![]() |
อ่านเเล้วได้ข้อคิดธรรมเเละวิถีชีวิตของการบวชมากค่ะ อนุโมทนาในกุศลจิตอย่างยิ่ง
|
รายงานการถวายน้ำมันตามประทีปบูชาพระรัตนตรัยและพระบรมสารีริกธาตุ
ขอทุกท่านที่ร่วมทำบุญถวายน้ำมันตามประทีปและมหาชนทั้งหลายร่วมโมทนาสาธุอานิสงส์ครั้งนี้เทอญ จากภาพ น้ำมันมะพร้าวตรากระต่าย จำนวน ๔๗ ปี๊บได้นำไปถวายเป็นที่เรียบร้อยก่อนวันวิสาขบูชา สังเกตโคมประทีปที่ได้ทำการล้างทำความสะอาดดูใสเป็นประกาย หลวงพี่ท่านค่อย ๆ แกะออกมาล้างทีละดวง แล้วประกอบขึ้นฉัตรใหม่ทั้งสี่ฉัตร งานเริ่มกันตั้งแต่เช้าในวันวิสาขบูชา มีญาติโยมมาช่วยกันพับดอกบัวและร้อยอุบะ เพื่อใช้ประดับรอบ ๆ ฐานองค์พระและประดับฉัตรโคมประทีป เริ่มงานตั้งแต่เช้า มาเสร็จเอาก็เกือบ ๆ จะหกโมงเย็น หลังจากนั้น หลวงพี่ก็เริ่มนำทุกท่านจุดประทีปบูชาพระรัตนตรัยและพระบรมสารีริกธาตุ กระผมเองอธิษฐานให้ทุกท่านที่ร่วมบุญว่า "ข้าพเจ้าขอตามประทีป บูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมเด็จองค์ปฐม ขออานิสงส์นี้ส่งผลไปถึงผู้ร่วมบุญถวายน้ำมันตามประทีปทุกท่าน ขอให้มีความคล่องตัวทั้งทางธรรมและทางโลกอย่างอัศจรรย์ด้วยเทอญ" |
ภาพนี้ยังเป็นบรรยากาศในวันวิสาขบูชา และเห็นได้ว่า ญาติโยมต่างเสียสละมาร่วมแรงร่วมใจกัน ขอทุกท่านร่วมโมทนาด้วยเทอญ หลวงพี่ : "โยมรัตน์ โยมเป็นตัวแทนของทุก ๆ คนที่ทำบุญถวายน้ำมันตามประทีปมานะ โยมต้องตั้งใจให้ดีเป็นสองเท่าของคนอื่น ทั้ง ๙ วันนี้ โยมจะไม่ขึ้นมาจุดประทีปแม้แค่วันเดียวก็ไม่ได้ ทำเป็นเล่นไม่ได้นะ อาตมาบอกแล้วว่า ประทีปนี้เกี่ยวกับไฟ แล้วนี่ยังเกี่ยวกับความศรัทธาเกี่ยวกับบุญที่คนอื่นจะได้อีก โยมต้องตั้งจิตตั้งใจให้เต็มที่ แล้วต้องรายงานทุกท่านที่ร่วมบุญมาวันต่อวันด้วยนะ ถ่ายรูปไป แต่ละวันไม่เหมือนกันนะโยม เห็นหรือเปล่า วันแรกวันพระใหญ่ดอกไม้ยังสวย วันที่สองดอกไม้ก็สวยไม่เท่าวันแรก วันที่สามหรือวันที่สี่ ถ้าดอกไม้มันเฉาก็ต้องเอาออก แล้วอาตมาขอย้ำเรื่องการตามประทีปว่า ต้องตั้งจิตตั้งใจรวบรวมสมาธิใจการตามจุดประทีปทุกดวง อาตมาเห็นบางคนจุดประทีปมาหกปีแล้ว อาตมาถามว่าจุดประทีปอย่างไร ตอบไม่ได้สักคน ค่อย ๆ จุดไปทีละดวง เราไม่เอาจำนวนแต่เอาคุณภาพ" ทัดฤทธิ์ : ขอรับหลวงพี่ |
กระผมสังเกตอารมณ์ใจของตัวเอง ก่อนจะจุดประทีปเวลาตั้งจิตอธิษฐานก็อีกแบบหนึ่ง เวลาตามประทีปเสร็จ แล้วมาอธิษฐานอารมณ์ใจก็อีกแบบหนึ่ง แต่อารมณ์หนักแน่นที่สุดก็คือ ในขณะค่อย ๆ บรรจงจุดประทีปแต่ละดวงแล้วอธิษฐาน อารมณ์ในขณะนั้นหนักแน่นที่สุด
วันที่สองในการตามประทีป วันที่คนมาตามประทีปไม่เยอะ วันนี้อารมณ์ใจของกระผมจึงสงบมาก ค่อย ๆ บรรจงตามประทีปแต่ละดวง พร้อมอธิษฐานให้ทุกท่านที่ร่วมถวายน้ำมันตามประทีปให้ความเจริญรุ่งเรือง คล่องตัว ให้ถึงพระนิพพานทุกท่านเทอญ หลังจากนั้นทุกท่านที่มาตามประทีปก็ร่วมนั่งสมาธิ |
ภาพของเช้าวันนี้ ตอน ๖.๑๐ น. จะเห็นได้ว่าประทีปบางดวงดับไปแล้ว แต่ยังมีประทีปอีกหลายดวงที่ยังติดอยู่ เช้า ๆ แบบนี้ หลวงพี่ท่านต้องนั่งจัดไส้ประทีปคือตัดเอาส่วนที่เผาไหม้ออกไปหรือไม่ บางดวงก็ต้องเปลี่ยนไส้ประทีปใหม่ |
วันนี้วันที่สี่ในการตามประทีปบูชาพระรัตนตรัยและพระบรมสารีริกธาตุ คนอื่น ๆ ที่มาตามประทีปใช้เวลาแค่ไม่ถึงสิบห้านาทีก็เสร็จเรียบร้อยแล้วทั้งฉัตร
ส่วนตัวผม วันนี้ใช้เวลาไปร่วม ๑ ชั่วโมง สังเกตอารมณ์ใจของตัวเอง ประทีปดวงแรก ๆ จะเกี่ยวกับพุทธานุสติทั้งหมด ดวงแรกและแถวแรกทั้งแถว ถวายสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมเด็จองค์ปฐม แถวที่สองถวายสมเด็จองค์ปัจจุบัน แถวที่สามถวาย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์และพระปัจเจกพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ ยังไม่ทันจะหมดแถวที่สามดีเลย หันไปพวกตามประทีปเสร็จกันหมดแล้ว เหลือแต่หลวงพี่กับกระผม จึงไม่แปลก สำหรับเรื่องที่หลวงพี่ท่านเล่าให้ฟังและกำชับกระผมมา การจุดประทีปหลาย ๆ ดวง ในขณะจิตนั้น หากจิตเป็นสมาธิคำอธิษฐานก็พรั่งพรูออกมา แต่หากจิตขาดสมาธิ นึกคำอธิฐานแค่สั้น ๆ ยังนึกไม่ออกเลย ขอทุกท่านโมทนาการตามประทีปบูชาพระรัตนตรัยในวันนี้ด้วยเทอญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านที่ร่วมบุญถวายน้ำมันตามประทีปก็ขอให้ทุกท่านถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้เทอญ มีประทีปหลายดวง กระผมตั้งจิตถวายอานิสงส์แด่พระเดชพระคุณหลวงพ่อเล็ก ขอให้ท่านมีสุขภาพแข็งแรงและอยู่เป็นที่พึ่งเป็นหลักชัยให้เราทั้งหลายในที่นี้ ด้วยความกตัญญูกตเวทีในพระคุณของท่าน |
วันนี้ผมก็ตื่นตีสี่เช่นเคย จะอิดออดบ้างก็เล็กน้อย จิตรู้ว่าตัวขี้เกียจ มันเริ่มต่อต้านทันที เสียงของหลวงพ่อก็ดังเป็นเครื่องเตือนให้รู้ ให้มีสติ จากเครื่องเล่นเอ็มพีสามที่เปิดฟังจนหลับไปแทบทุกคืน เสร็จจากเสร็จภารกิจส่วนตัว ก็ขับรถจักรยานยนต์ขึ้นไปบนเขา สายลมเย็นที่กระทบช่วงเช้ามืด มันก็รู้สึกตื่นตัวขึ้นมา มันในที่นี้ก็คือร่างกายครับอย่าคิดมาก (มันไม่ใช่โปเตโต้) พอไปถึง ก็เห็นหลวงพี่ท่านนั่งอยู่แล้วในศาลา แล้วท่านก็ค่อย ๆ ลุก ส่งยิ้มให้เล็กน้อยเป็นอันว่ารู้กันว่า "เชิญปฏิบัติตามสบายโยม" แล้วท่านก็เดินลงเขาเข้ากุฏิ ท่านคงลุกขึ้นมาภาวนาของท่านหรือไม่ท่านก็ภาวนาของท่านทั้งคืน อันนี้กระผมก็ไม่กล้าถาม แสงประทีปนวลสว่าง และสัมผัสอบอุ่น หลังจากที่ขับรถฝ่าความเย็นของอากาศช่วงเช้ามืดขึ้นมา สองข้างทางเต็มไปด้วยป่าและสวนยาง กลัวเพื่อน ๆ จะยืนรอขอส่วนบุญเหมือนกัน แต่ก็ยังไม่เจอสักที ไม่พูดพล่ามทำเพลงให้เสียเวลา ค่อย ๆ ก้มลงบรรจงกราบขอบารมีพระ แสงประทีปส่องสว่าง หน้าองค์หลวงพ่อเงินไหลมาเทมาและพระแก้วใสทรงเครื่อง เห็นแล้วชื่นใจ ขอบารมีพระองค์ท่านสงเคราะห์ ขอให้มีความเจริญก้าวหน้าในการปฏิบัติ วันนี้จิตมันอยากจะเปลี่ยนอิริยาบถ เป็นเดินจงกรมแทน เลยเดินจงกรมจนสว่าง ( แค่เกือบ ๆ ชั่วโมงเท่านั้นครับ แต่มันดูเท่เหมือนเดินทั้งคืน) เดินไปเดินมา เสียงเพลงทำนองไม่คุ้นหูก็ดังมาจากแนวต้นยางพาราพร้อมแสงไฟดวงเล็ก งานนี้ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงต้องใส่เกียร์หมาวิ่งตับแลบไปแล้วครับ พม่ายุคนี้พัฒนาแล้ว กรีดยางไปยังไม่วายฟังเพลงพม่าไปด้วย เออ เอา ๆ ความสุขเล็ก ๆ ของเขาเราไม่เกี่ยว ภาวนาต่อไปดีกว่า ประทีปในวันนี้ไม่มีดอกไม้ประดับเหมือนวันแรก มันสะท้อนให้เป็นสัจธรรมว่า ทุกอย่างมี เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปเป็นธรรมดา แม้แต่ดวงประทีปที่จุดสว่างแล้วยังต้องดับไปตามเวลา หลังจากนั้นก็กราบพระอุทิศส่วนกุศล คว้าไม้กวาดมากวาดพื้น แมลงเม่าตัวใหญ่บินมาเล่นแสงประทีป ทิ้งปีกไว้เกลื่อนพื้นศาลาไปหมด กวาดซ้ายมันไปขวา กวาดขวามันไปซ้ายตามแรงลมที่เหวี่ยงไม้กวาดออกไป เสร็จแล้วก็กราบลาพระรัตนตรัยอีกแล้วก็กลับลงจากเขามา |
