กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   ประวัติและปฏิปทาของพระสุปฏิปันโน (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=21)
-   -   ญาณสัมปันนธัมมานุสรณ์ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=3286)

ลัก...ยิ้ม 07-01-2013 10:44

ความจริงจังของหลวงปู่มั่นในเรื่องนี้ องค์หลวงตาซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ครั้งนั้น ได้เคยเห็นหลวงปู่มั่นเรียกพระมาดุด่าสั่งสอนอย่างเข้มข้นด้วยตาตัวเอง ท่านจึงจำไม่ลืมตลอดมา สำหรับวิธีการเดินจงกรมตามแบบอริยประเพณีนี้ หลวงปู่มั่นสอนไว้เช่นกันว่า

การเดินจงกรมกลับไปกลับมาไม่ช้านัก ไม่เร็วนัก พองามตางามมรรยาท ตามเยี่ยงอย่างประเพณีของพระผู้ทำความเพียร ท่าเดินในครั้งพุทธกาลเรียกว่าเดินจงกรมภาวนา เปลี่ยนจากวิธีนั่งสมาธิภาวนามาเป็นเดินจงกรมภาวนา เปลี่ยนจากเดินมายืน เรียกว่ายืนภาวนา เปลี่ยนจากยืนมาเป็นท่านอน เรียกว่าท่าสีหไสยาสน์ภาวนา เพราะฝังใจว่าจะภาวนาด้วยอิริยาบถนอนหรือสีหไสยาสน์ การทำความเพียรในท่าใดก็ตาม แต่ความหมายมั่นปั้นมือก็เพื่อชำระกิเลสตัวเดียวกัน ด้วยเครื่องมือชนิดเดียวกัน มิได้เปลี่ยนเครื่องมือ.. คือธรรม ที่เคยใช้ประจำหน้าที่และนิสัยเดิม ก่อนเดินจงกรม พึงกำหนดหนทางที่ตนจะพึงเดินว่าสั้นหรือยาวเพียงไรก่อน ว่าเราจะเดินจากที่นี่ไปถึงที่นั่น หรือถึงที่โน้น หรือตกแต่งทางจงกรมไว้ก่อน เดินอย่างเรียบร้อย สั้นหรือยาวตามต้องการ”

ลัก...ยิ้ม 17-01-2013 17:19

หลวงปู่มั่น บิณฑบาตซ้อนสังฆาฏิ

หลวงปู่หล้า เขมปตฺโต* ซึ่งอยู่ร่วมจำพรรษากับหลวงปู่มั่นในช่วงวัดป่าบ้านหนองผือ บันทึกข้อปฏิบัติของหลวงปู่มั่นขณะเตรียมและออกบิณฑบาต ดังนี้

“...การกลับจากบิณฑบาต เมื่อองค์ท่าน (หลวงปู่มั่น) เดินไปถึงบันไดศาลา ก็มีผู้หนึ่งคอยรับ ถอดรองเท้าเอาเก็บไว้ที่ควร ระวังมิให้น้ำถูกเพราะเป็นรองเท้าหนัง องค์หนึ่งถือกระบวยล้างเท้าด้วยมือขวา มือซ้ายถูตามแข้งและฝ่าเท้า ทั้งใต้ฝ่าเท้าและหลังเท้า เทถู เทถูโดยเร็ว และไม่ให้กระทบกระเทือนด้วย และไม่แสดงมารยาทอันไม่ตั้งใจแลบออกมาให้ปรากฏด้วย และมีผู้คอยเช็ดเท้าอีก ต้องเช็ดเร็ว ๆ แต่เร็วมีสติ ไม่ให้กระทบกระเทือนเกินไป ไม่ให้เบาเกินไป


องค์ท่านขึ้นไปถึงศาลาฉัน ไม่ได้นั่งลงกราบ เพราะศาลาฉันโต้ง ๆ ไม่มีพระพุทธรูป (ศาลามีพระพุทธรูปลงอุโบสถต่างหาก) แล้วก็ซ้อนสังฆาฏิถวายองค์ท่าน เว้นไว้แต่ท่าทางฝนจะตก ขณะนี้ต้องซ้อนช่วยกันสององค์ องค์หนึ่งม้วนลูกบวบ.. ช่วยสองสามรอบแล้วปิดรังดุมคอถวาย องค์หนึ่งปิดรังดุมใต้ถวาย การเข้าบ้านซ้อนสังฆาฏิกลัดรังดุมใต้และบนนี้ องค์ท่านถือเคร่งมาก ตลอดถึงการนุ่งสบงที่มีขัณฑ์เข้าไปธุระบ้าน เช่น บิณฑบาตและสวดมนต์ องค์ท่านกล่าวว่า

‘การห่มผ้านุ่งผ้า พระลังกาชอบเอาอนุวาตเข้าข้างใน เพราะกันผืนเดิมไม่ให้ซุยผุ ก่อนอนุวาด.. จะเอาอนุวาดเข้าข้างในหรือออกนอกก็ไม่ผิดวินัย จะผินเบื้องบนเบื้องล่างสลับกันไปก็ไม่ผิดพระวินัย เพราะที่ระแข้งจะได้ทนหรือสึกหรอทันกัน’...


ยุควัดป่าบ้านหนองผือ เป็นยุคสุดท้ายแห่งหลวงปู่มั่นและเก็บลูกศิษย์.. ก็เก็บไว้มากกว่ายุคใด ๆ ในสำนัก สิ่งใดเป็นประโยชน์แก่ลูกศิษย์ก็ทุ่มเท ทอดสะพานให้ไม่ปิดบัง ไม่ว่าแต่เท่านี้ ผ้าสังฆาฏิและจีวรขององค์ท่าน ท่านใส่รังดุมทั้งดุมคอและดุมล่างทั้งสองทาง วันหนึ่งห่มผืนทางหนึ่งขึ้น..สลับกันเป็นวัน ๆ ลูกศิษย์ผู้ไปซ้อนไปห่มให้ต้องมีสติจำไว้จึงห่มถวายให้ถูกเป็นวัน ๆ จึงถูกกับธรรมประสงค์ขององค์ท่าน...


* ต่อมาท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดภูจ้อก้อ อ.หนองสูง จ.มุกดาหาร

ลัก...ยิ้ม 25-01-2013 09:26

เรื่องบิณฑบาต พอหกโมงเช้าธรรมเนียมบ้านหนองผือ เขาก็ตีขอ (เกราะ) ไม้ตะเคียนเป็นสัญญาณ ดังไกลเป็นสามบทติด ๆ กัน หมายความว่าพอเตรียมตัวใส่บาตรแล้ว (พวกเราชาวบ้าน) แต่พอพระผ่านละแวกบ้าน เขาก็ตีขออีกสามบท เขารวมกันเป็นกลุ่มยืนเรียงรายกันเป็นทิวแถว แต่ละกลุ่มเขามีผ้าขาวปูม้ายาว ๆ ไว้เรียบ ๆ ส่วนม้านั่งของหลวงปู่มั่น เขาทำพิเศษต่างหาก.. สูงกว่ากัน พอยืนรับบิณฑบาตแล้วก็นั่งให้พรเขาพร้อมกัน ไปกลุ่มอื่นอีกก็เหมือนกัน มีสามกลุ่มแล้วก็กลับวัด

หลวงปู่มั่นค่อยกลับตามหลังกับพระผู้ติดตามองค์หนึ่ง ตามหลังกลับมาด้วย มีโยมผู้ชายรับบาตร พระผู้ใหญ่มาวัด.. วันละสี่ห้าหกคนไม่ขาด ฝ่ายพระผู้น้อยที่กำลังถือนิสัยและเณรก็ดี รีบกลับให้ถึงวัดก่อน เพื่อจะได้ทันข้อวัตรของครูบาอาจารย์ เป็นต้นว่า ล้างเท้า เช็ดเท้า รับผ้าสังฆาฏิและจีวร หรือเตรียมแต่งบาตรแต่งพก เป็นต้น

แต่ในฤดูพรรษา พระเณรทั้งหลายเข้าเขตวัดแล้วไม่รับอาหารอีก จะได้จัดแจงแต่งถวายแต่เฉพาะหลวงปู่ มีบดอาหารใส่ครกบ้าง ซอยผัก บดในครกให้ละเอียดบ้าง เพราะองค์ท่านจะเคี้ยวไม่ละเอียดเพราะไม่มีฟัน ใช้ฟันเทียมแทน แล้วก็จัดข้าวใส่บาตร องค์ท่านมีข้าวเจ้าปนบ้าง ส่วนกับนั้นจัดใส่ภาชนะถวายวางไว้ใกล้ แล้วองค์ท่านเอาใส่เอง

องค์ท่านฉันรวมในบาตรทั้งหวานและคาวด้วย ไม่ซดช้อนด้วย โอวัลตินนั้นเอาใส่แก้วไม่ใหญ่โต ขนาดกลาง ใส่พอดีพอครึ่งแก้วตั้งไว้มีฝาครอบ พอฉันอาหารอิ่ม องค์ท่านก็ฉันประมาณสามสี่กลืน ไม่หมดแก้วสักวัน แต่ก่อนจะลงมือฉันก็ให้พรเป็นพิธีพร้อมกัน.. ธรรมฯ บ้าง สัพพะพุทธาฯ บ้าง ถ้าวันข้าวประดับดินและวันสารท.. ก็สวดพาหุงฯ บ้าง

การให้พร (โดยที่) ไม่ประนมมือ (หรือ) ทั้งสวดพาหุงฯ ทั้งใส่บาตรขณะเดียวกัน (นั้น) องค์ท่านไม่พาทำเลย เพราะถือว่าไม่เป็นการเคารพธรรม ใส่บาตรเรียบร้อยก่อนจึงสวด ถ้าไม่สวดก็ให้พรธรรมดา และก่อนจะลงมือฉัน องค์ท่านก็ทอดสายตาลงพิจารณาอาหารในบาตรอยู่สักครู่ พอควรแล้วจึงลงมือฉัน และ (ถ้า) พระเณรยังไม่เสร็จ ยังจัดแจงของเจ้าตัวแต่ละรายยังไม่เสร็จตราบใด องค์ท่านก็ยังไม่ลงมือฉันก่อน เมื่อลงมือฉันแล้ว ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ องค์ท่านก็ไม่กล่าวไม่พูดอันใดขึ้น ถ้าจำเป็นจริง ๆ กลืนคำข้าวแล้วจึงพูด แต่น้อยที่สุด เป็นระเบียบเรียบร้อยมาก มีสติอยู่กับความเคลื่อนไหวของกาย ในการจะหยิบ จะวาง จะเหยียดแขน คู้แขน แลซ้าย แลขวา...

สำหรับองค์หลวงตาเองก็มั่นคงในข้อบิณฑบาต.. ซ้อนผ้าสังฆาฏิโดยเคร่งครัดเสมอมา แม้เหงื่อจะออกจนจนเปียกโชกก็ไม่ถือเป็นอุปสรรค

“ไปบิณฑบาตกลับมา ผ้าอังสะเปียกหมดเลย คือเปียกเหงื่อ ไปบิณฑบาตกลับมา ที่เราพูดอย่างนี้คือเราเคยเป็นแล้ว กำลังหนุ่มน้อยนี้ โอ๋ย...เหงื่อ..กลับมานี่จีวรเปียกหมดเลย สังฆาฏิซ้อนกันเปียกเป็นอันดับสาม อันดับหนึ่งจริง ๆ คืออังสะ เหมือนซัก อันดับสองจีวร คล้ายซัก อันดับสามสังฆาฏิ ส่วนสบงไม่ต้องพูด เปียกหมดเลย กำลังหนุ่มน้อยเหงื่อออกง่ายมาก”


================================

ลัก...ยิ้ม 04-02-2013 14:17

มั่นคงธุดงค์วัตร

ในระยะที่อยู่กับหลวงปู่มั่น ท่านจะสอนให้เราเป็นคนกินน้อย นอนน้อย พูดน้อย ปฏิบัติให้มาก หรือให้เป็นคนกินง่าย อยู่ง่าย นอนง่าย การไปการมาง่าย หมายถึงไม่ทำตนเป็นผู้ยศหนักศักดิ์ใหญ่ เป็นประเภทกรรมฐานขุนนาง หรู ๆ หรา ๆ แต่วัตถุสิ่งของภายนอก แต่จิตใจหาคุณความดีมิได้เลย อันนี้ท่านไม่สรรเสริญ ท่านชื่นชมบุคคลประเภทอ่อนน้อมถ่อมตน ทำตัวประดุจผ้าขี้ริ้ว แต่ภายในใจนั้นหรูหรางดงามด้วยธรรม จะเรียกว่าเศรษฐีธรรมก็ไม่ผิด

ท่านเล่าถึงอุปนิสัยในการบำเพ็ญภาวนาของท่านว่า

“...มาอยู่บ้านหนองผืออย่างนี้ ผมจะเดินจงกรมให้หมู่เพื่อนเห็นไม่ได้ โน่น...ต้องเวลาสงัด สี่ทุ่มห้าทุ่มล่วงไปแล้ว หมู่เพื่อนเงียบหมดแล้วถึงจะลงเดินจงกรม กลางวันก็เข้าไปอยู่ในป่าโน้น ถ้าวันไหนออกมาแต่วันเช่นห้าโมงเย็น .. ออกมาอย่างนี้ก็เข้านั่งสมาธิเสียในกุฏิ จนกระทั่งหมู่เพื่อนเงียบไปหมดแล้วถึงจะลงทางจงกรม เป็นนิสัยอย่างนั้นมาดั้งเดิม


ไม่ให้ใครเห็นการประกอบความเพียรของเรา ว่ามากน้อยขนาดไหน แต่ธรรมดา.. ใครก็รู้ ทางจงกรมจนเป็นหลุมเป็นเหวไป ใครจะไม่รู้ เดินจงกรมกี่ชั่วโมงมันถึงจะเป็นขนาดนั้น อยู่ในป่าก็ดี อยู่ในวัดก็ดี มองดูก็รู้ แต่หากนิสัยเป็นอย่างนั้น ทางภาษาอีสานเขาเรียกว่า คนนิสัยหลักความ คือการลัก ๆ ลอบ ๆ ทำสมาธิภาวนาอยู่คนเดียว เราไม่สนิทใจที่จะทำความเพียรให้ใครต่อใครเห็นอย่างโจ่งแจ้ง...”

การถือธุดงค์ ๑๓ เป็นเครื่องชำระกิเลสของพระ ที่ทุกองค์ต่างตั้งใจสมาทานกันทั้งวัด ท่านเองก็สมาทานอย่างจริงจังเช่นเดิม แต่ต่อมาไม่นาน.. หมู่เพื่อนเริ่มเปลี่ยนแปลงไป ท่านจึงถือเอาสิ่งนี้เป็นพระธรรมเทศนากัณฑ์สำคัญปลุกใจตนเอง ดังนี้

“...เวลาเข้าพรรษาก็ต่างองค์ต่างสมาทานธุดงค์กันทั้งวัด ครั้นสมาทานแล้วไม่กี่วันมันก็ล้มไป ๆ นี่ก็ส่อแสดงให้เห็นความจริงจังหรือความล้มเหลวของหมู่คณะ


เมื่อได้เห็นอาการของหมู่คณะเพื่อนเป็นเช่นนั้น ทำให้เกิดความอิดหนาระอาใจไปหลายแง่หลายทาง เกี่ยวกับหมู่คณะ จิตใจยิ่งฟิต ปลุกใจตัวเองให้แข็งขัน และย้อนมาถามตัวเองบ้างว่า

‘ไง..เราจะไม่ล้มไม่เหลวไปละหรือ ? เมื่อเหตุการณ์รอบข้างเป็นไปอย่างนี้’


ก็ได้รับคำตอบอย่างมั่นใจว่า ‘จะเอาอะไรมาให้ล้มให้เหลวล่ะ ก็ตัวใครตัวมัน’ ประกอบกับนิสัยเราเป็นอย่างนี้มาดั้งเดิมอยู่แล้ว ทำอะไรต้องจริงทั้งนั้น ทำเล่นไม่เป็น เราจะล้มไม่ได้ นอกจากตายเสียเท่านั้น

ฉะนั้น ความเปลี่ยนแปลงของหมู่เพื่อน จึงเป็นราวกะว่าแสดงพระธรรมเทศนากัณฑ์หนึ่ง ให้เราฟังอย่างถึงใจ...”

ลัก...ยิ้ม 08-02-2013 17:07

ฉันในบาตร ไม่ใช้ช้อน ไม่ฉันนม

ข้อปฏิบัติเรื่องการขบฉันของท่านในครั้งนั้น จะระมัดระวังมิให้เป็นไปด้วยอำนาจของกิเลสตัณหา การขบฉันให้เป็นไปตามความหิวของธาตุของขันธ์ พอเยียวยาประทังชีวิตไปวันหนึ่ง ดังที่บทธรรมว่าด้วย ปฏิสังขา โยนิโสฯ ท่านแสดงไว้เท่านั้น ดังนี้

“... การฉันในบาตรนี่.. เป็นกิจสำคัญอยู่มาก ไม่มีภาชนะใดที่เหมาะสมยิ่งกว่าบาตรสำหรับใส่อาหาร จะเป็นถ้วยชามนามกรอะไรก็แล้วแต่เถอะ เป็นภาชนะทองคำมาก็ไม่เหมาะสมยิ่งกว่าบาตร มีบาตรใบเดียวเท่านั้น มีอะไรก็รวมลงที่นั่น พระพุทธเจ้าก็ทรงดำเนินเป็นตัวอย่างอันแนบแน่นมาก่อนแล้ว


บางคนคิดว่า อาหารที่รวมลงไปแล้วจะทำให้ท้องเสียดังที่ส่วนมากว่ากัน ซึ่งเคยได้ยินมาแล้ว ท้องมีกี่พุงมีกี่ไส้ มีกี่ภาชนะสำหรับใส่อาหารแยกประเภทต่าง ๆ นี้หวาน นี้คาว นี้แกงเผ็ด ความจริงในขณะที่อาหารรวมในบาตรก็เป็นเทศนาอย่างดี

ก่อนฉันก็พิจารณา ในขณะที่ฉันก็กำหนดพิจารณาปัจจะเวกขณฯโดยความแตกต่างแห่งอาหาร ย่อมได้อุบายแปลก ๆ ขึ้นมาจากอาหารผสมนั้น เพราะไม่ได้ฉันเพื่อความรื่นเริงบันเทิง ไม่ได้ฉันเพื่อความสวยงาม เพื่อความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม เพื่อความคึกคะนองอะไร ฉันพอยังอัตภาพให้เป็นไป เพื่อได้ประพฤติพรหมจรรย์ ชำระกิเลสาสวะ ซึ่งเป็นตัวพิษรกรุงรัง ฝังจมลึกอยู่ภายในใจนี้ ให้เตียนโล่งออกจากใจ ด้วยพิจารณาโดยแยบคาย ซึ่งอาศัยธุดงควัตรเหล่านี้เป็นเครื่องมือต่างหาก

พระเราเมื่อฉันมาก ๆ ทำให้ธาตุขันธ์มีกำลังมากขึ้น แต่จิตใจลืมเนื้อลืมตัว ขี้เกียจภาวนา ไม่เป็นท่าเป็นทางอะไรเลย มีแต่อาหารพอกพูนธาตุขันธ์สกนธ์กาย ไม่ได้พอกพูนจิตใจด้วยอรรถด้วยธรรม ใจหากเคยมีธรรมมาบ้าง ก็นับวันเหี่ยวแห้งแฟบลงไป ถ้ายังไม่มีธรรม เช่น สมาธิธรรม เป็นต้น ก็ยิ่งไปใหญ่ ไม่มีจุดหมายเอาเลย

ธุดงค์จึงต้องห้ามความโลเลในอาหาร เพื่อให้ใจมีทางเดินโดยอรรถโดยธรรม กิเลสจะได้ไม่ต้องพอกพูนมากมาย กายจะได้เบา ใจจะได้สงบเบาในเวลาประกอบความเพียร และสงบได้ง่ายกว่าเวลาที่พุ่งกำลัง บรรจุอาหารเสียเต็มปรี่...”

ลัก...ยิ้ม 19-02-2013 15:53

นอกจากนี้ หลวงปู่มั่นยังให้อุบายธรรมเกี่ยวกับการขบฉันของพระเณรไว้อย่างถึงใจดังนี้

“...ท่านอาจารย์มั่นฉันข้าวในบาตรแล้วก็ฉันด้วยช้อน ธรรมท่านผุดขึ้นมา ผุดขึ้นมา โอ้โห...เหมือนน้ำไหลไฟสว่างไปเลย ผุดขึ้นมา
เหมือนกับว่าสอนเรา ผึง ๆ ขึ้นมา เหมือนกับว่าสอนเรา ผึง ๆ ขึ้นมาเลย ท่านว่าอย่างนั้น

‘ฉันก็ฉันเพื่อเห็นภัย ยืน เดิน นั่ง นอน เพื่อเห็นภัย และในขณะเดียวกัน เพื่อคุณธรรมทั้งหลาย ทำไมเวลามาฉันจึงเห็นแก่ลิ้น แก่ปากอย่างนี้ นีหรือผู้เห็นภัยเป็นอย่างนี้หรือ..!!’ เด็ดเผ็ดร้อนมากเหมือนกัน อุบายที่ผุดขึ้นมาในเวลานั้น

‘นี่..ไม่ใช่ผู้เห็นภัยนะ ผู้ที่นอนจมอยู่ในวัฏสงสารหาเวลาพ้นไปไม่ได้แบบนี้น่ะ’

พอเป็นอย่างนั้นแล้ว จิตมันก็สลดทันที...”

ด้วยอุบายธรรมของหลวงปู่มั่นเช่นนี้ องค์หลวงตาจึงเข้มงวดกับการขบฉันของตัวเองเป็นพิเศษ มิปล่อยให้ความอยากมาครอบงำจิตใจได้ และหลวงปู่มั่นก็จับได้ถึงความตั้งใจจริงของท่านมาโดยตลอดเช่นกัน ดังนี้

“ท่านไม่ได้บอกว่าเราตั้งใจก็ตาม แต่กิริยาที่แสดงออกมานั้น เป็นการบอกอยู่ชัด ๆ ว่าท่านทราบทุกอย่างว่าเราทำอย่างไร เช่น เราไม่ฉันนมอย่างนี้ เวลาเขาเอานมมาถวายให้ ผสมเผสิมอะไรใส่มัน เทนมลงไปแล้วก็แจกพระ ผมไม่เคยฉัน


แม้แต่ผมเรียนหนังสือ ผมยังไม่ฉันนม เพราะธาตุของผมมันผิด นอนเฉย ๆ นี่.. ไม่ต้องฝันละนะ เพราะกำลังมันเต็มที่ของมันอยู่แล้ว แต่ว่าจะเป็นราคะจริงก็ไม่ใช่นะ ราคะจริตมันต้องเพลิดต้องเพลินไปข้างนอกนู่น หาเรื่องกามกิเลส แต่มันไม่ไป ธาตุขันธ์มันเต็มที่ของมัน บางทีมันก็แสดง.. ไม่ได้ฉันนมก็ตาม มันจะปวดที่ตรงตานกเอี้ยง มันจะปวด เจ้าของรู้ตัวนอนได้ระมัดระวัง

นาน ๆ มาทดลอง ฉันนมนี้มันก็เห็นอยู่ เพราะฉะนั้น จึงต้องตัดขาดเลย เวลาปฏิบัติยิ่งเป็นเรื่องเฉียบขาดด้วยแล้ว ผมไม่แตะเลย นี่ท่านก็เห็นเหตุ ที่ท่านจะเห็นก็เวลาชงนมอะไร เอานมใส่นี้ ท่านว่า ‘แบ่งให้ท่านมหาก่อนนะ ท่านมหาไม่ฉันนมนะ แบ่งให้ท่านมหาก่อนนะ’

นี่คือประกาศสอนพระเณรทั้งหลายนั่นเอง พูดง่าย ๆ .. ดูซิอุบายของท่าน ไม่เพียงแต่พูดกับเรา ยังเอาเราเป็นเหตุอีกด้วย

แม้หลวงปู่มั่นจะทราบดีถึงความตั้งใจจริงของท่าน ไม่ว่าจะเรื่องการถือธุดงค์ฉันในบาตร หรือการไม่ใช้ช้อนฉันอาหาร ว่าท่านรักษาข้อปฏิบัติเหล่านี้อย่างเคร่งครัด ไม่อ่อนแอ แต่บางครั้ง หลวงปู่มั่นก็หาอุบายขนาบส่วนรวม โดยยกเอาท่านมาเป็นเหตุเหมือนกัน ดังนี้

“...พ่อแม่ครูอาจารย์มั่นท่านก็รู้ว่า เราไปธุดงค์ด้วยความตั้งใจอย่างเต็มที่เต็มฐาน ไปทรมานอยู่ตามป่าตามเขาลูกไหน ๆ ท่านก็รู้แล้ว ท่านทำไมพูดขึ้นมาว่า
‘ท่านมหา! ไปนานนัก ไปหลายวันแล้ว มัวไปซดซ้ายซดขวาอยู่ที่ไหน ไม่เห็นมา’


ทั้ง ๆ ที่ท่านก็รู้ว่าเราตั้งใจขนาดไหน เราไม่เคยแตะช้อนเลย ..ท่านก็รู้ แต่ทำไมท่านพูดอย่างนั้น ก็คือท่านสอนหมู่สอนคณะในวงนั้นนั่นเอง เวลาเรากลับมา พระก็เล่าให้เราฟัง ท่านว่า

‘พระกรรมฐานฉันช้อน ดูแล้วมันขวางตา ขวางใจ สะดุดใจทันที เหมือนพระเจ้าชู้ ขุนนาง การฉันเพื่อความเห็นภัย จะหาอะไรมาเป็นความสะดวกสบาย มาโก้เก๋อย่างนั้น มันขัดกันกับความเห็นภัยในการฉัน’...”

ลัก...ยิ้ม 26-02-2013 17:11

เป็นไข้มาลาเรีย

สภาพธรรมชาติของวัดป่าบ้านหนองผือโดยมากเป็นป่าดงพงลึก มีสัตว์ป่าเข้ามาหลบภัยในวัดมากมายหลายชนิด ท่านเล่าไว้ ดังนี้

“...พระกรรมฐานที่มุ่งอรรถมุ่งธรรมจริง ๆ เขาอยู่ตามป่าตามเขา.. จะรู้จักอัธยาศัยของสัตว์ได้ดี สัตว์พวกไหนมันก็มา เขาแอบมาอยู่ข้าง ๆ เขาจะมาจุ้นจ้าน เขาก็ไม่มานะ คือเขาหลบภัย ยกตัวอย่างเช่นหนองผือนี่.. เห็นได้ชัดเจนมากทีเดียว พระอยู่ที่ไหน มันก็แอบ ๆ อยู่กับพระนั่นแหละ จะให้ออกมาจุ้นจ้าน.. ไม่มา ชอบอยู่ข้าง ๆ เพราะมันเป็นดงนี่ องค์นี้อยู่ตรงนั้น องค์นั้นอยู่ตรงนั้น อย่างนี้นะ อยู่ว่าง ๆ ในดงนี่ เขาอยู่ได้ทั่วไป ก็เหมือนกับว่ามีผู้รักษาทั่วไป


หนองผือนี่มากที่สุด บรรดาสัตว์ ที่เราเคยไปเที่ยวที่ไหน ๆ ในวัดหนองผือ เพราะแต่ก่อนมันเป็นดงทั้งหมด ที่เราเห็นนั่น ไปถึงบ้านนาในมีแต่ดงติดต่อกันไปเลย สัตว์อยู่ได้ทั่วไป แต่อยู่ที่อื่นเขาไม่ปลอดภัย เขาจึงไม่อยากอยู่ แอบเข้ามา ๆ ถึงขนาดไม่กลัวคนก็มี

หมูทอก หมูโทนสูง เราอยากจะว่าตั้งเกือบร่วมเมตรนะ มันสูงเป็นเมตร มันตัวใหญ่ ใหญ่จริง ๆ เขาเรียกหมูโทน หมูทอก ตัวใหญ่ ได้พากันไปยืนดูเขาอยู่ ต้นกะบกต้นนั้นยังอยู่นะ ต้นที่เราชี้มือให้หมู่เพื่อนไปดู ไอ้หมูป่าพอตกบ่าย ๔ โมงเย็น ๕ โมงเย็น เขาก็มา เขาจะมากินลูกกะบก เขามากินเฉยเหมือนสัตว์บ้านนะ เราก็ไปยืนดูอยู่ นั่นดูสิเห็นไหม เขากลัวไหม เขาเฉย เขาเดินเหมือนควายเรา เที่ยวหากินต้วมเตี้ยม ๆ เฉย กินอิ่มแล้วเขาก็ออกไป

เราก็ยืนดูเขาอยู่นั้น เขาไม่สนใจนะ.. อย่างนั้นนะ อีเก้งก็มี มันแอบ ๆ มา เขาไม่กลัว เขาปลอดภัย ความหมาย ‘ว่างั้น’...”

ลัก...ยิ้ม 05-03-2013 10:49

นอกจากสัตว์ป่าแล้ว ยังมีไข้ป่าชุกชุมมากอีกด้วย จนหลวงปู่มั่นต้องสั่งให้พระเณรที่ไปกราบเยี่ยมให้รีบออกถ้าจวนเข้าหน้าฝน ถ้าเป็นหน้าแล้งก็อยู่ได้นานขึ้น แม้หลวงปู่มั่นเองเข้ามาวัดป่าบ้านหนองผือแรก ๆ เพียงไม่กี่วันก็เริ่มป่วยเป็นไข้มาเลเรียแบบจับสั่นชนิดเปลี่ยนหนาวเป็นร้อน และเปลี่ยนร้อนเป็นหนาวแล้ว ซึ่งเป็นการทรมานอย่างยิ่งอยู่แรมเดือน ไข้ชนิดนี้หากเป็นแล้วไม่หายง่ายตั้งแรมปีก็ไม่หาย บางทีหายไป ๑๕ วันหรือเดือนหนึ่งแล้ว จนนึกว่าหายสนิทก็กลับมาเป็นเข้าอีก หากผู้ใดป่วยเป็นไข้มาเลเรียต้องใช้ความอดทนมาก เพราะยาแก้ไข้ไม่มีใช้กันเลยในวัด เพราะยาหายากไม่เหมือนสมัยทุกวันนี้

ไข้ประเภทนี้ ชอบเป็นกับคนที่เคยอยู่บ้านทุ่งแล้วย้ายไปอยู่ในป่าตามไร่นา แม้คนที่เคยอยู่ป่าเป็นประจำมาแล้วก็ยังเป็นได้ แต่ไม่ค่อยรุนแรงเหมือนคนมาจากทางทุ่ง และชอบเป็นกับพระธุดงคกรรมฐานที่ชอบเที่ยวซอกแซกไปตามป่าเขาโดยมาก สำหรับตัวท่านเอง เมื่อมาอยู่ที่บ้านหนองผือแรกนี้ก็เป็นไข้มาเลเรียด้วยเช่นกัน เป็นตลอดพรรษาถึงหน้าแล้งก็ยังไม่ยอมหายสนิทได้เลย มีคนถามว่าท่านเคยเป็นไข้มาเลเรียไหม ท่านตอบทันทีว่า
“โธ่ !..เป็นมาไม่รู้เป็นกี่ครั้ง ผมบนศีรษะโกนให้โล้นแล้ว ไม่แล้ว.. มันยังร่วงอีก ไข้มาเลเรียนี้มันร้อน ปากนี่เปื่อยหมด”


ช่วงที่เป็นไข้มาเลเรียอยู่นั้น มีอยู่วันหนึ่งในตอนกลางวันปรากฏว่าไข้เริ่มหนักแต่เช้า ท่านจึงไม่ไปบิณฑบาตและไม่ฉันจังหันด้วย ในวันนั้น ท่านพยายามต่อสู้กับทุกขเวทนาด้วยการพิจารณา พอถึงเวลาบ่าย ๓ โมง ไข้จึงสร่างปรากฏว่ากำลังเรี่ยวแรงอ่อนเพลียมาก จึงเพ่งจิตให้อยู่กับจุดใดจุดหนึ่งของทุกขเวทนาที่กำลังกำเริบหนัก โดยไม่คิดทดสอบแยกแยะเวทนาด้วยปัญญาแต่อย่างใด

ในจังหวะเวลานั้น เป็นเวลาที่หลวงปู่มั่นท่านพิจารณาธรรมบางประการ จึงเห็นท่านกำลังปฏิบัติอยู่เช่นนั้นพอดิบพอดี

พอบ่าย ๔ โมง ท่านเข้าไปหาหลวงปู่มั่น จึงถูกตั้งปัญหาถามขึ้นในทันทีว่า
“ทำไมจึงพิจารณาอย่างนั้นเล่า ? การเพ่งจิตจ้องอยู่ .. ไม่ใช้ปัญญาพิจารณาแยกแยะ กาย เวทนา จิต ให้รู้เรื่องของกันและกัน ท่านจะทราบความจริงของกาย ของเวทนา ของจิตได้อย่างไร ? แบบท่านเพ่งจ้องอยู่นั้นมันเป็นแบบฤๅษี แบบหมากัดกัน ไม่ใช่แบบพระผู้ต้องการทราบความจริงในธรรมทั้งหลาย มีเวทนา เป็นต้น


