กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านเติมบุญ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=65)
-   -   เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๐ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=5880)

เถรี 05-12-2017 20:39

พระอาจารย์กล่าวว่า "บางคนก็มีความจำเป็น ไม่ได้เจอหน้ากันหลายปี ต้องบอกว่าถ้าเป็นอาตมา ๕ ปีน่าจะสร้างทางรถไฟสายทรานส์ไซบีเรียเสร็จแล้ว

ระยะเวลา ๑ วันถือว่ามาก แล้ว ๕ ปีมากไหม ? โดยเฉพาะบุคคลผู้ปฏิบัติธรรม ต้องทำตัวเป็นบุคคลผู้มีวันนี้วันเดียว ถ้าคิดเผื่อพรุ่งนี้เมื่อไรแปลว่ามีความประมาทเมื่อนั้น สมมติว่าเราประมาทมาก ๆ ตีเสียว่าปีหนึ่งมีโอกาสตาย ๑ ครั้ง ๕ ปีมีโอกาสตายไปแล้ว ๕ ครั้ง นี่อย่างน้อยที่สุดนะ ถ้าเรายังทำอะไรไม่สำเร็จ แล้วตายไปก่อนที่จะพบความสำเร็จ ก็น่าเสียดายมาก โดยเฉพาะในเรื่องของการปฏิบัติธรรม

การปฏิบัติธรรมถ้าเราทิ้งนาน ๆ กิเลสจะมีกำลังมากกว่า ทุกคนที่มีประสบการณ์ทิ้งการปฏิบัติ ก็จะรู้ว่ากว่าจะตีคืนได้ยากเย็นแสนเข็ญขนาดไหน เรื่องการปฏิบัติธรรมวันละ ๒๔ ชั่วโมงยังไม่เพียงพอให้เราสู้กับกิเลสด้วยซ้ำไป คราวนี้พอเราขาด เราทิ้งไปนาน ๆ กิเลสเขาซักซ้อมตัวเองอยู่ทุกวันมีความแข็งแกร่ง ส่วนเราเองนาน ๆ จะโผล่หน้ามาทีหนึ่ง เหมือนกับนักกีฬาเรื้อเวที โผล่หน้าไปทีไร ถูกกิเลสตีตายทุกครั้ง

ในส่วนของการปฏิบัติทั่ว ๆ ไป เรามักจะพบกับสถานการณ์จิตตก สมาธิตก กรรมฐานแตก พังกันทีเป็นเดือนเป็นปี ก็ต้องบอกว่าด้วยความประมาทของพวกเราเอง แต่จะไม่ให้พลาดเลยก็เป็นไปไม่ได้ กิเลสมาได้ละเอียดลออมาก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นแหล่งที่กิเลสเข้าถึงเราได้ตลอด ทำอย่างไรจึงจะสำรวม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ให้กิเลสกินเราได้

หลัก ๆ เลยก็คืออานาปานสติ อยู่กับลมหายใจเข้าออก พ้นจากกิเลสได้ชั่วคราว หลุดจากลมหายใจเข้าออกเมื่อใด ก็โดนกิเลสตีน่วมอีก"

เถรี 05-12-2017 20:59

พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าเป็นจันทน์หอมจริง ๆ กลิ่นจะหอมนวล ๆ ไม่ได้หอมแรง ถึงได้เข้าใจว่าสมัยพระพุทธเจ้ามีการสร้างคันธกุฎีด้วยไม้จันทน์ถวาย ทำไมพระองค์ท่านถึงจำพรรษาอยู่ได้ ถ้าเป็นไม้จันทน์ขาวกลิ่นจะหอมแรง หอมฉุนเลย ไม่น่าที่จะอยู่ได้"

ถาม : ที่เขาเรียกว่าเสน่ห์จันทร์ล่ะคะ ?
ตอบ : เสน่ห์จันทร์เป็นว่าน มีเสน่ห์จันทร์ขาว เสน่ห์จันทร์แดง เป็นต้น ส่วนไม้ที่เอาไปทำกุฏิคันธกุฎีนั่นไม้จันทน์หอม จันทร์แดงคนจีนเรียกว่าไม้จันทร์ม่วง เพราะว่าใช้ ๆ ไปเก่าแล้วจะดำเข้มขึ้นเรื่อย ๆ จนออกเป็นสีม่วงแดง จึงเรียกว่าไม้จันทร์ม่วง


เถรี 05-12-2017 21:08

ไม้กฤษณาต้องโดนความร้อน น้ำมันหอมระเหยออกมาจึงมีกลิ่น ไม่อย่างนั้นถ้าทั่ว ๆ ไปเราไปเจอก็ไม่รู้ว่าเป็นไม้อะไร สมัยก่อนเวลาหาไม้หอมพวกกฤษณา จะมีการทำบวงสรวงพลีเจ้าป่าเจ้าเขาก่อน เมื่อหาเจอแล้วยังต้องเสี่ยงดวงอีก

เพราะว่าไม้กฤษณาบางต้นเป็นแผล มีเชื้อราเกิดขึ้น ไม่ใช่ว่าสามารถมาโค่นได้ทั้งต้น จะได้แค่ตรงนั้นชิ้นเดียว สมัยนี้เทคโนโลยีดีขึ้น ปลูกไม้กฤษณาได้ ใช้ตะปูตอกพรุนไปทั้งต้นเลย ทำให้แผลเกิด พอแผลเกิดเชื้อราลง จึงได้ไม้หอมทั้งต้น

เมื่อประมาณน่าจะปีไม่เกิน ๒๕๓๒ อาตมาไปช่วยกันปลูกต้นไม้ให้วัดหลวงพ่ออุดม (วัดป่าผาตาดธารสวรรค์) ตอนนั้นหลวงพ่อประภายังเป็นเจ้าอาวาสอยู่ ปลูกไปได้สัก ๒ ปี ย้อนกลับไปดู กลายเป็นดงวัชพืชหมดแล้ว ไมยราบบ้าง เถาวัลย์ไฟบ้าง เลื้อยทับถมจนมองต้นกฤษณาแทบไม่เห็น น่าเสียดาย...เพราะว่าพื้นที่เหมาะมาก

ด้วยความที่วัดใหญ่เกินไป คนดูแลไม่ทั่วถึง วัดป่าผาตาดธารสวรรค์ขออนุญาตใช้พื้นที่ป่าได้ตั้ง ๓,๐๐๐ ไร่ แต่การใช้พื้นที่ป่าต้องปลูกต้นไม้คืนเขา ๑๐ เปอร์เซ็นต์ ก็แปลว่าต้องปลูกป่าคืนเขา ๓๐๐ ไร่ ต้นกฤษณาที่ปลูกไล่ ๆ กันที่เกาะพระฤๅษีโตประมาณขาอ่อนแล้ว ส่วนที่โน่นจมหายไปในดงเถาวัลย์เลย

เถรี 05-12-2017 21:14

ถาม : คนไทยไม่รักษาสมุนไพร ? ถึงกับเอาไปตรวจสอบทีละตัว แล้วประกาศว่าเกือบทั้งหมดเป็นพิษ ทั้งที่เวลาทำยา คนโบราณจะรู้ว่าจะฆ่าพิษก่อนอย่างไร อะไรเข้ากับอะไรแล้วจะมีสรรพคุณเป็นยา
ตอบ : ต้องบอกว่าคนสมัยใหม่สู้คนสมัยเก่าไม่ได้ แต่ดันไปคิดว่าตัวเองฉลาด เพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยาบอกว่า ทั้งพืชพรรณว่านยาก็ถอยรส พืชพรรณในการรักษาน้อยลงเพราะว่าพื้นที่เสื่อม ถ้าต้องการยาที่มีฤทธิ์รักษาจริง ๆ ต้องเข้าป่าลึกไปเลย ซึ่งก็ยากต่อการเดินทาง

สมัยก่อนหัวไร่ชายนามีแต่สมุนไพรเพราะว่าพื้นที่อุดมสมบูรณ์ พื้นที่ภาคกลางปล่อยให้น้ำท่วมทุกปี ถึงเวลาน้ำท่วมมาก็พาปุ๋ยต่าง ๆ มากับสายน้ำด้วย แต่สมัยนี้น้ำไปตามคลองไม่ได้ ถึงได้ท่วม

เดี๋ยวนี้คนใจร้อนใจเร็ว สมุนไพรต้องกินไประยะหนึ่ง สะสมกำลังยาจนได้ที่ถึงจะรักษาโรคหาย สมัยนี้เขาชอบยาฝรั่ง กินปุ๊บรู้เรื่องปั๊บเลย แต่คราวนี้ยาฝรั่ง
มีพิษตกค้างมาก ยาไทยพิษตกค้างไม่มี ร่างกายขับออกได้ แต่ออกฤทธิ์ช้าเลยไม่ทันใจ

ถาม : สมัยนี้หากะเพราแดงมากินแก้ความดันต่ำไม่ได้แล้ว ?
ตอบ : กะเพราแดงกับน้ำตาลทรายแดงโขลกเข้าด้วยกัน แก้ไอก่อน อย่างอื่นว่ากันทีหลัง ประเภทไอไม่เลิก เด็ดกระเพราแดงมา ๔-๕ ใบใส่น้ำตาลทรายแดงสักช้อนหนึ่ง สมัยนี้เขากินน้ำตาลทรายแดงกันหรือเปล่า ?