รายงานการตามประทีปบูชาพระรัตนตรัยและพระบรมสารีริกธาตุ วันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๕๓
เมื่อคืนที่ผ่านมา ช่วงแรกจิตมีความสงบดี แต่พอเข้าช่วงกลาง ๆ ฉัตร จิตก็ไม่สงบเท่าที่ควร จิตคิดเรื่องโน้นเรื่องนี้ไปเรื่อย ก็พยายามกำหนดรู้ แล้วดึงกลับเข้ามาสู่สมาธิ ช่วงปลาย ๆ ของการตามประทีป จิตกลับเข้าสู่สมาธิอีกครั้ง ตัดความกังวลทุกเรื่องออกได้ ที่ผ่านไปแล้วให้ผ่านไป แต่ในขณะจิตนี้คือปัจจุบัน คำอธิษฐานก็พรั่งพรูออกมา โดยมีคำอธิษฐานที่ว่า "ข้าพเจ้าขอตั้งจิต ตามประทีปบูชาพระรัตนตรัยและพระบรมสารีริกธาตุ ขออานิสงส์นี้ จงส่งผลให้คำอธิษฐานของข้าพเจ้าทุก ๆ ประการ จงบังเกิดผลสำเร็จและสัมฤทธิ์ผลโดยง่ายดายและอัศจรรย์ด้วยเทอญ" บังเกิดขึ้นในขณะจิตนั้น หลังจากนั้นในแต่ละดวงประทีป จิตก็ค่อย ๆ เข้าสมาธิหนักแน่นขึ้นมาลำดับ ตรงนี้ถ้าจะอธิบายตามที่ผมกระทำคือ ในขณะจุดประทีปผมกำหนดรู้ว่าจุดประทีปดวงนั้น ๆ แล้วตั้งจิตเข้าสมาธิแล้วก็อธิษฐานในดวงประทีปดวงนั้น ๆ ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลยที่จะสู้กับกิเลสภายในใจตัวเอง ขึ้นมาตามประทีปทุกวัน วันละชั่วโมง ความฟุ้งซ่านในแต่ละวันมันไม่เหมือนกัน กิเลสในแต่ละวันก็ไม่เหมือนกัน |
ขอทุกท่านร่วมโมทนาบุญ การตามประทีปบูชาพระรัตนตรัยและพระบรมสารีริกธาตุ วันที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๕๓ ด้วยเทอญ
วันเวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว นี่ก็ผ่านไปแล้วหกวัน ก็ใกล้ถึงวันอัฏฐมีบูชาแล้ว วันที่ ๖ ก็กำหนดให้มีการทำบุญเลี้ยงพระ ๙ รูปในตอนเช้า ถือเป็นการเสร็จสิ้นอย่างสมบูรณ์ในการตามประทีป ๙ วัน |
ขอทุกท่านร่วมโมทนาบุญ การตามประทีปบูชาพระรัตนตรัยและพระบรมสารีริกธาตุ วันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๕๓ ด้วยเทอญ
|
ขอทุกท่านร่วมโมทนาบุญ การตามประทีปบูชาพระรัตนตรัยและพระบรมสารีริกธาตุ วันที่ ๔-๕ มิถุนายน ๒๕๕๓ ด้วยเทอญ
|
ภาพในวันอัฏฐมีบูชา งานนี้ก็ได้ร่วมแรงร่วมใจกันตั้งแต่เช้า พับดอกบัวเสร็จ ก็ร้อยอุบะมาลัยกันต่อ กระผมเองได้มีโอกาสจัดดอกบัวรอบ ๆ องค์พระประธานและหน้าองค์หลวงพ่อเงินไหลมาเทมาและพระแก้วใสปางทรงเครื่องจักรพรรดิ สาธุ สาธุ สาธุ วันนี้ งานทั้งหมดเสร็จก่อนเวลา หลังจากนั้น หลวงพี่ท่านก็นำทุกท่านตามประทีปบูชาพระรัตนตรัยและพระบรมสารีริกธาตุ แสงสว่างเหลืองนวลไปทั้งศาลา |
http://i113.photobucket.com/albums/n...d/P6050721.jpg "ข้าพเจ้าขอตั้งจิตเป็นตัวแทนท่านผู้ร่วมถวายน้ำมันตามประทีปทุก ๆ ท่าน ขอตั้งจิตตามประทีป เพื่อบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมเด็จองค์ปฐม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ทั้งหลายและพระบรมสารีริกธาตุทั่วสากลพิภพ ขออานิสงส์ทั้งหมดนี้ในการตามประทีปเก้าวัน จงส่งผลให้ท่านผู้ร่วมบุญทั้งหลายและข้าพเจ้า มีความเจริญในการปฏิบัติทั้งทางธรรมและทางโลก ให้มีความคล่องตัวเป็นมหัศจรรย์ ให้คำอธิษฐานทุก ๆ คำ สัมฤทธิ์ผลอย่างง่ายดาย ให้ถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้เทอญ" |
วันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๕๓ วันนี้ได้ร่วมกันทำบุญถวายพระเก้ารูป พร้อมทั้งตามประทีปอีกหนึ่งวันเป็นพิเศษ และแล้ว หลวงพี่ : โยมรัตน์ ให้โยมนำพระธาตุข้าวบิณฑ์กลับไปบูชาที่บ้านนะ ที่โยมคัดแยกมาเป็นพิเศษ ทัดฤทธิ์: อย่างไรนะขอรับหลวงพี่ กระผมนำมาถวายหลวงพี่ตั้งสามวันแล้วขอรับ พอดีวันนี้หลวงพี่อาพาธ แล้วหลวงพี่จะไม่อาราธนา บรรจุในบาตรหลวงพ่อเงินไหลมาเทมาเพิ่มเติมหรือขอรับ หลวงพี่ :หลวงพ่อท่านมาบอกว่า "ไม่ต้องบรรจุให้เต็ม" ที่โยมถวายมาตอนแรกก็เกินครึ่งบาตร แล้วที่โยมนำมาถวายเพิ่มครั้งที่สอง ก็บรรจุลงไปแล้วจนเกือบจะเต็มบาตร คราวนี้พอจะบรรจุเพิ่ม ท่านก็มาบอกว่า"ไม่ต้องบรรจุให้เต็ม ให้รอดูอะไรบางสิ่งบางอย่าง" ทัดฤทธิ์: หลวงพ่อไหนขอรับ หลวงพี่ : พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ท่านมาบอกอาตมา (แล้วหลวงพี่ท่านก็ยิ้มอย่างมีความสุข) ทัดฤทธิ์: สาธุ หลวงพ่อ! สาธุ สาธุ สาธุ (น้ำตาแทบไหล) |
ขอแจ้งข่าวครับ หลวงพี่ท่านตามประทีปต่อเนื่องจนถึงวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๕๓ รวมแล้วเป็นเวลา ๑๖ วันจากน้ำมันที่ทุกท่านได้ร่วมถวาย
สรุป ว่าตามประทีปตั้งแต่วันวิสาขบูชา ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๗ ผ่านถึงวันอัฏฐมีบูชา แรม ๘ ค่ำ เดือน ๗ จะไปสิ้นสุดในวันพระขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๘ รวมทั้งสิ้น ๑๖ วันครับ ช่วงที่ผ่านมาฝนตกเยอะมาก แมลงเม่าทิ้งปีกเกลื่อนกลาดเต็มศาลาไปหมด งานนี้ต้องพึ่งเครื่องดูดฝุ่น พร้อมจัดแจงแปลงโฉมศาลา จัดข้าวจัดของใหม่ ศาลากว้างขึ้นว่าเดิมเยอะ |
สุข ๆ ดิบ ๆ
