![]() |
"โดยเฉพาะปาท่องโก๋ พวกเราเข้าใจผิดมาตลอด คนจีนสมัยก่อนเสื่อผืนหมอนใบมาก็ทำขนมโก๋ขาย ทำปาท่องโก๋ขาย แต่คราวนี้ปาท่องโก๋ เขาเรียก อิ่วจาก้วย (ก็คือฉินไคว่โดนทอดน้ำมัน ฉินไคว่เป็นกังฉินที่ร้ายกาจที่สุดในประวัติศาสตร์จีน)
แต่คราวนี้เขาขาย ๒ อย่างรวมกัน คนขายก็เดินตะโกนไป “ปากถ่องโก๊...อิ่วจาก้วยอ้า” คนก็จำอยู่คำเดียวก็คือ "ปากถ่องโก๊" ก็เลยกลายเป็นปาท่องโก๋มาจนทุกวันนี้ สมัยอาตมาเด็ก ๆ พวกหาบเร่ชาวจีนมีเยอะมาก ไม่ว่าจะประเภทบัดกรี ก่อเตา ปะโอ่ง หรือไม่ก็ประเภทเทปูน ซ่อมบ้าน กระทั่งขายขนม ขายไอศกรีม ขายซาลาเปา จะใส่หาบแล้วก็เดินตะโกนไป คราวนี้พวกเราจำคำเดียว เขาขายของ ๒ อย่าง แต่ว่าเราจำมาคำเดียว ก็เลยเหลือแค่ปาท่องโก๋" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ทองผาภูมิตั้งแต่ต้นปีมาจนป่านนี้ ไม่มีเช้าวันไหนที่อุณหภูมิถึง ๒๕ องศาเซลเซียส โดยเฉพาะระยะ ๒ เดือนที่ผ่านมา แทบจะไม่ได้เห็นแดดเลย มีแต่ฝน เวลาไปอยู่ที่ไหนแล้วเท้าแห้ง ๆ นี่รู้สึกดีมากเลย อยู่วัดอาตมาต้องใส่เครื่องกันหนาวตลอด เพราะว่าอากาศไม่เคยถึง ๒๕ องศาเซลเซียสแม้แต่เช้าเดียว ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ ๒๒ - ๒๓ องศาเซลเซียส ถ้าหากว่าฝนตกก็ขึ้นมาประมาณ ๒๔ องศาเซลเซียส
เวลาที่ฝนชอบตกมากที่สุดก็คือเวลาที่พระออกบิณฑบาต ทดสอบกำลังใจว่าจะไปบิณฑบาตจริงหรือเปล่า ? ซึ่งถ้าหากว่าฝนกระหน่ำตั้งแต่เริ่มออกจากวัด พวกอาตมาก็จะเฮกันว่า ค่อยคุ้มค่ากับที่เปียกหน่อย ถ้าหากว่าวันไหนเดินจะถึงวัดแล้วฝนค่อยตก แหม...เจ็บใจ เหลืออีกไม่กี่เมตรจะถึงวัด ดันมาเปียกเสียได้" |
กล่าวถึงอาหารที่โยมเอามาถวาย "อาหารพวกนี้ส่วนใหญ่จะเป็นอาหารของฝรั่งซึ่งอยู่เมืองหนาว อาหารจะมีพลังงานที่เรียกว่าแคลอรี่สูงมาก คราวนี้บ้านเรานิยมกินตามฝรั่ง เราจะเห็นว่ามีไอศกรีม มีพิซซ่า มีแฮมเบอร์เกอร์ มีไก่ทอด แล้วจะทำอย่างไร ? บ้านเราเมืองร้อน ไม่ได้เอาพลังงานไปสู้กับความหนาวก็เก็บหมด รับประกันว่าอ้วนทุกคน เพราะฉะนั้น...พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสสอนว่า เราต้องมี โภชเน มตฺตญฺญุตา รู้จักประมาณในการกิน ถ้าเอาอย่างพระสายวัดป่า "รู้สึกอิ่มก็ให้หยุด" ไม่ใช่กินจนอิ่มจริง ๆ
บรรดานักโภชนาการเขาทำวิจัยแล้วว่า ถ้าปล่อยให้มีอาการหิวอยู่บ้าง สุขภาพจะดีกว่า เพราะว่าร่างกายจะได้ปรับตัวเอง ถ้าเป็นไปตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้าก็คือว่า เมื่อร่างกายไม่หนักด้วยธาตุอาหาร การภาวนาก็จะดีขึ้น เพราะว่าเลือดลมปลอดโปร่ง เขาทำวิจัยคนญี่ปุ่น พวกเราลองไปบ้านเขาดูสิ อาหารมาแต่ละอย่างนี่กินให้ตายก็ไม่อิ่ม มีนิดเดียว เขาไว้ให้มอง มองจนกระทั่งได้อารมณ์แล้วค่อยกิน ถึงเวลาต้องละเลียดช้า ๆ ฉะนั้น..คนไทยไปญี่ปุ่นนี่ไส้แขวนเลย สั่งอาหารทีหนึ่ง คนญี่ปุ่นบางทีไม่ทำให้ เพราะว่าสั่งเยอะ เราจะเห็นว่าอาหารของเขามีแค่ไม่กี่คำ ตอนนี้สถิติคนญี่ปุ่นอายุยืนมากที่สุดในโลก เพราะว่ากินน้อย เขาถึงได้บอกว่า กินน้อยอยู่นาน กินมากตายเร็ว ร่างกายไม่มีโอกาสพักผ่อนเพื่อปรับธาตุตัวเอง ถึงเวลากินมากเกินต้องการ ร่างกายก็ต้องเสียพลังงานในการขับออกมา ส่วนที่ต้องทำงานหนักที่สุดก็คือตับกับไต คราวนี้พอทำงานมากเกินไปไม่ไหว ก็ตับพังบ้าง ไตพังบ้าง จึงมีรายการฟอกไตกันเป็นว่าเล่น" |
พระอาจารย์แจกทอฟฟี่ให้กับเด็ก ๆ "อาตมาไปสิงคโปร์แวะไปวัดไทย ๓ แห่ง ปรากฏว่าทุกวัดแจกทอฟฟี่ให้กับญาติโยมที่มา ก็งง ๆ ว่าเอาแบบธรรมเนียมมาจากไหน ? เขาบอกว่ามี ๒ อย่างด้วยกัน อย่างแรกคืออะไรที่รับจากพระ โยมเขาถือว่าเป็นมงคล โดยเฉพาะคนจีน อีกประการหนึ่งก็คือสิงคโปร์ส่วนใหญ่ประเภททำการค้าขาย ถ้าหากว่ามาวัดแล้วได้อะไรกลับไป ก็รู้สึกว่าได้กำไรไม่ขาดทุน ไม่มีอะไรก็แจกทอฟฟี่ให้ คนละ ๒ เม็ดก็ยังดี"
|
พระอาจารย์กล่าวว่า "สมาคมวอลเลย์บอลไทยเป็นสมาคมที่พัฒนาได้ดีมาก ๆ จากก่อนหน้านี้ของเราในอาเซียนก็สู้เขายาก เดี๋ยวนี้สู้ได้ทั่วโลกเลย บรรดาทีมระดับท็อป ๕ ของโลก ไม่ว่าจะเป็นบราซิล ญี่ปุ่น จีน เกาหลี เจอทีมไทยก็หนาว ๆ ร้อน ๆ ทั้งนั้นแหละ
เรื่องของกีฬาสมัยนี้ วิทยาศาสตร์การกีฬาใกล้เคียงกันหมดทั้งโลกแล้ว ก็เหลืออยู่ ๒ อย่างที่จะช่วยให้ประสบความสำเร็จ อย่างแรกเลยคือจิตวิทยา โดยเฉพาะถ้าได้รับการฝึกสมาธิด้วยจะยิ่งดีมาก อย่างที่สองคือเงิน ถ้าเงินถึงรับรองได้ว่าลูกทีมมอบกายถวายชีวิตให้ เพราะว่าครอบครัวไม่ต้องเดือดร้อน ไม่ต้องไปห่วงพะวงว่าเขาจะอยู่อย่างไร เขาจะกินอย่างไร" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวันที่ ๑๒ สิงหาคมที่ผ่านมาอาตมาจัดงานทำบุญวันแม่ ก็ปรากฏว่ามีหลายงานซ้อนทับกันอยู่ งานแรกเลยคือการเจริญพระพุทธมนต์เทิดพระเกียรติในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ ๙ แล้วก็มีกิจกรรมทำดีด้วยหัวใจ
งานเจริญพระพุทธมนต์เทิดพระเกียรติมีเทศน์ด้วย มีถวายสังฆทานด้วย แล้วก็ไปทำกิจกรรมเทิดพระเกียรติทำดีด้วยหัวใจกัน เหมือนกับเทวดาโมทนาหรือตั้งใจแกล้งก็ไม่รู้ ปกติฝนฟ้าตกไม่หยุด ปรากฏว่าวันนั้นหยุดเพราะรู้ว่าพวกเราจะกวาดพื้น กิจกรรมทำดีด้วยหัวใจของเราตั้งใจว่า จะช่วยกันทำความสะอาดวัด ฝนก็เลยหยุดให้กวาดพื้น แล้วก็มีบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรมเทิดพระเกียรติ พอวันที่ ๑๒ ก็มีใส่บาตรถวายเป็นพระราชกุศลที่หน้าที่ว่าการอำเภอทองผาภูมิ อาตมาเองอุตส่าห์รั้งพระวัดท่าขนุนไว้ท้ายสุด ขนาดนั้นก็ยังขนกลับวัดไปหลายคันรถกระบะ กลับมาถึงวัดพระเถรานุเถระเพื่อนสหธรรมิกมากันเยอะแล้ว ปีนี้พร้อมใจกันมา มีที่ติดภารกิจมาไม่ได้อยู่ ๓ รายเท่านั้น อีกรายหนึ่งก็คือหลวงปู่วัดเขื่อนท่าทุ่งนาท่านไม่ค่อยสบาย ที่นิมนต์ไปเป็นท่านใหม่จริง ๆ ในปีนี้ คือครูบาดอน วัดพระพุทธบาทผาหนาม วัดพระพุทธบาทผาหนามที่โด่งดังเพราะว่าเป็นวัดที่ดูแลสังขารของหลวงปู่ครูบาอภิชัยขาวปีอยู่ ครูบาดอนท่านเป็นเจ้าอาวาสด้วย เป็นเจ้าคณะตำบลด้วย ไปทีไรท่านก็จะให้พักที่วัดของท่าน" |
พระอาจารย์กล่าวว่า “กฐินปีนี้ไม่ตรงกับเสาร์อาทิตย์เหมือนเดิม แต่เนื่องจากว่าทางวัดท่าขนุนจัดทอดกฐินในวันตักบาตรเทโว ก็คือช่วงเช้าตักบาตรเทโว ช่วงบ่ายทอดกฐิน ซึ่งชาวบ้านใกล้วัดจะมากันเป็นปกติ ก็แปลว่าต่อให้ไม่ใช่เสาร์อาทิตย์คนก็ยังมากอยู่ดี
วันตักบาตรเทโวคือวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ก็แปลว่าหลังวันออกพรรษา ๑ วัน ก่อนหน้านี้อาตมาใช้วันที่ ๒๓ ตุลาคมเป็นวันทอดกฐิน เพราะว่าเป็นวันหยุดราชการแน่ ๆ แต่บางทีก็ติดภารกิจอื่นบ้าง แล้ววันหยุดก็คร่อมกันอยู่ อย่างเช่นว่าเป็นเสาร์ อาทิตย์ จันทร์ อังคาร แล้ว ๒๓ เป็นวันพุธอย่างนี้เป็นต้น ก็ทำให้คนหยุดยาก ในเมื่อการหยุดยากพอ ๆ กับวันธรรมดา ก็เลยใช้วันตักบาตรเทโวเป็นวันทอดกฐินไปเลย ในเมื่อระดับความยากเท่ากัน ก็ไม่น่าจะปฏิบัติยากนัก ปีนี้ก่อนทอดกฐินอาตมาก็จะเข้ากรรมฐานให้ ๓ วันเหมือนเดิม” |
ถาม : พระอาจารย์รู้จักท่าน...ไหมครับ ?
ตอบ : เคยช่วยเหลือท่านหลายครั้ง ตอนหลังท่านกลายเป็นร่างทรงสมเด็จองค์ปฐมก็เลยไม่ได้ไปหาท่านอีก ท่านไปไกลไปหน่อย..เตือนแล้วไม่ฟัง ครั้งแรก ๆ พอเตือนแล้วฟังเหมือนอย่างกับว่าสิ่งที่เคยได้มาก็หายหมด เรื่องพวกนี้เราต้องระวัง เรื่องฤทธิ์ อภิญญา ความเป็นทิพย์ บางทีไม่ใช่สิ่งที่เราฝึกเอง แต่เป็นสิ่งที่เขาให้มาเพื่อที่จะหลอกให้เราหลงทาง คราวนี้พอรู้เท่าทันเขาก็ดึงความสามารถนี้กลับ..เลยกลายเป็นว่าท่านไม่มีความสามารถนี้อีก ท่านรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองขาดสิ่งที่เคยมีไป ก็เลยย้อนกลับไปใหม่ พอย้อนกลับไปใหม่ก็โดนพาไปไกลเลย ถึงขนาดเป็นร่างทรงสมเด็จองค์ปฐม มีการบวชเอหิภิกขุด้วย ในเมื่อเตือนไม่ฟังก็ต้องเลิกเตือน ...(หัวเราะ)... ถาม : เคยไปที่วัดท่าน รู้สึกแปลก ๆ ? ตอบ : น่าเสียดาย ส่วนใหญ่แล้วพระเราไหลไปแบบนี้เยอะมาก พอถึงเวลาแล้วเรื่องฤทธิ์เรื่องอภิญญาเกิดขึ้น รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองกุมความสามารถที่เหนือคนทั่วไปอยู่ แต่พอรู้เท่าทัน เขาเอาความสามารถส่วนนี้คืน พอหายไปก็รับไม่ได้ อภิญญาต้องฝึกเอง ไม่ใช่ไปรอคนอื่นเขาให้ ในโลกนี้ไม่มีอะไรฟรีหรอก..เขาให้เราเขาต้องหวังประโยชน์ แล้วเขาหวังในด้านไหน ? เขาหวังเล่นจะไม่ให้คนได้ดีกัน ถาม : ต้องระวังใช่ไหมครับ ? ตอบ : ไม่ใช่ระวังเฉย ๆ ต้องระวังสุดขีด คุณลองนึกดูว่าอยู่ ๆ เรากลายเป็นร่างทรงสมเด็จองค์ปฐม ใครมาก็จับบวชเอหิภิกขุให้แบบนี้ ฟังดูก็รู้แล้วว่าไม่ใช่ ตอนหลังพอร่วมงานกันแล้ว ท่านมาไต่ถามเรื่องของการปฏิบัติก็เลยบอกท่านไป พอเห็นว่าท่านไปไกลก็ต้องเตือน เพราะว่าท่านปวารณาไว้เอง ถ้าท่านไม่ปวารณาไว้ ท่านอายุพรรษามากกว่า ผมก็ทำอะไรไม่ได้ สองครั้งแรกท่านเชื่อแล้วท่านปรับเปลี่ยนตัวเองได้ พอครั้งที่สามท่านคงตัดสินใจแล้วว่าเชื่อผมทีไร ความสามารถหายหมดทุกที ท่านก็เลยกลับไปใหม่ จึงไม่อยากจะเตือนอีก เพราะว่าไม่ควรเกินสามครั้ง |
ถาม : เรื่องกฎหมายของพระ แลจะอ่อนเบาลงไปแล้วใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่มีทาง แค่รอจังหวะเหมาะ ๆ เท่านั้น เพราะว่าตอนนี้สิ่งที่เขาเร่งอยู่ก็คือ ให้พระทุกวัดทำบัญชีรับบริจาคออนไลน์ อย่าไปคิดว่าเงียบไปเฉย ๆ สิ่งที่เขาทำยังทำอยู่และมีแต่จะมากขึ้นไปเรื่อย ๆ |
ถาม :
(ไม่ได้ยิน)....
ตอบ : เป็นไปไม่ได้ อาการตัวโยกเป็นอาการ ๑ ใน ๕ ของปีติ เรียกว่า โอกกันติกาปีติ นอกจากจะต้องไม่ไปห้ามแล้วยังต้องปล่อยให้มันขึ้นให้เต็มที่ ห้ามอายเด็ดขาด จะหกคะเมนตีลังกากระโดดโลดเต้นอย่างไรก็ปล่อยมัน จะตึงตังโครมครามเหมือนกับผีเจ้าเข้าสิงอย่างไรก็ต้องปล่อย พอปล่อยให้เต็มที่ข้ามไปได้ถึงจะทรงฌานได้ ไม่อย่างนั้นไม่มีวันจะได้ถึงฌานเลย เพราะฉะนั้นต้องหน้าด้าน อายไม่ได้ ถ้าอยู่ที่บ้านก็บอกญาติพี่น้องหน่อยแล้วกันว่านั่งสมาธิช่วงนี้จะมีอาการอย่างนี้ ถ้าอยู่ที่อื่นก็ไม่ต้องไปแคร์สังคมหรอก...ดิ้นไปเถอะ ปีติไม่ได้มีแค่ตัวเดียว ผ่านตัวนี้ไปแล้วยังมีอีก..(หัวเราะ)... เพราะฉะนั้นห้ามอายเด็ดขาด นักปฏิบัติธรรมเพื่อหวังพระนิพพานแม้แต่ตายเขายังไม่กลัวเลย อย่าว่าแต่ของอายชาวบ้านเขาหน่อย ถ้ามัวแต่กลัว มัวแต่อายอยู่ ก็ก้าวข้ามไม่ได้สักที ต้องปล่อยให้ตึงตังให้เต็มที่ไปเลย |
ถาม : มาขอศีลเจ้าค่ะ
ตอบ : ขอศีล ? จะขอไปทำอะไร ? ศีลน่ะเขารู้ว่ามีอะไรก็รักษา ที่ไปขอศีลก็เพื่อให้เขาบอกว่าศีลมีอะไรบ้าง มาขอทั้ง ๆ ที่รู้ก็บ้าชัด ๆ..! คำว่า ขอศีล ก็คือเราไปขอว่าศีลมีอะไรบ้างเนื่องจากเราไม่รู้ เมื่อเขาบอกมาเราก็สมาทานคือศึกษาและปฏิบัติตามนั้น คราวนี้เมื่อรู้อยู่แล้วก็ทำเลยสิ ไปเสียเวลาขอทำไม คราวหน้าอย่าให้ใครเขาหลอกต้มมาอีก แบบนี้ภาษิตจีนเขาเรียกว่า ถอดกางเกงผายลม...รู้จักไหม ? จะตดทั้งทียังอุตส่าห์ถอดกางเกงอีก |
ถาม : มีคนเขาบอกว่าการจะนั่งสมาธิให้ได้ดี ต้องมีครูบาอาจารย์ และต้องไปเข้าคอร์ส ?
ตอบ : โดยเฉพาะคอร์สที่แพง ๆ..! อาตมาเองเปิดตำราทำเองมาตั้งหลายปี จนกระทั่งพื้นฐานแน่นแล้วค่อยไปกราบครูบาอาจารย์ สบาย..ครูไม่ต้องสอนมาก ดังนั้น..อันดับแรกของเราก็นู่นเลย..หน้าหิ้งพระ บูชาพระตั้งใจขอพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นครูบาอาจารย์ของเรา แล้วตั้งหน้าตั้งตาทำไป ติดขัดตรงไหนเปิดตำราดูหรือไม่ก็หาครูบาอาจารย์ที่ใกล้ที่สุดสอบถามท่านเอา ที่ว่ามาน่ะใช่ แต่แฝงความหมายว่าถ้าหากไปสมัครเข้าคอร์สของเขาจะดี อย่างน้อยรายได้จะได้เป็นของเขา ถาม : เขาไม่ได้เป็นคนเปิดคอร์ส แต่เขาก็โฆษณาของเขาด้วยก็ได้ ตอบ : เคยได้ยินคำว่าสะพานบุญหรือผู้นำบุญไหม ? ก็คือคนที่จะมาชักจูงและหว่านล้อมให้เราไปร่วมขายตรงกับเขาน่ะ ของดีจริงไม่ต้องโฆษณาหรอก ถ้ายังต้องอาศัยแรงโฆษณาเรียกคน แปลว่ายังไม่ดีจริง |
ถาม :
(ไม่ได้ยิน)...
ตอบ : ถ้ามาได้แปลว่าเขาอยู่ในที่ไม่ลำบาก พวกอยู่ในที่ลำบากมาไม่ได้ ถาม : (ไม่ได้ยิน)... ตอบ : ไม่มีอะไรจ้ะ ถือว่าเป็นเรื่องปกติ เหลืออยู่อย่างเดียวก็คือว่าทำอย่างไรที่เราจะรักษาอารมณ์ใจลักษณะที่ไม่ยินดียินร้ายเอาไว้ได้จะได้พบเห็นกันง่าย ๆ บ่อย ๆ และอีกอย่างก็คือทำบุญให้เขาบ้าง ถ้าอยู่ในที่แบบนั้นแปลว่าทำบุญอะไรไป เขาก็รับได้ |
ถาม : สถานการณ์ที่สังขละบุรีเป็นอย่างไรบ้างคะ ?
ตอบ : ตอนนี้ก็น้ำล้นทุกที่ ใครอยากไปเที่ยวสะพานมอญตอนนี้น่าเที่ยวมากเพราะไม่มีอะไรให้หวาดเสียว น้ำกับสะพานเกือบจะเสมอกัน...! |
ถาม : เวลาที่เรายกจิตขึ้นพระนิพพานแล้ว สภาพของดวงจิตที่มีความสะอาด ... (ไม่ชัด) ... เราจะแยกอย่างไรครับว่ากิเลสเราอยู่ตรงไหน ?
ตอบ : คุณจะไปแยกทำซากอะไร..! กลับมาเมื่อไรกิเลสก็ท่วมหัวเหมือนเดิม เราแค่จดจำสภาพว่าจิตของเราหมดกิเลสในลักษณะอย่างไร แล้วประคองรักษาสภาพนั้นไว้ตอนกลับมาก็พอ รักษาสภาพได้นานเท่าไร ความเคยชินก็จะมีมากขึ้นเรื่อย ๆ ท้ายที่สุดถ้ารักษาได้ยาวนานพอ กิเลสเกิดไม่ได้ก็จะหมดไปเอง เขาเรียกว่าทำงานเกินหน้าที่ ไม่จำเป็นต้องไปวิเคราะห์หรอก เรื่องอย่างนั้นต้องให้พระพุทธเจ้าท่าน |
พระอาจารย์กล่าวว่า โลกเราน่าเบื่อหน่ายจะตาย ยิ่งคนแก่ยิ่งอยู่ยาก เพราะสภาพร่างกายชำรุดทรุดโทรม ทำอะไรก็ไม่สะดวกเหมือนสมัยหนุ่มสาว พูดง่าย ๆ ว่าจะอยู่ให้ได้เหมือนเขาก็ต้องลำบากกว่าเขาหลายเท่า ดังนั้น..บุคคลที่เห็นภัยในวัฏสงสารจริง ๆ ไม่มีใครเขาอยากอยู่หรอก ต่อให้ลูกหลานเรียกร้องขนาดไหนก็ไม่อยากอยู่
|
ถาม : ตอนจะตาย จะมีแต่คนหายใจไม่ออก จะขาดใจตาย จับอานาปานสติ หรือพุทโธเย็น ๆ เป็นไปไม่ได้ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : เขาเรียกว่าขาดการฝึกซ้อม ถ้าบุคคลที่ฝึกซ้อมเป็นปกติ พอสภาพฉุกเฉินเกิดขึ้นสภาพจิตจะทรงฌานเองโดยอัตโนมัติ บางทีเรารู้สึกว่าท่านไม่หายใจไปแล้วด้วยซ้ำไป ดังนั้น..ขึ้นอยู่กับการฝึกซ้อมของเรา ถ้าขาดการฝึกซ้อมก็ทรมานอย่างที่ว่านั่นแหละ ต้องมีการฝึกซ้อม คุณจะจับภาพพระ จะยกจิตขึ้นนิพพาน หรือจะจับลมหายใจก็แล้วแต่จะเลือกเอา |
ถาม : (ถามเรื่องการออกแบบจำนวนขั้นบันไดขึ้นโบสถ์หรือวิหาร)
ตอบ : โบราณเขานิยมทำขั้นบันไดเป็นเลขคี่ อย่างเช่น ๓ - ๕ - ๗ - ๙ เป็นต้น ถาม : แล้วถ้าเกิน ๙ ขั้น ? ตอบ : เกิน ๙ ก็ทำเป็น ๑๑ สิ ถาม : ขึ้นข้างหน้าหรือขึ้นข้างหลัง ? ตอบ : ก็อยู่ที่ความสะดวกในการใช้งาน ถ้าจะให้ดีก็ทำ ๔ ทิศเลย ซ้าย ขวา หน้า หลัง ...(หัวเราะ)... ถาม : จำนวนเศียรพญานาคมีผลไหมคะ ? ตอบ : ต้องถามว่ามีผลต่อกระเป๋าเงินเจ้าอาวาสไหม ? ยิ่งเศียรมากก็ยิ่งแพง..! ถาม : คนออกแบบจะต้องทำอย่างไร ? ตอบ : นักออกแบบเขาไหว้ครูเป็นปกติอยู่แล้ว ยกเว้นว่าเราจะแหกคอกไปออกแบบเสียเอง...(หัวเราะ)... |
ถาม : หลวงพ่อฝันไหมครับ ?
ตอบ : เมื่อวานเพิ่งจะฝันว่าได้เฝ้ารัชกาลที่ ๑๐ แบบเป็นการส่วนพระองค์ ก็เลยทูลเชิญท่านไปกาญจนบุรี จะเรียกว่าฝันก็ไม่ใช่ แต่ขณะเดียวกันถ้าใช้ภาษาชาวบ้านว่าฝันก็หมดเรื่อง ถาม : ผมฝันว่ารัชกาลที่ ๑๐ ท่านขับเครื่องบินแล้วผมนั่งไป ? ตอบ : เขาว่าฝันเห็นเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินเป็นมงคลใหญ่ ตำราเขาบอกว่าถ้าฝันเห็นพระมหากษัตริย์ทรงช้างแล้วตรัสชวนเราไปด้วย เราทำอะไรก็จะสำเร็จ อันนี้ขี่เครื่องบินไม่ยิ่งกว่าช้างหรือ ? ฉะนั้น..หางานใหญ่ ๆ ทำได้แล้ว..! |
ถาม : มีคนจะถวายที่แถว ๆ พัทยาให้สร้างวัด ?
ตอบ : ดูให้แน่ ๆ ก่อน อันดับแรก จะต้องไม่น้อยกว่า ๖ ไร่ อันดับที่สอง ต้องห่างจากวัดอื่นอย่างน้อย ๒ กิโลเมตร ไม่อย่างนั้นตั้งวัดไม่ได้ ไปนึกถึงกฎหมายของเราแล้วล้าหลังคร่ำครึเต็มที อิสลามเขาออกกฎหมายง่าย ๆ ว่า ถ้ามีอิสลามิกชน ๗ ครอบครัวหรือ ๑๕ คนขึ้นไป สร้างสุเหร่าได้ ๑ หลัง และทางราชการต้องจ่ายงบประมาณให้ด้วย วัดของเราเองกติกาเยอะแยะไปหมด แถมยังต้องไปเรี่ยไรหาเงินสร้างเอง ถาม : ไม่ถึงไร่ด้วยนะครับ ที่ดินเป็นห้องแถวเป็นอะไรก็ได้ ? ตอบ : ของอิสลามเขาไม่เกี่ยวเลย กติกาของเขามีแค่นั้นแหละ เขายึดพื้นที่ไว้ก่อน หลังจากนั้นพอมั่นคงแล้วค่อยขยับขยาย ของเราเองไม่ได้ ต้องบังคับเอาไว้ก่อน แบบเดียวกับปัจจุบันนี้ เมื่อวานมีพระบัญชาจากสมเด็จพระสังฆราช ห้ามวัดจัดการสัมมนาหรือชุมนุมเกี่ยวกับทางด้านการเมืองทั้งหมด แล้วไม่เห็นห้ามอิสลามกับห้ามคริสต์เลย สรุปว่าเราโดนมัดมือมัดเท้าจนหมด |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 09:20 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.