร้างถูกแบบ พวกเราจะงง ๆ ว่ามีแบบนี้ด้วยหรือ ? พระนาคปรกจริง ๆ ก็คือพญานาคหรืองูใหญ่ พันองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นไปถึงพระอังสา (หัวไหล่) แล้วก็ไปแผ่แม่เบี้ยปรกอยู่ข้างบน ลักษณะนั้นถึงจะกันลมกันฝนจริง ๆ แต่คราวนี้ถ้าทำออกมาอย่างนั้น เขาเห็นว่าพุทธลักษณะไม่สง่างาม ก็เลยทำเป็นนาคปรกแบบที่นิยมกันอยู่นี้”
|
พระอาจารย์กล่าวว่า “คนไทยเราแต่ดั้งแต่เดิมผิวดำ คราวนี้ที่เห็นขาว ๆ นั่นลูกเจ๊ก แล้วเราก็ไปนิยมความขาวกัน ลองไปต่างประเทศดูสิ ฝรั่งมองแต่ดำ ๆ พวกขาว ๆ ไปนี่เขาไม่แลเลย
เขาบอกว่าพวกซีด ๆ ขาว ๆ เป็นพวก White collar ก็คือทำงานอยู่แต่ในสำนักงานไม่ได้ไปไหน พวกผิวเกรียม ๆ ดำ ๆ เป็นพวกเที่ยวบ่อย เป็นคนรวย” |
พระอาจารย์กล่าวว่า “เขาเรียกว่าพระปลุก ไม่ใช่ปลุกพระ ..(หัวเราะ).. ถึงเวลาพระท่านเตือนสติ คือท่านปลุกเรา ไม่ใช่เราปลุกท่าน ส่วนใหญ่เข้าใจผิด เข้าใจว่าพระสงฆ์ไปปลุกพระพุทธ พระพุทธต่างหากที่ปลุกพระสงฆ์”
|
พระอาจารย์กล่าวว่า “ถั่งเช่าของแท้ต้องเก็บที่ทิเบต ซึ่งไม่ต้องไปหรอก บริเวณไหนที่มีถั่งเช่าขึ้น บรรดาเถ้าแก่ร้านขายยาเขาจะไปจ้างทั้งหมู่บ้านเลย ให้เก็บส่งเขาโดยเฉพาะ รับเงินไปก่อน เอาของมาทีหลัง แล้วก็มีบรรดาท่านทั้งหลายที่ค่อนข้างจะเห็นแก่ตัว ใช้วิธีเอาถั่งเช่าไปอบ กลั่นสกัดเสร็จสรรพ แล้วซากที่เหลือก็ไปตากแห้งขายอีกทีหนึ่ง พวกนี้สมควรตาย..!
ถั่งเช่าชื่อเต็ม ๆ ก็คือ “ตังทังแห่เช่า” แปลว่า ฤดูหนาวเป็นหนอน ฤดูร้อนเป็นหญ้า คล้าย ๆ กับจั๊กจั่นจันทร์หอม ก็คือถึงเวลาแล้วพวกเชื้อราที่ขึ้นอยู่กับตัวสัตว์ก็งอกออกมาเป็นต้น” |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 07:47 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.