ก่อนเดินทางไปงานสืบชะตาของหลวงพ่อ งานนี้ป่วยชนิดที่เรียกว่า กินยาตอนเก้าโมงเช้า หลับเป็นตายมาตื่นเอาเกือบจะบ่ายสี่โมงเย็น ค่อย ๆ หอบสังขารจัดแจงข้าวของส่วนตัว แล้วเดินทางไปขึ้นรถโดยสารปรับอากาศ ภูเก็ต-กรุงเทพฯ จัดยาให้ตัวเองอีกชุดใหญ่ ทั้งยาแก้ไข้ ยาระงับอาการท้องเสียชนิดเฉียบพลัน.......ทุกข์ล้วน ๆ ไม่มีอย่างอื่นผสม ขึ้นรถได้ไม่กี่อึดใจก็หลับไปเพราะยาออกฤทธิ์ ถึงสายใต้ใหม่ตามกำหนดการที่วางเอาไว้ ไปถึงวัด เห็นหลวงพ่อเดินตรวจงาน ก็รีบเข้าไปกราบ เห็นหลวงพ่อแล้วใจมันชื้นขึ้นเยอะ หลวงพ่อ : ทิดรัตน์ออกเดินทางตั้งแต่เมื่อไหร่ ทัดฤทธิ์: เมื่อวานขอรับหลวงพ่อ มารถทัวร์ขอรับ ลงสายใต้ใหม่แล้วก็เดินทางต่อกับคณะทิดตู่มาวัดเลยขอรับ หลวงพ่อ: ไม่เหนื่อยแย่หรือ เมตตาที่หลวงพ่อมีให้กระผมเสมอมา ทำให้รู้ตื้นตันใจยิ่งนัก วันที่ ๑๙ ผมตื่นแต่เช้าตามปกติของผม คว้ากล้องส่องทางไกลไปสำรวจ "นก" รอบ ๆ ที่พัก เห็นระดับน้ำที่แม่น้ำลดลงไปเยอะ จนเห็นแนวพื้นทรายจึงตั้งใจลงไปเดินสำรวจตามแนวตลิ่งว่าจะเจอนกชนิดใดบ้าง ยังไม่ทันจะตั้งตัวให้ดี มารู้ตัวอีกที่ร่วงลงไปนอนกับพื้นแล้ว แขนซ้ายฟาดกระทบบ่อซีเมนต์อย่างแรง ปวดร้าวไปถึงกระดองใจ เก็บอาการแทบไม่ไหว ค่อย ๆ พยุงตัวขึ้นมองไปที่ท้องแขน ทั้งเลือดทั้งรอยถลอกเป็นแนวยาว ค่อย ๆ กัดฟันพยุงตัวไปตรงแอ่งน้ำตื้น ๆ ค่อย ๆ เอามือวักน้ำ ล้างทำความสะอาดบาดแผล พลางคิดไปว่า "ท่านใดที่มาทวง งานนี้ถือว่าชดใช้ให้กันแล้วนะ" พิจารณาไปว่าอะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ค่อย ๆ เดินหน้าต่อ เห็นฝูงนกกระติ๊ดขี้หมู ค่อย ๆ จิกกินเมล็ดหญ้า พร้อม ๆ กับเสียงร้องของนกกระเต็นอกขาว ที่ดังออกมาจากแนวป่าทึบ เดินไปเดินมาได้ระยะหนึ่ง เห็นว่าสมควรแก่เวลา ที่ควรจะกลับไปเตรียมเนื้อเตรียมตัวไปวัดต่อไป |
งานก็ราบรื่นไปด้วยดีทุกประการ ข่าวคราวทางบ้านส่งมาเป็นระยะ ๆ เดี๋ยวลูกป่วย ภรรยาเปื่อย วัดดวงรีบเดินทางกลับออกจากวัดช่วงบ่ายสามโมงเย็นแต่สุดท้ายก็ไม่ทันทั้งรถทัวร์ และเครื่องบิน จึงต้องอาศัยหลบนอนบ้านคุณต้อมบางพูน เช้าวันที่ ๒๑ รีบออกไปจองตั๋วเครื่องบินตั้งแต่เช้า ขึ้นเครื่องตอนบ่ายสามโมงเย็น เครื่องออกจากดอนเมือง ได้ยี่สิบนาที กัปตันส่งเสียงแจ้งว่าเครื่องขัดข้อง ต้องบินกลับลงสนามบินดอนเมืองอีกครั้งเพื่อทำการตรวจสอบ งานนี้เล่นเอาอารมณ์กลัวตายของผู้โดยสารบนเครื่องวิ่งพล่านไปหมด ส่วนกระผมตายก็ตายวะ อาการป่วยมันเริ่มกำเริบอีกครั้งแล้ว มวนท้องไปหมด
ห้าโมงครึ่งหลังจากทีมช่างส่งสัญญาณว่าแก้ไขปัญหาได้แล้ว ก็ออกเดินทางต่อถึงภูเก็ตหนึ่งทุ่ม กลับถึงบ้านเกือบ ๆ สามทุ่ม อาบน้ำอาบท่า ตรวจดูลูก ๆ นอนกันหมดแล้ว จึงขึ้นไปกราบพระที่ห้องพระ จัดแจงกราบขอขมาพระรัตนตรัย ล้มหัวถึงหมอนก็หลับเป็นตาย ราวตีสามกว่า ๆ ฝันไปว่ามีเหตุไม่ค่อยดี จนต้องสะดุ้งตัวตื่นพร้อมเสียงโวยวายของภรรยาดังขึ้นมาจนถึงห้องพระ พี่รัตน์ น้องเอยเป็นอะไรไม่รู้ ลงมาดูเร็ว พี่รัตน์...ลูกชัก ! ตั้งสติได้ก็รีบคว้ากุญแจรถยนต์ รีบเอาลูกขึ้นรถ ปิดบ้านใส่กุญแจเรียบร้อย แล้วไปถึงโรงพยาบาลภายใน สิบห้านาที หมอบอกน้องไข้สูงมาก ให้พักรักษาตัวที่โรงพยาบาล ตอนนี้อาการปกติแล้ว โถ..แม่นางฟ้าของพ่อ ทุกข์นะลูก..ขันธ์ห้ามันทุกข์..! ทุกข์ใดเล่าจะเท่าทุกข์ของพ่อแม่ ยามลูกเจ็บไข้ได้ป่วย ทุกข์ใดเล่าจะเท่าทุกข์ของครูบาอาจารย์ ยามศิษย์หลงผิด เดินผิดทาง |
"ทุกข์คือสิ่งที่ควรกำหนดรู้ เมื่อกำหนดรู้แล้วก็วาง ไม่ใช่แบกเอาไว้" พลางคิดถึงคำสั่งสอนของหลวงพ่อไปด้วยอารมณ์ใจเบา ๆ จู่ ๆ ก็เห็นท่านหมอชีวกโกมารภัจจ์ในช่วงขณะจิต กระผมฝากท่านปู่ช่วยดูแลอาการไข้ต่าง ๆ ของครอบครัวกระผมด้วยขอรับ ท่านก็มาในลักษณะนั่งสมาธิแบบที่เราเห็นในหนังสือต่าง ๆ
อาการของน้องยังทรง ๆ ทรุด ๆไข้ขึ้น ๆ ลง ๆ จนหมอต้องปรับจากยากินมาให้ยาทางสายน้ำเกลือด้วย แต่ก็ถือว่าเป็นคนไข้ที่แต่งตัวแนวที่สุดเพราะน้องไม่ยอมใส่ชุดของทางโรงพยาบาล ใส่แต่เสื้อคอกระเช้าสีแสบตา จนคุณหมอถามว่า มีสีครบทุกวันตามสีเลยหรือเปล่า เมื่อคืนไปนอนเฝ้าที่โรงพยาบาลก็กำหนดนอนภาวนาไปด้วย ช่วงนี้ฝันถึงแต่ ปู่ ย่า ตา ยาย ที่เสียไปแล้ว จึงกำหนดอุทิศบุญไปให้ |
กระผมวางแผนไว้อย่างดิบดี ไปสอบตัวแทนประกันชีวิต หวังว่าเมื่อได้ใบอนุญาตตัวแทนประกันชีวิตมาแล้ว จะได้ทำประกันชีวิตให้ลูกและดูแลคนในครอบครัว แทนที่จะหวังให้คนอื่นดูแล เพราะมีประสบการณ์มาแล้ว ยังไม่ทันไร เหมือนจะโดนทดสอบกำลังใจ......ช่างออกโจทย์ได้โดนใจโดนจังหวะเสียเหลือเกิน.......เป็นเมื่อก่อนผมคงวางกำลังใจแบบวันนี้ไม่ได้ นี่ดีขึ้นกว่าเก่าตั้งเยอะแล้ว
ทัดฤทธิ์: หลวงพี่ขอรับ กระผมว่ากระผมวางกำลังใจดีแล้ว แต่อยู่ ๆ มีจิตตัวหนึ่งมันพุ่งขึ้นมาว่า "ทำดีตั้งเยอะตั้งแยะแล้วไม่เห็นจะได้ดีเลย เห็นหรือเปล่าลำบาก เดือดร้อนตลอด" (ยังพูดไม่ทันขาดคำ...) หลวงพี่: โยม! ฝากไปบอกไอ้จิตดวงนั้นของโยมด้วยนะ ถ้าทำดีจริง ๆ ทำถึงจริง ๆ มันไม่วุ่นวายอย่างนี้หรอก ตัวช่วยมันจะเยอะกว่านี้ ฝากบอกมันด้วยว่าอย่ามาโอดโอย อย่างไรเสียตั้งใจปฏิบัติไปโยม อย่าไปท้อแท้ วิธีแก้ไขทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวโยม คือการปฏิบัติเท่านั้น ตัดภพตัดชาติให้ได้ จำเอาไว้นะโยม เราเป็นกำลังใจให้ |
พอลูกหายออกจากโรงพยาบาล งานนี้งานเข้า คุณแม่ก็มาป่วยอีก....:fea27916::onion_emoticons-18: ต้องเตรียมตัวพาท่านไปรักษาที่หาดใหญ่ ดีที่ว่าใกล้เคียงกับช่วงเวลาที่หมอนัดพอดี ก็ว่ากันไปครับ ผมเองบางครั้งก็วางกำลังใจได้ แต่บางครั้งก็เผลอคิดไปเหมือนกัน เผลอก็รู้ว่าเผลอ ดึงสติกลับมาพิจารณาใหม่ ก็เห็นทุกข์ทั้งนั้น ยิ่งมีขันธ์ห้าก็ยิ่งทุกข์ ไม่ว่าจากตัวเราเองหรือคนรอบข้าง
คิดไปอีกแบบหนึ่ง ก็มีทุกข์ล้วน ๆ มาแบบอาหารจานด่วน มาให้พิจารณาอยู่เบื้องหน้ากับคนใกล้ ๆ ตัว ตอนลูกไม่สบายก็ทุกข์ไปอีกแบบ มาแม่ไม่สบายก็ทุกข์ไปอีกแบบเช่นกัน ถึงรายละเอียดจะต่างกัน แต่มันก็ทุกข์ล้วน ๆ |
ทุกข์มีไว้ให้เห็น...มิใช่มีไว้ให้เป็น(ทุกข์)
ทัดฤทธิ์: หลวงพี่ขอรับ กระผมว่ากระผมวางกำลังใจดีแล้ว แต่อยู่ ๆ มีจิตตัวหนึ่งมันพุ่งขึ้นมาว่า "ทำดีตั้งเยอะตั้งแยะแล้วไม่เห็นจะได้ดีเลย เห็นหรือเปล่าลำบาก เดือดร้อนตลอด" (ยังพูดไม่ทันขาดคำ...)
หลวงพี่: โยม! ฝากไปบอกไอ้จิตดวงนั้นของโยมด้วยนะ ถ้าทำดีจริง ๆ ทำถึงจริง ๆ มันไม่วุ่นวายอย่างนี้หรอก ....ติดใจครับ ชอบมาก ๆ ไว้เตือนตนเองได้ดีมาก ๆ ครับ ....ขออนุโมทนา ขอบคุณครับ |
เรื่องการปฏิบัติกระผมเองก็ไม่ได้ทิ้ง เมื่อก่อน (นานมาแล้ว) เคยกราบเรียนขอความเมตตาหลวงพ่อ
ทัดฤทธิ์ :หลวงพ่อขอรับ กระผมเองว่ากระผมปฏิบัติแบบหัวไม่วางหางไม่เว้น แล้วทำไม ไม่เห็นมันจะดีขึ้นหรือก้าวหน้าขึ้นเลยครับ หลวงพ่อ :คุณแน่ใจหรือว่าคุณทำชนิดที่เรียกว่า "หัวไม่วางหางไม่เว้น" (เสียงหลวงพ่อดุ ๆ) ถ้าคุณทำได้แบบนั้น จะหาคำว่าไม่เจริญ ไม่ก้าวหน้า ไม่ได้หรอก หน้าที่ที่ผมต้องรีบทำตอนนี้ คือหันกลับมาตอกย้ำตัวเองก็คือ ทำ ทำ ทำ และ ทำต่อไป เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาได้มีโอกาสไปทำบุญตักบาตรกับหลวงพี่ ที่สำนักสงฆ์จุดประทีป ช่วงเย็นก็ได้ตามประทีปบูชาพระรัตนตรัยและพระบรมสารีริกธาตุและทำสมาธิภาวนาอยู่นาน หลังจากนั้นก็ได้สนทนาธรรมกับท่าน หลวงพี่:ลูกเป็นอย่างไรบ้างโยม ออกจากโรงพยาบาลแล้วนะ ตั้งใจปฏิบัติไปนะโยม มีทุกข์ก็กำหนดรู้ว่าทุกข์ ดูมันให้เห็นแล้ววางลงให้ได้ เป็นประโยคไม่สั้นไม่ยาว ที่ท่านคอยเตือนสติอยู่เสมอ ๆ อีกเรื่องกระผมว่ากระผมก็โชคดี ถึงแม้นตอนนี้ ทางบ้านจะมีเรื่องวุ่นวาย แต่คนในบ้านต่างก็ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ถึงแม้นในบ้านจะมีผมปฏิบัติอยู่เป็นหลักแค่คนเดียว แต่ทุกคนก็ทำให้ผมมีเวลาในการไปปฏิบัติภาวนาหรือทำบุญทำทานเสมอ ในความมืดยังมีแสงสว่างเสมอ ๆ กาลเวลามันกำลังกลืนกินทุกอย่างไปเรื่อย ๆ อย่างน้อยก็ยังดีที่ยังได้ปฏิบัติ ตอนไปงานสืบชะตาหลวงพ่อ เจอแต่ "แฟนพันธุ์แท้" ของกระทู้นี้เข้ามาทักทาย สาวไม่ค่อยขาวแต่ก็ไม่ค่อยสวย : ติดตามอ่านตลอดค่ะ ทัดฤทธิ์: ครับ ๆ ขอบคุณมากครับ หวังว่าคงจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะครับ (ว่าจะขอค่าลิขสิทธิ์ก็ไม่กล้า เก็บแค่คนละบาท (ทองคำ) ก็รวยแล้ว) ช่วงนี้บรรยากาศของเรื่องราวอาจจะออกแนว "ม่าม่า" ขออภัยครับ บรรยากาศอาจจะออกแนวละครเคล้าน้ำตาไปสักนิด แต่ก็ขอยืนยันว่า ทุกอย่างมันออกมาจากเรื่องจริง การปฏิบัติจริงทั้งนั้นและนี้ก็เป็นช่วงปัจจุบัน ซึ่งอีกไม่นานมันก็คงหมุนเวียนเปลี่ยนไปเป็นอดีต อันแสดงให้เห็นว่า "มันไม่เที่ยง ไม่จีรังยั่งยืนอันใดเลย" |
วันนี้ ผ่านไปอีกวัน ตื่นมาปฏิบัติตั้งแต่ตีห้า ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตอนตีสี่ ถึงจะตื่นมาสายไปหนึ่งชั่วโมง ก็ยังดีที่ได้ปฏิบัติ เปิดเสียงชุมนุมเทวดา บูชาพระรัตนตรัย อาราธนาศีลแปดและสมาทานพระกรรมฐานของพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษี นั่งสมาธิเอาสมถกรรมฐานเป็นกำลัง เพื่อใช้กำลังเหล่านั้นในการทำวิปัสสนากรรมฐานในชีวิตประจำวันต่อไป ก็คือดู รัก โลภ โกรธ หลง ที่มันเข้ามาในแต่ละเรื่องราวในชีวิตประจำวัน ดูมันตรง ๆ แล้วก็วาง (อันนี้คือสิ่งที่กระผมพยายามทำอยู่ครับ) ช่วงนี้ต้องหมั่นย้อนไปดูคำสั่งสอนของพระเดชพระคุณหลวงพ่อเล็ก เพื่อให้กำลังใจและรักษากำลังใจตัวเองครับ (ไม่อย่างนั้นเอาตัวไม่รอด)
สมถกรรมฐานเป็นการเพาะกำลังให้แข็งแรง วิปัสสนากรรมฐานเหมือนกับอาวุธที่คมกล้า เมื่อมีกำลังมีอาวุธแล้ว การจะตัดกิเลสก็เป็นเรื่องง่าย ในเมื่อเรารู้ว่า ทั้งสองอย่างต้องทำสลับกันไป แต่บางทีมันก็ยังไม่ไหว มันก็ยังรู้สึกว่าไปได้ไม่ดี ไม่คล่องตัวอาจจะเกิดจากอิริยาบถของเราที่มันซ้ำ ๆ อยู่กับที่ ไม่ใช่ว่านั่งก็นั่งมันอย่างเดียวไปตลอด ยืนก็ยืนมันอย่างเดียวไปตลอด เดินก็เดินมันอย่างเดียวไปตลอด นอนก็นอนมันอย่างเดียวไปตลอด มีน้อยคนที่ทำอยู่อิริยาบถอย่างเดียว แล้วอารมณ์ใจจะตั้งมั่น ให้เราเปลี่ยนสถานที่ เปลี่ยนอิริยาบถบ้าง เมื่อเราเปลี่ยนสถานที่ เปลี่ยนอิริยาบถ มีสิ่งที่แปลกใหม่เข้ามา สภาพจิตก็จะไม่เบื่อหน่าย มันก็จะเริ่มปฏิบัติในอิริยาบถใหม่ หรือว่าเริ่มปฏิบัติในสถานที่ใหม่ เพื่อที่จะให้กำลังใจ ทรงตัวเท่ากับที่เราเคยทำมา หรือว่าอาจจะดีขึ้นกว่าเดิมก็ได้ เพราะว่ามันไม่ซ้ำซากจำเจแล้ว แม้มันจะดีถึงที่สุดไม่ได้ ก็ให้มันดีในลักษณะของ "พระโยคาวจร" คือ ผู้ตั้งใจปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น แม้จะไม่ได้เป็นพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี หรือพระอรหันต์ ขึ้นชื่อว่าพระโยคาวจร ก็ยังไม่ขาดทุนมาก ป.ล. คติเตือนใจ พวกเราจะอยู่ในลักษณะ ทำทำ ทิ้งทิ้ง ไม่สม่ำเสมอ เปรียบเหมือนกับ การขุดบ่อน้ำเพื่อจะหาน้ำ พอขุดลงไปได้สักสองวาสามวา ยังไม่ถึงน้ำเสียที คนอื่นบอกตรงโน้นดีก็เปลี่ยนที่ไปขุดตรงโน้น ขุดลงไปได้สักสองวาสามวา คนอื่นเขาบอกว่าตรงโน้นดี ก็เปลี่ยนที่ไปอีก การที่เราขาดความจริงจังสม่ำเสมอ ในการทำกรรมฐาน ทำให้มันไม่เกิดผล ดังนั้น เมื่อมันไม่เกิดผล หรือว่าเกิดผลน้อย เหมือนกับขุดบ่อแล้วไม่ได้น้ำเสียที เราอาจจะท้อแล้วก็เลิกขุด เพราะฉะนั้น เมื่อท่านทรงอารมณ์กรรมฐานได้แล้ว ทรงตัวได้แล้ว ให้พยายามประคับประคองอารมณ์นั้น ให้อยู่กับเราให้นานที่สุด ให้ยาวที่สุด เพื่อความเคยชินของกำลังใจ |
มีเรื่องแปลกอย่างหนึ่งก็คือ ถ้าหากเราดูสภาพเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เราจะเห็นว่าสารพัดความทุกข์ประเดประดังเข้ามารอบข้าง สำหรับนักปฏิบัติธรรมแล้ว นี่เป็นโอกาสทองที่ดีที่สุด ที่เราจะได้พิจารณาให้เห็นอย่างชัดเจน แต่ที่อยากพูดก็คือว่า ทำไมพวกเราปล่อยให้โอกาสนี้ข้ามไปเฉย ๆ แล้วอีกนานเท่าไรเราถึงมีโอกาสอย่างนี้อีก ? เรียกว่า ไม่รู้จักพลิกวิกฤตเป็นโอกาส ปล่อยให้วิกฤตยังคงเป็นวิกฤตอยู่ตามเดิม ความทุกข์ที่เห็นได้ชัดเจนขึ้น บีบคั้นมารอบข้าง ใครซึ่งที่ทำงานโดนไฟไหม้จะยิ่งรู้ชัด งานไม่มีทำ..ไม่รู้จะมีกินหรือเปล่า? ลำพังตัวเองยังไม่เท่าไร ถ้ามีครอบครัว ไหนจะลูก ไหนจะเมีย ไหนจะผัว ความทุกข์ประดังเข้ามาหนักยิ่งกว่าเดิม แต่เรากลับไม่ฉวยโอกาสนี้ในการพิจารณา จะว่าไปแล้วก็เกิดจากสติ สมาธิ ปัญญายังไม่ถึง ไม่เพียงพอที่จะมองเห็น เมื่อรู้แล้วให้ลองแบกโลกดูสักที ถ้าแบกไหวก็สบายไปเลย มีฝรั่งเขาสงสัยว่าพระพุทธเจ้าสอนแต่เรื่องความทุกข์ ความลำบาก ในเมื่อเรื่องความสุข ความสบายมีเยอะแยะกลับไม่สอน ความสุขสบายนั้น อันดับแรก ทำลายความมุ่งมั่นของเราได้ง่ายที่สุด คิดจะทำนั่นคิดจะทำนี่ แต่ถ้าลำบากหน่อยแล้วทิ้ง เพราะเห็นว่าสิ่งที่ทำนั้นทุกข์ยากลำบาก ถ้าเราไม่ทำความสุขสบายก็รออยู่ กลายเป็นว่าความสุขความสบายกัดกร่อนปณิธานของตนเองไปจนหมด ประการที่สอง ความสุขสบายทำให้คนยึดติดได้ง่าย ในเมื่อยึดติดได้ง่าย ในเรื่องของธรรมะที่จะให้ตัดให้ละ ถ้าใช้ความสุขมาเป็นการสอน ต้องเป็นบุคคลที่มีปัญญาขนาดไหนจึงจะมองเห็น แม้กระทั่งพระองค์บรรลุมรรคผลแล้วยังไม่คิดจะสอนใคร เพราะเห็นว่าธรรมะของพระองค์ลึกซึ้งมาก ในเมื่อสอนถูกต้องตามวิธีการแล้ว ยังยากที่จะเข้าถึง แล้วถ้าไปสอนตรงกันข้าม โอกาสก็จะยิ่งน้อยไปอีก ประการที่สาม เรื่องตรง ๆ เลย ถ้ามีความสุข ก็อยากเกิดอีก ในเมื่ออยากเกิดอีก โอกาสที่จะหลุดพ้นก็ไม่มี เพราะฉะนั้น ใครเขาถามว่า ทำไมพระพุทธเจ้าสอนแต่เรื่องความทุกข์ ไม่สอนเรื่องความสุข ทำให้พระพุทธศาสนาเป็นเรื่องที่น่าเศร้าหมอง น่าหดหู่ บอกเขาไปให้ชัดเจนเลยว่า เกิดจากสาเหตุทั้งหลายเหล่านี้ แต่ถ้าท่านทำถึง ก้าวล่วงพ้นความทุกข์ได้เมื่อไร ความสุขที่แท้จริงก็จะมาเอง พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ เทศน์ช่วงบ่าย ณ บ้านอนุสาวรีย์ วันอาทิตย์ที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๕๓ อ่านแล้ว สะกิดใจอย่างรุนแรง วันนี้กระผมพยายามพลิกวิกฤตของกระผมเองให้เป็นโอกาสครับ |
"กลับตัวก็ไม่ได้ ให้เดินต่อไปก็ไปไม่ถึง" เป็นประโยคในเนื้อร้องของทำนองเพลง เพลงหนึ่ง แต่ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมนั้น กระผมเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าว่า "กลับตัวได้ ให้เดินต่อไป ก็ต้องไปถึง"
แรกเริ่มเดิมที ผมเริ่มถูกทางคือเลือกที่จะเป็นผู้แสวงหาหนทางแห่งความหลุดพ้น ในพระพุทธศาสนา อันมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งอันประเสริฐ แต่ผมหลงไปในวังวนของ อวิชชาคือความไม่รู้ ไม่ถึงกับว่าไม่ได้ประโยชน์อย่างใดเลย ได้ประโยชน์มากหากพิจารณาให้เป็นข้อธรรม แต่ก็เหมือนเดินวนอยู่กับที่ ถ้าเปรียบเทียบให้เหมือนกับลักษณะของการเดินทาง อาจจะเรียกว่าได้ว่า "เดินอ้อม" ย้อนกับมาในการสนทนาธรรมกับครูบาอาจารย์หลาย ๆ ท่าน ในที่นี้คงไม่พ้น "หลวงพี่" เพราะท่านอยู่ใกล้ผมที่สุด กรรมของท่านหรือว่าบุญของผม (เพื่อความบันเทิงในธรรม ขอกราบขอขมาขอรับ หากประมาทพลาดพลั้งล่วงเกินประการใด) ทัดฤทธิ์:หลวงพี่ขอรับ พวกน้อง ๆ ในกลุ่มของกระผมหลังจากแตกกระจัดกระจายออกจากกลุ่มปฏิบัติกลุ่มหนึ่งแล้ว เดี๋ยวนี้ทุกคนแทบจะไม่ได้เน้นในเรื่องของการปฏิบัติเลยขอรับ แต่เรื่องของ ทาน ศีล ทุกคนยังมั่นคงเช่นเดิมขอรับ หลวงพี่ท่านยิ้มมุมปากน้อย ๆ แล้วเงียบไปครู่หนึ่ง หลวงพี่: ดีแล้วโยม พวกเขาได้ลืมของเก่า ๆ ที่ไปรับมาผิด ๆ.....เวลาคนเราอยู่กับอะไรที่ไม่ถูกหรือเคยชินกับอะไรนาน ๆ มันจะปรับตัวจากสิ่งเหล่านั้นได้ยาก ยิ่งรับมาผิด ๆ กว่าจะปรับปรุงให้ถูกได้มันยาก การเริ่มต้นที่ถูกที่ดีนั้น นับเป็นเรื่องสำคัญ อวิชชานี่มันเป็นตัวทดสอบที่สำคัญเลย ดีนะที่ยังกลับตัวกลับลำกันได้ทันเวลา ทำตามคำสอนของหลวงพ่อฤๅษีนั่นละ ท่านสอนไว้ดีแล้ว ทัดฤทธิ์:ขอรับ หลวงพี่ขอรับ กระผมมีเรื่องจะมากราบเรียนปรึกษาขอรับ กระผมได้รับโทรศัพท์จากญาติธรรมท่านหนึ่ง ซึ่งถือเป็นศิษย์ครูบาอาจารย์เดียวกัน เขาบอกว่าทุกครั้งที่เขาถอดจิตไปหาครูบาอาจารย์ทุกครั้ง เขาเห็นกายทิพย์ของกระผมทุกครั้ง อยู่ตรงปากทางเข้า แต่เข้าไปหาครูบาอาจารย์ท่านนั้นไม่ได้ จนท่านชี้ให้เขาดูว่ากระผมอยู่ตรงนั้น และท่านพูดกับเขาว่า "ดูโยมรัตน์สิ ถึงแม้นวันนี้จะยังมาหาอาตมาไม่ได้ มาหาอาตมาไม่ถึง แต่ก็ไม่ลดละในเรื่องของการปฏิบัติ เพราะ"อยาก" ตัวเดียวเท่านั้นที่ขวางเขาอยู่" กระผมพยายามละความอยากลงแล้วขอรับหลวงพี่ และ "ท่าน" เองเคยบอกกับกระผมว่า "โยมรัตน์โยมทำได้ดีและเกือบจะดีมากแล้ว โยมละอยากลงได้ แต่โยมทรงกำลังใจแบบนี้ไว้ได้ไม่นานพอ" กระผมควรจะทำอย่างไรดีขอรับ หลวงพี่:ทำต่อไป! ทัดฤทธิ์: :154218d4: อย่างไรนะขอรับหลวงพี่ หลวงพี่:ก็ทำต่อไปอย่างไร! เราบอกแล้วว่าจิตมีสภาพจำ ทุกครั้งที่โยมปฏิบัติมันก็เหมือนการหยอดกระปุกมันบันทึกเรื่องราวข้อมูลของมันไปเรื่อย เดี๋ยวมันเต็มของมันเองแหละ "จงทำต่อไป" แล้วไอ้เรื่องของตัวอยาก "ถ้ายังวางมันไม่ได้ ก็ดูมันเลย" ให้รู้ว่าขณะจิตนั้นเรายังมีความอยาก มันเลยยังไปไม่ได้ มันเป็นเหตุเป็นผล ความอยากมันเกิดขึ้นได้ เดี๋ยวมันก็ดับลงได้เช่นกัน ดูให้มันเป็นวิปัสสนาญาณไปเลย ดูให้มันเป็นไตรลักษณ์ไปเลย มันไม่เที่ยงหรอก เราหนีมันไม่ได้ เราก็ดูมันแทนเลย เดี๋ยวจิตมันเบื่อมันก็จะคลายลงเอง คราวนี้แหละ.......มีหน้าที่ทำก็ทำไป :msn_smileys-12: ทัดฤทธิ์:ขอรับ จดหมายเตือนใจ "โยมรัตน์ อาตมาอยากให้โยมนิ่งให้มากกว่าที่เป็น ทุกอย่างไม่มีอะไรได้มาง่ายเหมือนปอกกล้วย เมื่อถึงเวลาอะไร ๆ จะเปิดทางให้โยมเอง หลายต่อหลายครั้งที่โยมก้าวเข้ามาเกือบถึงอาตมาแล้ว แต่ความอยากที่มากไปจนกลายเป็นกิเลสที่เป็นฉากกั้นอยู่ จงจำไว้ว่าจะหาอาตมาไม่ยากหรอก ละความอยากในใจออกให้หมด เมื่อเวลาและกุศลผลบุญอำนวยโยมทั้งสองจะได้พบอาตมาเอง อย่าคิดมา "ทางลัด" เพราะมันจะมาไม่ถึงจริงและสิ่งที่เห็นมันจะเป็นแค่ภาพในใจที่โยมปรุงขึ้น" วันหนึ่งสี่ชีวิตจะได้พบซึ่งกันและกัน เมื่อทุกอย่างพร้อม เจริญพร |
หลวงพ่อสอนผมว่า
"ทุกข์เขาให้รับรู้แล้วปล่อยวาง ท่องเอาไว้ว่า "ทุกข์ได้ทุกข์ไป เดี๋ยวกูก็พ้นจากมึงแล้ว" |
นี้ก็ผ่านมาสามเดือนแล้วกับวิกฤตซึ่งถือได้ว่าหนักมากอีกครั้งหนึ่ง เท่าที่เคยเจอมา ดีที่ได้กำลังใจจากพระเดชพระคุณครูบาอาจารย์ ที่คอยเตือนสติและประคับประคองกำลังใจ วันนี้เท่าที่สังเกตอารมณ์ตัวเอง มันดีขึ้น รู้สึกตัวตั้งแต่ตีสี่ ตื่นขึ้นมาทำวัตรเช้า ทำกรรมฐาน แต่ก็ไม่ประมาท ยิ่งเห็นว่ามันดี มันก็ต้องพยายามรักษาเอาไว้ เผลอเมื่อไหร่กลัวมันจะแย่ลงอีก
เรื่องของคาถา หลังจากกราบเรียนสอบถามครูบาอาจารย์ท่านแล้ว ท่านบอกว่าให้นำไปใช้ควบคู่กับคาถาเงินล้านของพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษี คือคาถาขอลาภของหลวงพ่อซ่วน " ฮัดนิกุดกัดกา กากิกูสูจิ " กลั้นใจว่า ๙ จบ ครูบาอาจารย์ท่านย้ำว่า ให้ทำด้วยความเคารพ หลวงปู่หลวงพ่อท่านผูกคาถามาดีแล้ว วันนี้กำลังใจดี ๆ เลยว่าไปหลายจบ:875328cc: อย่ามาเอากำลังใจแบบผมไปใช้นะครับ ยังถือว่าใช้ไม่ได้ ไม่ต้องรอให้กำลังใจดีแล้วค่อยทำ ยิ่งกำลังใจแย่ ๆ ยิ่งต้องทำให้เยอะ ๆ เข้าไว้ก่อน วันนี้ผมถือว่า "พระท่านเมตตา" ให้มีสติรู้ตัวตื่นตีสี่มาปฏิบัติธรรม ได้ทำวัตรเช้าพร้อมเสียงหลวงพ่อเล็ก ที่อัดเอาไว้ตั้งแต่ตอนบวช ก็เหมือนได้ทำวัตรเช้ากับท่านจริง ๆ ตามเวลาที่วัดท่าขนุน อย่างน้อยที่สุดวันนี้ผมได้ทำความดีแล้ว |
หลังจากท่องคาถาขอลาภของหลวงพ่อซ่วน ด้วยความเคารพ ตอนกลางวันได้รับโทรศัพท์ ติดต่อให้ไปคุยเรื่องงานกับฝรั่ง เขายื่นข้อเสนอ พร้อมเงื่อนไขต่าง ๆ ให้กระผมไปทำงานด้วย แต่บริษัทยังไม่เปิดดำเนินการ กำลังอยู่ในขั้นตอนของการยื่นเรื่องทางเอกสาร งานนี้ก็ถือว่า "พระท่านเมตตา" สำเร็จไปแล้วครึ่งทาง เมื่อไหร่ที่เซ็นสัญญาว่าจ้างทำงาน เมื่อนั้นก็หมายความว่าสำเร็จสมดังประสงค์ กระผมเองก็พยายามทำกำลังใจไม่ให้ฟูจนเกินไป วางกำลังใจกลาง ๆ
ช่วงเช้าเมื่อวานหลังกลับมาจากส่งเด็ก ๆ ไปโรงเรียน วิตกกังวลอาการป่วยของคุณแม่จนปวดหัว พยายามข่มใจวางแล้วก็ยังไม่วายนำมาคิดจนฟุ้งซ่าน เดินหันซ้ายหันขวาเห็นเครื่องตัดหญ้า เลยคว้ามาตัดหญ้ารอบ ๆ บ้าน ในขณะทำงาน เอาใจพิจารณาจดจ่ออยู่กับงานแทน ภาวนาไปบ้าง พิจารณาไปบ้าง ว่าทำงานอยู่ เหนื่อยวะ ดูมันไปเรื่อย สุดท้ายมันวางที่ความฟุ้งซ่านไปได้..............แต่เล่นเอาลิ้นห้อยไปเลย เช้าตรู่วันนี้ตื่นมาชงกาแฟ จิบพอให้ร่างกายมันตื่นตัว แล้วก็ทำวัตรเช้า สวดมนต์ นั่งสมาธิ เก็บสะสมไปเรื่อย |
"สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็นไม่เท่ามือคลำ สิบมือคลำไม่เท่าทำเอง"
เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ทยอยเกิดขึ้นตามสภาวธรรม ไม่ว่าจะเกิดกับตัวกระผมเองหรือสมาชิกในครอบครัว แต่สุดท้ายแล้วก็ยังประโยชน์แท้จริงให้เห็นเสมอ คุณยายของภรรยากระผม ท่านแทบไม่ทำบุญทำทานอะไรเลย รวมไปถึงคุณแม่ยายของกระผมด้วย และที่สำคัญ คุณแม่ของกระผมเองด้วย ถ้าไม่ถึงกับว่า "ต้องบังคับ" กันจริง ๆ ทุกคนแทบจะไม่ให้ความสำคัญในเรื่องนี้เลย แต่ก็เหมือนกับ "พระท่านเมตตา" คุณยายของภรรยาท่านป่วย คุณตาของภรรยา ท่านเข้าโรงพยาบาลผ่าตัดมะเร็งตับ คุณแม่ผมท่านก็ป่วย แต่ท่านดื้อเรื่องกินยาเอามาก ๆ ผมเองก็:33c4b951:ถึงขั้นที่ว่า "เจ้อยากตาย" ฟุ้งไปบ้าง วางได้บ้างไปตามเรื่อง มาคราวนี้คุณยายของภรรยากระผม ท่านฝันชนิดที่เรียกว่าท่าน กลัวขึ้นสมอง (กลัวตาย) ท่านเล่าว่า เมื่อคืนท่านฝันว่า "มีคนมากวักมือเรียกอยู่นอกบ้าน บอกให้ท่านออกมาคุยเรื่องหนี้สินที่ติดเขาเอาไว้ ให้มาคุยกันให้จบ ๆ กันไป ท่านก็ตอบไปว่า ท่านเองไม่เคยเป็นหนี้ใคร จึงไม่ยอมออกไป ส่วนทางโน้นก็โกรธมาก ดูน่ากลัว" เห็นท่านซุบซิบ ๆ ปรึกษากันกับแม่ยายกระผม และคุณแม่ของกระผม แล้วทั้งสามท่านก็สุรปกันว่า เจ้ากรรมนายเวรคงจะมาทวง พร้อม ๆ กับแม่บ้านที่คุณแม่ผมจ้างมาทำงานบ้าน เขาเองออกแนวร่างทรง ก็ช่วยสรุปด้วยว่า เจ้ากรรมนายเวรมาทวงแถมยังบอกกับทุกคนว่า ในบรรดาคนป่วยทั้งสามคน เขาเองคิดว่า คุณยายท่านน่าเป็นห่วงที่สุด ให้ไปถามหลานเขยเอา เพราะเขารู้เรื่องนี้ดี งานนี้ก็เข้าทางผม ก็เลยบอกกับทุกคนว่า ดีแล้วอย่างน้อยที่สุดเราจะได้รู้ตัว ยังมีเวลาที่จะได้ไปทำบุญ ไปปฏิบัติกัน ปกติผมชวนแต่ละคนก็อ้างโน่นอ้างนี่ บุญเท่านั้นแหละที่สำคัญขอให้เชื่อมั่นในพระรัตนตรัย พรุ่งนี้วันพระ ทุกคนก็ตกลงกันว่าจะไปทำบุญที่วัด ตอนเย็นก็จะไปร่วมตามประทีปบูชาพระรัตนตรัยและพระบรมสารีริกธาตุ ผมเองก็เรี่ยไรให้ร่วมบุญสร้างยอดฉัตรทองคำ ก็ถือว่างานนี้ก็ต้องประคับประคองกำลังใจกันไป ให้ตั้งมั่นอยู่ใน ทาน ศีล ภาวนา กันต่อไป ได้แค่นี้ก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย |
หลังจากทำวัตรเช้าติดต่อกันมาระยะหนึ่ง เมื่อวานหลังจากดูความเรียบร้อยของคนโน้นคนนี้แล้ว ทั้งคนป่วยและคนไม่ป่วย ก็ได้เวลาเข้านอน ขึ้นห้องพระ เปิดเสียงหลวงพ่อเล็ก สวดมนต์ทำวัตรเย็น ทำกรรมฐาน
ก่อนจะเอนตัวลงนอนนึกขึ้นได้ เรื่องคาถาขับมารของหลวงปู่ชุ่ม วัดวังมุย เดินลงมาจากห้องพระ เดินไปตรงกลางสวนมะพร้าว ยกมือพนม ตั้งจิตตั้งนะโมฯ สามจบ ขอบารมีพระรัตนตรัยและหลวงปู่ชุ่มเป็นที่สุด ว่าคาถา " ตะรังเม ยาจามิ " ว่าเสร็จก็โบกมือไปทีหนึ่ง จนครบ ๔ ทิศ ขนลุกซู่ซ่าไปหมด พร้อมอธิษฐานว่า "สิ่งใดที่เป็นมิจฉาทิฐิ ขอให้ออกไปจากพื้นที่นี้ ส่วนสิ่งใดที่เป็นสัมมาทิฐิก็ขอให้มาสงเคราะห์ ไม่ว่าจะเป็นพรหม เทวดาทั้งหลาย ขอให้พื้นที่นี้สงบร่มเย็นอยู่เย็นเป็นสุข มีแต่ความเจริญทั้งทางธรรมและทางโลก เหมือนดังชื่อบ้านที่ตั้งชื่อว่า บ้านเย็นศิริ (บุญ-ดวง)" |
เช้าวันนี้ได้ไปกันทั้งครอบครัว ไปทำบุญตักบาตรกับหลวงพี่ ตอนเพลก็ได้ทำทำบุญถวายเพลที่วัดในหาน ตอนเย็นทุกคนรวมตัวกันที่บ้าน เพื่อไปตามประทีปถวายพระรัตนตรัยและพระบรมสารีริกธาตุบนเขา
งานนี้มีสมาชิกเพิ่มเติมมาอีก คือคุณลุงกับคุณป้าของภรรยากระผม ทั้งสองคนไม่มีลูก จึงเลี้ยงหมาแทน รักเหมือนกับเป็นลูกจริง ๆ มันเพิ่งตายไปได้ไม่นาน ลุงเสียใจมาก ร้องไห้เป็นวัน ๆ ปกติท่านไม่เคยทำบุญอะไร ไปวัดยังไม่ไปเลย งานนี้พอหมาตาย ด้วยความรักผูกพันกัน จึงอยากทำบุญอุทิศให้ เลยเริ่มทำบุญ ไปวัด ตักบาตร ฟังธรรมอยู่ได้ช่วงหนึ่งแล้ว ทำไปทำมาก็กล่าวออกมากับปากตัวเองว่า "ตั้งแต่ไปทำบุญ สวดมนต์ไหว้พระ รู้สึกว่าชีวิตและทุก ๆ อย่างในครอบครัวดีขึ้น" พอมารู้เรื่องของคุณยายเข้าไปอีก ก็ยิ่งเข้าใจว่าบุญเป็นเรื่องสำคัญ เลยขอตามไปจุดประทีปบูชาพระรัตนตรัยและพระบรมสารีริกธาตุด้วย งานนี้ก็เข้าทางผมอีกตามเคย ตามประทีปเสร็จ ก็นำทุกท่านบูชาพระรัตนตรัย ขอขมาพระรัตนตรัย บูชาพระบรมสารีริกธาตุ นั่งสมาธิทำกรรมฐาน แล้วอุทิศส่วนกุศล ภรรยาผมพูดให้ฟังว่า "ตั้งแต่ตามประทีปมาวันนี้ เป็นวันที่จิตสงบมากที่สุด" สาธุ วันนี้คุ้มค่าจริง ๆ |
"วิปัสสนึก" (คิด)
หลวงพี่:ไหนโยมลองเล่าถึงวิปัสสนาของโยมหน่อยสิ ว่ามันเป็นอย่างไร? ทัดฤทธิ์: ขอรับหลวงพี่ ผมเองยังเคยเขียนลงในกระทู้ห้อง "หลวงพี่เล็ก" ที่เว็บพลังจิตเลยครับ อย่างนี้ครับ ผมยกตัวอย่างเรื่องของเทียนหนึ่งแท่ง การที่เราจะจุดไฟให้ติดไส้เทียนได้เราก็ต้องมีไม้ขีดครับ ไม่อย่างนั้นไฟก็คงจะไม่สามารถติดได้ครับ นั่นคือเหตุที่ทำให้เกิดแสงสว่างเวลาเราตามเทียนครับ ส่วนเทียนที่สามารถติดไฟได้นั้นก็เพราะ เกิดการสันดาปของความร้อนกับอากาศ ถ้าขาดตัวใดตัวหนึ่งไฟก็ไม่ติดครับ และที่เทียนติดได้นาน ๆ นั้น ก็เพราะมีน้ำตาเทียนเป็นเชื้อเพลิงซึ่งปกติมันเป็นของแข็ง แต่เมื่อโดนความร้อนมันจึงกลายเป็นของเหลว แล้ววิ่งขึ้นไปเป็นเชื้อเพลิงให้ไส้เทียนครับ ตอนนี้ก็คือสภาวะของการตั้งอยู่ครับ หลังจากนั้นเมื่อแท่งเทียนค่อยเล็กลงหรือหดลงเป็นถูกเผาไหม้จนหมด หลังจากนั้นไฟก็ดับครับ ทั้งหมดทำให้เห็นสภาวะ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ครับ:l43841274qn5: หลวงพี่:ท่านเงียบไปแล้วก็ยิ้มมุมปาก แล้วท่านก็ตอบมาว่า นั่นมันคือ "วิทยาศาสตร์ ไม่ใช่วิปัสสนา" ทัดฤทธิ์: :l438412717dh8::a47173957fi0::7f5341cc::d1eef220::cebollita_onion-21::msn_smilies-02:ถ้าอย่างนั้นผมก็ปล่อย "โง่" ออกไปตัวเบ้อเร่อเลยสิขอรับหลวงพี่ หลวงพี่: :msn_smileys-16: วิปัสสนาญาณคือ สิ่งที่จิตไปรู้ มันเกิดขึ้นชั่วขณะหนึ่ง ไม่มีการปรุงเอาไว้ก่อน ไม่มีการเตรียมเอาไว้ก่อน เกิด ดับ เกิด ดับ ของมันไปเรื่อย ๆ ที่เราเน้นให้เธอทำสมถกรรมฐานก็เพื่อเธอจะได้มีกำลัง ไม่อย่างนั้นจิตไม่มีกำลังก็ทำวิปัสสนาญาณได้ไม่ดี ดูมันไม่ขาด ของแบบนี้มันต่อเนื่องกัน สักแต่ดู สักแต่รู้อย่างมีสติเท่านั้นนะ ไม่ไปปรุงแต่งต่อ ที่เธอเล่ามาเมื่อกี้นั้น เธอรู้มันแบบโลก ๆ แบบนั้นมันเรียกวิทยาศาสตร์ สมถกรรมฐานจงทำอย่าให้ขาด มันสงบแล้ว อิ่มแล้ว ก็มาพิจารณาต่อไป เบา ๆ แค่รู้ แค่ดูอย่างมีสติ อย่าไปแทรกแซงใด ๆ ที่หลวงพี่สอนเธอเรื่องนี้ โดยที่เราไม่หยิบเรื่องอื่นให้เธอนั้น ก็เพราะเธอทำมามากแล้ว ดูอะไรต่อมิอะไรมากมายแล้ว คราวนี้ดูของในตัวเรานี้แหละ ดู รักโลภ โกรธ หลง ในตัวเรานี้แหละ ตัดภพ ตัดชาติให้ได้นะ ทัดฤทธิ์: ขอรับหลวงพี่:875328cc: |
หลวงพี่:เป็นอย่างไรบ้าง หายหน้าหายตาไปเลย
ทัดฤทธิ์: รถติดครับ ไปส่งลูกชายไปโรงเรียน ขากลับเวลามันเฉียดฉิวทุกทีขอรับ ถ้าวันไหนเอารถยนต์ไป ก็กลับมาใส่บาตรหลวงพี่ไม่ทันขอรับ หลวงพี่:ไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรมากหรอก ถ้าดูว่าพอจะทันก็แวะซื้อ แล้วไม่ต้องกลับไปใส่ปิ่นโตที่บ้าน มันวกไปวนมา ขึ้นมาเลย ถ้ามาได้ให้มานะ เราจะรอ บุญเพียงเล็กน้อยก็ขอให้ได้ทำ จงอย่าไปประมาทอะไรก็ตามที่เป็นบุญให้ขวนขวายทำเอาไว้ให้เยอะ ๆ ทัดฤทธิ์::875328cc:ขอรับ หลวงพี่ หลวงพี่: ลูกโยมสงสัย ชาติที่แล้วชอบทำบุญด้วยข้าวเปล่ากับไข่เค็ม.....เอา ๆ รับไปเจ้าอาร์ม (หลังจากที่ท่านตักแบ่งไข่เค็มออกไปเพียงเล็กน้อย) ทัดฤทธิ์น้อย: :55318906:ขอบคุณครับ (ของโปรดผมเลยครับ) หลวงพี่: ฮ่า ๆ ๆ ๆ มีขอบคุณด้วย เอ่อ ดี ๆ |
ขอลาป่วยไปนอนโรงพยาบาล สักสองสามวันนะครับ ทนไข้ต่อไปไม่ไหวแล้วครับ
|
"หลวงพ่อในนิมิต"
หลังจากทนป่วยอยู่จนบ่ายสองกว่า เพราะนัดคุยธุระเอาไว้ ช่วงเช้าก็นอนซมทั้งวัน เอ่อ ช่างมันเรื่องของมัน คุยธุระเสร็จ ขับรถมาโรงพยาบาล ตรงเข้ารายงานตัวกับหมอเสร็จ นอนนซมตรงโซฟา ไข้สูงเกือบ ๓๙ องศา รอห้องพัก มันช่างทดสอบกันทุกเวลา พอขึ้นเตียงได้ ฝ่ายการเงินโทรมาถามอีก "คุณรัตน์ ทำประกันมานานหรือยัง พรุ่งนี้ต้องทำ ทีซี ตรวจโพรงจมูก ค่าใช้จ่ายประมาณ ๘,๐๐๐ บาทค่ะ" เห็นอารมณ์โทสะตัวเองเดือดพล่านทันทีเลยตอบไปว่า "ถ้าบริษัทประกันชีวิตไม่รับผิดชอบ เพราะนี้คือคำสั่งของหมอที่ท่านสั่งให้ตรวจ ผมจะไปวางระเบิดบริษัทประกันชีวิตเองแหละครับ ขอบคุณที่แจ้งให้ทราบ" เก่งได้แต่ปาก หลังจากนั้นก็นอนซม เป็นลูกหมาโดนน้ำร้อนต่อไป อาราธนาพระมาเต็มคอ นอนภาวนาไป หลับตอนไหนไม่รู้ ฝันไปว่าอยู่ในพิธีอะไรสักอย่าง มีพระอยู่เต็มศาลา เสียงหลวงพี่โรจน์ ร้องเรียกหาทิดเทิด ให้มาคอยส่งของให้ เหมือนจะขึ้นไปแท่นบูชาอะไรทำนองนั้น เห็นหลวงพ่อท่านนั่งอยู่ด้านล่าง ส่วนตัวผมทำหน้าเป็นเจ้าหน้าที่ดูแลความสะดวกในงาน (คล้าย ๆ งานสืบชะตา) เห็นหลวงพี่โรจน์ ท่านเรียกหาทิดเทิด แต่หาไม่เจอ ผมเลยไปทำหน้าที่แทน แล้วก็ลงมานั่งใกล้ ๆ หลวงพ่อ หลวงพ่อท่านหันมายิ้มให้ แล้วส่งกระดาษพร้อมคาถาในกระดาษใบนั้นให้กับมือ แล้วภาพก็ตัดไปจำอะไรต่อไม่ได้............หมดเวลาใช้อินเตอร์เน็ตของคนป่วยแล้วครับ วันนี้โดนไปหลายขนาน ตั้งแต่ฉีดสีเข้าเส้นเลือด เพื่อย้อมให้ภาพภายในอวัยวะต่าง ๆ สามารถอ่านได้อย่างชัดเจน ตอนฉีดสีมันร้อนเข้าไปในเส้นเลือด....เอา ๆ ชดใช้กันไปครับ |
หลังจากคุยกับคุณหมอแล้ว พรุ่งนี้ต้องเจออีกชุดใหญ่......:154218d4::5e565bcb:
ภรรยากับเจ้าอาร์มมาเยี่ยม เธอเล่าว่าเมื่อคืน ก็ฝันถึงหลวงพ่อเล็กเช่นกัน กระผมเองก็จำรายละเอียดได้ไม่มากนัก เอาไว้ผมจะถามถึงเรื่องนี้อีกครั้ง ตอนเธอเล่าให้ฟังเมื่อเช้า ผมกำลังเตรียมตัวเตรียมใจเข้าห้องเอ็กซเรย์อยู่ครับ "ขันธ์ห้านี้ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ห้า" ท่องเอาไว้แล้ว |
"ต่อสู้กับจระเข้ยักษ์"
หลังจากที่ภรรยาผมเล่าให้ฟังถึงเรื่องความฝันว่า เมื่อคืนวาน เธอฝันเห็นว่า เราทั้งสามคน ผม เธอ และลูกชาย ได้ร่วมกันต่อสู้กับจระเข้ยักษ์ โรมรันต่อสู้กันอยู่นานจนจระเข้ตัวนั้นพ่ายแพ้ไป (จระเข้วันนั้นตายหรือเปล่า ผมลืมถาม) หลังจากนั้น เธอก็เดินไปตามทาง จนไปพบหลวงพ่อเล็ก ท่านกำลังนั่งทำงานอยู่ ตรวจเอกสารบางอย่าง พร้อมหันมายิ้มให้ ท่านก็พูดกับเธอว่า "เป็นอย่างไรกันบ้าง วันที่ ๕ นี้ ที่วัดมีงานสะเดาะเคราะห์นะ อย่าลืมบอกทิดรัตน์มันด้วย" แล้วท่านก็ยิ้ม ผมเองก็ดีใจมาก ถึงภรรยากระผมเองจะไม่ค่อยได้มีโอกาสไปกราบท่านเท่าไหร่นัก แต่อย่างน้อยหลวงพ่อก็เมตตาเป็นมิ่งขวัญกำลังใจให้ครอบครัวเรา ร่วมกันฟันฝ่าอุปสรรคทั้งหลายร่วมกัน เธอเองยังพูดว่า ขันธ์ห้านี้มันมีแต่ทุกข์ล้วน ๆ ไอ้เรื่องสุข มันก็สุขแบบโลก ๆ จะสู้สุขแบบทางธรรมหาได้ไม่ ผมเองก็ไม่รู้จะตีความฝันตรงนี้ออกเป็นความหมายว่าอย่างไร นอกเสียจากนี่คือ "สังฆานุสติ" ที่กระผมระลึกนึกถึงพระเดชพระคุณหลวงพ่อเป็นที่พึ่งตลอด (บุญของผม) สาธุ |
วันนี้คุณหมอส่งกล้องเข้าไปตัดชิ้นเนื้อ ออกมาเพื่อพิสูจน์ดูว่าเป็นชิ้นเนื้อประเภทไหน (พอจะเอาไปทำลาบหรือก้อยได้หรือไม่) งานนี้โดนเต็ม ๆ กระผมก็ใจดีสู้เสือตลอด พอเห็นเข็มเท่านั้นเอง แทบจะเป็นลม แถมมีอาการแพ้ยาขึ้นมาเสียดื้อ ๆ ทั้ง ๆ ที่ในชีวิตไม่เคยแพ้ยาอะไรมาก่อน เอาเชิญ...."เดี๋ยวกูก็พ้นจากมึงแล้ว"
งานนี้โดนจ่ายค่าส่วนต่าง ที่ประกันชีวิตรับผิดชอบไม่หมดไปอีกหมื่นกว่าบาท เอาเชิญ...."เดี๋ยวกูก็พ้นจากมึงแล้ว" หมอนัดฟังผลวันที่ ๒๔ นี้ จะเผาจริงหรือเผาหลอกก็งานนี้แหละครับ ที่บ้านต่างก็ไม่ค่อยจะสบายใจกันเท่าไหร่ ผมเองก็ได้แต่บอกว่า "อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ถือว่าชดใช้กันไป" กลับมาถึง บ้านอาบน้ำอาบท่าเรียบร้อย นึกอะไรไม่ค่อยออก เท่าที่นึกออกตอนนี้ ก็ว่าจะไปทำกรรมฐานต่อในห้องพระ สวดมนต์ ไหว้พระ กินยา แล้วก็นอน ถ้าตายลูกขอไปพระนิพพานที่เดียวเท่านั้นขอรับ...หลวงพ่อ |
หลวงพี่:เป็นอย่างไรบ้างโยม หายหน้าหายตาไปอีก
ทัดฤทธิ์:กระผมเพิ่งออกจากโรงพยาบาลขอรับ หลวงพี่:อือม์ สนุกสนานเลยนะโยม ก็ชดใช้ให้เขาไปนะ ถึงมือหมอแล้วก็หายห่วง อะไรที่รักษาได้ ก็รักษาให้มันจบ ๆ ไป อย่าไปกลัวเจ็บเลยโยม คนเราถึงเวลาเขามาทวงคืนนะ ก็ต้องให้เขา อาตมาอยากจะบอกว่าให้ทำความเข้าใจในครอบครัวกันให้ดี อาตมาขอย้ำ "ทำดีนะได้ดีแน่นอน" แต่ก็ใช่ว่าผลกรรมจะไม่ส่งผล เวลาเจ้ากรรมนายเวรเขามาทวงก็ต้องให้เขา บุญที่โยมทำนะรอส่งผลอยู่ ปีนี้หนักหน่อยนะโยม อย่าลืมเรื่องการปฏิบัตินะ ทัดฤทธิ์:ขอรับหลวงพี่ ตอนนอนที่โรงพยาบาลก็ฝันไป เห็นหลวงพ่อท่านครับ กระผมเองก็ยอมรับขอรับ มันทำใจได้เยอะ เห็นว่ามันเป็นธรรมดา ก็ชดใช้กันไป ไม่โอดโอยเหมือนเมื่อก่อนขอรับ กระผมว่ากระผมสู้ของกระผมเต็มที่แล้วขอรับ หลวงพี่:ดีแล้วโยม บางคนโกรธพระโกรธเจ้าไปเลย แถว ๆ นี้ก็มี กลายเป็นมิจฉาทิฐิไปเลย หาว่าพระท่านไม่คุ้มครอง ที่ผ่านมานับชาติไม่ถ้วนเราไปทำอะไรไว้ ในเมื่อผลบุญเราอยากได้รับผลนั้นเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้นผลกรรมเราก็ต้องรับเต็ม ๆ เหมือนกัน มันสมเหตุสมผลแล้วโยม ไม่ต้องห่วงหรอกโยมครูบาอาจารย์ท่านสงเคราะห์ดูแลอยู่ ทำต่อไปโยม ความดีทำมันต่อไป ยิ่งทุกข์ก็ต้องยิ่งทำ ทัดฤทธิ์:ขอรับหลวงพี่ |
:fea27916:"ยิ้มสู้"
คุณครู:สวัสดีค่ะ พ่อรัตน์ใช่หรือเปล่าคะ นี่คุณครูของเหมรุจน์คะ ตอนนี้น้องอยู่โรงพยาบาลค่ะ น้องคิ้วแตกต้องเย็บค่ะ คุณพ่อรีบมาด่วนได้หรือเปล่าคะ ทัดฤทธิ์::fea27916: ครับ ๆ คุณครูผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้ครับ น้องไม่เป็นอะไรมากใช่หรือเปล่าครับ (คิดในใจ เอา ยังดีที่เจ็บแค่คิ้วแตก ดีกว่าเป็นอย่างอื่นไปวะ) ทัดฤทธิ์:ลูก เจ็บหรือเปล่า ซนมากเลยใช่ไหมนี่ ทัดฤทธิ์น้อย: :msn_smilies-15:หมากัดเจ็บกว่าพ่อ ทัดฤทธิ์: เอา ๆ ฟาดเคราะห์ไปลูก |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 12:50 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.