น้ำตาลทรายแดงก็คือน้ำตาลอ้อยที่เคี่ยวแบบธรรมชาติ ไม่ผ่านการฟอกสีปรุงแต่ง หน้าตาอาจจะดูไม่ดี แต่สรรพคุณทางยาหรือทางอาหารเหนือกว่าน้ำตาลทรายขาวเยอะมาก สมัยก่อนทุกบ้านจะมีปลูกอ้อยแดงไว้ เผื่อเอาไว้ทำยา ทำอาหาร จะหมักน้ำปลาก็ผ่าอ้อยไปรองก้นโอ่ง บ้านไหนหมักน้ำปลา เดินห่างครึ่งกิโลเมตรก็รู้แล้ว ส่งกลิ่นมาแต่ไกลเลย

เถรี 05-12-2017 21:52

ถาม : ลูกน้องท้าวเวสสุวรรณเขาจะมีหน้าดูแลอะไรบ้างในโลกนี้ครับ ?
ตอบ : ดูแลสถานที่สำคัญ ดูแลบุคคลสำคัญ ดูแลขุมทรัพย์ เพราะฉะนั้น...บรรดาบุคคลสำคัญไม่ใช่แต่ของประเทศเรานะ ประเทศต่าง ๆ ด้วย เขาก็มีเทวดารักษานะครับ...!

ถาม : แล้วที่ดูแลขุมทรัพย์นี่อะไรบ้าง ?
ตอบ : ก็สารพัด บ่อน้ำมันก็มี แร่ธาตุสำคัญต่าง ๆ ก็มาก ทองคำธรรมชาติก็เยอะ

ถาม : น้ำมันดิบอย่างนี้ จะขุดเจอ ขอท่านได้ไหมครับ ?
ตอบ :โอกาสเจอก็ยาก รู้ไหมว่าบริษัทอารามโกที่เป็นการร่วมทุนระหว่างอเมริกันกับอาหรับ ทำการขุดน้ำมันที่ซาอุดิอาระเบียจนหมดอารมณ์แล้ว เพราะเจาะไป ๖ กิโลเมตรแล้วยังไม่เจออะไร ต้องบอกว่าตัวผู้จัดการบริษัทดื้อโคตรเลย ถ้าไม่ดื้อขนาดนั้นขุดไม่เจอหรอก

ทางบริษัทบอกว่าถอนตัวออกมาเถอะ ลงทุนไปก็ไร้ประโยชน์ ขุดมาเป็นปี ๆ แล้วไม่มีอะไรเป็นผลตอบแทนเลย ไอ้นั่นก็บอกจะให้กลับเมื่อไร ? "พรุ่งนี้" ผู้จัดการก็ไปบอกลูกน้อง วันนี้เจาะให้เต็มที่เลย..ทิ้งทวน...พรุ่งนี้เก็บของกลับบ้าน ตูมเดียวลงกลางบ่อเลย แสดงว่าเลยอีกไม่กี่เมตร น้ำมันทะลักขึ้นมา เขาบอกว่ารัศมีเป็นกิโลเมตร...นองไปหมด ไม่เคยมีการเจาะน้ำมันลึกขนาดนั้นมาก่อนในอดีต

ต้องบอกว่าถ้าไม่ได้คนตื๊อขนาดนั้นเทวดาคงไม่ยอมใจเขาหรอก มีใครจะเจาะพื้นดินลงไป ๖,๐๐๐ กว่าเมตร เขาขอแท่งต่อหัวเจาะมาจากทุกที่ซึ่งบริษัทเขาไปลงทุน ขอทั่วโลก ขอมาจนหมด ดื้อจะเอาให้ได้ แล้วก็ทำได้จริง ๆ


ถาม : ทำไมจึงขุดได้ ?
ตอบ : ต้องบอกว่าเขาซื่อตรงต่อหน้าที่จนกระทั่งเทวดายอมใจ ไม่อย่างนั้นปกติบวงสรวงขอเขาก็ไม่ให้กันง่าย ๆ หรอก

ถาม : เขามีความมั่นใจขนาดนั้น ?
ตอบ : ไม่ใช่มั่นใจ เขามั่นคง มั่นคงต่อหน้าที่ตัวเอง แบบเดียวกับในหลวงรัชกาลที่ ๙ หน้าที่ซึ่งจะทำให้ประชาชนทั้งประเทศอยู่ดีกินดีเสมอกัน เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่พระองค์พยายามทำให้เป็นไปได้ นั่นแหละคือความมั่นคงต่อหน้าที่ของตนเอง

แถวภาคเหนือถ้าไม่ได้ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ป่านนี้ก็ยังเป็นดงฝิ่นอยู่นั่นแหละ ปีหนึ่ง ๆ ได้อยู่ในวัง ๔ เดือน นอกนั้นออกข้างนอกตลอด ไม่เสด็จไปต่างประเทศเกิน ๓๐ ปี เพราะความรู้สึกแค่ว่าถ้าชาวบ้านยังไม่ได้อยู่ดีกินดี พระองค์ท่านก็ไม่รู้ว่าจะไปต่างประเทศทำอะไร คือความรู้ที่ศึกษามานั้นพอแล้ว ขอให้ใช้จริง ๆ เท่านั้น ในหลวงตอนแรกเรียนสาขาวิทยาศาสตร์ พอรู้ว่าจะต้องขึ้นครองราชย์ก็เปลี่ยนเป็นรัฐศาสตร์ทันทีเลย

เถรี 05-12-2017 22:01

พระอาจารย์กล่าวว่า “มีดหมอต่าง ๆ ที่อาตมาสะสมมาเกินร้อยเล่ม ร้อยละ ๙๙ คือมีดสำหรับใช้งานจริง ๆ คนสมัยก่อนเขาไม่ได้ใช้อย่างเรา มีดใช้งานคือใช้จริง ๆ ส่วนมีดหมอที่จะใช้งานด้านแก้ไสยศาสตร์โดยตรงต้องหลวงพ่อบุญมี วัดเขาสมอคอน เพราะว่าท่านให้ลบคมหมดทุกเล่ม ยกเว้นว่าใครจะไปลับคมเอง ไม่อย่างนั้นถึงเวลาไปสับไล่โรค ถ้ามีคมเดี๋ยวเข้าเนื้อคนไข้”

เถรี 06-12-2017 09:55

ถาม : (ปรอทกรอ)
ตอบ : อาตมาพกอยู่ ๓ ลูก สีเงินหายากที่สุด เวลาพกเดินผ่านเครื่อง X-Ray ไม่ดังหรอก เจ้าเฟิร์สเดินตามตูดมา อาตมาบอกว่าพกมีดหมอชาตรีมาด้วย มั่นใจว่าไม่ดังหรอก เดินผ่านไปก็เงียบ เฟิร์สถามว่า "แล้วถ้าเขาค้นล่ะ ?" ถ้าไม่ดังแล้วเขาจะค้นทำไม ? แต่ต้องอาราธนาไว้นะ...ไม่อย่างนั้นก็ดัง

อาตมาไปเผลอที่เขมร เจ้าหน้าที่เขามาให้ดูดวงให้ มัวแต่ดูอยู่ พอถึงเวลาขึ้นเครื่องก็พรวดพราดเข้าไป เลยไม่ได้อาราธนา เครื่องดัง...ทีนี้เลยต้องขอว่าอย่าให้เขาค้นเจอ

ขอแนะนำว่าอย่าทำ ถ้าดังแล้วโดนเขายึดไปจะน่าเสียดาย ตอนไปเนปาลเครื่องไม่ดัง แต่เขาก็ค้นทุกคน ไปเจอตะกรุดหลวงพ่อทบเข้า เจ้าหน้าที่วิ่งไปถามกันใหญ่เลยว่านี่คืออะไร ?

เถรี 06-12-2017 22:07

ถาม : ช้างที่โดนตัดงาจะตายไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าตัดงาไม่ทะลุถึงโพรงรากฟันก็ไม่เป็นไร ถ้าทะลุถึงโพรงฟันก็มีโอกาสติดเชื้อได้ เหมือนกับคนเราฟันทะลุเป็นรู

ถาม : แล้วในเรื่องที่พระยาฉัตทันต์โดนตัดงาตาย ?
ตอบ : นั่นท่านไม่ได้ตายเพราะโดนตัดงา ตายเพราะลูกศรอาบยาพิษ โดนพรานโสณุดรยิง ด้วยความที่พระโพธิสัตว์ท่านฉลาดมาก สังเกตว่าแนวลูกศรมาจากใต้ดิน มองเห็นว่าพื้นตรงนั้นมีร่องรอยผิดปกติ ก็เอาเท้าเหยียบปิดไว้ก่อนแล้วถึงร้องขึ้นมา พวกบรรดาช้างอื่น ๆ พอรู้ก็วิ่งออกไปหาศัตรูกัน ท่านค่อยเขี่ยเปิดพื้นขึ้นมาแล้วบอกให้รีบหนีไป ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวตาย พรานโสณุดรจึงบอกว่าได้รับคำสั่งให้มาเอางาไป

เถรี 06-12-2017 22:10

พระอาจารย์ถักลวดใส่วัตถุมงคล "สังเกตเห็นหรือเปล่าว่าคนเป็นงานกับคนไม่เป็นงานนั้นต่างกันขนาดไหน ? แค่นี้ก็เสร็จแล้ว

เรื่องแบบนี้อาตมาบอกไม่ถูกเหมือนกัน มองไปก็รู้เลยว่าต้องทำอย่างไร ขณะที่คนอื่นมองแทบตายก็ไม่รู้ว่าทำอย่างไร คงจะเป็นของที่ข้ามชาติข้ามภพมา

สมัยเด็ก ๆ เห็นพวกพี่ ๆ เขาถักสายไฟใส่วัตถุมงคลกัน สมัยนี้ถ้าไปเจอพระแบบนั้นให้คว้าได้เลย โอกาสที่จะปลอมมีน้อยมาก เพราะว่าเป็นของเก่าจริง ๆ สมัยก่อนไม่มีการเลี่ยมพลาสติก ใช้เชือกถักบ้าง ใช้ลวดถักบ้าง"

เถรี 06-12-2017 22:25

ถาม : พระพุทธเจ้าทรงทรมานกายอย่างไรบ้าง ?
ตอบ : ทรมานสารพัดอย่าง กำมือจนเล็บงอกทะลุหลังมือ แค่อย่างเดียวนี้เราทำได้ไหม ?

ถาม : พระนางพิมพาอยู่คนละเมือง แล้วคอยว่าเจ้าชายสิทธัตถะปฏิบัติอย่างไรก็ทำตามบ้าง ท่านรู้ได้อย่างไร ?
ตอบ : มีคนคอยส่งข่าวให้ แต่คราวนี้ว่าคนที่คอยส่งข่าวให้ไม่รู้ว่ามีตัวหรือไม่มีตัวนะสิ

พระนางพิมพาเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ได้อภิญญาใหญ่ คำว่า อภิญญาใหญ่ ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงอภิญญาทั่วไป คือท่านที่ได้อภิญญาใหญ่สามารถระลึกชาติได้โดยไม่จำกัด มีพระนางพิมพา พระโมคคัลลานะ พระสารีบุตร พระมหากัสสปะ มีแค่ไม่กี่รูปเท่านี้ นอกนั้นก็จะโดนจำกัด เช่น ระลึกได้แสนชาติบ้าง ๑ กัปบ้าง ๒ กัปบ้าง ๕ กัป ๑๐ กัปบ้าง คราวนี้ด้วยความที่ท่านมีความสามารถเดิมมาขนาดนั้น บางทีการรู้ อาตมาก็ไม่มั่นใจว่าท่านรู้ได้เพราะอะไร ? มีคนส่งข่าวหรือว่ารู้เอง


ถาม : ท่านทรมานกายอยู่แถวนั้น แล้วอุจจาระปัสสาวะอยู่แถวนั้น ไม่เหม็นหรือครับ ?
ตอบ : ใครจะไปขี้ข้างที่นอนวะ ? เราต้องเข้าใจว่าลักษณะของช่วงที่ทรมานกายสภาพทรุดโทรมมาก แต่วันที่ท่านตั้งใจจะปฏิบัติในมัชฌิมาปฏิปทา กำลังใจทั้งหมดที่มาถูกทางรวมตัวเข้า ก็ต้องบอกว่ากลายเป็นงามด้วยกำลังบุญ ขนาดที่เขาเห็นเป็นเทวดา ไม่อย่างนั้นมีแต่หนังหุ้มกระดูก หนวดเครารุงรัง ใครจะไปรู้ว่าเป็นใคร

เถรี 06-12-2017 22:28

ถาม : เห็นหลวงปู่หลวงพ่อที่อาพาธ ท่านยังดูผ่องใสตลอด ?
ตอบ : ถ้าสว่างผ่องใสก็จวนจะไปแล้ว...(หัวเราะ)... ที่โบราณเขาบอกว่า “ถ้าเห็นหน้าหน้านวลก็จวนตาย” รัศมีออกเลย

เถรี 08-12-2017 09:35

พระอาจารย์กล่าวว่า "หลายคนบอกว่าพระพุทธเจ้าทรมานตนเสียเวลาเปล่า ๆ ไป ๖ ปี พระองค์ท่านไม่ได้เสียเปล่า เพราะสิ่งที่พระองค์ท่านทำ ยิ่งกว่าทุก ๆ คนที่เคยทำมา ชื่อเสียงเกียรติคุณของพระองค์ท่านจึงเลื่องลือไปทั่ว

ในเมื่อทรมานตนยิ่งกว่าใครแล้วทำไม่สำเร็จ เมื่อถึงเวลาพระองค์ประกาศมัชฌิมาปฏิปทา สามารถใช้พระองค์เองยืนยันได้ว่า "เราทำมาแล้ว ไม่ใช่หนทางแห่งความสำเร็จ" เพราะฉะนั้น...ไม่ใช่เรื่องที่เสียเวลาเปล่า แต่เป็นการปฏิบัติที่ยืนยันผลว่าสิ่งนี้ใช้ไม่ได้"


ถาม : เป็นเพราะการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะต้องยากแบบนี้ ?
ตอบ : ไม่ใช่...มีบางองค์นี่แค่เห็นพระอาทิตย์ขึ้นกับพระอาทิตย์ตกก็บรรลุเลย ไปดูในพระไตรปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ โดยเฉพาะอรรถกถาอธิบายไว้ทั้งหมด ว่าพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ต่างกันโดยประมาณ ต่างกันโดยฉัพพรรณรังสี ต่างกันโดยยานพาหนะที่ออกบวช ต่างกันโดยบัลลังก์ ฯลฯ แล้วเราจะเห็นว่า พระพุทธเจ้าของเรานี่ประเภทน้อยกว่าคนอื่นที่สุดทุกอย่างเลย

มีอย่างแย่ ๆ ที่สุดก็พระพุทธเจ้าพระนามว่านารท เสด็จออกบวชด้วยการเดินเท้า มีอยู่พระองค์เดียว บางพระองค์ขี่ช้าง ขี่ม้า เดินเท้า ไปด้วยยาน แล้วก็มีไปโดยปราสาท ปราสาททั้งหลังลอยไปเลย แล้วก็ปฏิบัติธรรมอยู่วันหนึ่งบ้าง ๒ วันบ้าง ๓ วันบ้าง ๗ วันบ้าง อย่างแย่ที่สุดก็ ๓ เดือน มีของเราเจอไป ๖ ปี

เถรี 08-12-2017 09:37

ถาม : แล้วพระศรีอาริยเมตตรัย ?
ตอบ : สมัยของพระองค์ท่านคนนอกศาสนาไม่มีโอกาสมาเกิด ไม่ต้องเสียเวลาไปค้านกับของใครว่าใครไม่ดี ออกบวชวันนั้น บรรลุวันนั้น สั่งสอนวันนั้นก็แทบจะไปกันหมด ไปดูเรื่องปัญจมหาวิโลกนะ ที่พระพุทธเจ้าท่านต้องพิจารณา ๕ อย่างแล้วถึงจะเสด็จมาตรัสรู้ คราวนี้พระพุทธเจ้าของเราท่านเลือกในจังหวะนี้ก็อาจจะลำบากหน่อย ถ้าเป็นจังหวะอื่นก็ช้าเกิน

เถรี 08-12-2017 09:43

ถาม : ถ้าเวลาสวดมนต์แล้วได้ยินเสียงเหมือนคนมาสวดด้วย ?
ตอบ : ดี...แสดงว่าอย่างน้อยสมาธิจะต้องทรงตัวได้ถึงระดับหนึ่งจึงจะได้ยินได้ จะได้รู้ว่าพวกเราจริง ๆ มีเยอะ

ถาม : สวดมนต์แล้วมีความรู้สึกว่าอยากหลับตา พอหลับตาแล้วเหมือนเห็นอะไรบางอย่าง ?
ตอบ : ไม่มีอะไร...อย่าคิดมาก คิดมากเดี๋ยวไม่กล้าสวดต่อ

ถาม : ก็ไม่รู้ว่าตนเองเห็นแล้วดีหรือไม่ดี ?
ตอบ : ให้รู้ว่าเห็นดีกว่าไม่เห็น เพราะถ้าสมาธิไม่ได้ที่ก็จะไม่มีวันได้เห็น

ส่วนใหญ่พอบอกแล้วจะมี ๒ อย่าง อย่างแรกคือฟุ้งซ่านอยากเห็นอีก อย่างที่ ๒ คือกลัว เพราะฉะนั้น...อย่าไปฟุ้งซ่านมากเลย ให้รู้ว่าเห็นดีกว่าไม่เห็นก็แล้วกัน

เถรี 08-12-2017 09:50

ถาม : ทำไมมีดหมอที่หลวงพ่อกวยให้ลูกศิษย์ที่ยกครูแล้วถึงใช้ยันต์หนุมานผลาญลงกา ?
ตอบ : ก็น่าจะเป็นวิชาที่ท่านมั่นใจที่สุด ถึงเวลาให้ลูกศิษย์ที่รับสืบทอดก็เลยต้องเอาลายที่ตนเองมั่นใจที่สุด

เถรี 08-12-2017 09:51

พระอาจารย์กล่าวว่า “ในชีวิตของอาตมา เคยได้ร่วมพิธีเสกน้ำศักดิ์สิทธิ์เพื่อถวายในหลวงรัชกาลที่ ๙ สองครั้ง ครั้งแรกตอนปี ๒๕๓๐ ช่วงพระองค์เจริญพระชนมายุ ๖๐ พรรษา พิธีที่วัดท่าซุง อาตมาแค่มีส่วนร่วมเท่านั้น พอมาช่วงพระชนมายุ ๘๐ พรรษา อาตมาได้รับนิมนต์โดยตรงเลย ให้ไปร่วมเสกที่วัดใต้ (วัดไชยชุมพลชนะสงคราม) เขานิมนต์พระแค่ ๑๐ รูป ประมาณว่าเอาที่แน่ใจได้จริง ๆ

คราวนี้ครั้งที่ ๓ ก็น่าเป็นพิธีพระบรมราชาภิเษกในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ กำลังรอดูว่าเมื่อไรจะมีหมายกำหนดการเป็นทางการออกมา เพราะว่าหลังพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพแล้ว ก็สามารถจะทำพิธีบรมราชาภิเษกได้ทุกเมื่อ แต่ก็คงจะต้องให้โหรหลวงหาฤกษ์ที่เหมาะสมกับพระองค์มากที่สุด ”

เถรี 08-12-2017 09:51

ถาม : (คาถาอาราธนาครุฑ)
ตอบ: อะหัง ครุโฑ อาคะโต อัสสะมิ นาคะราเช อัปเปหิ ไปใช้นี่งูเข้าใกล้ไม่ได้นะ

เถรี 24-12-2017 08:26

โยมมารับวัตถุมงคล "หลวงปู่เดินหนก็เหมือนกับหลวงปู่โลกอุดรนั่นแหละ กว่าท่านจะออกมาเสกของให้ใครแต่ละงาน ยากเย็นแสนเข็ญ ให้เรามั่นใจว่าเป็นท่านก็แล้วกัน ส่วนใหญ่คนไม่คิดว่าท่านจะผอมได้ขนาดนั้น"

เถรี 24-12-2017 08:32

พระอาจารย์กล่าวว่า "เดือนพฤศจิกายนไม่ใช่วันเด็กไม่ใช่หรือ ? ทำไมวันนี้เด็กเยอะมาก เด็ก ๆ จะมีความทุกข์น้อยกว่าผู้ใหญ่ตรงไหนรู้ไหม ? ตรงที่ว่าเด็กขอให้กินได้อย่างใจ เล่นได้อย่างใจ แค่นั้นเขาพอแล้ว

ผู้ใหญ่ทุกข์มากกว่าเพราะว่าผู้ใหญ่ไม่รู้จักพอ โบราณเราถึงได้บอกว่า ถ้ารู้จักพอ ก่อสุขทุกสถาน ทีนี้ส่วนใหญ่ก็คือไปแสวงหาเพิ่มเติมไปเรื่อย ๆ พอคนไหนรู้จักพอขึ้นมาก็ไปว่าเขาเพี้ยนอีก

แบบเดียวกับที่เขาเล่าว่า มีมหาเศรษฐีท่านหนึ่ง ไปเที่ยวเกาะทางทะเลอันดามัน เช่าเรือชาวบ้านวิ่งไป ระยะทางเป็นชั่วโมง กว่าจะถึงก็ชวนคนขับเรือคุยไปเรื่อย "ทำมาหากินอะไร ?" "หาปลาครับ ถ้ามีเวลาว่างก็จะรับจ้างพานักท่องเที่ยวไปส่ง" "หาปลาอย่างไร ?" "ก็ออกไปตกเบ็ด ใช้สายมือ ได้ปลามาก็เอาไปขาย ซื้อข้าวของจำเป็นกลับมา"

เศรษฐีก็บอกว่า "ทำไมไม่ไปกู้เงิน ? แล้วก็ออกเรืออวนมาเลย ตีอวนลากปลาส่งแพปลาจะได้เงินมากกว่า" "เวลามีเงินมาก ๆ แล้วผมจะไปทำอะไร ?" เศรษฐีก็บอก "อ้าว...เราก็จะได้พักผ่อนอยู่กับบ้าน จะได้ท่องเที่ยวในที่ซึ่งตัวเองชอบใจ" ชาวประมงบอกว่า "ทุกวันนี้ผมก็สบายอยู่แล้ว พักผ่อนอยู่กับบ้าน ถึงเวลาจะไปไหนก็ไป" คนไม่รู้จักพอกับคนรู้จักพอเขาคุยกัน"

เถรี 24-12-2017 08:36

พระอาจารย์กล่าวว่า "มีใครวางแผนล่วงหน้าถึงขนาดเตรียมเที่ยวปีใหม่แล้วบ้าง ปีใหม่นี้มีวันหยุดต่อเนื่อง ๔ วัน วัดท่าขนุนจัดงานบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรม จัดงานสวดมนต์ข้ามปี จัดงานใส่บาตรพระปีใหม่ ๙๙ รูปร่วมกับเทศบาล แล้วก็มีงานถนนคนนั่งยอง

งานถนนคนนั่งยองทองผาภูมิ ความจริงเป็นวิถีชีวิตชาวบ้าน สมัยโน้นช่วงที่เศรษฐกิจเริ่มดี เพราะว่ามีเหมืองแร่ปิล็อก บรรดาข้าวของเครื่องใช้สินค้าต่าง ๆ ที่จะเอาขึ้นไปปิล็อก ต้องมาซื้อหาจากทองผาภูมิ บรรดาที่พักก็ต้องทองผาภูมิ อาหารการกินก็ทองผาภูมิ

คราวนี้ชาวบ้านส่วนใหญ่เป็นมอญ เป็นพม่า มอญพม่าก็นิยมตั้งโต๊ะเตี้ย ๆ ประเภทนั่งยอง ๆ วางหาบตั้งโต๊ะ วางเก้าอี้เตี้ย นั่งขายของ นั่งกินกัน จนกลายเป็นถนนคนนั่งยองไป อาตมาเวลาไปพม่าก็แบบนั้นแหละ ยอง ๆ เหลาเหมือนกัน

ของพม่ายังทำกันเป็นปกติอยู่ จะมีโต๊ะกลมสูงประมาณโต๊ะตัวนี้ แล้วก็มีเก้าอี้เตี้ย ๆ ตั้งรอบโต๊ะ ภายในวัดพอถึงเวลาไปนั่งฉัน พระเจ้าถิ่นท่านก็เอาขันข้าวยัดใต้โต๊ะ ส่งพรวดมาให้ ของเรารับมาเสร็จ ตักข้าวพอแล้ว ใครต้องการก็ยัดใต้โต๊ะส่งพรวดไปให้เขา

พอมาถึงบ้านเราเมืองไทย ทำโต๊ะเตี้ยเลียนแบบเขาแล้วดันไปทำไม้ขวางกลาง ก็เลยยัดกาละมังข้าวไม่ได้ เลียนแบบเขามาแต่ไม่ได้ดูการใช้งานของเขา ถึงเวลาเราดันมาทำไม้ขวางกลางเพื่อให้แน่นหนาขึ้น ก็เลยไม่สามารถที่จะลอดใต้โต๊ะไปได้เหมือนกับทางพม่า

ปัจจุบันนี้ของวัดท่าขนุนก็ยังมีโต๊ะกลมแถวบนให้พระที่อาวุโสหน่อยนั่งฉัน พระที่เป็นพระใหม่พรรษาน้อยก็ฉันกันด้านล่าง นั่งเก้าอี้กันสบายใจ ส่วนข้างบนก็นั่งขัดสมาธิบ้าง นั่งพับเพียบบ้าง แล้วแต่ถนัด"

เถรี 24-12-2017 08:40

"วันก่อนพระครูน้อยมาจากวัดหนองบัวที่พม่า บอกว่าค่าเงินพม่าตกอีกแล้วอาจารย์ อาตมาข้ามไปพม่าอยู่ ๖ ปี ตั้งแต่เงิน ๑ บาทแลกเงินพม่าได้ ๖ จั๊ต จนกระทั่งถึง ๑ บาทแลกได้ ๒๒ จั๊ต แล้วก็ไม่ได้ไปอีกเพราะว่าสร้างวัดหนองบัวเสร็จแล้ว คราวนี้พระครูน้อยไปเป็นเจ้าอาวาส ปีนี้กลับมาเจอหน้ากันเมื่อ ๓ วันที่แล้ว บอกว่า "อาจารย์เงินพม่าตกไปอีกแล้ว" ถามว่า ๓๕ จั๊ตต่อบาทแล้วใช่ไหม ?ท่าน บอกว่า ๔๐ จั๊ตครับ..!

โยมลองนึกว่าอาตมาอยู่ชายแดนปี ๒๕๒๔ เงินไทย ๒ บาทแลกพม่าได้ ๑ จั๊ต เงินพม่าใหญ่กว่าเท่าหนึ่ง แล้วรัฐบาลทหารบริหารมาตลอด บริหารอย่างไรประเทศชาติถึงได้บรรลัยวายวอดขนาดนั้น ? จากเงินที่ใหญ่กว่าประเทศไทย ๑ เท่ากลายเป็นเล็กกว่า ๔๐ เท่า..!

เพราะฉะนั้น...รีบ ๆ ตอบปัญหา ๖ ข้อของรัฐบาลไว ๆ ก่อนที่เงินไทยจะเล็กกว่าพม่า ๔๐ เท่า..!"

เถรี 24-12-2017 08:42

"ส่วนใหญ่แล้วรัฐบาลทหารของเราจะบริหารไม่เป็น ไม่ว่าของประเทศไหนก็เหมือนกัน เพราะว่าทหารถนัดแต่การสู้รบเท่านั้น แม้ว่าปริญญาที่จบมาเขาจะบอกว่าเป็นวิทยาศาสตร์บัณฑิตก็เถอะ เป็นเรื่องที่ตลกมากเลย ทหารเรียนจบโรงเรียนนายร้อยมา แต่จบวิทยาศาสตร์บัณฑิต เป็นวิทยาศาสตร์ด้านการอาวุธ ถ้าไม่ได้ศึกษาความรู้ด้านอื่นมา จะให้บริหารประเทศให้ดีย่อมเป็นไปไม่ได้

รัฐบาลของพลเอกอูนุ พลเอกเนวิน มาจนถึงรุ่นหลัง ๆ อย่างพลเอกตานฉ่วย บริหารประเทศจนกระทั่งล่มจมทุกวันนี้ แม้กระทั่งอองซานซูจีมาก็ไม่สามารถที่จะทำให้ดีได้ เพราะว่าติดด้วยว่ารัฐบาลทหารยังยืนค้ำอยู่ จะทำอะไรก็ต้องเกรงใจ ประเทศชาติก็เลยไม่เจริญสักที มีแต่ถอยหลังไปเรื่อย ๆ

จากเงินใหญ่กว่าไทย ๒ เท่า ปี ๒๕๒๔ มาถึงปี ๒๕๖๐ แค่ ๓๖ ปี กลายเป็นเล็กกว่าเงินไทย ๔๐ เท่า แล้วนี่รัฐบาล คสช.ยังจะวางแผนปกครองประเทศยาว ๒๐ ปี เงินไทยอาจจะเล็กกว่าเวียดนามก็ได้ ตอนนี้ไปกินข้าวที่เวียดนาม เขาบอกว่ามื้อละเป็นแสนไม่ต้องตกใจนะ เขาคิดเป็นเงินด่อง"

เถรี 24-12-2017 08:45

พระอาจารย์กล่าวว่า "ปัจจุบันนี้อเมริกาดำเนินนโยบาย อเมริกันต้องมาก่อน เมื่อเป็นในลักษณะอย่างนั้น เท่ากับว่าจะมีการกีดกันทางการค้าโดยปริยาย ส่วนประเทศเราเคยค้าขายโดยเป็นผู้ส่งออกไปอเมริกา อเมริกาเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่สุด คนอเมริกันเมื่อเศรษฐกิจดีก็บริโภคกันแบบไม่ยั้ง สินค้าทุกอย่างที่ส่งไปขายได้หมด ในเมื่อเศรษฐกิจไม่ดี เขาดำเนินนโยบายอเมริกันต้องมาก่อน ก็ต้องมีการกีดกันทางการค้า

คราวนี้รัฐบาลของเราไม่ได้เตรียมตัว ไม่มีการที่จะติดต่อหาตลาดทางด้านอื่น ๆ ล่วงหน้าไว้ ผู้ส่งออกก็จะลำบาก ปัจจุบันนี้กลายเป็นว่าถ้าให้เอกชนทำจะดี รัฐบาลยื่นมือไปเมื่อไรก็ยุ่งทุกที แล้วก็จะมีกฎระเบียบอะไรใหม่ ๆ ออกมามากมาย อย่างเช่นว่า บัญชีเงินฝากไม่มีการเคลื่อนไหว ๑๐ ปีจะยึดเป็นของรัฐ อย่างนี้อาตมาเองก็จะไม่เหลือเงินมรดกเลย เพราะว่าฝากทิ้งไว้เฉย ๆ แต่ก็ไม่เป็นไร ถ้าหากว่ายึดไปแล้วทำให้ประเทศชาติเจริญได้ แต่ถ้ายึดไปแล้วกลายเป็นว่าแบ่งกันกินแบ่งกันใช้ก็เป็นกรรมของประเทศ..!

ปัจจุบันนี้มีแนวโน้มให้วัดรับบริจาคออนไลน์ โดยกรมสรรพากรจะเป็นผู้ดำเนินการให้ จะมีการหักภาษี ณ ที่จ่ายเลย กลายเป็นว่าโยมบริจาคเงินมาหนึ่งร้อย ไม่รู้ว่าจะถึงมือพระเท่าไร ตอนแรกก็ออกมาปฏิเสธว่าไม่มีความคิดอย่างนี้ แต่มีหลายวัดที่โดนบังคับให้ทำบัตรผู้เสียภาษีไปแล้ว เขาเอาบัตรมาให้ดู"

เถรี 24-12-2017 08:48

"เรื่องพวกนี้มีทั้งการส่งเสริมจากบุคคลที่ตั้งใจทำลายพุทธศาสนาให้อ่อนแอที่สุด เพื่อเอาศาสนาอื่นขึ้นมาแทน ขณะเดียวกันก็เป็นบุคคลประเภทโง่แล้วขยัน ก็เลยโดนเขาฉกฉวยโอกาสได้ ต้องบอกว่าช่วงนี้เป็นช่วงของความตกต่ำของพระพุทธศาสนา ที่กลายเป็นเป้าหมายให้เขาโจมตี

แต่เราต้องดูด้วยว่า ถ้าเราไม่มีจุดอ่อน เขาก็ตีเราไม่ได้ เนื่องจากว่าพระภิกษุสามเณรของเราจำนวนหนึ่ง ไปทำในสิ่งที่เข้าทางให้เขาตีได้ อาตมาถึงได้อบรมพระอยู่ทุกวัน พยายามให้ทำทุกอย่างให้ถูกต้องตามพระธรรมวินัย เมื่อเราไม่มีบาดแผล เขาโจมตีเราไม่ได้ ถ้าหากว่าเราทำถูกต้องตามพระธรรมวินัย คนยังศรัทธาในพระพุทธศาสนาอีกมาก เขารู้ว่าที่ไหนดี ที่ไหนไม่ดี ในส่วนนี้จะว่าไปแล้ว ถ้าเรามาปัดกวาดบ้านตัวเอง ก็คือทำทุกอย่างให้ถูกต้องตามพระวินัย ก็จะไม่มีปัญหาเกิดขึ้น

เมื่อวานนี้ท่านพุทธอิสระออกมาโจมตีท่านเจ้าคุณพรหมบัณฑิต ว่าท่านเจ้าคุณพรหมบัณฑิตเป็นกรรมการมหาเถรสมาคม ซึ่งมีคำสั่งให้ทางด้านเจ้าคณะใหญ่ออกหนังสือคำสั่ง ไม่ให้พระภิกษุสงฆ์ของเรายุ่งเกี่ยวกับการเมือง หรือวิพากษ์วิจารณ์การเมือง เป็นต้น แต่ท่านเจ้าคุณพรหมบัณฑิตไปเซ็นเอ็มโอยูกับทางรัฐบาล เพื่อที่จะนำหลักธรรมเข้าไปพัฒนานักการเมือง"

เถรี 24-12-2017 08:53

"คราวนี้การที่จะพัฒนาประชาธิปไตยโดยหลักพุทธธรรม ก็ต้องเป็นหน้าที่ของพระ ทางการเมืองต้องการ ขอร้องมาพระก็ต้องทำ แต่ว่าท่านพุทธอิสระนี่ต้องบอกว่า ถ้าเป็นภาษาจีนเรียก เจี่ยป้าบ่อสื่อ กินอิ่มไปไม่มีอะไรจะทำ เห็นใครได้ดี ต้องโจมตีเอาไว้ก่อน

ตัวเองอยู่ในการเมืองอย่างเต็มตัวขนาดพาคนไปประท้วงรัฐบาล ไปปิดกั้นสถานที่ราชการ แต่เขาไม่เคยคิด คนประเภทนี้อาตมาถือว่าเป็นโมฆบุรุษ ก็คือตัวเองทำผิดทำชั่วอย่างไร ไม่เคยดูตัวเอง ไม่เคยแก้ตัวเอง มองแต่ว่าคนอื่นผิดอย่างไร ก็ในเมื่อทางราชการต้องการให้พระใช้หลักธรรมในการพัฒนาประชาธิปไตย ก็ต้องมีการเซ็นข้อตกลงร่วมกัน ซึ่งถือว่าเป็นพัฒนาการที่ดี

ศาสนากับการเมืองสามารถที่จะอยู่ร่วมกันได้ และสามารถที่จะนำไปใช้งานจริงได้ แต่ของท่านพุทธอิสระเหมือนกลัวว่าโลกนี้จะสุขสงบเกินไป อะไรที่เกิดขึ้นมาไม่ถูกกิเลสตัวเอง ผิดหมด ต้องตีหมด อาตมาเห็นว่าปัจจุบันนี้ส่วนหนึ่งของพุทธศาสนาที่วุ่นวายนั้น ท่านพุทธอิสระต้องรับผิดชอบไปครึ่งหนึ่ง เพราะว่าความฉิบหายวายป่วง ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือของท่านไปครึ่งหนึ่งเป็นอย่างน้อย"

เถรี 24-12-2017 08:57

"สมัยก่อนเคยบรรยายธรรมร่วมกัน อาตมารู้สึกว่าเป็นคนชอบโอ้อวด อะไรทุกอย่างใช้คำพูดลักษณะวางโต ต้องบอกว่าพูดคำโตเกินไป บางทีอาตมาเองก็แกล้งแหย่ไปเรื่อย เช่นท่านบอกว่า "เรื่องการศึกษาในพุทธศาสนานั้น เราต้องบูรณาการ ต้องรู้จริงในทุกเรื่อง อย่างเช่นว่าเราขับรถ เราจะรู้จักแต่ติดเครื่องเข้าเกียร์ไม่ได้ เราต้องรู้ด้วยว่าส่วนประกอบอื่น ๆ ประกอบขึ้นมาอย่างไร พวงมาลัย คันส่ง คันชัก ล้อรถ ช่วงล่างทำงานอย่างไร"

อาตมาเองก็ยกมือขัด "ขออภัยครับหลวงปู่ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ถ้าศึกษาหมดนี่ผมตายห่..ก่อน ไม่ได้เผยแผ่พุทธศาสนาหรอก" ท่านก็ว่า "ท่านพูดอย่างนั้นไม่ถูก มันต้องอย่างนี้..." ก็ว่าของท่านไปชั่วโมงหนึ่ง อาตมาก็สบาย ใกล้หยุดเมื่อไรเดี๋ยวแหย่ไปอีกประโยคหนึ่ง ๒ คนกับเจ้าคุณทัตตชีโวนั่งมองหน้ากันแล้วก็ยิ้ม ปล่อยให้ท่านเหนื่อยไปคนเดียว

ความจริงตอนแรกกระซิบถาม "หลวงพ่อเจ้าคุณ..ตกลงจะเอาอย่างไร จะให้เขาพูดหรือเราพูด ?" ท่านบอกว่า "ให้เขาเถอะ เขาอยากพูด" ในเมื่อเขาอยากพูด อาตมาก็ปล่อย พอท่านเบาลงก็กระทุ้งท่านที เบาลงก็กระทุ้งอีกที จะว่าไปแล้วก็ดีเหมือนกัน บรรยายอยู่ ๓ - ๔ ชั่วโมง อาตมาพูดแค่ไม่กี่ประโยค ท่านเป็นคนที่อวดรู้ทุกเรื่อง ในเมื่ออวดรู้ทุกอย่างก็เลยกลายเป็นว่า เอาความคิดของตัวเองเป็นใหญ่ ไม่ได้เอาความจริงหรือสภาพสังคมมารองรับ"

เถรี 24-12-2017 09:49

ถาม : จะขึ้นบ้านใหม่ครับ แต่ไม่มีวันศุกร์ข้างขึ้นที่เป็นวันดาว เป็นวันธรรมดาได้หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าไม่คิดจะเอาฤกษ์ วันไหนก็ได้

เถรี 24-12-2017 09:57

ถาม : บางคนเวลาเขาพูดกับเราอย่างหนึ่ง แล้วแสดงคำพูดอีกอย่างหนึ่งกับคนอื่น ?
ตอบ : ปกติ...คนเราส่วนใหญ่อยากให้คนอื่นเห็นว่าตัวเองสำคัญ ก็เลยเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง พูดอะไรก็ได้ที่ให้ตัวเองรู้สึกว่าดี แต่ขณะเดียวกันเหยียบคนอื่นลงไปหรือเปล่า ? บางทีไม่ได้คิด เป็นธรรมดาของมนุษย์

เถรี 26-12-2017 22:19

ถาม : สวดมนต์แล้วได้กลิ่นหอมลอยมา ?
ตอบ : แล้วดีหรือไม่ดี ? ได้กลิ่นดีกว่าไม่ได้กลิ่น เราทำความดี พรหมเทวดาท่านก็โมทนาด้วย คราวนี้บางทีโมทนาเฉย ๆ เราก็ไม่รู้เรื่อง ท่านก็เลยทำให้ได้กลิ่น

เถรี 26-12-2017 22:39

ถาม : ชาตินี้จะได้ไปพระนิพพานไหมครับ ?
ตอบ : อยู่ที่เราทำ ถ้าตั้งใจจริงก็มีสิทธิ์ ถ้าไม่ตั้งใจจริงอีกกี่ชาติก็ไม่มีสิทธิ์

ถาม : แล้วต้องทำอย่างไรบ้างครับ ?
ตอบ : ศีล สมาธิ ปัญญา

เถรี 26-12-2017 23:10

พระอาจารย์เล่าว่า "ช่วงเดือนที่ผ่านมาในเขตปกครองของอาตมา มีวัดวังปะโท่ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่ของทองผาภูมิ เป็นวัดของอดีตเจ้าคณะจังหวัดสังขละบุรี เกิดปัญหากันระหว่างรักษาการเจ้าอาวาสกับคณะกรรมการวัด

เนื่องจากว่าทอดกฐินได้เงินมา คณะกรรมการวัดอยากจะให้จ่ายหนี้ให้หมด รักษาการเจ้าอาวาสยังไม่อยากจ่าย โดยคณะกรรมการวัดปรึกษาตกลงกันว่าให้จ่ายไป แล้วก็เรียกเจ้าหนี้มารับเงินไป ทั้งหมดตกห้าแสนกว่าบาท เหลือเงินให้วัดประมาณสามแสนบาท ทางด้านรักษาการเจ้าอาวาสไม่พอใจ ก็เลยพาพระลูกวัดหนีกลับไปอยู่วัดพระอุปัชฌาย์ของท่าน

ไวยาวัจกรวัด ผู้ใหญ่บ้าน และกรรมการวัดมาหาอาตมาแจ้งเรื่องให้ทราบ บอกว่ารักษาการเจ้าอาวาสท่านทำอย่างนี้มา ๒ ครั้งแล้ว ทุกครั้งที่มีเงินมาวัด ท่านก็จะทำตัวมีปัญหา อาตมากลัวว่าจะเป็นการกล่าวหาข้างเดียว ก็เลยนัดประชุม ปรากฏว่านัดครั้งแรก รักษาการเจ้าอาวาสไม่มา แต่ให้พระอุปัชฌาย์ของท่านมาแทน พระอุปัชฌาย์ท่านก็บอกว่า ปัญหาอยู่ที่คณะกรรมการวัด ไม่ได้อยู่ที่ลูกศิษย์ของท่าน

อาตมาก็เลยนัดประชุมครั้งที่ ๒ ในวันรุ่งขึ้น โดยให้ผู้ใหญ่บ้านประกาศเรียกชาวบ้านในชุมชนมาทั้งหมด แล้วก็ให้พระอุปัชฌาย์พารักษาการเจ้าอาวาสมา แต่ปรากฏว่าท่านก็ไม่มา ในเมื่อรักษาการเจ้าอาวาสไม่มา บรรดาคณะกรรมการวัดกับชาวบ้านประชุมกันแล้วว่า ให้กำหนดเป็นข้อตกลงร่วมกันระหว่างชาวบ้านกับเจ้าอาวาส"

เถรี 26-12-2017 23:14

"ประการแรก ถ้าเงินทองมาถึงวัด ให้ฝากในบัญชีที่ต้องมีคนเซ็นชื่อร่วมกัน ๓ ชื่อจึงจะเบิกได้ พูดง่าย ๆ ว่ามีรักษาการเจ้าอาวาสชื่อหนึ่งกับอีก ๒ คนที่รักษาการเจ้าอาวาสท่านไว้ใจ

ประการที่ ๒ ให้ทำบัญชีวัดให้โปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ทุกเวลา

ประการที่ ๓ การก่อสร้างทุกอย่าง ถ้าจะทำให้ปรึกษากรรมการวัดก่อน ถ้ากรรมการวัดเห็นชอบถึงจะทำได้

อาตมาก็เห็นว่าเป็นเรื่องปกติ ก็คือเป็นเรื่องที่ทำแล้วทำให้ดีขึ้น โปร่งใส ตรวจสอบได้ ก็ค่อนข้างจะมีความมั่นใจว่าคณะกรรมการวัดชุดนี้ใช้ได้ แต่พระอุปัชฌาย์ท่านบอกว่า ถ้าข้อตกลงแบบนี้ไปหาเจ้าอาวาสใหม่ได้เลย เขาไม่กลับมาหรอก ผู้ใหญ่บ้านก็เลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้น ท่านจะไปหารักษาการเจ้าอาวาสเอง เอาข้อตกลงนี้ไปให้ดู ถ้าหากว่าตกลงก็ให้กลับมาเป็นเจ้าอาวาสต่อ ถ้าหากว่าไม่ตกลงก็จะหาเจ้าอาวาสใหม่

อาตมาก็ให้เวลา ๕ วันเต็ม ๆ ปรากฏว่าไม่สามารถที่จะเอาคนเก่ากลับมาได้ ก็เลยเอาตัวพระครูปลัดปรีชา, ดร. รุ่นเดียวกับอาตมา ที่เป็นคนบ้านนั้นมาเป็นเจ้าอาวาสแทน ซึ่งท่านก็ต้องทิ้งงานมา เพราะว่าท่านเป็นผู้อำนวยการหลักสูตรรัฐประศาสนศาสตร์อยู่ที่วิทยาลัยสงฆ์สุพรรณบุรี"

เถรี 26-12-2017 23:15

"อาตมามีข้อแม้อยู่อย่างเดียวว่า ให้คณะกรรมการวัดไปคุยกันให้รู้เรื่องก่อนว่าเอาคนนี้แน่ ๆ เพราะว่าถ้าอาตมาเอาท่านออกจากงานมา แล้วทางด้านนี้บอกว่าไม่เอา คนที่ซวยคืออาตมาเอง..!

ตกลงกันเรียบร้อยแล้ว ทางด้านผู้ใหญ่บ้านบอกว่าเพื่อความมั่นใจ ท่านจะไปรับเอง จึงตกลงไปรับเจ้าอาวาสใหม่มาจากวัดป่าเลไลยก์มา มาถึงอาตมาก็ทำพิธีมอบตราตั้งรักษาการเจ้าอาวาสให้ ปรากฏว่าทุกอย่างน่าจะจบลงด้วยดี แต่ก็ไม่จบ เพราะว่าทางวัดวังปะโท่นี่เป็นวัดสุดท้ายในเขตปกครอง ซึ่งล้ำไปอยู่ในเขตของตำบลห้วยเขย่ง เมื่อถึงเวลาวัดมีงาน รักษาการเจ้าอาวาสอยู่รูปเดียว ก็เลยไปขอพระจากวัดของพระอุปัชฌาย์ของอดีตรักษาการเจ้าอาวาสมา ท่านก็ไม่ให้ อาตมาจึงต้องส่งพระวัดท่าขนุนไปอยู่ด้วย

สรุปว่าระยะหลัง พอเอาพระจากวัดท่าขนุนไปเป็นเจ้าอาวาส ก็เท่ากับต้องเอาพระลูกวัดไปอีก ๕ รูป สรุปว่าถ้าทุกรูปกลับมาพร้อม ๆ กัน วัดท่าขนุนก็ไม่มีที่ให้นอนแล้ว

ตอนนี้หลัก ๆ เลยก็คือ วัดพุทธบริษัท วัดพุทธมณฑลอรัญญิกาวาส วัดวังปะโท่ สำนักสงฆ์เกาะพระฤๅษี สำนักสงฆ์ถ้ำทะลุ วัดบ้านห้วยน้ำขาว วัดประตูด่าน วัดหนองบ้านเก่า สำนักสงฆ์สุธรรมาราม สรุปว่าวัดท่าขนุนตอนนี้เป็นสำนักผลิตเจ้าอาวาส ใครอยากได้ก็มาเอาไป แล้วก็ต้องแถมพระลูกวัดให้ด้วย"

เถรี 26-12-2017 23:27

"ที่กล่าวมายืดยาวนี้ ไม่ได้คิดจะเล่าเรื่องเจ้าอาวาสวัดวังปะโท่เลย จะเล่าว่าวัดวังปะโท่มีควายอยู่ตัวหนึ่ง เป็นควายที่เขาบอกว่ามีลักษณะดีเลิศตามลักษณะของควายที่ดีทั้งหลาย ประมาณว่าหน้าแด่น หางดอกด้วย แต่ขอโทษ...ควายตัวนี้คงรู้ว่าตัวเองหล่อกว่าใคร เพราะฉะนั้น...ใครเข้าใกล้ไม่ได้ แม้แต่อาตมาก็จะโดนขวิด ก็เลยบอกพระครูปลัดปรีชาว่า บริจาคให้ทางบ้านควายไทยที่สุพรรณบุรี หรือไม่ก็ธนาคารโคกระบือของในหลวงรัชกาลที่ ๙ ไปเลย

ท่านบอกว่าไม่มีใครเข้าใกล้ได้ครับ เจ้านี่ยอมให้พระสาเหล่ท่านเดียว พระรูปนี้เป็นพระกะเหรี่ยง อาตมาก็เลยบอกกับควายว่า "ถ้าเอ็งไม่ไป...ก็จะเข้าโรงฆ่าสัตว์" ปรากฏว่าคืนนั้นสะบัดเชือกขาด หนีไปไหนก็ไม่รู้ ? ก็แสดงว่ารู้ภาษาจริง ๆ ไม่รู้ว่าเขาไปตามกลับมาหรือยัง ? เป็นควายที่เขาซื้อเพื่อสะเดาะเคราะห์แล้วเอาไปปล่อยไว้ที่วัด

ตอนแรกอาตมาก็คิดว่าวัดท่าขนุนมีพื้นที่ป่า จะหาควายสักตัวสองตัวมาเลี้ยงไว้ เพราะว่าปัจจุบันนี้ควายไทยหายากแล้ว ควายบ้านเราถ้าไม่ใช่ควายมูร่าห์ของอินเดียก็จะเป็นควายพม่า นึกไปนึกมาแล้วจะหาภาระเพิ่มให้พระโดยใช่เหตุ ก็เลยไม่ได้ซื้อมา

มีอยู่ช่วงหนึ่งก็คิดว่าจะซื้อลูกหมูป่ามาเลี้ยง เผื่อให้ช่วยเก็บเศษอาหาร ปรากฏว่าไปเจอหมูป่าคู่หนึ่ง สองตัวนั้นไม่ใช่หมูแล้ว กลายเป็นอะไรไปแล้วก็ไม่รู้ ? ชื่อแอปเปิ้ลกับองุ่น แต่กินทุกอย่างที่ขวางหน้า หมูป่าน้ำหนักเต็มที่ ถ้าในป่าก็คงไม่เกิน ๑๒๐ กิโลกรัม แต่ ๒ ตัวนั้นน่าจะเกิน ๒๐๐ กิโลกรัมไปแล้ว"

เถรี 26-12-2017 23:37

"เรื่องของการสรรหาเจ้าอาวาสในปัจจุบันนี้เป็นเรื่องใหญ่สำหรับอาตมา เพราะว่าถ้าเราส่งคนที่กำลังใจยังไม่ได้ที่ไป จะมีปัญหากับชาวบ้าน ต้องส่งไปประเภทที่ฟังเขาด่าก็ไม่เป็นไร ฟังคนชมก็ไม่เป็นไร ประมาณนั้น

อาตมาเองก็ทำตัวอย่างให้พระครูปลัดปรีชาท่านดู ตั้งแต่สมัยอยู่วัดทองผาภูมิ ที่บรรดาคณะสงฆ์เขากลัวว่าอาตมาจะเป็นเจ้าคณะอำเภอ ก็เลยระดมพลกันมาด่าในลักษณะคัดค้าน ยกเอาข้อผิดพลาดอะไรแม้แต่เล็กน้อยในชีวิตทุกอย่างขึ้นมา เพื่อที่จะทำให้ดูว่าอาตมาเป็นคนที่ใช้ไม่ได้ ไม่สมควรกับตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอ

แม้กระทั่งการนำโยมอาราธนาศีล เขาบอกว่าเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้ อาตมาเองก็ขำ ๆ ถึงเวลาก็ส่งไมค์ให้ทีละรูป ท่านนี้มีอะไรจะพูดก็ว่าไป พูดเสร็จก็ส่งให้อีกรูป ท่านนี้มีอะไรจะพูด พระครูปลัดปรีชานี่แหละที่โมโหจนหัวล้านแดงเลย บอกว่า "เขาด่าอาจารย์นะ อาจารย์ยังใจเย็นไปส่งไมค์ให้เขาด่าอีก" "ก็ปล่อยเขาด่าเหนื่อยไปสิ ผมไม่ได้เหนื่อย ผมแค่ฟังเฉย ๆ"

หลังจากนั้นอาตมาเองทำตัวเป็นปกติ เจอหน้าแต่ละท่านก็ยังคงกราบยังคงไหว้เหมือนเดิม ยังคงพูดดีด้วยเหมือนเดิม ท่านทั้งหลายเหล่านั้นก็ล้วนแต่ทำท่าสยองขวัญ เหมือนกับว่าอาตมาจะฆ่าท่านเมื่อไรก็ไม่รู้ ? ตอนหลังเจ้าคณะอำเภอรูปปัจจุบันนี้ท่านยังบอกว่า "ผมเองเข้าใจพระอาจารย์เล็กผิดไป ผมคิดว่าท่านจะเป็นคนอย่างที่เขาว่ามา"

ถ้าเราอยู่ท่ามกลางที่สาธารณะให้คนอื่นเขาก่นด่าได้ตามความสบายใจ ก็แปลว่ากำลังใจพอที่จะรับมือกับกิเลสได้แล้ว คนด่าแล้วเรายิ้ม แถมยังถามคนต่อไปว่ามีอะไรจะด่าอีกไหม ? พวกเราลองไปทำดูก็แล้วกัน ห้ามหัวร้อนเด็ดขาด ถ้าหัวร้อนแล้วจะเป็นอย่างท่านพระครูปลัดปรีชานั่นแหละ หัวล้านแดงอย่างนั้น พระครูปลัดปรีชาท่านอายุน้อยกว่าอาตมา ๕ ปี ตอนนี้หน้าผากยาวไปจะถึงท้ายทอยแล้ว หัวร้อนบ่อยผมร่วงเกลี้ยงเลย"

เถรี 26-12-2017 23:39

"ปัจจุบันนี้หลังจากผ่านไป ๑๓ ปี ท่านเย็นขึ้นมาเยอะ โดยเฉพาะไปเจองานประเภทผจญกับคนมาก ๆ อย่างมหาวิทยาลัยสงฆ์ ตอนนี้ท่านไปเป็นเจ้าอาวาสก็ถือว่าเหมาะสม ถ้าหาเจ้าอาวาสที่ไม่เหมาะสมไปจะเสียหายถึงอาตมาเป็นอันดับแรก หลังจากนั้นก็จะเสียหายถึงหลวงปู่สาย เสียหายถึงวัดท่าขนุน แล้วท้ายสุดภาพรวมก็คือเสียหายแก่พระพุทธศาสนา ฉะนั้น...ของทุกอย่างที่เราทำต้องนึกถึงภาพรวมว่าจะเสียหายไหม ? ไม่ใช่ว่าทำตามอารมณ์ตัวเอง

การบวชพระจึงจำเป็นที่จะต้องมีวุฒิภาวะทางอารมณ์ที่มั่นคงพอ พระพุทธเจ้าถึงได้กำหนดว่าต้องอายุ ๒๐ ปีขึ้นไป แล้วโบราณของเราก็นิยมว่าให้บวชก่อนที่จะเบียด ก็คือให้บวชสักพรรษาหนึ่งก่อน แล้วค่อยสึกหาลาเพศมามีครอบครัว

คราวนี้ในชีวิตฆราวาสอยากทำอะไรก็ทำตามใจ จะกินเมื่อไร จะนอนเมื่อไรก็ได้ จะเที่ยวจะเตร่หัวหกก้นขวิดอย่างไรก็ได้ แล้วอยู่ ๆ ก็เหมือนกับไปติดคุกอยู่ ๓ เดือน โดยมีพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า ๒๒๗ ข้อเป็นอย่างต่ำ บีบคั้นอยู่ตลอดเวลา อะไรที่เคยคิด เคยพูด เคยทำ จะคิดอย่างนั้น ทำอย่างนั้น พูดอย่างนั้นไม่ได้เลย บรรพชิตพึงพิจารณาเนือง ๆ ว่า เรามีเพศต่างจากคฤหัสถ์แล้ว อาการกิริยาใด ๆ ที่เป็นของสมณะ เราต้องทำอาการกิริยานั้น ๆ

ก็เลยกลายเป็นว่าการบวชช่วงระยะเวลา ๓ เดือน ถ้าหากว่าอดทนอดกลั้นผ่านไปได้ด้วยดี ก็แปลว่าบุคคลนั้นมีวุฒิภาวะทางอารมณ์มั่นคง เพียงพอที่จะไปเป็นผู้นำครอบครัวได้ โบราณเขาถึงกำหนดว่าควรที่จะบวชก่อนแล้วจึงเบียด"

เถรี 26-12-2017 23:42

"แต่คราวนี้ของเราในปัจจุบันนี้ ความนิยมในการบวชเอาพรรษามีน้อย อาจจะติดด้วยการทำมาหากิน หรือความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเบาบางจางลงก็ไม่ทราบ แต่เป็นที่น่าดีใจว่าในช่วงแต่ละพรรษาที่ผ่านมา วัดท่าขนุนยังมีพระบวชเอาพรรษากันมาก อย่างพรรษานี้ทั้งที่บวชมาฆบูชา วิสาขบูชาและเข้าพรรษา ยังอยู่จำพรรษาด้วยกัน ๑๗ รูป ขณะที่วัดอื่นจะหาพระใหม่มาจำพรรษาสัก ๒ - ๓ รูปก็ยาก

บางท่านบวชตั้งแต่ลอยกระทงปีก่อน หรือมาฆบูชาปีนี้ซึ่งอยู่จนจำพรรษา เป็นเรื่องที่น่ายินดีว่าท่านเป็นคนเอาจริงกัน บางคนก็มาบวชแบบตั้งใจจะไม่สึกเลย อาตมาบอกว่าอย่าไปปิดกั้นตัวเองอย่างนั้น ถ้าเราไปปิดกันตัวเองว่าจะไม่สึกนี่กิเลสตีตายเลย เพราะกิเลสรู้ว่าเราไม่มีทางหนี ให้บอกกับกิเลสว่า "อยู่ไม่ได้เมื่อไรกูจะสึกทันที..!" ถ้าอย่างนั้นกิเลสไม่ค่อยมายุ่งกับเราหรอก เพราะรู้ว่าไอ้นี่มีที่ไปเยอะ..!

หลายคนที่มาถึงก็บอกว่า "ผมจะบวชตลอดชีวิต" อาตมาแนะนำว่า "ใจเย็น ๆ ให้ตั้งใจเอาทีละวันก็พอ" ถ้าวันหนึ่ง สองวันผ่านไปก็เอาสักอาทิตย์หนึ่ง ถ้าอาทิตย์หนึ่งผ่านไปก็ขอสัก ๑๐ วัน ๑๐ วันผ่านไปขอสักครึ่งเดือน ครึ่งเดือนผ่านไปขอสัก ๒๐ วัน ขยับไปเรื่อย อย่าไปบอกว่าบวชตลอดชีวิต จะกลายเป็นสร้างเงื่อนไขให้ตัวเอง

เดี๋ยวจะเหมือนสมัยที่อยู่วัดท่าซุง พระรุ่นน้องบอกรับกฐินแล้วก็จะสึก ก่อนจะสึกก็ไปถ่ายรูปตามสถานที่สำคัญต่าง ๆ ของวัด แล้วก็ไปอธิษฐานว่า ถ้ารูปถ่ายมีปาฏิหาริย์จะบวชตลอดชีวิตไม่สึก สมัยนั้นยังต้องล้างรูปอยู่ ล้างออกมามีดวงแสงดวงเบ้อเริ่มเลยอยู่บนหัวของท่าน ท่านก็ทนอยู่ต่อมาได้ ๒ อาทิตย์เกือบจะบ้าตาย ร้องไห้ไปหาหลวงพ่อวัดท่าซุง บอกว่าตั้งสัจจะเอาไว้อย่างนี้แล้ว อยากจะสึกจะทำอย่างไรดี ?"

เถรี 26-12-2017 23:44

"หลวงพ่อบอกว่า "รู้จักคำว่าอธิษฐานบารมีไหม ?"
ท่านก็บอกว่า "รู้จักครับ เป็นความตั้งใจครับ"
"ก็ความตั้งใจนั่นแหละ เป็นความตั้งใจของใคร ?"
"ของผมครับ"
"ในเมื่อเป็นความตั้งใจของเอ็ง เอ็งก็เปลี่ยนความตั้งใจใหม่สิวะ"


สรุปว่าอธิษฐานบารมีถ้ารู้ว่าผิดก็เปลี่ยนใหม่ได้ ไม่ใช่ดื้อรั้นไปเรื่อย ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าผิด"

เถรี 26-12-2017 23:45

พระอาจารย์กล่าวว่า "พรุ่งนี้อาตมาไปญี่ปุ่น กลับวันที่ ๑๘ บางอย่างไปทั้ง ๆ ที่รู้ว่าอันตราย แต่ที่ไปเกิดจาก ๒ สาเหตุด้วยกัน สาเหตุแรกคือ อาตมาไม่ใช่คนกลัวตาย สาเหตุที่ ๒ ก็คือ ถ้ามีอันตรายแสดงว่าเราสร้างกรรมเอาไว้ ฉะนั้น..ก็ไปชดใช้เขาให้หมดเรื่องหมดราวไป"

เถรี 26-12-2017 23:47

พูดถึงตัวอักษรจีนที่อยู่ด้านหลังรูปอาแปะโง้วกิมโคย

"ฮะ ฮ่อ เฮง เฮง
ฮะ ก็คือ รัก ชอบ
ฮ่อ ก็คือ ดี
เฮง ก็คือ โชคดี

ชื่อเจ้าของอยู่ที่บรรทัดสุดท้าย"


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 02:43


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว