กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านเติมบุญ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=65)
-   -   เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๒ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=6823)

เถรี 28-11-2019 21:28

แต่ส่วนใหญ่แล้วพวกเราตรงไปตรงมา..กลัวศีลขาด ถึงเวลาเขาถามว่าทำไมไม่กินข้าวเย็น ? อ๋อ..รักษาศีล ๘ คนเขาก็มองหัวจรดตีน หาเหตุผลใหม่ให้เขาสิ บอกว่าอ้วนแล้ว ขอลดน้ำหนักหน่อย เรื่องนี้เขากลับรับได้

ฉะนั้น...ในอุทุมพริกสูตรถึงได้บอกว่า การปฏิบัติธรรมไม่ใช่ทำเพื่ออวดคนอื่น แต่ทำเพื่อการหลุดพ้น พวกเราส่วนหนึ่งจะไปติดอยู่ตรงที่ว่า "ติดดี" เมื่อเห็นคนอื่นทำไม่ได้ หรือทำไม่เหมือนเรา "อ้าว..ไอ้นั่นยังชั่วอยู่" เป็นการยกตนข่มท่าน แบกสักกายทิฎฐิและมานะสังโยชน์ ๒ ตัวซ้อนกัน

เถรี 28-11-2019 21:41

หลายท่านเข้าวัดเข้าวาแล้วกลายเป็นว่า ความประพฤติ กาย วาจา ใจ เป็นทุกข์เป็นโทษกับคนอื่น เพราะว่าไปเอาตัวเองเป็นบรรทัดฐาน ไปมั่นใจว่าสิ่งที่เราทำนั้นดีแล้ว ถูกแล้ว ซึ่งจะว่าไปแล้วก็ใช่ แต่ดีแค่นั้น ถูกแค่นั้น ส่วนที่ดีกว่านั้นและถูกกว่านั้นยังมีอยู่อีก เรายังก้าวไปไม่ถึง

ไปยึดมั่นถือมั่นกลายเป็นสีลัพพตุปาทาน ยึดมั่นในหลักการปฏิบัติของตนว่าดี ถ้ายึดก็เสร็จ ท่านบอกว่า อุปาทานะปัจจะยา ภะโว ความยึดมั่นถือมั่นทำให้เกิดภพ ก็คือที่เกิด ภะวะปัจจะยา ชาติ เมื่อมีที่เกิด ก็ต้องมีการเกิด ก็แปลว่าเกิดแล้วเกิดเล่าไม่รู้จบ ที่ท่านใช้คำว่า ปุนัปปุนัง แล้ว ๆ เล่า ๆ ไม่รู้จะหมดสักที

ในส่วนพวกนี้พวกเราต้องระมัดระวัง
เอง อะไรที่ลงท้ายด้วยคำว่า "กว่า" ใช้ไม่ได้ทั้งนั้น "ดีกว่า" "ชั่วกว่า"เป็นการแบกมานะโดยที่เราไม่รู้ตัว แล้วก็เป็นเรื่องแปลกว่า ถ้าปัญญายังไม่ถึง คนอื่นบอกให้ตายก็ไม่รู้สึก เพราะไปคิดว่าที่ตัวเองทำดีแล้ว ถูกแล้ว แต่พอก้าวข้ามไปได้มองย้อนกลับมา อ้าว...ตอนนั้นยังไม่ดีจริง มีที่ดีกว่านั้น มีที่ถูกกว่านั้น แล้วเราก็ไปยึดมั่นถือมั่นอีกว่า "ตรงนี้ใช่แล้ว" ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง

เถรี 28-11-2019 21:45

ดังนั้น...ที่บรรดาพระญี่ปุ่น นิกายเซน ถกเถียงกันเรื่องซาโตริ (ซาโตริคือการบรรลุฉับพลัน ลักษณะดวงตาเห็นธรรม) บางท่านก็บอกว่าทั้งชีวิตมีได้ครั้งเดียว บางท่านบอกว่าไม่ใช่...ผมเจอมาเป็นสิบ ๆ ครั้งแล้ว ถูกทั้งคู่..ที่ถูกทั้งคู่ก็เพราะว่าไปยึดว่าตรงนี้ดี ตรงนี้ใช่ พอก้าวข้ามไปก็ อ้าว..ตรงนี้ดี ตรงนี้ใช่อีก ก็ซาโตริไปเป็นลำดับ

ถ้าใครขยันก็โดนเยอะหน่อย ใครไม่ขยันมาสายสาวกก็โดนน้อยหน่อย ครั้งเดียวจบก็มี หรือไม่ก็ครั้งเดียวตายไปเสียก่อนก็มี

เถรี 29-11-2019 08:46

อาตมาไปญี่ปุ่นแล้วอัศจรรย์ใจอยู่อย่างหนึ่ง ญี่ปุ่นเป็นประเทศเล็กประชากรมาก ราว ๆ ๒๘๐ ล้านคน ประเทศนิดเดียว แต่วัดทุกวัดใหญ่มาก แล้วคนญี่ปุ่นโคตรจะขยันเดินเลย อาตมาไปญี่ปุ่นยังเดินขาลาก คนญี่ปุ่นหาคนอ้วนยาก ไปทำงานแต่ละวันเขาแทบจะวิ่งไปทำงาน ถามว่าทำไม ? จากสถานีนี้ต่อรถไฟไปสถานีโน้น จากสถานีโน้นต่อรถไปอีกสถานีหนึ่ง ลงรถแต่ละทีแทบจะต้องวิ่งเพื่อให้ทันขบวน ถ้าเราเดินช้า ๆ แทบจะโดนชนเลย

ก็เลยแปลกใจว่าญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับศาสนามาก ประเทศเล็กพื้นที่มีน้อย แต่ว่าวัดแต่ละวัดใหญ่โตมโหฬาร โดยเฉพาะเข้าไปแล้วรู้สึกว่าสะอาด สงบ ฉะนั้น...หลักการที่เจ้าคณะปกครองของเราให้แต่ละวัดดำเนินการก็คือ สะอาด สว่าง สงบ ถ้าวัดวาอารามสะอาดก็เรียกศรัทธาคนได้ง่าย

วัดท่าขนุนทำความสะอาดแค่เช้าเย็น บางทีช่วงกลางวันใบไม้ก็ร่วงเกลื่อนกลาด แต่บางทีเขาอาจจะไปตรวจตอนที่ทำความสะอาดแล้วพอดีทุกครั้ง ก็เลยได้รับคำชมเชยว่าดูแลวัดได้สะอาดเรียบร้อย

เถรี 29-11-2019 09:15

สว่าง...ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นกระแสไฟ สว่างในที่นี้หมายถึงการจัดภูมิทัศน์ของวัดไม่ให้รก หลายวัดคนมีศรัทธา สร้างไปเรื่อยเปื่อย จนเกะกะไปหมด บางทีกลายเป็นสลัมไปเลย อาตมาไปอยู่วัดไหนก็มีหน้าที่รื้อทิ้งไปเสียเยอะ กว่าจะจัดวางผังใหม่ ทำใหม่ ให้เข้าที่เข้าทางได้

บางวัดอย่างวัดท่ามะขามไปแล้วเครียด มองทั้งวัดแล้วก็ไม่รู้ว่าจะจัดอย่างไร ตอนนั้นพลตรีศรชัย มนตริวัต ท่านไปเป็นประจำเกือบทุกวัน หลวงพ่อวัดท่ามะขามก็มอบหมายให้พัฒนาวัดคู่กับอาตมา ท่านปั่นจักรยานไป แล้วก็ไปเดินดู ๆ กลับมาแล้วถอนใจเฮือก อาตมาถามว่า "เสธ. เป็นอย่างไรบ้าง ?" "หลวงพี่มีความเห็นอย่างไรละครับ ?" "
พูดจากใจจริง ถ้าเป็นอาตมาก็รื้อทิ้งให้หมด แล้วทำใหม่" "คิดเหมือนกันเลยครับ"

ไปสร้างตรงนั้นนิดตรงนี้หน่อย กลายเป็นซอกเล็กซอกน้อยเลอะเทอะไปหมด อาคารหลังไหน อาตมามาสร้างไว้ดี ๆ พักเดียวหลวงพ่อท่านก็ต่อเติมจนกลายเป็นโรงลิเก ต่อหน้าต่อหลังต่อข้าง ท่านจะเกิดจินตนาการบรรเจิดทันทีที่สร้างเสร็จ ตอนสร้างอยู่ก็ไม่บอกว่าต้องการอะไร

เถรี 29-11-2019 09:17

ปัจจุบันนี้กลายเป็นพระครูบ่าวกับมหาเอ ต้องไปปวดหัวในการพัฒนา ตอนนี้ทำกุฏิให้อาตมาอยู่ ทำเสร็จแล้วจะเริ่มรื้อหลังเก่า ค่อย ๆ รื้อไป ถ้าทำตูมตามไปแล้วเดี๋ยวชาวบ้านรับไม่ได้ และกลัวเจ้าภาพเก่าจะต่อว่าเอา

แต่อาตมาแจ้งกับชาวบ้านไว้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่บ้าน กำนัน ส.อบต.อะไรก็ตาม บอกแล้วว่าขอรื้อหมดเลยนะ แล้วจะทำใหม่ให้ เขาบอกว่า "ถ้าท่านอาจารย์ทำก็เชื่อครับว่าทำได้ ถ้าคนอื่นมาบอกพวกผมไม่เชื่อหรอก"

เถรี 01-12-2019 19:53

พูดถึงดาบของหลวงพ่อบุญมี "หลวงพ่อบุญมี วัดเขาสมอคอน ปกติจะเจอแต่มีดหมอ อันนี้เป็นดาบเลย อย่าเอาไปฟันหัวกันนะ ตูจะเดือดร้อน..! ใครบูชาไปอย่าไปถือเทิ่ง ๆ ขึ้นรถเมล์ เดี๋ยวจะเฮงเอา ปกติของหลวงพ่อบุญมีจะเป็นมีดหมอ นาน ๆ จะเจอดาบสักเล่ม อาตมามีมีดหมอท่านหลายสิบเล่ม มีดาบอยู่เล่มสองเล่มเท่านั้นเอง

สมัยก่อนพ่อปู่ขุนพันธ์ท่านมีดาบแดงใช่ไหม ? ก็คือลักษณะอย่างนี้แหละ เขาไม่ได้ให้ใช้เป็นอาวุธนะ ใช้เป็นวัตถุมงคล

จะว่าไปของหลวงพ่อบุญมีท่านก็ทำมาหลากหลาย แต่ว่าแปลกใจอยู่อย่างหนึ่ง...ท่านใช้ยันต์กระบองไขว้แบบเดียวกับสายหลวงปู่แตง วัดอ่างศิลา หลวงพ่อบุญมีท่านอยู่ลพบุรี แต่ใช้ยันต์แบบเดียวกัน"


เถรี 01-12-2019 20:16

พระอาจารย์กล่าวว่า "ความจริงบ๊ะจ่างก็คือขนมจ้างไส้เนื้อ คราวนี้ใครทำแบบเจมา เรียกบ๊ะจ่างไม่ได้หรอก ต้องเป็นเจจ่าง

คนจีนเขาห่อด้วยไม้ไผ่ เขาก็เลยเรียกจ่าง พอมีไส้เนื้อมีอะไรก็กลายเป็น "บ๊ะจ่าง" ระยะหลังเขาดัดแปลงมาเป็นพวกไส้เจ ก็ยังอุตส่าห์เรียกบ๊ะจ่าง จะไป "บ๊ะ" ได้อย่างไร เพราะว่าไม่มีเนื้อแล้ว"

เถรี 01-12-2019 20:22

โยมเป็นหวัด "กินน้ำอุ่น กินผลไม้รสเปรี้ยวหรือวิตามินซีเยอะ ๆ ให้แข็งแรงไว้ เพราะว่าช่วงนี้ลมหนาวกำลังจะมา ถ้าเป็นโบราณ โน่น...กินแกงส้มดอกแค แก้ไข้หัวลม

คำว่า ส้ม ก็คือเปรี้ยว เอาวิตามินซีไปช่วยกันหวัด โบราณเขารู้ ถึงเวลาก็มีอาหารตามฤดูกาล รุ่นใหม่ ๆ ไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้ กินไปเรื่อยเปื่อย

โดยเฉพาะที่วัดท่าขนุน บ่นไปหลายทีกว่าจะรู้ตัว หน้าหนาว อากาศต่ำกว่า ๑๐ องศาเซลเซียส เช้า ๆ ผ่าแตงโมมาถวายพระ วงละจานเบ้อเร่อ ถามจริง ๆ เถอะ ใครจะกินวะ ? ทำอะไรไม่ได้ใช้หัวแม่เท้าตรองดูก่อน...! โดนด่าไป ๓ - ๔ ที ค่อยรู้จักคิดขึ้นมาบ้าง

ช่วงเช้าแถวโน้นอากาศสูง ๆ เลยก็ ๑๖ - ๑๗ องศาเซลเซียส ต่ำกว่า ๑๐ ก็บ่อย ตอนเช้าหน้าหนาว ทางแม่ชีวัดท่าขนุนดันปอกแตงโมมาถวายพระ ถ้าไม่มีอาตมา คนอื่นไม่กล้าว่าหรอก ด่าหลายรอบจนกว่าจะจำ แต่ก็ไม่ค่อยจะจำ

ก็บอกแล้วว่า ถ้าจะทำกับข้าว มีจืด มีเผ็ด มีแห้ง มีน้ำ มีผัก มีเนื้อ หลักการมีแค่นี้ ไม่ใช่บางวัน ๔ จาน ผัดแห้งมาหมดเลย แล้วจะกินอย่างไร ? ไม่ใช่ตอนเช้า ถึงเวลาพระบิณฑบาตมา ก็จัดมีแต่แกงเผ็ดมา ๗ - ๘ ถุง จัดก็จัดให้สลับแบ่งกัน ๗ - ๘ ถุง ก็ให้ไปวงละถุงสิ ไม่ใช่ตะบันมาลงวงเดียวกัน"


เถรี 01-12-2019 20:31

ถาม : หัวหอมที่เอามาโปะหัวเด็ก ?
ตอบ : อันนั้นเอาไว้แก้หวัดเลย ส่วนใหญ่เขาจะตำผสมกับใบมะขามอ่อน เขาเรียกว่า "สุมหัว" เด็ก ๆ กระหม่อมบาง ถ้าเล็กมากบางทีกระหม่อมก็ยังไม่ปิด เข้าสมองโดยตรงได้ รู้สึกโล่ง หายใจสะดวก ไม่อย่างนั้นไซนัสบวม หายใจไม่ออก เวลาเด็ก ๆ ก็โน่น...ต้มน้ำใบมะขามอ่อน เอาหัวหอมตำ เผาสักหน่อยแล้วสุมหัว สมัยนี้เขาไม่ทำกันแล้ว กินแต่ยาฝรั่ง

หัวหอมก็แก้หวัดได้เหมือนกัน กระเทียมก็แก้ได้ แต่ก็ต้องแบบอาตมานั่นแหละ ฉันไปคนเดียว ๗ - ๘ หัว ตลกตรงที่ว่าท่านเจ้าที่ให้ฉันกระเทียมดอง เดี๋ยวก็เหม็นตลบไปทั้งรถ ท่านยืนยันว่าไม่มีกลิ่น
ปรากฏว่าไม่มีจริง ๆ ไม่รู้ว่าหายไปไหนหมด เรื่องอย่างนี้ท่านยังทำได้ก็ต้องยอม เพราะว่าอาตมานั่งอยู่หน้ารถ ถ้าหากกลิ่นกระเทียมออก ทั้งรถก็ต้องทนดมไปด้วย คราวนี้ท่านว่าอย่างไรก็ต้องเชื่อท่าน ปรากฏว่าไม่มีกลิ่นจริง ๆ ก็ดีเหมือนกัน

เถรี 01-12-2019 21:13

ถาม : ท่านสุ่ยหลง ท่านดูแลบริเวณไหนบ้างครับ ทั้งจีนเลยไหมครับ ?
ตอบ : เฉพาะเขตเสฉวนตะวันตก ถ้าไปแถวนั้นก็ขอใช้บริการท่านได้ แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าท่านจะเอาอะไรบ้าง ไปคุยกันเองก็แล้วกัน แต่ยอมรับว่าท่านสุดยอดมาก คือถ้าหิมะตกตั้งแต่ขาไป ขากลับเราก็จะเบื่อ ท่านก็ให้ตกขากลับ แล้วตกกลางคืน ถนนกลางวันก็ไม่ลื่น คราวนี้ช่วงจากทางด้านจากเมืองคังติ่ง เทียนฉวนมาจนถึงเฉิงตู ระยะทางหลายร้อยกิโลเมตร เข้าแต่อุโมงค์ ไม่มีอะไรจอดให้ดู ท่านก็เอาฝนลงให้พอ จัดโปรแกรมได้สุดยอดมาก

คณะที่ไปก่อน ไม่ได้เห็นอะไรเลย เพราะว่าช่วงที่จะไปดูยอดเขาหิมะ หมอกก็ลงเสียจนมืด มองอะไรไม่เห็น แล้วหิมะก็ลง ลมแรง เข้าไม่ถึงทะเลสาบน้ำนม


ถาม : ทางเดินโหดมากครับ ?
ตอบ : อาตมาไปด้านบนเลย ลำบากก่อนแล้วสบายเมื่อปลายมือ เพราะว่าตอนอ้อมลงก็ง่ายแล้ว แต่ยอมรับว่าโหดมาก เพราะว่าเดินสามสี่ก้าวก็ต้องหยุดหายใจทีหนึ่ง สามสี่ก้าวก็ต้องหยุดหายใจทีหนึ่ง

ถาม : ผมเดินสี่ชั่วโมงครับ ?
ตอบ : ขาเข้าอาตมาเดินสองชั่วโมง ขาออกชั่วโมงครึ่ง ไปแบบไม่ใช้ออกซิเจน ได้ความเมตตาของท่านสุ่ยหลง ถึงได้ไม่หนาวตาย รู้สึกอุ่นอยู่ตลอดเวลา ไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับอากาศ คราวนี้พวกทิดดอยอยู่ใกล้ ๆ บอกว่า "อยู่ใกล้หลวงพ่อแล้วอุ่น" ก็อย่าไปไกลสิวะ..!

เถรี 01-12-2019 21:21

พูดถึงเด็ก "ตัวแค่นี้แขวนเหรียญรุ่นสุดท้ายของหลวงพ่อวัดท่าซุง อาตมาเอง ๗ - ๘ ขวบแล้วยังไม่มีพระติดตัวสักองค์ ยุคสมัยเปลี่ยนไปจริง ๆ

จำได้ว่าพระองค์แรกที่ได้มา เพราะว่าผู้ใหญ่เขาเห็นไปเกาะโต๊ะ สนใจอยู่ทุกวัน ก็เลยให้พระถ้ำเสือพิมพ์ตุ๊กตามาหนึ่งองค์ คราวนี้ท่านก็แนะนำวิธีดูเนื้อดูอะไรให้ด้วย แต่เด็กก็ไม่เข้าใจ ยังดูไม่เป็น "เอาอย่างนี้แล้วกัน..ไอ้หนู เอาน้ำหยดลงไปหยดหนึ่ง ถ้าหายวับไปเลยก็ของแท้" ระยะหลังใช้ไม่ได้แล้วสูตรนี้ เพราะว่ามีเตาไมโครเวฟ ถึงเวลาก็เอาวัตถุมงคลไปอบให้แห้งกรอบ น้ำหยดลงไปก็หายวับเหมือนกัน"

เถรี 02-12-2019 21:26

เล่าถึงการเดินทางไปประเทศจีนต่อ "วันที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๖๒ ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นวันเสาร์ ตื่นเช้าขึ้นมาออกจากห้องพัก ปรากฏว่าหิมะยังเต็มลานอยู่เลย ยังไม่ละลาย อากาศลบ ๔ องศา ทำอย่างไรได้..อาตมาเป็นคนอยู่นิ่งไม่เป็น จึงไปเดินดูบ้านดูเมืองเขา หนาวก็หนาว ถึงหนาวก็จะดู

พวกศิลปะของเขาก็หลักการเดียวกับพระพุทธศาสนาของเรา เพียงแต่ว่าเขานิยมพวกเงื่อนไร้ที่สุด เงื่อนไร้ที่สุดก็ประเภทคล้าย ๆ กับสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน พันกันไปพันกันมา ไม่มีหัวไม่มีท้าย วนไปได้เรื่อย ๆ ไม่รู้จักสุด เล็กสุดที่เจอก็รู้สึกว่า ๕ เงื่อน ส่วนใหญ่สุด ๑๐๘ เงื่อน

มีเงื่อนไร้ที่สุด มีหม้อน้ำมนต์ มีหอยสังข์ มีธรรมจักร มีดอกบัว มีฉัตร ฉัตรนี่รู้สึกว่าที่ไหน ๆ ก็ถือว่าเป็นของสูงเหมือนกันหมด ส่วนใหญ่เขาก็ทำไว้ตามประตู ตามหน้าต่าง พวกบรรดาประตู ถ้าเป็นทิเบตแท้ก็มักจะมีคชสีห์อยู่ เขาเอาไว้ป้องกันพวกเสนียดจัญไร พวกของไม่ดีที่จะเข้ามา เพราะว่าคชสีห์เป็นสัตว์ดุร้าย เอาไว้ข่มพวกของอาถรรพ์นี้ได้"

เถรี 02-12-2019 21:34

"บ้านเขาจริง ๆ แล้วไม่ค่อยมีอะไร ที่บอกว่าบ้านเขาไม่ค่อยมีอะไรก็เพราะว่า ตัวอาคารอะไรต่าง ๆ รัฐบาลเขาสร้าง ก็เลยกลายเป็นแบบเดียวกันหมด พวกเราเดินย้อนกลับไปที่วัดซึ่งอาตมาไปซื้อกำไลงาช้างวงยักษ์มา คนอื่นเขาอยากได้ ปรากฏว่าเช้าเกินไป ยังไม่ทันจะ ๗ โมงเช้าเลย ทั้งวัดเปิดเฉพาะประตูเล็กเข้าวัดอยู่ประตูเดียว นอกนั้นไม่มีอะไรเปิด คนที่ตั้งใจจะไปเสียเงินก็เลยไม่ต้องเสีย

แต่ที่วัดนี้ดีอยู่อย่างหนึ่ง เพราะว่าเขามีของจำหน่ายหลากหลาย ขนาดกปาละยังมี กปาละนี่ถ้าคนทำไม่มีฝีมือจริง ๆ ผีหลอกตายเลย เพราะใช้กะโหลกศีรษะคนมาทำ ในพระพุทธศาสนาของเรา พระพุทธเจ้าท่านก็ห้ามใช้บาตรกะโหลกผี เพราะว่าถ้าไม่ห้ามก็จะมีพวกเฮี้ยน ๆ เอามาใช้กัน ยิ่งคนไหนหัวใหญ่หน่อย ถึงเวลาเลื่อยมาแค่คิ้ว ก็จะได้บาตรใบหนึ่งแล้ว

เดินกันจนกระทั่งมือชา เท้าชา หน้าชา เห็นใกล้เวลาก็กลับมากินอาหารเช้ากัน"

เถรี 02-12-2019 21:39

"แต่ว่าวันนี้มื้อเช้าไม่ได้กินในโรงแรม โรงแรมมีแต่ที่พัก ไม่มีห้องอาหาร คุณตั้วหัวหน้าทัวร์ต้องพาพวกเราเดินไปร้านค้า ปรากฏว่าเกือบจะเข้าผิดร้าน ที่เกือบจะเข้าผิดร้านเพราะว่าร้านค้าทุกร้านพอเห็นลูกค้ากลุ่มใหญ่เกือบ ๒๐ คนเดินมา เขาเรียกเข้าร้านทุกที่ เขาไม่ได้สนใจว่าเราจองร้านไหนเอาไว้ จะให้เข้าร้านเขาอย่างเดียวเลย

ตอนแรกได้ยินเขาตะโกนเรียกโหวกเหวก คุณตั้วต้องถาม Eric มัคคุเทศก์ว่าใช่ร้านนี้หรือเปล่า ? เขาบอกไม่ใช่ ต้องไปอีกหน่อย อาตมาเองนั้นคิดว่า...ไม่ต้องเดินไกล ไม่ต้องหนาวแล้ว

คราวนี้พอฉันอาหารเสร็จกลับมา ธรรมเนียมของพวกเราก็คืนห้องก่อนขึ้นรถ เพราะว่าหลังจากกินอาหารเช้าแล้ว ใครจะเข้าห้องน้ำ จะได้เข้าได้ ถ้าคืนห้องเขาไปก่อน ก็ไม่มีห้องน้ำให้เข้า

อาตมาเดินมาก็ เอ๊ะ...ใครทำอะไรหล่นอยู่หน้าห้อง ? จึงหยิบขึ้นมาดู เป็นปลอกหมอน ก็เอาวางพาดไว้ตรงระเบียง เข้าห้องน้ำเสร็จเดินออกมา คราวนี้ปลิวมาเป็นหมอนทั้งใบเลย เงยหน้าขึ้นไป คุณแม่บ้านกำลังทำความสะอาดชั้นบน ของอะไรที่จะซัก แกโยนลงมาบนพื้นทั้งหมด แล้วก็โยนไม่ได้ดูใครเลย คงมั่นใจว่าแขกออกไปข้างนอกกันหมดแล้ว ไม่ได้นึกว่าจะกลับมาเข้าห้องน้ำ โยนหมอนลงมา ถากหัวไปหน่อยเดียว..!"

เถรี 02-12-2019 21:54

"ดูท่าจะจำผิดว่าวันเสาร์ ที่เล่าให้ฟังน่าจะเลยไปแล้วใช่ไหม ? เป็นช่วงที่เราไปค้างที่โรงแรมทิเบต ในส่วนที่เราพูดถึงควรที่จะเป็นวันอาทิตย์

คราวนี้ในช่วงวันอาทิตย์ของพวกเรา ต้องบอกว่าเป็นวันที่อาตมาไม่ได้นอนเต็มตา เพราะว่าประมาณเที่ยงคืนมีเสียงเคาะประตู ก๊อก ๆ ๆ ใครกันวะ ? ผีหรือคน ท้ายสุดเปิดประตูออกไป จ๊ะเอ๋...! เจ้าถิ่น พูดไทยก็ไม่ได้ พูดจีนก็ไม่ได้ น่าจะเป็นทิเบต มาหาเพื่อน พอเห็นว่าห้องนี้ไม่ใช่เพื่อน เขาก็ไปไล่เคาะห้องอื่นทีละห้อง ไม่ได้ถามว่าคนในคณะโดนเคาะไปกี่ห้อง อย่างนี้ก็มีด้วย..ถ้าเป็นบ้านเราทำอย่างนี้เจอชกแน่นอน เที่ยงคืนคนกำลังหลับอยู่ดันมาเคาะประตูหาเพื่อน

แล้วอาตมามีนิสัยว่าถ้าตื่นแล้วจะไม่หลับ ตื่นแล้วต้องทำโน่นทำนี่ไปเลย ก็เป็นเรื่องสิขอรับ...! ตื่นตั้งแต่เที่ยงคืน แล้วจะทำอย่างไร ? ทั้งที่พยายามเข้าใจว่าธรรมเนียมบ้านเขาน่าจะปลุกกันตอนดึกเพื่อหาเพื่อนได้ แต่บ้านกูไม่มี...! โดยเฉพาะนี่เป็นโรงแรม อาตมารับประกันได้ว่าถ้าโรงแรมหรือรีสอร์ทไหนปล่อยให้คนมาเคาะประตูเรียกแขกกลางดึก มึงเจ๊งแน่นอน..! โดนเข้าแบบนี้คงไม่มีใครเข้าไปพักหรอก"

เถรี 02-12-2019 22:02

"ตื่นแล้วทำอย่างไร ? ก็นั่งภาวนาสิครับ ไม่มีอะไรจะทำ ตกลงว่ากรรมฐานที่ต้องทำทั้งวันก็เล่นเสียตั้งแต่เที่ยงคืนไปยังสว่าง โยมบางคนถามว่า ไปอย่างนั้นยังต้องไปปฏิบัติธรรมอีกหรือ ? อย่าลืมว่าอยู่นอกสถานที่ซึ่งเราคุ้นเคย ยิ่งอยู่นอกสถานที่ซึ่งเราคุ้นเคย ยิ่งต้องระมัดระวังให้มาก โดยเฉพาะในส่วนของเจ้าที่เจ้าทางหรือบรรดาท่านที่มาขอส่วนกุศลก็ตาม

บางคนไปแล้วบอกว่านอนไม่หลับ รู้สึกหงุดหงิดไม่สบายตัวอยู่ทั้งคืน ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าผีพยายามจะขอบุญ คราวนี้เขาขอแล้วไม่ได้ก็ตื๊อไปเรื่อย พอเขาไม่ไป เราเองสัมผัสพลังได้แต่มองไม่เห็น ก็นั่นแหละ...ทำให้นอนไม่หลับ ตาค้างไปเถอะ เพราะฉะนั้น..ยิ่งไปที่อื่น อาตมายิ่งต้องปฏิบัติธรรมมากกว่าอยู่ในวัดอีก
จึงใส่เสียเต็มที่เลย"

เถรี 02-12-2019 22:07

"เก็บข้าวเก็บของ รอเวลาเดินทาง ทีนี้เวลาเดินทางในที่อย่างนั้น มีอย่างหนึ่งที่ลืมไม่ได้เลยคือถุงเท้า อาตมาไม่ค่อยชอบใช้ถุงมือ เพราะว่าทำให้ถ่ายรูปไม่ถนัด แล้วก็พวกหมวกไหมพรมกันหนาวก็ไม่ค่อยใช้ ถ้าหากว่ามีก็ใช้แบบเสียไม่ได้ แต่ว่าถุงเท้านี่จะไม่ลืม อย่างไรก็ต้องใส่ถุงเท้าให้เท้าอุ่นไว้ก่อน

แต่งเนื้อแต่งตัวเรียบร้อย นั่งรอเวลาเขาเรียกไปกินข้าว เช้านี้เป็นข้าวต้มผัก...อนาถาแท้..! พวกเราเดินเข้าไปห้องอาหาร เขาจะมีบัตรอาหารให้ตั้งแต่ตอนเข้าพัก ก็ต้องเอาบัตรไปให้ทางพ่อครัว แล้วก็หยิบจานหยิบช้อนไปตักอาหารกันเอง กำลังกินเพลิน ๆ พ่อครัวเขามาเดินจี้ถาม "Two more ?" อีกสองคนอยู่ไหน ? พวกไปนั่งกินแล้วไม่เอาบัตรให้เขา ไม่เอาบัตรให้เขาแล้วเขาจะเก็บเงินกับใคร ? จึงต้องมาไล่นับคน แล้วก็นับบัตรในมือ บัตรหายไปไหน ๒ ใบ ? จึงมาตามทวง เจ้าตัวกว่าจะรู้ตัวก็กะเรี่ยกะราด ต้องรีบเอาบัตรให้เขา กินจนจะอิ่มอยู่แล้ว บางอย่างก็เป็นอะไรที่ตลกดีเหมือนกัน

เสร็จแล้วอาตมาก็วิ่งขึ้นไปเข้าห้องน้ำที่ห้องตัวเองเหมือนเดิม ปรากฏว่าลงมาโยมเขาชี้ให้ดู ห้องน้ำอยู่ข้างประตูเข้าครัวนั่นเอง ด้วยความที่ไม่คิดว่าเขาจะมีห้องน้ำให้ เพราะว่าปกติเขาไม่ค่อยมี มีแต่ในห้องพัก อุตส่าห์ขึ้นไปยังชั้น ๓ ทั้ง ๆ ที่อากาศไม่พอหายใจ ตะกายขึ้นไปเข้าห้องน้ำ หนอยแน่ะ...! ดันมีอยู่ข้างหน้าครัวนั่นเอง"

เถรี 02-12-2019 22:11

"วันนี้เราต้องเดินทางย้อนกลับเส้นทางเดิมเกือบทั้งหมด เพื่อที่จะแยกไปเมืองซินตูเฉียว ในเมื่อย้อนกลับก็เจอสิ่งเดิม ๆ อย่างเช่นว่าด่านตำรวจ ไปประเทศจีนงวดนี้ ๑๐ วัน เจอด่านตำรวจแทบไม่ต้องนับ มีด่านเดียวที่ขึ้นมาตรวจ ที่เหลืออากาศหนาวมาก เลยไม่ออกมาจากที่ทำการมาให้หนาว

ส่วนที่ขึ้นมาก็ใช้วิธีให้เราถือพาสปอร์ตไว้ แล้วก็เอาโทรศัพท์มือถือไล่ถ่ายทีละคน เอาข้อมูลไป แล้วก็ไปดูว่าตรงกับเอกสารที่ทางด้านเจ้าของรถถ่ายเอกสารให้หรือเปล่า อาตมาเห็น "หัวเหว่ยโปร" ด้วย เจ้าหน้าที่จีนเขาใช้"

เถรี 02-12-2019 22:18

"ของอย่างหนึ่งที่อยากจะแนะนำญาติโยม สองอย่างก็ได้ ถ้าไปที่หนาวแบบนี้นะ ให้พกพวกโลชั่นหรือยาอะไรที่ทาผิวไปด้วย เพราะว่าอาตมานี่ผิวแตกเป็นขุย คันไปทั้งตัวเลย อาศัยโยมที่เขามีอยู่ ได้ทาแล้วค่อยดีขึ้นมาหน่อยหนึ่ง

อีกอย่างหนึ่งก็คือพวกวาสลีนที่เขาทาปาก อาตมาปากแตกยับเยินเลย ไม่ได้ปากแตกเฉย ๆ นะ จมูกก็แตกร้าวหมด ที่แน่ ๆ ก็คือในรูจมูกก็แตกเพราะว่าอากาศเย็นจัด เพราะฉะนั้น..ต้องเอาไปให้มากที่สุดเท่าที่ทางสายการบินเขาอนุญาต เนื่องจากต้องใช้จริง ๆ อาตมานี่ขนาดใช้วาสลีนล้วงเข้าไปในรูจมูกเลยนะ เพราะว่าจมูกข้างในแตก เจ็บไปหมด

ญาติโยมเคยไปที่หนาวมาแล้ว หลายคนจะมีของพวกนี้ติดตัวเป็นปกติ อาตมาก็เลยได้โอกาส เพราะว่าปกติแล้วพระเราห้ามใช้ของพวกนี้ เนื่องจากว่าเป็นพวกเครื่องหอมเครื่องย้อมเครื่องทา แต่ปรากฏว่าในบาลีท่านก็มีข้ออนุญาตพิเศษให้ว่า ยกเว้นเจ็บไข้ คราวนี้อาตมาป่วยไข้แน่นอน เพราะว่าหนาวจนแตกลายไปทั้งตัว จมูกนี่แตกเป็นเกล็ดเลย จึงจำเป็นต้องใช้ ไปขอโลชั่นของโยมมาทา พอรูดลงไปก็หายวับไปเลย เนื่องจากผิวแห้งจนเป็นขุย สรุปก็คือโยมพกโลชั่นไปกะว่าพอใช้จนถึงวันกลับ อาตมาแย่งใช้ไปเสียครึ่งหนึ่ง"

เถรี 02-12-2019 22:20

"ของบางอย่าง ถ้าไม่มีประสบการณ์เราก็ไม่รู้ว่าจำเป็น ใครจะไปนึกว่าหนาวจนปากแตกร้าวหมด เจ็บจนกระทั่งเลือดซิบ ๆ บางคนอาจจะคิดว่าร้ายแรงขนาดนั้นเชียวหรือ ? ขอยืนยันว่าร้ายแรงขนาดนั้นจริง ๆ เผลอสั่งน้ำมูกแรง ๆ เลือดก็ออก เพราะว่าในจมูกก็แตก เพราะฉะนั้น..ถ้าใครได้ไปก็เตรียมตัวเอาไว้ว่าจะต้องเจอเหตุการณ์แบบนี้"

เถรี 02-12-2019 22:30

"ถ้าตามที่บันทึกเอาไว้ วันที่ ๒๐ วันอาทิตย์ อากาศลบ ๕ องศาเซลเซียส...น่าชื่นใจนะ ถ้าอาตมาอยู่เมืองไทยคงหนาวตาย อยู่ที่โน่นอาศัยบารมีเจ้าที่...ยืดได้ ไม่เป็นไร

คราวนี้พอเราวิ่งย้อนทางเก่า ก็จะไปพักถ่ายรูปบริเวณที่เดิม ๆ ของเรา ก็มีภูเขากระต่าย ภูเขาลูกนี้ที่ชื่อภูเขากระต่าย เพราะว่ามีหิน ๒ ก้อนที่ยื่นขึ้นไปในอากาศ เหมือนอย่างกับหูกระต่าย เมื่อคืนหิมะตกหนัก ตอนนี้ที่ภูเขากระต่ายก็กำลังสวยเลย พวกเราจึงลงไปถ่ายรูป ทั้ง ๆ ที่สายมากแล้ว กว่าจะไปถึงประมาณ ๘ - ๙ โมง แดดกำลังจัด แต่ปรากฏว่าภูเขากระต่ายยังอากาศ ๑ องศาเซลเซียสอยู่เลย จากลบ ๕ องศาเซลเซียส เจอแดดมาก ๆ เข้าก็โผล่ขึ้นมาที่ ๑ องศาเซลเซียส"

เถรี 02-12-2019 22:35

"มีอยู่อย่างหนึ่งที่หัวเราะไม่ออก ร้องไห้ไม่ได้ ก็คือพวกเราเจอหิมะก็วิ่งไปเล่นกัน ขณะที่เจ้าของที่เจอหิมะเขาเดินหนีเพราะว่าหนาว ส่วนพวกเราเวลาเจอแดดก็จะหลบอยู่ในร่มหรือไม่ก็กางร่ม ส่วนเขาเจอแดดก็เดินอาบแดดกัน

ประเทศของเขา ถ้าช่วงหิมะตก บางทีเป็นอาทิตย์ ๆ ที่ไม่ได้เจอแดดเลย จึงกลายเป็นว่าพวกเราก็ไปเล่นหิมะ ไปถ่ายรูป ไปวัดรอยเท้าตัวเอง เวลาหิมะตกหนาหลาย ๆ นิ้ว เหยียบลงไปจะได้เห็นว่ารอยเท้าตัวเองใหญ่เท่าไร หน้าตาเป็นอย่างไร แต่อาตมาเหยียบเสร็จแล้วถ่ายรูปขึ้นมายังแปลกใจ ว่าทำไมรอยเท้าไม่ยุบ กลายเป็นรอยนูน ๆ ไปก็ไม่รู้ ? สงสัยว่าตอนชักเท้าหิมะวิ่งตามรองเท้าขึ้นมา"

เถรี 02-12-2019 22:38

"คราวนี้ความเป็นพระของเราทำให้ต่างจากชาวบ้าน คุณจะลงไปที่ไหนก็ตาม กล้องของพวกนักท่องเที่ยวจะหันมาหาพระเสมอ แอบถ่ายบ้าง ถ่ายตรง ๆ บ้าง เข้ามาขอถ่ายรูปด้วยบ้าง ถ้าเป็นพวกฝรั่งก็มักจะแอบถ่าย เพราะกลัวว่าเราจะไปขอเงิน ก็คือเขาโดนจนเข็ดว่าถ่ายรูปชนพื้นเมืองแล้วมักจะมาขอค่ารูป โดนไปคนละ ๓ ดอลลาร์ ๕ ดอลลาร์ เขาก็เบื่อ บางแห่งไปเจอพระ ขอถ่ายรูปด้วยบางทีก็โดนเก็บเงิน

อย่างอาตมาไม่ค่อยปฏิเสธหรอก ถึงเวลาขอถ่ายรูปก็เอา บ้าตามกัน..! โยมบางคนก็ไม่รู้จักพระ มาถึงก็กอดคอเลย คงจะเห็นว่าแต่งตัวแปลกดี"

เถรี 02-12-2019 22:41

"หิมะตกใหม่ ๆ อาตมาเองแรก ๆ ก็ไม่ได้คิดอะไร ตอนหลังรู้สึกเจ็บตา ก็ยังคิดว่าเป็นปกติ เพราะว่าตาเคยเป็นต้อมา ไม่รู้ว่าแสงอาทิตย์ที่สะท้อนหิมะทำร้ายสายตาได้ขนาดนี้ อาตมานั่งน้ำตาไหลไป ๒ วัน วันที่ ๓ ต้องเอาแว่นกันแดดมาใส่ อาการจึงค่อยเบาลงไปหน่อยหนึ่ง

ในบางจุดที่เราไปเที่ยว ถ้ามีแว่นกันแดดไว้แล้วจะปลอดภัย อาตมาเองไม่ถนัดที่จะใส่แว่นกันแดด เพราะว่าบรรยากาศไม่เหมือนกัน ใส่แล้วเดินไม่ถนัด อีกทั้งแว่นกันแดดอย่างเดียวก็ช่วยอะไรไม่ค่อยได้ ต้องกันลมได้ด้วย ก็คือต้องเป็นแว่นที่ปิดด้านข้างด้วย

สรุปว่าต้นทางก็แวะถ่ายรูปเป็นระยะ ๆ เจอหมาก็เลี้ยงหมา เจอวัวก็เลี้ยงวัว ไปที่ไหนผูกมิตรกับเจ้าถิ่นเขาไปหมด จะนกจะหนูอะไรมาก็เลี้ยงหมด"

เถรี 02-12-2019 22:48

"คราวนี้เราย้อนกลับมาถึงตรงจุดซึ่งมีร้านขายของที่ระลึกที่เป็นหลักเป็นฐานเป็นงานเป็นการ ตรงนั้นชื่อไห่ชี่ซาน มีทะเลสาบใหญ่อยู่ด้วย แต่อาตมาเดินไปไม่ถึง มีโยมหลายคนเดินไปถึง ที่เดินไปไม่ถึง เพราะ ๒ สาเหตุด้วยกัน สาเหตุแรกก็คือมัวแต่เลี้ยงหมาทิเบต

หมาทิเบตันมาสตีฟ เป็นหมาพื้นเมืองทิเบตเขา ตัวใหญ่ ๆ ขนยาว ๆ ตัวนี้อาตมาเรียกว่า "ไอ้มึน" เหตุที่เรียกไอ้มึนเพราะว่าเขาตีหน้าบื้ออยู่อย่างเดียว มีอะไรให้ก็กิน ถ้าไม่มีก็เฉย ของที่เลี้ยงก็คือเนื้อจามรี ตั้งใจจะซื้อมาเป็นเสบียง ส่งไปเท่าไรก็หายวับ ท้ายสุดเจ้าของเนื้อต้องประท้วง บอกว่าถ้าขืนเลี้ยงหมาหมด เขาก็จะอดแล้วนะ

ส่วนเรื่องที่น่าสงสารคือวัวทิเบตกินแอปเปิ้ลไม่เป็น ส่งให้ก็ไปอมขลุก ๆ อยู่ทั้งลูก ท้ายสุดก็คายออกมาทั้งลูก ถ้าเป็นวัวควายบ้านเรานี่ ลูกใหญ่กว่านั้นก็เคี้ยวกระจายหมดแล้ว"

เถรี 02-12-2019 23:01

"พวกเราผ่านไห่ชี่ซานไป ถ่ายรูปกับทะเลหมอก ส่วนตลอดทางเป็นสิ่งที่น่าสนใจมาก เพราะว่าทางเขาคดเคี้ยว เลาะไปตามภูเขา ส่วนใหญ่ก็เลียบแม่น้ำ ฉะนั้น...ถ้าหากว่าก่อสร้างไม่ดี หน้าน้ำก็มักจะโดนเซาะถล่มไปด้านหนึ่ง

ผ่านเมืองซางตุยที่ขามาไม่ได้แวะ แต่ขากลับเขาแวะให้เราไปดูเขตพื้นที่ชุ่มน้ำของเขา ข้อมูลของเขาบอกว่ามีอยู่ทั้งหมด ๓,๐๐๐ กว่าตารางกิโลเมตร แสดงว่าใหญ่มาก แต่จุดที่เขาแวะให้เราลงไปดูนั้นเป็นทุ่งหญ้าสีแดง เขาบอกว่าช่วงนี้เป็นฤดูหนาว ก็เลยสีซีดลงมาหน่อย ถ้าเป็นหน้าฝนหรือหน้าร้อนจะแดงจัดกว่านี้ แต่ปรากฏว่าอยู่แถวนั้น จะไปตั้งหน้าตั้งตาถ่ายรูปไม่ได้ เพราะว่าเป็นสะพานที่เขาให้เดินชมธรรมชาติ แล้วไม่มีราวกั้น

คนจีนเวลาเดินเขาไม่เกรงใจใคร ถ้าเขาเดิน ๒ คน เขาจะเดินเคียงกันไปเต็มถนนเลย แต่ถ้าเราเดินแบบนั้นเขาจะกระแทกเลย ฉะนั้น..เวลาอยู่ที่นั่นต้องหัดความโหดเอาไว้บ้าง ถึงเวลาก็กระแทกโครม ไม่อย่างนั้นเราจะโดนอยู่ฝ่ายเดียว ในคณะของเราโดนคนจีนผลักบ้าง กระแทกบ้าง หลาย ๆ ครั้งเข้าก็ชักโมโห ต้องเอาคืนบ้าง"

เถรี 02-12-2019 23:09

"ไปถึงทุ่งหญ้าแดงก็ประมาณ ๑๑ โมงแล้ว นอกจากแวะถ่ายรูป แวะเข้าส้วมแล้ว พยายามไปเดินดูพวกข้าวของ โดยเฉพาะหาตุ๊กตาจามรี ที่นั่นมีเหมือนกัน แต่เป็นตัวเล็ก แล้วก็ฝีมือก็ไม่ละเอียด จึงไม่ได้ซื้อไม่ได้หา ได้แต่ดูเฉย ๆ

จากตรงจุดนั้น รถวิ่งต่อไปอีก ๒๐ นาทีก็ถึงเมืองหลักเมืองหนึ่งของเขา คือ เมืองเต้าเฉิง คุณตั้วพาไปเข้าภัตตาคาร บอกว่าวันนี้เลี้ยงหม้อไฟ เป็นภัตตาคารหม้อไฟโดยเฉพาะ ทุกโต๊ะจะมีเตาอยู่ตรงกลาง แล้วจุดด้วยระบบดิจิตอล
กดปุ่มอย่างเดียว เข้าไปถึงเขาก็พาไปดูเครื่องปรุง นี่คือน้ำตาล นี่คือพริก นี่คือพริกไทย นี่คือผงชูรสล้วน ๆ เขาก็ว่าของเขาไป

ส่วนสารพัดผักของเขามีให้เป็นเข่งใหญ่ ๆ จะกินอะไรคุณตักกันไปเอง พวกเราก็ล้อมเป็น ๒ โต๊ะเหมือนเดิม ส่วนใหญ่ก็เลข ๖ กับเลข ๙ เขาเรียกโต๊ะสายแข็งกับโต๊ะสายอ่อน ปราฏว่าหม้อไฟที่เขายกมาให้เป็นกระดูกหมู พวกเราก็รู้สึกว่า ๖ คน กับกระดูกหมู ๕ - ๖ ชิ้นนี่ไปกันไม่ค่อยได้ จึงต้องมีการลงทุน "หม่าม้า" ไปสั่งเนื้อจามรีมาต่างหากอีก ๑ จานใหญ่ ๆ

พวกเราก็จัดแจงต้มเต้าหู้ มะเขือเทศ กับผักอีกสารพัด จนกระทั่งตักกินไปชามสองชามแล้ว อาตมาหันไปถามคนข้าง ๆ ว่า "ตกลงว่าเขาไล่ต้อนจามรีได้หรือยัง ?" ท้ายสุดคนสั่งต้องเดินไปถามพ่อครัว พ่อครัวเขาบอกว่ากำลังหั่นอยู่ แสดงว่าเขาจับจามรีได้แล้ว..! หายไปเป็นชั่วโมง คิดว่าไปไล่ต้อนอยู่กลางทุ่งโน่น

ปรากฏว่าเนื้อจามรีที่เขาส่งมาให้ มีทั้งเนื้อสดแล้วก็เนื้อแช่แข็ง รสชาติต่างกันเหมือนฟ้ากับเหวเลย เนื้อสดนี่จุ่มลงไป ๓ วินาทีขึ้นมา เนื้อนุ่มจนแทบจะละลายคาปาก ส่วนเนื้อแช่แข็งมานี่เหนียวเด้งดึ๋ง ๆ เลย ใครที่กินจิ้มจุ่มบ่อย ๆ คงจะนึกออกว่าที่อาตมาพูดนั้นเป็นอย่างไร"

เถรี 02-12-2019 23:43

"มีอยู่อย่างหนึ่งที่พวกเราควานหากัน ก็คือเห็ดมัตสึตาเกะ เห็ดนี้มีชื่อเสียงที่ญี่ปุ่น ก็เลยจำชื่อญี่ปุ่นกัน ต้องบอกว่าเป็นเห็ดชูรส ใส่ลงไปในอะไรก็อร่อยไปหมด แต่คราวนี้หม้อไฟเดือดพล่าน แล้วในมือของเราก็มีแค่ตะเกียบ ก็เลยต้องเป็นคนมือไว พอเห็นปุ๊บคีบปั๊บ ไม่อย่างนั้นกว่าจะโผล่มาก็ ๖ ล้านปีข้างหน้า..! นี่พูดถึงสัตว์นรกที่ตกหม้อทองแดงนะ จมลงไปจนกระทั่งโผล่ขึ้นมานี่ผ่านไป ๖ ล้านปีแล้ว

ทางด้าน Eric มัคคุเทศก์ของเราก็ยุว่า กินเยอะ ๆ วันนี้ต้องใช้แรงมาก เขาก็ไม่บอกว่าใช้แรงมากเพื่อทำอะไร ปรากฏว่าหลังอาหาร เขาพาไปไหว้พระสถูปประจำเมืองเต้าเฉิง เขาเรียกว่าพระสถูปสีขาว บริเวณนั้นเป็นแหล่งเที่ยว เป็นแหล่งออกกำลังกาย

แต่ว่าตรงจุดพระสถูปที่อยู่บนเนินนั่นเป็นที่ไหว้พระ แล้วก็เดินจงกรมกัน คนทิเบตเขาไปเดินกัน ๑๐๘ รอบ อาตมาเองก็ตั้งใจจะเดินสัก ๙ รอบ เดินเร็ว ๆ ด้วย เพื่อที่จะวัดออกซิเจนว่า เมื่อออกกำลังกายแล้วมีเหลือเท่าไร จะได้รู้กำลังของตัวเอง ปรากฏว่าท้ายสุดต้องเดินไป ๑๐ รอบ เพราะว่าโยมดันไปร่วมเดินตอนรอบที่ ๒ ก็เลยต้องรอโยมเขาเดินให้ได้ ๙ รอบ ของอาตมาจึงกลายเป็น ๑๐ รอบ หน้าไหม้หมดเลย เพราะว่าโดนแดดส่องหน้าอยู่ตลอดเวลา แล้วแดดหน้าหนาวของที่นี่ก็จัดมาก"

เถรี 02-12-2019 23:50

"รอบแรกก็ไม่เท่าไรหรอก พอรอบสองนี่กล้องถ่ายรูปเริ่มมา พอรอบสามกล้องถ่ายรูปก็เยอะขึ้นเรื่อย ๆ รอบที่สี่รอบที่ห้านี่เขาเดินรอมุมกันเลย เอากล้องไปจ่อไว้รอให้อาตมาเดินผ่านตรงนี้ ซึ่งเขาเห็นว่าเป็นจังหวะที่ดีที่สุดแล้วก็ถ่าย อาตมาไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองไปลงเฟซบุ๊ก ไปลงอินสตราแกรมของใครไปเท่าไร รู้อยู่อย่างเดียวว่าอยู่ด้านไหนก็มีแต่กล้องรอบตัวไปหมด

สรุปว่าเดินเร็ว ๆ รอบพระสถูปใหญ่ ก็น่าจะกว้างกว่าบ้านเติมบุญนี้ไป ๑๐ รอบ มาวัดออกซิเจนแล้วยังเหลือตั้ง ๘๕ เออ...ออกแรงขนาดนี้ ออกซิเจนในเลือดยังมากพอที่จะสู้กับความสูงได้ เสร็จแล้วเขาก็ต้อนขึ้นรถ รถของเราไปจอดอยู่ในปั๊มน้ำมัน เป็นครั้งแรกเลยที่จอดในปั๊มน้ำมันอย่างเป็นทางการ เพราะว่าปกติพอเขาส่งเราแล้ว ก็จะไปเติมน้ำมันเติมอะไรของเขาที่ไหนเขาก็ไม่ได้บอกเรา แต่งวดนี้ปั๊มน้ำมันอยู่ข้างพระสถูปขาว พวกเราจึงได้อยู่ในปั๊มน้ำมันอย่างเป็นทางการ"

เถรี 02-12-2019 23:57

"เขาพาวิ่งไปประมาณ ๓ นาทีก็จอด บอกว่าพามาดูใบไม้เปลี่ยนสี เดินเข้าไปถึงแล้วเซ็งมาก เหลือแต่ก้านกับใบไม้แห้ง ๆ ทางด้าน Eric บอกว่า "This year winter early comes." เขาบอกว่าปีนี้ฤดูหนาวมาเร็วมาก ก็เลยทำให้ใบไม้เปลี่ยนสีเร็ว ทั้ง ๆ ที่เป็นต้นฤดู แต่ใบไม้ร่วงหมดแล้ว เขาถามว่าจะไปเดินดูรอบพื้นที่ไหม ? ไม่มีอะไรเหลือแล้วจะเดินทำไมวะ ? ตกลงถ่ายรูปหมู่กันรูปเดียว แล้วก็กลับขึ้นรถเดินทางต่อ

ทำเอาหัวหน้าทัวร์สีหน้าไม่ค่อยดีเหมือนกัน เพราะว่าเขาตั้งใจพาพวกเรามาถ่ายรูป แต่ธรรมชาติไม่ได้อย่างใจ"

เถรี 03-12-2019 00:00

"พอเราวิ่งย้อนไป มีวัดใหญ่อยู่วัดหนึ่ง คือ วัดรื่ออู่ เป็นวัดโบราณด้วย แต่ว่าพวกเราได้แต่จอดถ่ายรูปอยู่ข้างถนน เพราะว่าถัดจากข้างถนนไปก็เป็นแม่น้ำ ต้องข้ามแม่น้ำไปถึงจะเป็นวัดอยู่ฝั่งโน้น อากาศหนาวขนาดนั้นไม่มีใครอยากจะลุยน้ำ ก็เลยได้แต่ถ่ายรูปอยู่ทางฝั่งนี้

อย่าลืมว่าแต่ละจุดที่เราผ่าน ความสูงเกิน ๔,๐๐๐ เมตรทั้งนั้น ส่วนใหญ่ก็อยู่ระหว่างที่ ๔,๕๐๐ - ๔,๖๐๐ - ๔,๗๐๐ เมตร มีเต็มที่ตรงเสี้ยวจินนั่น ๖,๒๕๐ เมตร ถ้าใครปอดไม่ดี กรุณาเตรียมออกซิเจนกระป๋องไปด้วย"

เถรี 04-12-2019 18:50

"แถว ๆ นั้นมีสถานที่สวย ๆ ให้ถ่ายรูปเยอะ วิ่งไปประมาณ ๒๐ - ๓๐ นาทีก็จอดทีหนึ่ง ๒๐ - ๓๐ นาทีก็จอดทีหนึ่ง คราวนี้คนขับรถของเรา ไม่รู้จักพระ หรือว่ารู้จักแต่พระทิเบตก็ไม่รู้ ไปจอดตรงช่องเขาโปหวา สูง ๔,๐๐๐ กว่าเมตรเหมือนกัน เขาก็ลงไป พวกเราก็ถ่ายรูปบ้าง ซื้อของบ้าง สักพักคนขับรถกลับมาพร้อมกับส้มเต็มมือ จัดแจงแกะถวายพระ อาตมาปฏิเสธ แต่เขาไม่เข้าใจ ในเมื่อไม่เข้าใจ เอ้า..ก็ได้วะ..! ยังไม่ถึงบ่ายสองโมงก็กินให้เขาสักครึ่งซีก จะได้ไม่เสียกำลังใจ

แถวบริเวณที่เป็นจุดพักหรือจุดถ่ายรูป ทางการจีนเขาจะเอาหินก้อนใหญ่ ๆ ลักษณะดี ๆ ไปตั้ง แล้วก็สลักชื่อสถานที่และความสูงเอาไว้ เพื่อให้คนไปถ่ายรูป ถ้าทิวทัศน์ไม่เป็นใจ อย่างเช่นว่าหมอกลง หิมะตก ฝนตก อย่างน้อยก็มีป้ายก้อนหินให้ถ่ายด้วยได้"

เถรี 04-12-2019 18:52

"ไปขออนุญาตเขาเข้าห้องน้ำกลางทาง มีคนบอกว่าให้ตักน้ำในอ่างล้างหน้าราดให้ด้วย อาตมาเข้าไปก็เห็นเขาเปิดน้ำใส่อ่างล้างหน้าอยู่ มองลงไปข้างล่าง มีถังใหญ่ใส่น้ำอยู่เกือบเต็ม ก็เลยงง ๆ ว่าทำไมกูต้องตักในอ่างล่างหน้าวะ ? แต่ก็ทำตามคำแนะนำของเขา เขาบอกว่าให้ตักในอ่างล้างหน้าก็ตัก ลำบากชีวิตดีเหมือนกัน

ไม่เข้าใจว่าถังใหญ่เบ้อเร่ออยู่ข้างล่าง ตักไม่ได้หรืออย่างไร ? ก็ไม่มีป้ายอะไรห้าม บ้าก็บ้าวะ...! ไปไหนถ้าบ้าตามกันจะไปกันได้นาน เชื่อว่าพวกเราหลายคนคงไม่พาซื่อเหมือนกับอาตมา เขาบอกให้ตักในอ่างก็ตัก เราต้องเข้าใจว่าห้องน้ำของจีน ห้องน้ำของอินเดีย ห้องน้ำของพม่า จะมีทัศน
ภาพอุจาด ก็อย่างที่คุณบีเขาบอกว่า ถ้าอ่อนแอเกินไปก็ไปไม่ได้"

เถรี 04-12-2019 18:56

"คราวนี้จากจุดสุดท้ายที่เราตั้งเป้าในวันนี้ก็คือ เมืองรื่อหวา รื่อหวาที่ภาษาอังกฤษเขียน Riwa ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวจะอ่านว่าริวา ยังสงสัยว่าอาตมาไปที่เดียวกับเขาหรือเปล่า ? ส่วนใหญ่อาตมาไปไหน จะถามเจ้าถิ่นเขาว่าที่นี่เรียกว่าอะไร ? แล้วให้เขาออกเสียงให้เราฟัง ไม่อย่างนั้นแล้วภาษาอังกฤษเขียนอย่างหนึ่ง อ่านอีกอย่างหนึ่ง เจอแบบนี้เข้าก็ไปไม่เป็นเหมือนกัน

เข้าไปถึงเมืองรื่อหวา เขาพาไปจอดหน้าห้างสรรพสินค้า ห้างสรรพสินค้าชื่อ เต้าหยา หัวหน้าทัวร์เขาบอกว่า ให้หาซื้อเสบียงสำหรับมื้อกลางวัน ๒ วัน เพราะว่าเราจะต้องไปกินกลางทาง เนื่องจากว่า ๒ วันจากนี้มีแต่เดินกับเดิน ตอนเช้ากินที่โรงแรม ตอนเย็นถ้าใครกินก็กลับมากินที่โรงแรม แต่กลางวันต้องแบกไปกันเอง

ก็ปรากฏว่าสูตรใครสูตรมัน บางคนก็บอกว่าซื้อขนมปังไปทำแซนวิช บางคนก็ซื้อปีกไก่ น่องไก่ สารพัดเนื้อที่เขาทำสุกแล้ว ใส่ถุงสุญญากาศ อาตมาไปเจอข้าวกล่อง ไม่รู้จะเรียกว่าข้าวกล่องดีไหม ? บ้านเราใครเป็นลูกค้าข้าวกล่องซีพีบ้าง ? กล่องดำกล่องแดงอะไรพวกนั้น อาตมาเป็นลูกค้าประจำ ขนาดบางกล่องอาตมายังรู้สึกว่ามาก กินไม่ค่อยจะหมด

แต่ขอโทษ...ข้าวกล่องเมืองจีน กล่องหนึ่งหนักครึ่งกิโลกรัม..! พวกเราประมาณ ๓ หรือ ๔ คน ถึงจะกินหมด คราวนี้อาตมาทำอย่างไร ? เขาบอกว่า ๒ มื้อ ก็เลือกไป ๒ กล่อง เพราะว่าทางทัวร์เขาเป็นคนจ่าย ญาติโยมคนอื่น ๆ ก็อย่างว่า...สูตรใครสูตรมัน หาซื้อกันเอาเอง"

เถรี 04-12-2019 18:59

"อาตมาไปเดินดูทางซีกที่ขายของที่ระลึก โอ้แม่เจ้า...กงล้อมนต์อันเล็ก ๆ สำหรับแขวนคอ อันละ ๒๓๘ หยวน ซื้อไหวไหม ? ท้ายสุดก็เลยออกไปเดินข้างนอก เพราะว่าพวกเราซื้อของกันไม่เสร็จสักที

จำไว้เลยว่าเวลาไปกับผู้หญิง ต้องให้เวลาเขาซื้อของเยอะ ๆ ของอย่างเดียวกัน พลิกแล้วพลิกอีก คุยกันไม่เลิก ถามกันไม่เลิก ซื้อกันไม่ได้สักที

อาตมาเลยไปเดินดูของข้างนอก ไปเจอร้านขายของที่ระลึก ปรากฏว่าของอย่างเดียวกับที่ข้างในขาย ๓๐๐ กว่าหยวน ๑๐๐ กว่าหยวน ข้างนอกขาย ๓๘ หยวน ๕๘ หยวน ตกลงว่าจะซื้อของใครดี ?"

เถรี 04-12-2019 19:05

"พอย้อนกลับมา มีรถจะเลี้ยวเข้าซอย แต่เลี้ยวไม่ได้ เพราะว่ามีนักเลงดีจอดส่งของหน้าร้านซูเปอร์มาร์เก็ต จอดปิดถนนเลย รถของเราที่ไปกลับรถมา ก็จ่อท้ายเขาต่อ แล้วก็มีคันอื่นจ่อท้ายรถเราอยู่อีก รถที่จะเข้ามาก็ทิ่มหัวเข้ามา ก็เป็นอันว่าติดกันอีรุงตุงนัง ไม่ต้องไปบีบแตรไล่ คนส่งของประเทศจีนอุเบกขาดีมาก อยากบีบก็บีบไป กูส่งไม่เสร็จ..กูไม่ไป

จนกระทั่งท้ายสุดเขาส่งของเสร็จ ก็ครึ่งค่อนชั่วโมงผ่านไป เขาดันไปโบกมือไล่รถที่ทิ่มหัวเข้าซอยมา ประมาณว่าตัวเองจะออก ส่วนรถที่ทิ่มหัวเข้าซอยมา ท้ายเป็นถนนใหญ่ ก็มีแต่รถวิ่งไปวิ่งมาเยอะแยะ แต่เอ็งถอยออกไปก่อน ข้าจะได้ออกได้...เข้าท่าดีเหมือนกัน

ถ้าเป็นบ้านเรา สงสัยว่าจะถือขวานลงมาไล่ทุบกัน..! ท้ายสุดรถที่เลี้ยวเข้ามาต้องยอมเสียสละ ถอยออกไปเสี่ยงดวงข้างนอกเอา พอถอยพ้นไป รถในซอยก็ค่อย ๆ ทยอยออกไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งหมดซอย คันนั้นถึงมีโอกาสกลับเข้าบ้าน น่าสงสารมาก"

เถรี 04-12-2019 19:09

"พวกเราวิ่งออกไปนอกเมืองไปที่พัก ที่พักคืนนี้ชื่อแปลเป็นภาษาไทยว่า แดนหิมะ บอกให้รู้เลยว่าหนาวแน่ ระหว่างที่รอกุญแจอยู่ Eric ที่เป็นมัคคุเทศก์ก็ไปยกแผนที่มา ชี้ให้ดูว่าพรุ่งนี้คุณจะต้องนั่งรถเท่านี้กิโลเมตร ลงไปเดินเท่านี้ แล้วมาขึ้นรถ แล้วนั่งอีกเท่านี้กิโลเมตร พวกเราก็ "Yes" "Yes, Ok" กันไปเรื่อยเปื่อย นึกสภาพไม่ออกว่าสถานที่หน้าตาเป็นอย่างไร

Eric เป็นมัคคุเทศก์ที่ต้องบอกว่าเก่งภาษาอังกฤษมาก ๆ แต่บางคำที่เขาพูดต้องบอกว่าฟังยาก ไอ้ fifteen สิบห้า ของเขา เราจะฟังเป็น fifty ห้าสิบ ยันเตเลย พอ ๆ กับนีม่าซึ่งเป็นมัคคุเทศก์ที่ทิเบต นีม่าจะออกเสียง Sometimes บางเวลา เป็น Sametime ตลอด

แล้วอย่างหนึ่งของ Eric ที่พวกเราได้ยินแล้วฮากันทุกที ก็คือเวลาถามอะไรเขาจะบอกว่า I’m not sure. ทำไมพวกมัคคุเทศก์ถอดแบบกันมาหมดเลยวะ ? โดยเฉพาะคาชาน ฟารุก ที่ปากีสถาน ขึ้นต้นด้วยคำว่า I’m not sure. ตลอด แล้วตกลงว่ากูจะได้ข้อมูลที่แน่นอนอะไรจากมึงบ้างไหม ?"

เถรี 04-12-2019 19:12

"ปรากฏว่าคืนนี้ที่เมืองรื่อหวา ความสูง ๓,๘๐๐ เมตร อาตมานอนไม่หลับ เพราะว่าหนาวไม่พอ อากาศแค่ ๑๗ องศาเซลเซียส โห...เป็นอะไรที่อนาถชีวิตมากเลย ๑๗ องศาเซลเซียส ร้อนจนนอนไม่หลับ เพราะว่าวันอื่นติดลบตลอด อาตมาเปิดประตู เปิดหน้าต่าง เปิดอะไรทุกอย่างแล้ว ก็ไม่หนาวพอที่จะนอน ท้ายสุดต้องถอดเสื้อกันหนาวออก ๑ ตัว เอาผ้าห่มกันหนาวออกอีก ๑ ชั้น เออ...ค่อยนอนได้ ไม่อย่างนั้น เตรียมการเต็มที่เหมือนทุกคืน ก็คือผ้าห่ม ๒ ชั้น เสื้อกันหนาว ๒ ตัวถึงจะนอนได้ ปรากฏว่าเจออากาศ ๑๗ องศาเซลเซียสเข้า ถ้าพูดภาษาชาวบ้านก็คือ แทบจะแก้ผ้านอน..!

เล่าให้ญาติโยมฟัง ญาติโยมก็สงสัยว่า จะจำอะไรนักหนา ก็แค่นึกย้อนหลังไปว่าเราผ่านอะไรมาบ้าง ถ้าภาษาพระเรียกว่า อตีตังสญาณ ถ้าคนที่มีสติสมาธิมั่นคง จะนึกย้อนไปได้เป็นวัน เป็นเดือน เป็นปี เป็นชาติ หรือเป็นหลาย ๆ ชาติก็ได้"

เถรี 04-12-2019 19:17

"จะว่าไปแล้ว เรื่องพวกนี้จริง ๆ แล้วเป็นธรรมชาติ ถ้าสติสมาธิดีก็จะระลึกได้มาก ถ้าสติสมาธิไม่ดีก็จะระลึกได้น้อย หรือลืมง่าย กลายเป็นคนขี้ลืม

ในส่วนนี้ถ้าใครไม่อยากเป็นอัลไซเมอร์ คือเป็นโรคสมองเสื่อม ก็ให้ทำสมาธิเข้าไว้ จะช่วยได้มาก ถึงเวลาก็นึกย้อนหลังไป ไล่ไปแบบการปฏิบัติธรรมที่อาตมาแนะนำ จนกระทั่งย้อนไปอยู่ในท้องแม่ แล้วก็ดูว่าค่อย ๆ โตขึ้นมา ค่อย ๆ คลอดออกมา แต่ละวันมีความสุขบ้างไหม ? มีแต่ความทุกข์อยู่ตลอด นั่นของเราแค่ชาตินี้ ถ้าระลึกย้อนหลังไปอีก ก่อนเข้าท้องแม่เรามาจากไหน ก็จะไปได้เรื่อย ๆ

ในพระไตรปิฎก มีผู้ที่สามารถระลึกชาติได้โดยไม่จำกัด คือพระพุทธเจ้า พระโมคคัลลานะ พระสารีบุตร พระมหากัสสปะ นางภัททากัจจานาหรือนางยโสธราพิมพา ส่วนอื่น ๆ ท่านระลึกได้ก็จำกัด อย่างเช่นว่าบางคนก็ได้แสนชาติ บางคนก็ได้ ๑ กัป ๒ กัป ๕ กัป ๑๐ กัป ๑๐๐ กัป เหล่านี้เป็นต้น ท่านได้ไม่เท่ากัน มีที่ได้ไม่จำกัดอยู่แค่ไม่กี่ท่าน เขาเรียกว่าอภิญญาใหญ่ บาลีเขาใช้คำว่า มหาอภิญญา"


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:25


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว