กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=43)
-   -   ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่ม ๑๐ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=3810)

ลัก...ยิ้ม 26-01-2015 11:50

๑๓. เกิดอารมณ์สงสัยว่า เวลาพระองค์จะโปรดใคร ทรงตั้งความหวังไว้หรือไม่ ? ทรงตรัสว่า พระตถาคตเจ้าทุกพระองค์ทรงเป็นสัพพัญญูวิสัย ย่อมรู้ด้วยพุทธญาณในการตรวจดูอุปนิสัยของสัตว์โลก รู้ล่วงหน้าว่า บุคคลใดจักบรรลุธรรมในวันนี้หรือวันหน้า โดยมิต้องตั้งความหวัง รู้โดยหน้าที่ กล่าวคือเป็นหน้าที่ของพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ จักต้องกระทำอย่างนี้ คำว่ารู้ผิดพลาดไม่มีในพระพุทธเจ้า ซึ่งกรณีนี้พุทธสาวกรู้ได้ไม่ครบ

แม้แต่พุทธันดรนี้พระอัครสาวกฝ่ายขวา ท่านพระสารีบุตร ยังให้ลูกชายนายช่างทองเจริญกรรมฐานผิดกอง กล่าวคือไม่ถูกจริตจึงไม่มีผล เรื่องนี้มิใช่ตำหนิกัน เพียงแต่ให้รู้ว่าสัพพัญญูวิสัยกับวิสัยของสาวกนั้นผิดกัน ให้ดูปฏิปทาพระอรหันต์ที่ท่านรู้จริง ท่านจักถ่อมตนเสมอ และคิดเสมอว่าความผิดอาจจักเกิดขึ้นได้ กรณีนี้พวกเจ้าพึงสังวรจิตเอาไว้ด้วย อย่าทะนงตนว่าทำอะไรจักไม่ผิดพลาดเลยนั้นหาสมควรไม่ ให้ดูท่านพระสารีบุตรเป็นตัวอย่าง จักได้ปรามจิต..ไม่คิดหลงตนจนเกินไป

ลัก...ยิ้ม 29-01-2015 09:35

๑๔. อภัยจริงหรือไม่ ให้สังเกตตอนจิตถูกกระทบแล้วยังหวั่นไหวอยู่หรือไม่ หากจิตเกาะไม่ปล่อยวาง นั่นแหละคือการอภัยไม่จริง ถ้าจิตปล่อยวางไม่เอาเรื่องเหล่านี้มาคิด มาจำ หรือปรุงแต่ง ตรงนั่นแหละคืออภัยทานที่แท้จริง แต่อภัยทานจักเกิดขึ้นได้ก็ด้วยพิจารณากฎของกรรม คือทุกขสัจ หรืออริยสัจตามความเป็นจริง เห็นการยึดคือการเกาะติดสัญญา แล้วปรุงแต่งเป็นความเศร้าหมอง คือทุกข์เกิดขึ้นแก่จิตแล้ว เห็นเหล่านี้ด้วยปัญญาที่รู้แจ้งแทงตลอดเกิดขึ้นแก่จิตของตนเอง นั่นแหละจึงจักปล่อยวางสัญญาต่าง ๆ ลงได้สนิท อภัยทานเกิดได้ด้วยอาศัยปัญญาตรงนี้

พิจารณาสิ่งที่เห็นด้วยอายตนะ.. เกิดแล้วก็ดับ นั่นมิใช่ตัวตนของเรา และมิใช่ตัวตนของใคร มีเกิดขึ้น แล้วก็ตั้งอยู่ ดับไป เป็นธรรมดา ยึดถืออะไรไม่ได้ในอายตนะนี้ รูป – เวทนา – สัญญา – สังขาร - วิญญาณไม่เที่ยง ยึดเมื่อไหร่ก็ทุกข์เมื่อนั้น ให้ปล่อยวางลงด้วยอำนาจของวิปัสสนาญาณ รู้แจ้งเห็นจริงตามธรรมด้วยปัญญา พิจารณาใคร่ครวญไตร่ตรองให้รอบคอบ ความปล่อยวางก็จักเกิดขึ้นแก่จิตของผู้รู้ของตนเอง อยู่ในจิตนี่แหละ ความสุขความสงบก็จักเกิดขึ้นมาก ภัยภายนอก ภัยภายใน คุกคามอย่างไรก็ไม่ถึงจิต เรื่องของเขาก็เรื่องของเขา เรื่องขันธ์ ๕ ก็เรื่องขันธ์ ๕ เรื่องของเราก็คือจิตเท่านั้น รักษาจิตของเราให้อยู่ในธรรมเพื่อพระนิพพาน มุ่งตัดกิเลสเพื่อหลุดพ้นจากบ่วงมารเท่านั้นเป็นพอ อย่าคิดไปแก้กรรมภายนอก แก้กรรมในจิตด้วยจิตของตนเองเท่านั้นเป็นพอ หมดกรรมเมื่อไหร่ก็ถึงซึ่งพระนิพพานเมื่อนั้น นิพพานัง ปรมังสูญญัง นิพพานเป็นธรรมว่างอย่างยิ่ง จิตพระอรหันต์ว่างจากกรรมที่เป็นกิเลสทั้งปวง จึงจักเข้าถึงซึ่งพระนิพพานได้

ลัก...ยิ้ม 30-01-2015 09:28

๑๕. ให้ทำใจให้สบาย ๆ อย่าห่วงกังวลถึงเหตุการณ์ภายหน้าว่าเป็นอย่างไร ทุกอย่างล้วนเป็นกฎของกรรมทั้งสิ้น จงดูแลตนเองให้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งสภาพของจิตใจ ไม่มีใครที่จักช่วยเราได้นอกจากตัวของตนเอง ฝึกฝนจิตเอาไว้ให้ดี ให้พร้อมรับกับสถานการณ์ทุกรูปแบบ อย่าคิดว่าในชีวิตจักไม่เจอกับสิ่งที่เลวร้าย เวลานี้ทั่วโลกต่างประสบกับภัยพิบัติต่าง ๆ นานา รวมทั้งข่าวมรณภัย ตายหมู่คราวละมาก ๆ มีให้เห็นให้ฟังอยู่เป็นประจำ เพราะฉะนั้น ไม่ควรที่จักประมาทเป็นอันขาด และให้นึกอยู่เสมอว่าความตายเป็นของจริง ซึ่งไม่มีใครที่มีร่างกายจักหนีได้พ้น พวกเจ้าเองก็เช่นกัน ทำอะไรก็ทำไป แต่ไม่ควรประมาทในกรรมเป็นอันขาด

ลัก...ยิ้ม 05-02-2015 11:12

(พระธรรม ที่ทรงตรัสสอนในเดือนตุลาคม ๒๕๔๐)
ปกิณกธรรม

สมเด็จองค์ปฐม ทรงตรัสสอนไว้มีความสำคัญดังนี้

๑. มองร่างกายให้เป็นคุณบ้าง เพราะการมีร่างกายทำให้รู้ทุกข์อันเกิดจากร่างกาย ได้เห็นความรัก - โลภ - โกรธ - หลง อันเนื่องจากจิตที่เกาะติดร่างกายนี้ เพราะหากมองในมุมที่เป็นโทษอย่างเดียว เห็นว่าจิตต้องตกเป็นทาสรับใช้ร่างกาย หิวก็ต้องหาอาหารให้ หนาวหรือร้อนก็ต้องหาผ้าห่มอันประทังได้กับสภาพของอากาศให้ หรือในสาธารณูปโภค ทุกอย่างจิตต้องหาเพื่อร่างกายหมดทุกอย่าง ถ้าคิดอย่างนี้ในบางขณะ อารมณ์จิตก็จักเกิดนิพพิทาญาณ เบื่อหน่าย เศร้าหมองได้ พิจารณาให้ลงตัวธรรมดา ให้เห็นธรรมดาที่จิตยอมรับสภาพของร่างกายตามความเป็นจริงให้ได้ ตรงนั้นแหละที่จิตจักไม่เบื่อหน่าย มีแต่ร่างกาย เห็นสภาพที่แท้จริงของร่างกาย จิตเป็นสุขและไม่ทุกข์กับสภาพที่แท้จริงของร่างกาย หรืออันใดในโลกอีกเลย

(หมายถึงเหตุการณ์พิจารณาจุดนี้ คล้าย ๆ กับตอนพิจารณาอาหารเป็นอาหาเรปฏิกูลสัญญา จิตจะเบื่ออาหารมาก บางคนกินไม่ลง กินไม่ได้ เพราะเห็นอาหารเป็นของสกปรก เป็นหนอนก็กินไม่ได้ เมื่อจิตเกิดปัญญายอมรับความจริงเรื่องอาหาร ว่าอาหารทุก ๆ ชนิดก็มาจากสิ่งสกปรกก่อนทั้งสิ้น จิตก็ยอมรับสภาพความเป็นจริงของอาหาร เห็นเป็นของธรรมดาหมด คือพิจารณาอาหารจากสวยงามเป็นไม่สวยงาม.. สุภะเป็นอสุภะ แล้วก็พิจารณาย้อนกลับจากอสุภะเป็นสุภะ จากผ้าสวยงามจนเป็นผ้าขี้ริ้ว แล้วพิจารณาย้อนกลับ ผ้าขี้ริ้วก็มาจากผ้าที่สวยงามก่อนทั้งสิ้น หากเข้าใจด้วยปัญญา ไม่ใช่เข้าใจแต่สัญญา ประเดี๋ยวก็ลืมแล้ว จะมองเห็น..ของเก่าทุกอย่างก็มาจากของใหม่ทั้งสิ้น เรื่องนี้หากเห็นด้วยปัญญาแล้ว จะพิจารณาได้ไม่รู้จบหรือจบยาก)

ลัก...ยิ้ม 06-02-2015 14:11

๒. การเห็นทุกข์ พิจารณาทุกข์ หาต้นเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ ก็จักรู้วิธีพ้นทุกข์ได้ ด้วยการละ - ปล่อย - วางที่จิตของตนเอง นั่นแหละจึงจักเป็นหนทางพ้นทุกข์ได้อย่างแท้จริง หากเห็นทุกข์แล้ว ไม่ใช้อริยสัจเป็นหลักสำคัญในการแก้ปัญหา แก้ทุกข์แล้ว ก็จักพิจารณาไปไม่ถึงที่สุดของทุกข์ได้ด้วยปัญญา ก็จักละ-ปล่อย-วางทุกข์ไม่ได้ แต่กลับติดอยู่ในทุกข์ (ปัญหา) เพราะจิตไม่ยอมละ – ปล่อย - วาง ทำไปอีกกี่แสนชาติก็ไม่พ้นทุกข์

จำไว้..อย่าทิ้งอริยสัจ ต้องอาศัยกำลังใจคือบารมี (บารมี ๑๐) ให้
เต็มพร้อมอยู่ในจิตปัจจุบันเสมอ รักษาศีล - สมาธิ - ปัญญา ให้พร้อมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จักเป็นหนทางดับทุกข์ หรือมรรคปฏิปทาตามความเป็นจริง ถ้ากำลังใจไม่พร่อง เพียรอยู่เป็นปกติ ทุกอย่างก็เป็นของไม่ยาก พระนิพพานก็เป็นของที่ไม่ไกล ให้มุ่งดูกิเลสของจิตตนเป็นสำคัญ อย่าไปมุ่งดูบุคคลอื่น ให้วัดตัวตัดความโกรธ – โลภ - หลงของตนเองทุกวัน อย่าไปวัดของคนอื่น

ลัก...ยิ้ม 10-02-2015 10:41

๓. การพิจารณาให้เข้าสู่อริยสัจอยู่เสมอ เห็นทุกอย่างในโลกไม่เที่ยง เป็นอนิจจัง ยึดถือเมื่อไหร่ก็เป็นทุกข์เมื่อนั้น ให้พิจารณาอย่างจริง ๆ จัง ๆ จึงจักตัดความเกาะติดได้ ถ้าไม่ขยันพิจารณาหรือขาดความเพียร กิเลสก็จักพอกหนาขึ้นทุกวัน ๆ จนในที่สุดเมื่อขันธ์ ๕ จะพังลง ก็ไม่สามารถที่จักแก้ไขอารมณ์กิเลสเหล่านั้นได้ ก็ไปไม่ถึงพระนิพพาน ก็ต้องโทษตนเองที่ประมาท ขาดความเพียร ไม่ใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ตั้งแต่ตอนนั้น

บารมี ๑๐, สังโยชน์ ๑๐ จึงต้องพร้อมวัด - ตรวจ - สอบอารมณ์จิตอยู่เสมอ มีมรณาฯ และอุปสมานุสติ คล่องตัวคล่องจิตด้วยความไม่ประมาทในชีวิต หากต้องการความเจริญของจิต ให้หมั่นสำรวจความบกพร่องของศีล - สมาธิ - ปัญญาของตนเองอยู่เสมอ ไม่ต้องดูความดี ให้ดูแต่ความชั่ว หากละความชั่วได้หมดก็ถึงซึ่งความดีได้เอง ความดีที่สุดคือพระนิพพาน อย่าลืมตั้งอารมณ์ให้ถึงที่สุดของความดีในพระพุทธศาสนาให้ได้ จักได้มีจุดหมายปลายทางไว้เตือนสติ ไม่ให้บกพร่องในศีล - สมาธิ - ปัญญาอยู่เสมอ

ลัก...ยิ้ม 13-02-2015 11:43

๔. การตั้งอารมณ์ให้ดีที่สุดในพุทธศาสตร์ไว้เสมอ ด้วยอุบายย่อ ๆ ว่า รู้ลม – รู้ตาย - รู้นิพพานนั่นเอง มีสติกำหนดรู้อยู่เสมอว่า หากลมหายใจหยุด ความตายก็เกิด จิตก็มุ่งตรงสู่พระนิพพานจุดเดียว (ทวารทั้ง ๖, ประตูทั้ง ๖, อายตนะ ๖) ให้พยายามลงอารมณ์สักแต่ว่าเท่านั้น ให้มีสติระลึกเข้าไว้อยู่เสมอว่า ทุกสิ่งมิใช่บุคคล - ตัวตนเรา - เขา เป็นเพียงแค่สภาวธรรมหรือกรรม ไม่เที่ยง เกิด - ดับ ๆ อยู่ตลอดเวลาเป็นสันตติธรรม มันเป็นของมันอยู่อย่างนั้นเอง ให้มองเป็นธรรมดาให้มากที่สุด แล้วจิตจักวางลงได้ในคำว่าสักแต่ว่า

ลัก...ยิ้ม 17-02-2015 09:17

๕. ให้พิจารณาความไม่เที่ยงเข้าไว้เสมอ ๆ จักได้คลายความยึดมั่นถือมั่นลงได้ด้วยประการทั้งปวง แม้จักยังไม่สนิท ก็บรรเทาสักกายทิฏฐิลงได้บ้างไม่มากก็น้อย อย่าลืมคำว่า สักกายทิฏฐิ มีเป็นขั้น ๆ หยาบ - กลาง - ละเอียด จากปุถุชนมาสู่พระโสดาบันจนถึงพระอรหันต์ ก็เนื่องจากการเห็นทุกข์ในความไม่เที่ยงไม่เท่ากัน โดยเฉพาะเกิดเป็นทุกข์ แก่เป็นทุกข์ เจ็บเป็นทุกข์ พลัดพรากจากของรักของชอบใจเป็นทุกข์ ความโศกเศร้าเสียใจเป็นทุกข์ แล้วในที่สุดความตายเข้ามาถึงก็เป็นทุกข์ ต่างคนต่างปฏิบัติไปก็เข้าสู่อริยสัจตามระดับจิตนั้น ๆ เห็นความไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นโทษ จึงพิจารณาสักกายทิฏฐิ เพื่อปลดเปลื้องความยึดมั่นถือมั่นในทุกข์นั้นลงเสีย อย่าลืม ละที่จิตอย่างเดียวเท่านั้น ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จที่ใจ ถ้าหากจิตหรือใจดีเสียอย่างเดียว กาย - วาจา ซึ่งเป็นบ่าวก็จักดีตามไปด้วย เดินมรรคด้วยจิต ทำให้ถูกทาง แล้วจักเข้าถึงมรรคผลนิพพานได้ง่าย

ลัก...ยิ้ม 26-02-2015 17:57

๖. ให้พิจารณาอายุของร่างกายที่มากขึ้นทุกวัน ความตายก็ใกล้เข้ามาทุกที จงอย่ามีความประมาทในชีวิต และให้เห็นทุกข์ของการมีชีวิตอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยความเร่าร้อนจากภัยนานาประการ เรื่องเหล่านี้มิใช่ของแปลกหรือของใหม่แต่อย่างไร เป็นภัยที่อยู่คู่กับโลกมานานแล้ว ในทุก ๆ พุทธันดรก็เจอมาอย่างนี้ อย่าไปหวังแก้โลก อย่าไปหลงปรุงแต่งตามโลก ให้เห็นตัณหา ๓ ประการ ที่ครอบงำโลกให้วุ่นวายอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน มองทุกอย่างตามความเป็นจริง แล้วปล่อยวางโลกเสียด้วยความเห็นทุกข์ เห็นความไม่เที่ยง น่าเบื่อหน่าย ไม่น่ายินดี ไม่น่ายินร้ายแม้แต่นิดเดียว

ลัก...ยิ้ม 05-03-2015 15:30

๗. การปฏิบัติจงอย่าสนใจจริยาผู้อื่น ให้มองอารมณ์จิตตนเองเข้าไว้เป็นสำคัญ เพราะตนเองปรารถนาจักไปพระนิพพาน จึงต้องฝึกจิตให้ปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่างในโลก แม้ในไตรภพให้หมดจด เพราะการไปพระนิพพาน จิตติดอะไรแม้แต่อย่างเดียวก็ไปไม่ถึงพระนิพพาน การปฏิบัติต้องเอาจริงเอาจังจึงจักไปได้ แต่ตราบใดที่ยังมีขันธ์ ๕ อยู่ ก็ให้พิจารณาปัจจัย ๔ เป็นสิ่งจำเป็นที่จักต้องยังอัตภาพให้เป็นไป สักแต่ว่าเป็นเครื่องอยู่ สักแต่ว่าเป็นเครื่องอาศัย แล้วอยู่อย่างพิจารณาให้เห็นชัดว่า ร่างกายหรือวัตถุธาตุทั้งหมดมีคำว่าเสื่อมและอนัตตาไปในที่สุด จิตก็คลายความเกาะติด จิตมีความสุขสงบ เมื่อถึงวาระร่างกายจักพัง การตัดทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ภายนอกรวมตัว หรือแม้แต่ร่างกายก็ตัดไม่ยาก เนื่องด้วยพิจารณาจนรู้แจ้งเห็นตามความเป็นจริงแล้วด้วยปัญญา และไม่มีความประมาทในชีวิต

ลัก...ยิ้ม 06-03-2015 13:40

๘. พิจารณาร่างกาย พิจารณาเวทนา โดยย้อนกลับไปกลับมา ไม่มีร่างกายก็ย่อมไม่มีเวทนา ไม่มีเวทนาก็ย่อมไม่มีร่างกาย แล้วให้เห็นปกติของรูปและนามซึ่งอาศัยซึ่งกันและกัน พิจารณาให้ลึกลงไปจักเห็นความไม่มีในเรา ในรูปและนามได้ชัดเจน เราคือจิตที่ถูกกิเลสห่อหุ้ม ให้หลงติดอยู่ในรูปในนามอย่างนี้ มานานนับอสงไขยกัปไม่ถ้วน หากไม่พิจารณาให้เห็นชัดเจนลงไปในรูปและนาม ก็จักตัดความติดอยู่ไม่ได้ และเมื่อตัดไม่ได้ก็ไปพระนิพพานไม่ได้ ธรรมที่กล่าวมานี้มิใช่สาธารณะ หากตนเองยังทำไม่ได้ ก็ไม่พึงพูดออกไปเพื่อแนะนำบุคคลอื่น ตราบจนกว่าตัวเองจักได้จริง นั่นแหละสมควรพูดได้

ลัก...ยิ้ม 12-03-2015 13:41

๙. ให้เห็นร่างกายนี้มีปกติธรรม คือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ในความเสื่อม แล้วก็ดับไป ทุกอย่างหาแก่นสารอันใดไม่ได้ การอาศัยร่างกายอยู่ ก็เพียงแค่ยังอัตภาพให้เป็นไป ด้วยดำริว่าจักไม่เบียดเบียนตนเอง ไม่เบียดเบียนผู้อื่น และไม่เบียดเบียนทั้งตนเองและผู้อื่นด้วย แล้วมองร่างกายนี้ให้เป็นเช่นสุสานฝังศพ ฝังเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักพอ เพราะการเกิดมีเท่าไหร่ การตายก็มีเท่านั้น เกิดกับตายจึงเป็นเรื่องธรรมดาของร่างกาย

ถ้าหากจิตติดอยู่กับธาตุอายตนะขันธ์ก็ยังต้องเกิด ต้องตายอยู่กับร่างกายนี้อีกนับชาติไม่ถ้วน ให้ถามแล้วให้จิตตอบ เข็ดจริงหรือ ถ้าหากยังมีความอาลัยในชีวิตหรือในร่างกายนี้ ก็ยังเข็ดไม่จริง เรื่องการปล่อยวางการเกาะร่างกาย ขึ้นอยู่กับจิตที่จักพิจารณา ขึ้นอยู่กับสติ - สัมปชัญญะกำหนดรู้อยู่เสมอ ๆ ว่า ธาตุ อายตนะ ขันธ์นี้ไม่มีในเรา ไม่ใช่เรา จักต้องเอาจริง แต่มิใช่เคร่งเครียดจนเป็นเหตุให้หนักใจ และมีความเบาใจ มีความเข้าใจในบทพระธรรมคำสั่งสอนเพียงพอแล้ว สามารถปฏิบัติได้ตามคำสั่งสอนนั้น

ลัก...ยิ้ม 17-03-2015 10:54

๑๐. ดูคนทุกคนที่มีลีลาชีวิตต่าง ๆ กันไป ให้เห็นเป็นกฎของกรรม และทุกอย่างเป็นของธรรมดา ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไปเท่านั้น อย่าถืออะไรมาเป็นสาระที่จริงจังของชีวิต ในยามนี้มีชีวิตอยู่ก็ให้เกื้อหนุนกันไป ด้วยความสงสาร และมีความเมตตาปรานี เป็นการทำจิตให้อ่อนโยนและทำให้เป็นผู้มีมิตรมาก แต่จำไว้ว่าอย่าเบียดเบียนตนเองมากจนเกินไป การกระทำทุกอย่างให้อยู่ในสายกลาง คือไม่เบียดเบียนตนเอง ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ไม่เบียดเบียนทั้งตนเองและผู้อื่น ให้มีจิตเมตตาหวังดีกับคนทั้งโลกหรือสัตว์ทั้งโลก ความหวังดีไม่จำเป็นที่ต้องจักให้เป็นวัตถุ การรักษาศีลและกรรมบถ ๑๐ อันบริบูรณ์ ก็คือการหวังดีกับคนและสัตว์ทั้งโลกแล้ว ถ้าหากรักษาได้ อย่าขวางทางบุญและบาปของใคร เพราะพื้นฐานของจิตใจของแต่ละคนเกี่ยวกับบุญและบาปมีต่างกัน ไม่เท่ากัน จิตเมื่อจักวางในจริยาของบุคคลอื่น ก็จักต้องใช้ปัญญาพิจารณาจุดนี้ให้มาก ๆ ลงตัวธรรมดาให้ได้ แล้วจิตจึงจักปล่อยวางกรรมของคนอื่น ๆ ลงได้ ไม่ว่ากรรมดีหรือกรรมเลว

ลัก...ยิ้ม 26-03-2015 11:39

๑๑. ให้เห็นการเกิดและการตายเป็นของคู่กัน เกิดเท่าไหร่ตายหมดเท่านั้น การตายจึงเป็นของธรรมดา แม้พวกเจ้าเองก็เช่นกัน ยังมีความประมาทในความตายแฝงอยู่มาก ให้สอบจิตตนเองดูจักรู้ว่า ใน ๒๔ ชั่วโมงระลึกนึกถึงความตายอย่างยอมรับความจริงได้สักกี่ครั้ง การนึกถึงความตายอย่างนกแก้วนกขุนทองนั้น หาประโยชน์ได้น้อย เพราะเป็นสัญญาล้วน ๆ จำไว้..มรณานุสติกรรมฐานเป็นฐานใหญ่ ที่จักนำจิตตนเองให้เข้าถึงความไม่ประมาทได้โดยง่าย และเป็นตัวเร่งรัดความเพียร ด้วยเห็นค่าของเวลาชีวิตที่เหลืออยู่ ชีวิตจริง ๆ ดั่งเช่นเปลวเทียน วูบ ๆ วาบ ๆ แล้วก็ดับหายไป เกิดใหม่ก็ดับอีก หากไม่เร่งรัดปัญญาให้เกิด ก็ยังจักต้องเกิดอีกนับภพนับชาติไม่ถ้วน

ลัก...ยิ้ม 02-04-2015 10:55

๑๒. ร่างกายที่เห็นอยู่นี้มิใช่ของจริง ตัวจริง ๆ คือจิต ให้พิจารณาแยกส่วนออกมาให้ได้ ร่างกายนี้สักเพียงแต่ว่าเป็นที่อยู่อาศัย เสมือนบ้านเช่าชั่วคราวเท่านั้น ไม่ช้าไม่นานจิตวิญญาณก็จักออกจากร่างกายนี้ไป ทุกร่างกายมีความตายไปในที่สุดเหมือนกัน แล้วพิจารณาการอยู่ของร่างกาย ทุกลมหายใจเข้า - ออกคือทุกข์ เนื่องด้วยความไม่เที่ยง หาอันใดทรงตัวไม่ได้ พิจารณาให้เห็นชัดจึงจักวางร่างกายลงได้ในที่สุด เรื่องของบ้านเมือง เรื่องของเศรษฐกิจเวลานี้สับสนวุ่นวาย ให้พิจารณาเห็นเป็นธรรมดา เพราะดวงเมืองไทยเป็นอย่างนี้เอง จักต้องทำใจให้ยอมรับสถานการณ์ให้ได้ทุก ๆ สภาพ เพราะล้วนแล้วเป็นกฎของกรรมทั้งสิ้น

ลัก...ยิ้ม 07-04-2015 16:13

๑๓. ให้ดูวิริยบารมี เพราะยังมีความขี้เกียจอยู่เป็นอันมาก ให้โจทย์จิตเข้าไว้ให้ดี ๆ อย่าไปเสียเวลากับจริยาของผู้อื่น ใครจักเป็นอย่างไรก็ช่าง พิจารณาโลกก็เท่านี้ หาที่สิ้นสุดไม่ได้ ประการสำคัญคือประคองจิตตนเองให้พ้นไปเท่านั้น ความสำคัญอยู่ที่ตรงนี้ การสงเคราะห์ผู้อื่นเป็นเพียงหน้าที่เท่านั้น กระทำแล้วก็ให้ผ่านไป อย่าเอาจิตไปเกาะกรรมของเขา มองให้เห็นธรรมดา แก้โลกไม่มีสิ้นสุด ให้แก้ที่จิตใจตนเองเป็นสิ้นสุดได้ พยายามปลดสิ่งที่เกาะติดอยู่ในใจลงให้ได้มากที่สุด เท่าที่จักมากได้ วางภาระและพันธะลงเสียให้เป็นสักแต่ว่าหน้าที่เท่านั้น จิตจักได้ไม่เป็นทุกข์ ประเด็นที่สำคัญอันจักต้องให้เห็นชัดคือพิจารณากฎของกรรม ให้ยอมรับนับถือในกฎของกรรม จุดนั้นจึงจักถึงซึ่งจิตเป็นสุขและสงบได้

ลัก...ยิ้ม 10-04-2015 10:33

๑๔. เวลานี้ดวงเมืองกำลังร้อน จึงมีเหตุให้เกิดความเปลี่ยนแปลงไปทุกหย่อมหญ้า เวลานี้ไม่มีอะไรแก้ไข ให้นิ่งเฉยสงบเข้าไว้เป็นดีที่สุด เหมือนสถานการณ์ของบ้านเมือง (ทรงตรัสไว้เมื่อ ๒๕ ต.ค. ๒๕๔๐ ปัจจุบันดวงเมืองก็กำลังร้อน ตั้งแต่ ๘ เม.ย. จนถึงวันนี้ ๑๐ เม.ย. ๒๕๕๒ ห่างกัน ๑๒ ปี) ภาวะเศรษฐกิจเป็นอย่างนี้ อยู่เฉย ๆ ไม่ลงทุนทำอะไรเลยดีกว่า สถานการณ์ของวัดก็เช่นกัน ทั้งดวงเมืองและดวงวัด เพราะเวลานี้กฎของกรรมกำลังให้ผลหนัก ความผันผวนย่อมเกิดขึ้นได้ทุกวัน แต่ไม่ควรที่จักหวั่นไหว รักษาจิตให้สงบ ให้เห็นทุกอย่างเป็นธรรมดาเข้าไว้ รักษาอะไรไม่สำคัญเท่ารักษาจิตใจของตนเอง ดูจุดนี้เอาไว้ให้ดี รักษาอารมณ์ของตนเองให้อยู่ในกุศล ดีกว่าปล่อยให้ตกอยู่ในห้วงของอกุศล ปล่อยวาง กรรมใครกรรมมันให้ได้ ใช้ปัญญาพิจารณาให้รู้แจ้ง เห็นชัดในกฎของกรรมจุดนั้นแหละ จึงจักปล่อยวางกรรมใครกรรมมันได้ ความสุขจักเกิดขึ้นแก่จิตใจของตนอย่างแท้จริง

ลัก...ยิ้ม 17-04-2015 17:18

๑๕. การทำบุญทำทานแล้วพิจารณาถึงบุญและทานนั้น อันทำเพื่อพระนิพพานโดยไม่หวังผลตอบแทน จัดเป็นจาคานุสติด้วยและอุปสมานุสติด้วย อารมณ์อยู่กับกุศล ซึ่งดีกว่าปล่อยจิตคิดถึงแต่ความชั่ว - ความเลว แม้แต่ผู้อื่นเขาทำบุญ ทำทานก็ให้เห็นเป็นธรรมดา เห็นแล้วให้ยินดีด้วย แล้วปล่อยวาง จิตจักได้บริโภคอารมณ์ที่ไม่เป็นพิษ เพราะปกติจิตมักจักไหลลงสู่อารมณ์ที่เป็นกิเลส จิตชินกับความเลวมากกว่าความดี เวลานี้เราจักมาละความเลวกันก็จักต้องละกันที่จิต ฝึกจิตให้ชินอยู่กับทาน - ศีล - ภาวนา ให้ติดดีมากกว่าติดเลว ให้สอบอารมณ์ของจิตไว้เสมอ อย่าคิดว่าบุญ - ทานไม่ติดแล้ว ฉันไม่เกาะทั้ง ๆ ที่จิตยังติดเลวอยู่อีกมากมาย หากบุญ - ทานทำแล้วไม่เกาะ แม้เห็นผู้อื่นทำแล้ว โง่ - หยิ่ง ไม่เกาะ ไม่ยินดีด้วย จิตก็ยิ่งเศร้าหมองปานนั้น ทำบุญทำทานแล้วก็เหมือนไม่มีผล เพราะจิตไม่ยินดีกับบุญกับทานนั้น จึงเท่ากับจิตติดบาปอกุศล นับว่าขาดทุนแท้ ๆ พระอรหันต์ท่านยังทำบุญ ทำทานด้วยความยินดีกับบุญและทานนั้น จิตเป็นสุข คำว่าไม่เกาะของพระอรหันต์คือ ไม่หวังผลตอบแทนใด ๆ ในโลกธรรม ๘ จิตไม่เกาะบุญบาปในที่นี้ เนื่องด้วยผลบุญผลบาปไม่สามารถให้ผลแก่จิตใจของท่านอีก แล้วพวกเจ้าเล่า ? จิตยังข้องอยู่ในบาปอกุศลอยู่เป็นอันมาก หากพูดว่าไม่ติดในบุญ ในทาน ทั้งที่จิตยังติดบาปกุศลอยู่ การทำบุญ ทำทานแล้วก็เหมือนไม่ได้ทำ

จงเอาอย่างพระอรหันต์ ท่านยังไม่ทิ้งจาคานุสติกรรมฐาน อภัยทานอันเป็นทานภายในสูงสุดในธรรมทาน เกิดขึ้นด้วยพรหมวิหาร ๔ เป็นอัปมัญญา พระอรหันต์ไม่ข้องอยู่ในบาปอกุศลของบุคคลรอบข้าง เพราะท่านมีอภัยทานอยู่ในจิตเสมอ แล้วพวกเจ้ามีแล้วหรือยัง ? เพราะฉะนั้น จงอย่างประมาทในอกุศลกรรม พยายามรักษาจิตให้ผ่องใสไว้ด้วยการระลึกนึกถึง การทำบุญ - ทำทาน - รักษาศีล - เจริญภาวนาด้วยจิตที่ยินดี ทำทุกอย่างเพื่อพระนิพพานจุดเดียว ดีกว่าปล่อยให้จิตตกเป็นทาสของบาปอกุศล

ลัก...ยิ้ม 23-04-2015 10:28

๑๖. พรุ่งนี้ ครบรอบปีวันมรณภาพของท่านฤๅษี (๓๐ ต.ค. ๓๕) พึงถวายสังฆทานให้ท่าน ระลึกนึกถึงในพระคุณอันหาที่สุดมิได้ของท่านฤๅษีที่มีต่อพวกเจ้า พยายามทำจิตให้สงบเยือกเย็นให้ถึงที่สุด ทุกอย่างทำเพื่อพระนิพพานจุดเดียว พิจารณาตามบารมี ๑๐ ควบกับพรหมวิหาร ๔ แล้วจิตจักเจริญขึ้นได้มาก หากเพียรอย่างต่อเนื่อง พระนิพพานก็อยู่ไม่ไกล

ลัก...ยิ้ม 24-04-2015 09:56

(พระธรรม ที่ทรงตรัสสอนในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๔๐)

ปกิณกธรรม

สมเด็จองค์ปฐม ทรงตรัสสอนปกิณกธรรมไว้มีความสำคัญดังนี้
๑. ชีวิต - สุขภาพของร่างกายย่อมกำหนดไม่ได้ที่จักให้เที่ยง เพราะมีความแปรปรวนอยู่เป็นธรรมดา ดูแต่กระแสจิตหรืออารมณ์จิต ฝึกแล้วฝึกอีกก็ยังยากที่จักกำหนดได้ การฝึกร่างกายอย่างนักกีฬา ฝึกได้เพียงชั่วขณะหนึ่ง ไม่ช้าโรคชราก็มาเยือน ร่างกายก็ทรุดโทรมลง ต่างกับจิตใจยิ่งฝึกยิ่งเข้มแข็ง ยิ่งมีความอดทนผ่องใสยิ่งกว่าอื่นใด ไม่ได้เสื่อมลงอย่างร่างกาย สำคัญอยู่ที่เวลาฝึกจิตใจให้อดทนเข้มแข็งเพียงพอหรือไม่ ที่ไม่เพียงพอเพราะจิตยึดเกาะเวทนาของร่างกายมากเกินไป ให้ใช้ปัญญาเป็นตัวปลดจึงจักปล่อยวางได้ และการที่จักดูว่าวางได้หรือไม่ได้ ก็ให้เอาทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นของร่างกายนี้แหละเป็นตัววัด

ลัก...ยิ้ม 29-04-2015 11:21

๒. อย่ากังวลเรื่องสิ่งของ ต้องใจเย็นเพราะเป็นปกติธรรมของการเกิดเป็นมนุษย์ ไม่หาก็ไม่มีเครื่องอยู่ หาแล้วคำว่าพอดีก็ไม่ค่อยจักมี ส่วนใหญ่ให้รู้สึกว่าขาดและเกินพอดีมากกว่า การนึกเบื่อนั้นนึกได้ แต่จงอย่าเบื่อผสมความทุกข์เพราะขาดปัญญา ต้องเบื่อแล้วปล่อยวาง เห็นเป็นเรื่องธรรมดาไม่ทุกข์ จึงจักเป็นการวางอารมณ์ที่ถูกต้อง จึงต้องหมั่นพิจารณาอารมณ์ของจิต ให้ทราบความจริงว่า ที่อึดอัดขัดข้องอยู่นี้เป็นด้วยเหตุประการใด อย่าให้โมหะจริตหรือวิตกจริตครอบงำจิตให้มากเกินไป พิจารณาให้ลงตัวให้ได้ แล้วจิตจักมีความสุขเกิดขึ้นได้ อย่าให้ความกังวลใด ๆ มาเป็นตัวถ่วงความเจริญของจิต ใช้อริยสัจให้รู้ว่าจิตที่เสื่อมมีอะไรเป็นต้นเหตุ ให้รู้ว่าจิตที่เจริญมีอะไรเป็นต้นเหตุเช่นกัน อย่าให้จิตตกอยู่ในกระแสของโลกนานเกินไป พยายามให้จิตอยู่ในโลกพระนิพพานนานเท่าไหร่ยิ่งดีเท่านั้น

ลัก...ยิ้ม 07-05-2015 15:47

๓. ดูร่างกายมันโทรมลงทุกวัน ให้เห็นความตายใกล้เข้ามาทุกที จงอย่ามีความประมาทในชีวิต ให้คิดอยู่เสมอว่า ความตายจักเข้ามาถึงชีวิตได้เสมอ แล้วจงอย่าทำความรู้สึกเสียดายชีวิต เพราะหนีความตายไปไม่พ้น ร่างกายเท่านั้นที่ตาย ตัวเราคือจิตไม่มีวันตาย การเจ็บป่วยนี่แหละเป็นการวัดกำลังใจตนเองว่า ละ - วางร่างกายได้ขนาดไหน การรักษาจำเป็นต้องมีเพื่อระงับเวทนาตามหน้าที่ แต่จิตไม่กังวลห่วงใยในร่างกาย ให้ทำความรู้สึกเหมือนเราดูแลเด็กตามหน้าที่ แต่ใจทุกข์ร้อนในเด็กนั้นไม่มี หมายความว่ามีปัญญายอมรับความจริงเกี่ยวกับการมีร่างกาย ว่ามันก็ต้องเป็นธรรมดาอย่างนี้เอง (เกิด - แก่ - เจ็บ - ตายเป็นของธรรมดา) จิตจึงจักคลายหรือวางความวิตกกังวลลงได้ ถ้ากิเลสตัณหาไม่สิ้นไปจากจิตเพียงใด ละจากภพนี้ก็ไปสู่ภพหน้าอีก ให้ตั้งใจเอาไว้เลยว่าต่อไปคำว่าภพชาติจักไม่มีกับเราอีก มีมรณาฯ บวกอุปสมานุสติมั่นคงอยู่กับจิตตลอดเวลา

ลัก...ยิ้ม 20-05-2015 16:56

๔. อย่าฝืนโลก อย่าฝืนธรรม แล้วจิตจักเป็นสุข ให้สังเกตอารมณ์ของจิต มักจักฝืนความจริงอยู่เสมอ แม้กำลังป่วย ๆ อยู่นี้ กิเลสยังหลอกว่าพรุ่งนี้ - มะรืนนี้ หรือประเดี๋ยวก็หาย จิตมันหลอกเก่งมาก การเตรียมพร้อมที่จักไปพระนิพพาน จักต้องเห็นร่างกายพังได้ตลอดเวลา รู้ลม - รู้ตาย - รู้นิพพาน มีมรณาฯ และอุปสมานุสติทรงตัวตลอดเวลา มิใช่จักทำแต่เฉพาะตอนมีร่างกายเจ็บป่วยเท่านั้น นั่นแหละจึงจักไปพระนิพพานได้

ลัก...ยิ้ม 21-05-2015 11:36

๕. อย่าตีตนไปก่อนไข้ แต่การไม่ประมาทนั้นเป็นของดี เพราะชีวิตของคนเรานั้นสั้นนิดเดียว (โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับภพอื่น ๆ) ให้พิจารณาชีวิตตามความเป็นจริง แล้วจักเห็นสิ่งที่เป็นความตายแฝงอยู่ทุกลมหายใจเข้า - ออก แต่ในยามปกติร่างกายอุดมสมบูรณ์ด้วยธาตุ ๔ คนเราจึงไม่มีความรู้สึกตามความเป็นจริง มีแต่ความรู้สึกสบาย ไม่เคยคิดว่ามันจักแปรปรวน ทั้ง ๆ ที่ร่างกายก็แปรปรวนของมันอยู่เป็นปกติตลอดเวลา ความโง่เข้ามาบดบังจิตทำให้มองความจริงไม่เห็น ต่อนี้ไปจักต้องคอยดูให้มาก ๆ เมื่อถึงเวลาละร่างกาย จิตจักได้ปล่อยวางได้

ลัก...ยิ้ม 27-05-2015 17:17

๖. อย่าย่นย่อต่อการสร้างความดี ให้ทำจิตให้มั่นคงไว้เสมอ ทำอะไรไม่หวังผลตอบแทน นอกจากพระนิพพานจุดเดียวเท่านั้น ให้โจทย์จิตเอาไว้เสมอ มองชั่วแก้ชั่วเท่านั้น ความดีก็จักเข้ามาถึงเอง เรื่องประการอื่น ๆ จงอย่ากังวลและห่วงใยให้มากนัก ทุกอย่างให้ทำเป็นหน้าที่เท่าที่ยังมีชีวิตอยู่นี้ ทำให้ดีที่สุดเท่าที่จักทำได้ นอกเหนือจากนั้นก็รักษากำลังใจให้เสมอต้นเสมอปลาย อย่าท้อแท้ เพราะอุปสรรคทั้งหลายที่เข้าทดสอบจิตนี้แหละเป็นครู

ลัก...ยิ้ม 28-05-2015 14:03

๗. รักษากาย - วาจา - ใจ ให้เป็นสุข มีความผ่องใส ให้แน่วแน่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างทำเพื่อพระนิพพาน คือการกระทำกาย - วาจา - ใจ ให้อยู่ในกรอบของศีล - สมาธิ - ปัญญา แล้วใครที่ไหนอื่นก็ไม่สำคัญเท่ากาย วาจา ใจ ของตนเอง อย่าไปเพ่งโทษตำหนิใครที่ไหนอื่น ให้เพ่งโทษตำหนิกาย - วาจา - ใจ ของตนเองเข้าไว้ จักได้ประโยชน์กว่า

เรื่องทุกข์จากการเลี้ยงลูก คุณหมอเลี้ยงเขาได้แค่ตัวเท่านั้น จิตใจหาเลี้ยงกันได้ไม่ ทุกอย่างล้วนแต่เป็นกฎของกรรมเป็นเครื่องชี้ ไม่มีใครทำเอาไว้หรอก กฎของกรรมมีแต่ตัวเราเองทำเอาไว้แต่อดีตทั้งสิ้น ให้พิจารณาแล้วจงยอมรับนับถือในกฎของกรรม ยิ่งคุณหมอมุ่งต้องการหนีกรรมเพื่อพระนิพพานในชาตินี้ เจ้ากรรมนายเวรก็มุ่งตามทวงตามขอ เพื่อให้ชดใช้หนี้กรรมเป็นของธรรมดา หากคุณหมอได้ทิพจักขุญาณ จักสามารถเห็นเจ้ากรรมนายเวร ผู้ให้โทษทั้งชีวิตและทรัพย์สิน หรือให้โทษทางเจ็บไข้ได้ป่วย เขามายืนทวงหนี้กรรมกันเป็นทิวแถว ที่คุณหมอกำลังโดนอยู่นี้ยังเบา หากคุณหมอไปเผลอเกิดอีกชาติละก็ จักถูกกฎของกรรมเล่นงานหนักยิ่งกว่าชาตินี้อีก ให้พิจารณาดูเอาเถิด รักษากาย - วาจา - ใจ ให้มั่นคง อย่าได้ย่อท้อต่ออุปสรรคทั้งหลายทั้งปวงที่เข้ามารุมเร้า รักษากำลังใจให้ตั้งมั่น อดทนต่อทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อให้ได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้

ลัก...ยิ้ม 18-06-2015 18:11

๘. ร่างกายที่เห็น ๆ อยู่นี้เป็นของใครก็ไม่รู้ ดูให้ถนัด ๆ จักเห็นสภาวะธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ มีอากาศธาตุและวิญญาณธาตุเข้ามาอาศัยอยู่เท่านั้น เป็นสมบัติของโลกซึ่งไม่มีใครสามารถจักเอาไปได้ ถ้าหากยังหลงติดอยู่ในร่างกาย ก็เท่ากับถูกจองจำอยู่ในโลกไม่มีที่สิ้นสุด ไป ๆ มา ๆ เกิด ๆ ดับ ๆ อยู่กับร่างกาย ไม่มีทางหลุดพ้นออกไปได้

ในเมื่อพวกเจ้าต้องการถึงที่สุดของตัณหา ก็จงพิจารณาร่างกายให้ปรากฏชัดถึงอาการ ๓๒ ธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ สิ่งเหล่านี้เป็นของใคร ของเราหรือ ยึดได้ไหม พิจารณา..อย่าสักแต่ว่ารู้อย่างเดียว จิตยังไม่แจ้งแทงตลอด จิตรู้แต่ก็ยังไม่วางร่างกาย ยังคงยึดมั่นถือมั่นอยู่ จักต้องให้แจ้งแทงตลอดขึ้นมาในจิตนั่นแหละ จึงจักวางร่างกายลงได้อย่างสนิท (รู้แค่สัญญาเท่ากับรู้ไม่จริง เดี๋ยวก็ลืม รู้จริงต้องรู้ด้วยปัญญา)


อนึ่ง..ในวันนี้เจ้าได้ทำกระทงถวายให้แก่ท่านพระ...เป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา แล้วใส่เงิน ๑๐๘ บาท เป็นการทำพิธีสะเดาะเคราะห์รับพระเสวยอายุทั้งปี เรื่องนี้เป็นผลดีมาก แต่ต่อไปให้ทำทุกปี ปีละครั้ง จักได้ต่อเนื่องกันไป

ลัก...ยิ้ม 19-06-2015 17:53

๙.เรื่องของร่างกาย ต้องหมั่นดูหาความจริงเอาไว้เสมอ จักได้มีปัญญาเกิดขึ้นกับจิต มิใช่ท่องจำเอาเป็นเพียงสัญญา รู้สักเพียงแต่ว่ารู้แค่สัญญาก็วางอะไรไม่ได้เลย (ทรงตรัสสอนอุบายไว้มากมายหลายวิธี ตามจริตนิสัยของคนซึ่งทำกรรมมาไม่เหมือนกัน ใครพอใจวิธีใดก็หมั่นพิจารณาวิธีนั้น) ให้มองชีวิตร่างกายที่เห็นอยู่นี้มันเป็นของใครก็ไม่รู้ มันคืออะไรกันแน่ เป็นของเราหรือของใคร เที่ยงหรือไม่เที่ยง สกปรกหรือสะอาด ควรยึดหรือไม่ควรยึด ดูให้ชัด ๆ จึงจักต้องฝึกสติสัมปชัญญะ (สติ - สมาธิ - ปัญญา หรือสมถะวิปัสสนา ความจริงมันก็ตัวเดียวกัน) จิตมันชินอยู่กับกิเลสมานานแสนนานจึงต้องใช้ปัญญาหาความจริงให้พบว่า ร่างกายชีวิตมันหลอกเรา หรือว่าอารมณ์จิตของเราหลอกเราเอง ดูให้ชัด ๆ หมั่นดูบ่อย ๆ จึงจักวางอุปาทานขันธ์ลงได้ ฝึกจิตให้หมั่นดูกาย พิจารณาชีวิตให้เห็นถึงที่สุดของความทุกข์ นั่นแหละจึงจักวางทุกข์ลงได้ การฝึกต้องไม่ใจร้อน ให้ค่อยๆ ฝึกจิตไป แต่ก็อย่าแชเชือน ปล่อยปละละเลย ให้กรรมฐานว่าไปจากจิต (ไม่ตึง ไม่หย่อนไป ให้เดินสายกลาง) จะเป็นการถอยหลังเข้าคลอง ให้ดูอารมณ์จิตเอาไว้ด้วย

ลัก...ยิ้ม 26-06-2015 17:04

๑๐.ร่างกายมันเสื่อมลงทุกวัน นี่แหละอริยสัจหรือความจริงของร่างกาย ซึ่งทุกรูปทุกนามเหมือนกันหมด ไม่มีใครหนีความจริงไปได้ ทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน ให้ดูร่างกายตามความเป็นจริงอยู่เสมอ พิจารณาให้เห็นอยู่เนือง ๆ จนกระทั่งจิตวางร่างกายให้เป็นไปตามกฎของธรรมดา การอยู่จักต้องดูแลรักษาไปตามหน้าที่ แต่ถ้าหากมันตายจิตก็ไม่ผูกพัน ไม่ฝืนโลก ไม่ฝืนธรรม พร้อมที่จักปล่อยวางได้ในทันทีทันใด จุดนี้สำคัญมาก หากประมาทไม่หมั่นฝึก หมั่นซ้อมให้ชำนาญให้ผ่านจุดนี้ การจักเข้าถึงซึ่งพระนิพพานก็เป็นของยาก พิจารณาวันละเล็กวันละน้อย ให้จิตมันชินอยู่กับการพิจารณาร่างกาย ทำบ่อย ๆ ฝึกจิตให้เห็นความเป็นจริงของร่างกาย จิตก็จักคลายการเกาะติดร่างกายลงได้ทีละน้อย จนในที่สุดจักปล่อยวางร่างกายลงได้สนิท จงอย่าทิ้งความพยายาม (ความเพียรหรือวิริยบารมี) ก็แล้วกัน ทำไปแล้วจักเห็นผลเอง เฉพาะตัวของใครของมัน (ธรรมของตถาคตเป็นปัจจัตตัง ถึงแล้วจะรู้เอง)

ลัก...ยิ้ม 30-06-2015 16:54

๑๑. อย่ากังวลกับชะตากรรมของใครทั้งปวง หัดปล่อยวางด้วยการตรวจดูความกังวลของจิตอยู่เสมอ แล้วหาเหตุหาผลให้จิตยอมรับถึงกฎของความเป็นจริง คือไม่มีใครสามารถหนีกฎของกรรมได้ ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ไม่ว่าคน สัตว์ วัตถุธาตุ ไม่มีอันใดทรงตัวได้เลย แม้ร่างกายที่จิตเราอาศัยชั่วคราว จิตคือเรา จึงยึดถืออะไรในโลกซึ่งไม่เที่ยง เต็มไปด้วยความทุกข์ ไม่ได้สักอย่างเดียว

พิจารณาถามตอบ หาเหตุหาผลให้พบ จิตจักเป็นผู้รู้ มีปัญญา มีสติสัมปชัญญะ จิตก็จักไม่ไปผูกพันกับโลกและขันธโลกให้เกิดทุกข์อีก จิตจักวางได้เองเป็นอัตโนมัติ (พระธรรมเปรียบประดุจเหมือนแพ ช่วยพยุงเราไม่ให้จมน้ำตาย พาเราไปให้ถึงฝั่ง เมื่อถึงฝั่งแล้วก็ไม่มีใครแบกแพเอาไปด้วย หรือไม่จำเป็นต้องแบกแพไปด้วย)

ลัก...ยิ้ม 03-07-2015 10:42

๑๒. มองทุกสิ่งทุกอย่างในโลก ล้วนไม่เที่ยง ให้เห็นเป็นธรรมดา ความกังวลใจก็จักไม่มี การจักไปพระนิพพานต้องเห็นธรรมดาให้มาก และยอมรับนับถือให้มากด้วย ให้เห็นธรรมดาภายในด้วย (สันตติภายในคืออารมณ์จิตและพระธรรม เกิดดับอยู่เสมอ) เห็นธรรมดาภายนอกด้วย (สันตติภายนอกคือร่างกายกับเวทนาเกิดดับ ๆ อยู่เสมอ) พิจารณาธรรมดาให้มาก ๆ จิตจึงจักวางได้ เช่นร่างกายนี้ไม่ใช่แก่นสารก็จริงอยู่ แต่ในยามนี้กิเลสยังไม่สิ้น อายุขัยก็ยังไม่หมด จิตนี้อาศัยร่างกายอยู่เสมือนเรือนแพที่จำเป็นต้องอาศัยเพื่อข้ามฝั่ง การยังอัตภาพให้เป็นไป จึงยังมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จักไม่เป็นที่เบียดเบียนแก่จิตผู้อาศัย ร่างกายสุขจิตก็สุข ถ้าร่างกายเป็นทุกข์จิตก็เป็นสุขยาก ยกเว้นพระอรหันต์เท่านั้น ที่ท่านสุขอย่างอุกฤษฏ์ เพราะท่านแยกจิต แยกกาย แยกเวทนา แยกธรรมออกจากกันได้สนิทเท่านั้น

การแยกกาย เวทนา จิต ธรรมมาจากไหน ก็มาจากการพิจารณาธาตุ ๔ อาการ ๓๒ อันทำให้เกิดเวทนาในรูปแบบต่าง ๆ หรือจากการพิจารณาขันธ์ ๕ อายตนะ ๖ ก็ทำให้เข้าใจในเวทนาในรูปแบบต่าง ๆ ได้ เมื่อพิจารณาไป ๆ พอจิตละเอียดลงก็ปล่อยวางกาย เวทนา จิต ธรรมให้ลงเหลือสักแต่ว่าเท่านั้น จากการพิจารณาธรรมจุดนี้หนักเข้า จักเห็นธรรมทั้งหลายเหล่านี้ไม่ใช่เรา จิตอยู่ส่วนจิต กายอยู่ส่วนกาย เวทนาอยู่ส่วนเวทนา ธรรมอยู่ส่วนธรรม เห็นแจ้งแทงตลอดก็เรียกว่าถึงฝั่งพระนิพพาน พิจารณาเข้าไว้ อย่าละซึ่งความเพียร แล้วโอกาสจักไปพระนิพพานก็เป็นของไม่ยาก

ลัก...ยิ้ม 09-07-2015 11:51

๑๓. อย่าสนใจกรรมของบุคคลอื่น ให้พิจารณาลงตัวธรรมดาให้หมด ไม่มีใครหนีกฎของกรรมไปได้พ้น ถ้ายังไม่เข้าถึงพระนิพพานเพียงใด ก็ชื่อว่ายังไม่หมดกรรมเพียงนั้น ใครจักว่าการไปพระนิพพานเป็นของง่ายก็พึงอย่าไปคัดค้าน เพราะนั่นเขายังไม่รู้จักการไปพระนิพพานจริง แล้วจงอย่าไปเถียงเขา เพราะยากหรือง่ายของใครก็ไม่สำคัญ สำคัญอยู่แต่จิตของเราเท่านั้น ว่าไปได้ง่ายหรือไปได้ยาก แล้วใครตายแล้วไปพระนิพพานได้หรือไม่ได้ จงอย่ายืนยัน เพราะเวลานี้ไม่มีใครรับรองธรรมเหล่านี้ ท่านฤๅษีก็ได้ไปพระนิพพานแล้ว พูดไปก็สองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง ใครไปได้แค่ไหนก็เรื่องของเขา หันมาเอาจิตของตนเองให้ไปได้เสียก่อนเป็นดี

ลัก...ยิ้ม 15-07-2015 14:13

๑๔. พระอรหันต์ท่านไม่เบียดเบียน กาย วาจา ใจ ตนเองแล้ว จึงไม่เบียดเบียนกาย วาจา ใจ ของบุคคลอื่น พวกเจ้ายังไม่ใช่พระอรหันต์ ก็พึงปฏิบัติตามท่านผู้จบกิจเหล่านั้น เรื่องความเป็นพระอริยเจ้าหรือไม่ จงอย่ารับรองตนเอง ให้พยายามปฏิบัติกาย วาจา ใจ ให้เรียบร้อยอยู่ในศีล สมาธิ ปัญญา ด้วยมัชฌิมาปฏิปทาตามท่านผู้เป็นพระอริยเจ้าเหล่านั้นก็เป็นพอ ทำอะไรให้นึกถึงความพอดีเข้าไว้ แต่อย่าดีตามกิเลสในจิตของตน ให้ดีตามศีล สมาธิ ปัญญา และดีให้เหมาะให้ควรแก่เหตุ แก่ผล แก่สังคมที่ตนอยู่นั้น ๆ ด้วย คือไม่ขัดต่อระเบียบของสังคมและกฎหมายด้วย

ตราบใดที่ยังมีร่างกายและอยู่ในวงสังคม จักเป็นชาวโลกหรือชาววัดก็ดีล้วนแล้วแต่เป็นสังคม มีกฎเกณฑ์ มีระเบียบวินัย มีกฎหมายปกครองทั้งสิ้น การอยู่อย่างมีระเบียบวินัยตามกฎที่เขาให้จักมีความสุข ไม่เป็นที่ขัดแข้งกับผู้ปกครอง ก็เรียกได้ว่าเป็นผู้อยู่ในที่สมควร

ลัก...ยิ้ม 24-07-2015 13:41

๑๕. ทำกำลังใจให้สบาย ๆ แล้วหมั่นทำกำลังใจให้เต็ม มองเจตนาของจิตให้ทราบชัดว่า ขณะจิตนี้หรือทุก ๆ ขณะจิตที่ทำกิจทุก ๆ อย่างนี้ ทำเพื่ออะไร ให้มุ่งทำกิจทั้งภายนอกและภายในเพื่อพระนิพพานนั่นแหละสมควร เพราะที่สุดของชีวิตก็คือความตาย ตายแล้วก็ไม่มีใครเอาสมบัติของโลกไปได้สักคน ที่สุดของโลกแล้วก็ไม่มีอะไรเหลือ จึงจักเอาอะไรมาเป็นที่พึ่งได้เล่า นอกจากพระธรรมคำสั่งสอนของตถาคตซึ่งเที่ยงแล้ว ไม่เสื่อม ไม่ดับตลอดกาล เป็นที่พึ่งได้ จุดนี้ต้องทำกำลังใจให้เต็มอยู่เสมอ วันนี้ให้ดูกำลังใจเกี่ยวกับกิจเพื่อพระนิพพานอย่างเดียว ว่ามั่นคงดีอยู่หรือพร่องลง เป็นเพราะประการใดบ้าง แล้วจักเห็นประโยชน์ของการดูกำลังใจตรงนี้

ลัก...ยิ้ม 29-07-2015 16:54

๑๖. ร่างกายที่เห็นอยู่นี้เป็นสมบัติของโลก ไม่มีใครเอาไปได้ ไม่ใช่ของเราหรือของใคร จงอย่าไปคิดว่าจักตายเร็วหรือตายช้า (อยากให้ตายเร็วหรือตายช้าเป็นตัวตัณหา) อารมณ์ที่ถูกต้องจักต้องเห็นร่างกายอยู่ในธรรมปัจจุบัน เห็นตัวเกิดตัวดับอยู่ตลอดเวลาเป็นสันตติ เห็นความตายเป็นของเที่ยง ไม่มีใครหนีพ้น จึงไม่จำเป็นที่จักต้องดิ้นรน ใครที่ยังกลัวตายจึงเป็นอารมณ์หลงที่ฝืนโลกฝืนธรรม ทำจิตให้เศร้าหมอง เป็นทุกข์ อารมณ์จิตที่ถูกต้องคืออารมณ์ยอมรับนับถือกฎของธรรมดาในสัทธรรม ๕ (เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นของธรรมดา) เป็นผู้ไม่ประมาทในชีวิต พร้อมตายและซ้อมตายอยู่เป็นปกติธรรม กายพังเมื่อไหร่.. จิตเข้าถึงพระนิพพานเมื่อนั้น หรือจิตเกาะพระนิพพานตลอดเวลาที่มีสติกำหนดรู้ จุดนี้ผู้ไม่เผลอไม่พลาดเลยคือพระอรหันต์เท่านั้น

ลัก...ยิ้ม 31-07-2015 11:58

๑๗. นิพพานัง ปรมังสุขขัง คำภาวนาประโยคนี้ให้เตือนใจเตือนสติตนเองเอาไว้อยู่เสมอ จักได้ไม่ลืมจุดมุ่งหมายที่แท้จริงของการปฏิบัติเพื่อพ้นทุกข์ ดังนั้น..การปฏิบัติธรรมแล้วเห็นทุกข์ได้ตามความเป็นจริงจึงเป็นการถูกต้อง เพราะหากไม่รู้จักทุกข์ ไม่รู้ต้นเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ก็พ้นทุกข์ไม่ได้ จุดนี้ก็คือเห็นอริยสัจนั่นเอง อริยสัจคือตัวปัญญาสูงสุดในพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ต่างก็บรรลุเป็นพระพุทธเจ้าได้ด้วยอริยสัจ และพระสาวกทุกองค์ก็บรรลุเป็นพระอรหันต์ได้ด้วยอริยสัจ มีทางนี้ทางเดียว ทางอื่นไม่มี ทรงตรัสสั้น ๆ เท่านี้ เพื่อให้เอาไปคิดพิจารณาให้มาก แล้วจักเห็นทุกอย่างตามความเป็นจริง และละ หรือตัดสังโยชน์ได้ในที่สุด

ลัก...ยิ้ม 11-08-2015 16:59

๑๘. การไปพระนิพพานไม่ใช่ของง่าย การตั้งปรารถนาว่าจักไปพระนิพพานนั้น ใคร ๆ ก็สามารถตั้งได้ แต่การที่จักไปพระนิพพานได้นั้น จักต้องอาศัยการปฏิบัติอย่างจริงจัง เพื่อละความโกรธ โลภ หลง หากละได้ก็ไปได้ ละไม่ได้ก็ไปไม่ได้ นักปฏิบัติย่อมรู้อยู่แก่ใจตนเอง คนละได้จริงเขาไม่โอ้อวด และไม่มีใครเขารับรองตนเองด้วย แล้วจงอย่าไปรับรองคนอื่นด้วย ส่วนการยกย่องกันย่อมมี เป็นการให้กำลังใจ แต่การนินทาให้ร้ายไม่มี ถ้าจำเป็นต้องพูดก็พูดโดยธรรม จิตที่เป็นอคตินั้นไม่มี นั่นแหละเป็นวิสัยของพระอริยเจ้า

ลัก...ยิ้ม 17-08-2015 17:56

(พระธรรม ที่ทรงตรัสสอนในเดือนธันวาคม ๒๕๔๐)

ปกิณกธรรม

สมเด็จองค์ปฐม ทรงตรัสสอนปกิณกธรรมไว้ มีความสำคัญดังนี้

๑. พิจารณาตัวธรรมดาให้มาก ๆ อย่าพิจารณาเพียงแค่ผิวเผิน จักต้องพิจารณาให้ลึกลงไป ให้ละเอียดลงไป จนกระทั่งจิตมันยอมรับในธรรมดานั้น เมื่อถึงที่สุดของจิตที่ยอมรับธรรมดา จิตจักไม่ดิ้นรน มีความสุขอย่างอุกฤษฏ์ สุขในทุก ๆ สภาพ แม้หน้าที่การงานจักเหน็ดเหนื่อยเพียงใด ก็สักแต่ว่าหน้าที่การงานเท่านั้น จิตหาได้มีความเร่าร้อนหรือดิ้นรนไปด้วยไม่ จุดนี้จักต้องดูจิตให้ดี ๆ พิจารณาอารมณ์ของจิตให้จงหนัก

ลัก...ยิ้ม 19-08-2015 11:29

๒. อย่าไปมุ่งเอาชนะใคร ให้ชนะใจของตนเองเท่านั้นเป็นพอ อะไรเกิดขึ้นกับเราให้อดทนเข้าไว้ ไม่ช้าไม่นานทุกอย่างก็จักสงบไปเอง จำไว้..ตบมือข้างเดียวไม่ดัง ใครจักนินทาว่าร้าย จงอย่าไปต่อกรรมกับเขา อย่าไปวิพากษ์วิจารณ์บุคคลอื่น การสนทนาพาดพิงถึงใครให้ระมัดระวังให้มาก เพราะจักมีคนคอยจับผิด ถ้าไม่สำรวมก็จักเป็นการสร้างศัตรูให้เกิดโดยไม่ตั้งใจ

ลัก...ยิ้ม 25-08-2015 11:34

๓. อย่ากังวลใจในเหตุการณ์ข้างหน้า ทำอะไรอย่าคาใจ (เพราะเป็นอารมณ์กังวลใจ เป็นวิจิกิจฉา) ไม่ว่างานใด ๆ ที่ทำ ให้รักษากำลังใจให้เสมอกันว่า ทำเพื่อพระพุทธศาสนา ทำเพื่อพระนิพพาน เช่น ฟังวิกฤติการณ์ของบ้านเมืองแล้ว ทำให้จิตยอมรับธรรมดา ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้น - ตั้งอยู่ - ดับไป ไม่มีที่ใดในโลกจักหนีกฎธรรมดาอันนี้ได้พ้น ขันธโลกเป็นอย่างไร โลกภายนอกก็เป็นอย่างนั้น มีเกิด - แก่ - เจ็บ - ตายเหมือน ๆ กันหมด อย่าไปคิดว่าเป็นเรื่องผิดธรรมดา


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 20:35


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว