![]() |
ถาม : สำหรับผู้ที่เคยได้สมาธิขั้นต้นตั้งแต่ขณิกสมาธิขึ้นไป ยังมีโอกาสตกนรกอีกไหมครับ ?
ตอบ : ตก ๑๐๐ % ต่อให้ได้ฌาน ๔ แล้วก็มีโอกาสตกนรก ถ้าหากว่าไม่สามารถที่จะทรงอยู่ในสมาธินั้นในวาระก่อนที่จะตาย หรือว่าไม่ได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามศีลตามธรรม โลกียอภิญญานั้นจะเปรียบไปแล้วไม่ได้ห่างจากขอบนรกเลย พร้อมที่ลงได้ตลอดเวลา ยิ่งมีความสามารถสูงกว่าคนอื่นแล้วทะนงตน ใช้ความสามารถนั้นไปในทางที่ไม่ถูกต้อง ไม่สมควร ก็ยิ่งสั่งสมกรรมพาตนเองลงนรกได้ง่ายยิ่งขึ้น |
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีญาติโยมหลายคนถามปัญหาเรื่องการธุดงค์ในป่าคอนกรีต อยากจะบอกญาติโยมว่า การถามปัญหาอย่าใส่อคติเข้าไปด้วย ถ้าเราใส่อคติเข้าไปด้วยคำถามก็อาจจะผิดเพี้ยนและได้รับคำตอบที่ไม่ถูกต้อง เพราะอาตมาตอบตามที่ถาม ถามผิดก็ได้รับคำตอบผิดไปด้วย"
|
ถาม : การเกิดต้องเกิดเพราะกรรม ชาติแรกไม่มีกรรมแล้วเกิดขึ้นมาได้อย่างไรครับ ?
ตอบ : มี...จะใช้คำว่าเกิดเพราะความบังเอิญได้ไหม ? สมมติว่าไฮโดรเจน ๒ อะตอมบังเอิญมาชนกับออกซิเจน ๑ อะตอม จะเกิดเป็นน้ำ การเกิดของคนก็แบบนั้นแหละ ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ วิญญาณมารวมกันก็ยังไม่เป็นคน จะเป็นคนได้ต่อเมื่อมีธาตุรู้อีกตัวหนึ่งมาชนเข้าไปพอดี ถาม : แล้วคำว่าบาปแปลว่าอะไรครับ ? ตอบ : บาปแปลว่าความชั่ว เพราะฉะนั้น..ทำอะไรที่ชั่วก็บาปทั้งนั้นแหละ ถาม : ถ้ามีการกระทำที่ทำไปแล้ว คนอื่นทุกข์ใจแต่ว่าเราไม่ได้ตั้งใจ จะเป็นบาปหรือเปล่าครับ ? ตอบ : เป็น...มากน้อยก็เป็น ถ้าขาดเจตนาก็บาปน้อย ถ้ามีเจตนาก็บาปมาก |
ถาม : การที่เทวดาช่วยคนเป็นบุญหรือไม่ครับ ?
ตอบ : เทวดาช่วยคนถือเป็นหน้าที่ เพราะถ้าไม่มีกรรมเนื่องกันมาท่านก็ไม่ช่วย ส่วนช่วยแล้วจะได้บุญหรือไม่ก็ดูเจตนาของท่าน ถ้าหากว่าจิตของท่านประกอบด้วยความสงเคราะห์เป็นปกติ มีพรหมวิหารเป็นปกติ ก็เป็นการเสริมส่วนบุญของท่านด้วย แต่ถ้าหากว่าทำตามหน้าที่ไปเฉย ๆ ก็เหมือนอย่างกับปฏิบัติงานที่ตนเองได้รับผิดชอบให้สำเร็จไปเท่านั้นเอง ถาม : ถ้าเราแผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวรโดยที่ไม่ระบุ เขาจะได้รับหรือเปล่าครับ? ตอบ : ถ้าเขาอยู่ในรัศมีที่เราแผ่เมตตาถึงก็ได้รับทุกคน แต่ถ้าการอุทิศส่วนกุศลบางอย่างต้องจำเพาะเจาะจง ถ้าพูดอย่างนี้บางทีคุณอาจจะงง ๆ การแผ่เมตตาเหมือนกับเขาอยู่ที่ร้อนแล้วเราเอาร่มไปให้เขา แต่การอุทิศส่วนกุศลนั้นคนหิวแล้วเราเอาอาหารไปให้เขา ถ้าคนหิวอยู่เราเอาร่มไปให้เขา ๆ จะได้ประโยชน์ไหม ? ก็อาจจะเย็นขึ้นมาหน่อย แต่เขาก็ยังหิวอยู่เหมือนเดิม ดังนั้น..การแผ่เมตตาถ้ากำลังของคุณถึงก็ได้ทุกคน แต่อุทิศส่วนกุศลขึ้นอยู่กับเวรกรรม ขึ้นกับการที่เราระบุหรือไม่ระบุจำเพาะเจาะจงไป ถาม : ถ้าเราไม่จำเพาะเจาะจง ? ตอบ : ถ้าไม่จำเพาะเจาะจง ท่านที่ไม่มีกรรมเนื่องกันมา ไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่คนที่เราระบุออกชื่อ ก็อดไป |
พระอาจารย์เตือนโยมว่า "คราวหน้าอุ้มพระพุทธรูปให้น่าหวาดเสียวน้อยกว่านี้หน่อย นี่คุณเล่นหิ้วคอพระมาเลย"
ถาม : ขอถามเรื่องการปฏิบัติครับ ตอบ : นี่แหละคือการปฏิบัติธรรม ถ้าใจละเอียดขึ้นก็จะไม่หิ้วพระมาอย่างนี้ ถาม : การปฏิบัติจำเป็นต้องหาเวลาแยกตัวไปปฏิบัติที่วัดไหมครับ ? ตอบ : ไม่จำเป็น...การปฏิบัติถ้าทำได้ในชีวิตประจำวันจะสำคัญกว่าอะไรทั้งหมด เพราะว่าเรื่องของหลักธรรมจำเป็นที่จะต้องประยุกต์ใช้ได้ในชีวิตจริง ถ้ายังไม่ผ่านการทดสอบจากชีวิตจริงอย่าเพิ่งเชื่อว่าเราทำได้ |
ถาม : การบรรลุมรรคผล..?
ตอบ : ของเก่าต้องสั่งสมมามากพอและหลักการปฏิบัติในปัจจุบันต้องถูกต้องด้วย ถ้าสองส่วนรวมกันถึงจะมีโอกาส ถ้าหากว่าขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไปการบรรลุมรรคผลก็ไม่มี คุณสั่งสมบุญมาเต็มที่ แต่ปฏิบัติผิดไปจากหลักที่แท้จริง ก็ไปไม่ตรงทาง คุณไม่มีกำลังบุญ แต่ไปปฏิบัติตรงทาง ก็เหมือนกับคนไม่ได้พกเสบียงไป เดินทางไปไม่สุดทางก็อดตายเสียก่อน ถาม : การภาวนาพิจารณา ถ้าไม่ถึงฌานจะมีโอกาสสำเร็จไหมครับ ? ตอบ : ถ้าสามารถสะสมต่อเนื่องกันได้สัก ๑๒๐ ปีโดยไม่ขาดช่วงอาจจะมีสิทธิ์บรรลุ..! เพราะว่าถ้ากำลังไม่ถึงปฐมฌานขึ้นไปก็ไม่พอตัดกิเลส ถาม : (ไม่ได้ยิน) ตอบ : ปฏิบัติไปด้วยพิจารณาไปด้วย ถ้ากำลังถึงจะได้ตัดไปเลย ไปทำให้จริงเท่านั้นแหละ |
ถาม : พวกผีจองเวรที่ต้องการตัวตายตัวแทนแล้วไปเกิดมีไหมครับ ?
ตอบ : ไม่มี...ไม่ใช่การจองเวร แต่ว่ามีผีอยู่ประเภทหนึ่งมีกรรมที่ทำให้เขาต้องติดอยู่ตรงนั้น ถ้ามีบุคคลมาตายแทนตรงจุดนั้นเขาถึงจะหลุดพ้นไปได้ ไม่ได้หมายความว่าเขาไปลากคนมาตายแทน แต่คนถึงที่ตายตรงนั้นพอดี เพราะวาระเขามาถึง |
ถาม : นอกจากการห้ามฆ่าสัตว์แล้วทำไมไม่ห้ามกินสัตว์ด้วย เพราะเป็นการสนับสนุนทางอ้อม ?
ตอบ : ถ้าหากว่าคุณไปสั่งเขาทำจะเป็นการสนับสนุน ถ้าหากว่าคุณไม่ได้สั่งเขา อย่างไรเขาก็ทำอยู่แล้ว ทำไมพระพุทธเจ้าไม่ห้าม ? เพราะว่าคนไม่ใช่สัตว์กินพืช อย่างไรส่วนของเนื้อยังมีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิต เพียงแต่ว่าให้เป็นปวัตตะมังสะ คือเนื้อสัตว์ที่เขาค้าขายกันทั่วไป ถ้าเป็นอุทิสมังสะ ไปเจาะจงสั่งเมื่อไรก็เฮงเมื่อนั้น เราไม่กินเนื้อสัตว์ เขาก็ยังฆ่ากันอยู่อย่างนั้น ครอบครัวเราไม่กินเนื้อสัตว์ เขาก็ยังฆ่ากันอยู่อย่างนั้น เมืองเราทั้งเมืองไม่กินเนื้อสัตว์ เขาก็ยังฆ่ากันอยู่อย่างนั้น เพราะฉะนั้น..คุณไม่สามารถจะแก้ไขการดำรงชีวิตของมนุษย์ได้ แต่ว่าสามารถที่จะสร้างกรรมให้น้อยที่สุดได้ หรือจะเอาอย่างทิเบตก็ได้ สมัยก่อนทิเบตไม่กินเนื้อสัตว์ รอจนกระทั่งสัตว์ตายก่อนถึงจะเอามาเป็นอาหาร แต่พอตอนหลังพวกอิสลามเข้าไปอยู่ในทิเบตจึงมีการฆ่าสัตว์ คนทิเบตก็ไปเอาเนื้อที่เขาฆ่าแล้วมากินได้ |
ถาม : คนธรรมดาถือศีล ๒๒๗ ข้อ ต่างกับพระไหมครับ?
ตอบ : ต่างมาก..ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปถือ ถนนธรรมดามีหลุมอยู่ ๕ หลุม เดินหลบซ้ายเลี่ยงขวาก็พ้นแล้ว เสือกทะลึ่งไปเดินถนนที่มี ๒๐๐ กว่าหลุม ก็หาเรื่องตกนรก..! ถาม : แล้วถ้าผมคิดจะถือศีล ๒๒๗ ข้อ ? ตอบ : บ้าตั้งแต่เริ่มคิดจะถือแล้ว ยกเว้นบุคคลที่ปฏิบัติตัวเป็นตาผ้าขาว ในลักษณะของติตถิยปริวาส ศึกษาเพื่อที่จะบวช อย่างนั้นก็ซ้อมถือไปได้ ถ้าคนทั่ว ๆ ไป ถือศีล ๒๒๗ ข้อ เขาเรียกว่าสร้างความเดือดร้อนให้กับตัวเอง เพราะเวลาศีลขาดเรามักจะจิตใจเศร้าหมอง ตายตอนนั้นก็ลงนรก แล้วศีลมากขนาดนั้นโอกาสศีลขาดก็ยิ่งมาก |
ถาม : ที่ท่านบอกว่าบวชแล้วได้อานิสงส์เลย ผมสงสัยว่าอานิสงส์มาจากไหน ?
ตอบ ประการแรก..เรางดเว้นสิ่งที่เคยทำชั่วด้วยกาย วาจา ใจ เพราะโดนตีกรอบด้วยศีลจำนวนมาก แปลว่าโดนบังคับให้ทำความดี อานิสงส์มหาศาลก็เกิดขึ้น ประการต่อไป..ถ้าเราบวชแล้วศึกษาปฏิบัติธรรมตามคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สามารถทำตนให้เข้าสู่ความเป็นพระอริยเจ้าได้นั่นยิ่งเป็นผลานิสงส์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ประการต่อไป..เมื่อศึกษาธรรมเข้าใจลึกซึ้งแล้วนำไปเผยแผ่ต่อ เป็นประโยชน์ต่อชนหมู่มาก ก็ยิ่งเป็นผลานิสงส์ที่ยิ่งใหญ่ขึ้นไปอีก ประการต่อไป..เราจะเป็นบุคคลที่ชักนำเอาพ่อแม่ญาติพี่น้องเข้ามาสู่พระศาสนา เพราะว่าตามปกติแล้วคนทั่ว ๆ ไป ถ้าไม่มีคนคุ้นเคยจะไม่ค่อยเข้าวัดเข้าวา ในเมื่อมีเราซึ่งเป็นญาติอยู่ในวัด แม้เขาจะตั้งใจไปหาเรา แต่ก็เริ่มให้เขาเข้าวัดทำความดีได้ ดังนั้นว่า..การบวชที่มีอานิสงส์ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่บวชเฉย ๆ แต่บวชแล้วต้องปฏิบัติดีด้วย |
ถาม : เมื่อลงไปใช้กรรมในนรกแล้ว ทำไมไม่ reset เศษกรรมที่เหลือทั้งหมด ?
ตอบ : ก็เพราะว่านรกมีไม่มากพอที่จะเก็บรายละเอียดกรรมทั้งหมด รายละเอียดของกรรมยังมีเขตของเปรต อสุรกาย สัตว์เดียรัจฉาน และมนุษย์ ที่เราจะต้องมารับกรรมไปตามลำดับ ในนรกเป็นส่วนของเงินต้นเท่านั้น ส่วนที่เหลือก็คือดอกเบี้ยที่ทบต้นเข้ามา ถาม : การเกิดเป็นคนเป็นการใช้หนี้ของเศษกรรมหรือเปล่าคะ ? ตอบ : เป็น..แต่เราไม่รู้ตัวเองต่างหาก ป่วยก็เกิดจากเศษกรรมปาณาติบาตไม่ใช่หรือ ? ข้าวของสูญหายก็เศษกรรมจากอทินนาทาน เราใช้หนี้อยู่ตลอดแต่ไม่รู้ตัว |
ถาม : การเจริญพรหมวิหาร ๔ ทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : ความตั้งใจที่ประกอบไปด้วยน้ำใสใจจริง ว่าเรารักผู้อื่นเสมอตัวเรา เห็นเขาได้รับความลำบากเดือดร้อนก็ต้องการช่วยเขาให้พ้นทุกข์ เห็นเขาได้ดีก็พลอยยินดีที่เขาอยู่ดีมีสุข และท้ายสุดถ้าหากว่าไม่สามารถช่วยเหลือได้ก็ปล่อยวาง ยอมรับว่าเป็นกฎของกรรม เมื่อสามารถที่จะทรงกำลังใจนี้ได้แล้ว ก็ให้เจริญภาวนาต่อไปเพื่อความมั่นคงด้วย |
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีคนลืมข้าวของไว้ที่วัดหลายชิ้น ชิ้นแรกเป็นพระเลี่ยมทอง อาตมาไม่อยากได้ทองหรอก แต่อยากได้พระ ขอให้เจ้าของลืมไปเลยทีเถอะ..! เพราะว่าพระองค์นี้ถ้าไปปล่อยในท้องตลาดก็ราคาล้านบาทขึ้นไป ชิ้นที่ ๒ เป็นวัตถุมงคลที่เอาไปเข้าพิธี ๑ ลัง เขาตั้งใจทิ้งหรืออย่างไรก็ไม่รู้ ไม่มีใครไปเอาคืนสักที ๑ ลังเต็ม ๆ น่าจะสะสมกันมาหลายปีเลย ชิ้นที่ ๓ เป็นกระเป๋าเงิน ในกระเป๋าไม่มีอย่างอื่นเลยมีแต่เงิน เป็นธนบัตรล้วน ๆ ตอนนี้เริ่มขึ้นราแล้ว เพราะเก็บไว้ปีกว่าแล้ว เมื่อไรจะไปรับคืนโปรดแจ้งให้ทราบด้วย
สำหรับพระเป็นเรื่องลำบาก ถ้าหากว่าข้าวของตกหล่นอยู่ในวัด พระเดินผ่านแล้วไม่เก็บ ผ่านไปกี่รูปก็โดนปรับอาบัติทุกรูป เก็บไว้เพื่อประโยชน์แก่ตัวเองก็ไม่ได้ ต้องรักษาไว้จนกว่าเจ้าของจะมาเอาคืน สมัยอาตมาทำหน้าที่รับญาติโยมเข้าพักที่วัดท่าซุง มีตู้ ๕ ชั้นส่วนตัวอยู่ ๔ ใบเพื่อใส่ของพวกนี้ ใส่จนฝุ่นจับหนาเป็นคืบ แต่ไม่ค่อยมีคนไปทวงคืนทั้ง ๆ ที่ประกาศอยู่ทุกครั้งเวลาที่วัดมีงาน แสดงว่าท่านทั้งหลายเหล่านั้นปฏิบัติธรรมแล้วเข้าถึงจริง ปล่อยวางได้ อะไรหายแล้วหายเลย ค่อยหาใหม่ น่ายินดีและน่าโมทนาด้วย แต่ลำบากพระสิ..! ตอนนี้น่าจะ ๒๐ กว่าปีแล้ว ไม่รู้ว่าพระเจ้าหน้าที่รุ่นหลัง ๆ ยังเก็บรักษาไว้หรือเปล่า ? ต่อไปน่าจะมีพิพิธภัณฑ์ของสูญหายเมื่อไปวัด ทำแสดงไว้เลยว่าเก็บไว้เมื่อวันเดือนปีที่เท่าไร แล้วก็ให้ลูกหลานไปดูว่าของใครเก่ากว่ากัน แต่คาดว่าคนจะแกล้งลืมอีกเยอะ เพราะอยากมีชื่อเข้าพิพิธภัณฑ์..!" |
"มีโยมลืมหนังสือของหลวงวิจิตรวาทการไว้ที่บ้านวิริยบารมี เรื่องนี้อาตมาอ่านมาตั้งแต่สมัยยังลุยห้องสมุดอยู่ ชอบใจมากเพราะว่านางเอกใจถึง นางเอกสมัยก่อนมักจะนุ่มนิ่ม อยู่ในลักษณะรอพระเอกขี่ม้าขาวมารับตัวไป แต่นางเอกเรื่องนี้ไล่ยิงผู้ชายเลย..! ถูกใจมากเพราะมาผิดยุค ยุคสมัยรัชกาลที่ ๗ - ๘ นั้นส่วนใหญ่เขารอคุณชายมาบ้านทรายทอง อันนี้ไม่ต้องรอคุณชายหรอก แล้วที่ชอบใจก็คือเขาตั้งชื่อตัวละครว่า เมตตา กรุณา มุทิตา ปราณี ไมตรี เอ็นดู ได้ยินชื่อก็เข้าท่าแล้ว
หนังสือของหลวงวิจิตรวาทการเป็นหนังสือที่น่าอ่านมาก รู้สึกว่าเรื่องที่ได้รับการสร้างเป็นภาพยนตร์ แต่ไม่ประสบความสำเร็จน่าจะเป็นเรื่องศึกบางระจัน เพราะเขียนให้พม่าเป็นพระเอก ขอบอกว่าในหมู่คนเลวก็มีคนดี ในหมู่คนดียิ่งมากไปด้วยคนเลว ดีชั่วไม่สามารถที่จะระบุได้ชัดเจนเพราะเป็นการกระทำที่เป็นไปตามกรรมเท่านั้น คำว่าดีชั่วเป็นสิ่งที่สมมติขึ้นมา เพื่อสามารถระบุได้ว่าการกระทำเหล่านั้นเป็นไปในลักษณะไหน ถ้าในสายตาของบุคคลที่เข้าถึงธรรมจริง ๆ จะไม่มีคนดี ไม่มีคนเลว มีแต่คนที่กำลังเป็นไปตามกรรม สามารถสงเคราะห์ได้ก็สงเคราะห์ สงเคราะห์ไม่ได้ก็ปล่อยวาง นี่คือพรหมวิหาร ส่วนใหญ่พวกเราเมตตากรุณาล้นเกิน แต่ดันไปขาดตัวอุเบกขา อุเบกขาพระพุทธเจ้าให้พวกเราไว้เพื่อป้องกันไม่ให้บ้า พอเมตตาเกินประมาณอยากจะไปช่วยเขา แต่ช่วยไม่ได้ก็คลุ้มคลั่งเอง กลายเป็นไปแบกเรื่องคนอื่นมาไว้เต็มบ่า ที่ขำที่สุดมีคุณมหาประโยค ๙ รูปหนึ่งได้รับการอนุเคราะห์สงเคราะห์จากญาติโยมในลักษณะคอยอุปัฏฐากให้ความช่วยเหลือ จนกระทั่งเรียนจบเปรียญธรรม ๙ ประโยคก็ถือว่าสูงสุดในยุคนั้น วันหนึ่งญาติโยมที่เคยให้การสงเคราะห์ก็มานั่งบ่นว่าสามีตายแล้ว ตัวเองต้องเลี้ยงลูกเล็ก ๆ อยู่ ไม่มีใครช่วยเหลือกิจการ บ่นไปบ่นมาคุณมหาก็เลยสึกไปช่วยเลี้ยงลูก แค่ช่วยเลี้ยงแต่ลูกจริง ๆ ไม่ได้ยุ่งไม่ได้เกี่ยวอะไรเลย พูดง่าย ๆ ก็คือไปเลี้ยงลูกเพื่อให้เขาทำงาน พอลูกโตเริ่มเข้าเรียนมหาวิทยาลัยคุณมหาก็กลับมาบวชใหม่ คนอย่างนี้ก็มีด้วย..! สุดยอดมนุษย์จริง ๆ เขาดีจนอาตมาอายเลย เขาไม่รู้หรอกว่าที่คุณผู้หญิงเธอไปพิไลรำพัน เธอต้องการให้ไปทำหน้าที่อื่นด้วย คุณมหาอยู่แต่ในวัด ด้วยความพาซื่อก็ไปช่วยเลี้ยงลูกอย่างเดียวจริง ๆ" |
ถาม : สงสัยช่วงที่นักศึกษาออกมาประท้วง ที่จะมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นคอมมิวนิสต์ ?
ตอบ : ทฤษฎีคอมมิวนิสต์เป็นไปไม่ได้ตามหลักพระพุทธศาสนา เพราะเขาต้องการให้ทุกคนเสมอภาคกัน พูดง่ายคือมีกินมีใช้เท่า ๆ กัน ช่วงนั้นมีความแตกต่างระหว่างคนจนกับคนรวยอย่างชัดเจน โดยเฉพาะมีการเอาเปรียบของข้าราชการและพ่อค้า ก็เลยทำให้เกิดการปลุกระดมชาวบ้านขึ้นมาว่า ถ้าเป็นคอมมิวนิสต์แล้วทุกอย่างก็จะเสมอกัน รวยเท่ากันหมด เราลองคิดว่า ถ้าคนทำบุญมาไม่เท่ากัน แล้วจะรวยเท่ากันได้อย่างไร ? ต่อสู้กันตั้งแต่ปี ๒๕๐๘ มาสิ้นสุดลงราวปี ๒๕๒๔ เพราะว่านโยบาย ๖๖/๒๓ ออกมา รับผู้กลับใจมาเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย พูดง่าย ๆ ว่าถ้าไม่ใช่ผู้ที่ก่อคดีอาญา ฆ่าเจ้าหน้าที่หรือประชาชนจนมีหลักฐานชัดเจน ก็อภัยให้หมด จะมีการช่วยเหลือเรื่องที่ทำกินและมีเงินกองทุนให้ เราจะเห็นว่า จริง ๆ แล้วปัญหาการเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง อย่างประเทศจีน ถ้าเติ้งเสี่ยวผิงไม่ปรับนโยบายใหม่ ป่านนี้ประเทศล่มจมไปแล้ว เพราะว่าคนส่วนใหญ่ไม่ทำงาน เห็นว่าไม่ทำก็ได้เท่ากัน นอนเฉย ๆ กินเงินกองกลางไปเรื่อย แล้วก็ไปบังคับเอากับระดับล่าง ๆ ให้ทำงาน เติ้งเสี่ยวผิงจึงปรับนโยบายใหม่ นับว่าปรับตัวทัน รุ่นต่อ ๆ มาก็มีการพัฒนาขึ้น อย่างรุ่นของ จ้าวจื่อหยาง จูหรงจี เปิดประเทศมากขึ้น กลายเป็นคอมมิวนิสต์ทุนพัฒนา ไม่ยอมรับคำว่าทุนนิยม ปัจจุบันนี้จีนก็เจริญอย่างที่พวกเราเห็น ส่วนในเรื่องของการเดินขบวนของนักศึกษานั้น เกิดจากการที่บ้านเราปกครองด้วยเผด็จการทหารมานาน พอนักศึกษาเรียนรู้มากเข้า ก็ต้องการระบอบประชาธิปไตย แต่จริง ๆ แล้วบ้านเรายังไม่สมควรเป็นระบอบประชาธิปไตย บ้านเราควรจะเป็นราชาธิปไตย ก็คือไม่ใช่สมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่พระราชามีอำนาจเด็ดขาดคนเดียว เป็นราชาธิปไตยในลักษณะว่าพระราชาอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ แต่ว่ามีสิทธิ์มีเสียงในการชี้นำประเทศ ถ้าหากว่าได้พระราชาอย่างในหลวงรัชกาลที่ ๙ ประเทศชาติจะเจริญมาก แต่คราวนี้ว่ารัฐธรรมนูญกำหนดให้พระองค์ท่านอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ เรื่องของการชี้แนะอะไรต่าง ๆ ก็ต้องโดนตีกรอบ ในหลวงจึงต้องทำโครงการพระราชดำริของพระองค์ท่านไปเรื่อย ๆ ซึ่งก็เท่ากับว่าต้องเหนื่อยเองเต็ม ๆ |
เมื่อนักศึกษาต้องการที่จะได้ประชาธิปไตยก็มีการแสดงออก แต่ว่าคนที่เป็นเผด็จการอยู่ไม่อยากสูญเสียอำนาจ ความต้องการจึงสวนทางกัน เมื่อไม่อยากสูญเสียอำนาจจึงมีการปราบปรามนักศึกษา ท้ายสุดก็อยู่ไม่ได้ ต้องเผ่นออกนอกประเทศไป โดนยึดทรัพย์ไป นั่นเกิดขึ้นเมื่อ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖
อีกประมาณ ๓ ปีต่อมา ฝ่ายเผด็จการที่โดนขับไล่ออกไปก็กลับมา แต่กลับมาแบบวางแผนมาดี ก็คือบวชเณรเข้ามา แต่ว่านักศึกษารู้ทันจึงมีการเดินขบวนขับไล่กันใหม่ เหมือนปัจจุบันที่คุณทักษิณจะกลับบ้านแล้วมีคนคอยขวางอยู่ จะว่าไปแล้วในช่วง ๖ ตุลาคม ปี ๒๕๑๙ นั้น ถ้าหากว่าฝ่ายเผด็จการไม่ต้องการอำนาจคืน ก็จะไม่เกิดเหตุการณ์นองเลือด แต่คราวนี้เขาต้องการอำนาจคืนจึงมีการใส่ไฟ ปล่อยข่าวว่าพวกนักศึกษาไปเอาคอมมิวนิสต์ญวนมาฝึกการรบแบบกองโจร ซ่อนตัวอยู่ข้างในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จึงเอากำลังทหารเข้าไปปราบปราม อยู่ในลักษณะของการออกข่าวข้างเดียว เพราะว่าคุมสื่อมวลชนอยู่ เหมือนปัจจุบันนี้ที่เขาใส่ความกันเรื่องผังล้มเจ้า ว่าจะมีการล้มล้างพระมหากษัตริย์ เอาชื่อคนนั้นคนนี้โยงกันให้มั่วไปหมด แล้วก็หาความจริงไม่ได้ หรือเรื่องของชายชุดดำที่แฝงอยู่ในกลุ่มเสื้อแดง ปรากฏว่าถึงเวลาออกไปปราบปรามจนตายกันเกือบร้อย ไม่มีคนชุดดำเลย มีแต่ชาวบ้านธรรมดา อย่างเก่งก็ถือหนังสติ๊ก เรื่องทำนองนี้เป็นปฏิบัติการทางจิตวิทยา |
ช่วงนั้นเขามีการกระตุ้นอารมณ์ร่วมของชาวบ้าน โดยแต่งภาพศพที่แขวนคออยู่ให้หน้าตาเหมือนกับองค์รัชทายาท ชาวบ้านก็ยิ่งโกรธแค้นกันใหญ่ จึงสนับสนุนราชการให้จัดการขั้นเด็ดขาดกับพวกนักศึกษา ก็เลยมีการยกกองกำลังเข้าไปถล่มมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พวกนักศึกษาก็ต้องหนีเข้าป่า ในเมื่อสู้กันในเมืองไม่ได้ก็เลยหนีเข้าป่า จับอาวุธต่อต้านรัฐบาลอยู่หลายปี ลองคิดดูว่าจาก พ.ศ. ๒๕๑๙ ถึง พ.ศ. ๒๕๒๔ ตั้งกี่ปี ? ฆ่ากันเท่าไร ? สูญเสียงบประมาณและผู้คนไปเท่าไร ?
ตอนปี พ.ศ. ๒๕๓๕ ก็อยู่ในลักษณะนี้ เขาปฏิวัติแล้วตอนแรกก็ยังอาย ๆ อยู่ ไม่กล้าเป็นนายกรัฐมนตรี ไป ๆ มา ๆ พอโดนยุ มีความรู้สึกว่าตนเองมีอำนาจอยู่ในมือ หัวหน้าปฏิวัติจึงขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ชาวบ้านรับไม่ได้ก็มีการประท้วง ราชการก็เอากำลังทหารจะไปปราบชาวบ้านอีก แต่ว่าทหารตำรวจส่วนหนึ่งไม่ให้ความร่วมมือ อย่างเช่นทหารเรือ แม้ว่ายกกำลังออกไปก็จริง แต่พอชาวบ้านหนี ทหารก็เปิดทางให้ นอกจากนี้ก็มีการปล่อยข่าวเป็นปฏิบัติการทางจิตวิทยาว่า ชาวบ้านสนับสนุนเขามาก ใครไม่เชื่อให้ออกมาดูว่าชาวบ้านทั้งกรุงเทพฯ ให้การสนับสนุนคณะปฏิวัติ ถ้าเราโง่ไปออกดูก็แปลว่าออกไปสนับสนุนเขาไปโดยปริยาย เรื่องของข่าว ถ้าเราฟังดูจะต้องใช้สติสัมปชัญญะให้มากเข้าไว้ ถ้าใครยึดคุมการข่าวหรือสื่อมวลชนเอาไว้ได้ จะเป็นฝ่ายชนะเสียส่วนมาก มีอยู่ครั้งเดียวที่ฝ่ายยึดคุมการข่าวไม่สามารถชนะได้ ก็คือช่วงเมษาฮาวาย ปี ๒๕๒๔ ตอนนั้นจะไปโทษใครไม่ได้หรอก ต้องบอกว่าคนสั่งการไม่เคยชินกับการเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา เพราะเขาเป็นเจ้านายเอาแต่สั่งอย่างเดียว ให้เอาพลทหารไปคุมป๋าเปรม ตอนนั้นป๋าเปรมแต่งชุดพลเอกเต็มขั้น เดินออกมาจากบ้านหน้าตาเฉย ด้วยความเคยชินว่านี่คือเจ้านายใหญ่ พลทหารที่ไหนจะกล้าไปขวาง ป๋าเปรมขึ้นรถได้ก็ออกไปโคราช กลับบ้านตัวเองได้ก็เหมือนมังกรลงทะเล ตอนนั้นมีพลตรีอาทิตย์ กำลังเอก คุมทางด้านนั้นอยู่ เอาสถานีวิทยุของค่ายทหารที่โคราชมาออกข่าวต่อสู้กับทางด้านคณะปฏิวัติ ในเมื่อเขาไม่สามารถที่จะจับตัวป๋าเปรมซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีได้ และในหลวง พระราชินี และองค์รัชทายาทก็ได้รับการคุ้มครองป้องกันจากอีกฝ่ายหนึ่งไปแล้ว ทำให้ชาวบ้านไม่สนับสนุน พวกปฏิวัติก็เลยกลายเป็นกบฏ เพราะทำการไม่สำเร็จ |
ช่วงนั้นอาตมาเรียนจบแล้ว เพิ่งจะออกรับราชการใหม่ ๆ คำสั่งแต่งตั้งให้ออกรับราชการลงนามโดย พล.อ.สัณห์ จิตรปฏิมา รองผู้บัญชาการทหารบก ตอนนั้นท่านเป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติ อาตมาใจหายวาบเลย รีบวิ่งไปถามเจ้านายว่า "นี่ผมจะโดนไปด้วยหรือเปล่าครับ ?" เจ้านายบอกว่าไม่เกี่ยวกัน อะไรก็ตามที่สั่งการก่อนการปฏิวัติรัฐประหาร ถือว่ามีผลตามกฎหมายไปแล้ว
แล้วคำสั่งก็ออกมาว่า ถ้าคณะปฏิวัติหลบหนีมาทางด้านนี้ ขอให้ทำการควบคุมตัวไว้ ทหารอย่างพวกเราก็ได้แต่ตั้งท่าไปอย่างนั้น คิดว่าถ้าพวกเขามาก็ต้องปล่อยเขาไป เพราะเป็นเจ้านายเป็นลูกน้องกันมาก่อน ท้ายสุดเขาก็หนีไปอยู่พม่า ช่วงนั้นรอบ ๆ บ้านเราส่วนใหญ่ก็อยู่ภายใต้การปกครองแบบเผด็จการทหาร เขาย่อมรู้ว่า สักวันถ้าอยู่ไม่ได้ ก็ต้องหนีไปพึ่งคนอื่น เมื่อคนอื่นเขาหนีมาพึ่ง ก็ต้องช่วยเขาไว้หน่อย |
ถาม : เหรียญทำน้ำมนต์ของหลวงพ่อทองลอก?
ตอบ : ไปปิดทองใหม่ แล้วก็เสกใหม่ด้วยอิติปิโสฯ ๑๐๘ จบ นะมะพะทะ ๑๐๘ จบ อิติปิโสฯ สวากขาโตฯ สุปฏิปันโนฯ ด้วยนะ ไม่ใช่อิติปิโสฯ อย่างเดียว ใช้เวลาประมาณ ๓ ชั่วโมงก็เรียบร้อย เอาไปใช้ได้ใหม่ |
พระอาจารย์กล่าวว่า "งานกฐินปลดหนี้ครูบาเหนือชัย เตรียมเงินไปนะ อาตมาจะเอาของในย่ามส่วนตัวนี้ ไปเปิดประมูลที่วัดถ้ำป่าอาชาทอง"
|
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีอะไรเอื้อเฟื้อกันไว้นั่นแหละดี โบราณเขาบอกว่า “ถึงไม่ใช่ญาติไม่ใช่เชื้อ แต่ถ้ามีความเอื้อเฟื้อก็เหมือนเนื้ออาตมา ถึงเป็นญาติเป็นเชื้อ ถ้าไม่มีความเอื้อเฟื้อก็เหมือนเนื้อในป่า”
เราลองนึกดูว่าคนไม่ใช่ญาติไม่ใช่เชื้อแต่มีความเอื้อเฟื้อกัน ถึงเวลาเราเจ็บเขาก็เจ็บด้วย ก็เหมือนกับเนื้อตัวเราเอง แต่คนเป็นญาติเป็นเชื้อแล้วเบียดเบียนกันอย่างเดียว เจอหน้าก็อยากจะเผ่นหนี เหมือนกับพวกเนื้อ (เก้ง - กวาง - ละมั่ง - สมัน - เนื้อทราย) ในป่าที่พบคนไม่ได้ ต้องเผ่นหนีไว้ก่อน โบราณเขาว่าอะไรลึกซึ้งมากเลยนะ" |
ถาม : พระพิราพแปลว่าอะไรครับ?
ตอบ : ครูช่าง พูดง่าย ๆ ว่าช่างทุกคนต้องไหว้พระพิราพ มาจากคำว่า "ไภรวะ" ที่หมายถึงพระอิศวรปางดุ แปลงสระไอเป็น สระอิ ภ.สำเภา เป็น พ.พาน ร.เรือสระอะ เป็น ร.เรือสระอา ว.แหวนเป็น พ.พาน กลายเป็นพระพิราพ ถาม : แต่เห็นโขนเขาก็ไหว้ด้วยนะครับ ? ตอบ : ไหว้ด้วย สมัยก่อนพวกเต้นพวกรำเขาเรียกว่า "ช่างฟ้อน" |
ถาม : เวลาทำกรรมฐานชอบคิดเรื่องอื่น ไม่เป็นสมาธิ ?
ตอบ : ให้ดึงความรู้สึกทั้งหมดมาอยู่กับลมหายใจเข้าออกของเรา ถ้าคิดเรื่องอื่นเมื่อไรก็ดึงกลับมาอยู่กับลมหายใจเข้าออกใหม่ ทำอย่างนี้บ่อย ๆ พอชำนาญเข้าจะอยู่กับลมหายใจเข้าออกได้นาน |
ถาม : ตั้งศาลพระภูมิอยู่หลังบ้านได้ไหมคะ ?
ตอบ : จะสร้างมุมไหนก็ได้จ้ะ ถ้าอยู่ตรงทิศ ถาม : ทิศตะวันออกกับทิศเหนือจะอยู่ในส่วนของหลังบ้านกับข้างบ้าน ? ตอบ : แล้วทิศตะวันออกเฉียงเหนือละจ๊ะ ? ถาม : ก็อยู่ในส่วนข้างบ้านเหมือนกันค่ะ ? ตอบ : ตั้งทิศนี้ได้...แต่ว่าจะอยู่ส่วนไหนก็ตามอย่าให้อยู่ใกล้หน้าต่างกับอย่าให้ใกล้ส้วม ถาม : แล้วมีเงาหลังคาบังได้ไหมคะ ? ตอบ : ไม่เป็นไรจ้ะ ตั้งอยู่ใต้หลังคาก็ได้ |
ถาม : คุณยายเขาโคม่า หมอให้เอากลับบ้าน หมอบอกว่าไม่ไหวแล้วครับ ?
ตอบ : หมอบอกว่าไม่ไหว แต่อาตมาไม่เชื่อ หมาของคุณพีระ หมอบอกว่าไม่รอด อายุมากระดับคุณทวดแล้ว ป่วยจนร้องครางอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ยังอยู่มาจนป่านนี้ หมอเขาดูตามอาการ ส่วนพระดูตามเวรตามกรรม ถ้าบุญไม่หมดหรือกรรมไม่หมดก็ยังไม่ตาย คนเราจะตายได้ด้วย อายุขัย หมดอายุ อาหารขัย หมดอาหาร บุญขัย หมดบุญ โกรธาพลขัย ตายเพราะแรงโกรธ เหมือนหนังจีนที่กระอักเลือดตายเพราะโกรธ แต่โกรธาพลขัยส่วนใหญ่เป็นเทวดานางฟ้า เพราะว่าถ้าโกรธขึ้นมา ไฟโทสะจะเผากายทิพย์หมด เทวดานางฟ้าจึงต้องพยายามไม่โกรธ ที่บอกว่าต้นไม้โดนตัดเอา ๆ แต่ทำไมรุกขเทวดาไม่เล่นงานสักที ไปเล่นงานเขาได้ที่ไหนเล่า ? ตัวเองโดนเผาก็แย่สิ..! |
ถาม : จะวางกำลังใจอย่างไรดีคะ แม่ไม่สบายแล้วไม่สามารถที่จะไปดูแลแม่ได้ ?
ตอบ : ต้องยอมรับว่าแต่ละคนมีกรรมเป็นของตน เราทำดีที่สุดได้เท่าไรก็เอาเท่านั้น ถาม : เราไปยุ่งกับเขามากก็เหมือนกับเราไปขวางเจ้ากรรมนายเวรเขา แล้วเราก็ป่วยบ้าง ? ตอบ : คนเราเกิดมาต้องมีกรรมร่วมกัน ก็แปลว่าเคยทำอะไรใกล้เคียงคล้ายคลึงกัน จึงต้องโดนแบบนั้นบ้าง |
ถาม : หนูให้ลูกเขาภาวนาของเขาตลอดวัน พอดีเมื่อต้นเดือนเขาไปอ่านที่ท่านพูดถึงเรื่องอ่านหนังสือไปภาวนาไป ท่านพูดว่าให้เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง เขาก็บอกว่าเขาเลิกภาวนาดีกว่า หนูก็เลยไม่รู้ว่าจะบอกอย่างไรต่อดี เขาเข้าใจผิดหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ปล่อยเขา..วาระของเขาจะต้องเป็นอย่างนั้น คนเราเมื่อถึงเวลาก็โดนชักให้คิดผิด พูดผิด ทำผิดได้ ถ้าเขาไปมั่นใจว่าควรจะเป็นอย่างนั้นแล้วก็ปล่อยเขาไป ถาม : เขาก็ยังไม่มั่นใจ หนูก็เลยมาถามค่ะ ? ตอบ : ทำได้แล้วทิ้งถือว่าโง่ บอกเขาแค่นั้นพอ |
ถาม : อยากขอข้อธรรมว่าจะต้องทำอะไรบ้าง เนื่องในโอกาสสงกรานต์ ?
ตอบ : ทำใจให้เย็น ๆ ไว้ ฟังอะไรมาคิดก่อนอย่าเพิ่งรีบพูด เพราะปกติคนใจร้อนมักจะสวนเลย ถ้าพลาดจะเสียมากกว่าดี ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปตั้งท่าอมลิ้นไว้ ใครว่าอะไรเราฟังอย่างเดียว คิดจนรอบคอบจริง ๆ แล้วค่อยพูด สงกรานต์อากาศร้อน เรายิ่งต้องใจเย็นไว้ ถาม : ทำอย่างไรเราถึงจะมีสติ ชอบหลุดแล้วไปเลย ? ตอบ : ถ้าอยากจะมีสติรั้งตัวเองได้ ก็ต้องอยู่กับลมหายใจเข้าออกของเราให้ชิน ถ้าอยู่กับลมหายใจเข้าออกให้ชิน สติสมาธิจะอยู่เฉพาะตรงหน้า จะไม่หลุดไปไหนง่าย แต่ถ้าหากสติสมาธิไม่ได้อยู่ตรงหน้า หลุดไปนานแล้วเราก็ยังไม่รู้ตัว ถาม : ถ้าขอให้ท่านคุมสติให้ได้ไหมคะ ? ตอบ : ไม่ได้จ้ะ ค่าจ้างแพง ไม่มีคนอื่นช่วยเราได้ นอกจากตัวเราเอง เพราะฉะนั้น..อยู่ที่การฝึกฝน ถาม : ถ้าพยายามฝึกสติแล้วละคะ ? ตอบ : ต้องไปเจอสถานการณ์จริงถึงจะรู้จ้ะ ต่อให้บอกว่าดีขึ้น ถ้าไปชนหงายเก๋งกลับมาก็ตัวใครตัวมัน ฉะนั้น..การทดสอบจึงควรจะมี ถาม : จริงหรือคะเรื่องการทดสอบ ? ตอบ : เดี๋ยวก็มา..ถ้าเราคิดว่าเราไม่โกรธเมื่อไรเดี๋ยวก็มาทันทีเลย เขาจะมาลองให้เราโกรธ ถาม : แล้วใครทำคะ ? ตอบ : ใครก็ช่างเถอะ..ตีเสียว่าเขาเป็นครู ครูอยากให้เราได้ดีก็เลยทดสอบ กลับไปก็ตั้งสติไว้ คิดก่อนพูด |
ถาม : (มีโยมป่วยหนักนอนที่โรงพยาบาล)
ตอบ : บอกท่านว่าตัดใจให้ได้ พูดข้างหูก็ได้ น่าจะฟังได้ยิน เพราะว่าถ้าวางร่างกายไม่ได้ก็จะไม่ตาย คนที่อธิษฐานขอพระนิพพานไว้นี่ตายยาก ต้องตัดร่างกายได้จริง ๆ เพราะคำอธิษฐานค้ำไว้ บอกข้างหูก็ได้ว่าไม่ต้องห่วงอะไรแล้ว ตัดใจไปอยู่กับหลวงพ่อที่พระนิพพานเลย ถ้าหากว่าตัดไม่ได้ก็ยังอยู่อย่างนั้น อาตมาเจอมาหลายรายแล้ว ตอนแรกก็ไม่รู้หรอก ถามหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านจึงบอกว่า ถ้าหากว่าไม่ทรมานมาก ๆ ก็ตัดใจไม่ได้ จึงต้องทรมานกันหนักหน่อย บอกเขาให้รีบตัดใจเสีย พูดกรอกหูไปเลย ถาม : หมายถึงว่าถ้าเขาวางร่างกายไม่ได้จะไม่ตายหรือครับ ? ตอบ : ก็เขาไปขอพระนิพพานเอาไว้ คนตัดร่างกายไม่ได้ก็ไปพระนิพพานไม่ได้ กำลังบุญที่ตัวเองสร้างไว้ค้ำอยู่อย่างนั้น ก็ทรมานไปสิ บุคคลที่อธิษฐานขอพระนิพพาน ทำบุญอะไรก็ขอพระนิพพานในชาตินี้ แต่ขาดการพิจารณาเพื่อที่จะละวางร่างกายนี้ เมื่อขาดการพิจารณา กำลังใจยังตัดไม่ได้ เจ็บป่วยขนาดไหนก็ทรมานอยู่นั่นแหละ เพราะไปขอพระนิพพาน กำลังบุญกับแรงอธิษฐานค้ำเอาไว้ ยังไม่ถึงพระนิพพานก็ทรมานอยู่นั้นแหละ เพราะฉะนั้น..ใครรู้ตัวก็รีบพิจารณาเยอะ ๆ จะได้ตัดใจได้ ถ้าละร่างกายได้ก็ไปเลย ไม่ต้องทรมาน ท่านย่าเคยบอกไว้ว่า “พวกแกขอพระนิพพานชาตินี้ ถ้าขี้เกียจพิจารณา ก่อนตายปวดสาหัสทุกคน เพราะต้องบังคับให้เห็นว่าร่างกายนี้เป็นโทษ ถ้าไม่ปวดสาหัสขนาดนั้นก็ยังคิดว่าตัวกูของกูอยู่นั่นแหละ” ฉะนั้น..พิจารณาไว้เยอะ ๆ จะได้ไม่โดน |
พระอาจารย์เล่าว่า "เรื่องพระอภัยมณีเกิดจากการที่ในหลวงรัชกาลที่ ๒ ตั้งใจจะให้แต่งหนังสือแข่งกัน แต่ห้ามไม่ให้มียักษ์ สุนทรภู่จึงตะแบงข้างเป็นผีเสื้อ แต่รัชกาลที่ ๒ เก่งกว่า พระองค์แต่งอิเหนาโดยไม่มียักษ์เลย สุนทรภู่แต่งพระอภัยมณีท้ายสุดไปไม่รอด ต้องเอานางผีเสื้อขึ้นมา แล้วก็อ้างว่าไม่ใช่ยักษ์
พวกบรรดาเกร็ดประวัติศาสตร์ถ้าไม่เล่าให้ฟังไว้เดี๋ยวคนรุ่นหลังก็ลืมหมด โบราณถึงได้บอกว่า “ของกินถ้าไม่กินก็เน่า เรื่องเล่าถ้าไม่เล่าก็ลืม” ควรจะมีการบอกต่อเพื่อให้รุ่นต่อรุ่นได้จดจำกันต่อไป จะว่าไปแล้วตอนนั้นเรื่องที่เขาแต่งกันขึ้นมาส่วนใหญ่ก็จะมียักษ์เป็นตัวชูโรง ส่วนมากก็เป็นผู้ร้าย โดยเฉพาะรามเกียรติ์ รัชกาลที่ ๒ ท่านคงอ่านจนเบื่อเต็มทีแล้ว ก็เลยตั้งกติกาว่าให้แต่งหนังสือแข่งกันแต่ห้ามมียักษ์ ท้ายสุดสุนทรภู่ก็มีจนได้ แต่อ้างว่าไม่ใช่ยักษ์เป็นผีเสื้อ พอเปิดถึงบทที่ ๒ ของพระอภัยมณี จะกล่าวถึงอสุรีผีเสื้อน้ำ................................อยู่ท้องถ้ำวังวนชลสาย ได้เป็นใหญ่ในพวกปิศาจพราย........................สกนธ์กายโตใหญ่เท่าไอยรา ตะวันเย็นขึ้นมาเล่นทะเลกว้าง........................เที่ยวอยู่กลางวารินกินมัจฉา ฉวยฉนากลากฟัดกัดกุมภา............................เป็นภักษานางมารสำราญใจ ฯลฯ แสดงว่าสุนทรภู่รู้เหมือนกันว่ามีจระเข้น้ำเค็ม" |
:4672615: เก็บตกบ้านวิริยบารมีเดือนเมษายนจบแล้วค่ะ:4672615: เดือนนี้ถึง ๑๐ หน้า เพราะมีท่านหนึ่งถามคนเดียว ๗๐ กว่าคำถามค่ะ |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 09:09 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.