กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านเติมบุญ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=65)
-   -   เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนพฤษภาคม ๒๕๖๐ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=5597)

เถรี 21-05-2017 20:45

พระอาจารย์กล่าวกับพระที่ยกพระพุทธรูปมาถวายสังฆทานว่า “คุณอย่าเอาพระพุทธรูปวางกับพื้นสิ พ่อของเราเอง เราต้องเคารพมากกว่าคนอื่นเขา”

เถรี 22-05-2017 08:57

พระอาจารย์เล่าว่า "ช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา อาตมาไข้จับไป ๒ วัน เหตุเพราะญาติโยมมีเมตตา เห็นว่าอากาศร้อนมากจึงราดด้วยน้ำแข็งเป็นถังเลย

การอุ้มพระสรงน้ำของทางด้านวัดท่าขนุน เป็น Unseen Thailand ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ปีนี้ Unseen มากกว่าปกติ เพราะว่าโยมอุ้มอาตมาผ่านไป เขาก็ราดด้วยน้ำแข็งทั้งถัง น้ำแข็งหลอดเต็มหน้าตักเลย

ต้องบอกว่าบางคนอยากจะได้บุญได้กุศลก็ทำจนสิ้นสติ ไม่ได้คิดว่าพระจะเป็นอย่างไรบ้าง อากาศร้อน ๆ พอโดนความเย็นขนาดนั้นเข้าก็เลยไข้จับ อย่าว่าแต่พระแก่อย่างอาตมาเลย ต่อให้เป็นพระหนุ่มเณรน้อยก็ไข้จับพอกัน"

เถรี 22-05-2017 09:23

พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยที่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ยังอยู่ พวกเราส่วนหนึ่งยังเห็นว่า เมื่อพระองค์ท่านเสด็จ จะมีพสกนิกรจำนวนมากถวายเงิน ขอให้รู้ว่าการถวายเงินกับในหลวงนั้น มีที่มาจากวัดท่าซุงเป็นจุดแรกเริ่ม

ปี ๒๕๒๐ วันที่ ๒๐ เมษายน ในหลวงรัชกาลที่ ๙ พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เสด็จงานปิดทองฝังลูกนิมิตวัดท่าซุง

ลูกศิษย์สายวัดท่าซุงมีความเคยชินอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือการถวายปัจจัยเพื่อร่วมบุญกับหลวงพ่อวัดท่าซุง เมื่อในหลวงเสด็จผ่าน ด้วยความเคยชินก็ควักเงินส่งให้ อาตมาเห็นแล้วก็ขำ ในหลวงท่านชะงักแล้วก็รับ ที่ชะงักเพราะว่าไม่เคยเจอมาก่อน ปรากฏว่ารับไปรับมา สองพระหัตถ์มีแต่ธนบัตรใบใหญ่บ้าง ใบเล็กบ้าง เต็มไปหมด ก็มีลูกศิษย์หลวงพ่อประเภทที่ไม่สนใจฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ส่งถุงก๊อบแก๊บถวาย ๑ ใบ พระองค์ท่านก็เอาปัจจัยทั้งหมดใส่ในถุง แล้วก็กางถุงรับเลย

นั่นคือจุดเริ่มต้นในการถวายเงินกับในหลวงหรือว่าสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ตลอดจนพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์"

เถรี 22-05-2017 09:28

"เมื่อในหลวงเสด็จถึงในพิธี ทรงถวายเงินถุงนั้นกับหลวงพ่อวัดท่าซุง ดูพระพักตร์แล้วพระองค์ท่านมีความสุขมาก ตรัสว่า "หลวงพ่อครับ...เต็มถุงเลย"

จากวันนั้นมาจนกระทั่งพระองค์ท่านเสด็จสู่สวรรคาลัย ถ้าสามารถออกงานได้ เสด็จไปท่ามกลางพสกนิกรได้ เราจะเห็นว่ามีคนถวายเงินเป็นปกติ เพราะว่าข่าวในพระราชสำนักช่วงนั้น ได้ถ่ายทำขณะที่พระองค์เดินรับเงินทอง ที่ชาวอุทัยธานีและจังหวัดใกล้เคียงร่วมกันถวายในลักษณะเป็นกันเองที่สุด

ไม่อย่างนั้นสมัยก่อนจะถวายเงินโดยเสด็จพระราชกุศล ต้องแจ้งทางสำนักพระราชวังว่าเป็นใคร ? มาจำนวนกี่คน ? ถวายเงินเป็นจำนวนเท่าไร ? แล้วสำนักพระราชวังก็จะหาเวลาที่พระองค์ท่านว่าง นัดแนะให้เข้าไปถวายที่พระราชวังจิตรลดารโหฐาน

โปรดภูมิใจว่า การถวายเงินแด่ในหลวง หรือสมเด็จ
พระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถนั้น มีจุดแรกเริ่มจากวัดท่าซุงเลย ใครไม่ทราบก็โปรดทราบเอาไว้ด้วย เดี๋ยวอาตมาแก่แล้วไม่ได้เล่าเรื่องนี้ ก็จะลืมไปเสียก่อน"

เถรี 22-05-2017 09:34

"ครั้งนั้นในหลวงท่านต้องเสด็จไปพระราชทานธงลูกเสือชาวบ้านในตัวจังหวัดอุทัยธานี น่าจะเวลาบ่าย ๒ โมง ปรากฏว่าพระองค์ท่านเสด็จอยู่ท่ามกลางพสกนิกรที่วัดท่าซุง มีความสุขมากที่ได้อยู่ใกล้ชิดกับประชาชนของพระองค์ท่าน

เมื่อเจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังฝ่ายพิธีการทูลเตือนว่า ถึงกำหนดการในตัวจังหวัดแล้ว สิ่งนี้อาตมาไม่ได้ยินด้วยตัวเอง แต่ได้ยินรุ่นพี่ที่อยู่ใกล้ท่านบอกว่า ในหลวงตอบว่า "ฉันจะมีความสุขอยู่กับประชาชนของฉันบ้างไม่ได้หรือ ?" สรุปว่างานนั้นในหลวงเสด็จไปพระราชทานธงลูกเสือชาวบ้านตอน ๔ โมงกว่า

ตั้งแต่นั้นมาในจังหวัดอุทัยธานีก็แอนตี้หลวงพ่อวัดท่าซุงไปหลายปี หาว่าหลวงพ่อล็อกตัวในหลวงเอาไว้ ไม่ยอมปล่อยให้มา ทำอย่างกับว่าหลวงพ่อท่านเก่งกล้าสามารถขนาดนั้น เพราะว่าเป็นพระราชประสงค์เอง เนื่องจากว่าเสด็จไปที่ไหนก็ไม่ได้ใกล้ชิดประชาชนในลักษณะอย่างนี้มาก่อน

ปีนั้นแหละที่ตุ๊พ่อสิงห์บวช อาตมาเองก็ยังลอยละล่องมาอีก ๘ ปีถึงจะได้บวช ตอนช่วงนั้นชีวิตฆราวาสยังมีงานรับผิดชอบอยู่มาก ต้องดูแลแม่ที่ป่วย ต้องส่งน้องเรียน ต้องส่งหลานเรียน จึงทำหน้าที่ของตัวเองไปก่อน มาบวชทีหลังตุ๊พ่อท่านถึง ๘ ปี"

เถรี 22-05-2017 09:41

"มีอยู่สิ่งหนึ่งถ้าไม่ใช่คนอยู่ใกล้หลวงพ่อวัดท่าซุงจริง ๆ จะไม่ทราบเลยก็คือ เวลาในหลวงติดข้องในหัวข้อธรรมอะไร จะส่งเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งมารับหลวงพ่อวัดท่าซุงไปเพื่อถวายวิสัชนา

โดยเฉพาะถ้าพระองค์ท่านเสด็จประทับที่พระราชวังสวนจิตรลดาหรือว่าพระราชวังภูพาน ไม่ทราบว่ารูปชุดนั้นอาตมายังเหลือไว้บ้างหรือเปล่า ? ด้วยความที่อยากลองดูว่านักบินพระที่นั่งฝีมือแน่สักแค่ไหน ? เมื่อทำลานเพื่อให้เฮลิคอปเตอร์ลงจอด อาตมาก็ทำวงกลมแล้วก็ตัว H ซึ่งเล็กมาก น่าจะไม่ถึง ๒ เมตร แต่ต้องยอมรับว่านักบินพระที่นั่งนั้นสุดยอดฝีมือจริง ๆ พอได้รับคำยืนยันว่าที่จอดคือตรงนี้ ก็หย่อนลงมาตรงเป๊ะเลย แกล้งเขาไม่สำเร็จ

รูปชุดนั้นปกติแล้วจะไม่มีใครได้รับอนุญาตให้ถ่าย แต่ช่วงนั้นอาตมาถือกล้องเล็ก ๆ ปกติไปไหนก็ถือติดมือไปด้วย หลวงพ่อท่านก็เลย "เฮ้ย...ไอ้หนู ถ่ายไว้ดูหน่อยสิวะ" อาตมาก็เลยถ่ายรูปชุดนั้นเอาไว้ ซึ่งปกติเรื่องพวกนี้เหมือนอย่างกับว่าเป็นความลับกลาย ๆ เนื่องจากบางอย่างพระองค์ท่านก็ขอให้หลวงพ่อไปถวายวิสัชนาในหัวข้อธรรมที่ขัดข้องอยู่ แต่บางครั้งก็เป็นการปรึกษาราชการแผ่นดิน ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่จะนำไปอวดอ้างกับใครได้ เพราะว่าเป็นการส่วนพระองค์จริง ๆ"

เถรี 22-05-2017 09:46

"อาตมาเองก็ไม่ทราบว่าฟิล์มชุดนั้นยังอยู่ไหม ? เคยมีอยู่ครั้งหนึ่งที่เอาไปให้เขาสแกน เพื่อที่จะได้เก็บในลักษณะของไฟล์รูปชุดใหม่ ปรากฏว่าฟิล์มเหลืองกรอบหมดแล้ว ถ้าสูญไปก็น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง

พวกเราจะเคยชินว่า ถึงเวลาก็นิมนต์หลวงพ่อ
ให้ไปรอที่สนาม เครื่องจะมาถึงภายในเวลากี่นาที แล้วก็มาตรงเวลาเป๊ะ ๆ ต้องบอกว่าเขาเก่งมาก เสียดายว่าสมัยก่อนมีแต่เครื่องเบลล์ คือเฮลิคอปเตอร์แบบฐานสกี ไม่ใช่เครื่องพูม่าอย่างสมัยนี้ ถ้าเป็นเครื่องพูม่าอย่างสมัยนี้อาตมาไปด้วยนานแล้ว เพราะว่าพูม่านั่งได้ ๒๐ กว่าที่นั่ง

สมัยนั้นเป็นเครื่องเบลล์เล็ก ๆ ๔ ที่นั่ง ๖ ที่นั่ง เบียด ๆ กันไป อาตมาเองก็เลยไม่ได้เกาะเครื่องไป ถึงเกาะไปก็คงไปทำอะไรไม่ถูก เพราะไม่ชอบระเบียบวินัย แต่ไม่ฝืน คำว่า ไม่ชอบระเบียบวินัยก็คือ สถานที่ไหนที่เขามีระเบียบวินัยเป๊ะ ๆ จะรู้สึกอึดอัด สามารถทำตามเขาได้ แต่ดัดจริตได้ไม่นาน"

เถรี 22-05-2017 09:50

"เรื่องพวกนี้หลวงพ่อท่านก็ล่วงลับดับขันธ์ไปแล้ว ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ก็เสด็จสวรรคต จะมีการถวายพระเพลิงพระบรมศพ วันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๖๐ นี้ ขอให้ใช้คำให้ถูก เป็นงานถวายพระเพลิงพระบรมศพ ไม่ใช่งานพระราชทานเพลิง

งานพระราชทานเพลิงใช้สำหรับบุคคลที่มีอิสริยยศต่ำกว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว งานถวายพระเพลิงพระบรมศพใช้กับบุคคลที่มีอิสริยยศสูงกว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งก็หาได้ยากมาก

ถ้าหากว่าพระเมรุมาศเสร็จแล้ว คาดว่าหารูปจากอินเตอร์เน็ตน่าจะดีกว่า ก็คืออยากให้ทุกคนถ่ายภาพแห่งความทรงจำเอาไว้บ้าง ช่างทุกคนทุ่มเทฝีมือแบบสุดชีวิต แม้กระทั่งช่างประจำวัดท่าขนุน ไม่สามารถที่จะดำเนินงานในการออกแบบพิพิธภัณฑ์วัดท่าขนุนได้ เพราะว่าทุกคนมีทั้งที่โดนเกณฑ์ มีทั้งที่ไปช่วยงานด้วยความเต็มใจ ในการสร้างพระเมรุมาศถวายในหลวงรัชกาลที่ ๙"

เถรี 24-05-2017 15:47

"วันก่อนช่างที่ทำบุษบกให้กับทางวัดท่าขนุนบอกว่า "พระอาจารย์ครับ งานอาจจะช้าหน่อย เพราะว่าลูกน้องโดนเกณฑ์ไปหมดเลย" ก็เลยถามว่าแล้วตัวช่างเองล่ะ ? เขาบอกว่าสั่งงานลูกน้องเสร็จก็วิ่งมาดูงานทางด้านนี้ ดูงานเสร็จก็ต้องวิ่งกลับไปดูงานทางด้านโน้นเหมือนกัน

เพราะฉะนั้น...ทุกอย่างที่ประกอบเป็นพระเมรุมาศ เกิดจากแรงกาย แรงใจของสุดยอดฝีมือทางด้านนี้ทั้งประเทศไทย โดยเฉพาะในส่วนของช่างสิบหมู่ และบรรดาท่านที่เรียนวิจิตรศิลป์ มัณฑนศิลป์ ต่างคนต่างก็แสดงฝีมือออกมาอย่างชนิดมอบกายถวายชีวิต ก็คือสุดฝีมือเท่าที่จะทำได้

ในชีวิตนี้คาดว่าถ้าญาติโยมหลายคนที่เกิดทันและรู้ความทัน ก็จะได้เห็นพระเมรุมาศสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี ในรัชกาลที่ ๗ เห็นพระเมรุมาศของสมเด็จพระศรีนครินทรา บรมราชชนนี ในรัชกาลที่ ๙ แล้วเราจะมีโอกาสได้เห็นพระเมรุมาศที่อลังการสุด ๆ ก็ในงานนี้ สองครั้งที่แล้วคาดว่าไม่สามารถที่จะเทียบเคียงได้"

เถรี 24-05-2017 15:49

"อาตมาเห็นแบบร่างพระเมรุมาศแล้วเสียดายมาก ถามว่าเสียดายตรงไหน ? เสียดายว่าต้องรื้อ ยังคิด ๆ อยู่ว่า ถ้ามีเงินสัก ๓๐๐ ล้านบาท จะสร้างไว้ที่ทองผาภูมิ เพราะว่ามีที่ดินอยู่ตรงสามแยกไฟแดงใกล้ ๆ กับวัดท่าขนุน เขาจะขายที่ดิน ๖๐ ล้านบาท ถ้าได้ที่ดินตรงนั้นมาแล้ว ทำงานฝีมือลักษณะเดียวกับพระเมรุมาศรัชกาลที่ ๙ ก็คือ เป็นมณฑป ๙ ยอด แต่ก็คงเอาไว้ประดิษฐานพระพุทธรูปและพระบรมสารีริกธาตุ จะกลายเป็นงานศิลป์ของแผ่นดิน ให้คนเห็นสุดยอดฝีมือที่คนไทยเรารังสรรค์ขึ้นมา เหมือนอย่างกับที่เขาบอกว่า เหมือนชะลอสวรรค์ลงมาสู่ดิน

คงได้แต่คิด เพราะว่ามัวแต่ทำงานอื่นอยู่ เงินหมดเสียก่อน ยกเว้นว่ามีใครคิดแบบเดียวกัน แล้วมีกำลังพอก็ลองทำกันดู อาตมามีช่างที่มีฝีมือในระดับนี้อยู่แล้ว"

เถรี 24-05-2017 15:57

พระอาจารย์เล่าว่า "ท่านอาจารย์พลตรีเฉลิมชัย เสียงใหญ่ ผู้อำนวยการกองอนุศาสนาจารย์กองทัพบก ท่านเคยสอนตั้งแต่ตอนอาตมาเรียน ป.บส. ปี ๒๕๔๘ ท่านเคารพพระเณรสุดชีวิต ในสายตาของท่านอาจารย์ พระเณรทุกรูปเป็นพระอริยเจ้าหมด..! ถ้าหากว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับพระภิกษุสามเณร เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา มีอะไรมาแผ้วพาน ท่านอาจารย์จะปกป้องด้วยชีวิต

ตอนท่านเป็นแค่ร้อยโท ยังกล้าเถียงผู้บัญชาการกองพล เพราะผู้บัญชาการกองพลใช้คำเรียกทหารเกณฑ์ว่า "ไอ้เณร" ท่านยกมือในท่ามกลางที่ประชุมเลยว่า "ขออภัยครับ...ขอให้ท่าน ผบ. ได้โปรดถอนคำพูดด้วย สามเณรเป็นเชื้อสายของสมณะ เป็นปูชนียบุคคลที่สมควรแก่การเคารพบูชา ไม่ควรใช้คำว่า "ไอ้" ครับ"

เถรี 24-05-2017 16:00

"ในการที่เรียนมาไม่ว่าจะระดับปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก อาตมาปลื้มใจว่ามีโอกาสได้พบครูบาอาจารย์ดี ๆ หลายท่าน แล้วก็ได้พบเพื่อนสหธรรมิกที่เป็นนักปฏิบัติแบบเสือซ่อนเล็บอยู่หลายท่าน ซึ่งในวันที่ ๑๒ สิงหาคม โยมก็จะเห็นว่ามีหลายท่านที่อาตมานิมนต์ไป ส่วนใหญ่แล้วเป็นเพื่อนที่เรียนมาด้วยกัน แล้วได้รู้ว่าท่านปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ

อย่างพระครูไพโรจน์ภัทรคุณ วัดสระพัง พระครูวิธานธรรมนาถ วัดทุ่งกระพังโหม พระครูปฐมจินดากร วัดไร่แตงทอง เป็นต้น คลุกคลีตีโมงอยู่ด้วยกัน เรียนกันตั้งแต่ประกาศนียบัตร ปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอกมา ความใกล้ชิดทำให้ได้เห็นในสิ่งที่ท่านทำ

บางคนก็ว่าไอ้กลุ่มนี้บ้า ถามว่าทำไมว่าไอ้กลุ่มนี้บ้า ? ปฏิบัติธรรม ๑๕ วัน อาตมากับท่านอาจารย์สายชล วัดไร่แตงทอง เดินจงกรมแข่งกัน เดินจงกรมแข่งกันอย่างไร ? เริ่มต้น ๘ โมงครึ่งไปเลิกเอา ๑๐ โมงครึ่ง เริ่มต้นบ่ายโมงไปเลิก ๔ โมงเย็น เริ่มต้น ๖ โมงครึ่งไปเลิก ๒ ทุ่มครึ่ง เหมือนอย่างกับคนเดินทางไปด้วยกัน แต่ว่าต่างคนต่างปฏิบัติของตนเอง จนกระทั่งรู้กำลังกันดีว่า ถ้าสมาธิไม่ดีจะทำอย่างนั้นไม่ได้"

เถรี 24-05-2017 16:03

"มีใครบ้างเดินจงกรมกันเป็นวัน ๆ ไม่ยอมเลิก ? ขณะที่คนอื่นก็ไปเข้าห้องน้ำบ้าง ไปสูบบุหรี่บ้าง ไปกินกาแฟบ้าง อย่างนี้เป็นต้น ก็มีแค่ไม่กี่คนหรอกที่สู้กันตั้งแต่วันแรกจนวันสุดท้าย ซึ่งท่านทั้งหลายเหล่านี้ต่อให้เป็นพระโพธิสัตว์ เข้าถึงความเป็นอริยเจ้าไม่ได้ กำลังของสมาธิสมาบัติของท่านก็เหลือเฟือ ลองมาด้วยตัวเองแล้ว ลากกันต่อเนื่องที ๓ วัน ๗ วัน ๑๕ วัน รู้สึกว่าเป็นเรื่องสบาย ๆ ของท่าน ขณะที่อาตมายังรู้สึกเหนื่อยเลย

ก็อยากให้พวกเราได้ทำบุญกับพระที่เป็นนักปฏิบัติจริง ๆ บ้าง แม้ว่าจะมาสายพระโพธิสัตว์ แต่สิ่งที่ท่านทำทุกอย่างก็เพื่อความเจริญในพุทธศาสนา เพราะฉะนั้น...ในส่วนที่ไปศึกษาเล่าเรียนมาก เรื่องของปริญญากลายเป็นของแถม การได้เพื่อนฝูงที่เป็นนักปฏิบัติจริง ๆ ทำงานเพื่อประชาชน เพื่อพระพุทธศาสนาจริง ๆ กลับเป็นสิ่งที่ถือว่าเป็นกำไรหลัก ๆ ของอาตมาเลย"

เถรี 25-05-2017 14:26

พระอาจารย์กล่าวว่า "ภาษาไทยเป็นภาษาที่ยาก เหตุที่ยากเพราะว่ามีการเปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อย เพราะบรรดาราชบัณฑิตไม่มีอะไรทำ..! ต้องหาผลงานด้วยวิธีแก้ไขภาษาไทยให้ยุ่ง ๆ เข้าไว้

สมัยเด็ก ๆ อาตมาเรียน อินทรีย์ มี ย์ ที่แปลว่าเป็นใหญ่ นกอินทรีย์ก็คือนกใหญ่ ปลาอินทรีย์คือปลาใหญ่ สมัยนี้ ย์ หายไป

สิงห์โต สิงห์คือราชสีห์ สมัยนี้ ห์ หายไป

อาตมาเคยนั่งเถียงกับท่านอาจารย์ปู่ ศาสตราจารย์พิเศษจำนงค์ ทองประเสริฐ ราชบัณฑิต เถียงจนท่านอาจารย์ขอจับป้ายชื่อดูหน่อยว่าเป็นใคร ? ถามว่าทำไมท่านอาจารย์ต้องแก้ไขให้ยุ่งไปหมด ของเก่าก็ดีอยู่แล้ว

อย่างสมัยเด็ก ๆ ข้าวโพดใช้ ข้าวโภชน์ โภชนะ ที่แปลว่าอาหาร

นกพิลาป ที่แปลว่าคร่ำครวญ แปลว่าร้องไห้ เพราะว่านกชนิดนี้ครางฮือ ๆ เหมือนคนร้องไห้อยู่ตลอดเวลา

ท่านอาจารย์จำนงค์มีไม้ตายประเภทกูถูกเสมอ ก็คือทำไมเราต้องลากไปบวชด้วย ? ในความรู้สึกของท่านอาจารย์ก็คือ อะไรที่เลี่ยงจากภาษาบาลีได้ควรที่จะเลี่ยง ก็เลยมาแก้ไข ตัดโน่น ตัดนี่ออกไปให้ยุ่งไปหมด คนรุ่นหลังมาเรียนก็ไม่มีอะไร เพราะเรียนที่แก้ไขแล้ว แต่รุ่นของอาตมาค่อนข้างจะเครียด เพราะว่าเรียนมาอย่างหนึ่ง แล้วต้องมาเจอกับอีกอย่างหนึ่ง"

เถรี 25-05-2017 14:32

"ที่เว็บวัดท่าขนุนเน้นในเรื่องการใช้ภาษาไทยให้ถูกต้อง เพราะว่าอัจฉริยะสมัยใหม่มีเยอะมาก สามารถใช้ภาษาอุบาทว์ ๆ ที่อาตมาอ่านไม่รู้เรื่อง แล้วเขาดันรู้เรื่องกันได้ ต้องบอกว่าท่านทั้งหลายเหล่านี้เก่งมาก สามารถบัญญัติศัพท์ใหม่ ๆ ขึ้นมาได้ ทำให้ภาษาของเราวิปริตไปหมด

แม้กระทั่งทุกวันนี้เด็กก็พูด "จ. จาน" กันไม่เป็นแล้ว เด็กรุ่นใหม่ออกเสียง "จ. จาน" เหมือนอาตมาไม่ได้แล้ว "จ. จาน" ของเขาต้องออกเสียงกลางลิ้น ออกเสียงเป็น ch ของภาษาอังกฤษ

การเรียนในวิทยาลัยสงฆ์มีวิชาหนึ่งเรียกว่าธรรมนิเทศ ก็คือการแสดงธรรม บรรยายธรรม ปาฐกถาธรรม วิชานี้ท่านอาจารย์จะเน้นในเรื่องการใช้ภาษาให้ถูกต้อง อักขระฐานกรณ์ทุกอย่างให้ถูกต้อง เมื่อเป็นอย่างนั้น ก็เลยกลายเป็นเหมือนอย่างกับบังคับให้ต้องเรียนภาษาไทยใหม่"