ต่อไปอย่าทำอย่างนั้น มันผิดทางที่จะให้รู้ให้เห็นความจริงทั้งหลาย ที่มีอยู่ในกาย ในเวทนา ในจิต ตอนกลางวันผมได้พิจารณาดูท่านแล้ว ว่าไม่ใช้สติปัญญา คลี่คลายดูกาย ดูเวทนา ดูจิตบ้างเลย พอเป็นทางให้สงบและถอดถอนทุกขเวทนาในเวลานั้น เพื่อไข้จะได้สงบลง”

นี่คือ ความสามารถออกรู้เรื่องราวต่าง ๆ ได้โดยตลอดของพ่อแม่ครูอาจารย์มั่น พระอรหันต์ยุคปัจจุบัน

ลัก...ยิ้ม 13-03-2013 17:38

สมาธิ กับ ความสงบ

“...คำว่าความสงบกับสมาธินั้นไม่ได้เหมือนกัน เมื่อพูดตามภาคปฏิบัติแล้ว ความสงบนั้นคือจิตสงบลงไป หรือว่ารวมลงไปหนหนึ่งแล้วถอนขึ้นมา ๆ เรียกว่าสงบเป็นครั้งคราว ในเวลาจิตที่รวมลงไปถอนขึ้นมานี้เรียกว่าความสงบ ทีนี้เวลามันสงบลงไปถอนขึ้นมาหลายครั้งหลายหน มันสร้างฐานแห่งความมั่นคงภายในตัวของมัน ขณะที่สงบนั้นเรื่อยมา จนกระทั่งกลายเป็นจิตที่แน่นหนามั่นคงขึ้นมา จากความสงบที่สั่งสมกำลังแห่งความแน่นหนามั่นคงมาเป็นลำดับนั้น ติดต่อกันมาเรื่อย ๆ เลยกลายเป็นสมาธิขึ้นมา แน่นหนามั่นคง นี่..เรียกว่าจิตเป็นสมาธิแล้ว

เวลาสงบแล้วถอนขึ้นมา ๆ นั้นเรียกว่า จิตสงบหรือว่าจิตรวม พอถึงขั้นจิตเป็นสมาธิแล้ว จิตจะถอนขึ้นมา ไม่ถอนขึ้นมาก็ตาม ฐานของจิตคือความสงบนั้นแน่นปึ๋ง ๆ ตลอดเวลา นี่ท่านเรียกว่าจิตเป็นสมาธิ เห็นประจักษ์ในหัวใจอย่างนี้ อ๋อ.. สมาธิกับความสงบนี้ต่างกัน นี่เรียกว่าสมาธิ เพื่อให้ถูกต้อง ดำเนินด้วยความราบรื่น พอจิตเป็นสมาธิมีความสงบมันอิ่มอารมณ์ ไม่เสียดายในความคิดความปรุงไปทางรูป ทางเสียง ทางกลิ่น ทางรสต่าง ๆ พอใจอยู่กับความสงบใจของตนนั้น เรียกว่าจิตมีสมาธิ จิตอิ่มอารมณ์ คือไม่อยากคิดกับอารมณ์นั้นอารมณ์นี้ อาศัยความสงบเย็นใจ ความแน่นหนามั่นคงของสมาธินั้นเป็นเรือนอยู่ของใจ

จิตขั้นนี้เวลามันสงบมีกำลังมาก ๆ แล้วมันจะรำคาญในการคิดการปรุงต่าง ๆ ซึ่งแต่ก่อนมันหิวโหยมาก ไม่ได้คิดได้ปรุงอยู่ไม่ได้ ดีดดิ้นอยากคิดอยากปรุง พอจิตมีความสงบเป็นจิตแน่นหนามั่นคง เรียกว่าเป็นสมาธิเต็มที่แล้วนั้นไม่อยากคิด ความคิดเป็นการรบกวนตัวเอง จิตที่อยู่แน่ว มีแต่ความรู้ที่เด่นอยู่ภายในตัวนั้น ถือว่าเป็นความสะดวกสบายไม่มีอะไรมากวนใจ เพราะฉะนั้น ผู้ที่มีสมาธิจึงมักคิดในสมาธิ หรือติดในสมาธิ เพราะสมาธินี้ก็เป็นอารมณ์กล่อมใจได้ดี เมื่อยังไม่ถึงขั้นปัญญา.. ที่จะมีผลมากกว่านี้แล้วจะติดได้...”

ลัก...ยิ้ม 19-03-2013 15:34

สมาธิ กับ จิตรวม

“...คำว่าจิตรวมกับสมาธินี้ต่างกันนะ รวมหลายครั้งหลายหนเข้าไปค่อยสร้างกำลังขึ้นมา จนกลายเป็นสมาธิได้ในตัว นั่น.. จิตเป็นสมาธิ คือความแน่นหนามั่นคงของใจ จะคิดจะปรุงแต่งเรื่องอะไรก็ตาม จิตนี้มีฐานอันมั่นคงของตัวเอง เป็นความสงบแน่วแน่อยู่ภายในตัวเอง นี่เรียกว่าจิตเป็นสมาธิ จิตที่รวมคือ เวลาที่จิตสงบเข้าไป รวมเข้าไป ปราศจากความคิดความปรุงทั้งหลาย เรียกว่าจิตสงบหรือจิตรวม ถอนออกมาแล้วมันก็มีความคิดความปรุงตามธรรมดาของมัน บางทีอาจเกิดความวุ่นวายขึ้นได้ เพราะความคิดกวนใจ

เราพยายามทำอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ จิตของเราจะมีความสง่างามขึ้นมา ความสงบของใจ ความสบายใจจะขึ้นพร้อมกัน จากนั้นก็เป็นความแปลกประหลาดอัศจรรย์เป็นขั้นของใจ...”

ลัก...ยิ้ม 26-03-2013 17:54

สมาธิ กับ สมถะ

“...พอบังคับจิตของเราไว้ จิตไม่มีทางที่จะออกข้างนอก ส่วนข้างในไม่ให้ออกไม่ให้เข้ามา มีแต่อันนี้แหละจะออกไป แล้วจิตจะสงบ พอจิตสงบ สงบด้วยอารมณ์ของธรรมบังคับไว้ กิเลสเป็นธรรมชาติที่ฟุ้ง ธรรมะเป็นธรรมชาติที่ดับ หรือน้ำดับไฟ.. กิเลสเป็นไฟ ธรรมะเป็นน้ำ ดับไฟแล้วจิตจะสงบเข้าไป ๆ พอสงบหลายครั้งหลายหน จิตรวมครั้งหนึ่ง สองครั้ง สามครั้งเข้าไปนี้ มันจะไปสั่งสมกำลังขึ้นมา เมื่อรวมหลายครั้งแล้วจะเป็นจิตแน่นหนามั่นคง จนกลายเป็นสมาธิ

สมาธิกับสมถะนี้ต่างกันนะ สมถะคือความสงบด้วยจิตรวมหลายครั้งหลายหน แล้วสั่งสมผลขึ้นมาจนกลายเป็นจิตใจมั่นคง และจิตเป็นสมาธิ จิตเป็นสมาธินี้แน่นหนามั่นคง ไม่หิวไม่โหยกับอารมณ์ต่าง ๆ ที่อยากคิด อยากรู้ อยากเห็น อยากเป็นต่าง ๆ นี้ มีแต่ความอยากของจิต ความหิวโหยของจิต ทีนี้พอจิตอิ่มอารมณ์ด้วยธรรมแล้ว จิตไม่อยากคิดอยากปรุง...

ลัก...ยิ้ม 02-04-2013 12:26

จิตเป็นสมาธิอยู่คนเดียวเหมาะที่สุด

“...คำว่าสมาธิคือ จิตตั้งมั่นอยู่เป็นอารมณ์อันเดียว แน่นหนามั่นคง แม้เราจะคิดปรุงแต่งเรื่องใดได้อยู่ก็ตาม แต่ฐานของจิตคือความแน่นหนามั่นคง จะไม่ละตนเอง จะมีความแน่นหนามั่นคงอยู่ภายในใจ.. นี้เรียกว่าจิตเป็นสมาธิ ในภาคปฏิบัติ จิตสงบเป็นอย่างหนึ่ง คือสงบด้วยจิตรวมลงหลายครั้งหลายหน แต่ละหน ๆ เรียกว่าจิตสงบ ๆ เมื่อรวมลงไปทีไรก็ส่งผล.. หนุนให้จิตมีความแน่นหนามั่นคงมากขึ้น ๆ จนกลายเป็นสมาธิ เมื่อจิตเป็นสมาธิแล้ว ทีนี้เรื่องอารมณ์นั้นอิ่ม อยากจะคิด จะปรุงอะไร ตั้งแต่ก่อนซึ่งเหมือนอกจะแตก ไม่ได้คิด ได้ปรุงเหมือนว่าอกจะแตก อยู่ไม่ได้ก็ตาม พอจิตเข้าสู่ความสงบเรื่อยเข้าสู่สมาธิแล้ว ความคิดปรุงทั้งหลายเหล่านี้จะไม่มี จิตอิ่มอารมณ์ ไม่อยากคิด อยากปรุง อยากรู้ อยากเห็น อยากได้ยินได้ฟังสิ่งนั้นสิ่งนี้ที่เคยดีดดิ้นมาแต่ก่อน เพราะความสงบเป็นพื้นฐานให้เป็นที่อยู่ของจิตแล้ว.. จิตก็สงบเย็น นี่ท่านเรียกว่าจิตเป็นสมาธิ

จิตเป็นสมาธินี้อยู่คนเดียวแล้วเหมาะที่สุด อยู่ที่ไหน ? ต้นไม้ ภูเขา ตามถ้ำ เงื้อมผา จะเป็นอารมณ์อันเดียวของผู้มีจิตเป็นสมาธิ เพลินอยู่กับความเป็นสมาธิ อารมณ์อันเดียวคือมีแต่ความรู้ที่เด่นอยู่เท่านั้น ไม่มีสิ่งใดเข้ามาเจือปน คือสังขารไม่ปรุงเอาเรื่องราวเข้ามาผสมใจ ใจก็เป็นอารมณ์อันเดียวเรียกว่า เอกัคคตาจิต เอกัคคตารมณ์...”

ลัก...ยิ้ม 22-04-2013 11:24

มิจฉาสมาธิ : สัมมาสมาธิ

“...ได้พิจารณาแล้วเต็มกำลัง นับแต่ได้เริ่มปฏิบัติมาจนถึงวันนี้ ไม่เคยเห็นธรรมบทใดหมวดใดที่ยิ่งไปกว่าสติปัญญา ซึ่งจะสามารถรื้อฟื้นสิ่งลี้ลับอยู่ภายนอกก็ดีภายในก็ดี ให้ประจักษ์แจ้งขึ้นมาภายในใจ ดังนั้น จึงได้นำธรรมทั้งสองประเภทนี้ มาแสดงแก่บรรดาท่านผู้ฟังได้ทราบว่า ถ้าเป็นไม้ก็แก่นหรือรากแก้วของต้นไม้ เป็นธรรมก็รากเหง้า หรือเครื่องมือที่สำคัญสำหรับแก้กิเลสาสวะ นับตั้งแต่หยาบถึงละเอียดยิ่งให้หมดสิ้นไปโดยสิ้นเชิง

ถ้าได้ขาดสติไปเสีย เพียงจะทำสมาธิให้เกิดขึ้นย่อมเป็นไปไม่ได้ ยิ่งได้ขาดปัญญาไปเสียด้วยแล้ว แม้สมาธิก็จะกลายเป็นมิจฉาสมาธิไปได้ เพราะคำว่าสมาธินั้นเป็นคำกลาง ๆ ยังไม่แน่ว่าเป็นสมาธิประเภทใด ถ้าขาดปัญญาเป็นพี่เลี้ยง ต้องกลายเป็นสมาธิที่ผิดจากหลักธรรมไปได้โดยไม่รู้สึกตัว


คำว่า มิจฉาสมาธิ นั้นมีหลายระดับ ชั้นหยาบที่ปรากฏแก่โลกอย่างชัดเจนก็มี ชั้นกลาง และชั้นละเอียดก็มี ในที่นี้จะกล่าวเฉพาะมิจฉาสมาธิในวงปฏิบัติ ซึ่งปรากฏขึ้นกับตนเองโดยไม่รู้สึกตัว เช่น เข้าสมาธิจิตรวมลงแล้วพักอยู่ได้นานบ้าง ไม่นานบ้าง จนถอนขึ้นมา

ในเวลาจิตถอนขึ้นมาแล้วยังมีความติดพันในสมาธิ ไม่สนใจทางปัญญาเลย โดยถือว่าสมาธิจะกลายเป็นมรรค ผล นิพพานขึ้นมาบ้าง ยังติดใจในสมาธิอยากให้รวมอยู่นาน ๆ หรือตลอดกาลบ้าง จิตรวมลงถึงที่พักแล้วถอนขึ้นมาเล็กน้อย และออกรู้สิ่งต่าง ๆ ตามแต่จะมาสัมผัส แล้วเพลินติดในนิมิตนั้น ๆ บ้าง

บางทีจิตลอยออกจากตัวเที่ยวไปสวรรค์ ชั้นพรหม นรก อเวจี เมืองผี เมืองเปรตต่าง ๆ จะถูกหรือผิดไม่คำนึง แล้วก็เพลินในความเห็น และความเป็นของตน จนถือว่าเป็นมรรคผลที่น่าอัศจรรย์ของตน และของพระศาสนาด้วย ทั้งนี้แม้จะมีท่านที่มีความรู้ความสามารถในทางนี้.. มาตักเตือนก็ไม่ยอมฟังเสียเลย เหล่านี้เรียกว่าเป็นมิจฉาสมาธิโดยเจ้าตัวไม่รู้สึก


ส่วนสัมมาสมาธิเล่าเป็นอย่างไร ? และจะปฏิบัติวิธีใดจึงจะเป็นไปเพื่อความถูกต้อง ข้อนี้มีผิดแปลกกันอยู่บ้างคือ เมื่อนั่งทำสมาธิจิตรวมลงพักอยู่ จะเป็นสมาธิประเภทใดก็ตาม และจะพักอยู่ได้นานหรือไม่นาน ข้อนี้ขึ้นอยู่กับสมาธิประเภทนั้น ๆ ซึ่งมีกำลังมากน้อยต่างกัน จงให้พักอยู่ได้ตามขั้นของสมาธินั้น ๆ โดยไม่ต้องบังคับให้ถอนขึ้นมา ปล่อยให้พักอยู่ตามความต้องการแล้วถอนขึ้นมาเอง

แต่เมื่อจิตถอนขึ้นมาจากสมาธิแล้ว จงพยายามฝึกค้นด้วยปัญญา จะเป็นปัญญาที่ควรแก่สมาธิขั้นไหนก็ต้องพิจารณาไตร่ตรองดูตามธาตุขันธ์ จะเป็นธาตุขันธ์ภายนอกหรือภายในไม่เป็นปัญหา ขอแต่พิจารณาเพื่อรู้เหตุผลเพื่อแก้ไขหรือถอดถอนตนเองเท่านั้น... ชื่อว่าถูกต้อง


จงใช้ปัญญาพิจารณาสภาวธรรมทั้งภายในทั้งภายนอก หรือจะเป็นส่วนภายในโดยเฉพาะ หรือจะเป็นส่วนภายนอกโดยเฉพาะ พิจารณาลงในไตรลักษณ์ จะเป็นไตรลักษณ์ใดก็ได้จนชำนาญและแยบคาย จนรู้ช่องทางเอาตัวรอดไปได้โดยลำดับ

เมื่อพิจารณาจนรู้สึกอ่อนเพลีย จิตอยากจะเข้าพักในเรือนคือสมาธิ ก็ปล่อยให้พักได้ตามความต้องการ
จะพักนานหรือไม่นานไม่เป็นปัญหา จงพักอยู่จนกว่าจิตจะถอนขึ้นมาเอง เมื่อจิตถอนขึ้นมาแล้ว จงพิจารณาสภาวธรรม.. มีกายเป็นต้นตามเคย นี่เรียกว่าสัมมาสมาธิ และพึงทราบว่าสมาธิเป็นเพียงที่พักชั่วคราวเท่านั้น จิตมีกำลังแล้วถอนขึ้นควรแก่การพิจารณาต้องพิจารณา

ทำอย่างนี้โดยสม่ำเสมอ สมาธิจะเป็นไปเพื่อความราบรื่น ปัญญาจะเป็นไปเพื่อความฉลาดเสมอไป จะเป็นไปเพื่อความสม่ำเสมอทั้งด้านสมาธิและด้านปัญญา เพราะสมาธิเป็นคุณในทางหนึ่ง ปัญญาเป็นคุณในทางหนึ่ง...”

ลัก...ยิ้ม 02-05-2013 17:50

การฉันในวัดป่าบ้านหนอผือ

หลวงปู่หล้า เขปตฺโต วัดภูจ้อก้อ จังหวัดมุกดาหาร เป็นพระอีกรูปหนึ่งที่จำพรรษาที่วัดป่าบ้านหนองผือในครั้งนั้น ปรารภถึงการเตรียมการฉันในตอนหนึ่งของหนังสือชีวประวัติ ดังนี้

“...ย้อนมาปรารภในการเตรียมจะฉันหรือฉันอยู่ก็ดี ธรรมดานอกพรรษา ต้องมีการแจกอาหารในศาลาโรงฉัน จิปาถะขลุกขลุ่ย พระองค์ใดเป็นห่วงบาตรตนเองในยามเตรียมจัดแจงกัน ไม่ประเปรียว หูหลักตาไวช่วยแจก เกรงแต่หมู่ไม่ให้ นั่งเฝ้าบาตร องค์นั้นแหละ.. ต้องถูกเทศน์อย่างหนักในขณะนั้นด้วย


ถ้าองค์ไหนยอมเสียสละในใจ ว่าถ้าหมู่ไม่พอเอาใส่ให้เรา เราก็ไม่ต้องฉัน เราจะพอใจช่วยแจกช่วยทำกิจอันเกี่ยวกับพระอาจารย์ และหมู่เพื่อนให้เรียบร้อย เสร็จแล้วจึงมานั่งเฝ้าบาตรตน ผู้ใดปฏิบัติอย่างนั้นเป็นมงคลในสำนัก แม้ถึงคราวพลาด ถูกเทศน์ในเรื่องอื่น ๆ ก็ไม่ถูกแรงนัก เพราะอำนาจความกว้างขวางในสำนัก เป็นเครื่องดึงดูดทำให้เรื่องอื่นผ่อนคลายไปในตัว และก็เป็นที่สะดวกของครูบาอาจารย์ และหมู่เพื่อนด้วย แม้ปัจจัยสี่ จีวร เสนาสนะ เภสัช เจ้าตัวก็ต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของครูบาอาจารย์และหมู่เพื่อนจะสงเคราะห์ตน โดยตนไม่ต้องพิถีพิถัน ภิกษุสามเณรใดปฏิบัติแบบนี้ในสำนัก เป็นธรรมวินัยอันลึกซึ้ง ด้วยเป็นที่เกรงขามของหมู่เพื่อนในตอนนี้อีก

จะกล่าวถึงในเวลากำลังแจกอาหารอีก สภาพศาลาฉันในวัดป่าบ้านหนองผือ สมัยนั้นเป็นศาลามุงหญ้าคาและปูฟาก กว้างประมาณสี่เมตร ยาวประมาณห้าเมตร ใช้กระโถน กระบอกไม้ไผ่บ้าน เวลากำลังแจกอาหารต้องนอนกระโถนไว้เรียบ ๆ ก่อน แจกอาหารแล้วจึงตั้งกระโถนขึ้นได้ เพราะฟากขลุกขลัก เดินไปมากระโถนจะล้ม

ในขณะกำลังฉัน.. เงียบสงัดมาก ไม่มีองค์ใดจะเคี้ยวฉันอันใดให้มีเสียงกร๊อบ ๆ แกร๊บ ๆ เลย เช่น ถั่ว มะเขือแดง ที่ได้ฉันเป็นบางยุคบางสมัย เมื่อเฉือนเป็นชิ้น ๆ แล้วก็ตาม เมื่อมือหยิบส่งเข้าประตูปากแล้วก็ต้องสำนึกว่า เมื่อเราเคี้ยวพรวดลงทีเดียวจะมีเสียงกร๊อบหรือไม่ ถ้าเห็นว่าจะไม่มีเสียงกร๊อบแล้ว เราจึงเคี้ยวพรวดลงทีเดียว

ถ้าเห็นว่าจะมีเสียงกร๊อบก็ค่อยเน้นลงให้บุบก่อนจึงเคี้ยวต่อไป ข้อนี้พระอาจารย์มหาบัวบอก ข้าพเจ้าจึงได้รู้วิธีปฏิบัติ พระวินัยก็บอกไว้ไม่ให้ฉันดังจั๊บ ๆ หรือซูด ๆ แต่ดังกร๊อบมันก็ผิดเหมือนกัน เพราะมันคงเหมือนหมาเคี้ยวกระดูก หรือเสือกัดกระดูก...

ลัก...ยิ้ม 07-05-2013 09:13

ตอนฉันอาหารเสร็จ พระอาจารย์ใหญ่ไปส้วมถ่าย ส้วมนั้นเป็นส้วมแบบโบราณ.. ขุดหลุมลึกประมาณสามเมตร ถวายเฉพาะองค์ท่าน กว้างเมตรเจ็ดสิบห้าเซ็นต์ฯ ส้วมแบบโบราณมีรางปัสสาวะ ครั้นองค์ท่านเข้าไปถ่าย ถอดรองเท้าเรียงคู่ไว้เรียบ ๆ ไม่ผินหน้าผินหลัง เปิดประตูแบบมีสติไม่ตึงตัง ปัสสาวะลงในรางปัสสาวะแล้วเทน้ำลงล้าง ถ่ายเสร็จแล้วชำระด้วยใบตองกล้วยแห้งที่พันไว้เป็นกลม ๆ ยาวคืบกว่าที่ลูกศิษย์จัดทำไว้ เพราะองค์ท่านเป็นโรคริดสีดวงทวาร ในยุคนั้นไม่มีกระดาษชำระ

กระดาษที่มีหนังสือชาติใด ๆ ก็ตาม องค์ท่านไม่เหยียบ ไม่เอาลงในกระโถน ไม่เอาเช็ดทวารหนักทวารเบา องค์ท่านเคยอธิบายบ่อย ๆ ว่า หนังสือชาติใดก็ตาม สามารถจารึกคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทั้งนั้น จึงควรเคารพยำเกรง

เมื่อถ่ายเสร็จแล้ว องค์ท่านปัดกวาดเรียบค่อยเปิดประตูเบา ๆ ออกมาโดยสภาพไม่ตึงตัง น่าเลื่อมใสถึงใจมาก ... ถ่ายเสร็จเรียบร้อยทุกประการก็กลับพักกุฏิขององค์ท่าน ทำกิจธุระด้านภาวนาเฉพาะองค์ท่าน...”

ลัก...ยิ้ม 17-05-2013 11:15

ข้อปฏิบัติต่อหลวงปู่มั่น

อาจารย์นักปราชญ์ ลูกศิษย์ก็บัณฑิต

หลวงปู่หล้ากล่าวถึงข้อวัตรโดยรวมและข้อปฏิบัติต่อหลวงปู่มั่นในครั้งนั้น ดังนี้

“...ครั้นถึงเวลาบ่ายหนึ่งโมงกว่า ๆ องค์ท่านก็ลงจากกุฏิเปลี่ยนอิริยาบถบ้าง บ่ายประมาณสี่โมงเย็นก็กวาดลานวัดพร้อมกัน ไม่มีองค์ใดจะใช้กลเม็ดหลีกเลี่ยงได้ เว้นแต่ป่วยไข้ไม่สบาย หรือได้เฝ้าพยาบาลภิกษุไข้อยู่เท่านั้น


กวาดลานวัดแล้วก็รีบหาน้ำฉันน้ำใช้ไว้เต็มตุ่มไห ประมาณวันละสี่สิบปีบเป็นเกณฑ์ วันซักผ้าและวันมีอาคันตุกะมาพักมากก็ตักมากกว่า รีบหาเรียบร้อยแล้ว ก็รีบไปสรงถวายหลวงปู่มั่น เสร็จแล้วกลับไปสรงกุฏิใครกุฏิมัน ไม่ได้รวมกันไปสรงที่บ่อ แต่บ่อน้ำก็ไม่ไกลอยู่ในวัด ริมวัด

น้ำในบ่อก็ไม่ขาดแห้งเลยสักที เป็นน้ำจืดสนิทดีพร้อมทั้งใสสะอาดเยือกเย็นด้วย มีรางไม้กว้าง ๆ เทใส่รางมีผ้ากรอง พระอาจารย์มหาบัวได้ดูแลเป็นหัวหน้า แต่มิได้ให้องค์ท่านตักและหา เพียงเป็นนายหมวดนายหมู่ดูแล ในตอนที่ว่าน้ำ ๆ ฟืน ๆ ก็เหมือนกัน...”
***

หลวงปู่หล้ากล่าวถึงวิธีปฏิบัติต่อหลวงปู่มั่นที่ละเอียดลออเหมาะสม มักได้รับคำแนะนำจากองค์หลวงตา (หลวงปู่มหา) อยู่เนือง ๆ ดังนี้

“...เมื่อองค์ท่านวิการในธาตุขันธ์ผิดปกติ ได้ถ่ายตอนกลางคืนลงที่หลุมใต้ถุน ให้รีบเก็บด้วยมือ โดยเอามือกอบใส่บุ้งกี๋ที่เอาใบตองรองแล้วเอาขี้เถ้ารองอีก กอบอุจจาระจากหลุมมาใส่บุ้งกี๋นั้น ส่วนหลุมนั้นเอาขี้เถ้ารองหนา ๆ ไว้ แล้วมีฝาปิดไว้ตอนกลางวัน ค่ำมืดแล้วรีบไปเปิดไว้...

เช้ามืดรีบไปตรวจดูแบบเงียบ ๆ เมื่อเห็นรอยถ่ายก็รีบเก็บ รีบล้างมือด้วยขี้เถ้าและน้ำมันก๊าด ตัดเล็บมือไว้ให้เรียบ ข้อที่เอามือกอบออก หลวงปู่มหาบอก แต่ว่าไม่ได้บอกต่อหน้าหลวงปู่มั่น บอกว่า ‘ครูบาอาจารย์ชั้นนี้แล้ว ไม่ควรเอาจอบเสียมนะ ควรเอามือกอบเอา’ ดังนี้ ย่อมเป็นมงคลล้ำค่าของข้าพเจ้า...

***
อ้างอิง:

ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ สุธรรม (โพสต์ 106930)
:4672615: หมายความว่า "ทั้งการหาบน้ำทั้งการหาฟืนก็ทำคล้ายคลึงกัน มีหลวงตามหาบัวเป็นผู้กำกับดูแลเช่นกัน" ครับ


ลัก...ยิ้ม 17-05-2013 17:53

เมื่อคราวซักหรือย้อมถวายองค์ท่าน เราก็ต้องอยู่กองย้อม กองซัก กองตาก กองพับไว้ กองตัด (คือ) หลวงปู่มหา กองเย็บ (คือ) ท่านอาจารย์วัน กองถวายยาแก้โรค (คือ) ท่านอาจารย์วัน (และ) อาจารย์ทองคำ ปูที่นอนและเอาบาตรไว้ (คือ) อาจารย์วัน (และ) อาจารย์ทองคำ

หลวงปู่ให้อุบาย ข้าพเจ้าปูที่นอนต่อหน้าพระอาจารย์วันว่า ‘ท่านหล้าปูที่นอนกับเขาไม่เป็น เอาแต่ของหยาบ ๆ หนัก ๆ’ พูดเย็น ๆ เบา ๆ แต่ข้าพเจ้าก็เก็บไว้เฉพาะส่วนตัว ในสมัยนั้นถ้าหากว่าเล่าให้อาจารย์มหาฟัง ท่านอาจารย์มหาก็จะต้องให้ปูจริง ๆ

มีอยู่ข้อหนึ่งที่อดไม่ได้ ได้เล่าถวายท่านอาจารย์มหาฟัง คือมีพระองค์หนึ่งปูที่นอนถวายหลวงปู่มั่น ทั้งปูทั้งเหยียบไปมาเต็มเท้า บริขารขององค์ท่านบางชนิด เช่น กระป๋อง ยาสูบ ก็ข้ามไปข้ามมา ข้าพเจ้าอดไม่ได้ก็เล่าถวายท่านอาจารย์มหา ท่านอาจารย์ก็หาอุบายสังเกตก็พบจริง จึงพูดขึ้นว่า

หมู่ทำแบบไม่มีสูงมีต่ำแบบนี้ ผมไม่เหมาะหัวใจ ปล่อยให้คนที่เขาเคารพกว่านี้มาทำจะเป็นมงคล ทำขวางหมู่เฉย ๆ” ดังนี้ แต่นั้นมาพระองค์นั้นก็เข็ดหลาบ


การทำข้อวัตรถวายหลวงปู่ประจำวัน คือไม่ให้หลวงปู่หาอุบายคอยลูกศิษย์ มีแต่ลูกศิษย์คอยเท่านั้น ตอนนั้นพระอาจารย์มหาได้เทศน์หมู่ในยุคหนองผือลับหลังหลวงปู่ ซ้ำ ๆ ซาก ๆ เสมอ ๆ แม้ตัวของผู้เขียนอยู่นี้ก็ดี ถ้าไม่มีหลวงปู่มหาควบคุมในยุคนั้น ก็มักจะตีความหมายไม่ออกหลายเรื่องอยู่ เพราะบางเรื่องลึกลับจนมองไม่ออก เมื่อองค์ท่านมีโอกาสลับหลังมาอธิบายให้ฟัง ก็เท่ากับของคว่ำอยู่แล้วหงายขึ้น

สำหรับองค์ท่าน (หลวงปู่มหา) ในสมัยนั้นต้องมีภาระหนักใจกว่าองค์อื่น แต่ด้วยความศรัทธาและพอใจก็เลยกลายเป็นเบาลง (เหตุผลของท่านก็คือ)

ก. ด้านธรรมะส่วนตัว เพราะเราหลายพรรษา ทั้งชื่อใหญ่เป็นมหาด้วย

ข. ด้านเกี่ยวกับหลวงปู่ เพราะเราเคารพและรักท่านมาก ๆ

ค. ด้านบริหารหมู่ เพื่อแบ่งเบาหลวงปู่

ง. ด้านญาติโยม เพื่อให้รู้จักความหมายของหลวงปู่.. จิปาถะสารพัดทุก ๆ ด้าน

ลัก...ยิ้ม 21-05-2013 09:38

ท่านเคยเล่าให้ผู้เขียนฟังบ่อย ๆ ในยุคนั้น เพราะเข้าใกล้พระอาจารย์ใหญ่ขนาดไหน ก็เข้าใกล้หลวงปู่มหาขนาดนั้น องค์ท่านฉลาดมาก บอก (ผู้เขียน) ไว้ว่า

‘ถ้าวันไหนจะไม่ทันหลวงปู่มั่นในข้อวัตรขององค์ท่าน อย่ามาล้างกระโถนผม อย่ามาเอาบาตรผมลงไปศาลา จงรีบให้ทันข้อวัตรขององค์หลวงปู่ก็แล้วกัน เพราะองค์ท่านจะวิจารณ์ว่ามาเป็นคณาจารย์แข่งกัน เพราะข้อวัตรขององค์ท่านมีมาก’


แต่องค์ท่านฉลาดรีบออกห้องก่อนหลวงปู่มั่นตอนเช้า เรามีเวลาไปล้างกระโถนไม้ไผ่ถวายให้ และได้เอาบาตรลงมาไว้ศาลาถวาย ส่วนบาตรตนเองเอาลงไปก่อน (ตั้ง) แต่ยังไม่ได้อรุณ ต้องคล่องว่องไวจึงได้ วิชาเกียจคร้าน วิชาหลับกลางวัน วิชาเกรงจะไม่ได้ฉันของดี ๆ และมาก ๆ และเกรงจะไม่ได้ใช้บริขารดี ๆ ก็ไม่มีในสมัยนั้น...”

หลวงปู่หล้ากล่าวถึงการประชุมกันที่กุฏิหลวงปู่มั่นในตอนเย็น ดังนี้

“...หนึ่งทุ่มประชุมกันที่กุฏิหลวงปู่มั่น ผู้ที่ไปทำแต่ข้อวัตรครูบาอาจารย์ และส่วนรวมบริบูรณ์ก็ตาม (แต่ถ้า) ถามเรื่องภาวนาไม่ได้ความก็ถูกเทศน์หนักอีก ผู้เขียนปีแรกถูกเทศน์หนักสามครั้ง แต่คนละเรื่องมิใช่เรื่องเก่า ปีที่สอง ที่สาม ที่สี่.. เงียบไม่มีเลยก็ว่าได้


แต่ธรรมเนียมนักปฏิบัติย่อมถือกันว่า ถ้าเทศน์องค์ใดเป็นต้นเหตุก็ให้ถือว่าเทศน์หมดวัด ถ้าไม่น้อมลงอย่างนั้นแล้ว มานะความถือตัวจะกำเริบโดยไม่รู้ตัว แม้เมื่อถูกชมก็เหมือนกัน ถือว่าชมหมดทั้งวัด ... น้อมอย่างนี้ คือถ้าใครทำอย่างนี้ก็จะต้องถูกติเตียนอย่างนี้ไม่เลือกหน้า ถ้าใครถูกอย่างนี้ก็ต้องถูกชมอย่างนี้ เรียกว่าน้อมลงมาใส่ตนนี้ (คือ) ที่หลวงปู่มหาเคยอธิบายในยุคนั้น...”

ลัก...ยิ้ม 22-05-2013 11:41

พระตายไปพรหมโลก

ระยะที่หลวงปู่มั่นพักอยู่วัดป่าบ้านหนองผือในปี พ.ศ. ๒๔๘๙ ท่านเล่าว่ามีพระตายในวัด ๒ องค์ ตายบ้านนาในอีก ๑ องค์ ดังนี้
“...องค์แรกอายุราวกลางคน ท่านองค์นี้ (พระอาจารย์เนียม ๑๘ พรรษา) บวชเพื่อปฏิบัติโดยเฉพาะ และปฏิบัติอยู่กับท่านแบบเข้า ๆ ออก ๆ เรื่อยมาแต่สมัยท่านอยู่เชียงใหม่ และติดตามท่านจากเชียงใหม่มาอุดรฯ สกลนคร แล้วมามรณภาพที่วัดหนองผือ (แรม ๗ ค่ำ พฤษภาคม ๒๔๘๙)


ทางด้านจิตตภาวนา ท่านดีมากทางสมาธิ ส่วนทางปัญญากำลังเร่งรัดโดยมีท่านเป็นผู้คอยให้นัยเสมอมา

ท่านมีนิสัยเคร่งครัดเด็ดเดี่ยวมาก เทศน์ก็เก่งและจับใจเพราะมากทั้งที่ไม่ได้หนังสือสักตัว เทศน์มีปฏิภาณไหวพริบปัญญาฉลาด สามารถยกข้อเปรียบเทียบมาสาธกให้ผู้ฟังเข้าใจได้ง่าย ๆ แต่น่าเสียดายที่ท่านป่วยเป็นวัณโรค กระเสาะกระแสะมานาน

ท่านถึงกาลมรณะที่วัดหนองผือ ตอนเช้าเวลาประมาณเจ็ดโมงเช้า ด้วยท่าทางอันสงบสมเป็นนักปฏิบัติทางจิตมานานจริง ๆ เห็นอาการท่านในขณะจวนตัวและสิ้นลมแล้ว เกิดความเชื่อเลื่อมใสในท่าน และในอุบายวิธีของจิตที่ได้รับการฝึกอบรมมาเท่าที่ควรก่อนจะมาถึงวาระสุดท้าย ซึ่งเป็นขณะที่ต้องช่วยตัวเองโดยเฉพาะ ...

ขณะท่านองค์นั้นจะสิ้นลม พ่อแม่ครูอาจารย์มั่นและพระสงฆ์ซึ่งกำลังจะออกบิณฑบาต ได้พากันแวะเข้าไปปลงธรรมสังเวชที่กำลังแสดงอยู่อย่างเต็มตา พอท่านสิ้นลมแล้วชั่วขณะหนึ่ง ซึ่งเป็นขณะที่พ่อแม่ครูอาจารย์มั่นกำลังยืนรำพึงอยู่อย่างสงบ ท่านได้พูดออกมาด้วยท่าทางเคร่งขรึมว่า.. ‘ไม่น่าวิตกกับเธอหรอก เธอขึ้นไปอุบัติที่อาภัสสราพรหมโลกชั้น ๖ เรียบร้อยแล้ว’

นับว่าหมดปัญหาไปสำหรับท่านในครั้งนี้ แต่เสียดายอยู่หน่อยหนึ่ง ถ้าท่านมีชีวิตเร่งยึดเวลา เร่งปฏิบัติให้มากยิ่งกว่านี้บ้างก็มีหวังได้ขึ้นพรหมโลก ๕ ชั้น ชั้นใดชั้นหนึ่งแล้วเตลิดถึงที่สุดเลย ไม่ต้องกลับมาวกเวียนในวัฏฏวนนี้อีก...”

หลวงปู่หล้าบันทึกเรื่องนี้ไว้เช่นกันว่า
“พระอาจารย์เนียมเป็นคนบ้านโคกนามน จังหวัดสกลนครนั้นเอง ไม่ใช่อื่นไกลเลย และหลวงปู่มั่นปรารภเปิดเผยต่อพระเณรในยุคนั้น ขณะนั้นว่า
‘ท่านเนียมเป็นพระโสดาบันแล้วไปเกิดชั้นหก อาภัสสรา’...”

ลัก...ยิ้ม 28-05-2013 09:47

พระสาวก... ครั้งพุทธกาล
พระวังคีสะเคาะกะโหลกพระอรหันต์

“...พระวังคีสะ ท่านเก่งมากในการที่ดูจิต ผู้ที่ตายแล้วไปเกิดในภพใดแดนใดตั้งแต่ท่านเป็นฆราวาส ใครตายก็ตาม จะว่าท่านเก่งทางไสยศาสตร์นั่นแหละ เวลาใครตายเขานำเอากะโหลกศีรษะมาให้เคาะ ป๊อก ๆ ๆ กำหนดดูทราบว่าอันนั้นไปเกิดที่นั่น ๆ เช่น ไปเกิดเป็นสัตว์นรกก็บอก ไปเกิดในสวรรค์ก็บอก ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ไปเกิดเป็นเปรตเป็นผีอะไร ท่านบอกหมด ไม่มีอัดมีอั้น บอกได้ทั้งนั้น ขอให้ได้เคาะกะโหลกศีรษะของผู้ตายนั้นก็แล้วกัน

พอท่านวังคีสะได้ทราบจากเพื่อนฝูงเล่าให้ฟังว่า พระพุทธเจ้ายังเก่งกว่านี้อีกหลายเท่า ท่านอยากได้ความรู้เพิ่มเติม จึงไปยังสำนักพระพุทธเจ้า เพื่อขอเรียนวิชาแขนงนี้เพิ่มเติมอีก พอไปถึง พระพุทธเจ้าท่านก็เอาศีรษะพระอรหันต์มาให้เคาะ

‘เอ้า... ลองดูซิ ไปเกิดที่ไหน ?’


เคาะแล้วฟัง เงียบ เคาะแล้วฟัง เงียบ คิดแล้วเงียบ กำหนดแล้วเงียบ ไม่ปรากฏว่าเจ้าของกะโหลกศีรษะนี้ไปเกิดที่ไหน..! ท่านจนตรอก.. ! ท่านพูดสารภาพอย่างตรงไปตรงมาว่า

‘ไม่ทราบที่เกิด’


นี่ยกเรื่องจิตที่ไม่เกิดขึ้นมา กะโหลกศีรษะของท่านผู้บริสุทธิ์แล้ว เคาะเท่าไรก็ไม่รู้ว่าไปเกิดที่ไหน ทั้ง ๆ ที่พระวังคีสะแต่ก่อนเก่งมาก แต่จิตที่บริสุทธิ์แล้วหาที่เกิดไม่ได้ ... จะขุดจะค้นจะพิจารณาเท่าไร หรือพลิกแผ่นดินค้นหาวิญญาณท่านก็ไม่เจอ มันสุดวิสัยของ “สมมุติ” แล้วจะเจออย่างไร..! มันเลยวิสัยของคนที่มีกิเลสจะไปทราบอำนาจจิตของพระอรหันต์ท่านได้...”

ลัก...ยิ้ม 03-06-2013 17:58

หลวงปู่มั่นรู้ พระจะตายอีก

ปี ๒๔๘๙ กลางพรรษา ท่านอาจารย์สอ สุมงฺคโล นักธรรมเอก พรรษา ๙ เป็นพระบ้านศรีฐาน จังหวัดยโสธร แต่ในสมัยนั้นขึ้นกับอำเภอลุมพุก จังหวัดอุบลราชธานี ท่านเป็นองค์ที่ ๒ ที่ถึงแก่มรณภาพ หลังจากป่วยเป็นไข้ป่าได้ประมาณ ๑ เดือน มีพระองค์หนึ่งพิจารณาเห็นเหตุการณ์ของท่านผู้ป่วย และในเย็นวันนั้น พระองค์นี้ได้ขึ้นไปกราบหลวงปู่มั่น และสนทนาธรรมกันในแง่ต่าง ๆ จนเรื่องวกวนมาถึงท่านผู้ป่วย จึงได้มีโอกาสกราบเรียนเหตุการณ์ที่ตนปรากฏถวายท่านว่า

“คืนนี้ไม่ทราบจิตเป็นอะไรไป กำลังพิจารณาธรรมอยู่ดี ๆ พอสงบลงไป ปรากฏว่าเห็นท่านอาจารย์ (มั่น) ไปยืนอยู่หน้ากองฟืน ที่ใครก็ไม่ทราบเตรียมขนมากองไว้ ว่า ‘ให้เผาท่าน' ... ตรงนี้เอง ตรงนี้เหมาะกว่าที่อื่น ๆ’ ดังนี้


ทำไมจึงปรากฏอย่างนั้นก็ไม่ทราบ หรือผู้ป่วยจะไปไม่รอดจริงหรือ ? แต่ดูอาการก็ไม่เห็นรุนแรงนัก ที่ควรจะเป็นได้อย่างที่ปรากฏนั้น

พอพระองค์นั้นกราบเรียนจบลง ท่านก็พูดขึ้นทันทีว่า “ผมพิจารณาทราบมานานแล้ว อย่างไรก็ไปไม่รอด แต่เธอไม่เสียที แม้จะไปไม่รอดสำหรับความตาย เหตุการณ์แสดงบอกเกี่ยวกับจิตใจของเธอสวยงามมาก สุคติเป็นที่ไปของเธอแน่ แต่ใคร ๆ อย่าไปพูดเรื่องนี้ให้เธอฟังเด็ดขาด เมื่อเธอทราบเรื่องนี้จะเสียใจ แล้วจะทรุดทั้งกายและเสียทั้งใจ สุคติที่เธอควรจะได้อยู่แล้ว.. จะพลาดไปได้ เพราะความเสียใจเป็นเครื่องทำลาย

พออยู่ต่อมาไม่กี่วัน ท่านอาจารย์สอก็เกิดปุบปับขึ้นในทันทีทันใดตอนค่อนคืน พอ ๓ นาฬิกากว่า ๆ ก็สิ้นลมไปด้วยความสงบ จึงทำให้คิดเรื่องเกี่ยวกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ว่า พออะไรผ่าน..ท่านคงพิจารณาไปเรื่อย ๆ ในทุกเรื่อง เมื่อทราบเหตุการณ์ชัดเจนแล้ว ก็ปล่อยไว้ตามสภาพของสิ่งนั้น ๆ

ลัก...ยิ้ม 05-06-2013 11:33

ลาหลวงปู่มั่นธุดงค์

พอออกพรรษาได้สักระยะ ก็เป็นวาระที่พระกรรมฐานผู้มุ่งความสงบจะออกธุดงค์ หาสถานที่วิเวกสงบสงัดทำความพากความเพียร สำหรับเหตุการณ์ในช่วงเวลานั้น หลวงปู่หล้าได้กล่าวถึงการลาหลวงปู่มั่นออกวิเวกขององค์หลวงตาไว้ ดังนี้

“...พอตกถึงเดือนพฤศจิกายน ๒๔๘๙ .. พระอาจารย์มหาบัวก็ดำริจะออกวิเวก โครงการขององค์ท่านจะไม่ไปไกล เพราะจะได้ฟังข่าวสุขทุกข์ของหลวงปู่ใหญ่ (หลวงปู่มั่น) ทุกประการ จะได้เป็นผู้กลับเข้ากลับออกอยู่ ไม่ไปแบบเตลิดเปิดเปิง และหวังว่าจะได้ธรรมะพิเศษมาศึกษากราบเรียนเพิ่มเติม เพราะอายุพรรษาก็มากเข้า ๑๓ พรรษาแล้ว และก็อาลัยหลวงปู่ เกรงผู้อยู่ข้างหลังจะปฏิบัติในสำนักบกพร่อง ทำให้หลวงปู่ไม่สะดวกธรรมะทุก ๆ กรณี แต่ลงท้ายก็เลยตกลงใจไป


ฝ่ายข้าพเจ้า (หลวงปู่หล้า) ก็นึกอยากจะไปกับองค์ท่านด้วย หลวงปู่ก็รู้จักแล้ว และหลวงปู่ได้เทศน์อยู่บ่อย ๆ ว่า ‘ใครออกวิเวกปีนี้กลับมา เมื่อถูกถามไม่ได้ความในด้านภาวนาจะไม่ให้อยู่จำพรรษาด้วย

ต่อไปในอนาคต ถ้าไปวิเวกจริง.. ถามก็ต้องได้ความแท้ ไม่น้อยก็ต้องมาก แต่ไปวิ่งวุ่นเสียเป็นส่วนมาก เพราะไปเที่ยวเล่นตามสำนักเฉย ๆ

การไปวิเวกในสมัยนั้นไปในดงในป่า ในโคก ในดอน ในภูเขาได้ทั้งนั้น เพราะไม่มีสิ่งที่สงสัยกันในการเมือง ขอแต่กล้าหาญไม่กลัวเสือ สัตว์ป่านานาชนิดเท่านั้น การไปองค์เดียวเป็นชั้นที่หนึ่ง ไป ๒ องค์เป็นชั้นที่สอง ไป ๓ องค์เป็นชั้นที่สาม ไปมากกว่านั้นอยู่วัดดีกว่า เพราะถือกันว่าวุ่นวายไม่สะดวกได้

มีปัญหาว่า ‘พระอาจารย์มหาบัวนั้น หลวงปู่มั่นก็เกรงว่าจะไปเที่ยวเล่นดอกหรือ ! จึงปรารภอย่างนั้น ?’ แก้ว่า ‘ปรารภเพื่อพวกอื่น บุคคลอื่นต่างหาก เพราะปีนั้นจะออกวิเวกหลายพวกอยู่

ลัก...ยิ้ม 07-06-2013 11:42

ครั้นล่วงเวลามาอีก ๒ - ๓ วัน ท่านอาจารย์มหาบัวขึ้นไปกราบเรียนหลวงปู่มั่นว่า

‘เกล้าฯ นึกจะไปเที่ยววิเวกจะเป็นประการใด และการงานที่จะใช้เกล้าฯ พาหมู่ทำนั้นยังมีอะไรอยู่บ้างหนอ เกล้าฯ จะพาหมู่ทำเสร็จแล้วจึงจะไป ถ้ามีงานจำเป็นอยู่ เกล้าฯ จะรออยู่ก่อน’


หลวงปู่มั่นท่านตอบว่า ‘จีวรกาลเราก็เสร็จแล้ว ฟืนเราก็บริบูรณ์แล้ว แต่บูรณะกุฏิซ่อมแซมหลังคาและเอาฟืน ถึงเดือนกุมภาพันธ์จึงพากันจัดทำ วาระนี้จะไปก็ไปได้

พระอาจารย์มหาบัวกราบเรียนท่านว่า ‘ถ้าไปจะไปวันไหน และทิศทางใดหนอจึงจะวิเวกพอควร’

หลวงปู่มั่นตอบว่า ‘ถ้าสะดวกใจตนจะไปวันไหนก็ได้ ไปทางทิศตะวันออกก็มีที่วิเวกดี พอควรอยู่นะ’

แล้วพระอาจารย์มหาบัวก็กราบลากลับกุฏิของตน แต่ไม่ถึงวันจะไป เป็นเพียงไปกราบศึกษาให้หลวงปู่มีสิทธิ์ ถึงวันจะไปจริงท่านจึงจะไปกราบลาใหม่

ข้าพเจ้า (หลวงปู่หล้า) ได้สำเหนียกว่า ‘ลูกศิษย์ที่มีครูไปลาอาจารย์ เพื่อเที่ยวแสวงหาวิเวกเป็นธรรมะลึกซึ้ง เป็นเชิงปรึกษาให้เกียรติอาจารย์ ให้ความเป็นใหญ่ไว้เสมอด้วยเคารพ ไม่ตัดสินเอาแต่ตัวตามอัตโนมัติ เป็นเยี่ยงอย่างอันดีของฝ่ายปฏิบัติ ไม่ข้ามไม่เกิน ไม่อวดดีอะไร

อาจารย์ก็นักปราชญ์ ลูกศิษย์ก็บัณฑิต สมัยปัจจุบันนี้หาได้ยากแท้ ๆ หนอ เพราะโดยมากลูกศิษย์ตกลงเอาเองหมดแล้ว เป็นเพียงมาลาไปเฉย ๆ บางรายกรุ่นให้อาจารย์อย่างไม่อาย เวลาไปไม่มาลาซ้ำอีก กลายเป็นปฏิบัติแบบเปรต แบบผีไปอีก นึก ๆ แล้วก็น่าสังเวชมาก

ลัก...ยิ้ม 18-06-2013 10:06

หลวงปู่หล้าขอติดตามไปด้วย

หลังจากที่องค์หลวงตากราบเรียนปรึกษาเรื่องลาวิเวกกับหลวงปู่มั่น ประมาณ ๓ วัน หลวงปู่หล้าก็ไปเข้ากราบลาองค์ท่านเพื่อเตรียมออกวิเวกบ้าง หลวงปู่หล้าเล่าเหตุการณ์ครั้งนั้นว่า

“...ข้าพเจ้าก็เตรียมพร้อมแล้ว เรียนท่านอาจารย์มหาว่า ‘กระผมจะต้องขึ้นไปกราบลาหลวงปู่หรือไม่หนอ ?’


พระอาจารย์มหาตอบว่า ‘ถ้าไปกราบลาแต่ผม มันก็ถูกแต่ผม ส่วนท่านก็ผิด เพราะเรื่องของใครของมัน

ข้าพเจ้ายิ่งเพิ่มเห็นความเป็นธรรมะ.. ระหว่างพระอาจารย์มหายิ่งขึ้นเป็นอันมาก แล้วก็ขึ้นไปกราบลาพร้อมกัน องค์ท่าน.. หลวงปู่ก็ใช้มารยาทอันละมุนละไมแบบเมตตา กราบลาแล้วเตรียมเดินทางไปทางทิศตะวันออกของวัด ตามทางคนบ้าง ทางเกวียนบ้าง มีป่าดงเป็นทิวแถว มีทุ่งนาสลับเล็กน้อย มุ่งตรงไปวัดป่าบ้านพระคำภูอันเป็นวัดร้างเป็นป่าเต็งรังสูง ๆ

ขณะนั้นกำลังหนาวจัดเริ่มเข้า ข้าพเจ้าก็ขอนิสัยกับพระอาจารย์มหา ท่านให้โอกาสสั่งสอนประทับใจว่า

‘เออ เดี๋ยวนี้เราออกมาวิเวกไกลจากครูบาอาจารย์ เราทำความเพียรขนาดอยู่วัด มันก็ไม่สมกับคำที่ว่ามาวิเวก เพราะการอยู่วัดก็เป็นธรรมดาของคนมาก ก็ต้องมีงานจุก ๆ จิก ๆ อันนั้นบ้าง อันนี้บ้าง


นี้สองคนเท่านี้ต้องตัดข้อวัตรให้น้อยลง เพื่อให้มีเวลาภาวนาติดต่อไม่ขาดวรรคไม่ขาดตอน ส่วนน้ำล้างบาตรและน้ำที่ผมจะสรงนั้น ให้คุณคอนมาไว้ที่ไหให้เต็ม ส่วนน้ำดื่มน้ำฉันนั้น ขอให้คุณไปตักมาไว้ใส่กาใส่ตุ่มให้เรียบร้อย ส่วนล้างบาตรนั้น โยมเขาตามมาล้างเอง แล้วผมเช็ดใส่ถลกเอง คุณจึงเอาไปผึ่งแล้วเก็บไว้ให้เรียบร้อย สรงน้ำก็ดี ปัดที่อยู่ปูที่นอนก็ดี ผมทำเอง ที่พักเราก็อยู่ไกลกันพอควรแล้ว คือกุฏิมุงหญ้า กั้นใบไม้ตองกุง ปูฟาก แคบ ๆ พอดีมุ้ง มอดเจาะมอดไชทั้งฟากและใบตองกั้น และขอให้คุณตั้งใจทำความเพียรนะ ไม่จำเป็นอย่าพูดกับผมนะ และอย่าเข้าใจว่าผมรังเกียจ ไปบิณฑบาต ผมไม่ให้ท่านรับดอก เพราะท่านสามสี่วันก็จับไข้ มันเป็นเรื้อรังมาแต่กลางพรรษา’

แล้วก็พักอยู่นั้นเกือบเดือน น้ำใช้น้ำฉันไปตักเอาที่ห้วย เขาทดไว้ไกลจากวัดประมาณ ๓ เส้น ข้าพเจ้าไปคอนมาไว้แต่ตี ๔ ตอนกลางคืนงมมืดไป ไม่ได้จุดไฟเลยเพราะโคมไฟไม่มี

ลัก...ยิ้ม 25-06-2013 10:36

ท่านพาทำความเพียรไม่หยุดหย่อน ไม่มีกลางวันกลางคืน แต่ข้าพเจ้ามักจับไข้ตอนเที่ยงหรือบ่ายโมง หนึ่งชั่วโมงก็สร่าง แต่ปวดหัวอยู่มับ ๆ แต่ฉันได้ ไปได้ ไม่เพลียนัก ๒ - ๓ วันครั้งหนึ่ง แต่ตอนกลางคืนไม่ค่อยไข้

วันหนึ่ง พระอาจารย์มหาเอายาควินินเคลือบน้ำตาลให้ฉัน ก็เลยฉัน ๖ เม็ดทีเดียว หูดับอยู่ทั้งวัน เลยไม่ฉันอาหาร ปล่อยให้ยาออกฤทธิ์คุ้มได้ ๑๕ วัน.. ไข้อีกอยู่อย่างนั้น แต่ตักน้ำกวาดลานวัดอยู่ พาไข้เดินจงกรมอีก ไข้แบบนั้นก็มี (เป็น) ไข้รากสาด มุทะลุแบบนี้ก็คงจะตายกัน

ครั้นพักทำความเพียรอยู่นั้นประมาณเกือบเดือน พระอาจารย์มหาพาย้ายเข้าไปในดง ไกลจากที่พักเดิมประมาณ ๑๓ เส้น ส่วนน้ำนั้นมาตักเอาที่เก่า ไปบิณฑบาตบ้านพระคำภูตามเดิม เขามาทำร้านให้ ปูไม้กลมเล็ก ๆ กว้างพอดีกลด ไกลจากพระอาจารย์มหาประมาณ ๒ เส้น แต่กรรมบันดาลอีก เขาเอาไม้กลมเล็กมาปูต่างฟากให้นั้น มีไม้น้ำเกลี้ยงปนอยู่ ๒ - ๓ ท่อน พอพักได้ ๓ - ๔ วัน หน้าบวมขึ้นเห็นหน่วยตาลูกตาพอริบหรี่

พระอาจารย์มหาหัวเราะแล้วพูดว่า ‘ยิ่งขี้ร้าย ก็ยิ่งตื่ม (เพิ่ม) ตดเหม็น’

แล้วองค์ท่านไปตรวจดูร้าน ก็เห็นไม้น้ำเกลี้ยง ๒ - ๓ ท่อน เขาเอามาลาดปูนอนให้ปนกับไม้อื่นอยู่ จึงคุมให้โยมถอดทิ้งเอาใหม่แทน เมื่อพิจารณาแล้วเขาไม่ได้แกล้งทำ เพราะเป็นเวลาใบไม้ร่วง เขาไม่รู้จักว่าไม้อะไร เห็นเกลี้ยงกลมแล้วก็เอากัน ทั้งทำด่วนด้วย ไม่ได้กั้นไม่ได้มุงอะไรหรอก เช้ามามุ้งก็เปียก กลดก็เปียกตากกับที่เลย นี้การเที่ยวในสงสารแห่งชาติ ๆ ภพ ๆ มันเป็นอย่างนี้...”

หมายเหตุจากผู้ตรวจการณ์ : ไม้น้ำเกลี้ยง คือ ไม้รักเขา หรือ ต้นรักที่เอายางมาทาเพื่อปิดทอง ยางรักเป็นอันตรายมาก ถ้าโดนเข้าโดยตรงถึงกับกัดเนื้อแหว่งทีเดียว

ลัก...ยิ้ม 04-07-2013 11:39

หลวงปู่หล้าพักปฏิบัติอยู่กับองค์หลวงตาได้ประมาณ ๒ เดือนแล้ว การจับไข้ก็ยังกลับคืนมา ไม่พอจะหายขาดแท้ เมื่อเป็นดังนี้ จึงจำเป็นต้องลาไปปฏิบัติคนละแห่ง องค์หลวงตาก็เห็นดีด้วยทั้งหัวเราะทั้งพูดว่า

“ให้ออกไปทุ่งทางสกลนคร ให้ไปกางกลดกางมุ้งอยู่กลางทุ่ง เดินจงกรมภาวนาตากแดดอยู่ ชะรอยธาตุขันธ์มันจะชอบอากาศโปร่ง”


ถึงจุดนี้ หลวงปู่หล้าได้กล่าวถึงความลึกซึ้งขององค์หลวงตา ตั้งแต่ครั้งยังศึกษาอยู่กับหลวงปู่มั่นนั้น แม้เพียงคำปรารภก็เป็นคติแก่ผู้ฟัง ดังนี้

“...ดูคำเทศน์ขององค์ท่าน (พระอาจารย์มหาในครั้งนั้น) ขันมาก เป็นคติไปแบบลึก ๆ ชวนให้หวนคิดพิจารณาจับใจ จึงได้จำไว้ไม่ลืมเลย เพราะธรรมดาองค์ท่านปรารภอะไรเป็นอุบายให้ผู้ฟังมีคติทั้งนั้น ไม่ใช่พูดแบบคติโลกล้วน ๆ มีลีลานัยอยู่ในตัว (เช่น)


แบบหยิกแกมหยอกแบบนี้ ถ้าผู้ฟังล้อเข้าไปแบบเลียปาก จะถูกศอกกลับหลัง เข่าพร้อมนับสิบไม่ลุก

แบบบรรจงตรงไปตรงมานี้ก็แบบหนึ่ง แบบนี้จะฝืนกระเบียดหนึ่งไม่ได้ เพราะได้ทุ่มเทแบบบรรจงแล้ว

แบบขู่ทำท่าทำทาง แบบนี้ต้องนิ่งฟังโดยเคารพ จะอุทธรณ์หรือพูดแก้ตัวในขณะนั้นไม่ได้ ต้องแก้ความประพฤติของตัวลับหลัง ท่านหากสังเกตเองว่า ท่านเทศน์เผ็ด ๆ ร้อน ๆ แล้วมันได้ผลไหม ท่านต้องสังเกตอยู่หลายวัน แต่ผู้ใดโง่ก็เข้าใจว่าท่านไม่สังเกต

แบบปลอบโยนนิ่มนวล แบบนี้มี ๒ นัย นัยหนึ่งหมดหวังหมดวิชาแล้ว ถ้าไม่นิ่มนวลไว้มันจะเพ่งโทษมาก มันจะเป็นบาป แต่ตัดทิ้ง ไม่ยอมสอนอีกต่อไป นิ่มนวลแบบหนึ่งยังจะสอนต่อไปอีกอยู่

แบบทำกิริยาขึงอยู่เป็นนิจ แบบนี้เราต้องทำท่าไม่สนใจว่าท่านขึงใส่เรา เราทำดีเรื่อยไป หากแก้ตกอยู่ในตัว

แบบหนึ่งวางเฉยไม่พูดด้วย แต่ไม่ขึงไม่บึ้ง แบบนี้เราแก้เราไปก็หาย

ลัก...ยิ้ม 09-07-2013 17:21

ผู้เขียนได้ยินกับหูที่หลวงปู่มั่นเทศน์ว่า “ลูกศิษย์ร้อยคนก็ต้องใช้อุบายร้อยนัย เพราะนิสัยต่างกัน...

เหตุการณ์ต่อจากนั้น เมื่อได้เวลาท่านทั้งสองจะแยกย้ายไปวิเวกคนละแห่งแล้ว พอบิณฑบาตฉันเสร็จแล้ว องค์หลวงตาก็เขียนจดหมายฝากหลวงปู่หล้าพร้อมกับจ่าหน้าซองว่า “ส่งท่านมหาผ่าน บ้านโพนงาม วัดปริยัติธรรม” มีเนื้อความในจดหมายว่า

ท่านมหาผ่านที่นับถือ

พระองค์ที่ถวายจดหมายนี้ ออกจากสำนักหลวงปู่มั่นมาวิเวก ต้องการพักวิเวกอยู่ในเขตบ้านนี้บ้างตามสมัยเท่าที่จะเป็นไปได้ และก็มิหวังจะกลับเข้าสำนักเดิมแห่งหลวงปู่มั่นอยู่ ฉะนั้น จงกรุณาให้โยมทำที่พักให้ ช่วยเท่าที่เห็นสมควรว่าแห่งใดจะวิเวกพอ

ขอแสดงมาด้วยความนับถือ

บัว ป.

เมื่อรับจดหมายจากองค์หลวงตาแล้ว หลวงปู่หล้าก็กราบลาออกเดินทางต่อไป หลวงปู่หล้าเล่าถึงเหตุการณ์ในตอนนี้อีกว่า

“...ตอนจะออกจากพระอาจารย์มหาบัว ได้กราบวิงวอนองค์ท่านว่า


‘เมื่อพระอาจารย์กลับถึงหลวงปู่มั่นก่อนกระผม กรุณากราบเรียนหลวงปู่ว่า คุณหล้าได้ลาเกล้าฯ ไปที่อื่น ด้วยเกรงใจเกล้าฯ เพราะ ๔-๕ วันจับไข้ อีกอันหนึ่งจะลองดีตนว่า จะกล้าเป็นกล้าตายต่อพระศาสนาเพียงไรดังนี้ หรือพระอาจารย์เห็นดีอันใดเหมาะสมตามเป็นจริง ก็แล้วแต่จะกรุณากราบเรียนเทอญ’

พระอาจารย์มหาย้อนถามคืนว่า ‘คุณเห็นประโยชน์ 'ยังไง' จึงให้ผมกราบเรียนหลวงปู่มั่นอย่างนั้น’

เรียนพระอาจารย์มหาว่า ‘เพราะเกรงหลวงปู่จะเขกว่า คุณหล้าไปวิเวกกับคุณมหา แล้วแตกหนีจากคุณมหาเพราะไม่ลงคุณมหา.. ทิฐิมากเหลือเกิน เราจะไม่ให้คุณหล้าอยู่กับเราอีกต่อไปด้วย ดังนี้ก็อาจเป็นได้ครับ’

พระอาจารย์ยิ้มแล้วพูดว่า ‘เออ คุณพูดมีเหตุผลดี ผมจะกราบเรียนหลวงปู่ตามคำสัตย์ของคุณนั้นเอง’...”

ลัก...ยิ้ม 17-07-2013 12:06

ลัดหมา

“...ท่านสมเป็นเพื่อนฝูงกันกับเรา นิสัยตรงไปตรงมา เคยกันมาตั้งแต่สมัยเป็นฆราวาส พอบวชมาก็ยังเคยกันอยู่ สนิทกันมาก องค์นี้แหละ.. องค์ที่เคยขู่เรา ... ท่านสมขู่เราจริง ๆ นะ คือทางจงกรม ท่านสมอยู่ทางนั้น ออกมาหาเรานี้ มันตรงแน่วนะ เราอยู่ที่นี่ ท่านสมอยู่ดูจะห่างขนาดนั้นละ ขนาดโรงไฟนั้นละ ทางนี้มันตรงแน่วกว้าง ๆ เราก็อยู่ทางนี้

ทีนี้ หมามันมาเที่ยวเพ่นพ่านกำลังค่ำมืด แถวนั้นก็มีเสือ แต่เราไม่คำนึงถึงเสือยิ่งกว่าการเล่นกับหมาเท่านั้น พอเห็นหมามาจุ้นจ้านค่ำ ๆ กำลังจะมืด ‘เอ๊ะ มันมา ยังไง มันมาเที่ยว ?’

เราไปก็ด้อม ๆ ไปจับพุ่มไม้ หมามันอยู่ทางนี้ เราไปหัวจงกรมนี้ จับพุ่มไม้เขย่านี้ หมามันก็วิ่ง ‘สม ๆ ๆ ลัด ๆ***

ท่านสมก็โดดออกมายืนจังก้าอยู่นั่น ‘ลัดอะไร ๆ’

หมามันก็วิ่งปั๊บ ๆ ๆ ไป วิ่งลอดรักแร้ท่านไป ท่านไม่สนใจกับหมา ยังเถ่ออยู่ เลยไม่ได้ดูหมา ว่าลัดอะไร ๆ ยืนเถ่ออ้าปากอยู่... หมามันก็วิ่งผ่านไปแล้วเราก็ยืนเฉย พอระลึกได้ว่า คงบอกให้ลัดหมาตัวนี้เลยว่า
‘หือ.. ลัดหมาตัวนี้นะเหรอ ?’


เราก็เฉย ท่านเลยว่า ‘อะไร ๆ ก็ไม่มีที่ต้องติท่านอาจารย์ แต่กับหมาไม่ทราบเป็น ยังไง การประพฤติปฏิบัตินี้หาที่ต้องติไม่ได้เลย แต่กับหมาไม่ทราบว่าเป็น ยังไง ท่านอาจารย์นี่’

ดุเรานะ ปุ๊บเข้าโน่นเลย เราก็เฉย ... ปุ๊บเข้าไปเลย คือโมโหให้เรา แต่เราก็เฉย.. เราไม่ได้โมโห ก็เราเป็นอย่างนั้นจริง ๆ นี่ พอตื่นเช้าขึ้นมาทำท่าลักษณะจะขู่เรานะ มีลักษณะยิ้ม ๆ เราก็เฉย ไปบิณฑบาตคนละบ้าน

ตอนนั้นเราเที่ยวลงมา มาพักที่นั่น เป็นร้านเก่าเขา เราก็มาพักที่นี่ ท่านก็พักที่นั่น ลงมาจากภูเขาว่าจะไปหนองผือนั่นแหละ หากยังไม่ได้ไป....

คงจะโมโหให้เรา เราเฉยไม่สนใจ ก็เรากับหมาเป็นเรื่องของเรา ท่านสมเป็นบ้าก็เป็นเรื่องของท่านสมซิ เราไม่ได้เป็นบ้ากับคน เราเป็นบ้ากับหมาต่างหาก ตอนเช้าบิณฑบาตกลับมา.. ดูลักษณะเหมือนจะขู่แล้วมียิ้ม ๆ นิดหนึ่ง เราก็รู้..หมานั่นแหละ นึกในใจ.. ขู่เรานะ เราก็เฉยอีกเหมือนกัน ก็เราเป็นอย่างนั้นจริง ๆ จะให้ ‘ว่าไง’ ท่านว่าก็ถูกของท่าน ขบขันดี...


*** หมายเหตุ : แปลว่า ดัก , ขวาง หรือ สกัด

ลัก...ยิ้ม 23-07-2013 12:24

ชีวิตพระกรรมฐาน

การหาสถานที่เที่ยวกรรมฐานของท่าน มักจะเสาะหาที่วิเวกที่ไม่ไกลจากหลวงปู่มั่นเท่าใดนัก เพื่อเข้าถึงได้เร็วหากมีปัญหาเกิดขึ้นจากการภาวนา การเที่ยวจึงอยู่ในแบบเทือกเขาภูพานเป็นส่วนมาก ดังนี้

“ภูพานนี้เที่ยวแหลกหมด ภูพานระหว่างสกลนครไปถึงกาฬสินธุ์ ภูเขาลูกนี้เราเที่ยวมากที่สุด เพราะพ่อแม่ครูอาจารย์อยู่ทางพรรณานิคม เราก็เที่ยวแถวนั้น อยู่สกลนคร บ้านโคกนามน เราก็เที่ยวแถวนั้น แล้วท่านมาอยู่ทางพรรณานี่ก็เที่ยว เที่ยวตลอดไปหมดเลย เที่ยวป่าเที่ยวเขา เรียกว่ารู้จักภูเขาลูกนี้ไปทั้งนั้นละเรา”


หากกล่าวถึงความทุกข์ ที่ท่านและพระกรรมฐานผู้มุ่งธรรมต้องประสบเสมออย่างหนึ่งก็คือ ทุกข์จากฤดูกาล โดยเฉพาะอากาศในหน้าหนาวทางอีสานนั้น แทบจะนอนไม่ได้เลยทีเดียว ดังนี้

“... อากาศหนาวจริง ๆ เวลาออกวิเวก เพราะไม่นำผ้าห่มติดไปด้วย ใช้แค่จีวรกับผ้าสังฆาฏิพับครึ่งแล้วห่มพอกันหนาวได้บ้าง แต่ถ้าคืนไหนหนาวมากจริง ๆ คืนนั้นนอนไม่ได้เลย ต้องลุกขึ้นนั่งสมาธิภาวนาสู้เอา ตามหน้าตามตา แขน ขา รวมถึงริมฝีปากเหล่านี้.. แตกหมด ตกกระหมด


การอาบน้ำ ต้องรีบอาบตอนกลางวันหลังปัดกวาดใบไม้แล้ว อาบในคลองบ้าง ตามซอกหินซอกผาบ้าง หรือในห้วยในคลอง ที่ไหนพออาบได้ก็อาบ ถ้ากะเวลาก็ประมาณบ่าย ๓ โมง เพราะอาบค่ำนักไม่ได้ อากาศหนาวมากจริง ๆ น้ำก็เย็นมาก ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นยังหนุ่มน้อยอยู่ แต่มันก็ยังหนาวถึงขนาดนั้น...”

สำหรับเรื่องกุฏิที่พักนั้น ท่านให้ชาวบ้านทำเพียงวันเดียวก็เสร็จแล้ว พอใช้หลบแดดหลบฝน ป้องกันชื้นหรือร้อนหนาวได้ก็เพียงพอแล้ว ลักษณะก็ทำเหมือนปะรำโดยเอาใบไม้มาวางทำเป็นร้าน เอาใบไม้วางข้างบน แล้วเอากลดแขวนข้างล่าง ท่านเคยเล่าถึงความหนาวเหน็บในระหว่างการวิเวกในป่าว่า

“...ช่วงหน้าหนาว แม้ว่าทำถึงอย่างนั้นก็ตาม.. น้ำค้างยังคงพัดปลิวเข้ามาถึงได้ เปียกเหมือนกับเราซักผ้านั่นแล เปียกทุกคืนทุกเช้า ดังนั้น พอฉันเช้าเสร็จถึงได้เอาออกไปตากแดด ถ้าตากเช้าไปแดดก็ยังไม่มี ต้องทิ้งไว้นั้นก่อน กางทิ้งไว้อย่างนั้น


พอฉันเสร็จแล้วก็เอามุ้งออกไปตากที่แดด แม้ตากอย่างนั้นทุกวัน ๆ มันก็ยังขึ้นราได้ เป็นจุดดำ ๆ ของรา มันเหมือนกับลายเสือดาวนั่นแหละ ทั้ง ๆ ที่มุ้งสะอาดอยู่ก็ขึ้นรา เนื่องจากมันไม่ได้แห้งตามเวล่ำเวลาของมัน...”

ลัก...ยิ้ม 29-07-2013 12:13

สำหรับบริเวณใกล้เคียงที่พักนั้น จะมีทางจงกรมหลายสายอยู่ใต้ร่มไม้เพื่อเดินในเวลากลางวัน เพราะช่วงเช้าสายหรือเที่ยงบ่ายนั้น ต้นไม้จะให้แนวร่มต่างกันไป จึงต้องมีทางจงกรมไว้หลาย ๆ สาย สายไหนร่มในช่วงใดก็เดินจงกรมช่วงเวลานั้น

ส่วนในบางที่เป็นที่โล่ง ๆ แจ้ง ๆ ที่ไม่มีต้นไม้ มักใช้เป็นทางจงกรมไว้เดินตอนกลางคืน เผื่อว่าหากมีงู แมงป่อง หรือสัตว์มีพิษอื่น ๆ ผ่านมา ก็จะพอมองเห็นได้เป็นเงาดำ ๆ ท่านไม่ได้จุดไฟตอนเดินจงกรม เพราะในช่วงออกวิเวกนั้น ท่านพกเทียนไขไปนิดหน่อยเท่านั้น หากไม่จำเป็นที่จะต้องจุดจริง ๆ ท่านก็จะไม่จุด

เรื่องยารักษาโรค ท่านว่าไม่ต้องพูดถึง เพราะไม่เคยได้พกไปด้วยเลย ถึงแม้จะเจ็บไข้ได้ป่วย หรือเจ็บท้องปวดศีรษะก็ตาม ท่านมีแต่ใช้การทำภาวนาเท่านั้นเป็นยา เป็นธรรมโอสถอันเลิศ และแท้ที่จริงแล้วในยามปกติ ตอนที่อยู่ในวัดยังไม่ได้ออกวิเวก หากไม่จำเป็นจริง ๆ แล้วท่านก็ไม่นิยมใช้ยาใด ๆ ทั้งสิ้น ท่านเคยอธิบายเหตุผลว่า

เราไม่ปฏิเสธเรื่องยา แต่สำหรับเรื่องความกังวลจนเกินเหตุเกินผลของสมณะนั้น ผิดทางของพระพุทธเจ้า ผิดทางของผู้จะฆ่ากิเลส ผิดทางของผู้เรียนเพื่อรู้สัจธรรม


เรื่องหยูกยาก็ให้นำมารักษากันไปได้อยู่ แต่ไม่ให้หลงจนเกิดความกังวล อันเป็นเรื่องของกิเลส ท่านไม่ได้มารักมาสงวนชีวิตจิตใจยิ่งกว่าธรรม”

ลัก...ยิ้ม 09-08-2013 14:42

ท่านเล่าถึงบรรยากาศและสภาพความเป็นอยู่ระหว่างออกเที่ยวกรรมฐาน ดังนี้

“... เราออกเที่ยวกรรมฐานไม่เคยเว้นแต่ละปี พอออกพรรษาแล้วก็ออกไปเที่ยวอยู่ตามป่าเสียก่อน ระยะเดือนมกราคม – กุมภาพันธ์ ไม่ต้องแสวงหาที่มุงที่บังอยู่ตามเชิงเขา เพราะอากาศยังไม่ร้อน เที่ยวอยู่ตามร่มไม้


ถ้าเข้าหน้าร้อน เดือนมีนาคมจะก้าวถึงเดือนเมษายน ขึ้นเขาขึ้นถ้ำ ในถ้ำอากาศเย็น

บางทีเสือมากัดควายอยู่ข้าง ๆ มุ้งก็มีเสียงควายร้องเอิ้กอ๊าก ๆ เราก็เผิงผางออกไปจากมุ้ง ดูว่ามันมาทำอะไรกันอยู่ เสียงเราดังลั่นขึ้น มันก็เลยเงียบไป ลำน้ำอูนทางที่จะต่อเข้าไปหนองผือเป็นดง ฟังเสียงควายร้องข้าง ๆ ริมลำน้ำอูน เสือก็อยู่ทางนี้ ควายก็หากินอยู่ทางนี้ บ้านเขาอยู่ทางนั้น แล้วเราอยู่ฝั่งนี้ คือมันกัดกันใกล้บ้าน

กลางคืนพอฝนกระหน่ำลงมา เสือโคร่งเข้ามากัดควาย เราก็ร้องเวิ้กว้ากขึ้น ทีนี้ลูกควายมันวิ่งเข้าในบ้าน แม่มันถูกเสือกัด แล้วก็ตะเกียกตะกายลงไปริมน้ำอูน ไอ้เสือตัวนี้ก็ไม่กล้าจะตามลงไป

เจ้าของเขาเห็นท่าไม่ดี อ้าว!.. ลูกควายตัวนี้มันมา ‘ยังไง’ ไม่ใช่เสือกัดแม่มันหรือ ? เขาเลยรีบออกมา ออกมาก็พอดีมาเห็นเสือกัดอยู่ข้างนอกนี้ เขาก็เลยมาก่อไฟให้มัน ป้องกันไม่ให้เสือมากัดซ้ำอีก เพราะถ้าไม่มีไฟ เสือมันอาจมา ถ้ามีไฟก็แสดงถึงเครื่องหมายของคน มันก็ไม่มา

ลัก...ยิ้ม 21-08-2013 09:20

เราอยู่ลำน้ำอูนฝั่งนี้ เสืออยู่ฝั่งโน้น เขาก่อไฟไว้ฝั่งโน้น เราไปพักอยู่บนยอดอูน จริง ๆ อยู่ภูเขาโน้น แม่น้ำอูนไหลออกไป เราไปอยู่ภูเขาเราก็ได้อาศัยน้ำทางน้ำอูน พอบ่ายสามโมงลงมาจากภูเขา มีกระบอกไม้ไผ่กับกาน้ำ กระบอกไม้ไผ่ใส่น้ำเขาเรียก “บั้งทิง”

กาน้ำก็กาไม่ใหญ่ แล้วกระบอกไม้ไผ่ก็ปล้องเดียว สะพายกระบอกน้ำ พอขึ้นไปถึงบนเขาก็ไปอาบเหงื่อเจ้าของนั่นแหละ ลงมาก็ไปอาบน้ำ.. ขึ้นไปก็อาบเหงื่อวันละหน ที่ไปอยู่นั้นเพราะทำเลภาวนาดี แต่น้ำสำคัญมาก ไปอยู่ที่ไหนก็ตามถ้าขาดน้ำอยู่ไม่ได้นะ สถานทำเลถึงจะดีขนาดไหนก็ตาม ถ้าไม่มีน้ำอยู่ไม่ได้ ตอนบ่ายลงไปอาบน้ำ แล้วสะพายกระบอกน้ำกับกาพอดีกับวันหนึ่ง ๆ

ไปอยู่ในที่เช่นนั้น จะว่าได้ชมนิสัยวาสนาบ้างก็น่าจะได้ชม ทุกข์ลำบากลำบนอยู่ในป่าในเขา ไม่มีผู้คน แทนที่จะมีความว้าเหว่กังวลเกี่ยวกับหมู่กับเพื่อน เงียบเลยนะ มีแต่สงัดกับธรรม ๆ นี่เราไปอยู่คนเดียว สงัดอยู่ด้วยธรรม ด้วยอารมณ์ของธรรม ไม่มีอารมณ์ของโลกมาเจือปนเลย มีแต่อารมณ์ของธรรม

กลางคืนเวลามันเงียบจริง ๆ อยู่บนหลังเขาสูง ๆ อากาศละเอียดมาก ร่างกายของเรามันอยู่ที่ละเอียด อากาศก็ละเอียดเหมือนกับว่าคลานเข้ามา มันซึมเข้ามาหาเรา

ลัก...ยิ้ม 29-08-2013 10:13

เวลาภาวนาเงียบ ๆ เริ่มเข้าที่ภาวนา ได้ยินเสียงหัวใจทำงานตุบตับ ๆ ๆ ได้ยินชัดมาก พอจิตเริ่มเข้าที่ หัวใจทำงานก็หายเงียบไป.. จากนั้นแล้วกายก็หายเงียบไปเลย ยังเหลือแต่ความเวิ้งว้างหมด ร่างกายจะหายไปตาม ๆ กัน คือจิตมันหมดกังวลสิ่งเหล่านี้ มีแต่ความละเอียดของจิต ความละเอียดของจิตหาจุดหาหมายไม่ได้ ร่างกายเป็นส่วนหยาบพอจิตเข้าสู่ตัวเองโดยเฉพาะแล้ว ร่างกายหายเงียบ.. จิตก็เข้าละเอียดสุดขีด ไม่เกี่ยวกับเรื่องร่างกาย

นั่งภาวนากลางคืนหนาว ๆ เข้าสมาธิได้แล้ว.. ความหนาวไม่มีความหมาย ความหนาวหายหมด จนกระทั่งจิตมันได้เวล่ำเวลาของมัน เคลื่อนไหวออกมา พอเคลื่อนไหวออกมามันก็รับสิ่งภายนอกดินฟ้าอากาศ.. เริ่มหนาวอีก พอเริ่มหนาวแล้วจะนอนหนาวมันก็หนาวของมัน เราก็เริ่มนอน นอนไม่หลับสู้หนาวไม่ได้ แล้วกลับมานั่งอีก พอเข้าไปนั้นอีกก็หายเงียบเลย.. แล้วทั้งคืนมันจะตายคนเรา มันไม่ได้เดินมีแต่นั่ง กลางวันต้องกำหนดเวล่ำเวลาเหมือนมีโปรแกรมเชียว กลางวันเดินจงกรมมาก ๆ ...

ประการหนึ่ง คือว่าเราไม่มีผ้าห่ม มีเพียงจีวร สังฆาฏิ สังฆาฏิก็พับครึ่ง จีวรก็พับครึ่งห่มแล้วก็ผ้าอาบน้ำผืนหนึ่งสำหรับเช็ดบาตร มีเพียงเท่านั้น ... เวลาธุดงค์ น้ำท่าก็ไม่มี เจอวัดไหนก็เข้าไปซักผ้า เสร็จแล้วก็ออกมา

จะว่าขวนขวายน้อยหรือไม่ขวนขวายน้อยก็มีเท่านั้น อย่างเป็นของเหลือเฟือขึ้นไปก็มุ้ง กาน้ำ กลด มุ้งกับกลดเวลากางออกแล้วก็เป็นอันเดียวกัน บาตร สังฆาฏิ อะไร ๆ ใส่ในบาตร ไม้ขีดไฟใส่ในบาตรมีเท่านั้น เสร็จแล้วพอดีสะพายเลย...”

ความทุกข์ยากในชีวิตพระธุดงค์ ไม่เพียงต้องเผชิญกับสภาพอากาศและสัตว์ร้ายในป่าเท่านั้น มีไม่น้อยที่ปัญหาเกิดขึ้นจากเพศบรรพชิตด้วยกัน ดังนี้

“พูดถึงกรรมฐานนี้ไปไหนถูกไล่ตลอด พวกเจ้าคณะนี่ละ..ที่ไล่กรรมฐาน แต่เราไม่เคยโดนเลย เอาคำว่ามหาออกหน้า อย่างดีก็เฉียด ๆ ดู ถ้ากล้าก็เข้ามาสิ.. ว่าอย่างนั้นเลย ลองได้ขึ้นเวทีแล้วต้องเอาให้ตกเวที จะเอาธรรมวินัยข้อไหนมาไล่..?”

ลัก...ยิ้ม 03-09-2013 09:03

เสือ : หมูป่า ต่อสู้ดุเดือด

ประสบการณ์ธุดงค์ทำให้เห็นการต่อสู้ระหว่างเสือกับหมูป่า ทั้งคู่นอนตายอยู่ในบริเวณใกล้ ๆ กัน สภาพหมูป่าตามตัวแหลกหมด ส่วนเสือก็พุงทะลุหมด ด้วยเหตุเพราะไปเจอกันอย่างจังในช่องเขาดังนี้

“... มันเป็นร่องลงมา ภูเขามันมีช่องลง ช่องแคบ ๆ นะ ทางโน้นเป็นหลังเขา ที่จากหลังเขามันก็เป็นช่องแคบลงมา ทีนี้พอดีไอ้หมูก็ขึ้นช่องนี้ หมูใหญ่นะ... มันเห็นกันชัด ๆ อย่างนั้นนะ ไอ้เสือก็ลงมาช่องนั้น พอดีมาพบกันตรงกลางนั้นเลย ฟัดกันเลย นั่นเห็นไหมล่ะ ตายทั้งสองนะ หมูตายอยู่กับที่ เสือเสือกคลานขึ้นไปตายข้างบน ตายทั้งสองเลย นั่นแหละอย่างนั้น กำลังวังชามันฟัดกัน นี่ไปถูกที่คับขันด้วยแล้ว ต่างคนต่างก็ไม่ถอยกัน สู้กันเลย


สุดท้ายก็ตายทั้งสองเลย หมูตายอยู่กับที่ ส่วนเสือตะเกียกตะกายขึ้นไปนั้นก็ตายอยู่ที่นั่น พุงทะลุหมดเลย ลำไส้นี่ปลิวออกมาทะลุหมด ส่วนหมูก็ตามเนื้อตามตัวแหลกหมด เสือกัด ไอ้เสือก็พุงทะลุหมด หมูดัน.. มันทำอย่างนี้นะ หมูมันทำอย่างนี้ สมมุติว่ามันดันอย่างนี้ ไม่ใช่ตกง่าย ๆ นะ มันขวิด ขวิดตลอดเลยนะ นี่ก็ตาย อย่างนั้นแหละ มันไม่ถอยกันง่าย ๆ

ที่เสือกัดมันได้เฉพาะเวลามันเผลอ ถ้าเป็นหมูใหญ่หมูโทนอย่างนั้น เวลามันผ่านไปผ่านมาเราถึงฟังเสียงรู้ หมูนี้รู้สึกว่าไม่ขยาดครั่นคร้ามต่ออะไร เสียงดังโครมคราม โครมคราม โครมครามมา ไม่ได้เก็บเสียงนะ พวกหมูป่าเป็นฝูง ก็มีเสียงดังเหมือนกัน...”

ลัก...ยิ้ม 06-09-2013 13:09

อาหารป่า

ด้วยความมุ่งมั่นที่จะพ้นจากทุกข์ให้ได้ ทำให้ท่านไม่เห็นแก่การกินการนอนยิ่งกว่าการทำความเพียร เพื่อรบกับกิเลสภายในจิตใจ จริตนิสัยของท่านในเรื่องภาวนาถูกกับการอดอาหาร เพราะทำให้ธาตุขันธ์ร่างกายเบาสบาย การตั้งสติทำสมาธิภาวนาก็ง่าย สติปัญญาในการแก้กิเลสมีความคล่องตัวกว่าการขบการฉันที่สมบูรณ์ ท่านจึงอดอาหารอยู่เป็นประจำจนร่างกายผ่ายผอม บ่อยครั้งในเวลาเดินบิณฑบาตหรือเดินจงกรมแทบจะก้าวขาไม่ออก แต่ผลการภาวนานั้นกลับเจริญขึ้น ๆ ท่านเคยพูดถึงสภาพจิตใจในระยะนั้นว่า

“จิตใจยิ่งเด่นเหมือนจะเหาะเหินเดินฟ้า ถ้าได้รับอาหารการกินดี มันก็มีแต่อยากนอน มันมีแต่ขี้เกียจขี้คร้าน การตั้งสติก็ยาก การพินิจพิจารณาทางด้านปัญญาก็ยาก...”

ลัก...ยิ้ม 13-09-2013 09:29

สมัยปัจจุบัน หากท่านเห็นอาหารประเภทที่เคยขบฉันในสมัยหนุ่ม ซึ่งเคยต่อสู้กับกิเลสแบบสมบุกสมบันชนิดรอดเป็นรอดตายมา อาหารนั้น ๆ ก็ยังทำให้สะดุดกึ๊กในใจทุกทีไปเมื่อเห็นเข้า ด้วยรำลึกบุญรำลึกคุณนั่นเอง ดังคำกล่าวของท่านกับพระเณรว่า

“... พวกหน่อไม้ พวกผักอะไร ผักกระโดนกระเดน ผักเครื่องของป่านั่นแหละ มันสะดุด ๆ นะ มันเหมือนกับว่าเป็นคู่มิตรคู่สหาย คู่พึ่งเป็นพึ่งตายกันมาแต่ก่อน มันเป็น มันไม่ได้ชินนี่ ทุกวันนี้ก็ไม่ชิน ผักอะไร เขาเรียกโหระพาระเพอ อะไรหอม ๆ นั่น นั่นก็มีอยู่บนเขานะ มีอยู่ตามน้ำซับน้ำครำ พวกนี้มีแต่มันเป็นเถาวัลย์ มันไม่ใช่เป็นต้นนะ คือมันเป็นเถาเกิดอยู่ตามน้ำซับน้ำครำ... พระกรรมฐานไปอยู่ที่ไหนต้องมีน้ำ ไม่มีไม่ได้ แล้วก็ผักมันมีหลายชนิด


ผักชนิดต่าง ๆ มีเยอะนะในป่า องค์หนึ่งรู้อย่างหนึ่ง นั่นแหละที่ได้กินผักหลายต่อหลายชนิด ก็เพราะองค์หนึ่งรู้อย่างหนึ่ง ๆ เวลาเอามากินน่ะ เคยพบกับเพื่อนกับฝูงหลายจังหวัดต่อหลายจังหวัดนี่นะ องค์นั้นชำนาญกินผักอันนั้น องค์นี้ชำนาญผักอันนั้น ๆ ... หลายองค์ต่อหลายองค์พบกันหลายครั้งหลายหน มันก็จำได้ซิ มันก็กว้างขวางไปเอง...

ลัก...ยิ้ม 18-09-2013 09:07

บ้านไหนคนนับถือมาก ๆ ยุ่งมาก อาหารการบริโภคมาก เขากวน..ไม่ได้ภาวนา ก็เราหาภาวนาอย่างเดียวนี่ เพราะฉะนั้น ที่เห็นว่าเป็นความสะดวกในการภาวนา เราจึงชอบที่นั่น ก็ที่คนไม่ยุ่งนั่นเอง เมื่อคนไม่ยุ่ง อาหารก็ไม่ค่อยมีแหละ

และนอกจากนั้น ยังไปหาบ้านเล็ก ๆ น้อย ๆ ๓ - ๔ หลังคาเรือนบ้าง ๙ หลัง ๑๐ หลังคาเรือนบ้างก็อยู่อย่างนั้น ถ้าเราไม่ฉันกี่วันนี้ก็ไม่ได้พบคนละ พบแต่เราคนเดียวนี่ เขาก็ไม่มา มาหากันอะไร เขาก็ไม่ใช่เป็นคนยุ่งกับพระด้วย เราก็ไปหาที่เช่นนั้นด้วย ก็อยู่สบาย...”

ลัก...ยิ้ม 02-10-2013 10:21

กินแบบนักโทษ

ท่านเข้มงวดจริงจังมากกับการควบคุมเรื่องอาหารการขบฉัน เพื่อมิให้มาเป็นโทษ หรือเป็นพิษเป็นภัยต่อการภาวนา ถึงแม้จะทุกข์ยากเพียงใดท่านก็พยายามอดทน ดังนี้

“... ข้าวไม่กินภาวนาก็ยิ่งดี หลายวันกินทีหนึ่ง หลาย ๆ วันถึงกินทีหนึ่ง สมาธิก็แน่ว พอทางขั้นปัญญานี้ก็เหมือนกัน ปัญญาก็คล่องตัวถ้าอดอาหารนะ มันช่วยกันจริง ๆ นี่หมายถึงผมเอง จะว่านิสัยหยาบอะไรก็แล้วแต่เถอะ ... ถ้าฉันอิ่ม ๆ แล้ว โอ้โห .. ขี้เกียจมาก นอนก็เก่ง ราคะตัณหาก็มักเกิด ได้ระวังอันนี้ให้มากนะ


คือธาตุขันธ์เวลามันคึกคะนองมันเป็นของมันนะ เราไม่ได้ไปคึกคะนองกับมัน ไม่ได้ไปสนใจยินดีไยดีกับมันก็ตามนะ แต่เรื่อธาตุเรื่องขันธ์เป็นเครื่องเสริม มันแสดงออกมาเราก็รู้ อย่างอาหารดี ๆ ตามสมมุตินิยมนี้ด้วยแล้ว พวกผัด ๆ มัน ๆ โห..เก่งมากนะ ต้องระวัง..ผมไม่ได้กินแหละ ถึงจะไปในเมืองที่ไหนจำเป็นก็กินนิด ๆ ระวังขนาดนั้นนะ

ลัก...ยิ้ม 03-10-2013 12:59

อาหารสัปปายะ.. อาหารเป็นที่สบาย ในธรรมที่ท่านสอนไว้ว่า ที่สบายในการภาวนาต่างหาก นี่.. ไม่ได้สบายเพื่อราคะตัณหา เกี่ยวกับธาตุขันธ์นี่นะ... กินแล้วธาตุขันธ์ก็ไม่กำเริบ การภาวนาก็สะดวกสบาย... ท่านหมายเอาอย่างนั้นต่างหาก จึงต้องได้ระมัดระวัง โอ๊ย..กินแบบนักโทษนั่นแหละ พูดง่าย ๆ ...จะเห็นแก่ลิ้นแก่ปากไม่ได้นะ มันต้องมองดูธรรมอยู่ตลอดเวลา อยากขนาดไหนก็ไม่เอา ถ้าเห็นว่ามันเป็นข้าศึกต่อธรรมแล้ว ต้องได้บังคับกันอยู่ตลอด...

นี่ พูดถึงเวลาฝึกทรมานเจ้าของ อาหารจะต้องมี แต่อาหารอย่างว่าละ เช่น ข้าวเปล่า ๆ ไม่ต้องพูดละ..ว่าจนชิน เรื่องฉันข้าวเปล่า ๆ อยู่ในป่าในเขา บางทีถ้าสมมุติว่า เขาตำน้ำพริกมาให้ เขาก็ใส่ปลาร้าเสีย ปลาร้าก็เป็นปลาร้าดิบ อย่างนี้มันก็ฉันไม่ได้..เสีย.. จะว่า ‘ยังไง’ เพราะไม่ได้มีใครตามมานี่ เขาจะตามมาอะไร เราก็ไม่ให้เขาตามนี่ เราไม่ต้องการยุ่ง บางทีเขาก็ตำน้ำพริกให้สักห่อหนึ่งมา น้ำพริกถ้ามีแต่พริกล้วน ๆ เราก็ฉันได้ แต่นี้มันมีปลาร้านั้น ปลาร้าดิบนี่ เขาไม่ใช่ทำปลาร้าสุก ๆ มันก็เลยกินไม่ได้ ...

การอยู่การกินใช้สอย ไม่ได้มีอะไรมาเป็นอุปสรรค พอได้ยังชีวิตให้เป็นไปวันหนึ่ง ๆ ไปบิณฑบาตในหมู่บ้านเขาอยู่ภูเขา ได้ข้าวเปล่า ๆ มาสองสามก้อน บ้านใหญ่ไม่อยู่ เพราะอาหารการกินสมบูรณ์.. ธรรมะจม ถ้าอาหารการกินบกพร่อง ๆ ธรรมะดีด ๆ เพราะเราไป... เราไปเพื่อธรรมะ เราไม่ได้ไปเพื่ออาหาร จึงต้องไปหาอยู่ที่ขาดแคลนกันดารในป่าในเขา เขาได้อะไรเขาก็ใส่ ส่วนมากมักจะมีแต่ข้าวเปล่า ๆ ได้กับก็กับอย่างว่าแหละ มีน้ำพริกบ้างอะไรบ้างนี้ดีหน่อย คือจิตมันไม่ได้อยู่กับอันนี้ อยู่กับมรรคผลนิพพาน ..

ลัก...ยิ้ม 08-10-2013 10:17

ฉันข้าวเปล่า ๆ มันฉันได้มากแค่ไหน ๒ - ๓ คำมันก็อิ่มแล้ว ... ทีนี้เดินจงกรมตัวปลิวเลย นั่งภาวนานี่เป็นหัวตอ ไม่มีโงกมีง่วง มันก็บ่งให้เห็นได้ชัด ๆ ว่า เพราะอาหารนั่นเอง มันทำให้โงกให้ง่วง ... ถ้ามีกับดี ๆ ก็ฉันได้มาก ฉันได้มากก็นอนมาก ขี้เกียจมากนะซี.. โงกง่วง นั่งสัปหงกงกงันไปละ ก็เคยเป็นอยู่แล้ว รู้อยู่ ไปอยู่อย่างนั้นมันไม่นี่ ฉันอาหารอย่างที่ว่านี่นะ ... เพราะฉะนั้นจึงอดบ้าง อิ่มบ้าง อยู่ไป ขอให้ใจได้สะดวกสบาย ...

นี่ละ.. เวลาหาธรรมเป็นอย่างนั้นแหละ มีแต่ความทุกข์ ความลำบากทั้งนั้น.. หาธรรม จะได้สะดวกสบายดูจะไม่ค่อยมีละ อยู่ในป่าในเขา บางทีก็ไปอาศัยเขา ๓ - ๔ หลังคาเรือน เขาอยู่ในเขา เขาไม่มีไร่มีนาทำ เขาก็หาของป่า อะไรเอาไปแลกทางชาวบ้านเขาขึ้นมากิน เราก็ไปพักกับเขา ก็ไปอย่างว่า.. มันไม่มีอะไรแหละ องค์เดียว สององค์ไป อาศัยกินเขาบ้าง ไม่กินก็ได้นี่ ก็เราเคยมาแล้ว

อยู่ในสกลนครนี่ละมากที่สุด เราเที่ยวแหลกเลย ภูเขาลูกนี้ไปหมด ตั้งแต่สกลนครถึงกาฬสินธุ์ ปีนี้เข้าทางนี้ ปีนั้นขึ้นทางนั้น ลงทางนั้น ขึ้นไปตลอดเลย ... เรื่องการอยู่การกินนี้ ความอดอยากขาดแคลนเป็นประจำล่ะ แต่เราไม่ได้ห่วงอันนี้มากยิ่งกว่าธรรม...”


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 23:22


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว