![]() |
ตั้งแต่สมัยที่อาตมาโดนบังคับไปเรียนหลักสูตร ป.บส. ที่เขาบอกว่า จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการบริหารกิจการคณะสงฆ์ อาตมาเองเป็นตัวแทนของคณะสงฆ์ภาค ๑๔ กับภาค ๑๕ ก็คือ ๘ จังหวัดภาคกลาง ยกให้อาตมาขึ้นเวทีไปพูดแทน ขณะที่ตัวแทนภาคอื่นเขาก็ขึ้นมากัน อาตมาเองก็ว่า เรื่องของการเรียนไม่ได้จำเป็นเท่าไรหรอก การเพิ่มเติมความรู้ในบริหารถือว่าเป็นสิ่งที่ดี แต่ให้อาตมาเรียนตรรกศาสตร์ TT FF ไม่เห็นเอามาบริหารอะไรได้ ดีที่เจตนาของพวกท่านดี ตั้งใจส่งเสริมให้พระสังฆาธิการได้มีความรู้มากขึ้น ไม่อย่างนั้นอาตมาจะถือว่าพวกคุณบัญญัติในสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่บัญญัติ เพิ่มเติมในสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้เพิ่มเติม
ฉะนั้น..เรื่องของคณะสงฆ์ถ้าสอนให้พระเณรละอายชั่วกลัวบาป รักศีลก็จบแล้ว ก็ไม่ต้องเรียนรู้อะไรเพิ่มเติมมากมายหรอก เล่นเอาหัวหน้าหลักสูตรต้องโดดขึ้นเวทีมาอธิบายเอง สรุปว่าอาตมาตั้งแต่เป็นนิสิตระดับประกาศนียบัตร ก็เป็นที่จดจำของอาจารย์ มจร. ชนิดแม่นยำไปจนวันตาย หลักสูตรเขาอาศัยด็อกเตอร์หลายคนคิดกันขึ้นมา โดนเด็กบ้านนอกอย่างอาตมาตีคว่ำไม่เป็นท่าเลย |
ถาม : เขาไม่เข้าใจว่าจะสร้างพระไปทำไม ถ้าสร้างพระเครื่องเขาเข้าใจ เลยไม่รู้จะตอบเขาอย่างไร ?
ตอบ : พุทธปูชา มหาเตชะวันโต สร้างพระไว้กราบไหว้บูชา ไม่ได้สร้างพระไว้เฉย ๆ นี่แม่คุณ...! ถาม : ไปสร้างวัดทำไม ไปสร้างโรงพยาบาลดีกว่า ? ตอบ : ใช่...แล้วทำไมเขาไม่สร้างโรงพยาบาลล่ะ ? วัดกับโรงพยาบาลมีความเหมือนอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือ เข้าวัดไปแล้วคนสบายใจ ได้รักษาโรคทางใจ ส่วนโรงพยาบาลนั้นคนเข้าไปรักษาโรคทางกาย |
ถาม : วันก่อนหลังจากน้องชายใส่บาตรแล้ว พระท่านเดินกลับมาแล้วบอกเพื่อนที่จะใส่บาตรว่า "ไม่ต้องใส่แล้ว โยมผู้ชายใส่แล้ว แต่ถวายซองปัจจัยได้นะ" เพื่อนก็ตำหนิพระว่าอยากได้ปัจจัยโยม และในความเข้าใจของเพื่อน คือ มีพระไม่ดี มากกว่าพระดี และไม่เห็นด้วยที่ใครบอกว่าอย่าตำหนิพระ โดยมองว่าถ้าปล่อยไว้จะสนับสนุนให้มีพระไม่ดีมากขึ้นอีก กระทั่งอธิบายพระวินัยให้ฟังว่า พระสามารถปฏิเสธอาหารหากเต็มบาตรหรือเพียงพอแล้ว และพระทำหน้าที่เป็นเนื้อนาบุญให้เราได้ถวายปัจจัยก็ตาม เพื่อนก็ยังไม่เข้าใจ
ตอบ : ไปนึกถึงที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกไว้ว่า หลวงปู่ปาน วัดบางนมโคสร้างบารมีไว้ดี พระอุปัชฌาย์อาจารย์ของท่านเป็นพระอรหันต์ทั้งนั้นเลย คราวนี้มานึกถึงโยมของตัวอาตมาเองคือคุณน้าฟ้า ในชีวิตคุณน้าฟ้าเป็นคนใจบุญสุนทานมาก แต่เหมือนอย่างกับท่านสร้างบุญไว้น้อยไปหรืออย่างไรไม่รู้ ? เพราะว่าอาจารย์องค์แรกที่ท่านเลื่อมใสชนิดมอบกายถวายชีวิตให้ คือท่านอาจารย์นิกร พออาจารย์นิกรมีเรื่องมีราวขึ้นมา คุณน้าก็ไปหาท่านอาจารย์ยันตระแทน พอท่านอาจารย์ยันตระมีเรื่องมีราวขึ้นมา ท่านก็ไปหาหลวงพ่อภาวนาพุทโธแทน สรุปแล้วชีวิตนี้ทั้งชีวิตของคุณน้า ก็คงคิดว่าหาพระดีไม่ได้แล้ว นึกถึงพี่สาวของเจ้าของบ้านวิริยบารมี ที่ศรัทธาพระสายวัดป่า อกหักไปรอบหนึ่งเพราะว่าพระปฏิบัติไปขอรับบริจาคทีหนึ่งเป็นล้าน ๆ ก็หาที่ใหม่ พอเจอที่ถูกใจก็จะเอาท่านสอนกรรมฐานที่บ้านวิริยบารมี หลังจากอาตมาออกมาแค่ ๒ เดือนหลวงพ่อที่ท่านเอามาแทนก็มีเรื่องมีราวใหญ่โตไปเลย ลักษณะอย่างนั้นก็คงทำให้หมดศรัทธาไปเลยเหมือนกัน ถาม : ถึงเพื่อนจะยังไม่เข้าใจ แต่เห็นว่าเจตนาของเขา คือ ปกป้องพระศาสนานะคะ ? ตอบ :การปกป้องศาสนาที่ดีที่สุดจริง ๆ ก็คือ ศึกษาหลักธรรม ทำให้เข้าถึงจริง ๆ จะได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร |
ถาม : เราทำกายภาพให้คนไข้ ถ้าคนไข้มีองค์หรือมีครูของเขาคุมอยู่ คนที่เป็นนักกายภาพที่ทำให้คนไข้ จะต้องมีหลักอย่างไรบ้างจึงจะปลอดภัย ?
ตอบ : โบราณเขามีครู ทุกอาชีพมีครู ถึงเวลามีการจัดงานไหว้ครูก็ขอบารมีครูปกป้องปกปักรักษา ถึงเวลาทำหน้าที่อะไรก็ขอให้ทำได้เต็มที่ เต็มสติกำลัง เต็มความสามารถของตัวเอง สมัยนี้ไหว้ครูกันบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้ ? ถ้าไม่มีครูช่วยป้องกันก็รับเละไปเถอะ ถาม : อย่างคนที่เรียนบัญชี เรียนกฎหมาย ไม่มีครู จะทำอย่างไรครับ ? ตอบ : ทำไมจะไม่มี ? ครูที่สอนคุณมาไม่มีหรืออย่างไร ? ถาม : ถ้าเป็นครูสอนสายการแพทย์ เราควรไหว้นึกถึงครูบาอาจารย์ที่สอนเรามาหรือครับ ? ตอบ : ถ้าไหว้ครูที่สอนเรามาก็ดี แต่บรมครูทางการแพทย์เห็นที่ไหน ๆ เขาก็ไหว้พ่อปู่หมอชีวกฯ กันทั้งนั้น |
ถาม : ฉันทะกับความอยากต่างกันอย่างไรครับ ?
ตอบ : ต่างกันตรงที่ฉันทะคือเราตั้งใจปรารถนาที่จะทำในสิ่งที่ดี ๆ ส่วนความอยากหรือโลภะ หรือตัณหานั้น แม้กระทั่งสิ่งชั่ว ๆ ก็เอา |
ถาม : ถ้าเรามีพรรคพวกที่มีความประพฤติไม่ดี...?
ตอบ : เอาภาษิตจีนเข้าว่า “พบผู้คนพูดวาจาผู้คน พบภูตผีพูดวาจาภูตผี” ก็เท่านั้นเอง |
ถาม : ถ้าในอนาคตหุ่นยนต์เอไอมา คนเราจะอยู่ยากขึ้นใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ได้แปลว่าอยู่ยากขึ้น เราก็เรียนเรื่องการควบคุมหุ่นสิวะ...! ถาม : แล้วคนที่ไม่ได้มีความขยันจะทำอย่างไรครับ ? ตอบ : แล้วคุณจะไปห่วงเขาทำไม ? แต่ละคนสร้างบุญสร้างกรรมมา ถ้าเป็นการคัดเลือกของธรรมชาติ ผู้อ่อนแอก็สูญสลาย ผู้เข้มแข็งถึงจะคงอยู่ อยากทำตัวอ่อนแอเองแล้วจะไปโทษใคร |
ถาม : การที่เรากำหนดภาพพระใหญ่หรือเล็กได้ สามารถบ่งบอกระดับสมาธิได้ไหมครับ ?
ตอบ : บอกได้..ไปสังเกตเอาสิวะ ว่ากำลังใจตอนนั้นเทียบเท่ากับสมาธิในระดับไหน |
ถาม : ถ้าเราจะฝึกก่อนตาย เราต้องฝึกทำสมาธิในระดับสูงให้ได้หรือเอาที่แน่ใจ ?
ตอบ : เอาที่สบายใจ ตอนตายสมาธิใช้แค่ระงับกายสังขาร สำคัญที่สุดคือปัญญาต่างหาก ว่าเราตัดเราละร่างกายนี้ได้ไหม |
พระอาจารย์กล่าวว่า “ญาติโยมส่วนใหญ่ทั้งที่เป็นศิษย์สายตรงก็ดี ข้างเคียงก็ดี ที่มีความศรัทธาในตัวหลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ก็ให้ดูปฏิปทาของครูบาอาจารย์ด้วยว่า กว่าท่านจะเป็นอย่างนั้นได้ ท่านทุ่มเทการฝึกฝนตนเองชนิดมอบกายถวายชีวิต ถ้าเราจะเลียนแบบปฏิปทาครูบาอาจารย์ก็คือทุ่มเทฝึกฝนตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นทาน เป็นศีล เป็นภาวนา ทำให้จริง ๆ จัง ๆ ชนิดเอาชีวิตเข้าแลกแบบท่าน”
|
ถาม : การปฏิบัติตอนนี้เริ่มเกิดอารมณ์เบื่อ มองเห็นอะไรก็เกิดความสลดใจ จะแก้อย่างไรคะ ?
ตอบ : รักษาความเบื่อเอาไว้ เพราะถ้าเราไม่เบื่อเราก็ยังอยากเกิดอยู่ จริง ๆ แล้วความเบื่อเป็นสิ่งที่ดีมาก เป็นส่วนของนิพพิทาญาณซึ่งเป็นญาณขั้นสูง เพียงแต่ว่าให้ใช้ปัญญาบวกเข้าไปด้วย ปัญญาที่เราจะพิจารณาก็คือว่า ถ้าเราสามารถพ้นทุกข์ในชาตินี้ การเกิดมาเจอกับสิ่งที่น่าเบื่อหน่ายแบบนี้เพียงชาติเดียว ก็เหมือนกับหลับตาลงแล้วลืมตาขึ้นเท่านั้นเอง ระยะเวลาที่สั้น ๆ เราจะพ้นทุกข์แล้ว ทำไมเราจะอยู่ให้ดีไม่ได้ พอเราใช้ปัญญาประกอบเข้าไป ก็จะก้าวข้ามความเบื่อนั้นไป กลายเป็นสังขารุเปกขาญาณแทน ก็คือปล่อยวาง ไม่ไปแบกเอาไว้ให้ทุกข์ |
พระอาจารย์กล่าวว่า “ระยะนี้มีการถกเถียงเกี่ยวกับข้อปฏิบัติในพุทธศาสนามาก แต่บุคคลทั้งหลายส่วนใหญ่จะลืมความเป็นจริงไปข้อหนึ่งว่า บุคคลในยุคปัจจุบันที่จะสร้างบารมีมาถึงขนาดปรารถนาความหลุดพ้น ต้องการหลักธรรมโดยบริสุทธิ์นั้นมีน้อย ส่วนใหญ่สามารถให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนาขั้นต้นได้บ้างก็ถือว่าดีมากแล้ว
ดังนั้น...หลายแห่งก็เลยทนไม่ได้ที่เวลาญาติโยมยังคงทำบุญอย่างเดียว ก็ต้องบอกว่าขณะที่เด็กกำลังเรียนชั้นประถมอยู่ เราเองทนไม่ได้อยากให้เขาเรียนชั้นปริญญา ก็ย่อมเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว แต่คราวนี้นักวิชาการส่วนใหญ่ เขาไปหวังเอาว่าควรที่จะจบปริญญากันเสียที โดยที่ไม่ได้ดูว่าบุคลากรในระดับจบปริญญานั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากวาดไปเกือบหมดแล้ว อายุกาลศาสนาที่เหลืออยู่ไม่ถึง ๕,๐๐๐ ปีนั้นเหลืออยู่ไม่ถึงครึ่ง ในยุคของเรา ถ้าใครก็ตามที่ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น ก็มักจะกลายเป็นคนที่แปลกแยกจากสังคม มักจะต้องตกเป็นขี้ปากชาวบ้าน ต้องใช้ความอดกลั้นอดทนเป็นอย่างสูง ถึงจะเอาตัวรอดจากลมปากของคนได้ ในส่วนนี้พวกนักวิชาการที่เขาถกเถียงกันนั้น ลืมมองสภาพสังคมในปัจจุบันว่าเป็นอย่างไร สังคมในปัจจุบันไม่ใช่สิ่งที่เอื้อต่อการปฏิบัติธรรม แต่ว่ายิ่งจำเป็นที่จะต้องปฏิบัติธรรม เพราะไม่อย่างนั้นแล้วกระแสของ รัก โลภ โกรธ หลง ต่าง ๆ จะดึงเราไปอย่างชนิดกู่ไม่กลับ ถ้าอยู่ในลักษณะนั้นเราก็จะกลายเป็นบุคคลที่น่าสงสาร โดนกระแสคลื่นซัดไปโดยไม่สามารถที่จะตั้งหลักหรือว่าตั้งตัวได้ เรื่องนี้ก็ควรที่จะสังวรเอาไว้ด้วยว่า บางอย่างเสียงวิชาการที่ค่อนข้างจะดัง ก็ลืมความเป็นจริงในสังคมไปเหมือนกัน" |
ถาม : อากาศแบบไหนที่ทำลายสุขภาพคะ ?
ตอบ : ร้อนจัด หนาวจัด แย่พอกันนะ ร้อนจัดทำให้เส้นเลือดขยายตัวมาก เลือดไม่พอเลี้ยงสมองก็ร่วงตึง แบบที่เขาเป็นลมแดดกัน ส่วนหนาวจัด พอกล้ามเนื้อหดตัวมาก ๆ บางทีอวัยวะไม่ทำงาน อาจจะถึงตายเลย ถาม : วันที่สังขารแตกดับ จะเกิดเวทนาบีบคั้น กระทั่งจิตทิ้งไปจากร่างกายหรือเปล่าคะ ? ตอบ : ถ้าเวทนาจนทนไม่ไหว ชีวิตก็แตกดับไปเป็นเรื่องปกติ ถาม : เป็นทุกคนไหมคะ ? ตอบ : บางคนสร้างบุญไว้ดี ปาณาติบาตน้อย ถึงเวลาเวทนาไม่ได้บีบคั้น แต่ว่าไฟเขาหมด หมดกำลัง หมดอาหารอะไรพวกนั้น ถาม : แล้วทำไมตอนจะหมดลม เราก็ต้องไม่เอาร่างกายอยู่แล้ว แต่เราคิดไปพระนิพพานไม่ทัน ? ตอบ : ต้องทำไว้ก่อน ถ้าสติ สมาธิ ปัญญาไม่พอ จะไปหวังก่อนตายนี่ยากสุด ๆ คือจิตของเรามีสภาพจำ ถึงเวลาก็จะไปจำในของเก่าที่ตัวชำนาญ ซึ่งก็คือการละเมิดศีลละเมิดธรรม ต้องฝึกปรือเอาไว้ให้เคยชิน ไม่อย่างนั้นแล้วเสร็จสถานเดียว |
:cebollita_onion-17: เก็บตกเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ หมดแล้วค่ะ :cebollita_onion-17: ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า เถรี รัตนาวุธ และเผือกน้อย |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 15:23 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.