เถรี 25-05-2017 14:41

โยมเพิ่งไปผ่าตัดมา "สมัยนี้ส่วนแปลกปลอมในร่างกายมีมากขึ้นเรื่อย ๆ ส่วนใหญ่เกิดจากอาหารการกินของเรา สารพิษต่าง ๆ มีมากขึ้น บางอย่างก็ขึ้นอยู่กับการใช้ชีวิตประจำวันของเรา อย่างพวกที่เป็นโรคพังผืดยึด หรือว่าหินปูนเกาะกระดูก เกิดจากการทำอะไรท่าใดท่าหนึ่ง ซ้ำ ๆ กัน หรือว่านั่งโดยไม่ได้เคลื่อนไหวออกกำลังกายที่เหมาะสม ก็จะเป็นโรคนี้

วันก่อนมีคุณยายชื่อ อำมาน เป็นแม่ชี แต่งตัวคล้าย ๆ กับแม่ชีพม่า น่าจะเป็นแม่ชีพม่า เพราะว่าห่มจีวรสีชมพู แต่คุณยายเป็นคนอินเดีย อายุ ๙๐ กว่าปีแล้วยังเล่นโยคะสอนเด็ก ๆ ได้สบาย คุณยายบอกว่าไม่เคยเจ็บป่วยถึงขนาดเข้าโรงพยาบาลเลย เพราะอาศัยการออกกำลังด้วยการเล่นโยคะ

ถ้าถามว่าคุณยายเล่นโยคะแล้วมีผลเห็นขนาดไหน ก็ขนาดที่ว่าคุณยายนั่งเหยียดขาแล้วสามารถจับส้นเท้าต้วเองได้ ของพวกเรานี่ก้มยังไม่ถึงเลย"

เถรี 25-05-2017 14:48

พระอาจารย์เล่าว่า "ในอดีตอาตมาเคยเกิดที่ทิเบตเยอะมาก ทิเบตเป็นดินแดนของพุทธศาสนา โดยเฉพาะของมหายาน แล้วก็แปลงเป็นวัชรยาน ศาสนานี้พระภิกษุส่วนใหญ่มีแนวคิดในการเกิดใหม่เพื่อสร้างบารมี ซึ่งเรียกง่าย ๆ ก็คือมาสายพุทธภูมิ เพราะฉะนั้น...การเวียนว่ายตายเกิดจึงเป็นเรื่องปกติ

ถ้าครอบครัวไหนมีลูกชาย ต้องส่งลูกชายไปบวชอย่างน้อย ๑ คน ถ้าครอบครัวนั้นไม่มีลูกชาย เมื่อลูกสาวแต่งงานแล้ว พ่อจะไปบวชเอง เพราะฉะนั้น...คนทิเบตก็เลยบวชพระเกือบทั้งประเทศ พอบวชเข้าไปครูบาอาจารย์ที่ท่านมีทิพจักขุญาณ ก็จะมาดูอดีตชาติให้ว่าเคยศึกษาเล่าเรียนมาถึงระดับไหน แล้วก็ส่งไปหาครูบาอาจารย์ระดับนั้น ทบทวนความรู้สักหน่อยหนึ่ง แล้วก็เรียนระดับสูงกว่าขึ้นไปได้เลย ก็แปลว่าของเขาไม่ต้องเรียนย้อนของเดิม มีแต่ขึ้นหน้าอย่างเดียว"

เถรี 25-05-2017 14:51

"ปัจจุบันนี้ทิเบตมีอยู่ ๔ นิกายด้วยกัน ถ้าหากไม่นับลัทธิบอนที่เป็นการถือผี ถือเวทมนตร์คาถา และบรรดาเทพของเขา ก็มีนิกายใหญ่ ๆ อยู่ก็คือ เกลุกปะกับเนียงมาปะ ซึ่ง ๒ นิกายนี้ก็คือหมวกเหลืองกับหมวกแดง แล้วก็ยังมีนิกายกาจูปะ กับนิกายศากยะปะ

ดาไลลามะองค์ปัจจุบันมีกุศโลบายในการประสานสามัคคีระหว่างนิกายที่ยอดเยี่ยมมาก คือพระองค์ท่านบวชในนิกายเกลุกปะคือหมวกเหลือง แต่ทำสังฆกรรมแบบเนียงมาปะคือหมวกแดง"

เถรี 25-05-2017 14:54

"แผ่นดินทิเบต ฝรั่งเรียกว่าหลังคาโลก อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลปานกลาง ๕ กิโลเมตรขึ้นไป การอยู่ในพื้นที่แบบนั้นมีสิ่งที่ดีหลายอย่าง อย่างแรกก็คืออากาศที่หนาวเย็นมาก ถามว่าเย็นขนาดไหน ? โดยมาตรฐานโลกเลย ความสูงเพิ่มขึ้น ๓๐๐ เมตร อากาศลดลง ๑ องศา ก็แปลว่า ๓ กิโลเมตร อากาศจะลดลง ๑๐ องศา ในเมื่อสูง ๕ กิโลเมตรเศษ อากาศก็ลดลงเกือบ ๒๐ องศา

สมมติว่าข้างล่างนี้อากาศ ๓๖ องศา ขึ้นไปข้างบน ถ้าไม่ใช่ฤดูหนาวก็จะเหลือประมาณ ๑๕ - ๑๖ องศาเท่านั้น แล้วถ้าเป็นฤดูหนาว เป็นเวลาลม เป็นเวลาฝน อากาศหนาวจนติดลบก็เป็นเรื่องปกติ จึงทำให้เชื้อโรคเจริญเติบโตได้ยาก ในเมื่อเชื้อโรคเจริญเติบโตได้ยาก การเจ็บไข้ได้ป่วยหลายโรคที่คนข้างล่างเป็นกัน คนข้างบนเขาไม่เป็นกันหรอก"

เถรี 25-05-2017 15:03

"เมื่อดาไลลามะ เทนซิน กยัตโซ อพยพหนีการยึดครองของจีนไปที่อินเดีย ข้าราชบริพาร ตลอดจนประชาชนที่อพยพตามไปป่วยตายไปเกือบ ๓๐,๐๐๐ คน เพราะว่าพอลงไปสู่พื้นล่าง เจออากาศร้อนชื้น เชื้อโรคที่รอเวลาอยู่ได้โอกาส ก็เจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ร่างกายรับไม่ทัน กว่าจะหาวิธีแก้ไขได้ก็ล้มตายไปเสียมากต่อมากด้วยกัน

ปัจจุบันนี้ที่ธรรมศาลาหรือที่เขียนเป็นภาษาอังกฤษเขาอ่านว่า ธรัมซาล่าเป็นเมืองทิเบตกลาย ๆ เขาเรียก Little Tibet เพราะว่าชาวทิเบตส่วนใหญ่อพยพลงไปอยู่ที่นั่น ศึกษาหาความรู้ แล้วก็ย้ายแยกกันไปทำงาน โดยมีความหวังว่าสักวันหนึ่ง จะสามารถได้เอกราชของชาติบ้านเมืองตนเองคืนมา"

เถรี 25-05-2017 15:08

"พระภิกษุสามเณรของทิเบตต้องศึกษาวิชาการต่าง ๆ โดยเฉพาะเรื่องของสมาธิ สมาบัติ ศึกษาเรื่องหลังความตาย เพื่อที่จะได้บอกกล่าวกับบุคคลที่ยังอยู่ว่าความตายมีลักษณะอย่างไร ต้องเตรียมการรับอย่างไร

การฝึกบางทีในความรู้สึกของเราก็ค่อนข้างจะโหด อย่างเช่นว่าเอาเชือกล่ามคอกับเท้าตัวเองติดกัน แล้วก็ค่อย ๆ ยืดตัวเพื่อให้เชือกรัดแน่นขึ้นไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งสติสุดท้ายจะหลุดออกไปแล้วก็ค่อยผ่อนคลาย จะได้ศึกษาว่าก่อนหมดลมนั้นแต่ละคนรู้สึกอย่างไร บางคนขยับคืนไม่ทันก็ตายไปเลย นี่เป็นวิธีการฝึกอย่างหนึ่ง"

เถรี 25-05-2017 15:14

"มีบางสิ่งบางอย่างที่เป็นความลับของพระลามะ ซึ่งโลกภายนอกไม่รู้ อย่างเช่นว่าบรรดาลามะต่าง ๆ จะมีความสัมพันธ์อันดีกับมนุษย์หิมะที่เรียกว่าเยติ เพราะว่าส่วนที่ต้องศึกษาเกี่ยวกับสมุนไพรใบยา ลามะต้องอาศัยมนุษย์หิมะในการหาสมุนไพรให้

ถามว่ามนุษย์หิมะอยู่ไหน ? อยู่บนเทือกเขาหิมาลัยนั่นแหละ แหล่งที่เขาอยู่นอกจากเป็นจุดอับลมแล้ว ยังอยู่ใกล้แหล่งความร้อนใต้โลก ก็เลยทำให้อากาศอุ่น สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ แต่ถ้าพวกเราไปมีโอกาสตายมากกว่ารอด เพราะว่าอากาศบางมาก ถ้าไปออกแรงปีนเขา ต้องใช้ออกซิเจนมาก ๆ ก็มีสิทธิ์หน้ามืดร่วงลงมาเสียก่อน แต่ว่าบรรดาพระลามะที่ท่านฝึกเพื่อเดินทางไปยังสถานที่แบบนั้น ก็จะสามารถที่จะไปได้

ถึงเวลาต้องการสมุนไพรใบยาอะไรก็ไปบอกกล่าว เขาสามารถสื่อสารกันรู้เรื่อง เพราะว่าส่วนใหญ่ก็คือใช้ภาษาใจ ภาษากาย ไม่ใช่ภาษาพูด ในเมื่อเป็นความลับเฉพาะของพวกเขา คนภายนอกก็เลยไม่มีโอกาสได้รู้ นาน ๆ จะหลุดออกมาให้คนถ่ายรูปได้สักครั้งหนึ่ง ถึงเวลาก็ต้องรีบกลับเข้าไปยังที่อยู่เดิมของตนเอง"

เถรี 25-05-2017 15:14

ถาม : มนุษย์หิมะอยู่ในภูมิไหนครับ ?
ตอบ : น่าจะอยู่ในระดับสัตว์เดรัจฉาน แต่ภูมิปัญญาใกล้เคียงกับมนุษย์

เถรี 26-05-2017 13:44

พระอาจารย์กล่าวว่า "การทำบุญบ้าน โบราณของเรามีความเชื่อว่าสถานที่แต่ละแห่งจะมีผีบ้านผีเรือนอาศัยอยู่ ซึ่งบางคนเรียกว่า "ตายาย" นั่นเป็นความเชื่อที่ถูกต้องเลย

ถามว่าเรานับถือพุทธศาสนาแล้วยังต้องมีความเชื่อเหล่านี้อยู่หรือไม่ ? ขอบอกว่าความเชื่ออะไรที่เป็นความจริง ถ้าเราเชื่อแล้วปฏิบัติได้ถูกต้อง ได้รับความร่มเย็นเป็นสุขก็เป็นสิ่งที่ควรจะทำ โบราณเขาถึงได้ทำบุญบ้าน เพื่ออุทิศให้แก่เทวดาที่ปกปักรักษาตัวเอง อุทิศให้แก่เจ้าที่เจ้าทางที่ดูแลสถานที่นั้น และอุทิศให้กับบรรดาผีบ้านผีเรือนหรือว่าตายายที่อาศัยอยู่บริเวณนั้น ท่านทั้งหลายเหล่านี้ถ้าได้รับมิตรจิตก็มีมิตรใจตอบ เมื่อถึงเวลาอะไรที่ไม่เกินวิสัย ท่านสามารถช่วยได้ก็จะช่วย

ถามว่าในเรื่องการนับถือผีแบบนี้มีในประเทศอื่น ๆ หรือไม่ ? อาตมาขอยืนยันว่าศาสนาผีเป็นศาสนาแรกของโลก ไม่ว่าจะชาติใดภาษาใดก็ตามจะต้องนับถือผี นับถือธรรมชาติเป็นใหญ่มาก่อน หลังจากนั้นเมื่อเกิดศาสดาประกาศหลักธรรมคำสอนที่เหมาะสมขึ้นมา ก็มีคนยึดและปฏิบัติตาม แต่ส่วนใหญ่แล้วก็ยังไม่ละทิ้งของเก่า"

เถรี 26-05-2017 13:50

"ประเทศไทยของเราก็ถือผีมาก่อน นอกจากความเชื่อในเรื่องผี เจ้าที่เจ้าทางแล้ว ยังมีความเชื่อเกี่ยวกับการนับถืองูใหญ่หรือพญานาค ซึ่งในอุษาคเนย์หรือ Southeast Asia แทบทุกประเทศ จะมีความเชื่อหรือความผูกพันในเรื่องของพญานาค แต่ตามที่อาตมาไปพบมา ทุกประเทศที่ไปก็มีพญานาค เพียงแต่ว่าเจ้าของถิ่นเขาจะรู้หรือไม่รู้เท่านั้น

ล่าสุดที่ปากีสถาน ไปโดนเจ้าประคุณเขี่ยหัวทิ่มเข่าแตก ๒ ข้างเลย ไม่มีอะไรหรอก....ลงไปเที่ยวธารน้ำแข็งโฮปเปอร์ ปวดฉี่ก็เลยแอบไปฉี่รดมา

ตอนนี้พญานาคที่น่าสงสารที่สุดในประเทศไทย คือ พญาศรีสุทโธนาคราช แต่ละคนไปนี่ขอสารพัด จะมีสักกี่คนที่ไปแล้วให้ท่านบ้าง คนที่ไปมีแต่ขออย่างเดียว ท่านเป็นพญานาคที่น่าสงสารจริง ๆ"

เถรี 26-05-2017 13:56

"มีคนสงสัยว่าพญานาคตัวใหญ่แค่ไหน ? เท่าที่พบมามีตั้งแต่ตัวเท่านิ้วก้อย จนใหญ่เกือบเท่าภูเขา ตัวเท่านิ้วก้อยนั่นท่านแสดงให้ดู

หลวงปู่หลวงพ่อสายอีสานที่ท่านได้พบ ท่านบอกว่าตอนที่อยู่ด้วยเขาก็เป็นงูตัวประมาณแขนนี่แหละ พอใกล้ถึงกำหนดที่ท่านต้องธุดงค์ที่อื่น ท่านก็มาลา บอกว่าตัวเองเป็นพญานาคอยู่ในบริเวณนั้น พระก็ถามว่าแล้วจะเชื่อได้อย่างไร ท่านบอกว่าจะแสดงร่างจริงให้ดู แต่ไม่ได้ให้ดูในลักษณะเห็นคาตา ให้ดูแค่รอยเลื้อยจากไป ถามว่ารอยเลื้อยกว้างเท่าไร ? หลวงปู่ชอบท่านบอกว่าทับต้นกล้าราบไป ๕ แถว

มีใครเคยดำนาบ้าง ? หว่างแถวต่อแถวของการดำนากว้างเกือบศอก ก็ตีว่าสัก ๒๐ เซนติเมตร ถ้า ๕ แถวก็แปลว่า ๑๐๐ เซนติเมตรพอดี ความกว้างประมาณ ๓ ฟุตกว่า ๆ

สิ่งที่พวกเราไม่รู้ไม่เห็น มีมากกว่าที่พวกเรารู้เห็น แต่ว่าเทคโนโลยีในสมัยใหม่ มีกล้องวงจรปิดบ้าง มีการถ่ายภาพความเร็วสูงบ้าง ทำให้ติดสัตว์ในภพภูมิอื่น ๆ บ่อย แล้วก็มางง ๆ ว่านี่คือตัวอะไร ?"

เถรี 26-05-2017 14:01

"เขาทั้งหลายเหล่านั้นก็อยู่ในภูมิของเปรตบ้าง อสุรกายบ้าง สัตว์เดรัจฉานมีฤทธิ์บ้าง ฉะนั้น...บางทีก็เห็นรูปร่างพิลึกพิลั่นจนบอกไม่ถูกว่าเป็นตัวอะไร

สมัยนี้ความหวาดระแวงก็มีมาก ถึงเวลาเห็นก็ถามว่า CG หรือเปล่า ? CG คือ Computer Graphic เป็นการสร้างขึ้นมาด้วยคอมพิวเตอร์ ซึ่งระยะหลังนี้เทคนิคต่าง ๆ มีมาก ช่วงที่ผ่านมาได้ยินว่าหนังเรื่องนาคีของเราทำ CG ได้เป็นที่ถูกใจคนดูมาก

โอกาสที่พวกเราจะรู้เห็นเรื่องอย่างนี้มีน้อย ต้องใช้วิธีอนุมานเอา คำว่าอนุมานก็คือ รวบรวมข้อมูลหลักฐานหลายอย่างมาพิจารณาว่า เป็นสิ่งที่ควรเชื่อหรือไม่ควรเชื่อ ในเมื่อใช้วิธีการอนุมานเอา โอกาสถูกกับผิดก็ครึ่งต่อครึ่ง ภาษานักเล่นการพนันเขาว่า ห้าสิบห้าสิบ"

เถรี 26-05-2017 14:20

"การที่จะรู้เห็นสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ วิทยาศาสตร์ยังตามไม่ค่อยทัน อาตมากำลังรอเทคโนโลยีอยู่ตัวหนึ่ง ซึ่งไม่ทราบเหมือนกันว่ามีการพัฒนาต่อยอดไปเท่าไร ก็คือการถ่ายภาพแบบเกอร์เลียน ซึ่งสามารถเห็นพลังงานในวัตถุต่าง ๆ ได้ ที่บางคนบอกว่าถ่ายภาพแล้วดูออร่า

ถ้าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ได้รับการพัฒนาขึ้นอีกสักระดับหนึ่ง จะสามารถถ่ายภาพบรรดาท่านที่อยู่อีกมิติหนึ่งได้ คิดจะปรากฏตัวเมื่อไรก็เสร็จเราแน่ เพราะว่าเวลาจะปรากฏตัวให้เราเห็น ก็จะใช้กำลังของตนเอง ดึงเอา ดิน น้ำ ไฟ ลม รอบข้างไปรวมตัวกัน เพื่อให้ปรากฏเป็นกายหยาบขึ้นมา เริ่มปรากฏเมื่อไร ถ้ามีเทคนิคแบบนี้อยู่ก็จะถ่ายภาพติด

บางคนก็สงสัยว่าทำไมคนนี้ถ่ายติด คนนั้นถ่ายติด เราถ่ายไม่ติด ก็ช่วงที่เราถ่ายบางทีไม่ใช่ช่วงที่เขารวบรวมเป็นกายหยาบ การรวบรวมเป็นกายหยาบก็ชัดบ้าง ไม่ชัดบ้าง แล้วแต่กำลังของแต่ละตน"

เถรี 26-05-2017 14:24

"ขอให้รู้ว่าเวลาผีมา เราเห็นน่าเกลียดน่ากลัว วิ่งหนีกันตับแลบ นั่นเขาพยายามสุดชีวิตแล้วได้สวยแค่นั้น เต็มที่แล้วได้สวยแค่นั้น ผีที่น่าสงสารกว่านั้นก็คือ ผีที่ไม่สามารถปรากฏให้เห็นได้ บางคนก็ปรากฏได้แค่เงาแวบ ๆ บางทีก็ได้ยินแต่เสียง บางทีก็ได้กลิ่นเท่านั้น เพราะว่ากำลังของเขาน้อย ไม่สามารถที่จะรวบรวมเอาธาตุ ๔ รอบข้างเพื่อสร้างกายหยาบขึ้นมา

โดยเฉพาะบรรดาไฟฟ้าต่าง ๆ ในปัจจุบันของเรา การที่กระพริบด้วยความเร็วประมาณ ๕๐ รอบต่อวินาที ทำให้เรารู้สึกว่าแสงไฟนิ่ง ๆ แต่ความจริงไฟกระพริบอยู่ตลอดเวลา การกระพริบของไฟที่ส่งเป็นคลื่นถี่ ๆ ไปกระแทกทำลายธาตุ ๔ ที่เขาดึงมารวมตัวหลุดกระจัดกระจายหมด เพราะฉะนั้น...ใครที่กลัวผีแล้วเปิดไฟนอน มีโอกาสป้องกันได้ประมาณ ๘๐ เปอร์เซนต์

แต่เท่าที่อาตมาเจอมา ไปเจอผีระดับที่เก่งกว่านั้น เปิดไฟสว่าง ๆ ก็มา กลางวันแดดเปรี้ยง ๆ ก็มา ท่านทั้งหลายเหล่านั้นกำลังท่านมากกว่าเราเยอะ ถ้าเจอหน้าก็ยกมือยอมแพ้ตั้งแต่แรก ไม่ต้องเสียเวลาไปตีกับเขา"

เถรี 26-05-2017 14:56

"ท่านที่ฝึกมโนมยิทธิ ส่วนหนึ่งจะมีประสบการณ์ผีหลอก หรือว่าเทวดากลั่นแกล้ง ให้สังเกตว่าถ้าเขาเป็นฝ่ายปรับมาหาเรา ทุกอย่างจะชัดเจนมาก แต่ถ้าเราพยายามรู้เห็นเอง จะรู้สึกว่าหาความชัดเจนไม่ได้ เป็นเพราะว่ากำลังของเรามีน้อย ถ้าเขาปรับมาเราก็จะรู้เห็นได้ชัดเจน แต่ถ้าเราเป็นฝ่ายปรับไป ประเภทรู้ว่ามีเขาอยู่ได้ก็ถือว่าเก่งแล้ว

จากประสบการณ์ของอาตมาที่มีอยู่ เวลาที่พวกนี้มาหรือที่พวกเราเรียกว่าผีหลอก ทุกอย่างจะชัดเจนสว่างไสว ถ้ายกตัวอย่างให้ ก็คือ มีอยู่ครั้งหนึ่งนอนภาวนาอยู่กลางป่า น่าจะห่างจากลำห้วยประมาณสัก ๔๐-๕๐ เมตร เพราะกลัวว่าถ้าอยู่ใกล้ห้วยเกินไปพวกบรรดาสัตว์ต่าง ๆ จะไม่กล้าลงไปกินน้ำ

ประมาณสัก ๕ ทุ่มกว่าในป่าก็มืดสนิท มืดชนิดที่เขาบอกว่ายกมือมองไม่เห็นนิ้วทั้ง ๕ นอนภาวนาอยู่ได้ยินเสียงตูม...! เหมือนอย่างกับใครกระโดดน้ำ แล้วก็มีภาพเด็กจมน้ำคว่ำหน้าลอยตุ๊บป่อง ๆ ตอนนั้นลืมคิดไป ด้วยความตกใจว่าเด็กตกน้ำก็เลยพรวดพราดไปช่วย ลืมคิดไปว่ากลางดึกลูกบ้านใครจะมาเล่นน้ำกลางป่า ?"

เถรี 26-05-2017 17:54

"อีกประการก็คือ อาตมานอนภาวนา ก็แหงนหน้ามองหลังคากลดนั่นแหละ ห่างจากลำห้วยตั้งหลายสิบเมตร ทำไมเห็นชัด ๆ เหมือนกับไปยืนดูอยู่ข้างลำห้วย ต้องบอกว่าตอนผีหลอกเรามักจะโง่เสมอ ก็คือรู้ไม่เท่าทันถึงโดนหลอก ถ้ารู้เท่าทันก็ไม่โดนหลอก

ด้วยความตกใจว่าเด็กตกน้ำก็เลยวิ่งไปช่วย คว้าคอเสื้อได้ก็กระชากขึ้นมา พอเด็กหันหน้ามาอาตมาก็รู้แล้วว่าผีหลอกแน่นอน เพราะว่ามีแต่ตาโต ๆ จมูก ปาก อะไรก็ไม่มี ตอนนั้นก็คิดแต่ว่า หนอยแน่ะ...บังอาจมาหลอก จะหาภาชนะหรือกะโหลกกะลาสักใบหนึ่ง จับยัดเข้าไปแล้วสะกดเอาไว้สัก ๑๐๐ - ๒๐๐ ปีให้เข็ดเสียบ้าง...!

ปรากฏว่าหาไม่ได้ ด้วยความโมโหก็เลยทุ่มลงน้ำไป พอตกตูมลงไปที่น้ำ ทุกสิ่งทุกอย่างก็หายวับไปกับตา ปล่อยให้อาตมายืนอยู่ตรงที่มืดตื๋อมองอะไรไม่เห็น ตอนรีบวิ่งไปดูไฟฉายก็ไม่ได้เอาไป เวรกรรมล่ะสิ....กลดของเราอยู่ด้านไหนหว่า ? ต้องมะงุมะงาหรา ค่อย ๆ คลาน ค่อย ๆ คลำ กว่าจะไปถึงกลดร่วมครึ่งชั่วโมง

จากประสบการณ์นี้ ขอบอกกับญาติโยมว่า ถ้าผีหลอกเรา ให้หิ้วคอไปถึงที่พักก่อนแล้วค่อยโยนทิ้ง ไม่อย่างนั้นถึงเวลามืดแล้วเราจะมองอะไรไม่เห็น ตอนเขาหลอกเรานี่จะชัดมาก ชัดเหมือนกับเวลากลางวันเลย"

เถรี 26-05-2017 17:56

"ในเมื่อโดนบ่อย ๆ ก็เริ่มเคยชิน หัดสังเกตตัวเอง หลังจากนั้นก็จะรู้ว่าอันนี้ผีหลอก เพราะว่าเย็นสันหลังตัวเอง เย็นวาบ ๆ เหมือนกับขนลุกเกรียว ๆ อยู่ตลอดเวลา ถ้าอาการอย่างนั้น ต่อให้เป็นสาวสวยเช้งวับอยู่ตรงหน้า ก็ให้รู้เลยว่าไม่ใช่คนปกติ

เคยมีผู้รู้บอกว่า ผู้รู้ท่านนี้ก็ไม่ค่อยมีตัวมีตนหรอก เขาก็ช่วยหลอกซ้ำ เขาบอกว่าตอนที่ปรากฏตัวต้องดึงเอา ดิน น้ำ ไฟ ลม รอบข้าง ๆ ไปหมด ในเมื่อความอุ่นไม่เหลือ ก็เหลือแต่ความเย็น ธาตุไฟโดนดึงไปแล้ว เราก็เลยรู้สึกขนลุกเกรียว ๆ เหมือนกับหน้าหนาว หนาวจริง ๆ แต่เป็นการหนาวแบบผิดฤดูกาลเท่านั้น"

เถรี 26-05-2017 18:48

พระอาจารย์กล่าวว่า "เห็นโยมใส่แหวนเงินเยอะ ๆ แล้วนึกถึงคุณมะ คุณมะไปซื้อแหวนจากร้านเครื่องรางของขลัง แล้วเอามาให้ดู บอกว่า “ผมมั่นใจครับว่าไม่ใช่เขาสัตว์” อาตมาดูไปดูมาเสร็จสรรพก็บอกว่า “คุณมะโชคดีมากเลย อันนี้ไม่ใช่เขาสัตว์หรอก เป็นนอแรด” เป็นแหวนเก่า ๆ แล้วเขากลึงนอแรดเป็นหลังเบี้ย ทางร้านเขาก็ไม่รู้ว่าอะไร ส่วนใหญ่คิดว่าเป็นเขาควายเผือก"

เถรี 26-05-2017 18:49

พระอาจารย์กล่าวว่า “การออกกำลังเพื่อลดน้ำหนัก แรก ๆ เป็นเรื่องที่น่าเบื่อ จนกว่าเราจะพ้นความเมื่อยความปวดไปแล้ว บางคนสงสัยว่าหลวงพ่อไม่ได้ออกกำลังทำไมเดินป่าแข็งกว่าเขาอีก ต้องบอกว่าอยู่ตัวแล้ว สัก ๒๐ นาทีแรกจะปวดเมื่อยเหมือนคนปกตินั่นแหละ หลังจากนั้นพอเครื่องติดแล้วก็ไปได้เป็นวัน ๆ เลย”

เถรี 26-05-2017 18:52

พระอาจารย์กล่าวว่า “วันก่อนประหลาดมาก มีโยมถามว่าท่านฉันเพลเวลาเท่าไร มีเวลาเพลที่แตกต่างไปจากเดิมด้วยหรือ ?

ตั้งแต่โบร่ำโบราณว่า เวลาเพลก็คือตอนพระตีกลอง ๑๑ โมง มีเวลาไม่เกินเที่ยง แต่ความจริงในบาลีท่านบอกว่า “เอาไม้ปักลงแล้วเงาเลยไป ๒ นิ้วมือ” นั่นเกือบจะบ่าย ๒ โมง แต่คราวนี้ของเรานิยมเลิกเที่ยง ก็ต้องเที่ยงตามกัน

แล้วก็มีบางพวกถามว่าเวลาไปต่างประเทศ ฉันอาหารตามเวลาของเขาหรือของเรา ? ก็ต้องเวลาเขาสิ จะใช้เวลาของเราได้อย่างไร ? แต่ว่าตอนกลับจากอังกฤษ ขึ้นเครื่องตอนบ่าย ๔ โมงของเขา มาถึงบ้านเราเกือบ ๆ จะ ๑๒ โมง แล้วเขาค่อยมาเสิร์ฟอาหาร โอ้พระเจ้า...สรุปว่าอดไปเป็นวัน เพราะเวลาต่างกัน ๕ ชั่วโมง

ตอนนั้นไม่รู้จริง ๆ ว่าขอเขาก่อนเวลาได้ ไปเข้าใจว่าต้องรอเขาเสิร์ฟ อาตมาก็อ่านหนังสือไปเรื่อย หิวก็ช่างมัน คุยกับผีไปเรื่อยเปื่อยเพลิน ๆ ก็ลืมหิวได้เหมือนกัน”

เถรี 27-05-2017 19:40

พระอาจารย์กล่าวว่า “คนรับราชการ ถ้าหากว่าใช้เครื่องรางรูปลิงหรือหนุมานก็ถือว่าถูกโฉลก เพราะว่าหนุมานรับใช้พระราม ทำงานทุกอย่างไม่เคยพลาด ประสบความสำเร็จทุกเรื่อง เป็นเคล็ดลับอย่างหนึ่งที่โบราณท่านทำเครื่องรางรูปลิงหรือหนุมาน ก็คือให้ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน แต่เรื่องอื่น ๆ ก็มี ที่พูดเรื่องนี้ก็คือเหมาะกับผู้ที่รับราชการ

แบบเดียวกับพระหลวงปู่ปานที่บอกไว้ว่า “นกทำนา เม่นเดินป่า ปลาค้าขาย ไก่หากิน ครุฑอำนาจ ลิงรับราชการ” แต่ปรากฏว่าท่านทำผงวิเศษเสร็จแล้วท่านก็คลุกรวมกัน เพราะฉะนั้น..พระของหลวงปู่ปานจึงมีอานุภาพเหมือนกันหมดทุกองค์ เพียงแต่ว่าทางด้านบางนกแขวก สมุทรสงคราม เขาเอาพระหลวงปู่ปานไปแขวนแก้ไข้มาลาเรีย เหมาะสำหรับคนบางนกแขวกอย่างเดียว เพราะว่าคนบางนกแขวกแขวนแล้วหาย อาตมาเองติดตัวมาตลอดก็ยังเป็นอยู่เรื่อย เพราะว่ากรรมหนัก

พระหลวงปู่ปานขี่ไก่องค์สวยที่สุดในโลกของอาตมา มีคนประมูลไปแล้ว ได้ทองคำมา ๒๒ บาท คิดดูว่าทอง ๒๒ บาทราคาเท่าไร ? ตีว่าบาทละสองหมื่นก็สี่แสนกว่า แต่องค์ที่เป็นแชมป์ในตลาดเขาขายสองล้าน ของอาตมาสวยกว่าแชมป์จึงถือว่าคุ้ม”

เถรี 27-05-2017 19:48

พระอาจารย์กล่าวว่า “ก่อนบวชอาตมาเลี้ยงหลานมา ๓๒ คน เลี้ยงจนเข็ดต้องหนีมาบวช พอบวชแล้วก็เลิกเลี้ยงหลาน มาเลี้ยงลูกแทน โดยเฉพาะลูกศิษย์

หลวงพ่อพระธรรมโพธิมงคล เจ้าคณะภาค ๑๔ วัดนิมมานนรดี ท่านบอกว่า “พระเราก็ห่วงอยู่แค่ ๒ ลูกเท่านั้น คือ ลูกศิษย์กับลูกสัตว์ ลูกศิษย์ที่เป็นญาติโยมทั่วไปก็ไม่กระไรนัก ไอ้ลูกศิษย์ที่เขามาฝากให้อยู่ด้วย ต้องเลี้ยงดูอบรมสั่งสอน ก็ต้องห่วงเหมือนกับลูกตัวเอง พวกแมวพวกหมาเลี้ยงเอาไว้เขารักเรา หวังพึ่งพาเรา ถึงเวลาออกไปทำงานข้างนอก ๒-๓ วัน กลับมาไม่มีพระเณรมารับสักคน มีแต่หมาวิ่งมารับ ก็เลยต้องห่วงหมา”

ช่วงนี้หมาที่วัดอาตมาก็อยู่ในช่วงลดน้ำหนัก ที่ลดน้ำหนักเพราะว่าเจ้าอาวาสออกไปหลายวัน ถ้าเจ้าอาวาสอยู่ก็กินดีอยู่ดีหน่อย เจ้าอาวาสไม่อยู่ก็ตามมีตามเกิดที่เขาเลี้ยง อาตมามีนิสัยเสียตรงที่ว่าตัวเองกินอะไรก็ได้ แต่ให้หมากินดีไว้ก่อน

พวกเราคงจะรู้จักขนมปังไส้สังขยาแม่ป๋วยลั้ง รู้ไหมว่าดังระดับประเทศ ? อาตมาซื้อเลี้ยงหมาตั้งแต่สมัยยังอยู่วัดท่าซุง หมากินกันชนิดตายกันไปข้างหนึ่ง ฉะนั้น...หมาที่อาตมาเลี้ยงสมัยวัดท่าซุงแต่ละตัวอ้วนเป็นหมูเลย เจอขนมปังไส้ครีม มีไข่ มีนมเนย ยิ่งถ้าหากวันไหนทำมาใหม่ ๆ นี่แหม...กินเสร็จวิ่งตามกันเป็นฝูง”

เถรี 27-05-2017 20:00

ถาม : อยากทราบความแตกต่างของอุปสมานุสติ ผลสมาบัติ และอากาสานัญจายตนะ ?
ตอบ : ต่างกันคนละโลกเลย อุปสมานุสติจริง ๆ แล้วเป็นสมถกรรมฐาน แต่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสามารถทำเป็นวิปัสสนากรรมฐานได้ ก็คือให้เราพิจารณาร่างกายจนเกิดความเบื่อหน่าย ไม่ต้องการ แล้วเอาสภาพจิตของเราเกาะพระนิพพาน

ส่วนในเรื่องของผลสมาบัติ เป็นฌานสมาบัติทั่ว ๆ ไป อย่างเช่นฌาน ๑-๒-๓-๔ เพียงแต่ว่าผู้ที่เข้าถึงฌานนี้ต้องได้มรรคผลตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป ในเมื่อได้มรรคผลนั้นแล้วจึงได้เรียกเป็นผลสมาบัติ ไม่อย่างนั้นก็เป็นสมาบัติธรรมดา

ส่วนอากาสานัญจายตนฌานนั้นเป็นการที่เราปล่อยวางรูป ไปยึดความว่างของอากาศแทน เพราะเห็นว่าโทษทั้งหลายเกิดจากรูป อากาสานัญจายตนญาณทำได้เต็มที่กำลังเท่ากับฌาน ๔ แต่การที่เห็นทุกข์เห็นโทษจากรูปนี่คล้าย ๆ กับวิปัสสนาญาณ เพียงแต่ว่ายังยึดในส่วนของฌานสมาบัติมากไป เลยไม่ใช่วิปัสสนาญาณ ต่างกันแค่นี้เอง


ถาม : ขั้นตอนของการไปสู่อารมณ์นั้น ?
ตอบ : ขั้นตอนของการไปสู่อารมณ์นั้น ผลสมาบัตินี่ถือว่า “ได้แล้ว” ถ้าอุปสมานุสตินี่เราต้องค่อย ๆ ทำไป บวกกับลมหายใจเข้าออก ถึงจะเป็นฌานสมาบัติได้

ส่วนของอากาสานัญจายตนฌานนั้น ถึงคุณจะไม่ได้อรูปฌานตัวนี้ แต่ต้องได้ฌาน ๔ แล้วจึงจะทำได้ ก็แปลว่า ผลสมาบัติกับอากาสานัญจายตนฌาน มีต้นทุนของตัวเองแล้ว แต่อุปสมานุสตินี่ต้องสร้างต้นทุนให้เกิดก่อน

เถรี 27-05-2017 20:04

ถาม : ที่ผมปฏิบัติมา ส่วนใหญ่จะได้ไม่เกินฌาน ๒ แต่ว่านาน ๆ ทีบังเอิญได้ถึงฌาน ๔ แล้วเกิดความรู้สึกว่าไม่มีอะไรเลย คล้ายกันไหมครับ ?
ตอบ : คล้ายกันเพราะว่าฌาน ๔ พอถึงตัวเอกัคตารมณ์ เป็นอารมณ์ที่ปราศจาก รัก โลภ โกรธ หลง เป็นการว่างจากกิเลส เพราะอำนาจฌานกดกิเลสดับลงไป

ส่วนอากาสานัญจายตนฌานนั้นยังมีความเข้าใจว่า “แม้แต่รูปฌานนี้ก็ยังเป็นโทษ เพราะมีรูปอยู่” ก็เลยเว้นจากรูปไปจับความว่างของอากาศแทน จะบอกว่าเป็นการเข้าใจผิดของคนโบราณก็ไม่ใช่ เพราะสามารถพัฒนาตัวเองขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง ก็คือเพิ่มความคิด ตัวคิดนี้ก็คือคิดว่า “รูปทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่เป็นโทษ ในเมื่อโทษอาศัยรูปเป็นที่เกิด เราก็ทิ้งรูปเสีย เมื่ออากาศว่าง ไม่มีรูป ก็ไปเกาะอากาศแทน” ด้วยความคิดว่าน่าจะทำให้พ้นได้ แต่ความจริงก็คือพัฒนาขึ้นไปขั้นเดียว ยังไม่พ้นอย่างที่ต้องการ


ถาม : สมมติตอนนั้นถึงฌาน ๔ แล้ว ตอนนั้นมีสติ แล้วก็เอกัคคตาฯ ?
ตอบ : อยู่ที่เรา ถ้าเราสามารถทำจนเกิดความคล่องตัวได้ ที่เรียกว่ามีวสีในการเข้า วสีในการออก ถ้าสามารถทำถึงระดับนั้นได้ แม้แต่อยู่ในสมาธิก็สามารถที่จะคิดพินิจพิจารณาได้

ถาม : เราคิดว่าคล้าย ๆ กัน ?
ตอบ : คล้าย ๆ กัน จะว่าไปแล้วก็คือราคาเท่ากัน เพียงแต่ว่าอากาสานัญจายตนะฯ มีความคิดเพิ่มขึ้นมาหน่อยหนึ่ง

เถรี 27-05-2017 20:12

ถาม : หลังจากนั้น ช่วงแรกจะเป็นความมืดสนิท ไม่มีอะไรเลย ต่อไปเป็นความสว่างในทุกมิติ สองอย่างนี้ต่างกัน ?
ตอบ : จะว่าไปแล้วช่วงแรกคือเรากำลังเข้าถึง ถ้าเราเข้าถึงจนมีความชำนาญแล้ว พอเข้าไปปุ๊บจะมีความสว่างโพลงอยู่จุดใดจุดหนึ่ง อาจจะอยู่ตรงหน้า อาจจะอยู่บริเวณจมูก ปาก ในอก ส่วนใดส่วนหนึ่งก็ได้ เพียงแต่ว่าความสว่างนี้ไม่ใช่ความสว่างของแสงทั่วไป แต่เป็นความสว่างจากจิต ก็เลยทำให้เรารู้สึกว่าสว่างมาก บางคนก็ไปเพลิดเพลินติดอยู่กับแสงสว่างนั้น กลายเป็นเกิดโทษเพราะว่าปฏิบัติเมื่อไรก็อยากเห็น เมื่อมีความอยากเห็น สภาพจิตฟุ้งซ่านก็ไม่ได้เห็นอีก

ถาม : มีอยู่ครั้งหนึ่งผมนอนหลับอยู่ จิตก็เข้าฌานเอง แล้วก็ทะลุไปอีกจักรวาลหนึ่งซึ่งมีความสว่าง แนว ๆ อวกาศ แต่เป็นอวกาศที่สว่างไปหมดทุกมิติ ทีนี้รู้สึกไม่มีตัวตน เป็นอากาสานัญจายตนะหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ยังไม่ใช่ ต้องบอกว่าหากเหตุปัจจัยลงตัวก็สามารถที่จะทรงฌานเองได้ อย่างเช่นว่าก่อนนอนของเราอาจจะไม่ได้ยึดถืออะไร ปล่อยสบาย ๆ พอดีลงล็อกเลย ก็สามารถทรงฌานของมันเองได้ แต่ขอให้เข้าใจว่าความสว่างของสภาพจิตเรา ขึ้นอยู่กับกำลังของสมาธิ สมาธิยิ่งสูงเท่าไรก็สว่างเท่านั้น แต่ว่าเป็นลักษณะของความสว่างจ้าเฉย ๆ ไม่ได้มีประกายพิเศษในลักษณะของพระอริยะเจ้า เป็นความสว่างคนละประเภทกัน

ถาม : แต่ว่าไม่มีอะไร มีแต่สติ ?
ตอบ : จะไม่มีอะไร เหตุที่ไม่มีอะไรเพราะว่าสภาพจิตไม่มีการปรุงแต่ง ถ้าปรุงเมื่อไรจะรู้สึกทันทีว่า “มี” อันดับแรก คือ มีตัวเราที่เป็นผู้รู้อยู่ ในเมื่อมีตัวเราที่เป็นผู้รู้อยู่ ก็ปรุงต่ออีกหน่อย เดี๋ยวตัวกูของกูจะมา พยายามต่อท้ายด้วยวิปัสสนาญาณ พิจารณาให้เห็นความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเรา พอสภาพจิตปล่อยวางได้ ไม่เอาร่างกายจริง ๆ ก็สบายแล้ว


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 20:38


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว