กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   กระทู้ธรรม (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=2)
-   -   อัศจรรย์โลกใบนี้ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=1866)

ลัก...ยิ้ม 16-11-2010 08:52

กราบพระพุทธบาทเมืองบาดาล

ได้บอกกับทุกคนว่าลงไปดูก่อน หากไม่มีงูใหญ่มาขวางทางก็จะได้ไปกราบรอยพระพุทธบาท เอาบุญบารมีพร้อม ๆ กัน ทั้งอยากเห็นว่าจริงหรือไม่ ? จึงพากันลงไปจนถึงพื้นล่าง

พบธารน้ำกว้างพอสมควร น้ำใสเย็นมาก ต้องเดินลุยตามธารน้ำไป แต่ก็ไม่มีอะไรมาขวางทาง ความสวยงามไม่ต้องพูดถึง มีถ้ำเล็กถ้ำน้อยให้ได้ดูตลอดทาง ๕ ชั่วโมงที่เดินไปจนถึงจุดหมายปลายทาง

เดินสุดทางน้ำขึ้นไปบนเนินมีลานกว้าง สะอาดอย่างกับมีคนคอยดูแล พบรอยเท้าข้างขวาขนาดใหญ่ประทับอยู่บนหิน เห็นชัดว่าเป็นรอยเท้าข้างขวาลึกลงไปในหินพอสมควร ในรอยเท้านั้นมีน้ำใสเหมือนตาตั๊กแตน ส่องไฟไปกระทบจะสะท้อนเป็นประกายจึงก้มลงกราบกัน จุดรูปเทียนสวดพระพุทธมนต์ถวาย ต่างขอบารมีตามอัธยาศัยของแต่ละคน

น่าสังเกตน้ำในรอยเท้าไม่ทราบมาจากไหน เต็มปริ่มไม่ล้นออกมาข้างนอกรอยเท้า ขณะที่สวดมนต์อยู่นั้นพรรคพวกที่ไปด้วยบางคนเกิดจิตปรุงแต่ง ไม่เชื่อถือก็บังเกิดอาการหนาวสั่น!!! เย็นเข้าไปถึงกระดูก เขาบอกกับข้าพเจ้า

อีกคนหนึ่งเขาบอกว่าตัวเขาไม่เห็นเป็นเลย อาการเช่นเดียวกันก็เกิดกับบุคคลนั้น!!! เขาเรียกข้าพเจ้าว่า “พ่อ จะทำอย่างไรดี หนาวเหลือเกิน ปวดเข้ากระดูกทนไม่ไหวแล้ว” คนอื่น ๆ ที่ไม่ลบหลู่ก็ปกติดี

จึงบอกให้ทั้งสองคนจุดธูปเทียนขอขมากรรม อาการดังกล่าวก็หายสิ้น!!! เป็นการแสดงอานุภาพอันทรงศักดิ์สิทธิ์เหมือนเป็นการปรามทุกคนให้รู้ว่า “ไม่เชื่ออย่าลบหลู่” ทุกคนก้มลงกราบอีกครั้งด้วยความเคารพ ได้ขอน้ำในรอยพระพุทธบาทมาดื่ม มาล้างหน้ากัน ได้เวลาก็เดินทางกลับถึงปากถ้ำก็มืดพอดี

คืนนั้นหลวงพี่บอกว่า “อยากพาไปพบครูบาอาจารย์ของท่าน อยู่ในป่าที่เขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ ให้ไปศึกษากับท่าน ท่านจะพูดแต่อภิธรรม หากสนใจวันหลังจะพาไป” วันรุ่งขึ้นก็ลาหลวงพี่กลับกรุงเทพมหานคร

ลัก...ยิ้ม 17-11-2010 08:59

ตั้งแต่นั้นมา หลวงพี่ทองสุกก็ได้แวะเวียนไปหาที่กรุงเทพมหานครตลอดเวลา ทุกครั้งจะชวนไปพบอาจารย์ของท่าน จนกระทั่งตกลงจะไปได้นัดแนะกันแล้ว ท่านก็มารับพวกเราไปปฏิบัติธรรมที่เขาค้อ

ไปพบหลวงพ่อสัมฤทธิ์ ท่านเป็นพระป่าเพียรใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติ ธรรมของท่านลึกซึ้ง พวกเราสนทนาธรรมกับท่านจนสว่าง อยู่ที่นั่นสองวันก็เดินทางกลับ แต่ก็ได้แวะเวียนไปสนทนาธรรมกับท่านอยู่หลายครั้ง ไปบ่อยมาก

ธรรมของท่านฟังไม่เบื่อ ได้ซักถามหัวข้อธรรมที่ติดค้างใจ ทั้งแนวทางในการเจริญกรรมฐาน หลวงพ่อท่านอธิบายอย่างละเอียดถี่ถ้วน สอนจนเข้าใจ ได้พูดคุยกันทั้งคืนทุกครั้ง เมื่อท่านอบรมพวกเราจนเห็นว่าเข้าใจอะไรมากขึ้น ท่านจึงชวนให้เข้าไปปฏิบัติธรรมในป่ากับท่าน พร้อมกับหลวงพี่ทองสุกและหลวงพี่ณรงค์

ข้าพเจ้าได้ถามพรรคพวกที่ไปด้วยว่า “สนใจไหม?” ทุกคนตอบสนใจ จึงกำหนดวันจะเข้าไปปฏิบัติธรรมร่วมกับหลวงพ่อในป่าลึก เดินกันไปศึกษาธรรมชาติไป จนถึงจุดหมายที่หลวงพ่อกำหนดไว้ เป็นสถานที่ร่มรื่นสวยงาม มีธารน้ำไหลผ่านสะดวกเรื่องน้ำกินน้ำใช้ เหมาะสำหรับใช้เป็นที่ปฏิบัติเจริญจิต พวกเราชอบกันมาก

เวลาเย็นมากแล้วอยู่กลางป่ามืดเร็วกว่าปกติ จึงช่วยกันจัดหาที่ทางปักกลดกันเป็นระยะ ๆ ไม่ห่างกันนัก ตกกลางคืนเงียบวังเวง เงียบจนน่ากลัว ได้สนทนาธรรมกับหลวงพ่อจนเที่ยงคืน ต่างก็แยกไปปฏิบัติในกลดของตนเอง บ้างก็นอน บ้างก็นั่งสมาธิเจริญจิตตามอัธยาศัย

ลัก...ยิ้ม 18-11-2010 09:58

พบระฆังแก้ว ระฆังทอง

เวลาประมาณตีสอง ทุกคนหลับสนิทเพราะเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง ขณะที่ข้าพเจ้านอนอยู่ได้มีแสงสว่างจ้า จ้าจนแสบตา ทั้ง ๆ ที่นอนหลับตาอยู่ ความสว่างของแสงเหมือนหนึ่งเรามองดูพระอาทิตย์ นึกประหลาดใจว่าแสงอะไร!!!

เมื่อลืมตาดู แสงค่อย ๆ จางลง มองเห็นเป็นระฆังทองกำลังลอยอยู่ข้างหน้า จึงลุกออกจากกลด ระฆังทองยังคงลอยอยู่เช่นนั้น ยื่นมือไปจะจับดูว่า มันจริงหรือไม่จริง ระฆังทองใบนั้นก็หายไป!!! นั่งมองเฉย ๆ อยู่ ๆ ก็ลอยมา จะจับก็หาย !!! เป็นอยู่เช่นนั้นครั้งแล้วครั้งเล่า

จึงถามว่า “ของจริงหรือฝันไป หากไม่ให้จับขอเอาไม้เคาะหน่อยได้ไหม? จะได้รู้” พูดแล้วจึงเอาไม้เคาะดู ได้เคาะอยู่หลายครั้ง มีเสียงแว่วกังวานทุกครั้ง


จากนั้นมีระฆังแก้วใสลอยมาเมื่อระฆังทองลอยหายไป จับไม่ได้เช่นกัน ใช้ไม้เคาะดังจนแสบแก้วหู แต่กลับไม่มีใครตื่น!!! ทุกคนหลับสนิท อะไรก็ช่าง!!! ทำไมจึงจะได้พบ ได้รู้ ได้เห็น ในสิ่งแปลก ๆ !!! แล้วทำไมไม่ให้คนอื่นรู้ด้วย?เพื่อเป็นประจักษ์พยานบุคคล ยังเป็นปริศนาอยู่จนถึงทุกวันนี้ หรือเป็นวาระเฉพาะของบุคคลผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องจึงรู้ไม่ได้ พบไม่ได้ เห็นไม่ได้ หรือเพื่อสร้างแรงบันดาลใจกับข้าพเจ้าให้เร่งภาวนา เพื่อให้หลุดพ้นจากการเป็นทาสของกิเลส รับใช้กิเลส จมปลักอยู่กับกิเลส เมาหมกอยู่กับกิเลสจนตาย แล้วคนอื่น ๆ เล่า ก็ไปปฏิบัติทุกข์ยากร่วมกัน ทำไมจึงไม่ให้เขาเหล่านั้นได้พบเห็น!!!

แต่ก็มีคำตอบอยู่อย่างหนึ่งที่พอจะอธิบายได้ ผลที่ปรากฏกับข้าพเจ้าได้แก่ ความศรัทธา มีความขยันหมั่นเพียรที่เพิ่มขึ้น มีจิตมั่นคง อดทน ละความลังเลสงสัยในจิตให้เบาบางลง มีจิตละเอียดอ่อนขึ้น รู้จักตัวเองมากขึ้น หนีจากการตกเป็นทาสอารมณ์ของตัวเองได้ มองดูรู้เห็นการเปลี่ยนแปลงของจิตภายในจิตของเราอย่างเป็นระบบ ละพยศ ลดมานะภายในจิตลงอย่างเห็นได้ชัดเจน มีความเชื่อตามเหตุผล มีสติสัมปชัญญะเจริญในจิตตลอดเวลา สามารถกำราบจิตของตนเองไม่ให้อหังการ จิตอ่อนโยนละเอียดประณีตมากขึ้น

ลัก...ยิ้ม 19-11-2010 07:38

เรื่องที่ได้พบข้าพเจ้าพิจารณาแล้วว่าจะไม่เล่าให้ผู้ร่วมปฏิบัติรับรู้ ดูเหมือนจะเป็นความลับที่ไม่สมควรเปิดเผย *เพราะหากจะให้มีผู้ใดได้รับรู้แล้ว เมื่อตอนใช้ไม้เคาะ เกิดเสียงดัง!! ก็คงจะปลุกให้ทุกคนตื่นขึ้นอย่างแน่นอน

ตั้งใจว่าหากมีผู้หนึ่งผู้ใดรู้เห็นเหตุการณ์ ก็จะต้องมีผู้ถามไถ่จึงจะเล่าให้ฟัง ไม่เช่นนั้นอาจมีผลกับตัวข้าพเจ้าก็ได้ จึงจะเก็บเป็นความลับ รู้เห็นเฉพาะตน พบเฉพาะตน หากผู้หนึ่งผู้ใดมีบุญคงจะได้พบเห็น และคงจะมาปรากฏให้ได้เห็นอย่างข้าพเจ้าเป็นแน่

ทั้งคิดว่าหลวงพ่อท่านคงจะรู้ หากท่านถามก็จะเล่าให้ทุกคนรับฟัง คงไม่เป็นโทษ ทั้งนี้เพราะเราไม่ได้เอามาพูดเอง มีผู้อื่นรู้เห็นซักไซ้ให้เราเปิดเผย จึงน่าจะไม่ใช่สิ่งที่เปิดเผยไม่ได้ หากไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดถามก็จะปล่อยให้เป็นความลับต่อไป*

ตอนเช้าหลวงพี่ทองสุกพาพวกเราเดินไปเหนือลำธาร ไปดูธรรมชาติ เดินไปเห็นก้อนหิน โขดหินที่ลำธารไหลผ่านมีสีดำเป็นประกายเงาคล้าย ๆ ปีกแมลงทับ นึกเอะใจ !!!

ตามที่รู้มาจากคำบอกเล่าของพระธุดงค์ ได้ถามหลวงพี่ ท่านบอกว่า “มันแปลก” เป็นอย่างที่เห็นทั้งลำธาร หลวงพี่บอก “ยิ่งแปลกกว่าที่เห็นอีก หอยขมที่อยู่ในน้ำทุกตัวจะถูกตัดก้นหมดทุกตัว หอยทุกตัวยังมีชีวิตอยู่!!!” ท่านจึงลงไปเอาขึ้นมาให้ดูกันทุกคน

ลัก...ยิ้ม 22-11-2010 07:37

จึงถามหลวงพี่ว่า “ทำไมเป็นอย่างนั้น?” ท่านบอก “ไม่รู้นะ แต่มีตำนานเล่ามา” ท่านจึงเล่าให้ฟังคร่าว ๆ ทุกคนพิจารณาหอยทุกตัวที่เอาขึ้นมาพร้อมทั้งฟังหลวงพี่เล่าตำนานอย่างสนใจ สำหรับข้าพเจ้าไม่ค่อยได้ฟังนัก มัวแต่คิดเรื่องต่าง ๆ รำพึงอยู่กับจิต นี่เราเข้าเขตชั้นนอกของเขาพนมฉัตรแล้วหรือ? เราเริ่มพบเส้นทางจะเข้าตามที่หลวงปู่เคยบอกไว้แล้ว ใช่ไหม?

นี่อาจเป็นการดลใจของหลวงปู่ให้ได้มาปฏิบัติที่นี่ ให้ได้พบเส้นทางจะเข้าเมืองแดนทิพย์ชั้นนอก แสดงว่าบริเวณนี้เป็นเขตเขาพนมฉัตรแน่ ระฆังแก้ว ระฆังทองเมื่อคืนคงเป็นสัญญาณบอกอะไรบางอย่างแน่นอน เหมือนจะบอกว่าใกล้ถึงแล้วแดนลี้ลับที่ทุกคนตามหา อยากเข้าไป อยากได้รู้ได้เห็นเป็นบุญวาสนา

ข้าพเจ้านั่งคิดไปเรื่อย ๆ จนพรรคพวกร้องเรียกจึงตื่นจากความคิดนั้น ได้เก็บเอาความสงสัยเอาไว้ในใจ คุมสติให้มั่นคง ไม่ตื่นเต้นกับสิ่งที่ได้พบ จิตสงบเป็นปกติ

วันนั้นทั้งวันไม่มีใครถามถึงเหตุการณ์ตอนกลางคืนที่ผ่านมา หลวงพี่ก็ไม่ได้ถาม ท่านปฏิบัติของท่าน พวกเราก็แยกย้ายกันหาที่สงบปฏิบัติธรรมกันเฉพาะตัว ส่วนข้าพเจ้าได้ที่เหมาะนั่งทบทวนเหตุการณ์เกิดความปีติในใจ เราอาจมีบุญจะได้เข้าแดนลี้ลับไม่วันใดก็วันหนึ่ง หลวงปู่คงจะดลใจพาเข้าไปเป็นแน่ นั่งคิดพิจารณาอยู่มีคำถามเกิดขึ้นมามากมาย เช่น แล้วทำอย่างไรเราถึงจะรู้ได้ว่า เราได้เข้าไปแล้วและเป็นเขาพนมฉัตรจริง? มีคำถามอีกมากมายที่จะคิด

ลัก...ยิ้ม 23-11-2010 07:42

อาบน้ำทิพย์จากน้ำตก

คืนที่สองหลังสนทนาธรรมกับหลวงพ่อ เมื่อแยกย้ายกันเข้ากลดของแต่ละคนแล้ว บ้างก็นั่งสมาธิ บ้างก็นอน บ้างก็นั่งคุยกัน ส่วนข้าพเจ้านั่งสมาธิอยู่ในกลดเป็นเวลาเท่าไหร่ไม่ทราบ

มีแสงสว่างจ้ามาแต่ไกล จิตขณะนั้นได้เจริญอยู่ในองค์ฌาณสี่ *จิตตกในอุเบกขารมณ์ อยู่ในขั้นสุญญตาสมาธิ จิตนั้นมีความสบาย สงบ ปลอดโปร่ง สงบแน่นิ่งไม่มีอารมณ์ใด ๆ ปรุงแต่งมารบกวน จิตแปลงรูปออกจากกายเป็นแสงพุ่งออกมาด้านหน้าผาก มารับกับแสงสว่างที่มาจากแดนไกล แสงที่ออกจากหน้าผากของข้าพเจ้าก่อตัวเป็นรูปใส มายืนดูกายหยาบของตัวเองที่นั่งเจริญกรรมฐานอยู่

ได้ยืนพิจารณาขันธ์อยู่พักหนึ่ง รูปทิพย์จึงเคลื่อนไปดูทุกคนที่กำลังหลับอยู่ในกลด เลยไปดูหลวงพ่อที่กำลังนั่งสมาธิ ท่านนั่งนิ่งไม่เคลื่อนไหว ที่หลวงพ่อมีแสงสว่าง แล้วเลยไปดูหลวงพี่ทั้งสององค์กำลังจำวัด ย้อนกลับไปดูผู้ร่วมปฏิบัติทีละคน ยืนพิจารณาธรรมจากรูปขันธ์ มองเห็นไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จิตมองเห็นเวทนาที่เราติดอยู่กับสิ่งที่ไม่มีตัวตนให้เป็นสิ่งที่มีตัวตน

สร้างอนิจจังความไม่เที่ยงให้มีความเที่ยง จนเกิดความทุกข์เพราะความไม่เที่ยง จิตยึดติดเป็นอุปาทานในสัญญา เป็นอย่างนี้ด้วยอำนาจของอวิชชา ก่อให้เกิดสังขารปรุงแต่งบังเกิดวิญญาณความรู้สึกสืบต่อกันไปอย่างนี้ เป็นวงจรของความทุกข์และสุขไม่มีที่สิ้นสุด ยืนปลงกิเลสอยู่เช่นนั้นเป็นเวลานาน

ไปยืนดูรูปกายตัวเองอีกพักหนึ่งจึงลอยตัวไปยังแสงสว่างที่อยู่ด้านหน้า จิตอยากรู้ว่าเป็นอะไร? เมื่อรูปทิพย์ของข้าพเจ้าไปใกล้เห็นน้ำตก ที่ตกมาจากหน้าผาสูงที่ไปดูมาตอนกลางวันนั่นเอง แต่ตอนกลางวันนั้นไม่เห็นว่ามีน้ำตกจากหน้าผานั้น

จึงเดินสำรวจรอบบริเวณเพื่อจดจำไว้ คิดว่าพรุ่งนี้จะมาดูอีกครั้งให้เห็นจริง เดินเลยไปยืนอยู่หน้าน้ำตก สังเกตหินที่ยืนอยู่ ทั้งสภาพรอบ ๆ จดจำไว้ในจิต ทั้งต้นไม้ กิ่งไม้ พุ่มไม้ และจำได้ว่าน้ำตกที่ไหลลงมาจากหน้าผานั้น มีแสงสว่างเป็นประกาย น่าแปลกตรงที่ว่าน้ำนั้นตกลงมาเกือบถึงพื้นก็จางหายไป!!!

