![]() |
ถาม : จาคานุสติกับทาน ต่างกันอย่างไรครับ ?
ตอบ : คิดให้กับลงมือให้ ถ้าแค่คิดเป็นจาคานุสติ ถ้าลงมือให้เป็นทานบารมี ถาม : ถ้าให้ทานโดยไม่ลังเล เห็นหน้าแล้วให้เลย ถือว่ามีจาคานุสติอยู่ไหมครับ ? ตอบ : มี..แสดงว่าจาคานุสติเต็มที่พร้อมที่จะสละออก ทานบารมีก็มีเพราะว่าลงมือทำแล้ว |
ถาม : เวลาที่เราเอาดวงแก้วมาไว้ข้างในกาย แล้วเราเห็นร่างกาย บางทีก็รู้สึกสกปรกโสโครก แต่ว่าไม่ใช่ของจริง แต่ก็ใช้ได้ คือเรารู้สึกสงัดกับอารมณ์นี้ อย่างนี้คือวิปัสสนาหรือสมถะครับ ?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับตัวเราตอนนั้นว่าเราคิดอย่างไร ? ถ้าสภาพจิตยอมรับว่าแท้จริงเป็นเช่นนี้ ก็เป็นวิปัสสนาญาณ ถ้าไม่ใช่ก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งของสมถะในกายคตานุสติกรรมฐานเท่านั้น วิปัสสนาญาณจะเป็นได้ก็ต่อเมื่อใจยอมรับ เพราะคำว่า “วิ” คือ วิเศษ แจ้ง ต่าง “ปัสนา” ก็คือการเห็น การเห็นอย่างวิเศษคือเห็นแล้วยอมรับ |
ถาม : ถ้าเกิดว่าเราทำธุรกิจ แล้วต้องการที่จะเอาชนะคู่แข่ง จะบาปไหมครับ ?
ตอบ : อยู่ที่ว่าเรามุ่งร้ายเขาหรือเปล่า ? ถ้าจะทำลายเขาก็ประกอบไปด้วยวิหิงสาวิตก ตรึกในการพยาบาทผู้อื่น ก็แปลว่านรกรออยู่ ถาม : ถ้าเราไม่พยาบาทผู้อื่น แต่ว่าหลักก็คือ เราต้องกินปลาเล็กละครับ ? ตอบ : แล้วทำไมต้องกินปลาเล็ก ? สนับสนุนปลาเล็กให้โตด้วยกันไม่ได้หรือ ? |
ถาม : หนูไปฝึกกสิณสีขาวมาค่ะ หนูไม่แน่ใจว่าต้องทำอย่างไร ?
ตอบ : ลืมตามอง หลับตานึกถึง สมมติว่ากระดาษขาวแผ่นหนึ่ง ลืมตามอง หลับตานึกถึง เราจะเห็นได้แค่แวบ ๆ หนึ่ง พอหายไปก็ลืมตามองใหม่ หลับตานึกถึง พร้อมกับคำภาวนา “โอทาตกสิณัง...โอทาตกสิณัง” ซึ่งถ้าว่าบาลียาก ก็ว่า “สีขาว....สีขาว” ในใจเหมือนกัน ว่าไปเรื่อย ๆ อาจจะเป็นแสน ๆ ครั้ง คราวนี้ภาพนี้จะเริ่มชัดขึ้นเรื่อย ๆ จะชัดจนเหมือนตาเห็น หลับตาก็เห็น ลืมตาก็เห็น คราวนี้ก็ไม่ต้องใช้ภาพของจริงแล้ว เราก็แค่นึกถึงแล้วภาวนาไว้ตลอด จะหลับจะตื่น ก็นึกถึง |
ถาม : เรื่องสีตามวัน ?
ตอบ : วันอาทิตย์สิทธิโชคโฉลกดี......ให้ใช้สีแดงทรงเป็นมงคล เครื่องวันจันทร์นั้นควรสีนวลขาว..........จักยืนยาวชันษาสถาผล อังคารช่วงม่วงงามสีครามปน.............เป็นมงคลอดิเรกอุดมดี เครื่องวันพุธสุดจะดีด้วยสีแสด............กับเหลือบแปดปนประดับสลับสี พฤหัสทรงเครื่องเขียวเหลืองดี............วันศุกร์สีเมฆหมอกออกสงคราม วันเสาร์ทรงเครื่องดำจึงล้ำเลิศ............แสนประเสริฐเสี้ยนศึกจะนึกขาม สรุปว่าไม่ตรงกับตำราที่เรารู้ ปัจจุบันนี้ก็อาทิตย์สีแดง จันทร์สีเหลือง อังคารสีชมพู พุธสีเขียว พฤหัสสีแสด ศุกร์สีฟ้า เสาร์สีม่วง พวกนี้ตอนอาตมาเรียนมาก็คนละอย่างกัน |
สมัยนั้นเขาว่า
สัปดาห์หนึ่งนั้นมี..................จำให้ดีมีเจ็ดวัน สีแดงนั้นวันอาทิตย์................เหลืองจับจิตคือสีวันจันทร์ วันอังคารสีสวยงาม.................สมนามคือสีชมพู พุธนั้นดูเขียวขจี....................พฤหัสบดีเป็นสีน้ำเงิน (ไปคนละทิศแล้วนะ) วันศุกร์สวยเกิน.....................มองเพลินเป็นม่วงงามขำ เสาร์สีดำจำเอาไว้...................ท่องให้ขึ้นใจอย่าได้ลืมเอย แค่ช่วงอาตมาเรียนหนังสือมาจนถึงเดี๋ยวนี้ยังเพี้ยนไปตั้งเยอะแล้ว เพราะฉะนั้น..อย่าไปถือสาหาความอะไรมากมาย ถ้าโบราณหนักเข้าไปอีก รวิสิทธิด้วยอาภรณ์....................งามพิจิตรอลงกรณ์ ก่องแก้ว ทรงแสงธนูศรลีลาศ..................เสด็จสู่สงครามแผ้วผ่อง พ้นไพรี จันทรวารภูษณพื้นโขมพัสตร์..........กรกลึงดาบขัดเพริศแพร้ว ฯลฯ ไปคนละทิศเลย อย่าไปเอาเรื่องเอาราวอะไรมากนัก |
ถาม : ทำไมเขาสีดำเป็นสีไม่เป็นมงคลคะ ?
ตอบ : โบราณเขาถือว่าเป็นการแช่งตัวเอง คราวนี้ถ้าใส่แล้วสบายใจก็ใส่ไปเถอะ เห็นสาวบางคนใส่ดำทั้งตัวแล้วกลับดูเด่น เพราะว่าเขาขาว |
ถาม : หนูนั่งสมาธิ แล้วมีความคิดแวบออก ก็รู้สึกว่า เอ๊ะ..นี่ไม่ใช่ความคิดเรา หนูก็ดูว่าความคิดไม่ใช่ของเรา หนูก็มองมัน ?
ตอบ : เป็นความชำนาญของใจ อย่าไปสนใจว่าเป็นเราหรือไม่เป็นเรา ให้ดึงความรู้สึกทั้งหมดกลับมาที่ลมหายใจใหม่ ถ้ามัวแต่ไปนั่งเถียงว่าเป็นมันหรือเป็นเรานี่ กิเลสชอบมากเลยนะ เพราะว่าเราฟุ้งซ่านแล้วไม่ได้ปฏิบัติ ถาม : ก็คือกลับมาภาวนา ? ตอบ : กลับมาอยู่ที่ลมหายใจกับคำภาวนาใหม่ เผลอหลุดไปเมื่อไรก็ดึงกลับมาใหม่ พอกำลังสมาธิเราเริ่มสูงขึ้น ก็จะโดนบังคับให้อยู่กับลมได้ไม่ไปไหน |
ถาม : ฟังเพลงแล้วรู้สึกอินกับเพลงค่ะ ?
ตอบ : ถ้าอินแปลว่าเราปรุงแต่งตามไป โทษเกิดเป็นรัก โลภ โกรธ หลงแล้ว ทำอย่างไรที่เราสักแต่ว่าได้ยิน ก็คือสมาธิต้องสูงพอ ถ้าสูงไม่พอก็จะไหลตามไป ถาม : ทำอย่างไรจึงจะไม่ไหลตามคะ ? ตอบ : ก็ฝึกสมาธิให้มากขึ้น อยู่กับลมหายใจเข้าออกให้มากขึ้น |
ถาม : (การแต่งตัวเพื่อให้สวยงาม กับศีล ๘)
ตอบ : ในเรื่องของการแต่งเนื้อแต่งตัวตามหลักของศีล ๘ ถ้าผิดจริง ๆ ก็คือตั้งใจแต่งไปเพื่อดึงดูดเพศตรงข้าม แต่ว่าบางคนด้วยความที่แต่งหน้าจนชิน ถ้าไม่แต่งแล้วออกจากบ้านไม่ได้ เจตนาที่จะไปดึงดูดเพศตรงข้ามไม่มี ก็แต่ง ๆ ไปเถอะ ไม่อย่างนั้นออกไปเดิน เขาจะคิดว่าศพเดินได้ |
ถาม : เขียนหนังสืออย่างไร ให้คนอ่านรู้สึกได้ ?
ตอบ : อันนี้ต้องรู้จริง เขียนแล้วต้องให้เขารู้สึกเหมือนกับที่เราเห็น นึกอยู่เสมอว่าเรื่องนั้นคนอ่านไม่รู้ ในเมื่อคนอ่านไม่รู้ ทำอย่างไรเราจะอธิบายเพื่อให้เขาเข้าใจ ให้เห็นภาพพจน์มากที่สุด |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ท่านที่เป็นเจ้าของบาตรน้ำมนต์ ๖๐ ปี พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. สีบาตรที่เห็นนั่นไม่ใช่เนื้อจริง ๆ เขาเคลือบสีไว้ชั้นหนึ่ง เพราะว่าเนื้อเป็นนาก ในเมื่อเป็นนาก ซึ่งมีส่วนผสมของเงินอยู่ ถ้าทิ้งไว้นาน ๆ แล้วจะดำ พอหลาย ๆ ปีดำแล้วขัดไม่ออกด้วย เพราะว่าสนิมเงินจะหนาขึ้นไปเรื่อย ๆ
ทางโรงงานก็เลยแนะนำว่าให้เคลือบสีสักชั้นหนึ่ง ก็จะรักษาเนื้อไว้ในสีระดับนี้ได้ตลอดไป ฉะนั้น..ถ้าเห็นว่าเหรียญทำไมดำ แล้วเนื้อบาตรน้ำมนต์ไม่ดำก็โปรดทราบตามนี้ เหรียญที่เห็นนั่นก็คือเนื้อนาก ทิ้งไว้นาน ๆ โดนลมเดี๋ยวก็ดำ เนื้อเดียวกัน แต่ทำไมบาตรน้ำมนต์สีเข้มกว่า เพราะว่าอันนั้นเขาเคลือบสีไว้ชั้นหนึ่ง อาตมาเองรีบบูชาไว้ ๓ ใบตั้งแต่ต้น กลัวว่าจะไม่ได้ คราวนี้มีคนมาขอต่อในราคา ๒๐๐,๐๐๐ บาท เดี๋ยวขอคิดดูก่อน ใบละ ๒๐๐,๐๐๐ บาทนะ ไม่ใช่ ๓ ใบ ๒๐๐,๐๐๐ บาท ความจริงก็อยากจะสร้างให้มากกว่านี้ แต่เนื่องจากว่าชนวนหลวงพ่อนากมีจำกัด ในเมื่อมีจำกัด ทำได้แค่ไหนก็ต้องแค่นั้น" |
ถาม : สมเด็จองค์ปฐมแต่ละที่ไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ที่สร้างหรือคะ ?
ตอบ : อยู่ที่ฝีมือช่าง ช่างแต่ละคนฝีมือปั้นไม่เหมือนกัน เหมือนกับคนเขียนหนังสือ ลายมือจะไม่เหมือนกัน ต่อให้ลอกแบบกัน ก็จะมีจุดต่างให้จับได้ ฉะนั้น..ขึ้นอยู่กับฝีมือช่าง องค์ปูน ๒๑ ศอกที่อยู่หน้าวัดท่าขนุน เขาสร้างไปทั่วประเทศจะ ๑๐๐ องค์แล้ว แต่สวยที่สุดอยู่ที่วัดท่าขนุน เกิดจากสาเหตุที่ว่าช่างหล่อหรือว่าช่างที่ปั้น ถ้าเขาสบายใจ เขาจะทำออกมาสวย เพราะฉะนั้น..เขาไปวัดท่าขนุนก็เลยปล่อยเขาสบายใจที่สุด ถึงเวลา อาหารไปส่ง คุณไม่ต้องไปสวดมนต์ ทำวัตร บิณฑบาต กรรมฐานอะไรกับใครทั้งนั้น นึกอยากตื่นตอนไหนเชิญ นึกอยากทำตอนไหนเชิญ พอถึงเวลาอาทิตย์หนึ่ง ควักค่าบุหรี่ให้ ๕,๐๐๐ บาท เฉพาะบุหรี่อย่างเดียว ดูดให้ตายไปเลย...! |
ความจริงเขาไปทำเป็นทาน แต่ว่าบางที่ก็เกินไป อย่างที่กำแพงเพชร เป็นวัดป่า ท่านฉันมื้อเดียว ท่านก็เลยเลี้ยงพวกช่างวันละจานเดียว แล้วจะเอาเรี่ยวเอาแรงที่ไหนไปทำ ? คราวนี้พระครูไพโรจน์ท่านเป็นเจ้าของแบบ พอถึงเวลาลูกน้องโทรมา บอกว่าไม่มีเรี่ยวแรงจะทำงาน ไม่มีอาหารจะกิน ท่านก็ต้องส่งขึ้นไปช่วยเขาเป็นคันรถ
แต่วัดท่าขนุนของเราให้ทุกอย่าง ขาดอะไรขอให้บอก แล้วไม่เร่งงาน คุณอยากจะทำกี่วันกี่เดือนเรื่องของคุณ ผมเลี้ยงไหว แล้วก็เตรียมรถเทรลเลอร์ไว้ให้เขา ๒ คัน ถึงเวลาขนแบบไปส่งต่อที่ใหม่ เขาก็ไม่ต้องกังวล ถ้าถามว่าค่าเช่ารถเทรลเลอร์คันละเท่าไร ? เป็นหมื่น วันที่ส่งเขากลับ ถวายปัจจัยไป ๑๐๐,๐๐๐ บาท บอกว่า "นี่ไม่ใช่ค่าแรง แต่อยากให้พวกท่านมีเอาไว้ใช้ เพราะว่าที่อื่นไม่แน่เหมือนกันว่าเขาจะเลี้ยงได้แบบที่วัดท่าขนุน ให้มีเงินเอาไว้สำรอง ถ้าเจ้าของเขาเลี้ยงไม่ไหว เราจะได้มีกินเอง" ทำให้ช่างเขาสบายใจที่สุด ผลงานจะออกมาสวยเอง ฉะนั้น...ในเรื่องของการสร้างพระ ถ้าใครไปสร้างที่ไหน หรือเห็นเขาสร้างที่ไหน ให้คำแนะนำเขาด้วย บอกเขาว่าถ้าช่างอยู่สุขอยู่สบาย เขาก็จะมีกำลังใจ ทำแล้วจะออกมาสวย |
ถาม : อานิสงส์ที่เขาทำตรงนี้ ?
ตอบ : นั่นเขาได้อยู่แล้ว อานิสงส์สร้างพระเลย พุทธบูชา มหาเตชะวันโต สร้างกี่องค์เขาได้เท่านั้นองค์ ถาม : ได้ไปพระนิพพานไหมคะ ? ตอบ : อยู่ที่ใจ สุดท้ายเขาเกาะอะไร อย่าลืมว่านี่เป็นแค่บุญเบื้องต้นเท่านั้น จัดเป็นอามิสบูชา ไม่ใช่ปฏิบัติบูชา การจะไปพระนิพพานอยู่ในส่วนของปฏิบัติบูชา |
ถาม : เวลาหนูทุกข์มาก ๆ ทำกรรมฐานมากแล้วได้แค่นี้ แล้วมันกด ?
ตอบ : อย่าเพิ่งไปกด ไปวิ่ง ไปออกกำลังกาย ไปฟิตเนสไปอะไรให้หายบ้าไปสัก ๒ -๓ วันแล้วค่อยกลับมา ถ้าหากว่าตอนกำลังทุกข์ ถ้ากำลังเราไม่พอนี่เราจะไปกดกิเลสไม่อยู่ เดี๋ยวโดนฟัดหงายท้อง หรือไม่ก็ไปดูหนังฟังเพลง เต้นแอโรบิคให้หายบ้าสัก ๒ - ๓ วันก่อน เพียงแต่ว่าประคองศีลเอาไว้ อย่าให้ศีลขาด สมาธิไว้ทีหลัง ตอนนั้นพังไปแล้ว เราสู้ไม่ไหวหรอก ถ้าทำอย่างอาตมาสมัยฆราวาสก็โน่น ปั่นจักรยานจากซอยอ่อนนุชไปสมุทรปราการ ไปกลับสัก ๒ - ๓ เที่ยวก็หายบ้าไปเอง ถาม : เรื่องวิปัสสนาค่ะ ? ตอบ : วิปัสสนาให้เห็นเป็นวิปัสสนาธรรมชาติ จะเหมาะสมที่สุด อย่างเช่นว่าเห็นว่านี่เด็ก โน่นกลางคน โน่นแก่ ไอ้นั่นใกล้ตายแล้ว ข้าวของทุกอย่างก็เหมือนกัน นี่ใหม่ นี่กลางเก่ากลางใหม่ นั่นเก่า นั่นพังหมดสภาพแล้ว ท้ายสุดก็โยงกลับมาหาตัวเราว่าเราก็เป็นอย่างนี้เหมือนกัน ถ้าไม่เห็นเป็นธรรมชาตินี่เราจะสู้ไม่ไหว ถึงเวลาแล้วค่อยไปพิจารณานี่เดี๋ยวตาย |
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องเจ้ากรรมนายเวรอย่าไปเครียด มีโอกาสก็ทำให้เขา เพราะว่าแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว กว่าจะมาเป็นเจ้ากรรมนายเวร แปลว่าเราลงมือสำเร็จไปนานแล้ว มีอย่างเดียวก็คือทำบุญให้เขาบ่อย ๆ แต่ไม่ใช่ไปผูกใจปักใจอยู่ตรงนั้น
เจอผู้หญิงบางคน โอย...หน้าตาดูไม่ได้ ถามว่าทำอะไรมา ? ท้ายสุดสารภาพว่าไปทำแท้งมา นึกถึงแต่เรื่องที่ตัวเองฆ่าลูก บอกว่า “อย่างนี้ลงนรกแน่นอน คุณรีบเปลี่ยนกำลังใจใหม่ กรณีนี้มีความจำเป็น ในเมื่อเราทำไปแล้ว มีวิธีเดียวก็คือทำอย่างไรที่จะแก้ไขให้ดีที่สุด ก็เอา ทาน ศีล ภาวนา เข้าสู้ เรื่องอย่างนี้ ต่อไปเราจะไม่ทำอีก ตั้งใจขออโหสิกรรมกับเขา แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาทำบุญอุทิศให้เขาไป ไม่อย่างนั้นใจก็จะผูกอยู่ตรงนั้น” โน่นก็เจ้ากรรมนายเวร นี่ก็เจ้ากรรมนายเวร ไม่ต้องไปไหนกันพอดี” |
ถาม : ทำไมเวลาถวายสังฆทาน หลวงพ่อให้พรไม่เหมือนกันคะ ?
ตอบ : ให้ซ้ำ ๆ ก็เบื่อ ต้องเปลี่ยนบ้างสิ ถาม : แต่ละบทต่างกันตรงไหนคะ ? ตอบ : ต่างกันตรงเนื้อหา อันหนึ่งให้สำเร็จ อีกอันหนึ่งก็สำเร็จหลายอย่าง ขอมากก็ต้องหลายอย่างหน่อย ความจริงยาวนะ เริ่มตั้งแต่โน่น สัพพะพุทธานุภาเวนะ แต่อันนี้ตัดท้าย เอาแค่ ชะยะสิทธิ ธะนัง ลาภัง ชะยะสิทธิ ธะนัง ลาภัง ความชนะ ความสำเร็จ ทรัพย์สมบัติ ลาภผล โสตถิ ความสวัสดี ภาคะยัง ส่วนของ สุขัง ความสุข พะลัง กำลัง สิริ มิ่งขวัญ อายุ อายุ วัณโณ วรรณะ ชาติตระกูล โภคัง โภคทรัพย์ วุฑฒี จะ ยะสะวา ขอให้เจริญขึ้น ก็คือมีแต่ความเจริญรุ่งเรืองในสิ่งทั้งหลายที่ว่ามา สะตะวัสสา จะ อายุ ขอให้มีอายุ ๑๐๐ ฤดูฝน ก็ ๑๐๐ ปีนั่นแหละ อยากอยู่ก็อยู่ไป บาลีก็เหมือนภาษาไทย เพียงแต่เราฟังไม่ออก ก็เลยรู้สึกว่าขลัง |
เอาอย่างเด็กคนนั้น ที่โดนหมอฉีดยา “ขอให้มีความสุขความเจริญ ๆ ขอให้สวย ๆ ขอให้รวย ๆ รักทุกคนนะครับ” โอ้...เด็กพูดคำหยาบไม่เป็นเลย พูดดี ๆ ทั้งนั้น ทั้ง ๆ ที่หมอฉีดยา ร้องซะขนาดนั้น แสดงว่ากำลังใจเขาเคยชินกับสิ่งดี ๆ ที่ผู้ใหญ่สอนให้
“ผมรักคุณหมอนะครับ หมอสงสารผมบ้างนะครับ” เด็กแค่ ๓ - ๔ ขวบเอง ผู้ใหญ่สามารถฝึกออกมาได้ขนาดนี้ ประเภทนี้แทบจะพระโสดาบันแล้ว ทำชั่วไม่เป็น |
ถาม : ทำไมหลวงพ่อฤๅษีสร้างพระปัจเจกพุทธเจ้าพระเกตุเป็นแบบนั้นครับ ?
ตอบ : ตอนแรกต้องบอกว่าด้วยความรีบ ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรให้ ก็เลยบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ให้ช่างปั้นพระเกตุมาลาแล้วแยกแฉกออกมาหน่อยหนึ่ง คราวนี้ช่างโรงงานมักง่าย แทนที่จะแยก ดันเอาพระเกตุมาลาขององค์อื่นมาแปะใส่ จริง ๆ แล้วปลายเกตุมาลาให้แยกออกหน่อย แต่คราวนี้องค์ที่ช่างเสริฐปั้นให้หลวงพ่อดู ท่านไม่ชอบใจ เพราะเขาไม่ได้แยก เขาใช้วิธีทำให้ปลายเกตุงอนไปข้างหลัง หลวงพ่อก็เลยถามว่าเอ็งทำไว้แขวนรองเท้าหรือ ? ท้ายสุดองค์นั้นอาตมาก็เลยรีบขอช่างเสริฐ บอกว่าคิดเท่าไร เอามาเลย เดี๋ยวจะเอาไว้บูชาเอง เพราะหน้าตัก ๓๐ นิ้ว ปรากฏว่าสุดท้ายหลวงพี่นิพัทธ์ขอไปไว้ที่วัดพุทธไชโย ไม่รู้ว่ายังอยู่หรือเปล่า ? |
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องจ่านิวโดนทำร้าย บางทีเป็นเรื่องของบริวารที่โง่แล้วขยัน กลัวเจ้านายจะมีงานน้อย เห็นว่าเจ้านี่ประท้วงรัฐบาลบ่อยก็เลยไปช่วยกันตี หารู้ไม่ว่ากำลังจะจุดไฟเผารัฐบาลชัด ๆ ถ้าหากว่าเป็นทางด้านการทหาร เขาบอกว่าไอ้พวกโง่แล้วขยัน ให้ฆ่าทิ้งให้หมด..!"
|
ถาม : พระโสดาบันที่เป็นภรรยาของนายพราน เขาคิดอย่างไรจึงไม่ยุ่งกับสามี ?
ตอบ : พระโสดาบันใครเขาห้ามยุ่งกับสามี ? ถาม : ไม่ใช่ค่ะ ไม่ยุ่งกับหน้าที่ของสามีค่ะ ตอบ : เขาคิดแค่ว่าผัวสั่ง ตัวเองเป็นเมีย แค่ทำตามที่ผัวสั่ง ผัวสั่งให้ส่งบ่วงเชือกก็ส่ง ให้ส่งแหลนก็ส่ง ให้ส่งหน้าไม้ก็ส่ง แต่ผัวเอาไปทำอะไรไม่รับรู้ เพราะว่าตัวเองไม่ทำความชั่ว เรื่องของกรรมนี่เราต้องเข้าใจนะว่า ต่างคนต่างทำ ต่างคนต่างได้ นั่นสามีทำ ตัวเองเป็นภรรยาไม่ได้ทำ ต้องแยกให้ออก เราแยกไม่ออก เพราะไปยึดติดตรงที่ว่าในเมื่ออยู่ด้วยกัน ก็ต้องโดนด้วยกันสิ |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ชุมชนคุณธรรมคริสตจักรมาถึงทองผาภูมิแล้วนะ ชุมชนคริสตจักรแบ็บติสต์ทองผาภูมิจัดกิจกรรมโครงการคุณธรรมเริ่มต้นที่บ้าน อาตมาก็ไม่นึกว่าคริสต์จะบุกแรงขนาดนี้ เร็วมากเลย วันก่อนยังอยู่ในเมืองอยู่เลย ขึ้นไปถึงทองผาภูมิแล้ว
พวกคริสต์เขามีทุนเยอะ เพราะเขาเก็บ ๑๐ เปอร์เซ็นต์จากรายได้ศาสนิก ในเมื่อมี ๑๐ เปอร์เซ็นต์ สมมติว่าเงินเดือนของเรา ๑๕,๐๐๐ บาท ก็ต้องให้เขา ๑,๕๐๐ บาท ในเมื่อบังคับบริจาคในลักษณะอย่างนั้น เขาก็เลยมีทุนรอนที่แน่นอน มีศาสนิกกี่คน เขาจะรู้เลยว่ามีรายได้เดือนละเท่าไร ในเมื่อต้นทุนแน่นอน เขาก็สามารถทำโครงการได้ ส่วนของเรานี่แล้วแต่ญาติโยมศรัทธา" |
ถาม : มีอยู่วันหนึ่งนอนพิจารณา แล้วก็เห็นกิเลสของตัวเองกระเด็นออกมา เหมือนเป็นเห็บที่ติดอยู่กับหมา แล้วหมากินยาขึ้นมาทำให้เลือดเป็นพิษ เห็บอยู่ไม่ได้ก็กระเด็น กระโดดออกมา หนูก็โวยวายใหญ่เลยที่มันออกมา หนูก็ตกใจว่าคืออะไร ?
ตอบ : ก็แค่ให้เห็นเท่านั้น เรายังฆ่าเขาไม่ได้ ถาม : หนูก็กำหนดจิตดูว่าคืออะไร เห็บก็คือตัวที่เกาะอยู่กับตัวหนู แล้วก็บงการให้เป็นไปตามทุกอย่างที่อยากให้เป็น หนูยังไม่ค่อยวางใจเท่าไร ก็ค่อย ๆ ดูไปเรื่อย ๆ หนูก็ใช้วิธีว่าเราก็ดู ถ้าเราเห็น ก็แสดงว่าเขาไม่ได้อยู่กับเรา ตอบ : ต้องทำอย่างนั้นแหละ คือตอนนี้เรายังฆ่าเขาไม่ได้ ก็ระวังอยู่อย่างเดียวก็คืออย่าให้เขากลับเข้ามาหาเราใหม่ ถาม : วันรุ่งขึ้น หนูตื่นมาก็มาหาว่าเขาอยู่ไหน เราก็เห็นตัวอย่างแล้วรู้สึกว่ากิเลสเต็มกบาล หนูรู้สึกว่าโมหจริตความหลงครอบเราไปหมดทั้งตัว เหมือนเราอยู่ใต้น้ำ เราขึ้นไปไม่ได้ แต่เราต้องขึ้นไป พอสมาธิขึ้นไปถึงสุดแล้ว เรามีสติเยอะพอแล้ว เราจะต้องพยายามฮึดสู้ขึ้นมาควบคุมเขาบ้าง แต่เราก็ทำไม่ได้ทุกวัน เราต้องแหวกว่ายอยู่ใต้กิเลสอยู่ตลอด ตอบ : ก็เรื่องปกติ ให้เรายื่นหัวเข้าไปหายใจได้ก็ใช้ได้แล้ว อย่างน้อย ๆ ก็มีกำลังสู้เขาได้บ้าง คราวนี้ก็มีอยู่อย่างเดียวคือพยายามพิจารณาให้เห็นชัดว่าถ้าหากว่ายังเป็นเช่นนี้ จะก่อทุกข์ก่อโทษให้เราเวียนว่ายตายเกิดนับชาติไม่ถ้วน ควรจะพอกันทีหรือยัง ถ้าใจบอกว่าพอ ก็จะไม่ไปแตะไม่ไปยุ่งอีก ถาม : กิเลสคุมเราอย่างนี้ตลอดไปไหมคะ ? ตอบ : ตลอด..ไม่ใช่แค่ชาติเดียว มาทุกชาติและจะต่อไปอีก น่ากลัวไหม ? อันนี้เราเรียกภยตูปัฏฐานญาณ ปรีชาคำนึงเห็นว่าสังขารเป็นของน่ากลัว |
ถาม : ที่เรารู้สึกว่าความหลงครอบเรา เป็นเพราะเราอยู่ในร่างกายนี้หรือเปล่าคะ เราจึงตกอยู่ภายใต้อำนาจของเขา ?
ตอบ : ถูก...แต่คราวนี้เราจะตกอยู่ใต้อำนาจเขาก็เพราะร่างกาย เราจะพ้นจากเขาได้ก็เพราะร่างกาย อยู่แค่มุมมองที่เราใช้มองร่างกายเท่านั้น ถ้าเราเห็นว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เขาอยู่กับร่างกาย ก็แปลว่าเขากับเราไม่ได้เกี่ยวกันเลย แต่ถ้าเราไม่สามารถเห็นถึงตรงนี้ได้ เขาก็ครอบงำเราต่อไป เพราะเรายึดมันเมื่อไร เขาก็ครอบงำเราเมื่อนั้น ถาม : แปลว่าตอนที่หนูสมาธิขึ้นถึงจุดสูงสุด แล้วเราไม่ถูกครอบ แสดงว่าตอนนั้นรวมการพิจารณาไปด้วย ? ตอบ : อันนั้นเขาเรียกว่าวิกขัมภนวิมุตติ พ้นได้ด้วยการข่มกิเลสไว้ด้วยอำนาจของสมาธิ ก็ยังมีโอกาสหายใจได้หน่อยหนึ่ง ถาม : พระอรหันต์ท่านอยู่กับร่างกาย ท่านทำอย่างไร จึงไม่โดนครอบ ? ตอบ : ก็ท่านเห็นชัดแล้วว่าร่างกายไม่ใช่ท่าน สักแต่ว่าอาศัยอยู่เท่านั้น เอ็งอยากจะมีก็มีไป ข้าไม่ไปยุ่งกับเอ็ง ฟังดูเหมือนง่ายนะ ถาม : หนูหาตัวอยากเจอ แต่ก็ยังมีตัวอื่นที่ยังครอบอยู่ ฟังแล้วท้ออย่างไรก็ไม่รู้ ? ตอบ : เรื่องปกติ ค่อย ๆ ดูไปเรื่อย ๆ ยิ่งไปจะยิ่งละเอียดไปเรื่อย ๆ ตอนนี้ ส่วนที่เราเห็นแค่ส่วนหยาบเท่านั้น สู้ต่อไป อย่างน้อย ๆ เราก็ยังพอหายใจได้บ้าง ไม่โดนครอบจนอึดอัดตาย |
สนทนากับพระ "ไปนึกถึงหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดพิชัยญาติฯ ท่านตายคางาน พวกเราก็คงไม่แคล้วแบบนั้น ท่านไปคนหนึ่ง บางที่ก็ขาดที่พึ่งไป ของพวกนี้สำคัญตรงที่ว่าเรายืนหยัดด้วยตัวเองได้ไหม ? ถ้ายืนหยัดด้วยตัวเองได้ ไม่ต้องพึ่งผู้อื่น ผลกระทบก็น้อย ถ้ายืนไม่ได้ ไม่มีท่าน โลกก็มืดไปเลย"
|
ถาม : อย่างที่พิจารณาว่าร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา รวมถึงรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อะไรอย่างนี้ ?
ตอบ : ทุกอย่าง ถาม : แล้วบางทีเราคิดขึ้นมา ? ตอบ : เราคิด เพราะฉะนั้น..จงหยุดคิด..! วิธีหยุดคิดที่ดีที่สุดก็คืออยู่กับปัจจุบัน คราวนี้การอยู่กับปัจจุบันได้ดีที่สุด ก็คืออยู่กับลมหายใจเข้าออก ถ้าหากว่าสติสมาธิทั้งหมดอยู่กับลมหายใจเข้าออกตรงหน้า การปรุงแต่งอื่นไม่มี ก็คิดไม่ได้แล้ว หยุดไปโดยปริยาย แต่คราวนี้ถ้ายังไม่เห็นโทษ เดี๋ยวเผลอเมื่อไรก็ปรุงใหม่อีก ก็ต้องทำไปจนกระทั่งเห็นว่าโทษของการปรุงแต่งการคิด ว่าก่อรัก โลภ โกรธ หลงขนาดไหน ดึงเราให้เวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จบขนาดไหน เกิดความกลัวขึ้นมา เกิดความเข็ดขึ้นมา ก็จะถอยห่างออกมาเอง ถ้าหากว่ากำลังสมาธิเพียงพอ ปัญญาเพียงพอ ก็จะไม่คิดอีก เลือกเฉพาะในส่วนที่เป็นประโยชน์มาคิด ส่วนที่เป็นโทษก็ไม่ไปคิดไปปรุง ค่อย ๆ ขยับไปทีละขั้น จนกระทั่งสติสมบูรณ์พร้อม มองไปก็รู้ว่ากิเลสจะเกิดมุมไหน ไม่ไปแตะมุมนั้นก็จบแล้ว |
สนทนาเรื่องลูกศิษย์ฆราวาสของหลวงพ่อรุ่นเก่า ๆ "รุ่นเก่า ๆ ส่วนใหญ่พอเขามีหลัก เขาก็ไม่ค่อยจะไปวัดแล้ว เกิดจากสาเหตุหลายอย่างด้วยกัน อย่างแรกก็คือมีหลวงพ่อหนึ่งเดียวในดวงใจ อย่างที่สองก็คือสิ่งที่ตัวเองทำได้ เพียงพอที่จะเป็นหลักยึดแล้ว"
|
ถาม : จะสอบ ต้องบนกับท่านใดจึงจะรู้คำตอบได้ ?
ตอบ : ใช้คาถาท่านปู่พระอินทร์ดีกว่า ไม่ต้องบนด้วย ถาม : เคยใช้แล้ว แต่วางกำลังใจไม่เป็นค่ะ ? ตอบ : ต้องยึดมั่นเหมือนอย่างกับที่พึ่งสุดท้ายของชีวิต กำลังใจต้องทุ่มขนาดนั้นเลย ตัวอย่างชัดที่สุดก็น้องพลอย ไปเรียนต่างประเทศแล้วไม่เข้าใจวิชาสถิติและการวิจัย ก่อนสอบวันหนึ่งโทรมาหาหลวงพ่อ จะทำอย่างไรดี ? ตายละวา....เอ็งโทรมาตอนนี้ ข้าจะไปอธิบายอะไรทัน ก็เลยบอกให้ใช้คาถาท่านปู่พระอินทร์ เขาบอกว่าพอเขาใช้ เนื้อหาตรงที่เป็นคำถาม เขาอ่านผ่านไปรอบเดียวแต่โผล่มาตรงหน้าชัด ๆ เลย ก็เลยเท่ากับลอกตำรา สรุปก็คือ เรียนไม่รู้เรื่องแต่สอบได้ |
พูดถึงวัดท่ามะขาม "หลวงพี่มหาเอรับเป็นนายทุนให้ เจ้าอาวาสก็เบาใจไปหน่อย ไม่อย่างนั้นท่านเองไม่ไหว ตอนแรกจะให้หลวงพี่มหาเอเป็นเจ้าอาวาสเอง ท่านก็บอกว่าสุขภาพแบบนี้ ไปเป็นก็ได้ตายคาวัด ก็เลยบอกว่าพระครูบ่าวไม่ไหว จะไม่เป็น ท่านบอกให้บอกพระครูบ่าวว่าเป็นแล้วเดี๋ยวท่านจะช่วย
ตอนนี้ที่วัดท่ามะขาม ถึงเวลาไปพี่น้องเพื่อนฝูงมีที่พักครึ่งทาง เวลาไปเรียนที่วัดใต้ ถ้าหากไม่มีที่พัก วัดท่ามะขามมีเยอะแยะไป ต้องบอกว่าบุญของพระครูบ่าว อยู่ป่ามานานแล้ว มาอยู่ในเมืองบ้าง แล้วท่านเป็นพระที่แปลกมาก สร้างบุญไว้ดี ไปที่ไหนก็มีแต่คนรัก จังหวัดก็บอกเอาท่าน รองจังหวัดก็บอกเอาท่าน อำเภอก็จะเอาท่าน รองอำเภอก็จะเอาท่าน เออ...อย่างนั้นก็ง่ายหน่อย ไม่มีใครเหลือ ก็เหลืออยู่อย่างเดียวก็คือตำบล ปรากฏว่าตำบลเป็นเพื่อนเรียนมาด้วยกันกับอาตมา...ก็สบาย บอกช่วยเซ็นให้หน่อย ท่านเซ็นให้..ก็จบ" |
สร้อยทอง
อ้างอิง:
|
พระอาจารย์กล่าวว่า "โต๊ะกราบนี้ ทางกาญจนบุรีทั้งหมดเลิกใช้ตามพระอาจารย์เล็กแล้ว เพราะว่าบ้านเรากราบเบญจางคประดิษฐ์ ถ้าใช้โต๊ะกราบ ๑ ศีรษะ ๒ ศอก ๒ เข่า จะไม่ถึงพื้น แปลว่าโต๊ะกราบทำให้เรากราบไม่ถูกแบบ อาตมาก็แสดงวิสัยทัศน์เรื่องนี้อยู่หลายปี ตอนนี้เขาตามกันหมดแล้ว แรก ๆ ผู้ใหญ่มาก็งง ๆ ว่าทำไมไม่มีโต๊ะกราบ ?"
|
ถาม : เมื่อก่อนนั่งสมาธิแล้วมีแต่ความนิ่ง พอตอนหลังนั่งสมาธิแล้ว คิดปัญหา แก้ปัญหาได้ออก ไม่ทราบว่าแบบนี้ดีขึ้นหรือแย่ลงครับ ?
ตอบ : ปัญหาอะไร ? ถาม : ปัญหาชีวิต พอนั่งสมาธิแล้วคิดออก แก้ได้ สมาธิแบบนี้ใช้ได้ไหมครับ ? ตอบ : แบบนี้เป็นแค่เบื้องต้น พอใจของเราสงบ ปัญญาจะเกิด ใช้ได้ทั้งทางโลกและทางธรรม แต่คราวนี้ของเราใช้ได้แค่ทางโลก ก็แปลว่าใช้ได้ ๑๐ เปอร์เซ็นต์ของประโยชน์ที่แท้จริง ทางธรรมอีก ๙๐ เปอรเซ็นต์เราไม่ได้เลย |
ถาม : เวลาถวายสังฆทาน นำพระพุทธรูปมาตั้ง ควรหันหน้าเข้าหรือออกจะดีครับ ?
ตอบ : เอาที่สบายใจ ด้านไหนก็ได้ ส่งให้ถึงมือพระก็แล้วกัน ส่วนใหญ่พวกเราจะไปคิดว่าต้องหันหน้าเข้าจึงจะถูก ต้องหันหน้าออกจึงจะถูก ซึ่งเป็นแค่ส่วนเสี้ยวเดียว หลัก ๆ ที่แท้จริงก็คือส่งให้ถึงมือพระให้ได้ เพราะว่าถ้ายังไม่ถึงมือพระ อย่างไรก็ยังไม่เป็นทานที่เราถวาย |
พระอาจารย์กล่าวว่า "เงินที่ญาติโยมบริจาคเพื่อจัดงานวันเกิด อาตมาใช้ไม่หมด ก็เลยถวายจัดงานวันเกิดตุ๊พ่อสิงห์ต่อไป ๕๐๐,๐๐๐ บาท สรุปว่าได้สืบชะตาสองรายติดกัน ต้องบอกว่าพยายามล้างผลาญแล้วแต่จ่ายไม่หมด ก็เลยต้องช่วยตุ๊พ่อสิงห์ท่าน เพราะว่าค่าใช้จ่ายท่านมาก ทั้งโบสถ์ ทั้งพระประธาน ทั้งพระจุฬามณี ท่านกำลังเครียดว่าจะสร้างไม่เสร็จ กลัวว่าจะมรณภาพเสียก่อน ก็เลยถวายท่าน ๕๐๐,๐๐๐ บาท
ที่ประหยัดไปมากเพราะว่าวันเกิดของอาตมาเป็นวันพระใหญ่ พระเถระระดับเจ้าคณะภาคท่านมาไม่ได้ ท่านต้องอยู่เป็นแบบอย่างให้กับทางคณะสงฆ์ พระก็ต้องลงปาฏิโมกข์ ส่วนอาตมาอยู่กับวัด ลงปาฏิโมกข์ได้อยู่แล้ว ในเมื่อระดับเจ้าคณะภาคหลายรูปท่านไม่มา อาตมาก็เลยประหยัดไปได้มาก" |
"อยู่ในลักษณะมีเงินใช้ไม่รู้จักหมด ก็เลยต้องหาเรื่องทำบุญต่อ ต้องอนุโมทนากับญาติโยมจริง ๆ ที่ตั้งใจทำบุญกัน แต่อาตมาก็หาเหรียญพุทธบารมียันต์ทรงกลดเนื้อนากให้คนละเหรียญ ตอนนี้เหรียญเนื้อชินไม่รู้ รู้แต่เหรียญเนื้อนากว่าเขาเอาไปปล่อยในเว็บเหรียญละหกหมื่นบาท น่าตายมาก...! ให้ฟรี ๆ ดันเอาไปปล่อยตั้งหกหมื่นบาท ถ้าคิดมูลค่าว่าเป็นนากก็ได้อยู่ แต่ถ้าคิดว่าเรามอบให้เป็นสินน้ำใจเฉย ๆ ไปเล่นคนอื่นหกหมื่นบาทก็แพงไป"
|
พระอาจารย์กล่าวว่า "ไม่กี่วันที่ผ่านมา พระมหาเถระที่เป็นหลักของพระพุทธศาสนามรณภาพไป ๒ รูป ในส่วนนี้ต้องบอกว่าสถานการณ์ประเทศชาติของเราค่อนข้างจะแย่ถึงแย่มาก ก็เลยต้องมีพระเถระที่เป็นหลักมรณภาพ ตัดเคราะห์ตัดกรรมให้กับประเทศชาติของเรา
อาตมาพูดไว้ตั้งแต่เดือนที่แล้วว่าสถานการณ์ไม่ค่อยดี กลัวว่าจะมีการนองเลือด อย่างไรก็ขอให้งานเป่ายันต์ฯ ผ่านไปก่อน เพราะว่าการเป่ายันต์เกราะเพชรสงเคราะห์คนหมู่มาก เป็นการตัดกรรมประเทศชาติไปส่วนหนึ่ง ซึ่งเรื่องพวกนี้เหมือนอย่างกับว่า อาตมาพยายามโยงเรื่องให้มีความสำคัญกับตัวเอง..แต่ไม่ใช่ ที่พูดนี่คือข้อเท็จจริงเลย เพราะว่าบ้านเราปัจจุบันนี้จะบอกว่ามีประชาธิปไตยก็ไม่ใช่ จะบอกว่าเป็นประชาธิปไตยครึ่งใบเหมือนกับสมัยพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ องคมนตรีสองรัชกาลและรัฐบุรุษก็ไม่ใช่ เป็นการเลือกตั้งพอเป็นพิธี เพื่อสร้างความชอบธรรมในการขึ้นเป็นรัฐบาลเท่านั้น ความไม่พอใจของคนเรามีขีดจำกัด ถ้าไปถึงจุดหนึ่งระเบิดออกมาก็น่ากลัวมาก" |
"ช่วงที่ผ่านมาฮ่องกงซึ่งเป็นเขตปกครองพิเศษของจีนก็ประท้วง คนออกมาเป็นแสนประท้วงกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดน จริง ๆ แล้วก็ไม่ใช่ข้ามแดน เพราะว่าฮ่องกงก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของจีน อังกฤษเช่าไป ๙๙ ปี ส่งคืนให้กับจีนแล้ว แต่ด้วยความที่ใช้กฎหมายและการปกครองของตัวเองมาตลอด ทำให้เขามีความรู้สึกว่าตัวเองไม่ใช่จีน
เมื่อรัฐบาลจีนยื่นมือเข้ามา โดยให้ผู้ปกครองของฮ่องกงออกกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามไปพิจารณาโทษที่ประเทศจีน ซึ่งก็เพียงผู้ร้ายบางประเภทเท่านั้น แต่ก็มีคนจำนวนหนึ่งเกรงว่าจะมาถึงตัว ก็เลยต้องปลุกระดมออกมาประท้วง" |
"ส่วนบ้านเราปัจจุบันนี้ทำทุกอย่างเพื่อที่จะให้ได้เป็นรัฐบาล แม้ว่าจะต้องใช้ความยุติธรรมแบบสองมาตรฐาน สามมาตรฐาน เขาก็ทำกัน ซึ่งตรงจุดนี้จะเป็นสาเหตุใหญ่ที่ทำให้ความไม่พอใจของคนปะทุขึ้นมาได้ แล้วยังมีการโหมฟืนใส่ไฟในแต่ละวัน
ถ้าเรื่องเกิดขึ้นแล้วพูดให้น้อยลง ก็จะไม่ร้ายแรง แต่ปัจจุบันนี้พวกโซเชียลมีเดียเข้าถึงได้โดยง่าย ทุกคนก็พยายามออกข่าวตามแง่มุมที่ตนเองคิดว่าใช่ โดยที่ทางฝ่ายผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ยังไม่ได้สรุปคดี แล้วคราวนี้การทำงานของตำรวจก็ช้ามาก ไม่ทันใจประชาชน พอกระแสในโซเชียลไปแรงมาก บวกกับพยานหลักฐานต่าง ๆ ที่ขอกันยาก เหมือนอย่างกับตั้งใจเตะถ่วง ก็ยิ่งสร้างความไม่พอใจให้กับผู้ที่รักความยุติธรรมมากขึ้น ซึ่งตรงจุดนี้จะทำให้เป็นการผลักผู้ที่เคยสนับสนุนตนไปยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามได้ เพราะทำให้เขาเห็นว่าตนเองไม่ได้รับความยุติธรรม หรือไม่ได้รับการปฏิบัติที่เท่าเทียมกัน ดังนั้น พวกเราต้องใช้สติสัมปชัญญะให้มาก ๆ กับสถานการณ์ประเทศชาติตอนนี้ อย่าไปยินดียินร้ายด้วย รอดูผู้มีหน้าที่เขาจัดการ ถ้าใช้ภาษารุ่นของอาตมาคือ รอให้ฝุ่นจาง ตอนที่กำลังมั่วกันก็ฝุ่นตลบ ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ใครมีหน้าที่การงานทำหน้าที่ของตนเองให้ดี รักษางานของตัวเองให้ดี เพราะว่าในสถานการณ์ที่ยากลำบาก ก็ต้องประคับประคองกันให้ผ่านไปได้" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของสังฆทานเวียน ก็คือผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันนำมาถวาย มีบางคนบอกว่าได้บุญเฉพาะคนแรกเท่านั้น นั่นเป็นการเข้าใจผิด เพราะว่าเราใช้ภาษาพระที่ว่า ผาติกรรม ก็คือแลกเปลี่ยนแล้ว ทีนี้การแลกเปลี่ยนเท่ากับชุดสังฆทานนั้นเป็นสมบัติของเรา ในเมื่อเป็นของเราแล้ว เราจะถวายเมื่อไร บุญก็เป็นของเราเมื่อนั้น
คราวนี้ในการที่เราจะจัดหามาเองก็ถือว่าเป็นเรื่องดี แต่บางทีก็เสียเวลาเดินทางไปซื้อหา เจอของแพงหรือคนขายกิริยาไม่ดี เราก็จะไปโกรธเขาอีก กว่าจะหอบหิ้ว กว่าจะขนมาถึงสถานที่ ก็ต้องลำบาก ต้องเหนื่อย อารมณ์เสีย ซึ่งจะทำให้กำลังบุญของเราลดน้อยถอยลง ดังนั้น ในส่วนของสังฆทานเวียนที่เขาเตรียมเอาไว้ จึงเป็นทางออกที่ดีที่สุดว่าเราไม่ต้องเหนื่อย ไม่ต้องลำบากในการหอบหิ้วขนย้าย ที่สำคัญก็คือไม่แพงเหมือนกับไปซื้อเอง อย่างเช่นว่าโยมจะหาพระพุทธรูปแบบนี้ ทรงเครื่องปิดทองประดับเพชร ก็องค์ละ ๔๕,๐๐๐ บาท กว่าจะหาเงินขนาดนี้มาได้ก็คงไม่ได้ถวายกันหรอก แต่พอใช้การผาติกรรมแลกเปลี่ยน โดยเฉพาะที่นี่ไม่คิดมูลค่า จะมากจะน้อยแล้วแต่ท่านพอใจ เราก็สามารถเป็นเจ้าของพระองค์ใหญ่ ๆ ได้ ทำให้การสร้างบุญกุศลของเราสะดวกและได้บุญมาก ฉะนั้น..ของบางอย่างที่เป็นอัตโนมติ คือความเห็นเฉพาะตัวของบุคคลบางคน ฟังดูเหมือนใช่ แต่คราวนี้ใช่ของเขา เราเองต้องใช้ปัญญาพินิจพิจารณา ดูว่าบริบทการกระทำนั้นมุ่งอะไร ก็จะสามารถได้คำตอบที่แท้จริง ถ้าหากสติปัญญาไปไม่ถึงจริง ๆ ก็ถาม แต่ถ้าถามผิดที่ก็เจอเข้าป่าเข้าดงไปเยอะ" |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 10:42 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.