![]() |
พระอาจารย์กล่าวว่า “เมื่อวานนั่งอยู่ก็สงสัยว่าโยมมาทำอะไรกันเยอะแยะ ? เพิ่งจะรู้ว่าเขานัดกันมาขอขมาปีใหม่ เจอหน้าคุณวีระชัย เจ้าของเว็บพลังจิต ถามว่ามาทำอะไร ท่านเองก็ตาปริบ ๆ ประมาณว่าตกลงพระอาจารย์ไม่รู้จริง ๆ หรือ ? ...(หัวเราะ)... คือของบางอย่างถ้าเราไม่ได้ตั้งกำลังใจที่จะรู้ก็ไม่รู้จริง ๆ นะ เหมือนกับไม่ได้เปิดเครื่องรับเอาไว้”
|
ถาม : ปกติจะเห็นแสงของหลวงพ่ออยู่รอบ ๆ .. ตอนที่หลวงพ่อขยับตัว ก็จะขยับตาม.. เราก็นึกว่าแสงที่อยู่รอบ ๆ จะขยับตามร่างกาย แต่วันนี้เพิ่งสังเกตว่าแสงนั้นอยู่นิ่ง ๆ แม้ว่าตัวหลวงพ่อขยับไปขยับมา แสงก็ยังอยู่นิ่ง ๆ ?
ตอบ : ใช่...ก็ไฟอยู่นิ่ง ๆ ข้างบน..! ...(หัวเราะ)... ถาม : ไม่ใช่ค่ะ คือเห็นเป็นรูปร่างค่ะ อาจจะมีรายละเอียดเปลี่ยนบ้างเล็กน้อย คือเปลี่ยนในลักษณะหนาหรือบาง แต่ไม่ใช่การเคลื่อนที่น่ะค่ะ ? ตอบ : ไม่มีอะไรหรอก สภาพจิตของคน ต่อให้น้ำปากบ่อกระเพื่อมขนาดไหน ก้นบ่อก็นิ่ง ถ้าหากว่าทำอย่างนั้นได้ก็คลุกอยู่กับโลกได้ ไม่อย่างนั้นแล้วจะไปกับโลกไม่ได้ เพราะว่าเรายังไม่กลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน พอกลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับโลก ถึงน้ำปากบ่อกระเพื่อมตาม แต่ว่าก้นบ่อจะนิ่ง |
พระอาจารย์แจกขนมให้เด็ก “กุศโลบายพระสารีบุตร พระสารีบุตรไปไหนก็เล่นกับเด็ก เวลาท่านไปไหนเด็กก็ประเภทวิ่งกอดแข้งกอดขา ดึงมือดึงจีวร "หลวงตามาแล้ว...หลวงตามาแล้ว" คนอื่นจะไปคิดว่าอัครสาวกเบื้องขวาจะต้องยืดนั้นไม่ใช่หรอก ท่านเล่นกับเด็กเลย ...(หัวเราะ)... ส่วนอาตมาซื้อขนมแจกเด็ก”
|
พระอาจารย์กล่าวกับพระว่า “ถ้าเราเอาหลักธรรมมาใช้ในชีวิตประจำวัน เราจะทำอะไรได้ดีกว่าเยอะ พระพุทธเจ้าบอกว่า อะนากุลา จะ กัมมันตา เอตัมมังคะละมุตตะมัง การทำงานไม่ให้ค้างจัดเป็นมงคลอย่างยิ่ง
งานของอาตมาแต่ละวันบางที ๔-๕ งาน คนอื่นเขาถามว่าทำได้อย่างไร ? จริง ๆ แล้วก็คือเรื่องของหลักธัมมวิจยะในโพชฌงค์ แยกความก่อนหลังเร็วช้าของงาน อันไหนสำคัญกว่า มาก่อนทำก่อน อันไหนรอได้ แม้จะช้าไปสักนาทีสองนาทีก็ถือว่าช้ากว่า...เอาไว้ทีหลัง เรื่องตรงข้างหน้าจะมีแค่เรื่องเดียวและหนักไม่เกินกำลังของเรา แต่คนทั่ว ๆ ไปมักจะเอาหลาย ๆ เรื่องมาปนกัน ทำให้หนักเกินกำลังจึงแก้ไขไม่ได้” |
ถาม : เรียกว่าได้เห็นทุกข์ไม่แพ้ฆราวาสเลยนะครับ ?
ตอบ : ก็เหมือนกันนั่นแหละ..ชีวิตของพระกับฆราวาส ถาม : ต่างจากฆราวาสตรงที่ว่าเรามีเวลาและเราต้องทำอยู่ตลอดเวลา ? ตอบ : บางอย่างถ้ากำลังใจดีแล้ว ก็จะเฉย ๆ หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเคยเตือนไว้ว่า ตอนเป็นพระใหม่ต้องทุ่มเทกับการปฏิบัติให้มาก ถึงเวลาถ้างานเข้ามาเราจะได้มีกำลังสู้งานได้ ถ้าท่านไม่เตือนไว้อาตมาก็ตาย ...(หัวเราะ)... พอท่านเตือนไว้ก่อน อาตมาจึงทุ่มเททำเอาไว้เสียเยอะแล้ว ต้นทุนมีพอก็เลยสู้งานได้ |
พระอาจารย์กล่าวว่า “ไม่ไหว..พออายุ ๖๐ ปีแล้วเรี่ยวแรงไม่ค่อยจะมี ส่วนที่คิดไม่ถึงก็คืออยู่มาจนถึง ๖๐ ปีได้ ปกติก่อน ๆ นี้ กี่ชาติ ๆ ไม่เท่าไร ๔๐ กว่าตายแล้ว ๒๐ กว่าตายแล้ว ...(หัวเราะ)... หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า “แกเป็นทหารมาทุกชาติ ฆ่าเขาเอาไว้มาก กรรมปาณาติบาตเยอะ ทำให้อายุสั้นพลันตาย”
|
พระอาจารย์กล่าวว่า “บางทีพ่อแม่เขารู้เรื่องพระมาก กลัวว่าเกิดโทษกับลูก แล้วไปดุลูกแรง ๆ จนลูกกลัวพระไปเลย จริง ๆ ต้องค่อย ๆ บอก ค่อย ๆ พูด ให้เขารู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร”
|
ถาม : กราบลาเข้าไปอยู่ป่าครับ จำเป็นที่จะต้องอธิษฐานหรือวางกำลังใจอย่างไรครับ ?
ตอบ : สิ่งที่จำเป็นที่สุดก็คือ ไปแล้วเต็มใจที่จะตาย ถ้าไม่เต็มใจที่จะตาย ถึงไปก็ไร้ประโยชน์ |
คำว่า ธุดงค์ โดยรากศัพท์แปลว่า องค์คุณเครื่องเผากิเลส มาจาก ธุตะ + อังคะ คราวนี้การไปธุดงค์ก็ต้องตั้งใจไปเพื่อละกิเลส การธุดงค์ที่ถูกต้อง ทำแล้วจะเกิดความมักน้อย สันโดษ รักความสงบ ปลีกตัวออกจากหมู่ ขัดเกลากาย วาจา ใจ ของตนให้ดีขึ้นไปเรื่อย หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า การธุดงค์ชั้นหนึ่งคือไปคนเดียว ธุดงค์ชั้นสองไปสองคน ธุดงค์ชั้นสามไปสามคน มากกว่าสามไม่ได้เรื่องแล้ว เพราะว่าเอาแต่ไปคุยกัน..!
วันก่อนมีพระเดินธุดงค์ผ่านทองผาภูมิ ๖๐๐ รูป ลักษณะอย่างนั้นยังเรียกว่าธุดงค์ได้ไหม ? คราวนี้รูปแบบคนก็ยังเรียกว่าธุดงค์อยู่ดี เพียงแต่ว่าจุดมุ่งหมายผิดเพี้ยนไปแล้ว แทนที่จะไปเดินธุดงค์เพื่อขัดเกลากิเลส ก็ไปมีจุดมุ่งหมายว่าเพื่อทำอย่างนั้น เพื่อทำอย่างนี้ ไปที่นั่นที่นี่ |
เพราะฉะนั้น..ธุดงค์ในลักษณะปัจจุบันนี้ไม่ใช่ โดยเฉพาะประเภทเดินเหยียบดาวรวยอะไรอย่างนั้น..! ไม่ใช่ธุดงค์ แต่ในเมื่อเขาใช้คำว่าธุดงค์ คนที่รู้ก็ควรที่จะออกมาบอกให้เขารู้ว่าธุดงค์ที่แท้จริงเป็นอย่างไร อาตมาเคยไปธุดงค์แล้วเจอคณะของ....จากวัด.... ที่ตอนหลังโดนจับสึกเพราะว่าไปแต่งตัวเป็นทหารนั่นแหละ
ปรากฏว่าพวกท่านพาอาตมาหลงทางไปเลย คือปกติอาตมาจะรู้จักทางลัดเล็ก ๆ น้อย ๆ ตรงโน้นตรงนี้ตรงนั้น ถึงเวลาเดินเส้นนั้นจะไปถึงที่นั่น ปรากฏว่าพวกท่านมา ๓๐๐ รูป ป่าราบเป็นหน้ากลอง หาทางลัดไม่เจอเลย..! ก็ตัดสินใจว่า..คงอยู่แถว ๆ นี้แหละวะ..เดี๋ยวเดินเข้าไปก็น่าจะเจอเอง ปรากฏว่าหลงเตลิดเปิดเปิงไปเลย |
แล้วที่แน่ ๆ คือขยะเพียบ..! อาตมาเก็บได้เป็นย่าม ๆ เลย เก็บไปเผาไป เผาเสร็จก็ต้องรอดับไฟให้เรียบร้อย ไม่ให้มีสะเก็ดไฟที่จะก่อให้เกิดไฟป่าได้ค่อยเดินทางต่อ เดินไปก็เผาไป เพราะว่าสารพัดของกินของใช้เกลื่อนกลาดไปทั้งป่า เห็นท่านไปกันแล้วก็สงสารว่า "นี่ตกลงท่านไปธุดงค์กันหรือ ?" เพราะว่าเดินไป ๓-๕ ก้าวก็จะมีเศษผ้าอาบผูกไว้บอกว่าให้มาทางนี้ เดินไปอีก ๓-๕ ก้าวผูกชิ้นหนึ่ง อาตมาก็ขำ ๆ ว่าตกลงจะมีผ้าอาบมากพอที่จะผูกไหม ? สรุปว่าไปตอนท้าย ๆ มีกระทั่งประคดเอว แสดงว่าไม่มีผ้าเหลือแล้ว..!
ถ้าเป็นพวกอาตมาเดินไปที ๒๐๐-๓๐๐ เมตรก็จะสับต้นไม้เป็นเครื่องหมายไว้สักแผลสองแผล อันนี้ไม่ใช่..ประเภทเดินห่างไป ๓ ก้าวก็ผูกไว้เส้นหนึ่ง ห่าง ๓ ก้าวผูกอีกเส้นหนึ่ง ลักษณะอย่างนั้นคือคนเดินป่าไม่เป็น คนเดินป่าเป็นเขาเหลียวหลังแลหน้า มองซ้ายมองขวา มองบนมองล่าง หาเครื่องหมายเจอก็ไปต่อ |
คณะนี้ถ้าตรงไหนที่เขามั่นใจว่าเดินแล้วจะทะลุถึงหมู่บ้าน ตำบล หรืออำเภอ ก็จะนัดคณะศิษย์ไปรอรับที่โน่นที่นี่ คณะศิษย์ก็ไปถวายอาหาร ส่วนในช่วงที่เป็นป่าเต็ม ๆ ก็จะมีกองเสบียงแบกข้าวปลาอาหารไปด้วย ต้องบอกว่าท่านเตรียมพร้อม แต่ว่าไม่ใช่การธุดงค์ ไม่มีความลำบาก นอกจากเหนื่อยเฉพาะตอนเดินเท่านั้น
|
ถาม : การธุดงค์ที่แท้จริงคือ ?
ตอบ : ไปหาที่ที่เหมาะสมแล้วก็ภาวนา ถาม : อยู่ด้วยธรรมปีติหรือว่าต้องฉันครับ ? ตอบ : ขึ้นอยู่กับตัวเองทำได้ ถ้าอยู่ด้วยธรรมปีติได้ก็เข้าป่าลึก ไม่ต้องเจอผู้คนไปเลย ถ้าต้องอาศัยบิณฑบาต เขาไม่ให้ห่างบ้านคนเกิน ๕-๑๐ กิโลเมตร โบราณว่าอย่างน้อย ๕๐๐ ชั่วธนู คันธนูนี่ยาวเป็นวา เพราะว่าคนโบราณตัวใหญ่ก็ตีเสียว่าวาหนึ่งก็คือ ๒ เมตร ๕๐๐ วาก็ ๑ กิโลเมตร ห่างหมู่บ้านอย่างน้อย ๑ กิโลเมตร เสียงจากบ้านจะได้ไม่มารบกวน แต่ปัจจุบันนี้มติของพระป่าบ้านเราบอกว่า ๒ กิโลเมตรขึ้นไป เดินไปกลับกำลังดี แต่สมัยนี้จะเอาที่ไหนมา บ้านคนมีทั่วไปหมด ในป่าก็บุกรุกกันทั่วไป..! |
ถาม : ธรรมปีติจริง ๆ แล้วคือทำอย่างไรคะ ?
ตอบ : เคยปฏิบัติธรรมภาวนาของเราไปจนถึงระดับหนึ่ง รู้สึกเหมือนไม่ร้อน ไม่หนาว ไม่หิว ไม่กระหาย สว่างโพลงอยู่ตลอดเวลาไหม ? นั่นแหละคืออารมณ์นั้น รักษาเอาไว้อย่าให้ตก ตกเมื่อไรก็หิวใหม่ อาตมาเคยพารุ่นน้องเข้าป่าไป ๓ วันเท่านั้นแหละ..หมดสภาพเลย “กลับเถอะหลวงพี่..ไม่ไหวแล้ว” ตอนแรกก็ถามแล้วว่า “คุณจะฉันไหม ? ถ้าคุณจะฉัน ผมจะได้แบกไปให้” ท่านดันบอกว่า “แล้วแต่หลวงพี่ครับ” ถ้าแล้วแต่อาตมาก็ไม่ต้องฉันหรอก..! ถาม : อารมณ์ธรรมปีติอยู่ได้นานไหมครับ ? ตอบ : อยู่ที่เรา ถ้าหากว่าคุณทรงฌานตั้งเวลาได้ คุณจะกำหนดไว้กี่ปีก็ได้ ถาม : นั่นหมายความว่าธรรมปีติต้องทรงได้ทั้ง ๔ อิริยาบถใช่ไหมครับ ? ตอบ : จะหลับ จะตื่น จะยืน จะนั่ง ถ้าหากว่าเราทรงฌานตั้งเวลาได้จะไม่คลายหรอก |
ถาม : แล้วฆราวาสนี่หมดสิทธิ์ขอข้าวเทวดากินใช่ไหมคะ ?
ตอบ : มีสิทธิ์ ทำให้จริงเท่านั้นแหละ เขาขอกันมาไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไรแล้ว ถาม : ต้องขอใช่ไหมคะ หรือว่าท่านจะมาติดต่อเรา ? ตอบ : ถ้าไม่ได้มีเวรมีกรรมเนื่องกันมา ขอบางทีท่านยังไม่ให้เลย ถาม : ที่ทำได้ไม่ใช่ปฏิบัติธรรมน่ะสิคะ แต่ว่าทำอย่างอื่น ซึ่งก็อดข้าวได้เหมือนกัน ? ตอบ : อย่างที่บอกว่าสมัยเด็ก ๆ เพื่อนรุ่นพี่เล่นไพ่ ๒ วัน ๒ คืน กินก็ไม่กิน เข้าส้วมก็ไม่เข้า ทำได้ขนาดนั้นเลย |
ถาม : คอมพิวเตอร์นี่เป็นเหตุให้เข้าใจอารมณ์ตรงนั้นเลยค่ะ เพราะว่า ๓ วัน ๓ คืน ไม่ต้องนอน ไม่ต้องกิน ไม่ต้องเข้าห้องน้ำ นั่งคิดนั่งทำอย่างเดียวเลยค่ะ ?
ตอบ : ถ้าหยุด..สะดุดแล้วบางทีต้องมาเริ่มต้นใหม่ ก็เลยต้องยอมทนทำไป แบบที่อาตมาทำวิทยานิพนธ์ปริญญาเอก ๑๑ วัน ๑๑ คืนนั่นแหละ ไม่ใช่ว่าไม่อยากนอน...อยากนอน แต่พอนอนลงไปแล้วดันนึกได้ว่าจะเขียนต่ออย่างไร ก็ต้องลุกขึ้นมาเขียนใหม่ ...(หัวเราะ)... ล่อไป ๑๑ วัน ๑๑ คืน พอเสร็จสรรพเรียบร้อย ทบทวนดูว่าใช้ได้ก็เซฟเก็บไว้ ๓-๔ ที่ กันหาย คราวนี้ก็สลบไปเป็นวันเลย นอนกันข้ามวันข้ามคืน..! |
พระอาจารย์กล่าวว่า การดื่มน้ำค่อนข้างร้อน จะสร้างสภาวะเหมือนกับร่างกายกำลังผลาญแคลอรี่ ก็เลยทำให้ร่างกายต้องเร่งระบบเมตาบอลิซึ่มเพื่อผลาญแคลอรี่ ช่วยให้น้ำหนักลดลงได้เหมือนกัน คุณชนินทรทำดู บอกว่าหายไป ๒๐ กว่ากิโลกรัม แต่นั่นหมายความว่าเขาต้องมีให้หายด้วยนะ ส่วนอย่างอาตมา น้ำร้อนทั้งชาติก็ไม่เห็นจะหายไปไหน เพราะว่าไม่มีให้หาย ...(หัวเราะ)...
|
ถาม : ทำอย่างไรลูกถึงจะว่านอนสอนง่ายคะ ?
ตอบ : ก็ว่าตอนเขานอนสิ..! คุณแม่ต้องทำตัวเป็นตัวอย่าง ถ้าแม่เป็นตัวอย่างเดี๋ยวลูกก็ตามเอง ไม่อย่างนั้นถ้าอยากให้ว่านอนสอนง่ายก็ต้องว่าตอนที่เขานอนแล้ว ...(หัวเราะ)... มีอยู่วิธีหนึ่งก็คือ พ่อแม่ฝึกสมาธิให้สูงเข้าไว้ ถ้าสมาธิสูงเราจะข่มผู้ที่สมาธิที่ต่ำกว่าได้ พอถึงเวลาเราก็เข้าสมาธิเต็มที่แล้วก็ว่าไปเลย จะทำให้เด็กเถียงไม่ได้พูดไม่ออก ก็ต้องยอมทำตามแต่โดยดี เพราะรู้สึกว่าเรามีอำนาจมากกว่า |
พระอาจารย์กล่าวว่า “เมื่อวันที่ ๒ มกราคม บิณฑบาตข้าวสารอาหารแห้งที่โรงพยาบาลทองผาภูมิ ปรากฏว่าแพทย์พยาบาล ๔-๕ คนแรก ใส่น้ำตาลคนละถุง ก็เลยถามว่า “ไหนบอกว่าพระเป็นเบาหวานกันมาก แล้วโยมก็ใส่เสียเอง” คือบางทีโรงพยาบาลก็ออกแคมเปญงดอาหารหวาน เค็ม หรือมัน เพื่อสุขภาพที่ดีของพระสงฆ์ เสร็จแล้วถึงเวลาบิณฑบาตข้าวสารอาหารแห้งก็ใส่น้ำตาล เกลือ น้ำปลา ช่างไปกันได้กับโครงการเหลือเกิน..!
ถ้าเป็นคนอื่นเขาคงไม่พูดหรอก บังเอิญอาตมาเป็นคนประเภทมีอะไรต้องว่ากันต่อหน้า จะไม่ไปนินทาลับหลัง พอว่าต่อหน้าแต่ละคนก็แหะ ๆ ประมาณว่าผิดไปแล้ว เขาว่าอาหารโซเดียมสูงทำให้พระเป็นความดันกันมาก ถึงเวลาก็ถวายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกันคนละลัง ดีจริง ๆ เลย อะไรทุกอย่างที่ทำโครงการมา..หมอละเมิดเองหมด ...(หัวเราะ)...” |
พระอาจารย์กล่าวว่า “ตอนนี้ท่านพระอาจารย์บ๊ะรู้ ญาติโยมก็ยิ่งรู้ ถึงเวลาเห็น "ตัวเล็ก" ไป โยมจะขอร้อง “อย่าเพิ่งเอาพระให้หลวงพ่อส่อง เดี๋ยวหลวงพ่อจะได้รักษาก่อน” ไม่อย่างนั้นถ้าท่านส่องนี่ไม่รักษาหรอก ปล่อยให้นั่งรอไปเถอะ..!
บางทีรักษาไปรักษามาก็ “เหนื่อยโว้ย..รอไปก่อน เอาพระมาส่องก่อน” รักษาไปรักษามาหมอโดนเสียเอง เดี้ยงไปสักพักใหญ่ เพราะเป็นเรื่องวาระกรรมของคนส่วนรวม ต้องบอกว่าเป็นอะไรที่ขำได้ แต่หัวเราะไม่ออก ” |
ถาม : ท่านว่าท่านรักษาแบบเอาเข้าตัว ? ?
ตอบ : การไปยุ่งกับกรรมคนอื่น อย่างไรเราก็ต้องรับ จะมากจะน้อยก็ต้องรับ เราจะสังเกตว่าหมอนวดบางคนที่เขาขึ้นครูมาถูกต้อง บางทีพอนวดให้เราเสร็จ เขาต้องให้เราเทน้ำล้างมือให้ เป็นการล้างทิ้งไปโดยตัวของเราเอง เขาจะได้ไม่ต้องรับ ถาม : คนที่ไม่ใช่ญาติกัน มาถามแทนให้รักษาให้กัน ท่านจะไม่รับรักษา ต้องเป็นญาติกันเท่านั้น ? ตอบ : ถ้าเห็นหน้าก็แปลว่าญาติกัน ...(หัวเราะ)... พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดแล้ว บุคคลที่เกิดมาเจอกันในชาตินี้ ในอดีตไม่เคยมีความสัมพันธ์มานั้นไม่มี อย่างน้อย ๆ ก็ต้องเคยเป็นพ่อแม่ ญาติพี่น้อง ครูบาอาจารย์ หรือว่าเป็นผู้บังคับบัญชา ผู้ใต้บังคับบัญชาอะไรกันมาก่อน |
ถาม : พูดถึงญาณ เราสามารถนำมาใช้ช่วยในการลดกิเลสหรือกำจัดกิเลสได้ไหมครับ ?
ตอบ : ได้...แต่ต้องบวกปัญญาไปด้วย เพราะว่าญาณคือรู้อย่างเดียว ถ้าไม่มีปัญญากำกับ บางทีก็เตลิดเปิดเปิง อย่างเช่นเรารู้ว่าเราเกิดเป็นโน่น เป็นนี่เป็นนั่น กี่ชาติ ๆ รู้ไปเรื่อย นี่คือปุพเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกชาติได้ แต่ถ้าไม่มีปัญญาก็สักแต่ว่ารู้ ๆ ๆ โดยที่ไม่ได้เห็นว่าเราเกิดมากี่ชาติก็ทุกข์ เพราะฉะนั้น..ในเรื่องของญาณถ้าจะใช้เป็นประโยชน์ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีปัญญากำกับ |
ถาม : การที่เราเห็นตัวเราน้ำเหลืองเน่าเฟะ หรือตัวคนอื่นเป็นของเน่าเฟะ เป็นญาณไหมครับ ?
ตอบ : เขาเรียกว่าอสุภกรรมฐาน หรือว่ากายคตานุสติกรรมฐานบางส่วน แต่ว่าเรามีพื้นฐานกสิณเก่ามา ก็เลยมองเห็นในลักษณะอย่างนั้น ถ้าลักษณะอย่างนั้นก็ต้องคิดเลยว่าตัวเขาก็เป็นอย่างนี้ ตัวเราก็เป็นอย่างนี้ ไม่มีอะไรที่น่าอยากได้ใคร่ดี เพราะว่าสภาพที่แท้จริงเขาแสดงให้เห็นชัดแล้ว ขึ้นชื่อว่าการเกิดมามีร่างกายแบบนี้จะไม่มีสำหรับเราอีก นี่คือการใช้ปัญญากำกับเข้าไป ถาม : แล้วแบบนี้ไม่เรียกว่าญาณใช่ไหมครับ ? ตอบ : ทิพจักขุญาณ..เป็นญาณเหมือนกัน |
ถาม : ญาณต้องใช้กำลังสมาธิขั้นต่ำคืออุปจารสมาธิใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ญาณเครื่องรู้จะเกิดขึ้นใน ๒ ลักษณะ ลักษณะแรกคืออุปจารสมาธิ แต่ว่าไม่มั่นคง ลักษณะที่สองคือฌานสี่เต็มระดับ อันนี้จะมั่นคงกว่า แต่ถึงจะมั่นคงแค่ไหนก็ตาม ถ้าหากว่าไม่มีการมาย้อนทวนใหม่ ใช้ไปนาน ๆ ก็เฝือ เหมือนกับว่ากำลังตก ต้องย้อนมาหาการภาวนาใหม่ แล้วค่อยเริ่มต้นรู้อีกทีหนึ่ง |
ถาม : การที่เราสาธุ ถ้าเราคิดในลักษณะว่า สิ่งที่เขาทำดีแล้ว แต่ไม่ได้คิดว่า เราไม่มีโอกาสทำแต่เขาได้ทำ แบบนี้เราก็สามารถได้บุญใช่ไหมครับ ?
ตอบ : บอกแล้วว่าถ้าวางกำลังใจไม่ถูกก็ได้น้อย ต้องเป็นความยินดีในลักษณะที่ประกอบไปด้วยมุทิตาจริง ๆ เห็นเขาทำความดีขณะที่เราไม่มีโอกาสทำ เราก็พลอยยินดีกับความดีของเขา ถ้าหากว่าเราวางกำลังใจผิด ซึ่งปัจจุบันนี้ส่วนใหญ่ผิดกัน ก็คือสาธุปัจจุบันของเรานี้ก็คือ "กูจะเอาบุญของมึง" วางกำลังใจผิดจะได้น้อย และขณะเดียวกันเราเองไม่ได้อยู่ในลักษณะที่ไม่สนใจหรือสักแต่ว่าทำ สักแต่ว่าทำนี้มี ๒ อย่าง อย่างแรกคือกำลังใจเกินจนกลายเป็นอุเบกขาไปแล้ว ถ้าลักษณะอย่างนั้นจะได้ เพราะว่าเราเองรู้ว่าอะไรดีอะไรชั่วก็พลอยยินดีไปด้วย เพียงแต่สภาพจิตประกอบด้วยอุเบกขา ไม่มีตัวมุทิตาที่ประกอบไปด้วยความปีติอย่างแท้จริง แต่ขณะเดียวกันอีกอันหนึ่งก็คือ ไม่ได้ใส่ใจ สักแต่ว่าสาธุไป อันนั้นก็เท่ากับวางกำลังใจผิด อานิสงส์ที่ควรได้ก็จะน้อยลง |
ถาม : ภาวนาคาถาเงินล้าน ๑ นาที ได้ ๖-๗ จบ ถือว่าใช้ได้ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าทำได้ ๑๐๘ จบยิ่งดี..! สมัยก่อนที่เขาเร่งความเร็วภายในชั่วอึดใจ ที่เขาเรียกว่าคาบหนึ่ง คาบลมหายใจหนึ่งต้องได้ ๓ จบ ๕ จบ ๗ จบ อันนั้นจริง ๆ แล้วเป็นลักษณะของสมาธิ ยิ่งคุณสมาธิสูงเท่าไร คุณจะใช้ลมหายใจน้อยเท่านั้น จะภาวนาได้มากจบกว่า อย่างที่อาตมาถึงเวลาให้พรโยม บทมงคลจักรวาลน้อยจะหยุดหายใจทีเดียว แต่พระอื่นอย่างน้อยต้อง ๓ ครั้ง ก็เพราะว่าระดับสมาธิที่ต่างกัน |
พระอาจารย์กล่าวว่า “เป็นหน้าที่ก็ต้องทำ แม้ว่าบางอย่างจะเหนื่อยจะยากก็ต้องทนทำไป ...(หัวเราะ)... โยมเขาข้องใจว่าให้พรแล้วให้พรอีก ไม่เบื่อหรืออย่างไร ?”
|
ถาม : เนื่องจากเราเป็นมนุษย์มีลมหายใจ ถ้าไม่มีกายก็ไม่มีลมหายใจ ถ้าเราฝึกสมาธิอยู่กับปัจจุบัน ไม่ว่าจะใช้วิธีไหนก็ตาม แต่กลัวว่าตายไปเป็นเทวดาแล้วไม่มีลมหายใจ จะไปใช้วิธีไหน ?
ตอบ : เทวดาเขาก็ทำของเขาเป็นปกติอยู่แล้ว คุณจะไปกังวลอะไร ? ถาม : คือตัวเราเองใช้ลมหายใจเป็นปกติอยู่แล้ว เลยกลัวว่าพอเป็นเทวดาแล้วไม่มีลมหายใจ เราจะไม่ชินหรือเปล่า ? ตอบ : เขาเรียกว่าถอดกางเกงผายลม แปลว่าไม่มีความจำเป็นต้องไปเสียเวลาคิด ...(หัวเราะ)... |
พระอาจารย์แจกลูกอมให้เด็ก “กิน ๒ เม็ดจะได้ไม่เป็นเบาหวานนะ ถ้าเยอะกว่านี้เดี๋ยวจะเป็น
ที่ขำที่สุดก็คือท่านอาจารย์จันทร์ วัดซายากง จริง ๆ แล้วท่านชื่อวิลเลียม ถึงเวลาออกธุดงค์ด้วยกัน เย็น ๆ พวกเราก็นั่งล้อมวงต้มน้ำร้อน ชงน้ำตาลแจกกัน พอส่งไปถึงท่าน ท่านก็ “ไม่เอา..ผมไม่กินหวาน” พอไปได้สัก ๓ วัน ท่านก็ไปยงโย่ยงหยกอยู่แถวย่ามของพวกเรา อ๋อ...ไปค้นหาน้ำตาล..หมดสภาพ ที่บอกว่าไม่กินหวานก็ตะกายไปหาเองเลย เพราะว่าพวกเราเดินวันหนึ่งอย่างน้อย ๆ ก็ ๔๐ กิโลเมตร แดดร้อน ๆ นี่เหงื่อท่วมตัวเลย ร่างกายสูญเสียพลังงานเกลือแร่ไปเยอะ ถึงเวลาท่านก็เลยต้องไปค้นหาเอาเอง แต่ตลกตรงที่ว่าพระพม่านิสัยเหมือนกันหมด ก็คือข้าวของจะเป็นของใครก็ตาม ถ้าท่านค้นได้ก็คือของท่าน ...(หัวเราะ)... ถ้าเป็นพวกเราก็ต้องบอกเจ้าของก่อน ไม่กล้าค้นใช่ไหม ? แต่ท่านเป็นแบบนั้นกันทุกคน ข้าวของอะไรวางอยู่ ถ้าไปรถคันเดียวกัน บางทีท่านก็ค้นไปเรื่อย เจออะไรฉันได้ก็ฟาดโลด..!” |
มีโยมถวายน้ำขวด "น้ำยิ่งสะอาดมากเท่าไร สารอาหารก็จะมีน้อยเท่านั้น ฟังแล้วงง ๆ ไหม ? ประมาณว่าอย่างน้ำกลั่น เป็นต้น"
|
พูดถึงตะกรุดของหลวงพ่อสุด "หลวงพ่อสุด วัดกาหลง ท่านเป็นอาจารย์ของจอมโจรตี๋ใหญ่ แต่ก็อย่างว่านั่นแหละ ท้ายสุดตี๋ใหญ่ก็ตายจนได้ เพราะว่าเหนียวแค่ไหนแต่ก็ลืม ไม่ได้พกตะกรุดไปด้วย"
|
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่องานสวดมนต์ข้ามปี มีบางวัดสวดตั้งแต่ ๔ ทุ่ม ไม่กลัวเหนื่อยกันเลยนะ ตอนนี้มีกระแสเรียกร้องว่าให้สวดมหาสมัยสูตรด้วย มหาสมัยสูตรนี้ยาวกว่าธรรมจักรฯ ตั้ง ๓ เท่า อาตมาไม่ได้หนักใจหรอก คนอื่นจะหนักใจ พอถึงเวลาเหนื่อยขึ้นมาอาตมาก็หยุด
แต่หลายวัดก็ตั้งใจทำเป็นพิธีใหญ่ แล้วก็ตั้งโอ่งน้ำมนต์ เพราะว่าคนมามากจะได้พอแบ่งกัน วัดท่าขนุนตั้งโอ่งน้ำมนต์ไม่ได้หรอก...โอ่งแตกแน่..! สังเกตไหมว่าระยะหลัง ๆ นี่งานบวงสรวงอาตมาไม่ตั้งขันน้ำมนต์แล้ว เพราะว่าคนมัวแต่ไปแย่งน้ำมนต์กัน จะเหยียบกันตาย เปลี่ยนเป็นสั่งน้ำดื่มบรรจุขวดมาทำน้ำมนต์ อยากได้ก็ไปซื้อเอา" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปกติพอขึ้นปีใหม่อาตมาจะหลง เขียน พ.ศ. ผิด พิมพ์ พ.ศ. ผิด แต่ปีนี้เป็นอะไรก็ไม่รู้ อะไร ๆ ก็เป็น พ.ศ. ๒๕๖๓ อย่างกับอาตมาใช้มาเป็นปี ๆ แล้ว ยังไม่ผิดเลย โดยเฉพาะตอนลงกองทุนรักษาพยาบาล ซึ่งปกติแล้วถ้ามีบริจาคตอน ๒๕๖๒ บ้าง ๒๕๖๓ บ้างนี่จะพลาด ยังแปลกใจว่าปี ๒๕๖๓ นี่อย่างกับอาตมาอยู่มานาน พร้อมที่จะรับมาใช้งาน
ส่วนปฏิทินฤกษ์พรหมประสิทธิ์ที่ทางด้านคณะสะพานบุญทำออกมา ถ้าใครจะใช้ฤกษ์ให้ใช้ตามนั้น เพราะว่าปฏิทินส่วนหนึ่งที่ออกมาของปีนี้เขาผิด แต่ในเมื่อเขาออกเป็นสาธารณะก็เลยกลายเป็นว่าของเขาถูก เพราะว่าปีนี้จะว่าไปแล้วแรม ๑๕ ค่ำเดือน ๗ ไม่มี เนื่องจากเป็นปกติวาร อธิกมาส ปกติวาร ก็คือเดือนเกินแต่วันปกติ เพียงแต่ว่าคนคำนวณเห็นว่าเป็นเดือนเกิน ก็ใส่เป็นวันเกินไปด้วย กลายเป็นอธิกวาร เพราะฉะนั้น..ของเขาจะเกินมา ๑ วัน ตั้งแต่ ๒๐ มิถุนายนเป็นต้นไปจะไม่ตรงกับของเรา แต่เดี๋ยวพอปีหน้าไปชนกันก็จะตรงกันไปเอง เพราะฉะนั้น..ถ้าเอาแน่ ๆ ก็ครึ่งปีแรกทำเสียให้พอ ครึ่งปีหลังฤกษ์เคลื่อนแล้วก็หยุดทำ เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องปวดหัวของทางโหราศาสตร์ ท่านที่ไม่รอบคอบก็จะมีผิดเป็นประจำ โดยเฉพาะปฏิทินโหราศาสตร์" |
"ปฏิทินหลวงเป็นอธิกวาร...วันเกิน ไม่ใช่ปกติวาร แล้วปฏิทินหลวงเขาคิดตามแบบในหลวงรัชกาลที่ ๔ ถ้าไปเจอวันพระธรรมยุตก็จะไม่ตรงกับของเราเลย หลายท่านก็คงจะยึดตามนี้ถึงได้มีวันเกิน
อันนี้เป็นอธิกวาร อธิกสุรทิน เกินทั้งคู่ เป็นปีที่ ๕ ในรัชกาลที่ ๑๐ รัตนโกสินทร์ศก ๒๓๘ ตอนนี้จนถึง ๑๕ เมษายนยังเป็นปีชวด เอกศก จุลศักราช ๑๓๘๑ ตั้งแต่ ๑๖ เมษายนไปถึง ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ เป็นปีชวด โทศก จุลศักราช ๑๓๘๒" |
"ปีที่ผ่านมามีสุริยุปราคาส่งท้าย อาตมาไม่รู้เรื่องอะไรเลย เพราะว่ามัวแต่ทำงานอยู่ จนกระทั่งเลยเวลาแล้วเขาบอกว่าวันนี้มีราหูอมพระอาทิตย์ อาตมาก็ เออ...ทำงานจนไม่รู้เหนือรู้ใต้จริง ๆ สรุปแล้วราหูอมพระอาทิตย์ปีนี้ ไม่มีผลกระทบต่อเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน เพราะว่าไม่รู้เรื่องเลย คนอื่นที่รู้ก็ได้รับผลกระทบเยอะหน่อย..!"
|
มีโยมเอาวัตถุมงคลมาให้ดู "ถ้าหากว่าเอามานี่ให้ถอดกรอบมา จะได้ดูได้ ถ้ามาพร้อมกับเลี่ยมแบบนี้ไม่มีใครเขาดูหรอก จะไปดูอีท่าไหนก็เพี้ยนหมด เพราะว่าดูขอบดูข้างอะไรไม่ได้ ส่วนใหญ่สมัยนี้ถ้าเลี่ยมทองมาให้ตีปลอมเอาไว้ก่อนเลย เพราะว่าตั้งใจทำมาให้เราดูทองแทน"
|
ถาม : ประเทศที่นับถือศาสนาพุทธเหมือนกับเรา เขามีแรมค่ำเหมือนเราไหมครับ ?
ตอบ : เอาแค่พม่าก็ยังไม่ตรงกับเราเลย ถาม : จีนนิกายเขาก็นับถือศาสนาพุทธเหมือนเรา ? ตอบ : เหมือนกัน แต่ของเขาเป็น พ.ศ. ๒๕๖๔ คือทันทีที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานก็นับเป็น พ.ศ. ๑ ส่วนเราปรินิพพานครบปีถึงนับเป็น พ.ศ. ๑ เราจะสังเกตว่าทำไมพุทธชยันตีของทางด้านโน้นถึงเป็น พ.ศ. ๒๔๙๙ เพราะว่าเป็น พ.ศ. ๒๕๐๐ ของเขา |
กล่าวกับพระนักเรียนบาลี "สาธุ..ขอให้เจริญรุ่งเรืองมาก ๆ ถึงเวลาก็ช่วยกันแบกภาระหน่อย"
ถาม : อ่วมอรทัยเลยครับ ? ตอบ : ธรรมดา สถานการณ์ประเทศชาติตอนนี้ไม่อ่วมไม่ได้หรอก มีแต่ประเภทพาลงต่ำเยอะแยะไปหมด เราจะไปงัดเขาไหวไหม ? ไม่โดนทับแบนก็บุญแล้ว คราวนี้เราใช้คำว่ามอบกายถวายชีวิต ก็แค่ตาย..ไม่เกินนั้นหรอก |
พระอาจารย์เล่าว่า "เคยมีเพื่อนพระธุดงค์ต้มถั่วเขียว ๗ ชั่วโมงแล้วไม่ได้กิน เพราะว่าท่านใส่น้ำตาลลงไปก่อน อาตมาจัดการไปเทล้างน้ำใหม่แล้วค่อยเอามาต้ม ๑๕ นาทีก็ได้กิน ใส่น้ำตาลลงไปก่อน ภาษาเก่าเขาใช้คำว่า น้ำตาลรัดทำให้ถั่วไม่สุก แต่จริง ๆ คือไปลดจุดเดือด ทำให้ความร้อนเข้าไม่ถึง ประมาณหุงข้าวไม่สุก ยังเป็นแกนแข็งอยู่"
|
พระอาจารย์กล่าวกับพระนักเรียนบาลีว่า "คนเราความประพฤติเปลี่ยนกันได้ เขาเรียกว่าสิ่งแวดล้อมมีอิทธิพลต่อชีวิต คุณไม่เร่งตัวเอง คนข้าง ๆ ก็แซงหมด ผมถึงได้พยายามบอกรุ่นหลัง ๆ ว่า ถ้าจะเรียนบาลีต้องท่องหนีครูไว้เยอะ ๆ ถ้าปล่อยให้ครูนำได้นี่คุณตายอย่างเดียวเลย
เวลาจะท่องจำก็ต้องท่อง เวลาทำการบ้านก็ต้องทำ แล้วจะเอาเวลาที่ไหน ? เวลาเรียนอยู่ในห้องท่านเจ้าคุณอาจารย์โสภา “เฮ้ย...เล็กก้มหน้าก้มตาทำอะไรวะ? เงยหน้าบ้างสิ กูสอนอยู่” บอกว่าทำการบ้านที่เจ้าคุณอาจารย์ให้แหละครับ เดี๋ยวเพื่อนเขาจะลอก “เออ...ถ้าอย่างนั้นก็ทำไป” แค่หูฟังก็เข้าใจ แต่เพื่อนทำหลายอย่างพร้อมกันไม่ได้" |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 05:42 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.