รูปทิพย์ได้เข้าไปอาบน้ำตกจนเปียกทั้งตัว แต่ที่เท้าไม่เปียก น้ำนั้นเย็นชื่นใจ เมื่อได้อาบน้ำทำให้จิตเบิกบาน เมื่อน้ำถูกตัวมีแสงวิ่งเข้าไปในกายของเรา (รูปทิพย์) ทำให้กายของเราบังเกิดแสงสว่าง เมื่ออาบน้ำทิพย์จากน้ำตกเรียบร้อยก็กลับมายังกายรูป ยืนพิจารณาอยู่พักหนึ่งก็กลับเข้ากายรูปตรงหน้าผากเหมือนตอนออกไป เมื่อออกจากกรรมฐานก็จำเหตุการณ์ที่บังเกิดได้หมด
*

ลัก...ยิ้ม 24-11-2010 08:50

รุ่งขึ้นเสร็จกิจแล้ว จึงชวนกันขึ้นไปเหนือลำธารอีกครั้งหนึ่ง เพื่อไปดูหน้าผาที่มีน้ำตกลงมา ไปยืนที่ก้อนหินก้อนที่ยืนเมื่อคืน หินทุกก้อนที่จำไว้ไม่เคลื่อนไปไหน ทั้งต้นไม้ กิ่งไม้ พุ่มไม้ ก็เหมือนที่เห็นทุกประการ ผิดที่ไม่มีน้ำตกจากหน้าผาเท่านั้น

ข้าพเจ้าเริ่มคิด เมื่อคืนนี้เรามาที่นี่จริง ๆ แต่มาเป็นรูปทิพย์ และที่เราไปดูทุกคนไปยืนพิจารณาขันธ์ก็จำได้ทุกประการ จึงคิดต่อไปว่า นี่กระมังคำตอบที่ว่า ที่นี่เป็นเขตแดนเขาพนมฉัตรชั้นนอกอันเป็นดินแดนแห่งความลี้ลับ นี่เป็นเพียงข้อสงสัยจึงไม่ได้พูดกับใครในเรื่องนี้ รอการพิสูจน์ความจริงก่อน

อยู่ปฏิบัติจนครบห้าคืนก็เดินทางกลับเข้ากรุงเทพฯ ก่อนจะกลับหลวงพ่อได้เรียกเข้าไปปรึกษา ท่านบอก “จะเข้าไปปฏิบัติในป่าลึก ๕ คืน จะไปด้วยกันไหมในวันเข้าพรรษา” ข้าพเจ้าตรึกตรองแล้ว ทบทวนเหตุการณ์แล้ว คิดว่าอาจเป็นโอกาสเข้าแดนลี้ลับก็ได้ จึงตอบว่าจะไปด้วย พร้อมนัดวันเวลากำหนดการเดินทาง

ถึงวันเดินทางเข้าป่า คณะได้ไปพบหลวงพ่อตามวันเวลาที่ได้นัดหมาย กินข้าวเสร็จก็ออกเดินทางเข้าไปในป่าคนละเส้นทางกับครั้งก่อน นั่งรถออกจากสำนักที่พักของหลวงพ่อไปจอดรถไว้ชายป่า ออกเดินทางพร้อมแบกสัมภาระเดินผ่านที่ต่าง ๆ ไปไกลมาก เดินตั้งแต่เช้าถึงที่พักที่จะปฏิบัติประมาณสี่ทุ่มเศษ ขึ้นเขาลงเขา ผ่านทุ่งหญ้า ผ่านป่า สุดท้ายต้องปีนลงจากยอดเขาสูง ตอนปีนลงไม่รู้ว่าสูงเพราะเป็นเวลากลางคืน ช่วยประคองกันลงไป เกาะแง่หิน รากไม้ ลงไปถึงพื้นล่าง มีลำธารน้ำไหลผ่านเช่นกัน

จัดที่พักกันแล้วดูไม่ยุ่งยาก เนื่องจากหลวงพี่ทั้งสองได้เตรียมพื้นที่พร้อมทั้งอุปกรณ์ในการทำอาหารไว้ล่วงหน้าแล้ว คืนนั้นทุกคนพักผ่อนเพราะเดินทางกันมาเหนื่อยทั้งวัน ในป่าไม่มีอะไรน่ากลัว เรากลัวกันเอง จิตมันปรุงแต่งให้เกิดความกลัวไปต่าง ๆ นานา เข้าไปแล้วก็ไม่มีอะไร

พวกสัตว์ร้ายทั้งหลายที่เราหวาดระแวง พวกเขากลัวเราจะทำร้ายด้วยสัญชาตญาณจึงหลบ ยกเว้นจวนตัวหรือจนตรอกก็จะสู้สุดชีวิตเพื่อเอาตัวรอดเท่านั้น

สัตว์ที่น่ากลัวที่สุดสมควรระวังให้มากก็คือ สัตว์มนุษย์ ที่เราผจญอยู่ทุกวัน ต้องพบกับอารมณ์ที่หลากหลาย ทั้งคิดดี คิดชั่ว อีกทั้งหาทางประทุษร้ายอย่างแนบเนียน แยบยล ทั้งกระทำอยู่ตลอดเวลา ทั้งรัก ทั้งชัง ทั้งมุ่งร้าย ทั้งแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันด้วยอำนาจของตัณหาอุปาทาน ก่อให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สิน จิตใจและร่างกาย สามารถผลิตอาวุธที่ร้ายแรงมาทำร้ายกัน ร้ายเสียยิ่งกว่าพิษร้ายของสัตว์ต่าง ๆ มากนักเทียบกันไม่ได้เลย ป่าที่เราว่าน่ากลัว ไม่ใช่ป่าเขาลำเนาไพร แต่เป็นป่าคอนกรีตอันเป็นที่อาศัยของสัตว์มนุษย์เรานี่เอง

ลัก...ยิ้ม 25-11-2010 08:21

การเดินทางเข้าป่า ถ้าเราเข้าใจธรรมชาติของป่าจะไม่มีอันตรายใด ๆ มีแต่ความสงบ มีความเงียบสงัด ไม่วุ่นวาย กลับทำให้เราสามารถมองเห็นจิตของเรา มองเห็นอารมณ์ของเราเด่นชัด และค้นหาวิธีควบคุมกำลังจิตให้อยู่ในสภาวะจิตที่เราต้องการ หรือที่เรียกว่าสำรอกเอาความชั่วในจิตออก ได้แก่ กิเลส ตัณหา ราคะ โลภ โกรธ หลงให้ออกจากจิต ตัดกามคุณทั้งห้าประการออกเพื่อไม่ให้จิตคับแคบขาดเหตุผล

มองเห็นกระบวนการทำงานของจิตอย่างมีระบบ เป็นกระแสอย่างต่อเนื่อง อย่างกับกระแสน้ำที่ไหลไม่ขาดสาย มันจะไหลไปตามความปรารถนา ความต้องการทางอารมณ์นั้น ๆ หากจิตขณะนั้นอยู่ในกุศลจิต กระบวนของจิตก็คิดแต่สิ่งที่ดีทั้งกับตนเองและผู้อื่น จะคิดก็คิดแต่สิ่งที่ดีมีประโยชน์เรียกว่า กระทำอย่างนักปราชญ์ราชบัณฑิต เขาคิด เขาพูด เขาทำกัน

ในทางตรงข้าม หากจิตขณะนั้นอยู่ในอกุศลจิต ก็จะคิดกลับกันกับบัณฑิต คิดไม่มีเหตุผล คิดเห็นแก่ตัว ทำเห็นแก่ได้ พูดเห็นแก่ประโยชน์ มีความคิดเต็มไปด้วยอารมณ์มุ่งมั่นในทางอกุศลเพียงอย่างเดียว “สติก็ถูกอกุศลเข้าครอบ เข้ากำกับแทน” จะคิดไปทางไหนไม่ได้ นอกจากคิดตามที่ตั้งสมมุติฐานเอาไว้ เหตุผลที่คิดก็จะเป็นไปตามอกุศลจิตนั้น

ลัก...ยิ้ม 26-11-2010 09:02

ถ้าเราจะควบคุมกำกับจิตจะต้องสร้างปัญญาให้บริสุทธิ์ เพื่อสร้างวิชชาดับอวิชชา อกุศลก็จะดับ กุศลจิตก็จะเกิดแทนกระบวนการทำงานของจิต

ในช่วงนี้จะถูกสร้างกระแสจิตให้อยู่ในกุศล ที่มีอารมณ์แน่วแน่เป็นอารมณ์เดียวคือ กุศล ด้วยการสร้างสมาธิจิต การเจริญกรรมฐานสร้างปัญญาไปประหัตประหาร อวิชชาก็จะดับ สังขารก็จะปรุงแต่งแต่กุศล วิญญาณความรู้สึกจะอยู่กับกุศล นามรูปก็จะปรากฏแต่กุศล อายตนะก็จะถูกควบคุม ผัสสะก็จะถูกกุศลจิตเข้ากำกับ เวทนาความสุขโสมนัสเกิด ทุกข์โทมนัสจะดับ คงสภาวะของอุเบกขารมณ์

ตัณหา ความทะยานอยากก็จะหยุด อุปาทานการยึดมั่นก็จะคลาย ภพชาติก็จะไม่บังเกิดในจิต ความโศกเศร้าโศกาอาดูรก็จะดับไปด้วย ลักษณะเช่นนี้ความสุขจะบังเกิดเมื่อทุกข์ดับ กระบวนการนี้จะวิ่งอยู่ในจิตตลอดเวลา

ถ้าหากเกิดอกุศลจิตก็จะตรงกันข้าม บังเกิดทุกข์ คิดผิด ๆ อวิชชาเข้าครอบ แก้ปัญหาคือ ทุกข์ด้วยอารมณ์ ก่อความเดือดร้อนกับตนเองและผู้อื่น คิดทำอย่างไรก็ได้ขอเพียงแต่ได้มา จิตมีแต่มืดมัว ใครพูดตรงกับประโยชน์ของตนก็เป็นพวกกัน ใครพูดไม่ตรงประโยชน์ตนก็เป็นศัตรูกัน

ดังนั้นการกำกับจิตให้รู้จักเอาสิ่งที่ดีเข้าไป เอาสิ่งไม่ดีออกมาเป็นเรื่องสมควรที่ต้องศึกษา ต้องฝึกเพื่อสันติสุข ความเป็นอิสระของตัวเองจะได้อยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างไม่ทรมาน

คนที่ต้องทนทุกข์หาความสงบสุขไม่ได้ตลอดชีวิต น่าเสียดายสิ่งที่ทุกคนทำได้ แต่ไม่ทำ ไม่กล้าทำในสิ่งที่ดี ต้องซ่อนเร้นไม่กล้าประกาศ หลบ ๆ ซ่อน ๆ ซึ่งต่างกับการทำชั่ว กล้าทำ กล้าแสดงตัว กล้าประกาศ อย่างโกรธก็แสดงออกให้เห็นความอหังการ ความโลภแสดงให้รู้แล้ว อย่างนี้จะหาความสงบในสังคมได้อย่างไร?

ลัก...ยิ้ม 29-11-2010 09:24

นี่แหละธรรมชาติที่ได้จากการแสวงหาเดินป่า จากการเจริญจิต สัตว์ร้ายทั้งหลายที่อาศัยอยู่ในป่า ถ้าเราไม่ได้เข้าไปก็ทำอันตรายไม่ได้ เข้าไปมันยังหนี ไม่คิดทำอันตราย หากแต่ป่ามนุษย์ ป่าคอนกรีต เราต้องพบอยู่ทุกเวลา อันตรายยิ่งกว่ากันและมีอยู่ตลอดเวลา

สิ่งเลวร้ายมันอาศัยอยู่ในจิตก็เหมือนสัตว์ร้าย หากเราไม่ฆ่าทำลายมันทิ้ง มันก็จะทำลายตัวเรา เสมือนเรามีโรคร้ายอยู่ในตัว ไม่รักษามันจะทำลายล้างชีวิตเราในที่สุด รักษาหายแล้วต้องป้องกันไม่ให้มันเกิดอีก ทั้งต้องป้องกันโรคร้ายอื่น ๆ ไม่ให้บังเกิดในจิตของเรา

โรคที่อยู่ในจิตคือ กิเลส ตัณหา ราคะ อวิชชา ร้ายยิ่งกว่าโรคใด ๆ รักษายาก เมื่อเกิดขึ้นแล้วคนที่เป็นโรคทางจิตที่ไม่ยอมกินยา โรคก็จะเกาะกินอยู่ในจิตของแต่ละคน ให้อยู่กับความทุกข์เศร้าหมอง กระวนกระวาย รุ่มร้อน ฟุ้งซ่าน ผูกอาฆาตพยาบาท ถดถอย รันทด เบื่อหน่าย ท้อแท้ คิดหนี ดิ้นรนกระวนกระวายใจ ไม่กิน ไม่นอน อยู่ในอาการซึมเศร้า คิดท้อ คิดทำลายตนเอง ทำลายผู้อื่น ค้นหาวิธีอันเลวร้าย ว้าวุ่น จมปลักอยู่กับความชั่ว กลับตัวไม่ได้ ไม่รู้ถูกรู้ผิด คิดแต่จะได้ คิดแต่จะเอา คิดแต่ประโยชน์ คิดหาเล่ห์กลวิธีการ อย่างคำพังเพยที่ว่า “แม้ไม่ได้ด้วยเล่ห์ ก็ต้องเอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยกล ก็ต้องเอาด้วยเวทมนต์คาถา”

ลัก...ยิ้ม 30-11-2010 07:42

ลองพิจารณาว่ามันร้ายแรงน่ากลัวแค่ไหน ในสิ่งที่เราต้องผจญอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน อันตรายจะมาถึงตัวเราเมื่อไร ไม่อาจรู้ได้ ต้องอยู่กับความเสี่ยงไปวัน ๆ หนึ่ง มองไม่เห็น ป้องกันไม่ได้ ต้องทนอยู่กับสภาพอันเลวร้าย หวาดระแวง นอนสะดุ้ง คิดจนไม่ต้องหลับต้องนอน ร่างกายก็เสื่อมสูญคุณภาพ ระบบความคิดก็สลายคุณภาพไปด้วย

คิดแล้วน่าเศร้าเสียจริงชีวิตนี้ ทำอะไรผิด ๆ กรรมก็จะมาแสดงตัว มาสำแดงเดชเดชาอานุภาพให้เป็นไปตามกรรม *ใครจะยืนรอให้รถมาชน กรรมมาประชิดตัวก็เป็นสิทธิของเขา ใครจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวคงไม่ได้*

“ชี้ทางให้ไปแล้วไม่ไป ให้ยาไปกินแล้วไม่กิน โรคคงไม่เบาบางสลายหายได้” จิตมันจะสร้างภาพหลอน หลอกตัวเรา พร้อมทั้งตะคอกตัวเราไม่ให้คิด ไม่ให้ทำ ไม่ให้พูดในสิ่งที่ไม่ต้องการ

จงหลับตาย้อนดูในอดีต เมื่อเราจะไปทำบุญสวดมนต์ไหว้พระ ไปทำความดี จิตในฝ่ายอกุศลก็จะตะคอกออกมาต่าง ๆ นานา ไม่ว่าง ไม่จำเป็น เสียเวลา เสียเงิน เสียทอง ค่อยทำวันหลัง เหนื่อยอยากพักผ่อน ที่ทำอยู่แล้วดีแล้ว ไม่ทำเราก็อยู่ดีกินดีอยู่แล้ว คนที่เขาทำไม่เห็นมีอะไรดีกว่าเรา ยังทุกข์ยากกว่าเรา

*ในทางกลับกันถ้าจิตชอบจะชั่ว ก็หาเหตุผลส่งเสริมให้ไปทำ เช่น* เขาเป็นเพื่อน เป็นพวกพ้อง ขัดไม่ได้ ต้องเข้าสังคม เราอยู่คนเดียวไม่ได้ต้องพึ่งพากัน เดี๋ยวถูกตำหนิ เดี๋ยวถูกรังเกียจ เราต้องอยู่กับสังคม เราต้องมีเพื่อน ไม่ว่าจะดึกแค่ไหน สถานที่อย่างไรก็จะไป แม้จะทิ้งครอบครัวไปให้เวลากับเรื่องต่าง ๆ ดังกล่าว แล้วเสียเงินเสียทองก็ไม่กลัว กู้หนี้ยืมสินก็ไม่ว่า ท่องไปในโลกของโลกียวิสัย สนุกเพลิดเพลินกับมันอย่างสุดเหวี่ยง พึงพอใจในสภาพชีวิตอย่างนี้ ใครเตือนก็โกรธเคืองกลายเป็นศัตรูกัน ไม่คบค้าสมาคมกัน

ลัก...ยิ้ม 02-12-2010 08:09

พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า “กรรมเป็นเครื่องจำแนกสัตว์ให้เลวและประณีตต่างกัน ในหมู่สัตว์ที่มีกรรมเหมือนกันย่อมเข้าใจ ยอมกันในหมู่สัตว์ประเภทนั้น”

จริงอย่างที่พระองค์ทรงตรัสสอนเอาไว้ คนชอบเที่ยวย่อมเข้าใจกันในหมู่คนที่ชอบเที่ยว คนรักความสงบก็จะเข้าใจกันในหมู่ ชอบอย่างไรก็จะคบกันอยู่อย่างนั้น นักปฏิบัติก็จะคบกับนักปฏิบัติ

หากรู้จักแยกดีชั่วแล้วให้เจริญแต่กรรมดี สันติสมานฉันท์ก็จะบังเกิดในสังคม มีความสุข ไม่เบียดเบียนต่อกัน ก็จะบังเกิดสันติธรรมปรากฏในภาพรวม บ้านเมืองไม่วุ่นวาย ทุกคนอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ กฎหมาย ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรมเดียวกัน ต่างปฏิบัติให้เป็นไปตามเงื่อนไขข้อตกลงร่วมกัน

ไม่ใช้โอกาสช่องว่างแสวงหาอำนาจอันไม่ชอบธรรม อยู่กับความถูกต้องไม่ใช่ถูกใจ ถูกใจอาจไม่ถูกต้อง ถูกต้องอาจไม่ถูกใจ แต่ต้องมองกันด้วยจิตใจอันเป็นกลาง มีเสรีภาพอิสรภาพที่อยู่บนพื้นฐานกฎเกณฑ์อันถูกต้องในเงื่อนไขเดียวกัน

คนเราอย่าคิดว่าแค่เกิดแล้วสลาย มันมีท่ามกลาง ท่ามกลางนี่แหละสำคัญนัก มันมีกรรมเป็นเครื่องหนุนให้เราก่อพฤติกรรม ดีชั่วไปพร้อม ๆ กัน สร้างความสงบ สร้างความเดือดร้อนควบกันไปไม่สิ้นสุด มันสร้างภาพ สร้างภูมิ สร้างชาติในการเวียนว่ายตายเกิด

การปฏิสนธิวิญญาณใหม่ตามกระแสของกรรม รู้ดีทำดี ไปดี รู้ชั่วทำชั่ว ไปชั่ว มันเป็นอย่างนี้ไม่มียกเว้น ทุกชาติ ทุกภาษา ทุกเพศ ทุกวัย ทุกชั้นวรรณะ นี่แหละท่ามกลาง จึงมีความสำคัญต่อชีวิตต่อการสืบสานภพชาติ ต่อความสุขความเจริญ ต่อความทุกข์ยากลำบากยากเย็นเข็ญใจ ต่อความสำเร็จสมหวัง ต่อความได้มา ต่อความสูญเสีย ต่อผลวิบากกรรม

เขาให้เราสร้างของเราเอง สร้างดีกับสร้างชั่ว เขาให้เรามาชดใช้หรือเรียกว่าเสวยผลของวิบากในอดีตชาติ ให้เรามาเรียนรู้ กลับเนื้อกลับตัวให้ทำแต่ดี ละทำชั่ว ฝึกจิตให้พ้นจากอำนาจฝ่ายต่ำ สร้างสมบุญบารมี บุญวาสนาไว้เป็นทุนทรัพย์ในการเวียนว่ายท่องกระแสกรรมดีกรรมชั่ว

ให้ได้รู้เห็นสถานภาพการดำรงชีวิตของสัตว์โลก ที่แตกต่างกันด้วยผลกรรม เป็นบทเรียน เป็นมหาวิทยาลัยของชีวิต ผู้มีปัญญาย่อมมองเห็นในเหตุผลข้อนี้ เกิดความกระจ่างสว่างในจิต เกรงกลัวกระแสของอกุศลวิบากกรรม ไม่นำตัวไปให้ไฟนรกแผดเผาจิตของเรา ให้ไหม้ไปด้วยอำนาจของกิเลส

ลัก...ยิ้ม 03-12-2010 08:36

กระทำชั่วแล้วเกิดความสำนึก คิดทำดีแก้ตัวล้างวิบากกรรมชั่ว เหมือนอาบน้ำฟอกสบู่ชำระความสกปรกของร่างกาย ใช้หลักธรรมที่พระพุทธองค์ทรงสอนชี้ทางแห่งความสุข ชำระจิตให้ผ่องใส ละจิตที่ชั่วมัวหมอง ให้ได้จิตดีมีความสะอาดก็จะสมประสงค์ที่ได้เกิด ได้อยู่ในท่ามกลาง ในที่สุดก็จะไปดีมีภูมิภพที่ดี เกิดในชาติไหน ๆ ก็จะดี หนีความทุกข์ยากได้ หนีความเลวร้ายที่เราไม่ต้องการ

นี่คือที่บอกว่า เรามาทำอะไรหนอ? มาเพื่อเหตุนี้ มาสร้างภูมิปัญญาธรรม มาชุบตัวเหมือนเมื่อพระสังข์ทองลงอาบน้ำในบ่อทอง ตัวจึงเป็นสีทองสวยงาม แต่เราเอาจิตมาอาบน้ำธรรม อาบคุณงามความดี สร้างสมบารมี สร้างภพ สร้างชาติ มาทำลายความไม่ดี อันเป็นเหตุแห่งความเสื่อมในชีวิต คิดอย่างประเสริฐ คิดอย่างเป็นคนดีมีปัญญาธรรม ก็จะอยู่ในโลกใบนี้อย่างมีคุณค่า อยู่ชำระจิตให้หมดจดจากกิเลสเรื่องเศร้าหมองทั้งหลาย อยู่เพื่อไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดสร้างอกุศลวิบาก ก็ต้องปฏิบัติตามคำที่พระพุทธองค์ทรงสอนพุทธบริษัทสี่ให้บรรลุธรรมอันวิเศษ เข้าสู่แดนอริยบุคคลความเป็นพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ในที่สุดนับว่าถูกต้อง

ได้ไม่ครบ แต่ถ้าได้ขั้นหนึ่งขั้นใดก็นับว่าดีอยู่แล้ว ประเสริฐแล้ว เห็นแสงสว่างอยู่รำไร เดินเข้าไปใกล้ก็จะสว่างมากขึ้น เหมือนเมื่อเห็นแสงจากที่ไกล ๆ ส่องมา เมื่อเดินเข้าไปดูก็จะรู้ว่าเป็นอะไร? เพียงแต่อย่าสกัดกั้นตัวเองโดยบอกทำไม่ได้ จริงแล้ว ทำได้ทุกคนเพียงตั้งจิตให้มั่นที่จะปฏิบัติตามรอยพระพุทธองค์ จากอดีตจนปัจจุบันยังมีผู้ได้บรรลุธรรมขั้นสูง

ตราบเมื่อเอาจิตไปเรียนรู้ อาศัยจิตผู้อื่นเราไม่มีโอกาสจะค้นพบบรรลุได้ อย่างที่เราแสวงหาไปกราบพระอริยสงฆ์ กราบร้อยครั้งเราก็ยังเป็นเรา ท่านก็เป็นท่านอยู่ร่ำไป เราไปอาศัยจิตท่านไม่ได้

อย่าเดินทางผิดเสียเวลา หากคิดผิดกลับใจใหม่ ก็ไม่สาย จะสายก็ต่อเมื่อไม่ได้คิด ไม่ทำ ไม่กลับใจ เป็นเช่นนี้ไม่ใช่สายไป สมควรพูดว่าหมดเวลาเสียมากกว่าจึงจะถูก อาจบอกว่าสิ้นหวังแล้วชีวิตนี้ แต่ผู้มีปัญญาจะไม่รำพึงพูดอยู่อย่างนี้ เขาจะบอกว่าเมื่อยังมีชีวิตอยู่ ยังไม่สิ้นหวัง

ลัก...ยิ้ม 07-12-2010 08:14

โอกาสยังเปิดอยู่ ประตูแห่งความสำเร็จยังเปิดรับ ยังรอให้เข้าไป ยังท้าทาย เรียกร้องให้ทุกคนเข้าไป เข้าไปรู้ เข้าไปเรียน เข้าไปเพียร เข้าไปลิ้มรสชาติแห่งความสงบ ความสะอาดของจิต ให้เห็นจริงรู้จริงด้วยจิตเรา เข้ารับกระแสด้วยตนเอง ลิ้มชิมดูเอง พบทุกคนเห็นทุกคน

ถ้าเข้าไปท่องในดินแดนมหัศจรรย์ โลกแห่งความเร้นลับคือ โลกของจิตวิญญาณอันกว้างใหญ่ไพศาลเหลือคณา มีเรื่องมากมายให้เรียนรู้ มีหลักสูตรให้เรียนอย่างเป็นระบบ มีผลการทดลอง มีผลองค์ความรู้ที่ได้ศึกษา มีความสนุกเพลิดเพลินเกินกว่าที่คิด มีประโยชน์เกินจะหาเรียนได้จากที่ไหน ให้เข้าไปเรียนในจิตของเรานั่นแหละ ไม่ต้องไปไกล ไม่ต้องสอบเข้า เข้าได้เลย เรียนได้เลย มีครูคอยสอนอยู่แล้ว คอยอบรมอยู่แล้วคือ สติสัมปชัญญะ คอยแยกแยะอธิบายให้เราทุกเมื่อ ไม่มีเหน็ดเหนื่อย ไม่เกียจคร้าน ไม่มีเวลาพัก ไม่ต้องจ้าง เขาทำหน้าที่ของเขาเอง

เขาจะสอนให้เราดีก็ได้ สอนให้เราชั่วก็ได้ เพียงแต่ขอให้เราบอก ไม่ขัดข้อง ต้องการดีเขาจะสอนอย่างดี ต้องการชั่วเขาจะสอนกลเม็ดความชั่วให้ ครูคนนี้เขาตามใจเราอยู่เสมอ ไม่ขัดใจลูกศิษย์ที่สนใจเรียน

เห็นไหม ในโลกอันลี้ลับนี้ครูเขาตามใจผู้เรียน ครูคนนี้แปลก !!! ไม่เกลียด ไม่รักลูกศิษย์ที่เรียนวิชากับเขา เรียนเรื่องดีก็ส่งเสริม เรียนเรื่องไม่ดีก็ส่งเสริม บอกกล่าวหลักการ วิธีการให้เสร็จ ทั้งบอกกลเม็ดเด็ดพรายอย่างละเอียด ดีก็ให้ดีถึงที่สุด ชั่วก็สอนให้ชั่วสุดขั้วเช่นกัน

ทำชั่วเรียนง่ายเป็นวิชาชั้นต่ำ ทำดีเรียนยากเป็นวิชาชั้นสูง ต้องเรียนละเอียดถี่ถ้วน ไม่มีใครใคร่อยากเรียน ทั้งต้องทำปริญญานิพนธ์ส่งอีก ต้องทดลอง ต้องวิเคราะห์สังเคราะห์อย่างละเอียด แล้วต้องนำผลมาใช้ให้ได้ แล้วยังต้องทดลองต่อ ๆ ไปจนพบข้อเท็จจริงที่ไม่เปลี่ยนแปลงด้วย นี่คือโลกของจิตวิญญาณ มีความเป็นวิทยาศาสตร์ตลอดเวลา

ลัก...ยิ้ม 08-12-2010 08:19

พบนางกินรี

เช้าวันรุ่งขึ้นพากันไปสำรวจพื้นที่เพื่อหาที่สงบ ที่เหมาะสมจะปฏิบัติธรรม เดินทางไปเหนือลำธารน้ำ ต่างคนต่างหาที่ที่เหมาะสมตามความพอใจของแต่ละคน ต่างคนต่างปฏิบัติกัน

ส่วนข้าพเจ้าเดินตามธารน้ำไปเรื่อย ๆ จนได้ที่ที่พึงพอใจก็นั่งปฏิบัติธรรม ขณะที่นั่งเจริญจิตอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงเล่นน้ำกันสนุกสนาน ส่งเสียงดังอยู่ไม่ไกลนัก *จิตนึกสงสัยว่า ในป่าลึกเช่นนี้จะมีผู้หญิงชาวบ้านที่ไหน ? เธอมาเล่นน้ำกันหลายคนอย่างสนุกสนาน บ้านคนก็ไม่มี หรือแถวนี้จะมีชุมชน !!!*

ในจิตหนึ่งคิดว่าคงไม่มี เพราะมันไกลมาก ไกลแค่ไหนไม่รู้ เดินเข้ามาตั้ง ๑๔ ชั่วโมง เดินมาก็ไม่พบบ้านคนเลย พบแต่ป่าเขา ทุ่งหญ้า ความอยากรู้มีอำนาจมากกว่าความสงบเสียแล้ว

จึงต้อง
ลืมตาขึ้นดูอย่างช้า ๆ ตั้งสติไว้ก่อน แล้วเห็นผู้หญิงจำนวนมากกำลังเล่นน้ำ ไม่ได้กลัวเราเลย ไม่ได้อายสายตาที่มองไปสัมผัสเรือนร่างของพวกเขา ภาพที่เห็นนั้น ท่อนบนไม่มีผ้าปิด มองเห็นปทุมถันชัดเจน ส่วนล่างมีขาเป็นขานก

ลัก...ยิ้ม 09-12-2010 09:52

เห็นแล้วนั่งพิจารณา นี่คือตัวกินรีในหนังสือวรรณคดี มันเป็นจินตนาการแต่ทำไมมีจริง ๆ ผิวพรรณก็งาม ใบหน้าก็สวย ผมยาวสลวยดำเป็นมัน นี่แดนอะไรกันแน่ !!!

ใช้มือขยี้ตาทั้งสองข้างเพื่อให้มั่นใจ พวกเขาเล่นน้ำจนเพียงพอ ต่างก็บินขึ้นฟ้าหายไป นั่งตกภวังค์อยู่พักหนึ่ง คิดไปเรื่อย ๆ ตัวกินรีมีจริงหรือ!!! ไม่มีทำไมจึงเห็นภาพปรากฏตรงหน้า ไม่ใช่มายาจิต เป็นภาพจริงให้เห็น เขามีชีวิตจิตใจ สนุกสนานกับการเล่นน้ำ พวกเขาจะเห็นเราหรือไม่ ไม่รู้ แต่เราเห็นเขาแน่ เห็นจนบินขึ้นฟ้า ปีกมาจากไหนก็ไม่ทันเห็น

ตอนอาบน้ำภาษาที่พูดคุยกัน เราฟังไม่รู้เรื่องไม่เคยได้ยินมาก่อน จากกริยาอาการเขาสนุกสนานเหมือนพวกเรา ไม่คิดมาก่อนว่าจะได้เห็น จะเรียกใครมาดูก็ไม่ทันเพราะอยู่ห่างกัน หรือเกิดมายาภาพไม่รู้ได้ รู้แต่ว่าได้เห็นกับตาตัวเอง แสดงให้เห็นจินตนิยายเรื่องกินรี ผู้เขียนคงมีฐานที่มาในการเขียน การสร้างเรื่อง การเดินเรื่อง คงจะแต่งเติมให้สนุกมีคติธรรม ก่อนนั้นเข้าใจอย่างหนึ่งแต่บัดนี้เข้าใจอีกอย่างหนึ่ง

ใครบอกว่าตัวกินรีไม่มี ข้าพเจ้าตอบว่ามี แต่คงไม่ถกเถียงกับใคร ๆ ในเรื่องนี้ คำตอบคงเหมือนกัน แรก ๆ คิดว่าจินตนาการเอา เมื่อได้พบเห็นความคิดก็เปลี่ยนไป เราไม่อาจเปลี่ยนความคิดของใครได้ เราเปลี่ยนแต่ความคิดของเรา เราห้ามไม่ได้ที่คนจะขัดแย้ง

เราบอกได้ว่าจริงหรือเท็จ รู้ว่าจริงมันอยู่ตรงไหน จริงอยู่ที่ได้เห็น เท็จอยู่ที่ไม่ได้พบเห็น เพียงแต่คิด จิตเราเป็นใหญ่ จิตเรารู้ จิตเราเข้าใจ องค์ความรู้ทางปัญญาอยู่ที่จิตเรา จิตเราจำแนกถูกผิด จิตเราแปรเปลี่ยน จิตเราตื่น จิตเราสงบ จิตเราแปรปรวน จิตเรารวนเร จิตเราเข้าถึงเข้าไม่ถึง จิตเราจะไม่เชื่อ ล้วนแต่เราทั้งนั้น

ลัก...ยิ้ม 09-12-2010 17:25

นี่คือธรรมชาติของจิตบางส่วนที่จำแนกมาพอเข้าใจ พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า “เราไม่รบกับโลกนี้ ไม่มีประโยชน์อะไร ถูกในข้อเท็จจริงกับถูกสมมุติบัญญัติมันแตกต่างกัน มันเทียบกันไม่ได้"

เพื่อให้แน่ใจจึงลุกขึ้นเดินไปดูสถานที่ตัวกินรีเล่นน้ำ ปรากฏว่าเป็นบึงกว้าง น้ำใส เป็นธรรมชาติที่พบเห็นได้ ยืนพิจารณาอยู่พักหนึ่งคิดว่า นี่คือแดนลี้ลับเขาพนมฉัตร!!! แต่ทำไมไม่เห็นมีอะไรผิดแผกไปจากธรรมชาติทั่ว ๆ ไป หลวงพ่อก็ไม่พูด หลวงพี่ก็ไม่บอกอะไร เหมาะกับการแสวงหาความสงบที่จะศึกษาดูจิตของตนเอง

อย่างหลวงปู่ว่า ให้กล่อมเกลี้ยงเลี้ยงจิตของตนเองให้เหมือนแม่เลี้ยงลูก ต้องเอาใจใส่ ตามดู ตามรู้ ตามทันอยู่ตลอดเวลา ไม่ละเลย ไม่เผลอไผลแม้แต่วินาทีเดียว สติต้องอยู่ตลอด ระลึกได้ รู้ตัวทุกลมหายใจเข้าออก คอยติง คอยเตือน คอยตำหนิจิตอยู่อย่างสม่ำเสมอ เมื่อเห็นแล้ว พิจารณาแล้ว จึงกลับไปรวมกับพรรคพวกเพื่อกินอาหารกลางวัน

ค่ำคืนนั้นปฏิบัติธรรมตามปกติ เรื่องที่พบไม่ได้พูดกับใคร พิจารณาว่า หากเราพูดทุกคนต้องอยากพบ อยากดู อยากเห็น ก็ไม่รู้จะเอาที่ไหนให้ดู เพราะมันเกิดแล้ว ดับไปแล้ว เป็นอดีตไปแล้ว หาภาพนั้นให้ดูไม่ได้อีกแล้ว จะพาไปก็คงเห็นแต่บึงน้ำ อาจจะบอกว่าเราโกหก พวกเขาก็จะต้องไปเฝ้าดู ไม่ต้องไปปฏิบัติกัน แต่พรุ่งนี้พาไปปฏิบัติธรรมใกล้ ๆ กัน คิดว่าเผื่อมีบุญคงได้เห็นเขามาเล่นน้ำกันอีก พวกเขาจะได้เห็นเป็นบุญ

ลัก...ยิ้ม 13-12-2010 11:03

ตอนดึกทุกคนปฏิบัติกันอยู่ในกลด จะหลับกันหรือไม่ ก็ไม่ได้ดู มันมืด ขณะที่นั่งสมาธิอยู่ มีเสียงคนมาเรียกจะขอสนทนาด้วย จึงลืมตาออกจากสมาธิ

ช่างน่าทึ่ง !!! บริเวณนั้นสว่างเหมือนกลางวัน มองเห็นสภาพแวดล้อมเดิมที่เราอยู่ ที่เราทำกิจกันทั้งวัน โขดหิน ลำธาร พื้นดินก็ที่ตรงนั้น

คนที่มาหาเป็นผู้ชายและผู้หญิงนุ่งขาวห่มขาวไว้ผมยาว ผิวพรรณงดงาม หน้าตาดี สุภาพเรียบร้อย อายุดูไม่มาก ไม่มีอาการของผู้สูงอายุ พูดจายิ้มแย้มดูโอบอ้อมอารี ผู้ชายบอกข้าพเจ้าว่า ”จะพาไปเที่ยวในเมือง” จึงถามเขาว่า “ในเมืองไหน มีแต่ป่า" เขาบอกว่า "เมืองพนมฉัตร”

จากคำบอก ทำให้ข้าพเจ้าขนหัวพองเหมือนถูกผีหลอก ตัวพองเหมือนลูกโป่ง เขาพูดต่อ “ตอนกลางวันได้พบแม่กินรีแล้วใช่ไหม? นั่นแหละเขาอยู่ในเมือง ยังมีสัตว์ในหิมพานต์อีกมากอยู่ในเมืองพนมฉัตร พวกเขามาเล่นน้ำแสดงตัวให้เห็น จะไปเที่ยวไหม? หลวงปู่ให้มารับไปดู” จึงถามว่า “หลวงปู่อยู่ไหม?” พวกเขาตอบว่า “ไม่อยู่ ท่านมีกิจ”

ข้าพเจ้าจึงถามว่า “เข้าแล้วออกได้ไหม?” ชายผู้นั้นตอบว่า “ได้ จะพามาส่ง มันเป็นมิติซ้อนมิติอยู่” ถามว่า “ทำไมไม่ชวนผู้ร่วมปฏิบัติธรรมคนอื่นเข้าไปด้วย” เขาตอบว่า “หลวงปู่บอกมาแค่นี้ จะทำนอกเหนือไม่ได้ หากจะเข้าก็ให้ตามไป ไม่เข้าก็ไม่บังคับ ที่นั่นเป็นดินแดนแห่งความสงบ ผู้คนเขาปฏิบัติธรรมกันอยู่ อยากเข้าก็ไม่ได้เข้าหากหลวงปู่ไม่อนุญาต”

จึงตัดสินใจเดินตามชายหญิงคู่นั้นไป เดินข้ามลำธารไปชายป่าก็เจอประตูเมืองทำด้วยหินแกะลวดลายสวยงาม เดินผ่านประตูเมืองเข้าไปข้างในมีปราสาทหิน เหมือนปราสาทหินพนมรุ้งหรือปราสาทหินพิมายจำนวนมาก ผู้คนในนั้นทั้งชายและหญิงนุ่งขาว ไว้ผมมวยกันทุกคน ไม่มีคนแก่มีแต่หนุ่มสาวผิวพรรณงาม หน้าตาดี สุภาพเรียบร้อย เดินเข้าไปเขาทักทายยิ้มให้ มีผู้ปฏิบัตินั่งสมาธิกันอยู่มากมาย ทั้งพระภิกษุสงฆ์ ฆราวาสล้วนปฏิบัติกัน

ลัก...ยิ้ม 14-12-2010 09:05

ชายผู้นั้นได้พาข้าพเจ้าไปจนทั่ว ในเมืองล้วนทำด้วยหิน วิหารต่าง ๆ ผนังแกะสลักสวยงาม ชายผู้นั้นได้พาไปอาบน้ำตกที่ได้เคยอาบมาแล้วตอนถอดกายทิพย์ไป เขาเอาผ้าให้เปลี่ยน คราวนี้ไปด้วยกายหยาบ เปียกทั้งตัวแต่เท้าไม่เปียกเพราะน้ำตกไม่ถึงพื้น หายไปไหนไม่รู้ ได้แต่คิดว่าเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์แน่

ชายผู้นั้นบอก “มีบุญนักแล้ว ได้อาบน้ำทิพย์อันทรงศักดิ์สิทธิ์ จะมีประโยชน์ในวันข้างหน้าต่อไป จะเข้าออกเมืองนี้ได้ต่อเมื่อหลวงปู่ท่านสั่ง" จากนั้นพาเข้าไปในวิหารไปกราบพระพุทธรูปทำด้วยหินเช่นกัน *

แล้วจึงพาเที่ยวต่อไป ได้เห็นความเป็นอยู่ในเมืองพนมฉัตรมีสัตว์แปลก ๆ ไม่เคยเห็น ไม่ดุร้าย อยู่กันเป็นกลุ่ม ชายผู้นั้นบอกว่าเขาบำเพ็ญศีลเหมือนกัน พวกเขาเฝ้าอยู่ในบริเวณนี้ ใครรุกล้ำเข้าไปเขาจะมาขวาง เขาแปลงรูปได้ต่าง ๆ นานา !!! แต่ไม่ทำร้ายใคร ทำให้กลัวเท่านั้น เขาเป็นมิตรกับทุกคน

ทุกคนที่นี่กินอาหารทิพย์ ไม่ยุ่งยากเหมือนเมืองข้างนอก มีแต่กลางวัน ไม่มีกลางคืน ไม่มีร้อนหนาวอย่างที่เห็นนี่แหละ

จึงถามต่อไปว่า “จะไปเล่าให้ทุกคนฟังได้ไหม?” ชายผู้นั้นตอบว่า “ไม่ได้ห้าม แต่ใครจะเชื่อ? เล่าแล้วมีอะไรดีขึ้น ใครจะมาก็มาไม่ได้ มาก็หาไม่พบ ยืนอยู่กลางเมืองแท้ ๆ ก็ยังไม่รู้!!! แล้วจะเล่าไปทำไม? ใครจะรู้นอกจากตัวเรา อาจทำให้คนทั่วไปเดียดฉันท์เอาใช่เหตุ เป็นบาปต่อเขาเหล่านั้นโดยไม่รู้ตัว หลวงปู่เพียงให้เข้ามาดูเท่านั้น ไม่ได้สั่งอะไรนอกจากให้พามาอาบน้ำทิพย์ ออกไปแล้วในอนาคตอาจจะต้องเข้ามาอยู่ที่นี่ก็ได้ เพราะได้อาบน้ำทิพย์ทั้งกายในกายนอก"

เรื่องต่าง ๆ จึงเป็นความลับต่อไป กระทั่งข้าพเจ้าคิดจะเขียนเรื่องราวฝากไว้กับโลกใบนี้ จึงตัดสินใจจะเล่าให้ได้รับรู้เผื่อท่านทั้งหลายจะมีโอกาส ได้เวลาเขาก็นำมาส่งใกล้สว่างพอดี

จึงต้องกราบคารวะหลวงพ่อสัมฤทธิ์ หลวงพี่ทองสุก หลวงพี่ณรงค์ ได้ให้โอกาสนี้จึงได้เข้าสู่แดนทิพย์ที่เรียกเขาพนมฉัตรหรือเมืองพนมฉัตร ทำให้ได้มีเรื่องเร้นลับกลับมาเขียนบอกเล่าให้ผู้สนใจได้อ่าน และขอบอกว่าอยู่บนโลกใบนี้ อย่าประมาท ยังมีอะไรอีกมากแม้แต่ข้าพเจ้าเองก็ไม่รู้ ไม่ได้พบอย่างพระอริยสงฆ์ท่านได้พบ ได้เล่าบอกกล่าวจนเราอยากรู้ อยากเห็นกัน ทั้งนำมาเล่าต่อ ๆ กันไป

อยู่จนครบ ๗ วันก็เดินทางกลับ ได้เข้าแดนลี้ลับตามที่หลวงปู่บอกไว้ เหลืออีกสองที่คือ ภูเขาอีด่างกับภูเขาควาย ยังไม่รู้จะได้ไปไหม? ถ้าได้ไปคงมีเรื่องมาเขียนเล่าสู่กันฟังในโอกาสหน้า ทั้งตัวข้าพเจ้าเองก็ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน แต่มีผู้รู้บอกว่าอยู่ในฝั่งลาว*

ลัก...ยิ้ม 15-12-2010 08:14

พบกระแสบุญชั่วนิจนิรันดร์

จากนั้นมาได้เที่ยวพาสมัครพรรคพวกไปปฏิบัติธรรมกันหลายที่ในประเทศ ทั้งภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ ภาคตะวันตก ภาคตะวันออกจนถึงปัจจุบัน

เมื่อมีเวลาว่างราชการหยุดติดต่อกันหลายวัน เราจะชวนกันไปแสวงหาความสงบไม่ได้ขาด แม้ไม่ได้ไปไหน ทุกวันเราก็จะสวดพระพุทธมนต์ เจริญกรรมฐาน สนทนาธรรมกันเป็นกิจวัตรประจำ ไปราชการก็หากำไรชีวิต ไปวัดไหว้พระ สวดมนต์ บางครั้งเราจะสวดตั้งแต่หัวค่ำจนสว่างก็มี เพื่อสร้างขันติ วิริยบารมี ทั้งเจริญสัจจะบารมีไม่ได้ขาด

ครั้งหนึ่งได้ไปปฏิบัติธรรมที่ถ้ำพระธาตุ จังหวัดกาญจนบุรี ก่อนเข้าพรรษาปฏิบัติอยู่ ๕ วัน ตั้งใจกันในวันเข้าพรรษาจะถวายเทียนพรรษา ๙ วัด พร้อมทอดผ้าป่า ๙ วัดตามกำลังของคณะที่ไปปฏิบัติ สถานที่แห่งนั้นอยู่ในความดูแลของกรมป่าไม้ เราได้ไปร่วมปฏิบัติ *มีเจ้าหน้าที่ของกรมป่าไม้คนหนึ่งช่วยอำนวยความสะดวกให้ได้เข้าไปพักปักกลด (ซึ่งปกติเขาไม่ให้เข้า)*

แต่เราโชคดีที่ได้ปฏิบัติในถ้ำวิจิตรพิสดารทั้งสวยงามและมีเทวดาดูแล มีหินประหลาดก้อนหนึ่งปักอยู่บนพื้นมีลักษณะเหมือนฝ่ามือข้างขวา ใช้ไฟฉายส่องทะลุได้ ถ้ำนี้เป็นถ้ำมืด ที่หินก้อนนั้นมีพลังอำนาจเร้นลับ เมื่อเอามือไปจับจะมีพลังวิ่งเข้าสู่ร่างกายเรา

ไม่มีอะไรมาก ปฏิบัติกันไปสนทนากันไป เที่ยวนี้ไปกันยี่สิบกว่าคน ครบวันที่ ๕ เป็นวันเข้าพรรษาพอดี ออกจากปฏิบัติได้ไปตระเวนถวายเทียนพรรษา ทอดผ้าป่า ๙ วัด ถวายได้ ๘ วัด วัดสุดท้ายเข้าไปถวายในเมืองกาญจนบุรีที่วัดไชยชุมพลชนะสงคราม ไปถึงตอนใกล้มืดพระท่านลงอุโบสถกำลังปลงอาบัติกันอยู่ ๘๔ รูปพอดี

จึงนำเทียนเข้าไปถวาย ท่านเจ้าคุณพระธรรมคุณาภรณ์ (ไพบูลย์ กตปุญฺโญ ป.ธ.๘) เป็นเจ้าอาวาส ท่านบอกว่าโชคดีแล้ว ให้รอก่อน ให้พระท่านศีลบริสุทธิ์ก่อนจึงค่อยถวาย มีพระ ๘๔ รูปพอดีเท่ากับ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ถวายแล้วจะได้เวียนเทียนเอาบุญเสียเลย จะได้บุญหนักหาโอกาสเช่นนี้ยากนัก นาน ๆ จึงจะบังเกิด ตั้งแต่ท่านอุปสมบทมายังไม่เคยมีพระลงอุโบสถพอดี ๘๔ รูป พวกเราจึงรอจนพระท่านทำกิจสงฆ์เสร็จจึงนำเทียนถวาย ท่านเจ้าคุณรับเทียนพร้อมจุดเทียนให้

ลัก...ยิ้ม 16-12-2010 08:35

พระท่านสวดชะยันโตพร้อมสาธุ รับเทียนพร้อมกันเป็นที่ปีติยินดีของทุกคน ได้เวลาเวียนเทียนพวกเราร่วมเวียนเทียน บังเกิดเหตุไม่คาดคิด ประชาชนที่ไปร่วมกันในวันนั้นมีจำนวนมาก

*เหตุการณ์คืนวันนั้น* มีเด็ก ๓ คน ผู้ใหญ่ ๗ คน ขณะที่เวียนเทียนรอบพระอุโบสถอยู่นั้น บุคคลดังกล่าวมีแสงสว่างออกจากตัวเหมือนหลอดไฟ คนอื่น ๆ ไม่มี ทำให้จิตบังเกิดความสงสัยว่าทำไมเป็นเช่นนั้น

จึงได้กำหนดจิตดูภายในพระอุโบสถหลังเวียนเทียนเสร็จแล้ว ก็มีคำตอบข้อสงสัยในปริศนาข้อนี้ บุคคลทั้ง ๑๐ คนในชาติก่อนเคยร่วมสร้างอุโบสถ ทั้งพระประธานในอุโบสถหลังนี้ กลับชาติมาเกิดในชาติปัจจุบันได้มาทำพิธีอันเป็นมงคล ผลบุญที่ได้กระทำมาแสดงอานิสงส์ของบุญที่ได้กระทำตั้งแต่อดีตมาปรากฏอานุภาพเข้าสนองบุญแก่บุคคลทั้ง ๑๐ คนนั้น จึงบังเกิดแสงสว่างทำให้เรามองเห็นด้วยจิตบริสุทธิ์ในขณะนั้น

*ผลบุญนั้นเมื่อกระทำไว้กับพระพุทธศาสนา ไม่ว่าเป็นการสร้างพระอุโบสถก็ดี ศาลาธรรมก็ดี พระประธานก็ดี เมื่อมีการทำสังฆกรรมบุญมาแสดงผลบุญทุกครั้ง หากสิ่งที่สร้างไว้ยังไม่ถูกทำลาย บุญนั้นจะบังเกิดตลอดเวลา

เรื่องนี้น่าคิด น่าพิจารณาเป็นอย่างยิ่ง น่าจะเป็นข้อคิด เราสมควรจะน้อมรับอานิสงส์ส่วนบุญที่ทำไว้ในอดีตชาติและในปัจจุบันชาติให้มาอุปถัมภ์ค้ำชูชีวิตของเรา

จริงหรือเท็จขอให้ทดลองปฏิบัติ ไม่เสียหายอะไร มีแต่ได้ไม่มีเสีย เราทำไว้แล้วเพียงเก็บเกี่ยวผลบุญมาใช้เท่านั้น ไม่ได้ยากเย็นอะไร? เพียงแต่ตั้งจิตอธิษฐานขอให้บุญส่วนใดที่ได้สร้างไว้กับพระพุทธศาสนา ได้ช่วยเหลือ เมื่อตกทุกข์ได้ยากจงมาเกื้อหนุน มาอุดหนุนจุนเจือ มาสำแดงผลบุญช่วยให้ชีวิตประสบความสำเร็จในทุกประการ ขจัดปัดเป่าสิ่งที่ไม่ดีให้พ้นไป สิ่งที่ดีจงมาบังเกิด ให้ได้พบแต่สิ่งที่ดี ที่ประเสริฐตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปเถิด


ลัก...ยิ้ม 17-12-2010 08:22

ทั้งขอน้อมรับส่วนบุญที่ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ที่ท่านได้แผ่อานิสงส์ผลบุญส่งมาให้เพื่อนสัตว์โลกทั้งหลายที่ร่วมเวียนว่ายตายเกิด ให้มาหนุนนำชีวิตให้พ้นจากอกุศลวิบาก ทั้งเกื้อหนุนชีวิตให้ผ่านอุปสรรคทั้งมวลในการดำรงชีวิตทั้งปัจจุบัน และอนาคตที่ต้องเวียนว่ายในภูมิภพ อย่าได้พบความลำบากยากจน อย่าได้พบความทุกข์ยาก อย่าได้เวียนว่ายไปสู่อบายภูมิตลอดไป ตราบเท่าที่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่เพียงเท่านี้

ทำทุกวัน ตั้งสัจจะเอาไว้ให้ดีแต่ต้องทำด้วยฉันทะ ตั้งมั่นในศรัทธา ละความลังเลสงสัยให้หมดสิ้นไปจากจิต จะบังเกิดผลคุ้มค่าเกินกว่าที่คิด อย่ามัวมีมิจฉาทิฐิอยู่ ปล่อยให้เสียโอกาส โอกาสก็จะไปเป็นของคนอื่น แล้วเราจะโทษดวงชะตาอยู่ทำไม

นี่แหละ..วิธีแก้กรรมแก้ดวงชะตาวิธีหนึ่ง ไม่ต้องขอให้ใครช่วย เราช่วยตัวเอง พึ่งตัวเอง อาศัยแค่จิตใจของเราเท่านั้น ที่จะตัดสินชีวิตของเรา เราคือผู้ให้และผู้รับ

ผู้ให้คือ ศรัทธารับเอาส่วนบุญมีให้ใช้ ไม่ใช้ก็ไม่ได้ใช้ สังขารก็ไม่รอเวลา การแตกดับของรูปกายมีเวลาจำกัด มีไม่มากสั้นนิดเดียว อาจไม่ทันตั้งตัว ไม่ทันได้เตรียมตัว ไม่ทันได้คิด คิดได้ก็สายเกินจะแก้ไข ไปไม่มีอะไรติดตัวไป ไม่มีทุนทรัพย์ไปสร้างภูมิใหม่ ไม่มีบุญนำทาง ไปอย่างไร้จุดหมายที่เรียกไปตามยถากรรมนั่นเอง คนฉลาดคงไม่คิดเลือกทางเดินอย่างนี้ ต้องเลือกทางที่ดีกว่า ผู้รับคือ รับเอาส่วนบุญ

ลัก...ยิ้ม 20-12-2010 08:27

ขึ้นเขาคิชฌกูฎกราบรอยพระพุทธบาท
 
ขึ้นเขาคิชฌกูฏกราบรอยพระพุทธบาท

กฎแห่งกรรมเป็นกฎเหล็ก ทั้งดุดันและนิ่มนวลตามกระแสกรรมดีกรรมชั่ว สิ่งที่ข้าพเจ้าได้กระทำมาเริ่มก่อตัวบังเกิดกับตัวข้าพเจ้า อาการเจ็บป่วยจากกระดูกทับเส้นประสาททำให้เสียวชาตามตัว อันเป็นผลมาจากการที่ไปรักษาโรคต่าง ๆ ให้ผู้อื่นด้วยการใช้พลังอำนาจจิต เราไปขวางทางกรรมของคนที่กำลังเสวยผลกรรมอยู่

พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสเตือนสติไว้ว่า “บุคคลใดทำกรรมนั้นไม่ให้ศักดิ์สิทธิ์ บุคคลนั้นต้องชดใช้กรรมนั้น” ถึงแม้การกระทำนั้นกระทำด้วยความเมตตากรุณาก็ตาม ก็ต้องชดใช้

อย่างเราไปช่วยให้ที่หลบซ่อนโจรจากการตามจับของเจ้าหน้าที่ ก็จะมีความผิดในการให้ที่หลบซ่อนพักพิงกับผู้ร้าย เจ้าหน้าที่ก็จะจับตัวไปลงโทษได้เช่นกัน ได้เขียนไว้ในตอนต้นแล้วว่า การขวางกรรมทำการรักษาโรคร้ายต่าง ๆ ด้วยความอยากช่วย อยากทดลองพลังอำนาจจิตของเรา *ไปกระทำให้กระแสกรรมนั้นเปลี่ยนแปลงไป ไม่มีอำนาจตามกฎของกรรม ตัดรอนความศักดิ์สิทธิ์

เหตุที่ว่าเช่นนี้เริ่มมาบอกความจริงกับเรา เพราะไปหาหมอรักษาโรคหนึ่งจะได้แถมโรคอื่นกลับมาด้วยทุกครั้ง* จึงรู้ว่าโรคที่เป็นอยู่เป็นกระแสแห่งกรรม ต้องหาวิธีแก้กรรมตัวนี้ด้วยการทำความดี แผ่อานิสงส์ให้เจ้ากรรมนายเวรและชดใช้วิบากกรรมด้วยการเจริญกรรมฐานตามป่า ตามเขา ตามถ้ำ เป็นการฝึกซ้อมขันติ วิริยบารมีไปพร้อมกัน

ได้ชวนพรรคพวก ๔ คนขึ้นไปบำเพ็ญบารมีบนเขาคิชฌกูฏอย่างน้อยหนึ่งครั้ง ชีวิตจะไม่ลำบากและมีโชคลาภ เราไปด้วยกัน ๕ คน ต่างคนต่างก็ไม่รู้ว่าอยู่สูงแค่ไหน ? ขึ้นกันอย่างไร ?

ลัก...ยิ้ม 21-12-2010 08:35

ความจริงแล้วในฤดูกาลไหว้รอยพระพุทธบาท จะมีรถวิ่งขึ้นไปส่งช่วงหนึ่ง แล้วเดินทางเท้าขึ้นไปอีกช่วงหนึ่ง ด้วยความไม่รู้ คิดว่าไม่ไกล ไม่สูงมาก เพราะนอกฤดูกาลไม่มีคนขึ้นไป เขาห้ามขึ้น

เราได้นำเอารถไปจอดไว้ที่ทำการชลประทานตีนเขา แล้วเดินแบกสัมภาระขึ้นเนินเขา ช่วงแรกก็มหาโหดอยู่แล้ว เหนื่อยแทบขาดใจ เส้นทางที่เดินไปขึ้นเนินลงเนิน แต่ละเนินมีระยะทางยาวสูงชันสลับกัน ไกลแค่ไหนไม่รู้ ? เดินไปพักไป ได้ทิ้งข้าวของบางส่วนไว้ข้างทาง เพราะแบกต่อไปไม่ไหว

ขึ้นจากเที่ยงวันถึงยอดเขาเที่ยงคืนพอดี เดินกันเกือบไม่ถึงจะถอดใจก็หลายครั้ง ต้องอาศัยกำลังใจจากที่เรา เป็นผู้นำจะท้อไม่ได้ คิดอยู่อย่างนี้ตลอดทาง เดินจนถึงลานพระสีวลีสามทุ่ม ทำอาหารกินกันแล้วเดินต่ออย่างไม่มีจุดหมายปลายทาง

คืนนั้นนอนกันในถ้ำพระฤๅษี ได้บอกกล่าวแล้วเตรียมที่นอน ข้าพเจ้าบอกกับพระแม่ธรณีให้คุ้มครอง ขณะที่กำลังนอนกันอยู่ ทุกคนเห็นปากถ้ำปิดลงมา เหมือนมีคนมาก่ออิฐปิดเอาไว้ เห็นเช่นนั้นทุกคนก็คลายความหวาดระแวงในอันตราย นึกขอบคุณพระแม่ธรณี ท่านปิดปากถ้ำด้วยอำนาจอิทธิฤทธิ์ ป้องกันอันตรายให้กับพวกเรา จึงหลับกันสบาย


ลัก...ยิ้ม 22-12-2010 08:47

รุ่งขึ้นออกสำรวจพื้นที่ ด้านบนเป็นลานคอนกรีต สภาพรอบ ๆ ร่มรื่น ธรรมชาติสวยงาม อากาศสดชื่น ไม่ร้อนค่อนข้างเย็น มีศาลา ที่พัก เครื่องครัวพร้อม

ด้านขวามือของลานหินเป็นที่สถิตรอยพระพุทธบาท เป็นรอยธรรมชาติเหยียบอยู่ บนหินข้าง ๆ มีหินก้อนโตรูปร่างคล้ายบาตรพระวางคว่ำอยู่ เขาเรียกว่า "บาตรพระพุทธเจ้า"

ได้ไปกราบรอยพระพุทธบาท สวดมนต์ เตรียมที่พัก ทำอาหารกินกัน จึงไปตรวจดูบริเวณตามป้ายที่บอกทาง ไปดูลานพระอินทร์ ไปสักการะหินลูกบาตรพระอานนท์ หินลูกบาตรพระโมคคัลลาน์ หินลูกบาตรพระสารีบุตร บนยอดเขาอีกลูกใกล้ ๆ กัน อยู่บนนั้นเหมือนอยู่บนทิพย์วิมาน ลืมเรื่องต่าง ๆ ข้างล่างหมดสิ้น

มีการปฏิบัติธรรมเจริญภาวนากันอย่างเคร่งครัด ขณะนั่งอยู่ก้อนเมฆจะผ่านตัวเรา อากาศชื้น อยู่ปฏิบัติธรรมกัน ๕ คืน นับว่าสมเจตนาที่ได้ขึ้นไปปฏิบัติเพื่อตัดอกุศลวิบากกรรมตามที่ตั้งใจไว้

ใช้รูปกายเป็นเครื่องสำนึกผิด ใช้ความเหน็ดเหนื่อยที่ต้องทรมานเดินขึ้นเขาเป็นการเปลื้องหนี้กรรม ใช้การบำเพ็ญกรรมฐานเป็นเครื่องต่อรองขออโหสิกรรม ใช้สัจจะ ขันติ วิริยบารมีเป็นฐานรองรับ

บนเขาลูกนี้มีอะไรมากมาย มีความศักดิ์สิทธิ์สมตามคำร่ำลือ เป็นที่สถิตของเหล่าเทวดาที่มาบำเพ็ญ มารักษา มากราบไหว้รอยพระพุทธบาทเป็นมิติซ้อนมิติอยู่ มิติปกติเป็นป่า มิติเร้นลับเป็นทิพย์วิมานของเหล่าเทวดา เป็นที่บำเพ็ญของพระฤๅษี ของคนบังบดแห่งเมืองลับแล

ตอนกลางคืน เราจะสวดพระพุทธมนต์บนลานรอยพระบาทปฏิบัติกันบริเวณนี้ เช้าและกลางคืนอากาศหนาว ขณะปฏิบัติธรรมกันอยู่จะมีพลังอำนาจเร้นลับ เวลาอากาศหนาวจะมีพลังความร้อนพุ่งมาจากหินก้อนใหญ่ ตรงข้ามกับหินลูกบาตร ทำให้อบอุ่นเหมือนมีดวงอาทิตย์ส่องอยู่เราจะไม่หนาว หากออกจากบริเวณตรงนั้นก็จะหนาวจนตัวสั่น เป็นสิ่งที่ได้พบเห็นประการหนึ่ง

ลัก...ยิ้ม 23-12-2010 07:55

ดูภาพพระเวสสันดรชาดก

อีกประการหนึ่ง *มีผู้บอกว่าถ้าเราเป็นผู้มีบุญให้ส่องไฟฉายไปที่หินลูกบาตรในตอนกลางคืน จะปรากฏภาพต่าง ๆ อย่างน่าทึ่ง !!!

จึงได้จุดธูปเทียนขออนุญาต ได้ตั้งจิตบริสุทธิ์ขอเป็นอธิษฐานบารมี หากพวกข้าพเจ้านี้จะมีบุญได้เห็นภาพไม่เกินวิสัยจะให้ดูได้ ขอโปรดให้บังเกิดภาพตามแต่เห็นสมควร จะได้รู้ จะได้เห็นให้เป็นบุญตากับทุกคน ได้ส่องไฟฉายอยู่พักหนึ่ง คิดในใจว่าคงไม่มีบุญได้ดู เห็นแต่ผนังหินลูกบาตรสีดำไม่มีภาพอะไรเลย

คิดแค่นั้นก็บังเกิดอัศจรรย์ปรากฏขึ้นบนผนังหิน เป็นรูปพระเวสสันดรกำลังมอบช้างคู่บ้านคู่เมืองให้แก่พราหมณ์สี่คน!!! เป็นภาพเหมือนภาพวาดที่ผนังวัดพระแก้วไม่มีผิดเพี้ยน สีสันสวยงาม ลงรักปิดทอง ภาพจะเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ

จากนั้นเป็นภาพนั่งบนรถม้าสี่คน มีองค์พระเวสสันดร พระแม่มัทรี กัณหา ชาลี มีพราหมณ์มาขอรถม้าก็ประทานให้อีก กลับเป็นภาพทั้งสองพระองค์ทรงอุ้มกุมาร กุมารีทั้งสองเดินเข้าป่า ภาพที่ทั้งสี่พระองค์ทรงแต่งเป็นฤๅษีนั่งบนศาลาในป่า ภาพชูชกไปขอกัณหาและชาลี ภาพเสือ สิงโตขวางทางนางมัทรี ภาพทรงช้างกลับเมือง*

ต่อจากนั้นเป็นภาพพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเดินนำหน้า พระอรหันต์เดินตามเป็นแถว แต่ละภาพสวยสดงดงาม เหมือนมีคนเอาเครื่องฉายภาพนิ่งฉายขึ้นไปบนผนังหิน พวกเราดูกันจนเพลิดเพลินใจ ก้มลงกราบแล้วแยกกันไปปฏิบัติธรรม

ลัก...ยิ้ม 24-12-2010 08:32

เหนือคำบรรยายใด ๆ ถ้าใครได้พบก็จะเข้าใจด้วยตนเอง ถ้าจะตอบตามหลักวิทยาศาสตร์ ยากจะตอบได้ นอกจากจะหาคำตอบได้จากหลักของเดชเดชา กฤษฎานุภาพของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ณ ที่นั้นเป็นผู้กำหนดเหตุการณ์ เพื่อสอนธรรม อบรมจิตของพวกเราให้เป็นผู้เสียสละ รู้จักบำเพ็ญมหาทานบารมีอย่างองค์พระโพธิสัตว์ พระเวสสันดรที่ได้บำเพ็ญมาจากอดีต ให้ดูว่าพระองค์ท่านเสียสละอันยิ่งใหญ่เพื่อเป็นหนทางแห่งอนาคต

พวกเราที่ขึ้นไปก็เสียสละกายเป็นบารมีทานให้กับชีวิต ภูมิ ภพ ให้บำเพ็ญความเพียรเป็นบารมีเช่นกัน ได้รับความเมตตาให้ได้เห็นสิ่งที่ไม่คาดคิด หากท่านผู้อ่านยังมีความสงสัยติดอยู่ในอารมณ์ มีคำตอบอยู่อย่างเดียวคือ ไม่รู้เกิดขึ้นได้อย่างไร? แต่ก็เกิดขึ้นแล้ว เห็นกันแล้ว ทุกคนมีความสงสัยไม่ต่างกัน แต่จะหาคำตอบอย่างตรงไปตรงมานั้น ไม่มี !!!

มีแต่ปีติในจิตของพวกเราที่ได้เห็นภาพพิสดารที่บังเกิดให้เห็น นี่แหละโลกใบนี้ ได้ซ่อนความเร้นลับไว้มากมายให้ผู้อยากรู้ อยากเห็นได้ไปพบ เข้าไปค้นหา เข้าไปดู เข้าไปศึกษาเรียนรู้ เข้าไปอยู่กับธรรมชาติ

ท่านทั้งหลายอาจพบอย่างที่พวกข้าพเจ้าพบ ขอได้จงพิจารณาเถิดว่า ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า เหตุเกิดที่ไหนให้ดับที่นั่น อะไรทั้งมวลเกิดที่ใจของเรา ความสงสัยก็ใจของเรา ละความสงสัยที่ใจของเรา ละไม่ได้ก็ไปพิสูจน์เอา อย่ามัวมานั่งมานอนคิดสงสัยให้เปลืองสมอง เสื่อมเสียคุณภาพทางความคิดกับสิ่งที่เราไม่รู้อยู่ทำไม ทำไมไม่ทำให้รู้ จิตจะละความสงสัยไปได้

ลัก...ยิ้ม 27-12-2010 08:11

ข้อเขียนนี้ไม่มีเจตนาให้ผู้อ่าน *ได้อ่านแล้วมีความทุกข์* แต่ต้องการเปิดโอกาสให้ได้รับรู้ในสิ่งที่มีอยู่ ในชีวิตของคนเรายังมีเรื่องต่าง ๆ จะต้องแก้ไขอยู่มากมาย หากไม่แก้ไขก็จะกลายเป็นปัญหาชีวิต ปัญหาทางด้านวัตถุแก้ไม่ยาก ที่แก้ยากเป็นปัญหาของจิตใจ แก้ยากที่สุดคือปัญหาในกระแสกรรม จากการได้เห็นภาพเรื่องราวในชาดก เพื่อให้เห็นอานิสงส์ของการบำเพ็ญบารมีทานขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นการเสียสละเพียงส่วนน้อยเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม

อีกประการหนึ่ง ทางด้านทิศตะวันตกของหินเป็นทางลานหินลาดลง มีอยู่จุดหนึ่งถ้าเราไปนั่งหรือนอนตรงนั้นจะมีพลังจักรวาล เป็นกระแสไหลมารอบทิศมาสัมผัสกับพลังในกายของเรา พลังนี้จะวิ่งเข้าประสานกับพลังจิต เป็นพลังเพิ่มพูนกำลังของธาตุสี่คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ให้ปรับประสานธาตุในธาตุ ธาตุต่างธาตุให้กลมกลืนกันกับวิญญาณธาตุ ทำให้จิตมีพลัง ทำให้รักษาสุขภาพกายให้สมบูรณ์แข็งแรง ช่วยเสริมพลังทางความคิด รักษาโรคต่าง ๆ ต้องพึงเข้าใจว่า การเจ็บป่วยมีเหตุอยู่ ๒ ประการ

ประการแรก เจ็บป่วยปกติโดยธรรมชาติมี ๓ ลักษณะ
  • ๑. โรคที่เกิดแล้ว รักษาก็หาย ไม่รักษาก็หาย กินยาสามัญก็หาย ไม่กินยาเลยระยะหนึ่งก็หายไปเอง
  • ๒. โรคที่เกิดแล้ว รักษาจึงหาย ไม่รักษาก็ไม่หาย
  • ๓. โรคที่เกิดแล้ว รักษาก็ตาย ไม่รักษาก็ตาย

ประการที่สอง เจ็บป่วยที่เกิดจากกระแสกรรม การรักษาต้องแก้ที่กระบวนของกรรมเสียก่อนจึงจะรักษา ไม่เช่นนั้นจะรักษาอย่างไรก็ไม่หาย ต้องรู้ว่าผลที่บังเกิดมาจากอะไร กระทำกับใครในชาติใด ใครจะช่วยแก้กรรมของแต่ละคน ในกรณีนี้แต่ละคนย่อมมีวิธีแก้ไขแตกต่างกันไป

ทำอย่างไรเจ้ากรรมนายเวรจึงจะอโหสิกรรม เขาขออะไรต้องรู้ จงอย่าตกเป็นเครื่องมือของใคร ให้ถูกหลอกให้เสียทรัพย์ เสียเวลาหรือสูญเสียอื่น ๆ อีกมาก ถ้าหมอที่ชำนาญการรักษาต้องหาสมมติฐานให้พบเสียก่อน จึงจะจ่ายยา ไม่ใช่เห็นคนป่วยแล้วฉีดยาให้ทันที ถ้ากระทำอย่างนี้เรียกว่าเป็นหมอไม่จริง เอาแต่เงินค่ารักษา เช่นเดียวกับการสำรวจกระแสกรรม ตัดทอนกรรมได้ โรคเกิดจากผลของกรรมก็จะหายได้ พลังงานที่เกิดในจุดนั้นมีคุณค่าอย่างที่กล่าวมา ถ้าใครได้ขึ้นไปสมควรไปรับพลังงานนี้ จะมีประโยชน์ที่ได้ขึ้นไป การสะเดาะเคราะห์ใช่จะแก้กรรมได้ทั้งหมด เป็นแต่เพียงวิธีหนึ่งในร้อยในพันวิธีการแก้กระแสกรรมเท่านั้น

ลัก...ยิ้ม 28-12-2010 09:40

หลวงปู่ให้สืบชะตาต่ออายุ

เพื่อให้เรื่องของกระแสกรรมที่มาบอกกล่าวมาปรากฏตัวมีความต่อเนื่อง ทั้งแก้ความสงสัยต่าง ๆ ในข้อเขียนข้างต้น ถึงพลังอำนาจบนเขาคิชฌกูฏที่ว่ารักษาโรคได้ ข้าพเจ้าไปรับพลังงานมาหลายครั้ง ได้ขึ้นไปเกือบทุกปีหลังจากได้ขึ้นไปครั้งแรกแล้ว ในบางปีขึ้นไปสองถึงสามครั้ง ได้ปฏิบัติและรับพลังทิพย์ที่ว่าแต่โรคในตัวของข้าพเจ้าก็ยังไม่หาย เพียงแต่ทุเลาเท่านั้น

ขอเรียนให้ทราบว่ากรรมของแต่ละคนเบาบางแตกต่างกัน สำหรับข้าพเจ้าบอกได้ว่าหนักจนถึงขั้นต้องพลัดพรากจากโลกนี้ไป คนเรามีกรรมดี กรรมชั่วสั่งสมอยู่มากเหมือนเมล็ดพันธุ์พืช เอาเมล็ดพันธุ์ไหนไปปลูกก็จะได้พืชผลพันธุ์นั้น ในการเวียนว่ายแต่ละชาติได้เก็บสะสมไว้มากมาย แม้ในชาติปัจจุบันจะไม่ได้ทำกรรมชั่ว แต่ในชาติอื่น ๆ ได้สร้างไว้ จึงได้ปรากฏตัวแสดงธรรมให้เจ็บป่วย แม้แต่เศษกรรมก็มีผลต่อชีวิตของเราทั้งในชาติปัจจุบันและในอนาคต

หากต้องการให้ได้ภูมิภพชาติที่ต้องเกิดใหม่ หมดจดสะอาดบริสุทธิ์ก็ต้องชดใช้หนี้เสียก่อน ถ้าจะเลือกเส้นทางนี้ในการสำนึกผิดยอมชดใช้ ใช้แบบผ่อนส่งจะได้ไม่รุนแรง

อย่างอดีตกาลแม้แต่พระอรหันต์ พระโมคคัลลาน์เคยได้ทำมหาวิบากกรรมเป็นอนันตริยกรรมจนโจรมาทุบท่านดับขันธ์ อันเป็นเหตุมาจากท่านเคยกระทำกับพระบิดาและพระมารดาในชาติก่อน แต่ด้วยญาณทัสนะ ท่านหยั่งรู้วาระกรรมจึงยอมชดใช้หนี้เพื่อไม่ให้ติดหนี้กรรมสืบต่อไป ที่จะเป็นหนามขวางกั้นทางแห่งพระนิพพาน

ลัก...ยิ้ม 29-12-2010 08:10

พุทธศักราช ๒๕๔๒ กลางปี ขณะเรียนวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร วปอ. รุ่น ๔๒ อาการกระดูกทับเส้นประสาทกำเริบ จะด้วยแรงกรรมอันใดก็ตามเป็นเหตุปัจจัยให้พบวิบาก พรรคพวกแนะนำหมอจีนรักษา ก่อนเดินทางไปศึกษาดูงานต่างประเทศไปคุนหมิง ประเทศจีน หมอจีนได้ให้กินยาเม็ดสีดำ ๒ เม็ด ไปถึงคุนหมิงยาออกฤทธิ์ทำให้อาเจียน ถ่ายท้องตลอด ๕ วันที่ดูงาน กินอะไรไม่ได้ ในปาก ลำคอ ลำไส้และกระเพาะเป็นแผล ภายใน ๔ วันน้ำหนักลดลง ๑๒ กิโลกรัม แม้แต่น้ำยังดื่มไม่ได้ มีกลิ่นเหม็นเหมือนน้ำแช่ของเน่า

เดินทางกลับมาถึงประเทศไทยเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลศิริราช ๑๕ วัน ในลำคอมีเชื้อแบคทีเรีย กินอาหารที่เป็นพวกแป้งเคี้ยวแล้ว จะแข็งเป็นหิน แม้แต่หมอเองก็ไม่เข้าใจว่าเป็นโรคอะไร? เป็นอาการที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ได้โรคใหม่มาอีกโรคได้แก่ โรคเบาหวาน หมอบอกว่าตับถูกทำลาย ๓๐% หากเข้าโรงพยาบาลช้า ๑๕ นาทีคงตายไปแล้ว น้ำที่ดื่มได้ในตอนนั้นเป็นน้ำโซดาสิงห์ นอกนั้นจะเหม็นเน่า

ตับถูกทำลายจากยาจีน ๒ เม็ดที่กินเข้าไป ที่บอกไว้ตอนนั้นว่ารักษาโรคหนึ่งแถมอีกโรคหนึ่งเรียกว่า กรรมกำหนด ในช่วงแรกหมอคิดว่าเป็นเอดส์ พยาบาลใส่ถุงมือกันหมด ได้เจาะเลือดไปตรวจแล้วไม่ใช่ พยาบาลจึงถอดถุงมือ ยังได้ถามว่า “ทำไมไม่ใส่ถุงมือ” พยาบาลตอบว่า “ปลอดภัย ไม่ใช่โรคเอดส์ ตอนต้นคิดว่าใช่ อาการเหมือนกัน” ข้าพเจ้ายังคิดตลก หากเป็นก็แย่แล้วไม่เคยเที่ยวสำส่อน

ลัก...ยิ้ม 30-12-2010 09:28

คืนหนึ่งข้าพเจ้าคิดว่า คืนนี้น่าจะจากเรือนร่างที่เหมือนเรือผุ ๆ นี้ได้แล้ว จิตมันอ่อน หัวใจเต้นช้า หายใจไม่ค่อยจะมีกำลัง คิดว่าคงไม่พ้นคืนนี้แน่ ๆ จึงกำหนดสติไม่ให้กลัวพร้อมจะจากร่างกายนี้ไป ไม่ได้บอกใคร ๆ กลัวจะตกใจ หลับตาลงเจริญจตุตถฌานเพื่อถอดจิต

หลวงปู่เทพโลกอุดรมายืนข้าง ๆ เตียงพร้อมเอามือลูบศีรษะ แล้วท่านก็ถามว่า “จะกลับแล้วหรือ?” ได้ตอบท่านว่า “จะกลับแล้ว” ท่านบอกว่า “ยังกลับไม่ได้หรอกนะ อดทนไปก่อน ยังมีงานให้ทำอีกอย่าง แต่ให้ไปทำการสืบชะตาต่ออายุเพื่ออโหสิกรรม หนักจะได้เป็นเบา ให้เอาผ้าสีเหลืองไปห่มพระเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ๙ องค์” ถามท่านว่า “จะไปห่มที่ไหน เดินก็ไม่ไหวอยู่แล้ว” ท่านบอกว่า “เตรียมผ้าไว้จะได้ไปห่ม เตรียมให้พอก็แล้วกัน” หลวงปู่พูดจบก็หายไป

วันรุ่งขึ้นรู้สึกมีความแข็งแรงขึ้น กินข้าวได้ กินน้ำธรรมดาได้ อีก ๕ วันหมอก็ให้ออกจากโรงพยาบาล เจ็ดวันต่อมาทางวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรพานักศึกษาไปดูงานในภาคเหนือ

จึงได้ซื้อผ้าไปห่มเจดีย์ ห่มได้ ๑๒ องค์เกินไป ๓ องค์ โชคดีที่เพื่อน ๆ นักศึกษา ทั้งนายพล อธิบดี ผู้ว่าราชการจังหวัด รองอธิบดี ได้ช่วยกันปีนขึ้นไปห่มกัน อาการป่วยจึงค่อย ๆ ฟื้นตัว ที่ยังตกค้างอยู่คือ โรคเบาหวาน ที่ต้องรักษาเพิ่มอีกโรคหนึ่งก็เหมาะสมแล้ว

กรรมเราสร้างมาเอง มาขอให้เราชดใช้ เราก็ชดใช้กันไปไม่ต้องร้องอุทธรณ์ใด ๆ ทั้งสิ้น นับว่าโชคดีที่เรายังมีโอกาสได้ใช้ จะได้ไม่ต้องไปใช้ในภพชาติหน้าที่รอเราอยู่ อย่าลืมว่าอกุศลกรรมจ้องมองเราอยู่ หาช่องทางจะเข้ามาหาเราตลอดเวลา มีช่องว่างก็จะเข้ามาให้เราได้เสวยทันที

ขอเตือนอย่าประมาทในกรรมโดยเด็ดขาด ต้องระวังปิดประตูให้ดี สร้างสติมั่นคง คอยแก้ไข หมั่นสวดพระพุทธมนต์ พระพุทโธช่วยเราได้ หนักเป็นเบา ทุเลาเป็นหาย ถ้าทำได้ก็ไม่ประมาทในกรรม สร้างคุณภาพจิตให้อยู่ในกุศล มีฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา ธรรมทั้งสี่ประการนี้เหมือนยาแก้กรรมเรียกว่า อิทธิบาท ๔ ต้องเจริญให้สมบูรณ์ในจิต จะคิดทำอะไรก็จะสำเร็จ

ลัก...ยิ้ม 04-01-2011 08:51

การได้ห่มผ้าพระเจดีย์เป็นวิธีแก้กรรมวิธีหนึ่งเฉพาะบุคคล แต่ใครได้กระทำด้วยจิตศรัทธาก็จะมีความเจริญด้วยกุศล กรรมจะมีพลังส่งผลกับบุคคลที่ได้กระทำ รวมทั้งการถวายผ้าห่มพระพุทธรูปจะปกป้องสิ่งที่ไม่ดี ไม่ให้เข้ามาในชีวิต อาการเจ็บป่วยในกายข้าพเจ้าจึงค่อยดีวันดีคืน

เรื่องของกฎแห่งกรรมขอเตือนสติให้ระลึก ให้ทุกท่านพึงสังวรตระหนักไว้เสมอ แม้แต่บุญวาสนายังเป็นดาบสองคม กระแสบุญนั้นถ้าอยู่กับคนดีมีปัญญา ก็จะส่งเสริมให้ตระกูลมีความเจริญรุ่งเรืองเป็นปึกแผ่นมีฐานะมั่นคง แม้บุคคลนั้นจะเกิดในตระกูลที่ยากจน ก็จะสร้างฐานะของตระกูลให้มีความร่ำรวย พัฒนาตนเองให้อยู่แนวหน้าพ้นความยากจน ถ้าอยู่ในตระกูลที่มั่งมีอยู่แล้วก็จะเพิ่มพูนให้มั่งมียิ่งขึ้น

หากแต่บุญวาสนานั้นมาอยู่กับคนโง่ ก็เสมือนกับให้อาวุธกับโจรมีแต่ทำลาย แก่งแย่ง ฆ่าฟัน กอบโกยเอาเป็นของตนเอง ไม่คำนึงถึงผู้อื่น ใช้แต่อารมณ์เป็นเครื่องตัดสินปัญหาชีวิต มีแต่ความโลภ ความโกรธ ความหลง จิตถูกฝึกให้ติดอยู่กับความต้องการ ไม่ใช้ปัญญาพิจารณา ใช้แต่สามัญปัญญาหรือโลกียปัญญา มูลเหตุเกิดจากพ่อแม่ได้เสี้ยมสอนโดยไม่รู้ตัว

ความรักเข้าสิงสู่จิต ตามใจในสิ่งที่ผิดตั้งแต่เล็กจนโต เขาเติบโตมาด้วยการถูกเอาใจ จึงซึมซับรับเอาไว้อยู่ตลอด โลกียปัญญาเข้าครอง เข้าเป็นเจ้าเรือนในจิต เจริญมาด้วยการปรนเปรอวิสัยโลกอย่างสุดเหวี่ยง ทำอะไรจึงเอาแต่ใจ *ยึดถือโลกธรรมเป็นแก่นของชีวิตจนมัวเมาปักแน่นอยู่* ถอนตัวไม่ขึ้น

สุดท้ายจะทำลายตระกูลจากมั่งมีก็จะยากจน จากจนมากก็จะจนมากขึ้น รบราฆ่าฟัน แย่งสมบัติที่ไม่ได้เอามากันภายในหมู่พี่น้อง ในหมู่ญาติ ดังมีบทเรียนให้เห็นอยู่ทั่วไป บุญวาสนาหากอยู่กับคนดีมีปัญญาก็เหมือนบุคคลนั้น

“มากับความสว่างไปกับความสว่าง มากับความมืดไปกับความสว่าง
ในทางกลับกัน ถ้าวาสนานั้นมาอยู่กับคนโง่เหมือนหนึ่งบุคคลนั้น
มากับความสว่างไปกับความมืด มากับความมืดไปกับความมืด”


เราจะเลี้ยงลูกอันเป็นแก้วตาดวงใจของเราแบบไหน? จะให้มากับความสว่างไปมืด หรือมากับความมืดไปสว่าง มากับความมืดไปมืด พ่อแม่เป็นผู้สร้าง เป็นผู้กำหนดมูลเหตุปัจจุบันกรรม ส่วนอดีตกรรมเป็นเรื่องยากจะเดาแต่ป้องกันได้ หากเราไม่ละเลย หลงผิดติดอยู่แต่วัตถุธรรม

ขอเน้นพระพุทธพจน์อีกครั้ง กรรมใดใครก่อ บุคคลนั้นต้องเป็นผู้รับกรรมนั้น จะแบ่งกรรมให้ผู้อื่นไม่ได้ ทั้งกุศลและอกุศล ยกเว้นผู้อื่นมาแบ่งไปดังข้อเขียนในเบื้องต้น บุคคลใดมารับก็จะกลับเป็นกรรมของคนนั้น ขอให้แยกออกให้เป็นตามกฎแห่งกรรม กุศลที่ได้กระทำนั้นสามารถแผ่เป็นอานิสงส์ให้ผู้อื่นได้ อกุศลที่ได้กระทำย่อมไม่สามารถแผ่ให้ผู้อื่นได้

ลัก...ยิ้ม 05-01-2011 08:54

ได้พระเขี้ยวแก้ว

*จะจริงหรือเท็จก็เหลือจะคาดเดา* ขอท่านจงพินิจวิเคราะห์ดูเอาเอง เป็นเรื่องน่ารู้ว่าอะไรเกิดขึ้น! เกิดขึ้นได้อย่างไร? ทำไมจึงเกิด เกิดขึ้นเพื่ออะไร? จึงเขียนบอกเล่าเพื่อให้ท่านผู้รู้ได้ช่วยพิจารณาสถานการณ์ที่บังเกิด

ในคืนวันหนึ่งขณะที่ข้าพเจ้าอยู่บนบ้านที่จังหวัดชลบุรี ได้สวดมนต์เจริญกรรมฐานตามปกติ ได้ยินเสียงบอกว่า “พรุ่งนี้ให้ไปที่ชายทะเลที่เขาสามมุก จะมีหอยมือเสือนำพระเขี้ยวแก้วมามอบให้ ให้ไปนั่งอยู่ที่โขดหิน ได้มาแล้วให้เก็บไว้ มีโอกาสให้ไปบรรจุไว้ในเจดีย์ ไม่เชื่อให้ไปพิสูจน์”

จะจริงก็พรุ่งนี้ จะไม่จริงก็พรุ่งนี้คือ คำตอบ หากไม่ไปมันก็ไม่จริงตลอดไป หากไปความจริงจะถูกเปิดเผย อย่ามัวลังเลสงสัยจะได้ไม่โง่ ไม่เช่นนั้นจะโง่ตลอดชีวิต เป็นคำตอบที่มีการท้าทายให้เราสนใจอยู่ในตัว อย่างกับรู้ใจเรา ทั้งบอกให้ใส่ชุดขาวไป


ในวันรุ่งขึ้น ความอยากรู้อยากเห็นบังคับให้ข้าพเจ้าไป ณ จุดที่บอกกล่าว ไปนั่งรออยู่เกือบค่อนวัน ร้อนก็ร้อน หิวก็หิว เฝ้ามองดูท่ามกลางกระแสคลื่นที่เข้ามากระทบโขดหิน นั่งคอยจนเกือบล้มเลิก จิตมันตะคอกให้กลุ้ม มันเริ่มออกอาการกระวนกระวายใจ กะไว้ว่าจะทนนั่งอยู่ไม่เกิน ๓๐ นาทีก็จะกลับ ถูกหลอกเหนื่อยเปล่า จิตคิดฟุ้งซ่านต่าง ๆ นานา ร้อนรุ่ม นั่งไม่ติด นึกโกรธตัวเอง เชื่ออะไรง่าย ๆ แดดเผาแสบไปทั้งตัว เสียงานและเวลา

ขณะว้าวุ่นอยู่นั้น ในน้ำเป็นแสงสว่างอย่างกับมีหลอดไฟกำลังเคลื่อนมาแต่ไกล มองดูด้วยความขนลุกขนพอง แต่ก็ยังไม่รู้ว่าอะไรเพราะยังอยู่ระยะไกล ได้ลงไปยืนอยู่บนหินติดกับชายน้ำ ที่ตรงนั้นติดหน้าผา ไม่มีหาดทราย เมื่อแสงนั้นเข้ามาใกล้จึงมองเห็นเป็นหอยมือเสือขนาดใหญ่ กำลังเคลื่อนตัวเข้ามาหาอยู่ตรงหน้า มันอ้าปากออกกว้างมองเห็นเม็ดสีขาว ๆ อยู่ในปาก ๕ *องค์ ในใจคิดว่า นี่กระมังเม็ดพระเขี้ยวแก้ว จะเอามือหยิบก็กลัวมันจะงับมือ ยืนดูอยู่พักหนึ่งมันอ้าปากไม่ไปไหน จึงตัดสินใจเป็นอย่างไรก็เป็นกัน* เอามือไปหยิบทั้ง ๕ องค์ออกจากปาก ยกมือไหว้กล่าวขอบพระคุณ มันจึงถอยกลับหายไปในทะเล องค์ขาว ๆ ที่หยิบขึ้นมานั้นเมื่อถูกมือก็เกิดอาการเสียวซ่านไปทั้งกาย เป็นเม็ดสีขาวส่องประกาย จึงกลับขึ้นมา

ลัก...ยิ้ม 05-01-2011 18:03

ขณะนี้องค์พระเขี้ยวแก้วได้นำไปบรรจุไว้ในองค์พระเจดีย์ทางเหนือ ที่ได้ร่วมกันสร้างเจดีย์ไว้ที่วัดม่วงคำ อำเภอไชยปราการ จังหวัดเชียงใหม่ พร้อมทั้งสร้างพระอุโบสถ พระประธานในพระอุโบสถ นับเป็นการสร้างมหาทานบารมีชั่วนิจนิรันดร์ไว้ในพระพุทธศาสนา เป็นการสืบทอดพระพุทธศาสนา พระเจดีย์ พระประธานสร้างเสร็จแล้ว เหลือแต่พระอุโบสถที่ยังตกค้างที่จะต้องทำต่อ (ปัจจุบันพระอุโบสถเกือบเสร็จเรียบร้อยแล้ว)

นี่เป็นปรากฏการณ์อย่างหนึ่งที่ถือว่าแปลกเหนือเหตุ เหนือผล !!! หอยตัวนั้นมาได้อย่างไร? ใครเป็นผู้กำหนดเหลือที่จะเข้าใจได้ แต่เป็นเครื่องยืนยันว่า คำบอกกล่าวนั้นเป็นจริง มีเงื่อนไขให้ได้ค้นคว้าหาต่อว่า ทำไมต้องเป็นเรา

ผู้อื่นอาจมีประสบการณ์เช่นนี้ เรารู้ไม่ได้เพราะเขาเหล่านั้นไม่เปิดเผย แม้เราเองก็ไม่เปิดเผย เพิ่งเขียนเปิดเผยครั้งนี้เพื่ออาจมีประโยชน์กับผู้สนใจใคร่ได้ทดลองปฏิบัติ ทำให้มีประโยชน์ต่อการอบรมจิตใจให้เรืองปัญญาเป็นสัมมาทิฏฐิ อย่างน้อยตัวเอง คนใกล้ชิดได้พบความสุข ทำให้เรารู้ตัวอยู่เสมอ มีความระมัดระวัง มีความไม่เผลอตัว มีการไตร่ตรอง มีการพิจารณาอยู่ตลอดเวลา ตามรู้ตามทันอารมณ์ของตนเอง สามารถกำกับให้สงบอยู่ได้

รู้สภาวะอารมณ์ตนแล้วจึงไปรู้อารมณ์ผู้อื่น ก็จะเข้าใจอย่างถ่องแท้ รู้ที่เกิด รู้ที่ดับ แค่นี้ก็วิเศษแล้ว ถ้าทุกคนทำได้อย่างนี้ สันติสุขของโลกก็จะบังเกิด ความสงบสุขก็ปรากฏ ไม่รบราฆ่าฟันเพื่อแก่งแย่งผลประโยชน์


หากทุกคนกำกับจิตของตนได้ โลกก็จะไม่เปรอะเปื้อนด้วยจริตอารมณ์ การดำรงชีวิตจะไม่เปราะบางไปตามกระแสของกามคุณ อันเป็นสาเหตุให้เกิดตัณหาเข้าไปอยู่ในเวทนาจิต ไม่พ้นจากทุกข์เวทนาภายใน เพราะการเกิดสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิด เพราะการดับของสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงดับ เป็นกระแสวิ่งเข้าไปในชีวิต จะเกิดจะดับ ย่อมมีกรรมเป็นปัจจัยรองรับ เรารู้อยู่อย่างไร เราเห็นอยู่อย่างไร เราจะแก้อย่างไร จะดำเนินอย่างไร ก็ตัวเราทั้งสิ้น

ลัก...ยิ้ม 06-01-2011 08:11

เข้านครคำชะโนด

คำชะโนดเป็นมิติมหัศจรรย์อันเร้นลับ เป็นดินแดนที่ท้าทายต้องการให้ทุกคนเข้าไปพิสูจน์ความจริง มีตำนานเรื่องเล่ากันมากมาย ที่บุคคลได้พบเห็นความแปลกในดินแดนแห่งนี้ ท่านผู้สนใจคงต้องไปสอบถามกันเอง ข้าพเจ้าจะเขียนเฉพาะที่ได้พบเห็นด้วยตนเอง ตอนที่ได้เข้าไปบำเพ็ญอยู่ในนั้น

บริเวณนั้นเป็นป่าเนื้อที่ประมาณ ๕๐ ไร่ อยู่กลางทุ่งนา เป็นที่ลุ่ม ต้นไม้ในป่าแห่งนี้มีลักษณะเหมือนต้นตาล ลำต้นสูงเสียดฟ้า แต่ไม่ใช่ต้นตาล มีเพียงแห่งเดียวในประเทศไทย เอาไปปลูกที่อื่นก็ไม่ขึ้น ตายหมด ชาวบ้านเรียกต้นชะโนด จนกลายเป็นชื่อของสถานที่แห่งนี้

รอบ ๆ ป่าชะโนดเป็นทุ่งนา ใครไปตัดต้นชะโนดจะมีเหตุอันเป็นไป เป็นสถานที่เคารพของชาวบ้านบริเวณนั้น และจังหวัดใกล้เคียงได้มาสักการะไม่ได้ขาด ในแต่ละวันทั้งชาวบ้าน พ่อค้า ข้าราชการ ประชาชนต่างไปสักการะเพื่อความเป็นสิริมงคล บนเนินห่างจากป่าประมาณ ๓๐๐ เมตรเป็นที่ตั้งของวัดศรีสุทโธ จากวัดมีสะพานทอดเข้าไปยังป่าคำชะโนด สะพานที่ทอดข้ามไปนั้นสูงประมาณ ๑.๗๐ เมตร เวลามีน้ำหลาก น้ำจะล้อมรอบป่าทั้งสี่ด้าน ในบริเวณป่าคำชะโนดมีบ่อน้ำขนาดใหญ่เรียกว่า บ่อน้ำทิพย์ น้ำใสจืดสนิท มีน้ำตลอดทั้งปี ไม่มีแห้งจากขอบบ่อที่ได้ก่ออิฐล้อมรอบ สามารถยื่นมือตักน้ำมาดื่ม ล้างหน้าได้ ป่าคำชะโนดอยู่ที่อำเภอบ้านดุง *จังหวัดอุดรธานี* สถานที่แห่งนี้ตามตำนานจะเกี่ยวข้องกับหนองหาญ


จากการที่ได้เข้าไปปฏิบัติธรรมในป่าคำชะโนด จึงได้รู้เห็นว่านั่นคือ เมืองพญานาคเป็นมิติเมือง *ก่อนเข้าไปในบริเวณจะมีประตูเมือง เมืองเขาเป็นแก้วทั้งเมือง* มีคนอาศัยอยู่ในรูปทิพย์ จะมองไม่เห็นด้วยตาสามัญธรรมดา หากเขาไม่ให้รู้เห็น เข้าไปภายในเมืองแห่งนี้จะเห็นแต่ต้นชะโนดกับต้นนาคราชเท่านั้น

อันที่จริงมีผู้ชายผู้หญิงอาศัยอยู่ พวกเขาอยู่บริเวณนั้นมีรูปร่างเป็นคนเหมือนอย่างเรา ทุกคนจะถือศีลบำเพ็ญบารมีกันอยู่ หากออกจากบริเวณก็จะมีรูปร่างเป็นงูใหญ่

ได้บอกกล่าวขอเข้าไปอาศัยบำเพ็ญบารมีธรรม พวกเขาอนุญาตให้การต้อนรับอย่างดี ภายในบริเวณเมืองคำชะโนดนั้นเมื่ออากาศหนาวจะอุ่น เมื่ออากาศร้อนจะเย็น เวลากลางคืนน่ากลัว เงียบวังเวง จะไม่มีคนเข้าไป เหมาะสำหรับการเจริญภาวนา

ลัก...ยิ้ม 07-01-2011 08:34

พวกเราประมาณ ๑๒ คน (จำไม่ค่อยได้) *ขอเข้าไปปักกลดเจริญภาวนาทางจิตในเมืองนาคราชแห่งนี้ ๒ คืน แต่ขอไม่เขียนไว้ตามคำขอร้อง พวกเขาขอร้องอย่าแพร่งพรายเรื่องราวในเมืองแห่งนี้ ให้รู้กันเท่าที่รู้ ข้าพเจ้าได้รับสัจจะจึงไม่อาจเขียนบอกเล่าได้


ในคืนวันที่สอง ตอนกลางคืนมีแสงสว่างอย่างดอกไม้ไฟ ลอยอยู่เหนือบ่อน้ำทิพย์ เป็นเช่นเดิมทุกคนหลับหมด ได้ออกจากกลดเข้าไปดูเห็นเป็นลูกแก้วสีเหลือง สีเขียวมรกตใสมีประกายอยู่รอบ ๆ ได้กำหนดจิตอยู่พักหนึ่ง จึงกล่าวว่า “จะให้ดูหรือจะให้ ถ้าจะให้ก็เคลื่อนตัวมาใกล้ ๆ หากจะให้ดูก็ให้อยู่ที่เดิม” ลูกแก้วก็เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ จึงคว้าเอาไว้ เป็นลูกแก้วสองลูกจริง ๆ อยู่ในมือ ได้เก็บรักษาไว้จนถึงปัจจุบันนี้


ณ ที่บริเวณป่าคำชะโนดมีเรื่องแปลกอยู่อีกอย่างหนึ่ง เมื่อมีน้ำหลากหรือฝนตกหนักจนน้ำท่วมภายในบริเวณวัด แต่น้ำจะไม่ท่วมในเมืองคำชะโนดทั้ง ๆ ที่อยู่ต่ำกว่าเกือบ ๒ เมตรแม้น้ำจะมากแค่ไหนก็ตาม เป็นที่อัศจรรย์ใจแก่ผู้ที่ได้พบเห็น เหมือนแผ่นดินตรงนั้นลอยตัวได้อย่างกับมีอะไรมาหนุน ยกให้ลอยตัว * ไม่ได้เป็นความลับหน้าน้ำหลากให้เดินทางไปดู ไปพิสูจน์กันได้ทุกคน ถ้าจะถามว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ก็หาคำตอบแบบวิทยาศาสตร์ไม่ได้ ว่าทำไม!!!

ถ้าไม่เป็นอย่างนี้จะเรียกว่า มิติเร้นลับหรือ!!! ต้องเหนือเหตุผล เหนือคำวิจารณ์ เหนือคาดคิด เหนือคำอธิบายใด ๆ เหนือคำทำนาย เหนือสามัญจิตจะหยั่งรู้ได้

อยากได้คำตอบต้องไปดูด้วยตนเอง ถ้าเห็นแล้วตอบตัวเองไม่ได้ ก็พึงนึกให้ได้ว่า เราจะไม่ประมาทในทุกสถานการณ์ จะดำรงสติสัมปชัญญะให้มั่นตลอดเวลา ไม่สร้างความเสื่อมให้เกิดกับตัว ทำให้หมดโอกาสได้ศึกษาเรียนรู้อย่างที่มีคำกล่าวของผู้รู้ว่า “ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ ไม่พูดไม่มีใครรู้ว่าเราโง่ พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง”

ลัก...ยิ้ม 10-01-2011 08:17

ได้พระพุทธรูปสมบัติในอดีตชาติ

เพื่อเป็นการยืนยันสัจธรรมในการเวียนว่ายตายเกิดของสัตว์โลกตามกฎแห่งกรรม ทั้งบอกกล่าวถึงสิ่งที่ไม่ได้เอามาและสิ่งที่ไม่ได้เอาไป เอาไปได้เฉพาะความดี ความชั่วเท่านั้น จะมัวเมาลุ่มหลง เข่นฆ่า ทำร้ายกัน ทำลายกันอยู่ทำไม ให้ผูกกันเป็นเจ้ากรรมนายเวรคอยติดตามกัน ทำลายกันในทุกภพทุกชาติ

ความไม่รู้จึงทำให้เสียการ เสียคุณค่าของชีวิต สร้างความทุกข์ให้กับภูมิของตนเอง รู้แล้วสมควรแก้ไข คนเราถ้าเป็นคนดีจิตใจงาม จะทำความดีไม่ยาก แต่จะทำความชั่วแสนยาก ถ้าเป็นคนชั่วจิตใจชั่ว จะทำชั่วไม่ยาก แต่จะทำความดีแสนยาก

ดังนั้น จงทำความดีเพื่อตัดทุกขภพให้หลุดจากวิถีโคจรของชีวิต ในการเวียนว่ายท่องไปในภพต่าง ๆ เราสร้างกันได้ทำไมไม่สร้าง อะไรที่เป็นตัวขวางกั้น ไม่ใช่อื่นใด จิตของเรานั่นเอง


จะทำได้ต้องฝืน ต้องอดทน ต้องขยันหมั่นเพียร ต้องตั้งสัจจะ ต้องมีความพึงพอใจที่จะกระทำ ต้องยอมรับ ต้องยอมเหนื่อย ต้องยอมแก้ไข ต้องยอมปรับปรุง ต้องยอมรับรู้ในความจริงในกรรมของตนเอง

การแก้ไขนั้นมันจะขัดกับความต้องการ ขัดต่อความรู้สึก จิตมันต่อต้าน ทำให้คิดผิดตลอดเวลาที่เรียกว่า เห็นกงจักรเป็นดอกบัวอยู่ร่ำไป ยอมรับมันไม่ได้ ทนต่อเหตุการณ์ไม่ได้ ทนต่อสถานการณ์ที่ต้องเสียไปไม่ได้

กิเลสมันเป็นเจ้าเรือนในดวงจิต มันจะต้องสู้ดิ้นรนเพราะมันจะสูญเสียบ้านที่มันอยู่อาศัย มีผู้มาแย่งความเป็นใหญ่จากมัน มีผู้มาสั่งการแทนมัน มันสูญเสียอำนาจ มันผูกติดอยู่กับเรือนของมัน มันจะขาดความสนุกรื่นเริง มันจึงเริ่มทุกข์ทรมาน ขัดขืนต่อสู้ทุกวิถีทาง มันจะร้องขอ มันจะร้องคำว่า ไม่ยอม ไม่ยอม ไม่ยอมอยู่ตลอด มันจะหาพวกมาประสานกิเลส จนจิตนั้นยอมแพ้มัน ให้มันอยู่อาศัยให้เป็นใหญ่ มีอำนาจเช่นเดิม มันจึงสงบ

อย่าลืมว่าการเปลี่ยนแปลงจิตนั้นมันยุ่งยาก ต้องต่อสู้กัน เหมือนเข้าอยู่ในสมรภูมิ เป็นสงครามที่ยิ่งใหญ่ การต่อสู้ของจิตในจิต มีการต่อสู้กันด้วยกลยุทธ์จนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะพ่ายแพ้ กรรมก็จะสวมรอยตามกุศลและอกุศลนั้น

ลัก...ยิ้ม 11-01-2011 08:15

พุทธศักราช ๒๕๒๑ ได้เดินทางไปจังหวัดมหาสารคาม นำคณะของสำนักงบประมาณไปดูงานเพื่อจัดสรรงบประมาณ เดินทางไปถึงอำเภอบรบือได้แวะไปที่วัดขวัญเมืองระบือธรรม ไปกราบท่านพระครูเจ้าอาวาส ท่านได้พาข้าพเจ้าไปกราบพระพุทธรูปองค์หนึ่งเป็นพระยืนแกะด้วยหินเขียวสูงประมาณ ๑.๒๐ เมตร พระหัตถ์ทั้งสองข้างยกขึ้นอยู่ในท่าประทานพรเรียกว่าปางห้ามสมุทร เป็นพระพุทธรูปที่มีพระพักตร์อิ่ม พระโอษฐ์ยิ้มได้พุทธลักษณะมองแล้วอิ่มใจ อีกองค์หนึ่งเป็นพระมารวิชัยหน้าตักกว้าง ๙ นิ้ว แกะด้วยหินเขียวเช่นเดียวกัน

ท่านพระครูท่านบอกมีคนนำมาถวายไว้มี ๒ องค์ กราบเสร็จไม่ได้คิดอะไรมาก นึกอย่างเดียวเป็นบุญที่ได้กราบพระพุทธรูปเก่าแก่ เป็นพระพุทธรูปสมัยปาละอายุราว ๑,๖๐๐ ปี ไม่ได้ติดใจอะไร

ตกกลางคืนเวลาสามทุ่มได้เข้านอนที่บ้านพักรับรอง ขณะกำลังนอนหลับมี
ชายผู้สูงอายุ นุ่งขาวห่มขาว ไว้ผมมวยด้านหลัง รูปร่างสูงใหญ่ ท่าทางใจดี มานั่งข้างเตียงนอนบอกให้ไปเอาพระพุทธรูปที่ไปกราบเมื่อตอนเย็น ไปขอเก็บรักษาไว้ มันเป็นสมบัติของเราแต่อดีตชาติเมื่อ ๑,๖๐๐ ปี เราเคยเป็นเจ้าของ

ให้ไปขอท่านพระครู อย่าลืมไปเอานะ ข้าพเจ้าบอก “ไม่เอาหรอก ของมีค่า ใครจะกล้าไปขอ” ชายผู้นั้นกล่าวว่า “ไปขอท่านพระครูก็ยกให้ อย่าดื้อ บอกให้ไปเอาก็ให้ไปเอาเสีย ของ ๆ เรา ให้กราบเรียนท่านว่า อย่าจำหน่ายให้มอบให้กับเราไป พระพุทธรูปองค์นี้เคยจำหน่ายมาแล้ว ๓ ครั้ง ผู้จำหน่ายมีเหตุเป็นไปทุกคนจนเอาไว้ไม่ได้ จึงนำมาถวายไว้ หากทางวัดจำหน่ายก็จะมีเหตุอีก”

ยังคุยไม่ทันจบ *คณะที่ไปด้วยกันก็มาเรียกให้ไปนอนกันที่จังหวัดร้อยเอ็ด เมื่อเข้าที่พักของโรงแรมแล้ว ชายผู้นั้นก็ไปหาอีกแล้วก็บอกอย่างเดิม ให้ไปเอาพระพุทธรูปกลับไปด้วย แล้วเล่าเรื่องต่าง ๆ ให้ฟังขอร้องให้ไปเอาพระพุทธรูป

ตอนนั้นข้าพเจ้ารู้สึกขัดเคืองใจ จะนอนก็ไม่ได้นอน ต้องขับรถไปอีกทั้งวัน เลยไปช่วยพรรคพวกทำเวทีมวยที่บึงพลาญชัย

ลัก...ยิ้ม 12-01-2011 08:12

กลับเข้าห้องพักประมาณตีสาม ชายผู้นั้นก็มาหาอีก บอกให้ไปเอาพระพุทธรูปเช่นเดิม จึงได้บอกว่า “ไปเอาไม่ได้ พรุ่งนี้คณะจะออกจากโรงแรมที่พักตอนเช้า จะเดินทางกลับกรุงเทพฯ” ชายผู้นั้นตอบว่า “ไม่ออกเช้า จะออกตอนเที่ยง” ความอยากลองจึงรับปาก “หากออกเที่ยงจริง ๆ ก็จะไปลองขอท่านพระครู หากท่านมอบให้ก็จะนำไปเก็บรักษาไว้”

เช้าลงมากินข้าว จึงถามหัวหน้าคณะจะกลับตอนไหน ได้รับคำตอบว่ากลับตอนเที่ยง มีงานต้องทำอีก ตรงตามที่ชายคนนั้นบอก จึงขอรถไปที่วัดขวัญเมืองระบือธรรม ได้บอกคณะว่าทางวัดจะขอฝากพระพุทธรูปเข้ากรุงเทพฯ ด้วย ทุกคนไม่ขัดข้อง เป็นรถตู้มีที่ว่างพอ *

ไปถึงวัดได้คุยกับท่านพระครู ท่านบอกว่าจะมีคนไปดูเพื่อขอเช่าต่อ จึงได้เล่าความตามที่ชายผู้นั้นบอกกล่าว ให้ท่านพระครูได้พิจารณา ท่านบอกว่า “จริงทุกอย่าง" จึงได้ตัดสินใจยกให้ ได้ให้พระและสามเณรช่วยกันยกพระพุทธรูปขึ้นรถ พร้อมทั้งได้มอบพระพุทธรูปปางมารวิชัยอีกองค์หนึ่ง

ต่อมาชายผู้นั้นได้มาบอกให้มอบพระพุทธรูปปางมารวิชัยให้กับเจ้าของ เขารออยู่ หากใครมาขอให้ยกให้กับคนนั้น รออยู่ ๒ ปีก็ไม่มีผู้ใดมาขอ ชายผู้นั้นมาบอกอีก ได้ตอบไปว่า “ไม่รู้จะให้ใคร ก็ปฏิบัติตามที่บอกไว้ทุกประการ ไม่มีผู้ขอจึงไม่ให้”

ชายผู้นั้นจึงได้เนรมิตรูปหน้าของบุคคลที่เป็นเจ้าของ เมื่อเห็นหน้าก็เกิดปีติยินดีเพราะเป็นรูปหน้าของครูที่สอน เมื่อตอนเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยพลศึกษา ในสนามกีฬาแห่งชาติ จึงได้นำไปมอบให้และได้บอกกล่าวท่านให้รับทราบ

ปรากฏว่าเมื่อท่านได้พระพุทธรูปไป ท่านได้เลื่อนตำแหน่งในปีเดียวกันถึงสองครั้ง ครั้งแรกได้เป็นรองอธิบดีกรมพลศึกษา อีกแปดเดือนต่อมาได้เป็นอธิบดีกรมพลศึกษา นี่คือสิ่งที่บังเกิดเพื่อยืนยันการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏฏะตามแรงแห่งกรรม มีจริงเป็นจริง อย่าคิดประมาท

ให้ทำดีเอาไว้เมื่อมีโอกาสเพื่อผลแห่งความสุขในอนาคตภพ เพื่อหลีกเลี่ยงความทุกข์ยาก เกิดมาเพื่อแก้ตัว มาทำภูมิสร้างภพ สร้างชาติที่ประเสริฐ มาชำระล้างอกุศลกรรมด้วยการทำแต่ความดี เราสร้างเองได้ ไม่ต้องไปขอใคร ไม่ต้องไปบนบานศาลกล่าว

เพียงแต่สร้างพลังอำนาจจิตให้เข้มแข็ง ไม่ให้ตกอยู่ในอบายภูมิ ไม่ให้ขันธมารมาครอบครองจิต ไม่คิดชั่ว คิดแต่ดี คิดอยู่ในศีล คิดเดินไปสู่หนทางสงบสะอาดในจิต เดินตามหลักธรรมที่พระพุทธองค์ทรงสอนอบรมเวไนยสัตว์ ให้พ้นทุกข์ มีแต่เกษมสุขจนเข้าพระนิพพานในที่สุด

ลัก...ยิ้ม 13-01-2011 08:07

กฎของกรรมจากพระโอษฐ์

*กรรมใดอันผู้กระทำเห็นอยู่ว่า เกิดจากโลภะ เกิดจากโมหะก็ตาม กระทำแล้วจะน้อยก็ตาม จะมากก็ตาม กรรมนั้นอันบุคคลผู้นั้นพึงเสวยในอัตตภาพนั่นเทียว พื้นที่อื่นหามีไม่ เพราะฉะนั้น ผู้รู้จักกรรมฉะนี้ย่อมละ ไม่เสวยผลกรรมนั้นได้ *

บุคคลเป็นพราหมณ์เพราะชาติกำเนิด ก็หาไม่ได้ จะมิใช่พราหมณ์เพราะชาติกำเนิดก็หาไม่ได้
บุคคลเป็นพราหมณ์เพราะกรรม ไม่เป็นพราหมณ์ก็เพราะกรรม
บุคคลเป็นชาวนาเพราะกรรม ไม่เป็นชาวนาก็เพราะกรรม
บุคคลเป็นพ่อค้าเพราะกรรม ไม่เป็นพ่อค้าก็เพราะกรรม
บุคคลเป็นศิลปินเพราะกรรม ไม่เป็นศิลปินก็เพราะกรรม
บุคคลเป็นคนรับใช้เพราะกรรม ไม่เป็นคนรับใช้ก็เพราะกรรม
บุคคลเป็นโจรเพราะกรรม ไม่เป็นโจรก็เพราะกรรม
บุคคลเป็นนักรบเพราะกรรม ไม่เป็นนักรบก็เพราะกรรม
บุคคลเป็นปุโรหิตเพราะกรรม ไม่เป็นปุโรหิตก็เพราะกรรม
บุคคลเป็นพระราชาก็เพราะกรรม ไม่เป็นพระราชาก็เพราะกรรม
ฯลฯ

บัณฑิตทั้งหลายย่อมมองเห็นซึ่งกรรมนั้นตามที่เป็นจริงอย่างนี้ ได้ชื่อว่าเป็นผู้ฉลาดในเรื่องวิบากแห่งกรรม โลกย่อมเป็นไปตามกรรม หมู่สัตว์ย่อมเป็นไปตามกรรม สัตว์ทั้งหลายย่อมมีกรรมเป็นเครื่องขึงรัด เหมือนลิ่มสลักขันให้รถหยุด (เบรกรถม้า) รถที่กำลังแล่นอยู่เพราะการบำเพ็ญตบะ

การประพฤติพรหมจรรย์ การสำรวมเพราะการฝึกตนนั่นแหละ บุคคลจึงเป็นพระพรหม กรรมจึงเป็นเครื่องร้อยรัดชีวิตให้ตกอยู่ในวิบากกรรมเหล่านั้นเที่ยงแท้ ไม่ผันแปร อยากได้ภพ ได้ชาติกำเนิดอย่างไร? ก็ให้กระทำอย่างนั้น อย่าอยากได้อย่างหนึ่งไปกระทำอีกอย่างหนึ่ง ผลที่ออกมาย่อมไม่สมเจตนา


กฎของกระบวนกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วเสมอกันทุกคน ไม่ได้รับในชาตินี้ก็ต้องไปรับในชาติหน้า ในชาตินี้เราเสวยผลของอดีตกันอยู่ ทั้งสุข ทั้งทุกข์ ทั้งสมหวัง ทั้งผิดหวัง ทั้งมั่งมี ทั้งยากจน ล้วนแต่มีผลมาจากกรรม ผู้รู้ย่อมเกรงกลัว ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ขยาดเกรงกลัว

ส่วนตัวข้าพเจ้าได้พบแล้ว ได้เห็นแล้ว ได้เข้าใจแล้ว ได้พิสูจน์แล้ว ย่อมต้องมีความขยาด เกรงกลัว พรั่นพรึงต่อกรรมแน่นอน ทั้งจะไม่ประมาทในกรรม อยู่อย่างสำรวมอินทรีย์ทั้งภายในและภายนอก ข้อเขียนตอนใดกระทบอารมณ์ของผู้ใด ข้าพเจ้าขอขมากรรมไว้ในโอกาสนี้ด้วย

กรรมเป็นสิ่งที่น่ารื่นรมย์ เป็นสิ่งที่น่าเกรง เป็นสิ่งที่น่ากลัว เป็นสิ่งที่น่าขยะแขยง เป็นสิ่งที่น่าขยาด เมื่อยังมีเวลาให้คิด ทำไมไม่คิด? มันคิดได้ทำได้ เมื่อหมดเวลาก็หมดโอกาสจะคิด อุปสรรคที่อยู่รอบตัวเรา เราเป็นผู้สร้าง ผู้ให้โอกาสกับตัวเรา ทั้งสร้าง ทั้งทำลาย อยู่ภายใต้อำนาจจิตของเรา ไม่ใช่จิตของคนอื่น จิตดีกรรมดี จิตชั่วกรรมชั่ว มีผลตามกรรม

กฎแห่งกรรมมีผลกับทุกคน ทุกเหล่า ทุกคนมีความหวังในชีวิตที่ดี ก็ต้องป้องกันสิ่งที่ไม่ดี อย่าให้เข้ามา ต้องป้องกันไว้ก่อน มาถึงแล้วแก้ไม่ทัน เด็กเกิดมายังต้องฉีดยาให้เป็นภูมิคุ้มกันโรคต่าง ๆ ไม่ให้เกิด เกิดแล้วรักษายาก ต้องค้นหายา ค้นหาหมอที่เก่งมาช่วย ทำดีเป็นการสร้างแนวต้านกระแสอกุศลวิบากกรรม ทั้งช่วยส่งเสริมกุศลวิบากกรรมให้มีพลังมาเป็นพลังชีวิต


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 15:29


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว