กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมกราคม ๒๕๕๘ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=4305)

เถรี 17-01-2015 19:08

พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมายืนยันว่าการเปลี่ยนชื่อไม่มีประโยชน์ เปลี่ยนความประพฤติดีที่สุด เปลี่ยนตั้งร้อยชื่อพันชื่อ แต่ถ้าความประพฤติยังแย่อยู่เหมือนเดิม ก็หาเรื่องดีใส่ตัวไม่ได้หรอก แล้วยิ่งเปลี่ยนเสียจนอ่านไม่ออก ถ้าถือตามแบบของอาตมา คือ ถ้าชื่ออ่านยากขนาดนี้แล้วชีวิตจะสะดวกง่ายดายได้อย่างไร ?"

เถรี 17-01-2015 19:10

พระอาจารย์กล่าวว่า "บ้านเราส่วนหนึ่งที่อ้วนกันมาก เพราะไปกินอาหารตามอย่างฝรั่ง ฝรั่งเขาอยู่ในพื้นที่หนาว ต้องการอาหารที่มีแคลอรี่สูง เพื่อไปเผชิญกับความหนาว บ้านเราอยู่เมืองร้อน ไม่ได้ต้องการอาหารแคลอรี่สูง เมื่อไปกินตามอย่างเขา ร่างกายใช้ไม่หมดเก็บตุนไว้ ก็ต้องอ้วนเป็นธรรมดา

เดี๋ยวนี้พวกขนมนมเนยต่าง ๆ ตลอดจนไอศกรีมเยอะแยะไปหมด เจอพิซซ่าขอบชีสถาดเดียวก็หน้ามืดแล้ว อาตมาแตะไม่ได้เลย เพราะไตรกลีเซอร์ไรด์สูง กินเข้าไปหน่อยเดียวก็ความดันขึ้น เท่ากับบังคับว่า ของพวกนี้มีสิทธิ์กินเพื่อรู้รสเท่านั้น

เรื่องของวัฒนธรรมมีการส่งผ่านกันเป็นปกติ แต่การรับวัฒนธรรมเข้ามา ถ้าจะให้เกิดประโยชน์ก็ต้องดูว่า เหมาะสมกับสภาพภูมิประเทศ ตลอดจนกระทั่งจารีตประเพณีของเราหรือไม่ ไม่ใช่ประเภทถึงเวลาก็รับเอาวัฒนธรรมต่างด้าวเข้ามา รับเข้ามา ๆ

ลักษณะของการครอบงำทางวัฒนธรรมเกิดขึ้นในช่วงสงครามเย็น ที่มีการประจัญหน้ากันระหว่างโลกเสรีกับค่ายคอมมิวนิสต์ ก็ต้องมีการโฆษณาว่าโลกเสรีมีชีวิตความเป็นอยู่สะดวกสบายแบบไหน ก็เลยส่งผ่านบรรดาวัฒนธรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นอาหารการกิน การดนตรี ตลอดจนกระทั่งการแต่งกาย ทำเอาคนรุ่นเก่าเสียความรู้สึก เพราะว่ารับเข้ามาโดยไม่ได้ยั้งคิด คิดว่าเป็นวัฒนธรรมของผู้ที่เจริญแล้ว

หารู้ไม่ว่าส่วนหนึ่งเป็นการโฆษณาชวนเชื่อเต็ม ๆ เมื่อเป็นเช่นนั้นก็มีการไหลตามกระแสเขาไป ทั้ง ๆ ที่สิ่งดีที่สุดที่บรรพบุรุษเรามีให้ไว้อยู่แล้ว อย่างเช่นเรื่องพระพุทธศาสนา เราก็ทอดทิ้งแล้วไปไขว่คว้าเอาทุนนิยมเข้ามาแทน"

เถรี 17-01-2015 19:13

"ทุกวันนี้ต่างประเทศเขาเห็นแล้วว่าทุนนิยมไปไม่รอด โดยเฉพาะเรื่องของการลงทุนที่ไม่ก่อประโยชน์อย่างเรื่องของตลาดหุ้น เป็นต้น ในเมื่อไปไม่รอดก็ต้องหาที่พึ่งพิงทางใจ จึงหันมาปฏิบัติธรรมกันมาก น่าเสียดายที่บ้านเมืองเรามีหลักธรรมดีอยู่แล้ว แต่ว่าไปไขว่คว้าทุนนิยม คว้าความเจริญที่คนอื่นเขาเบื่อหน่ายกันหมดแล้ว กำลังทอดทิ้งแล้ว เห็นเป็นสมบัติล้ำค่า เหมือนไก่ได้พลอย ไม่รู้คุณค่าของพลอย ไปเอาข้าวเปลือกดีกว่า

น่าจะเกิน ๒๐ ปีแล้วที่อาตมาเห็นนิมิตกองมหาสมบัติสูงท่วมเป็นภูเขาเลากา แล้วก็มีประชาชนจำนวนมหาศาลไปขุดคุ้ยหาสมบัติวิเศษกัน โดยเฉพาะฝรั่งแบกเป้มาเยอะเป็นพิเศษ เห็นแก้วแหวนเงินทองเต็มไปหมด คุ้ยกระจุยกระจายแต่ไม่เอาอะไรไปเลย ก็เกิดความสงสัยจึงถามว่า “หาอะไรกัน ?” เขาบอกว่าเขาหาแก้ววิเศษ ๓ ดวง

อาตมาเลยคิดว่าในเมื่อเขาหาแก้ววิเศษ ๓ ดวง ก็ลองหาดูกับเขาบ้าง เผื่อว่าจะเจอ บรรดาสมบัติอื่น ๆ ของเขาอาตมาก็ไม่สนใจเหมือนกัน คุ้ย ๆ ไม่กี่ทีก็เจอเข้าพอดี พอเจอเข้าก็รีบตะครุบเก็บแต่..ไม่ทัน รัศมีดวงแก้วสว่างออกไปให้คนเห็นเสียก่อน ทีนี้คนก็วิ่งรุมเข้ามาทั่วเลย ต่อจากนั้นก็จบ เพราะว่านิมิตขาดลงแค่นั้น อนาคตเป็นอย่างไรก็เรื่องของคุณเถอะ..!"

เถรี 17-01-2015 19:15

"ดังนั้น..ในเมื่อพวกเรามีดวงแก้ววิเศษอยู่แล้ว แต่กลับไปละทิ้ง กลายเป็นไปเลือกหาเอาสิ่งที่มีโทษมากกว่าประโยชน์ ในหลวงของเราพยายามใช้หลักธรรมในการปกครองประเทศ พระองค์ท่านดัดแปลงเป็นพระบรมราโชวาทตามวาระต่าง ๆ โดยเฉพาะแนวทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงที่ให้ไว้ แต่พวกเราดันไปเชื่อบรรดานักเศรษฐศาสตร์ที่เรียนตำราฝรั่งมา ตำราฝรั่งของเขานี่ต้องเป็นหนี้ถึงจะถือว่ามีเครดิต เครดิตก็บอกตรง ๆ ว่าหนี้ แล้วจะดีได้อย่างไร ? โบราณของเราเขาสู้แค่หน้าตัก

มาจากเมืองจีนมีแค่เสื่อผืนหมอนใบ เก็บหอมรอมริบได้เงินก้อนหนึ่งก็ลงทุนทำโน่นทำนี่ ถ้าไม่เกิดความเจริญงอกงามขึ้นมา ต่อให้เจ๊งหมดตัวก็ไม่เป็นหนี้ใคร แต่สมัยนี้ยังไม่ทันจะทำอะไรเลย ก็เริ่มต้นด้วยการกู้หนี้ยืมสิน ต้องหาหลักทรัพย์ไปประกัน ถึงเวลาเจ๊งหมดตัวขึ้นมาหนี้ก้อนใหญ่รออยู่ ไม่สามารถที่จะส่งหนี้ได้ เขาก็ยึดหลักทรัพย์ของเราไป

จากที่ว่ามาเปรียบเทียบกับโบราณจะเห็นชัดเลยว่า การดำเนินชีวิตของพวกเราประมาทมาก ส่วนใหญ่ไปคิดในลักษณะหนึ่งบวกหนึ่งต้องเป็นสอง คิดว่าถ้าเราลงทุนแค่นี้ ถึงเวลาค้าขายในราคานี้ ได้กำไรเท่านี้ วันหนึ่งได้เท่านี้ เดือนหนึ่งได้เท่านี้ ปีหนึ่งต้องได้เท่านี้ โดยไม่ได้คิดว่าถ้าขายไม่ได้จะเกิดอะไรขึ้น

ดังนั้น..การลงทุนทุกอย่าง ถ้าเราจะลงทุนเราต้องตอบตัวเองให้ได้ก่อนว่า ถ้าเกิดข้อผิดพลาดแล้วเราจะแก้ไขอย่างไร ? ถ้าตอบตัวเองได้ก็ทำไปเถอะ ตอบไม่ได้นี่อย่าไปแตะเลย ถ้าไม่ใช่บุญเก่าดีจริง ๆ ไปไม่รอดหรอก ปีที่ผ่านมาก็เห็นที่ดาราเขาลงทุนร่วมกัน แล้วทะเลาะเบาะแว้งกันชนิดผีไม่เผาเงาไม่เหยียบ ก็ลักษณะเดียวกัน พอกำไรขึ้นมาก็จะเอา พอขาดทุนก็ให้คนอื่นรับไป จะตีกันตายตรงนั้น"

เถรี 17-01-2015 19:20

"เรื่องพวกนี้ก็อยู่ในลักษณะว่าอยู่อย่างมีสติ อยู่อย่างพอเพียง ไม่ใช่กินบะหมี่สำเร็จรูปทุกวันแล้วพอเพียง พอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาจากหลักสันโดษของพระพุทธเจ้า ยถาลาภสันโดษ ยินดีตามที่ได้มา ยถาพลสันโดษ ยินดีตามกำลังความสามารถที่หาได้มา ยถาสารุปปสันโดษ ยินดีตามฐานะของตน ถ้ามีเงินเป็นหมื่นล้าน พันล้าน จะกินอย่างไรก็กินไปเถอะ ไม่มีใครเขาว่า

ในหลวงถึงได้ยืนยันหนักหนาว่า เศรษฐกิจพอเพียงไม่ใช่ต้องจน ท่านบอกว่าเศรษฐกิจพอเพียงก็รวยได้ แต่ว่าตนเองต้องยืนหยัดได้ก่อน สามารถพึ่งพาตนเองได้ก่อน เหลือจากนั้นแล้วค่อยเอาไปขายเอาไปแจก แบบไหนก็แล้วแต่เรา

อย่าลืมว่ายถาพลสันโดษ ยินดีตามกำลังที่ตนหาได้ คนมีความรู้สูง มีต้นทุนสูง ลงทุนมากได้กำไรมาก ก็เป็นเรื่องปกติ แต่ว่าพวกเราจะเสียท่าอยู่อย่างหนึ่งก็คือว่า พอมีเงินอยู่ในมือมักจะคิดการใหญ่ เก็บเงินได้แสนจะลงทุนอันนี้ พอเงินเกินแสนเราขยับไปลงทุนอันนั้น พอเป็นล้านจะลงทุนอย่างโน้นดีกว่า กลายเป็นว่าช่องทางกว้างขึ้นเรื่อย ๆ ความเสี่ยงก็สูงขึ้น อันนี้จริง ๆ แล้วคือแฝงไว้ด้วยความโลภ ถ้าไม่โลภก็ไม่รู้ว่าจะทำไปทำไม คงเข้าวัดบวชกันหมดแล้ว

ฉะนั้น..ต้องยินดีตามที่ได้มา ยินดีตามกำลังของตนที่หาได้ ยินดีตามสภาพฐานะของตน ถ้าขายหุ้นได้จะบูชามีดหมอเพชราวุธก็ไม่เป็นไร ขายหุ้นไม่ได้ก็ทนกินบะหมี่สำเร็จรูปเอา..!"

เถรี 17-01-2015 19:27

พระอาจารย์กล่าวว่า "มีดหมอเพชราวุธที่ราคาสูงเพราะว่า แค่ตะกรุดมหาสะท้อนที่ด้ามก็ราคาครึ่งหนึ่งแล้ว ยังมีตะกรุดสามกษัตริย์ ทอง นาก เงิน อีก ๓ ดอกที่สันมีด ตัวมีดยังเป็นโลหะพิเศษ ด้ามมีดก็เป็นไม้ที่ตอนแรกผิดกฎหมายคือไม้พะยูง แต่ว่าเป็นเรื่องแปลก พวกไม้หรืองาช้างผิดกฎหมาย แต่ทำเป็นของใช้ขึ้นมาแล้วเขาไม่ว่าอะไร งาช้างก็เหมือนกัน ถ้าทำเป็นของใช้ขึ้นมาก็แล้วกันไป ถ้าเป็นงาอยู่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคุณไปล่ามาหรือเปล่า เป็นกฎหมายที่ลักลั่นอย่างไรพิกล จะเรียกว่าเป็นการผ่อนปรนให้ก็ได้ แต่อาตมาเองก็พอมีช่องทางอยู่ เพราะอย่างไรก็สามารถซื้อจากที่เขาโค่นไว้แล้วได้ ต่อให้ไม่ซื้อเขาก็โค่นไปแล้ว

ไม้พะยูงที่มีราคาแพงเพราะมีเท่าไรประเทศจีนซื้อไม่อั้น เนื่องจากว่าเขาไปขุดเจอในสุสาน ที่ผ่านระยะเวลายาวนานมาหลายร้อยปี เครื่องใช้ทุกอย่างที่ทำด้วยไม้พะยูงยังเป็นปกติอยู่ ไม่มีอะไรชำรุดเสียหาย ไม้พะยูงบางทีก็เรียกว่าไม้จันทร์ม่วง เพราะยิ่งใช้ยิ่งดำ ดำขึ้นไปเรื่อย ๆ ถ้าหากว่าขัด ๆ ถู ๆ อยู่ทุกวันจะสวยเป็นพิเศษ"

เถรี 17-01-2015 19:30

"ปรากฏว่าการทำมีดหมอเพชราวุธครั้งนี้ เล่นเอาโลหะหมดประเทศไทยไปเลย เพราะว่าตัวมีดต้องหนาพอที่จะฝังตะกรุดที่สันได้ แล้วเหล็กที่หนาขนาดนั้นเขาก็ไม่ค่อยสั่งเข้ามาเพราะว่าราคาสูง ในเมื่อเป็นเหล็กพิเศษราคาสูง ไม่มีการสั่งบ่อย ท้ายสุดโรงงานก็เลิกสายการผลิตไป ดังนั้น..เหล็กที่ตกค้างในประเทศไทยโดนอาตมากว้านซื้อมาหมดแล้ว เหลือแต่เศษเล็ก ๆ เท่านั้น แล้วก็ทำมีดหมอได้หน่อยเดียวอย่างที่เห็น เกือบจะตีกันตายใช่ไหม ? ชั่วโมงกว่า ๆ ก็จองหมดแล้ว ดังนั้น..ให้ไปหาของที่เราชอบไปเอง ชอบใจมีดแบบไหนวันที่ ๒๔ มกราคมนี้ก็เอาไปเข้าพิธี บรรจุเข้าหีบเข้าห่อให้ดี จะได้ไม่สูญหาย ถึงเวลาฝากก็ง่ายรับคืนก็ง่าย

อย่าเอาอย่างคุณยายทองชุบนะ ให้ลูกหลานฝากมีดไปเข้าพิธี เขียนติดไว้เลยว่า ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๓ เพิ่งจะรับกลับไปเมื่อ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ นี่เอง สี่ปีกว่าเกือบห้าปีแล้ว พระเราก็เวรกรรมจริง ๆ ศีลพระบังคับไว้เลยว่า ถ้าหากเขาลืมของไว้ในวัด ต้องเก็บไว้จนกว่าเจ้าของมารับคืน สมัยที่อาตมาอยู่วัดท่าซุง จะมีตู้พิพิธภัณฑ์ของหายเลย ถึงเวลาทำความสะอาดห้องพักต่าง ๆ ก็มีรองเท้าบ้าง กระเป๋าถือบ้าง เยอะแยะไปหมด ต้องไปติดป้ายว่า เก็บมาจากห้องไหน เดือนไหน ปีไหน แล้วก็ไม่ค่อยมีใครมาเอาหรอก เพราะอาจจะทิ้งแล้วก็ได้ แต่คราวนี้ศีลพระบังคับไว้ ไม่สามารถที่จะทิ้งได้ ก็ต้องเก็บ ไม่รู้ว่าหลังรุ่นอาตมาแล้ว คนอื่นที่มาเขาช่วยดูแลต่อหรือว่าขนไปชั่งกิโลขายแล้วก็ไม่รู้ ?"

สายท่าขนุน 17-01-2015 23:08

อ้างอิง:

ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ เถรี (โพสต์ 129779)
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีใครรู้จักเด็กหญิงต้นข้าวไหม ? เด็กหญิงต้นข้าว ยอดระบำ ตายไปแล้ว คุณวีระศักดิ์ ยอดระบำ (พ่อของต้นข้าว) ไปใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติ ทำนาทำไร่ ปลูกผักไม่ใช้สารพิษ แล้วก็เลี้ยงลูกมาด้วยวิธีให้อยู่กับธรรมชาติ เจ็บไข้ได้ป่วยก็ปล่อยให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันแล้วหายเอง พอเขาทำตัวลักษณะอย่างนั้นแล้วข่าวดังออกไป บรรดาเพื่อน ๆ จากกรุงเทพฯ ขึ้นไปเยี่ยม เลยเอาโรคไปติดหลาน ทำเอาต้นข้าวตายเลย เพราะว่าพ่อเขาใช้วิธีปล่อยให้หายเอง ให้ร่างกายสร้างภูมิเอง ก่อนหน้านี้ก็ทำได้มาตลอด พอไปเจอเชื้อหนัก ๆ เข้าก็ไปเลย
...
เขาก็พยายามที่จะสอนลูก ๆ ให้รู้ ให้กระดาษไปก็วาดรูปโน่นวาดรูปนี่ ต้นข้าวยังบอกแม่ว่า “ต้นข้าวจะไปเป็นดาวบนท้องฟ้า” เลยไปเป็นจริง ๆ ไม่รู้น้องชายเป็นอย่างไรบ้าง ถ้าจำไม่ผิดน้องชายต้นข้าวชื่อต้นโพธิ์ คุณวีระศักดิ์เขียนหนังสือดี ๆ หลายเล่ม เช่น คืนสู่ขุนเขาและสายน้ำ ใช้นามปากกาว่า คืนญางเดิม คำว่าญางตัวนี้ก็คือกะเหรี่ยง กลับคืนเป็นกะเหรี่ยงดั้งเดิม ตอนช่วงที่เขียนพวกเรื่องสั้นลงคอลัมน์ต่าง ๆ บางทีก็ใช้ชื่อจริง วีระศักดิ์ ยอดระบำ ลองไปค้นหาข้อมูลดูว่าแกไปถึงไหนแล้ว

เท่าที่หาข้อมูลเจอ คุณแม่ของน้องต้นข้าว ชื่อคุณกาญจนา พิมล
เขียนหนังสือ ชื่อว่า 'โรงเรียนของต้นข้าว' ด้วย

...และได้นำวิดีโอของน้องต้นข้าวมาฝากไว้ที่นี้ ดังลิงก์นี้
https://www.youtube.com/watch?v=Rg0o7I21BKk

เถรี 18-01-2015 12:10

พระอาจารย์กล่าวว่า "คณะคุณกิจจา ปัญญาวุฒิธรรม ถวายดอกบัวทองคำ ๓ คู่ ทองคำแท้ ๆ ไม่ใช่ทองชุบ คู่ที่หนึ่งถวายเป็นสมบัติประจำวัดท่าขนุน จะจัดสรรไว้ที่ใดแล้วแต่สังฆามติจะเห็นสมควร คู่ที่สองถวายบูชาพระบรมสารีริกธาตุเขี้ยวแก้ว คู่ที่สามถวายองค์พระพุทธรูปทองคำที่กำลังดำเนินการจัดสร้าง มีเบอร์ติดต่อด้วยว่า ถ้าไม่พอให้ขอเพิ่มได้ ขออนุโมทนาเป็นอย่างสูงกับญาติโยมที่ร่วมบุญมาทุกท่าน ขอให้สมหวังในสิ่งที่ปรารถนานะจ๊ะ"

เถรี 18-01-2015 18:46

พระอาจารย์กล่าวถึงงานสวดพระคาถาเงินล้านว่า "คราวหน้าเปลี่ยนจากเพลงพระคุณที่สาม เป็นเพลงรางวัลของครูนะจ๊ะ "...ฯลฯ...ให้ศิษย์ถึงฝั่งด้วยแรงหวังแรงศรัทธา เหนื่อยกายและใจทว่า เป็นสุขอยู่ทุกนาที ความภูมิใจมิได้อยู่ในพานไหว้ครู แต่อยู่ในวันที่รู้ว่าศิษย์นั้นไปได้ดี ...ฯลฯ..." แต่ถ้าตอนเรียนอยู่แล้วได้ดีนี่ครูจะโกรธมาก ต้องเรียนจบแล้วไปได้ดี ถ้าเรียนอยู่แล้วได้ D รับรองครูไม่รักแน่เลย ตอนเรียนอยู่ต้องได้ A"

เถรี 18-01-2015 18:49

พระอาจารย์กล่าวว่า "ประเทศที่เจริญแล้วต้องสนับสนุนการขนส่งสาธารณะ ไม่ว่าจะเป็นรถไฟบนดิน รถไฟใต้ดิน รถไฟลอยฟ้า รถแท็กซี่ รถเมล์ แต่บ้านเราถ้าไปสนับสนุนอย่างเขา บริษัทต่าง ๆ จะขายรถยนต์ส่วนตัวไม่ได้ ส่วนใหญ่แล้วพวกบรรดาบริษัทใหญ่ ๆ มักจะเป็นผู้สนับสนุนพรรคการเมือง ก็เลยทำให้บ้านเราต้องช่วยเหลือบริษัทห้างร้านต่าง ๆ ฉะนั้น..ไม่ใช่ไม่รู้ว่าการจะแก้รถติดต้องจัดการขนส่งสาธารณะให้ดี แต่รู้แล้วไม่ทำ เพราะว่าถ้าทำไปแล้วผู้สนับสนุนพรรคจะขายรถกันไม่ได้

ถ้าบ้านเราเป็นอย่างอังกฤษหรือญี่ปุ่น ถึงเวลาจะรู้ว่ารถเมล์เที่ยวนี้จะถึงที่ทำงานเวลาไหน ก็ออกจากบ้านได้ตรงเวลา ไม่ต้องไปเสียเวลาขับรถติดอยู่บนถนน คงต้องรออีกสักระยะหนึ่ง ให้บุคคลที่มีจิตทำงานเพื่อสาธารณะมีมากกว่านี้ ตอนนี้แต่ละฝ่ายแต่ละท่านก็ยังกระจัดกระจายอยู่ตรงนั้นบ้าง ตรงนี้บ้าง ไม่สามารถที่จะรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพื่อสร้างความเจริญให้แก่ประเทศชาติได้

จำหลักการง่าย ๆ ว่า "รถคือลด" ไม่มีเพิ่ม ซื้อเมื่อไรเงินในกระเป๋าของเราก็ลดลงทันที แล้วก็ลดไปเรื่อย ๆ เพราะต้องมีการซ่อมบำรุง ต้องมีการเข้าศูนย์เป็นประจำ ต้องเติมน้ำมัน ต้องดูแลรักษาตามระยะทาง ตามระยะเวลา ฉะนั้น..ถ้าไม่จำเป็นอย่าซื้อรถ ถ้าคิดว่าจำเป็น ก็ให้ซื้อรถที่ท้องตลาดนิยม ราคาไม่ต้องแพง เอาเป็นซิตี้คาร์เล็ก ๆ ก็พอ จะได้ขับกันสะดวกหน่อย

อาตมาชอบใจลูกเจนนี่ ตอนนั้นลูกเจนนี่เพิ่งจะเรียนชั้นประถม คุณแม่ซื้อรถเบนซ์ คุณลูกบ่นจนปากจะฉีกถึงใบหู ว่าแม่ซื้อไปทำไมตั้งหลายล้าน ? ซื้อรถญี่ปุ่นอย่างเก่งก็เจ็ดแปดแสน อย่างดีก็ล้านเศษ ๆ เหลือเงินสดเอาไว้เผื่อใช้ยามฉุกเฉินอีกตั้งหลายล้าน แสดงว่าเด็กรู้จักคิดมากกว่าผู้ใหญ่"

เถรี 18-01-2015 19:15

พระอาจารย์เล่าว่า "เห็นในหลวงดูฟุตบอลได้ เข้าร้านสะดวกซื้อได้ อาตมาก็รู้สึกดีใจว่าพระพลานามัยแข็งแรงขึ้น โดยเฉพาะในหลวงเชียร์บอล มาเลเซียบอกว่าประเทศไทยโกงความตายชัด ๆ ขนาดตายแล้วยังฟื้นใหม่..!

ต้องเชื่อในเรื่องบารมีของคนเรา แค่ให้ราชเลขาฯ โทรไปเท่านั้น กำลังใจนักฟุตบอลไทยมาท้วมท้นเลย ขนาดโดนนำไป ๓-๐ ก่อน ยังไล่ทันและแซงชนะได้ สรุปว่า คสช. (คืนความสุขให้แก่มวลชนชาวไทย) ดำเนินการโดยคุณซิโก้..!

ดูการคอมเม้นท์ของบรรดาแฟนบอลต่างชาติ หลายคนเขามีน้ำใจเป็นนักกีฬามาก แต่หลายคนพอได้ประตูนำคนไทยไปแล้วโพสต์เยาะเย้ยก็มี ต้องบอกว่าเป็นเรื่องปกติ ส่วนท่านที่มีน้ำใจเป็นนักกีฬา ก็ใช้คำพูดว่า "แล้วแต่ความประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า"

เถรี 18-01-2015 19:32

"ถ้าใครได้ดูคลิปวงดนตรีพระ ที่บรรดาพระภิกษุเล่นดนตรีกันสนุกสนานกลางป่า โปรดทราบว่าเป็นพระพม่านะจ๊ะ ไม่ใช่พระไทย เพลงที่ร้องก็เป็นเพลงพม่าด้วย บังเอิญว่าอาตมาฟังออกบ้าง ไม่ใช่เห็นแล้วรีบด่าไปก่อน พระพม่าเขาทำกันเป็นปกติ วัดของพม่ามีทีมบอลแข่งกับชาวบ้านได้ ฝ่ายหนึ่งก็ขัดเขมรลงสนามกันแดงพรึ่บไปเลย เพราะพระพม่านุ่งสีแดง (https://www.youtube.com/watch?v=YudiyiadtNE)

ไปนึกถึงในหลวงรัชกาลที่ ๔ พระองค์ทรงเปิดกว้างมาก เพราะมีคนไปฟ้องท่านว่า พระตั้งวงเตะตะกร้อกัน ทรงมีรับสั่งว่า "เจ้ากูจะเล่นบ้าง ก็ช่างเจ้ากูเถอะ" เจ้ากูสมัยนั้นก็คือพระทั่วไป ถ้าขรัวตาหมายถึงพระผู้ใหญ่ที่เป็นพระเถระ ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเจ้าอาวาส พระองค์ท่านเป็นพระมหากษัตริย์สามารถชี้เป็นชี้ตายได้ แต่เห็นว่าบางทีการที่คนหนุ่มไปโดนจำกัดอยู่ในธรรมวินัยก็เกิดความเครียด ในเมื่อท่านออกกำลังอยู่ในวัดก็ออกไปเถอะ

แต่ถ้าเป็นแบบหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านกับเพื่อนอีกสามองค์ฝึกกรรมฐานกันอยู่ในป่าช้า ท่านใช้วิธีหาบน้ำคนละสองปีบ ขีดเส้นเอาไว้ วิ่งวนรอบป่าช้า เหยียบเส้นเมื่อไรเป็นอันว่าทรงฌานทันที ท่านซ้อมแบบนี้ ปรากฏว่ากำนันเถาไปเจอ ไปฟ้องหลวงปู่ปาน "ท่านใหญ่ พระของท่านหาความสำรวมไม่ได้เลย วิ่งกันอยู่ในป่าช้าโน่น" หลวงปู่ปานก็ถามว่าที่ไหนนะ ? "ในป่าช้า" "แล้วมึงเสือกไปดูเขาทำไม ? เขาอุตส่าห์หลบเข้าไปในป่าช้าแล้ว" กำนันเถาหน้าม้านเลย

ถ้าฝึกซ้อมการทรงฌานจนมีความชำนาญ กำหนดได้เลยว่าจะเอาอย่างไร วสีคือความคล่องตัว ความชำนาญ สามารถกำหนดได้ ถ้ากำหนดได้คล่องขนาดนั้นจะรู้วันตายของตนเอง เพราะกำหนดได้ว่าจะไปเมื่อไร"

เถรี 18-01-2015 19:41

"เรื่องของสมาธิ ถ้าถามว่าเกี่ยวกับน้ำหนักตัวไหม ? ก็มีส่วนอยู่บ้าง เพราะคนน้ำหนักตัวมาก กระแสเลือดเต็มไปด้วยสารอาหารและไขมัน มักจะทำให้ตั้งสติไม่ค่อยได้ ถึงเวลานั่งสมาธิก็จะง่วงซึม พร้อมที่จะหลับ แต่ถ้าซ้อมสมาธิจนคล่องตัว ก้าวเดียวข้ามพรวดไปเลย ทรงฌานเมื่อไรก็ได้ ถ้าอย่างนั้นน้ำหนักตัวก็ไม่เกี่ยวแล้ว แต่ถ้ายังไม่สามารถที่จะทรงฌานในระดับที่คล่องตัวได้ ก็ยังเกี่ยวอยู่มาก

คนเจริญกรรมฐานใหม่ ๆ จะสังเกตเห็นว่า พอลมหายใจละเอียดจะรู้สึกว่าร้อนขึ้น ๆ ๆ เพราะลมหายใจเริ่มละเอียด การแลกเปลี่ยนออกซิเจนจะดีขึ้น อัตราการเผาผลาญร่างกายก็มากขึ้น เท่ากับว่าช่วยให้น้ำหนักลดลงได้เหมือนกัน"

เถรี 18-01-2015 19:50

พระอาจารย์กล่าวว่า "พระปิดตาหลวงปู่เทพโลกอุดร หลวงพ่อนิลท่านถวายมา ส่วนอีกองค์เป็นของหลวงปู่ทองทิพย์ ถามว่าใช่พระปิดตาจันทรคราสหรือเปล่า ? ท่านหัวเราะเลย

ความจริงครูบาอาจารย์ท่านมักจะมอบของดีที่สุดที่ท่านมีอยู่ให้ แต่อาตมาเป็นคนรักษาของไม่อยู่ เดี๋ยวก็ไปอีกแล้ว คือเกิดมาแล้วไม่หวงของ พอถึงเวลาก็เอาไปลงประมูลเกลี้ยง

สมเด็จเสด็จกลับของหลวงปู่สุภา อุตส่าห์ได้หน้ากากทองมาด้วยก็ไปหมดแล้ว ประมูลกันบนรถไฟเลย"

เถรี 18-01-2015 20:22

พระอาจารย์เล่าเรื่องขำ ๆ ในวงการสงฆ์ให้ฟังว่า "เคยได้ยินคำว่า "บุญมีแต่กรรมบัง" ไหม ? สามเณรไปกิจนิมนต์ ถอดรองเท้าไว้ ไม่ทราบว่าแขกคนไหนใส่รองเท้าของสามเณรไป สามเณรเดินเท้าเปล่ากลับวัด พอดีเดินผ่านร้านขายรองเท้า มีโยมผู้หญิงเห็นเข้า "นิมนต์หน่อยเจ้าค่ะ ดิฉันจะถวายรองเท้า" โชคดีนะ..รองเท้าหายแล้วได้ของใหม่ แต่ผู้ชายที่ยืนอยู่ข้าง ๆ รีบบอกว่า "คุณ ๆ เณรเขาเคร่ง อุตส่าห์ไม่ใส่รองเท้า คุณยังไปถวายให้เป็นอาบัติอีก" เณรอดได้รองเท้าไปเลย

พระอาจารย์มักจะสอนเณรว่า ถ้าญาติโยมนิมนต์ให้รับ ไม่อย่างนั้นจะเป็นการขัดศรัทธา ทำให้ญาติโยมเสียกำลังใจได้ เณรก็รับรู้ รับทราบ รับปฏิบัติ วันนั้นเณรกำลังท่องหนังสืออยู่ ปรากฏว่ามีเด็กโผล่มาทางหน้าต่าง "เณร ๆ ว่างไหมครับ ?" เณรบอกว่า "กำลังท่องหนังสืออยู่" "ถ้าไม่ได้ทำอะไรนิมนต์เลยครับเณร" นิมนต์ทำอะไร ? ฟุตบอลขาดคน เด็กมานิมนต์ให้เณรช่วยเฝ้าประตูให้หน่อย

สามเณรถกสบงยืนเฝ้าประตูให้ หลวงพ่อผ่านมาพอดีเลย "เณรไปเอาไม้เรียวมา..! เป็นสามเณรไปเล่นฟุตบอลได้อย่างไร ? ไม่มีความสำรวมเลย" "ก็ไหนหลวงพ่อบอกว่า ถ้าเขานิมนต์แล้วเราต้องรับ..?!"

เถรี 18-01-2015 20:35

"โยมหลายคนเวลาทำบุญมักจะตามไปดูว่า พระได้ใช้ของตัวเองหรือเปล่า ? ที่อำเภอห้วยกระเจา จังหวัดกาญจนบุรี มีโยมอยู่คนหนึ่งถวายที่สร้างวัดสองร้อยกว่าไร่ แล้วโยมคงถวายไม่ขาด จึงไปตามคุมประพฤติพระในวัด เพราะโยมคงจะคิดว่าเป็นวัดของกู

นี่ก็เหมือนกัน มีโยมท่านหนึ่งเดินไปถามพระในวัด "ท่าน ๆ วันก่อนของที่ฝากเณรไว้ได้รับหรือยัง ?" พระก็ตอบด้วยความมั่นใจ "ได้รับ..ฉันเรียบร้อยแล้วโยม" "ดิฉันถวายรองเท้าไปนะเจ้าคะ..!" สงสัยพระท่านเป็นร็อตไวเลอร์มาเกิด ฉันกระทั่งรองเท้า..! เรื่องขำ ๆ ในวงการสงฆ์มีมาก แต่บางเรื่องขำจนหัวเราะไม่ออก"

เถรี 18-01-2015 20:40

พระอาจารย์กล่าวว่า "เทวดาชั้นยามาท่านสวดมนต์กันเป็นปกติ เพียงแต่ทรงฌานไม่ได้เท่านั้น ถ้าทรงฌานได้ก็ไปเป็นพรหมกันหมดแล้ว"

เถรี 18-01-2015 20:57

ถาม : อายุ ๖๐ ปี ถ้าไม่ทำบุญวันเกิดจะเป็นอะไรไหม ?
ตอบ : จะไม่ทำบุญก็ไม่ว่า แต่คนเรานั้นที่อยู่มาได้ เพราะ ๑. ยังไม่หมดอาหาร ๒. ยังไม่หมดอายุ ๓.ยังไม่หมดบุญ ๔.ยังไม่หมดกรรม ถ้าอย่างหนึ่งอย่างใดหมด ก็อาจจะอยู่ไม่ได้

ดังนั้น..ถ้ายังอยากอยู่ต่อ ก็ทำบุญสักหน่อยหนึ่ง หมดอาหาร..ตาย หมดอายุ..ตาย หมดบุญ..ตาย หมดกรรม..ตาย..!

เถรี 18-01-2015 21:54

พระอาจารย์เล่าว่า "พระวัดท่าขนุนเดี๋ยวนี้ไม่สนใจงานก่อสร้าง ทำให้อาตมานึกถึงตัวเอง สมัยนั้นบวชใหม่ ๆ หวงเวลาตัวเองมาก เวลาที่เหลือใช้ในการภาวนาเสียส่วนใหญ่ ภาวนาวันละเกิน ๑๐ ชั่วโมง ไม่เอาเรื่องการก่อสร้างเลย

พอออกจากวัดไป งานก่อสร้างมาหูดับตับไหม้ แล้วก็ไม่รู้เรื่องอะไรเลยสักอย่าง ไม่รู้ว่ากระเบื้องมีทั้งขนาดยาวขนาดสั้น มีอย่างหนา มีอย่างบาง มีลอนใหญ่ มีลอนเล็ก ไม่รู้ทั้งนั้น ต้องใช้วิธีตีขลุมเอา อย่างเช่น ช่างถามว่า อาจารย์จะเอากระเบื้อง ๑.๒ เมตร หรือ ๑.๕ เมตร เอาอย่างหนาหรืออย่างบาง อาตมาก็ถามว่า "แล้วช่างเห็นว่าอย่างไหนเหมาะกว่า ?" ต้องใช้วิธีตีขลุมเอา เพราะไม่รู้เรื่องเลยจริง ๆ

ค่อย ๆ ศึกษาไปทีละนิดทีละหน่อย จนกระทั่งก่อสร้างได้ ๔-๕ ปี ทีนี้คิดเองเป็นหมด พื้นที่เท่าไร ใช้วัสดุขนาดไหน ใช้งบประมาณเท่าไร อยู่ ๆ ช่างก็มาบอกว่า "อาจารย์..ขาดกระเบื้องไป ๑๑ แผ่น" "เป็นไปไม่ได้หรอก ข้าคิดไม่เคยขาด" ช่างเขาบอกว่า "หนูทำแตกเองค่ะ" เป็นกระเบื้องปูพื้น "ไม่เคยเจอใครคิดกระเบื้องได้ลงตัวขนาดนี้ ไม่เหลือสักแผ่นเดียว พอทำแตกจึงต้องขอให้ซื้อเพิ่ม" "ถ้าเอ็งสารภาพแต่แรกก็หมดเรื่อง ดันหาว่าข้าคิดขาดไป ๑๑ แผ่น ต้องหักค่าแรงให้เข็ด" เรื่องแบบนี้ต้องค่อย ๆ ศึกษาไป"


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 23:55


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว