![]() |
"คราวนี้พอเห็นเรื่องของอิทธิฤทธิ์ เรื่องของพุทธานุภาพ จิตตานุภาพอะไรต่าง ๆ ตั้งแต่เด็ก ก็เห็นว่าเป็นเรื่องปกติ ทำได้ทุกคน ในเมื่อรู้สึกว่าเป็นเรื่องปกติ ถึงเวลาปฏิบัติก็ไม่ได้รู้สึกว่ายาก แต่อย่างสมัยนี้ของเราสิ่งแวดล้อมไม่ให้ โอกาสที่จะเอื้อให้เราเข้าวัดก็ไม่มี ขณะเดียวกันหลวงปู่หลวงพ่อที่เป็นนักปฏิบัติในเมืองท่านก็ไม่อยู่กัน ส่วนใหญ่ท่านไปอยู่ปฏิบัติในป่า จะไปทำอะไรให้เราเห็นได้ สมัยอาตมาเด็ก ๆ วัดก็คือป่า เพราะว่าส่วนใหญ่ตั้งอยู่ชายป่าท้ายหมู่บ้าน เผลอ ๆ เสือจะลากไปกินเอา แล้วท่านเองก็ยังรู้สึกว่าไม่พอ ไปปฏิบัติในป่าช้าอีก
บางทีผู้ใหญ่เขาบอกว่า "ไอ้หนู..ไปตามหลวงพ่อให้ที น้ามีเรื่องด่วน" น้าไปเองไม่ได้หรือ..?! หลวงพ่อท่านอยู่ในป่าช้า คราวนี้สถานการณ์เอื้ออำนวย แล้วท่านก็ปฏิบัติ บางทีก็หลุด อย่างบางคืนชาวบ้านเห็นไฟลุกท่วมโบสถ์เลย คว้าถังวิ่งไปตักน้ำจะไปดับไฟ หลวงพ่อท่านเปิดโบสถ์มาถามว่า "พวกเอ็งทำอะไรกันวะ ?" บอกว่าเห็นไฟไหม้โบสถ์ ท่านบอกว่า "มึงตาฝาด..!" ท่านเพ่งกสิณแล้วขยายเป็นปฏิภาคนิมิต พวกเราเห็นเป็นไฟลุกท่วมโบสถ์ นั่นคือพระที่ไม่ดังนะ..ลองคิดดูว่าพระที่ดังท่านจะขนาดไหน ?" |
"สมัยที่อาตมายังเด็ก ๆ ทางบ้านต้องยกให้หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม เป็นที่ ๑ ช่วงนั้น แล้วก็หลวงปู่เพิ่ม วัดกลางบางแก้ว สองท่านนี้ดังแทบจะกลบท่านอื่นหมด หลวงพ่อน้อย วัดธรรมศาลา หลวงพ่อเต๋ วัดสามง่าม ถือว่าดัง แต่ว่ายังสู้สองท่านนี้ไม่ได้ คิดดูแล้วกันว่าระดับที่สู้ไม่ได้ สมัยนี้ยังมีชื่อเสียงดังคับประเทศทั้งนั้น อาตมาอยู่ในสิ่งแวดล้อมอย่างนั้น รอบบ้านมีแต่สุดยอดฝีมือในยุทธจักร"
|
ถาม : ถ้าผมโพสต์ในเฟซบุ๊กว่า ตั้งรับพระสมเด็จพลิกชีวิต องค์ทองคำสี่หมื่นบาท หลวงพ่อว่าจะได้ไหมครับ ?
ตอบ : แล้วแต่ความอยาก ถ้าอยากมากก็ได้ ความจริงถ้าหลวงพ่อมีสตางค์จะกว้านขึ้นมาเอง แล้วก็ไปปล่อยต่อสัก ๓๕,๐๐๐ บาท เอาให้รวยอื้อเลย อาตมาบูชาวัตถุมงคลอย่างมีสติ ในเมื่อเหรียญทองราคาแพงเราก็ไปเอาเหรียญเงิน ถ้าเหรียญเงินแพงเดี๋ยวก็ไปเอาทองทิพย์ ทองแดงนอก หรือทองเหลืองก็ได้ อานุภาพเหมือนกัน ถาม : ปล่อยวันนี้เลยไม่ได้หรือครับ ? ตอบ : ไม่ได้...เพราะว่าวันเป่ายันต์ฯ ไม่มีอะไรให้เขา ถาม : จ่ายเงินไว้ก่อนไม่ได้หรือครับ ? ตอบ : ยิ่งไม่ได้ใหญ่เลย เพราะว่าถ้าจ่ายแล้วก็แล้วกัน |
พระอาจารย์กล่าวว่า "อย่าไปเชื่อใครว่าทำบุญแล้วต่อราคาไม่ได้ แล้วอย่าไปเชื่อใครว่าทำบุญต้องของแพงเท่านั้น ของดีของประณีตจัดว่าเป็นสามีทานก็จริง แต่ถ้าในสิ่งที่ไม่มีความจำเป็น เช่น การหลอมผางประทีป คุณจะใช้เศษเทียนหรือจะใช้เทียนแผ่น หลอมออกมาหน้าตาเหมือนกันทุกประการ เศษเทียนประหยัดได้ตั้ง ๓ เท่า
เราศึกษาพระไตรปิฎกจะเห็นชัดว่า เกือบทุกหมวดของธรรมะ พระพุทธเจ้าจะแทรกปัญญาไว้เสมอ เพราะฉะนั้น..การทำความดีต้องทำแบบคนมีปัญญาด้วย พูดง่าย ๆ ว่าใช้เงินให้เป็น ใช้เงินไม่เป็นก็ได้ของแพงโดยใช่เหตุ อย่างอาตมาสร้างวัตถุมงคล ส่วนใหญ่เวลาสร้างทางร้านค้าเขาจะให้ส่วนเกินมาทุกรุ่น อย่างเช่น ร้อยละ ๓ ร้อยละ ๕ บางร้านใจดีก็ให้ร้อยละ ๑๐ เลย คราวนี้ถ้าใครไปติดต่อส่วนเกินมา อาตมาก็ถือว่าเป็นค่าดำเนินการ แต่ถ้าใครเอามากเกิน อาตมาก็เลิกคบ เพราะฉะนั้นเรื่องบางเรื่องต้องดูความพอเหมาะ พอดี พอควร โดยใช้ปัญญาไตร่ตรองเสียก่อน ไม่ใช่ว่ามีสตางค์เราก็จะทำ" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "เขาออกกันแบบไม่เกรงใจเลย เนื้อทองคำองค์ละ ๑๐๐,๙๐๐ บาท เนื้อเงินองค์ละ ๕,๐๐๐ บาท เมื่อเช้านี้เนื้อทองคำของเราออก ๓๐,๐๐๐ บาท ตอนนี้ออกแสนกว่า เนื้อเงินออกไปพันห้า เขาแค่กลับตัวเลขเป็น ๕,๐๐๐ ลงไปแสนกว่าก็มีคนบูชาไปแล้ว"
ถาม : พลิกชีวิตก็ตอนนี้ ? ตอบ : อันดับแรกคงพลิกให้คนขายก่อน เราพยายามออกให้ต่ำที่สุดเพื่อให้คนจับต้องได้ เขาก็เอาไปขายให้แพงที่สุด..! เขาใช้เวลามาบูชาจากที่นี่ไม่กี่นาที กลับไปบวกราคา ๙๐,๙๐๐ บาท บวกนะ...ไม่ได้คิดต้นทุน ต้นทุนคิดไปเรียบร้อยแล้ว ก็เลยกลายเป็นเหรียญละแสนกว่าบาท ในมุมของเรานี่ให้ราคาถูกที่สุด โยมจะได้เฉลี่ยไปให้มากที่สุด มีโอกาสเข้าถึง แต่ในมุมของโยม ราคาถูกเท่าไร เขาก็ได้กำไรมากเท่านั้น ทำไมเขาไม่อดใจหน่อย ไปเอาในงานตอนปลายเดือนนี้ เหรียญละ ๓๐๐ บาทเอง ไม่ต้องไปจ่ายตั้งแสนกว่าบาท |
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของการบริจาคเงินเพื่อซื้อเม็ดเงินหรือการนำเม็ดเงินมาบริจาคโดยตรง รับเฉพาะเดือนนี้เท่านั้น เพราะว่าถ้ายิ่งช้าเดี๋ยวของยิ่งขึ้นราคา ฉะนั้น..จะต้องซื้อหาหรือทำให้เสร็จให้เร็วที่สุด เดือนถัด ๆ ไปไม่ต้องเอามาบริจาคอีก เพราะว่าถึงจะบริจาคก็คงจะสร้างพระเสร็จไปแล้ว"
|
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของผีน้อย คือพวกที่หลบหนีเข้าเมืองไปทำงานที่เกาหลีโดยผิดกฎหมาย กลับมาแล้วไม่ยอมกักตัวเองเพื่อดูอาการของโรค ไปเที่ยวที่นั่น ไปกินที่นี่ ต้องบอกว่าถ้าไม่มีมาตรการที่เด็ดขาด ก็ไม่มีทางจัดการกับคนเหล่านี้ได้
เหตุเพราะว่ากฎหมายเกาหลีเขายังไม่แยแส หนีเข้าเมืองไปเพื่อไปทำงาน กฎหมายไทยเราที่อ่อนปวกเปียกยิ่งกว่าตาแก่อายุ ๙๐ นี่ไม่ต้องคิดถึงเลย คนเหล่านี้ถ้าเคารพกฎเกณฑ์กติกา มีจิตสำนึกเพื่อส่วนรวม เขาก็จะไม่ไปเป็นผีน้อยอย่างนั้น จะอ้างว่าลำบาก ทำมาหากินในเมืองไทยของเราแล้วไปไม่รอด ก็ไปแหกกฎหมายเกาหลีเขาอยู่ดี ในเมื่อกฎหมายเกาหลีก็แหกมาแล้ว กฎหมายไทยนี้เรื่องเล็ก เราเองเพิ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษาได้ไม่กี่วัน ข่าวคราวยังไม่ได้กว้างขวางพอที่คนทั่วไปจะรู้ว่าจะโดนลงโทษอย่างไร เขาก็เลยแหกคอกกันปกติ ส่วนบางคนที่รู้สำนึกกักตัวเอง นั่นไม่ใช่ว่าเพราะมีจิตสาธารณะ แต่กลัวว่าคนใกล้ชิดอย่างลูกเมียครอบครัวตัวเองจะเดือดร้อน ต้องบอกว่าอย่างน้อยก็ยังมีจิตสำนึกห่วงครอบครัวตัวเองอยู่บ้าง" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ให้ทุกคนรอว่างานเป่ายันต์เกราะเพชรครั้งนี้ จะขออะไรพระท่านได้มากกว่าเดิมหรือเปล่า ? ถ้าขอได้มากกว่าเดิม เรื่องอะไรที่ไม่ดี ๆ น่าจะบรรเทาลงไปได้ระดับหนึ่ง แต่ระยะนี้ก็เอาหลวงปู่หลวงพ่อปฏิบัติดีปฏิบัติชอบไปหลายรูปติด ๆ กัน จะว่าไปแล้วแต่ละท่านก็ ๙๐ กว่าทั้งนั้น มีอยู่ท่านหนึ่งอายุ ๑๐๐ ปีพอดี อยู่ในเกณฑ์ที่ว่า ไข้ก็ตาย บ่ไข้ก็ตายแล
เกรงอยู่อย่างเดียวว่านิสิตนักศึกษาจะหลงกลปฏิบัติการจิตวิทยา แล้วก็ออกไปแสดงพลังบนท้องถนน เนื่องจากว่าส่วนหนึ่งของรัฐบาลมีพวกโง่แล้วขยัน ถึงเวลาก็ไปพูดในลักษณะแหย่รังแตน คือพวกเกิดมาไม่ทันที่จะเห็นพลังนิสิตนักศึกษา ต้องบอกว่ายังไม่รู้ว่าเวลาคนเรารวมตัวกันขึ้นมาแล้วน่ากลัวขนาดไหน รัฐบาลเผด็จการที่มีอำนาจเต็มมือ คุมคนทั้งประเทศได้ อย่างจอมพลถนอม จอมพลประภาส พันเอกณรงค์ อยู่ไม่ได้ คนรุ่นนี้ไม่รู้หรอกว่าอะไรเป็นอะไร เพราะว่ายุคนั้นเขามีมาตรา ๑๗ ให้อำนาจนายกรัฐมนตรีสั่งยิงทิ้งได้เลย สมัยนั้นถ้าบอกว่า ม. ๑๗ ทุกคนหัวหดหมด แต่พอไปกดดันเข้าจริง ๆ พลังนิสิตนักศึกษาก็ประทุออกมาจนได้" |
"เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเหตุ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ หรือว่า ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ หรือพฤษภาคม ๒๕๓๕ ก็ดี เป็นเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ที่ไม่ควรจะให้เกิดซ้ำอีก เพราะว่าเราไม่มีผู้มีบารมีระดับในหลวงรัชกาลที่ ๙ ซึ่งทั้ง ๓ เหตุการณ์นั้น ถ้าไม่มีพระองค์ท่านออกมาห้ามทัพไว้ เลือดจะนองเป็นท้องธารมากกว่านั้น
ตอนนี้อยู่ในสภาวะที่คนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่เผชิญหน้ากัน โดยมีความคิดว่าอีกฝ่ายหนึ่งโง่ เชื่อแต่แนวความคิดโง่ ๆ ในเมื่อผู้ใหญ่เห็นเด็กโง่ เด็กเห็นผู้ใหญ่โง่ ก็แปลว่าไปกันไม่ได้ ความเชื่อมั่นไปคนละแนว ถ้าเป็นการปะทะสังสรรค์ทางความคิด เป็นวิวาทะทางวิชาการก็แล้วไป แต่ถ้าเป็นม็อบกลางถนนนี่จะน่ากลัวมาก ๒๕๓๕ ก็ไม่ได้นานเกินไป ยังไม่ถึง ๓๐ ปี แค่ ๒๘ ปี ตอนนั้นเขามีม็อบมือถือ ขี่มอเตอร์ไซค์ ติดต่อกันด้วยโทรศัพท์มือถือ ทุบทำลายและเผาสถานที่ตามแต่จะมีคำสั่งชี้เป้าให้ทางโทรศัพท์ สมัยนี้น่ากลัวกว่านั้นอีก เพราะว่าเริ่มเข้าสู่ยุค ๕G แล้ว คำสั่งอาจจะมาถึงแบบไม่มีร่องไม่มีรอยแบบสมัยก่อนก็ได้ สุภาษิตจีนเขาบอกว่า น้ำรองรับเรือได้ ก็ล่มเรือได้ ในเมื่อประชาชนหนุนให้เป็นรัฐบาล ถ้าหากว่าทำแล้วไม่ถูกใจก็มีสิทธิ์ที่จะล้มรัฐบาลได้ ปล่อยให้นายกฯ ท่านแก้ไขปัญหาของท่านไปเถอะ วันนี้ท่านก็เครียดพอแล้ว อย่าไปซ้ำเติมท่านอีกเลย" |
พูดถึงเด็กซน อยู่ไม่นิ่ง "เขาเรียก Hyper Active เกิดจากการที่พ่อแม่กินสารบำรุงมากเกินไป พอกินสารพัดของบำรุงลงไปก็ไปอยู่ที่ตัวเด็ก คราวนี้สติสมาธิของเด็กมีอยู่แค่นั้น ไม่ได้เป็นไปตามพลังงาน ก็แสดงออกในลักษณะของพลังงานล้นเกิน กลายเป็นโรค Hyper Active ต้องจับไปเล่นกีฬา รุ่นของอาตมานี่ถ้าจะ Hyper Active ได้จริง ๆ ต้องเป็นโดยสันดานข้ามชาติมา เพราะว่ารุ่นนั้นสารบำรุงไม่มี มีแต่กล้วยขูด มีแต่ข้าวย้ำ"
ถาม : บางทีเขาก็กรี๊ด ? ตอบ : ธรรมดา..กรี๊ดก็ไม้เรียว ถาม : เขาไม่กลัว ? ตอบ : ตีเข้าไป อาตมาตีอยู่ครึ่งชั่วโมง ร้องไห้จนหมดเรี่ยวหมดแรง คราวหน้าได้ยินเสียงเขาเงียบสนิท ไม่กล้าร้องเลย อยู่ที่เราว่าโหดพอไหม ? ประเภทตีไปแม่ร้องไห้ไป แล้วเด็กที่ไหนจะกลัว ? |
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของไวรัส COVID-๑๙ ต้องบอกว่าดำเนินชีวิตด้วยความไม่ประมาทเป็นดีที่สุด เพราะว่าถ้าพวกเราประมาท ไม่ได้ตายด้วยไวรัสก็จะไปตายในเรื่องอื่น เพราะฉะนั้น..วิธีปลอดภัยที่สุดก็คือ อย่าประมาท
หลวงพ่อพระพรหมบัณฑิต รักษาการเจ้าคณะใหญ่หนกลาง ท่านบอกว่า "เวลานั่งรถ เห็นคนขับรถพนมมือ ท่องนั่นท่องนี่ เออ...สบายใจอย่างน้อยเขาก็ไม่ประมาท" ฟังท่านแล้วก็ขำดี อย่าให้ท่านได้บรรยาย เผลอเมื่อไรก็หมดเป็นชั่วโมง..! |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ที่เมืองจีนทำดีมาก ไฟไหม้บ้านทั้งหลังเลย เพราะอะไรรู้ไหม ? ให้เขาไปฉีดแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อ แล้วดันไปเปิดสวิตช์ไฟ ก็คงน่าจะเห็นว่าบ้านมืดเลยเปิดให้สว่างหน่อย แต่เขาฉีดแอลกอฮอล์ไปแล้ว จึงระเบิดทั้งหลังเลย แต่อันนั้นต้องบอกว่าเชื้อโรคตายจริง ๆ คือตายแน่นอน..!
พวกเราทั่ว ๆ ไปไม่ค่อยเข้าใจว่า การเปิดสวิตช์ไฟแต่ละครั้งจะมีประกายไฟเกิดขึ้น แต่คราวนี้เรามองไม่เห็น เพราะว่าอยู่ข้างใน ซ่อนอยู่หลังตัวกด แอลกอฮอล์พ่นฟุ้งอยู่ พอไฟแวบก็ติดพรึ่บเลย" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "เบี้ยแก้ไม่ได้รักษา แต่ช่วยกัน เพียงแต่ว่าควรจะเป็นรุ่นเก่า ๆ ที่เป็นพวกปรอทป่า เพราะปรอทป่ามีอำนาจกันพวกเชื้อโรคหรือพวกไข้ต่าง ๆ ไม่ให้เข้ามาในบริเวณที่เขาแผ่พลังไปถึง
ด้วยความที่อาตมาเอาความมั่นใจไว้ก่อน ก็เลยเล่นตัวครูใหญ่เท่ากำปั้น สมัยก่อนหลวงปู่เจือให้ตัวครูมา ตัวครูนี้ก็เหมือนกับสืบทอดวิชาการได้ แต่คราวนี้ว่าของหลวงปู่เจือมีคนขอบูชาต่อไป ท้ายสุดก็เลยต้องไปเอาของหลวงปู่บุญมา ยอมจ่ายแพงหน่อย ที่จำหน่ายถูกที่สุดก็ ๖๐,๐๐๐ บาท..!" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าเราหาเบี้ยแก้ที่บรรจุปรอทป่าเพื่อมากันเชื้อไวรัสไม่ได้ เพราะว่าปัจจุบันนี้ของรุ่นเก่าที่บรรจุปรอทป่าราคาหลายหมื่น เราก็หาแมลงภู่คำ แต่ต้องหาแบบบรรจุปรอทนะ อย่าไปหาแบบที่บรรจุเข็มทอง
แมลงภู่คำมี ๒ สาย สายหนึ่งบรรจุเข็มทอง อีกสายบรรจุปรอทป่า พวกนี้ส่วนใหญ่เป็นของทางพม่า เขาใช้ปรอทป่ากัน ของพม่าเขาจะไม่ใช้ปรอทวิทยาศาสตร์ เพราะว่าเขาเรียนมาเรื่องนี้โดยตรง เขาจะไปดักปรอทกันเอง สมัยก่อนท่านอาจารย์โมเช่ก็สอนอาตมาให้ดัก ที่ขำ ๆ คือปรอทเหมือนกับมีชีวิตจริง ๆ พอถึงเวลาเราต้องเอากระจกพาดปากหม้อดินที่เราล่อให้ปรอทลง ปรอทจะลอยมาเป็นแสง พอลงเกาะ ก็ลื่นกระจกไหลลงหม้อไป คราวนี้พอลงถึงก้นหม้อก็ขึ้นไม่ได้แล้ว เพราะว่าก้นหม้อเขาใส่ว่านพวกที่ฆ่าฤทธิ์ปรอทเอาไว้ ส่วนท่านชาติชายก็ไปเล่นกับปรอท “หลวงพี่ ๆ ลองดูสิ” เอานิ้วจิ้ม คือจะรู้สึกว่ามีพลังต้านอยู่ เวลาเราจิ้มลงไปเหมือนกับมีอะไรบาง ๆ ชั้นหนึ่งเป็นพลังงานกั้นอยู่ ตอนแรกอาตมาก็ไม่เชื่อว่าปรอทมีพลังงาน ท่านชาติชายไปนั่งอมยิ้มเล่นอยู่ได้เป็นวัน ถามว่าเอ็งทำอะไรวะ ? ท่านก็บอกว่า "หลวงพี่..ลองเอานิ้วจิ้มลงไปในหม้อสิ" อาตมาเอานิ้วจิ้มลงไปในหม้อดิน เออ..มีกำลังต้าน อากาศจะแน่นกว่าที่อื่น ลองหาดู...ถ้าพวกแมลงภู่คำที่เป็นงาช้างกำจัดราคาแพง ก็หาพวกที่เป็นไม้ แต่ว่าเขย่าดูก่อนนะ ถ้าหากว่าดังขลุก ๆ ก็จะเป็นพวกปรอท ถ้าดังกริ๊ก ๆ ก็จะเป็นพวกเข็มทอง" |
ถาม : เบี้ยแก้ของหลวงพ่อคำละคะ ?
ตอบ : ของหลวงพ่อคำนี่ได้เลย เพราะว่าหลวงพ่อคำท่านเรียกปรอทมาเลย ให้ไต่ใบหญ้าคาเข้าไปในหอย แต่เบี้ยแก้ของหลวงพ่อคำก็ราคาแพง พลังที่ปรอทป่าแผ่ออกมานั่น กันพวกเชื้อโรคพวกอะไรได้ ถาม : ระยะที่เขากันได้แค่ไหนคะ ? ตอบ : ก็ขึ้นอยู่กับจำนวนมากน้อย อาตมาถึงได้บอกว่า เพื่อความปลอดภัยก็เล่นตัวครู โตเท่ากำปั้นไปเลย |
ถาม : เบี้ยของหลวงปู่บุญได้ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : รุ่นหลวงปู่บุญ หลวงปู่เพิ่ม ส่วนใหญ่เป็นปรอทป่า รุ่นหลัง ๆ อย่างหลวงปู่เจือนี่ประเภทไปเอาปรอทวิทยาศาสตร์มา คราวนี้รุ่นหลวงปู่เพิ่มระยะหลัง ๆ เวลาคนต้องการมากนี่เขาไปหาปรอทเอง บางทีก็ไปเอาปรอทวิทยาศาสตร์มาเหมือนกัน เพราะฉะนั้น..ถ้าหากดูของหลวงปู่เพิ่ม จะเอาให้แน่ ๆ ก็รุ่นที่เป็นยางไม้ หรือไม่ก็ลงรักแล้วมีสีแดง ๆ พวกนั้นจะเป็นรุ่นเก่า ถ้าที่ลงรักดำนี่ส่วนใหญ่เป็นรุ่นหลัง ๆ ถาม : รักดำกับแดงต่างกันหรือคะ ? ตอบ : รักจีนเข้ามาในเมืองไทยก่อน รักจีนนี่ถึงเวลาลงไปถ้าจาง ๆ ไม่หนามาก จะมีสีเหลือบแดง ส่วนรักไทยนี่ดำอย่างเดียวเลย |
ถาม : เหมือนกับพวกยางไม้ ?
ตอบ : ยางไม้ส่วนใหญ่จะเป็นสีเหลืองส้ม ๆ เพราะว่าส่วนใหญ่เป็นยางมะพลับ ก็คือลูกพลับนั่นแหละ ไปลองกินลูกพลับดิบดูสิ งับลงไปทีหนึ่งเกือบจะอ้าปากไม่ขึ้น ยางพลับจับแน่นไปหมด เด็ก ๆ สมัยก่อนประเภทเห็นอะไรก็อร่อยไปหมด เจอลูกพลับเขียวบ้างเหลืองบ้าง ก็คิดว่ากินได้แล้ว งับไปทีหนึ่งเข็ดทั้งนั้น..! |
ถาม : เบี้ยแก้ของหลวงตาเผือดละคะ ?
ตอบ : หลวงตาเผือด วัดมะกอก นี่ไม่ทันแล้ว หลวงตาเผือดนี่รุ่นหลังเลย แต่จริง ๆ หลวงตาท่านศึกษาวิชาการมานานนะ ก็น่าจะมีดักเก็บไว้บ้าง แต่คราวนี้ก็แยกยาก ต้องมานั่งจิ้มดูว่ามีพลังต้านนิ้วหรือเปล่า ตอนแรกอาตมาไม่รู้เรื่องเลย ท่านชาติชายไปนั่งอมยิ้มจิ้มเล่นอยู่คนเดียว อาตมาก็ว่าเป็นบ้าอะไรวะ ? เล่นอยู่ได้เป็นวัน เขาบอกว่า หลวงพี่ลองมาทำดูสิ เออ...พอทำแล้วจริง ๆ ด้วย มีแรงต้านมือ นั่นขนาดลงไปอยู่ในหม้อสมุนไพร หมดฤทธิ์ที่จะหนีแล้วนะ ยังต้านมือสู้ได้อีก |
ถาม : ปรอทมีแต่ตัวรู้ อย่างนี้เขาไม่มีธาตุใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ไม่มี...มีแต่วิญญาณ วิญญาณนี่คือประสาทความรู้สึก สามารถเคลื่อนที่ได้ กินอาหารได้ แต่ไม่มีธาตุรู้ ก็คือไม่มีจิตที่จะไปคิดไปทำอะไร อยู่ในระหว่างพัฒนาตัวเองจนกระทั่งจะกลายเป็นคน แต่ไม่รู้ว่าอีกกี่ล้านปี อย่างเช่น ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ วิญญาณ ถ้ามาชนกันพอดีก็จะเกิดเป็นคนขึ้นมา คราวนี้สภาพอย่างนี้จะหมุนเวียนอยู่ในจักรวาลมานับปีไม่ถ้วน ถามว่าดวงจิตเกิดใหม่ได้ไหม ? ถ้าธาตุประกอบครบก็เกิดได้ เพียงแต่ว่าเมื่อไรถึงจะได้เกิด ? ส่วนไอ้ที่เกิดอยู่แล้ว ที่เวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จบอยู่นี่เกิดมานานแล้ว เรื่องพวกนี้ถ้าอธิบายเป็นวิทยาศาสตร์ก็ฟังดูไม่ยาก แค่ธาตุต่าง ๆ หมุนวนไปเรื่อย ๆ พอไปชนอะไรเข้าก็แปรธาตุ แปรเป็นรูปไปตามเรื่องของเขา คราวนี้ว่าบางอย่างชนกันเกิดเป็นปรอทขึ้นมา ก็เคลื่อนที่ได้ ไปหากินได้ ฯลฯ ถาม : ก็มีวิญญาณได้ ? ตอบ : ก็คือวิญญาณ เป็นแค่ประสาทรับรู้ เหมือนกับพืชกินสัตว์ ถึงเวลารู้จักเคลื่อนที่ รู้จักหาอาหาร ไม่รู้ว่าต้องพัฒนาอีกนานเท่าไรกว่าจะเป็นคนขึ้นมาได้ |
ถาม : แต่กิเลสก็ยังกินได้เหมือนเดิม ?
ตอบ : เกิดมาก็พร้อมกับกิเลสแล้ว ตอนแรกก็แค่หากินเท่านั้น แต่พอเริ่มเข้าสู่ความอุดมสมบูรณ์ก็จะเริ่มเลือกกิน แล้วตอนเลือกกินนี่แหละ กิเลสเกิดแล้ว |
ใครเอาปรอทเข้าร้านทอง เจ้าของร้านรู้นี่ทุบตายเลยนะ ของอาตมาเองตอนแรกไม่รู้ พกเบี้ยแก้หลวงพ่อคำกับหลวงพ่อนุ่มอยู่ ๒ ตัว ที่ไม่พกหลวงปู่เพิ่ม หลวงปู่บุญ เพราะว่าเบี้ยแก้ค่อนข้างตัวใหญ่ ของหลวงพ่อคำ หลวงพ่อนุ่ม ประเภทเลี่ยมแล้วก็ประมาณหัวแม่มือเท่านั้น พกอยู่ ๒ ตัว
ปรากฏว่าพกอยู่กับแหวนจักรพรรดิเนื้อทองคำ พอไม่นานเอาออกมาดู ตายแล้ว...แหวนกระดำกระด่างหมดเลย ก็คือโดนปรอทกินเสียจนส่วนที่เป็นธาตุทองหมดไป ส่วนที่เหลือเป็นโลหะผสมที่เขาเพิ่มความแข็งให้กับทอง กินจนกระดำกระด่างดูไม่ได้เลย ปกติทองถ้าหมองลงขัดไม่กี่ทีก็สุก อันนี้ขัดให้ตายก็ไม่คืน ถาม : เราไปหุงปรอทให้เป็นทองได้ไหมคะ ? ตอบ : หุงไปนาน ๆ ใส่ส่วนผสมอื่น ๆ ลงไปก็เป็นแบบนั้น แบบที่จิ๋วพกอยู่ อันนั้นเขาถือว่าเป็นทองแล้วนะ ถาม : อย่างนี้ถือว่าเป็นการแปรธาตุหรือเปล่าครับ ? ตอบ : เป็นตั้งแต่แรกแล้ว |
ถาม : จะไปพม่าเดือนนี้ ยกเลิกไปก่อนหรือไปได้ครับ ?
ตอบ : จะทำอะไรให้ตัดสินใจด้วยตัวเอง และยอมรับผลที่เราตัดสินใจเอง อย่าไปถามคนอื่น ถามคนอื่นผิดพลาดขึ้นมาก็เสียเวลาไปโทษคนอื่น การตัดสินใจด้วยตนเองจะทำให้เราได้ประสบการณ์ จากข้อมูลทั้งหมดที่เราได้มา ตัดสินใจแบบนั้นแล้วจะดีหรือไม่ดี พอถึงเวลาผลออกมาเราจะได้ประสบการณ์ว่า ตัดสินใจแบบนี้จะได้ผลอย่างนี้ ถ้าให้คนอื่นตัดสินใจแทน เราจะไม่มีประสบการณ์เสียที ถึงเวลาจะกลายเป็นคนที่ทำอะไรไม่เป็น |
พระอาจารย์กล่าวว่า "แค่หลีกเลี่ยงจากไวรัส ไม่จำเป็นต้องไปตุนอาหาร เพียงแต่ว่าออกไปข้างนอกให้น้อยหน่อยก็ใช้ได้แล้ว ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวเศรษฐกิจจะล่มจมเสียเปล่า ๆ
ตอนนี้แอลกอฮอล์ล้างมือกับหน้ากากขาดตลาด ส่วนที่น่าจะโดนประณามที่สุดก็คือพวกเก็บหน้ากากเก่ามาขาย เห็นแก่ประโยชน์เสียจนกระทั่งลืมนึกถึงเพื่อนมนุษย์ ถ้าคนเก็บหน้ากากเก่าไปบรรจุถุงติดเชื้อตายนี่ จะไม่ให้โมทนาบุญเลยสิเอ้า..!" |
กล่าวถึงเม็ดเงินหล่อพระ "ใครซื้อเม็ดเงินมาจะได้บุญมากกว่า เพราะว่าครึ่งกิโล ๙,๒๓๐ บาท ถ้าเอาเงินสดมาก็คิดแค่ ๙,๐๐๐ บาท"
ถาม : ทำไมคิดราคาถูกจัง ? ตอบ : คิดมากไม่ได้ สถานการณ์แบบนี้ญาติโยมลำบากพอแล้ว |
ถาม : หนูพาแม่กับน้องสาวไปฝึกมโนมยิทธิที่บ้านสายลม เขาสองคนเพิ่งเริ่มก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ตัวหนูพอฝึก ครูบอกว่าหนูเอาสัญญามาตอบ แต่หนูก็รู้สึกว่าหนูเห็นจริง ๆ ?
ตอบ : ครูไม่เก่ง ครูพยายามจะเดาใจลูกศิษย์แต่ก็เดาผิด แปลว่าครูมั่ว..! ถาม : แต่ครูก็บอกแม่หนูกับน้องหนูได้นะคะ ส่วนหนูก็เลยเสีย "เซลฟ์" ไปเลย ? ตอบ : ไม่เป็นไร...ไปหัดใหม่ ถาม : ตอนนี้กลายเป็นว่าหนูนั่งหลับตาแล้วไม่เห็นอะไร แต่เอาไปใช้งานในชีวิตประจำวันได้ดีกว่า ? ตอบ : แล้วจะเห็นอะไร ? ถาม : เช่น สามารถคาดการณ์ได้ ? ตอบ : คาดการณ์ล่วงหน้าก็ฟุ้งซ่าน..! ถาม : เอามาใช้ในการทำเอกสารได้ค่ะ อย่างเช่นเวลาเราไม่เห็นข้อมูล ? ตอบ : ถ้ากำลังใจของเราไม่ทรงตัว ถึงเวลาก็ฟุ้งมาก แล้วพอยิ่งผิดก็ยิ่งเพี้ยนกันไปใหญ่ ถาม : ควรทำอย่างไรดีคะ ? ตอบ : เลิก..ไปทำงานตามปกติของเรา |
ตราบใดที่ครูฝึกยังแบก รัก โลภ โกรธ หลง อยู่เต็มตัว โอกาสที่จะรู้อะไรจริงก็ยาก บางทีก็พยายามเดา ก็เลยทำให้คนฝึกเสียของไปเลย
เรื่องของมโนมยิทธินั้นเดาไม่ได้ เป็นไปตามเหตุการณ์เฉพาะหน้า แต่ว่าผู้เข้ารับการฝึกบางคนก็เก่งจริง ๆ เพราะว่าเขารู้เห็นจริง ไปได้จริง สมัยอาตมาเป็นครูฝึกอยู่ พยายามหลอกเท่าไรก็หลอกไม่สำเร็จ โดยปกติถ้าไปวิมานองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ก็จะประทับอยู่ข้างใน อุตส่าห์ล่วงหน้าไปทูลเชิญพระองค์ท่านออกมาอยู่ข้างนอก พวกนั้นไปถึงบอกเลยว่า พระพุทธเจ้าเสด็จมารับข้างนอก..หลอกเขาไม่สำเร็จ |
ส่วนหนึ่งที่ตอนหลังโดนสังคมตำหนิ แล้วก็เอามาล้อกันว่า "อย่ามโนฯ" ก็เพราะเกิดจากไอ้พวกห่วยแตก ก็คือไม่รู้จริง ถึงเวลาก็มั่วไปเรื่อย ก็เลยทำให้คนเขาเกิดโทษ เพราะว่าของดีจริง แต่คนทำดันไม่จริง
อีกส่วนหนึ่งก็คือผู้ที่ฝึกได้แล้ว ไม่ได้ใช้ความสามารถไปในทางลดละกิเลสตัวเอง แต่เอาไปใช้ดูโน่นดูนี่ แล้วเตลิดเปิดเปิงกันไปใหญ่ แทนที่จะรู้เพื่อละ ตามที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านตั้งเป้าเอาไว้ ก็กลายเป็นรู้แล้วยึด คนโน้นเคยเป็นอย่างนี้กับเรา คนนี้เคยเป็นอย่างนี้กับเรา แทนที่จะเข็ดจะกลัว ว่าเกิดมานับชาติไม่ถ้วนแล้ว ดันไปฟื้นความสัมพันธ์ใหม่เสียนี่..! คนลอยคออยู่กลางทะเลด้วยกัน ดันไปกอดคอกันเป็นพรวน ก็จมน้ำตายหมดเท่านั้น..! |
ถาม : เหมือนกับมีคลื่นรบกวนเราตลอดเวลา เหมือนกับมีคนตาม แต่บ่อยเกิน ?
ตอบ : อยู่กับลมหายใจเข้าออกของเรา หลุดออกไปไกลเท่าไร กำลังของเราน้อย เขาก็รบกวนได้มาก ถาม : ถ้าเขาไม่ใช่เทวดาหรือฝ่ายดีละคะ ? ตอบ : จะเป็นใครก็ช่าง ถ้าเราภาวนาอารมณ์ใจทรงตัวอยู่ ใครจะทำอะไรได้ ถาม : ถ้าเป็นผี เราแกล้งแผ่เมตตาเป็นความเย็นได้ไหมคะ ? ตอบ : แล้วจะแกล้งทำไม ? ถาม : คืออะไรกันแน่คะ ? ตอบ : ไปหาหมอ บอกว่าฮอร์โมนพร่อง ให้หมอเขาจัดฮอร์โมนให้ กินลงไปก็หายแล้ว ถาม : แล้วมีเสียงเคาะประตูทุกคืนละคะ ? ตอบ : กินลงไปหายแล้วก็เลิกเคาะไปเอง ถาม : จริงหรือคะ ? ตอบ : ก็บอกแล้วว่าไปหาหมอก่อน ถ้ากินยาแล้วหายทั้งหมดก็แปลว่าไม่เกี่ยวกับผี บอกหมอเขาว่าแก่แล้วฮอร์โมนพร่อง ช่วยจัดยาให้หน่อย |
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่ออาทิตย์ที่แล้วบิณฑบาตเจอแม่ลูกคู่หนึ่ง ลูกชายอายุเกิน ๒๐ ปีมากแล้ว แต่น่าจะใส่บาตรเป็นครั้งแรกในชีวิต คาดว่าจะอายุเบญจเพสคือ ๒๕ ปี แม่ก็เลยพามาใส่บาตร อาตมาก็เปิดบาตรรอ แม่เขาก็บอกว่า “ใส่สิลูก” ไอ้ลูกก็ลังเลอยู่นั่น ครบ ๓๐ วินาทีอาตมาก็ปิดบาตรซ้ายหันเดินต่อเลย รูปที่ ๒ ก็ซ้ายหันเดินตามมา เขาไปตัดสินใจใส่ได้ตอนรูปที่ ๓
สำหรับอาตมาแล้ว เวลา ๓๐ วินาที เดินไปน่าจะถึง ๒๐๐ เมตร จะให้รอเขาอยู่คนเดียวหรือ ? ส่วนบางรายเดินผ่านหน้าร้าน “นิมนต์เจ้าค่ะ” แต่ปรากฏว่าสั่งข้าวแกง ๙ ชุด แม่ค้าเพิ่งจะตักชุดที่ ๑ อาตมารอถึงชุดที่ ๓ ก็บอกว่า เดี๋ยวไปดักหน้าใส่เอาก็แล้วกัน แล้วก็เดินต่อไป ที่ไม่รอด้วยเหตุ ๒ ประการ ประการแรกจะทำบุญแต่ไม่มีการเตรียมพร้อม ไม่มีการศึกษาว่าพระจะมาถึงเวลาไหน มาถึงก็นิมนต์ให้พระรอ แล้วก็ค่อย ๆ มาบรรจงซื้อข้าวถุง แกงถุง ประการที่ ๒ ญาติโยมที่รอใส่บาตรตามรายทางหลายคนต้องไปทำงานไกล ๆ อย่างเช่น ต้องไปทำงานในตัวเมืองกาญจน์ฯ ถ้าอาตมาไปไม่ตรงเวลา เขาเองเกิดไปตกรถ ก็คือไม่ได้รถตู้หรือไม่ได้รถเมล์เที่ยวที่ตั้งใจไว้ ก็จะไปทำงานสาย เพราะฉะนั้น..ส่วนใหญ่ถ้าไม่พร้อมอาตมาจะไม่รอ พร้อมเมื่อไรแล้วค่อยมาใส่แล้วกัน เรื่องแบบนี้โยมบางคนก็ยังไม่เข้าใจ เขาคิดอยู่อย่างเดียวว่านิมนต์แล้วพระต้องรอ นั่นก็อาจจะใช่ แต่ไม่ใช่อาตมาแน่ ๆ" |
"ก่อนหน้านี้ก็มีแม่ค้าขายขนมรายหนึ่ง พอถึงเวลาอาตมาเดินผ่าน “นิมนต์เจ้าค่ะ เอ้า...ใครจะซื้ออาหารใส่บาตรรีบมาเร็ว พระมาแล้ว” อย่าได้ไปรอเชียวนะ เขาเรียกยันหมดตลาดนั่นแหละ
แรก ๆ อาตมาก็คิดว่าเขาจะใส่บาตรเอง เขานิมนต์ก็ยืนรอ แต่รออยู่เป็นนาทีเรียกแต่คนอื่นซื้อของใส่บาตร อาตมาจึงเดินเลยไป เพราะมาสังเกตว่าเขาไม่เคยใส่บาตรพระวัดท่าขนุน เรียกให้คนอื่นใส่บาตรเพราะรู้ว่าคนอื่นอยากใส่บาตรกับหลวงพ่อวัดท่าขนุน แต่ตัวเขาจะไปใส่บาตรกับพระวัดป่าที่เดินมาทีหลัง พอเห็น ๓ ครั้งก็รู้ว่า เขาจะหาเงินใส่กระเป๋าอย่างเดียว โดยอาศัยขายชื่อวัดท่าขนุน รายนั้นหลังจากโดนอาตมาทิ้งไป ๓ ครั้งก็ไม่กล้าเรียกอีก แต่ก็ยังไม่วาย ก็คือถ้าวันเสาร์-อาทิตย์นักท่องเที่ยวเยอะ ๆ ก็ใช้ลูกไม้เดิม แต่ไม่กล้านิมนต์ก่อน เล่นใช้วิธีว่า “หลวงพ่อวัดท่าขนุนมาแล้วค่ะ พระมาเยอะทีเดียว ใส่บาตรกันนะคะ” พวกนักท่องเที่ยวก็จะกรูกันเข้าไปซื้อของที่ร้านเขา ส่วนอาตมาก็เดินเลยไปแล้ว รอตอนที่วนกลับมาก็แล้วกัน" |
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวันศุกร์สิ้นเดือน อาตมาไปบรรยายให้เจ้าอาวาสใหม่ฟัง สรุปให้เจ้าอาวาสใหม่ท่านว่า ถ้าเราสร้างความเจริญให้กับศาสนาไม่ได้ ก็อย่าทำให้ศาสนาพังเพราะมือเรา"
|
ถาม : ผมทำอาชีพเป็นหมอดูไพ่ยิปซีครับ มีอะไรที่ควรแนะนำผมบ้างไหมครับ ?
ตอบ : ดูเยอะ ๆ ยิ่งดูก็จะยิ่งชำนาญ อ่านออกมากขึ้นไปเรื่อย ๆ ยิ่งดูจะยิ่งแตกฉาน จะรู้ว่าถ้วย ๑ ใบหมายถึงอะไร ไม้เท้า ๕ อันหมายถึงอะไร แล้วพอไม้เท้าไปเจอพระราชาจะแปลว่าอะไร ดูรวมกันไปได้เรื่อย ๆ พอทั้งหมดสัมพันธ์กัน ก็จะอ่านออกมาว่าควรจะอย่างไร แรก ๆ ก็ต้องกางตำราก่อน ดูไปดูไปจะหาจุดร่วมของไพ่ทุกใบได้ พอหาจุดร่วมได้ ดึงไพ่ออกมากี่ใบก็อ่านได้หมด |
ถาม : ผมแบ่งเงินรายได้ส่วนหนึ่งว่าบูชาครู ถูกต้องไหมครับ ?
ตอบ : แล้วแต่เราจะประพฤติปฏิบัติ ของทุกอย่างมีครูอยู่แล้ว ถ้าเราเชื่อ ให้ความเคารพ ก็จะได้ผลมากกว่าคนอื่นเขา ถ้าไม่เชื่อ ไม่ให้ความเคารพ เดี๋ยวก็เกิดปัญหาอย่างวันก่อน เขาไปบวงสรวงที่บ้าน ปรากฏว่ามีการเชิญหลวงพ่อกวยด้วย คราวนี้หลวงพ่อกวยนั้น ตามสายวิชาการเวลาเชิญท่าน มีเคล็ดลับว่าต้องเอาของอะไรบางอย่างวางในพิธี ปรากฏว่าพอหลวงพ่อกวยท่านมาถึง ท่านบอกว่า "ตรงนี้มันไม่เคารพข้าเลยว่ะ" ปรากฏว่าคนจัดก็จัดบายศรีตามแบบวัดท่าซุง เห็นของเกินก็เลยหยิบออก สรุปคือไฟไหม้บ้านเลย..! แล้วก็เห็นชัด ๆ ว่าการที่ใช้กระดาษแดงรองไก่และหัวหมูช่วยกันไฟไหม้ได้จริง ๆ เพราะว่าไหม้อยู่แค่วงเดียว ไหม้ให้รู้ว่าต่อไปอย่าได้ทำอย่างนี้อีก |
ในเมื่อของทุกอย่างมีครู ถ้าเราให้ความเคารพครูก็จะเจริญกว่าคนอื่นเขา โดยเฉพาะถ้าเป็นสมัยโบราณ ครูนี้แทบจะเป็นทุกอย่างของชีวิต ถามว่าทำไมเป็นทุกอย่างของชีวิต ? พ่อแม่เลี้ยงเรามาในเบื้องต้น แต่ครูบาอาจารย์ให้วิชาการที่เราเลี้ยงตัวเองและครอบครัวไปจนตลอดชีวิต เพราะฉะนั้น..ครูบาอาจารย์เป็น ๑ ใน ๕ สถาบันหลักที่เราต้องให้ความเคารพนับถือเป็นอย่างสูง ด่าเราได้ ด่าครูบาอาจารย์เมื่อไรต้องตายกันไปข้างหนึ่ง..!
ถึงเวลามีการถามชื่อถามนามสกุล ถามถึงครูบาอาจารย์ การถามถึงครูบาอาจารย์นี่หลายอย่าง อย่างแรกคือเป็นศิษย์ครูเดียวกันหรือเปล่า ? ถ้าศิษย์ครูเดียวกันศรศิลป์ไม่กินกัน รบกันไปก็เหนื่อยเปล่า คำว่า ศรศิลป์ไม่กินกัน สมัยนี้หมายถึงคนไม่ถูกกัน สมัยโน้นเขาแปลว่า เป็นพวกเดียวกัน ทำอันตรายกันไม่ได้ เพราะว่าพระบุตรพระลบไปรบกับพระราม แผลงศรเข้าใส่กัน พระบุตรพระลบแผลงศรไป ก็กลายเป็นพวงมาลัยไปถวายพระราม พระรามแผลงศรออกไป กลายเป็นขนมนมเนยไปให้พระบุตรพระลบ ก็เลยว่าเรียกศรศิลป์ไม่กินกัน ก็คือขนาดลูกศรทรงอานุภาพขนาดนั้นยังทำอะไรกันไม่ได้ นาน ๆ ไปแล้วศัพท์ก็เพี้ยน |
ประการต่อไปก็คือ ถ้ารู้ว่าเป็นศิษย์ใคร ก็จะรู้ว่าครูบาอาจารย์ท่านอยู่ระดับไหน ควรที่จะลองของไหม ฝ่ายโน้น...กูลูกศิษย์หลวงพ่อไปล่ วัดกำแพง ฝ่ายนี้ก็กูลูกศิษย์หลวงพ่อพุ่ม วัดบางโคล่ เดี๋ยวก็ตีกันกระจาย ต่างคนต่างลอง ประเภทร่างกายต้องการแรงปะทะ ถึงเวลาต่างคนต่างทำอะไรกันไม่ได้ ก็กลับวัด กลับบ้าน
สมัยก่อนคนอยู่วัดกับอยู่บ้านก็ใกล้เคียงกัน ก็คือพวกไปฝึกวิชาการกับครูบาอาจารย์ก็อยู่วัด พวกเจนจบกลับมามีครอบครัวก็อยู่บ้าน สมัยนั้นหลวงพ่อวัดท่าซุงกับเพื่อนก็เอากับเขาด้วย ท่านบอกว่าทหารเรือส่วนใหญ่เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อพุ่ม วัดบางโคล่ ถ้าใครเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อหรุ่นก็สักยันต์ ๙ ยอด หลวงพ่อท่านเล่าให้ฟัง ท่านบอกว่า ปล่องเหลี่ยม งูดิน พิณ ๓ สาย ๓ เหล่าของทหารเรือ ผู้บังคับบัญชาปวดหัวทุกที ปล่องเหลี่ยมก็กรมอู่ทหารเรือ งูดินก็กรมแพทย์ พิณ ๓ สายก็ดุริยางค์ พวกนี้ว่างเยอะ ไม่มีอะไรจะทำ ไปหาครูบาอาจารย์จนกระทั่งตัวเองหนังดี แล้วเที่ยวไปไล่ตีแถวบ้านเขา ต้องบอกว่าหนังดีจริง ๆ เพราะว่าสมัยโน้นเขาใช้มีดโกน มีดโกนสมัยก่อนตัวมีดกับด้ามเป็นอันเดียวกัน แล้วส่วนใหญ่เป็นทองเหลือง สะบัดคมมานี่ประเภทโกนขนหน้าแข้งร่วงกราว คมยิ่งกว่ามีดโกนสมัยนี้อีก โดนแบบนั้นยังไม่เข้าก็ถือว่าใช้ได้ หรือไม่ก็บางคนได้วิชาชาตรีมา โดนตีร่วงทั้งยืนลุกขึ้นมาไม่เป็นไรเลย พอถามครูบาอาจารย์ ครูเดียวกันก็เลิกตีกัน ถ้าคนละครูก็ยังไม่แน่ใจ ขอลองอีกหน่อย |
ถาม : ผมอธิษฐานก่อนเปิดไพ่ว่า ถ้าสิ่งใดควรจะบอกกล่าวสงเคราะห์ ช่วยดลจิตดลใจให้บอก แต่ถ้าสิ่งที่ดลใจให้บอกตรงข้ามกับไพ่ ควรจะบอกเขาอย่างไรดีครับ ?
ตอบ : ถ้าตามหลักมโนมยิทธิคือใช้อารมณ์ความรู้สึกแรก แต่คราวนี้เราเองจะมั่นใจความรู้สึกสักเท่าไร ? ถ้ามั่นใจก็ใช้ความรู้สึกแรก ไพ่จะออกอย่างไรก็เรื่องของไพ่ สำรับไพ่เก็บเอาไว้สำหรับแหกตาชาวบ้าน |
พระอาจารย์กล่าวว่า “เขาบอกว่าไม่ให้ไปในที่แออัด ตรงนี้จะไม่แออัดก็คงไม่ได้ แต่ปรากฏว่าไวรัสไม่น่ากลัวหรอก กลัวคนที่แพ้แอลกอฮอล์จะตายก่อนมากกว่า เล่นล้างแอลกอฮอล์กันรอบด้านเลย ...(หัวเราะ)...”
|
พระอาจารย์กล่าวว่า “เดี๋ยวนี้อาตมาต้องอาศัยยาแผนโบราณ ยาสมัยใหม่เอาไม่อยู่ คนที่ไม่ชอบกินยานี่สงสัยจะกินไม่ลง แต่ยาเขาไม่ได้ให้ชอบ เขาเอาไว้รักษาโรค เพราะฉะนั้น..ชอบหรือไม่ชอบก็กินลงไปเถอะ
คำว่า “ยา” เขาแปลว่า อุดรูที่รั่ว ในเมื่อร่างกายเรารั่วก็ต้องอุดให้อยู่ สมัยก่อนเขายาเรือ อุดรูไม่ให้เรือรั่ว คราวนี้ยาที่กินก็ต้องเข้าไปอุดคนไม่ให้รั่วเช่นกัน” |
ถาม : ผมวาดรูปหลวงพ่อไว้ ๑ ภาพ ขออนุญาตทำภาพนั้นขึ้นให้จบครับ พอดีว่าวาดไว้แล้วมีคนท้วงมาว่าควรจะขออนุญาตหลวงพ่อก่อน ?
ตอบ : อาตมาไม่เคยอนุญาตให้ใครทำรูป เพราะฉะนั้น..เผาทิ้งไปก็จบแล้ว..! เข้าเว็บวัดท่าขนุนเขาก็พาดหัวไว้เบ้อเริ่มเลย ว่าห้ามผู้หนึ่งผู้ใดทำรูป นอกจากได้รับอนุญาตจากทางวัดเป็นลายลักษณ์อักษร แสดงว่าไม่เคยอ่านกันเลยใช่ไหม ? |
พระอาจารย์กล่าวว่า “กินอะไรก็ได้ที่กินแล้วอยู่ได้ ไม่ต้องไปสรรหาอะไรที่ยาก คนเรามีบุญรักษามีกรรมรักษา ถ้าถึงเวลาต่อให้กินอะไรเลิศเลอลอยฟ้าก็ต้องตาย”
|
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 09:13 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.