กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=26)
-   -   เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนมกราคม ๒๕๕๔ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=2399)

เถรี 29-01-2011 08:02

ถาม : พระอุปคุต มีอานุภาพทางด้านไหนครับ ?
ตอบ : เน้นในเรื่องลาภ และป้องกันอันตรายด้วย

เถรี 29-01-2011 08:05

พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงปู่ปานท่านให้พรไว้ว่า พระของท่านไม่ว่าจะเก่าจะใหม่ จะจริงจะปลอม ถ้านึกถึงท่านจะมีอานุภาพเท่ากันหมด ท่านให้พรขนาดนี้เลยนะ เพราะฉะนั้น..ใครสร้างวัตถุมงคล ถ้ากลัวว่าจะไม่ขลัง ให้สร้างพระของหลวงปู่ปาน

ส่วนตอนที่ยกเสาเอกบ้านวิริยบารมี อาตมาสละพระรอดลำพูน (เนื้อดำ)ไป ๑ องค์ กับเสือหลวงปู่ปาน วัดบางเหี้ยอีก ๑ องค์ เสือเอาไว้เฝ้าบ้าน ส่วนพระรอดจะได้ช่วยในการปฏิบัติ"

เถรี 29-01-2011 09:41

พระอาจารย์เล่าเรื่องอภิญญาให้ฟังว่า "สมัยที่อาตมาฝึกซ้อมการเล่นอภิญญา ตอนนั้นพักอยู่ที่ตึกกองทุน ซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับตึกศาลาหลวงพ่อสี่พระองค์ อาตมาก็สนุกสนานอยู่คนเดียว โดยไม่รู้ว่าป้าศุ (คุณศุภาพร ปุษยนาวิน) เขาแอบดูอยู่ บางวันก็เดินทะลุข้างฝาไปเลย ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าไปได้อย่างไร ข้างฝาน่าจะทะลุเป็นรูปตัวเราไปแล้ว แต่ก็ไม่ใช่ ไม่มีร่องรอยอะไรเลย ไปก็ไปได้ กลับมาก็กลับได้ กว่าจะเข้าใจก็ต้องคลำอยู่เป็นปี

สภาพจิตที่ละเอียด วัตถุทุกอย่างจะเป็นของหยาบหมด เพราะฉะนั้น..ที่คุณเห็นเป็นกำแพงทึบ ๆ ความจริงแล้วไม่ได้ทึบหรอก รอยต่อระหว่างอณูของวัตถุนั้นใหญ่มหึมา ชนิดที่เราเห็นว่าช้างลอดได้เลย

โยมศุภาพรเขาแอบดูเราก็ไม่รู้ มีอยู่วันหนึ่ง เขาบอกว่า "หลวงพี่...ระวังนะ ถ้าออกไปครึ่งหนึ่งแล้วสมาธิเคลื่อน อาจจะติดคาอยู่ตรงนั้นเลย..!" โยมเขาแซวเล่น

ต่อมามีโยมอยู่รายหนึ่ง เขาก็ทำได้เหมือนกัน แต่เขาทำได้แบบที่ตัวเองไม่ได้ตั้งใจ คือ เขาภาวนาอยู่ แล้วรู้สึกว่าเตียงลอยได้ แล้วก็ลอยไปทั้งเตียงเลย ตัวเขาก็นอนอยู่บนเตียง ก็ลอยผ่านทุ่งนาป่าเขาไปเรื่อย ไปจนกระทั่งหมดอารมณ์แล้วก็กลับ

จำไว้เลย..ถ้าเป็นผรณาปีติ ไม่ต้องกลัวนะ ไปไกลแค่ไหนก็ตามถึงเวลาจะกลับมาที่เดิม ยกเว้นว่าเราตกใจแล้วสมาธิเคลื่อน ก็จะตกลงตรงนั้น ถ้าจะฝึกพวกนี้ ควรพกเงินติดกระเป๋าเอาไว้หน่อย เผื่อไปตกที่ไกล ๆ จะได้มีเงินนั่งรถกลับ..!"

เถรี 29-01-2011 09:49

"พอโยมเขาลอยกลับมา เขาก็แปลกใจว่าตัวเองไปจริงหรือเปล่า ? พอจับผ้าห่มดู ก็รู้ว่าไปจริง เพราะผ้าห่มเปียกน้ำค้างหมดเลย นั่นไม่ได้ไปแต่ตัวนะ เอาเตียงไปทั้งหลังเลย แต่ข้างฝาก็ไม่เป็นอะไรเหมือนกัน

แสดงว่า ตอนที่สภาพจิตทรงเป็นอภิญญาสมาบัติ ระหว่างวัตถุธาตุต่าง ๆ ไม่มีอะไรที่จะกั้นได้ เพราะสภาพตอนนั้นไม่ได้มีอะไรเป็นแท่งทึบ ทุกอย่างจับกันขึ้นมาจากอณูขนาดต่าง ๆ ด้วยความที่จิตละเอียดกว่า ช่องว่างระหว่างอณูก็เลยกลายเป็นใหญ่มหึมา ออกไปเมื่อไรก็ได้ กว่าจะเข้าใจตรงนี้ก็คลำอยู่นาน

ครั้งแรกที่ลอย อาตมากำลังหลับตาภาวนาไปเรื่อย ๆ แล้วรู้สึกว่ามีอะไรวับ ๆ อยู่ข้างเอว พอลืมตาดู ตายห่..พัดลมเพดาน..! ก็คือ ตอนที่ภาวนานั้นเปิดพัดลมอยู่ แต่ไม่รู้ว่าลอยขึ้นไป มารู้ตอนที่ลอยไปขึ้นแล้ว พอเห็นพัดลมหมุนอยู่ข้างเอวก็ตกใจ พอตกใจสมาธิหลุดก็หล่นพลั่กลงมา..! ตั้งแต่นั้นมาก็ถือเป็นบทเรียนว่า ก่อนที่จะภาวนาทุกครั้งจะต้องปิดพัดลมก่อน"

ถาม : โยมที่ลอยไปเป็นแค่ปีติหรือครับ ?
ตอบ : ไม่แน่ใจเหมือนกัน ถ้าไม่มีพื้นฐานอภิญญาเก่าคงเอาเตียงไปทั้งหลังไม่ได้ น่าจะเป็นพื้นฐานของอภิญญาเก่ามาผสมด้วย

ลอง ๆ ไปฝึกเรื่องพวกนี้ดู แรก ๆ ทำได้ก็สนุกสนานเฮฮา ไป ๆ มา ๆ ก็น่าเบื่อเพราะไม่ใช่ทางหลุดพ้น เป็นเพียงเครื่องมือช่วยเราเท่านั้น

เถรี 29-01-2011 09:54

ถาม : มีมานะทิฏฐิที่เป็นมานะทิฏฐิที่ดีไหมคะ ? หรือขึ้นชื่อว่ามานะทิฏฐิแล้วย่อมไม่ดีทั้งนั้น ?
ตอบ : มี..สำหรับปุถุชนทั่วไป ก็เป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าสำหรับผู้ที่ตั้งใจปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น ก็ไม่ใช่สิ่งที่ดี อย่างที่เขาเรียกกันว่า ขัตติยมานะ มานะขององค์กษัตริย์ อยู่ต่อหน้าคนอื่นอย่างไรก็ต้องเข้มแข็งไว้ ลับหลังจะหงายแผ่อย่างไรก็ช่าง อันนี้เรียกว่า ขัตติยมานะ

แบบเดียวกับพระมหาอุปราชา ตอนนั้นพระนเรศวรตกอยู่กลางวงล้อมของพระมหาอุปราชา ถ้าจะรุมกินโต๊ะเสีย อย่างไรก็ตายแน่ แต่พอพระนเรศวรออกปากท้ารบ พระมหาอุปราชาก็เกิดขัตติยมานะ กล้าออกมาสู้ทั้ง ๆ ที่แพ้ทางกันมาตลอด นั่นแหละขัตติยมานะ


ถาม : แล้วจะละอย่างไรครับ ?
ตอบ : ต้องเป็นพระอรหันต์เท่านั้น เพราะมานะเป็นสังโยชน์ที่ละเอียดมาก ระดับพระอนาคามียังละไม่ได้เลย บางคนก็เป็นจนกระทั่งกลายเป็นสัญชาตญาณไปเลยก็มี

เถรี 29-01-2011 14:26

พระอาจารย์กล่าวว่า "อานิสงส์การสร้างพระพุทธรูป ต้องดูมัฏฐกุณฑลีเทพบุตร สมัยที่มัฏฐกุณฑลีเทพบุตรเป็นมนุษย์อยู่ ไม่เคยสร้างความดีแม้แต่อย่างเดียว แต่กลับสร้างความชั่วแทบทุกอย่าง

ก่อนตายมัฏฐกุณฑลีป่วยหนัก อทินนกปุพพกพราหมณ์ผู้เป็นพ่อซึ่งเป็นพราหมณ์ที่ตระหนี่มาก กลัวว่าญาติมาเยี่ยมลูกชายตนแล้วเห็นสมบัติในบ้าน จะเที่ยวขอสมบัติข้าวของ จึงนำลูกชายไปทิ้งไว้ที่ระเบียงบ้าน เมื่อพระพุทธเจ้าบิณฑบาตเสด็จผ่านมา ทรงเปล่งฉัพพรรณรังสีให้มัฏฐกุณฑลีเห็น เพื่อเป็นการสงเคราะห์

พอมัฏฐกุณฑลีเห็นพระพุทธเจ้า ก็นึกในใจว่า "ใคร ๆ ก็ว่าพระสมณโคดมมีความสามารถมาก ถ้าท่านได้มารักษาเรา อาการป่วยที่เป็นอยู่ก็คงจะหาย" มัฏฐกุณฑลีคิดแค่นั้นแล้วก็ตาย ด้วยอานิสงส์ที่ใจที่คิดถึงพระพุทธเจ้า จึงไปเกิดอยู่สวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก มีวิมานทองคำ

ส่วนอทินนกปุพพกพราหมณ์ผู้เป็นพ่อ เอาศพลูกชายตัวเองไปฝัง แล้วร้องไห้คร่ำครวญไปด้วย มัฏฐกุณฑลีเทพบุตรก็นึกว่า "พ่อเรานี่ช่างโง่จริง ๆ ลูกมีชีวิตอยู่ไม่ยอมรักษา มัวแต่เสียดายเงิน พอลูกตายแล้วกลับมานั่งร้องไห้" มัฏฐกุณฑลีเทพบุตรจึงไปปรากฏตัวอยู่ใกล้ ๆ หลุมศพ แล้วนั่งร้องไห้บ้าง

อทินนกปุพพกพราหมณ์พอเห็นมัฏฐกุณฑลีเทพบุตร ก็คิดว่ามาณพผู้นี้หน้าตาเหมือนลูกชายของเรา จึงเกิดความรัก อยากได้มาเป็นลูก เพื่อทดแทนลูกชายที่เพิ่งตายไป อทินนกปุพพกพราหมณ์จึงถามมาณพว่า "ข้าพเจ้าร้องไห้เพราะบุตรชายเพิ่งเสียชีวิตไป ท่านอายุยังน้อย คงไม่มีบุตรที่เพิ่งเสียชีวิต แล้วมาร้องไห้ทำไม ?"

มัฏฐกุณฑลีเทพบุตรบอกว่า "ข้าพเจ้าสร้างรถคันหนึ่ง เป็นรถทองคำที่สวยงามมาก แต่ไม่มีล้อที่เหมาะสมกับรถ จึงร้องไห้เสียใจ" อทินนกปุพพกพราหมณ์จึงคิดว่า "ถ้าเรามอบล้อรถอันเป็นที่ถูกใจให้ชายคนนี้ เราอาจจะขอมาเป็นลูกได้"

อทินนกปุพพกพราหมณ์จึงถามว่า "เจ้าต้องการล้อรถแบบไหน ล้อทองคำ ล้อเงิน หรือล้อแก้วมณี เราก็จะจัดหาให้" มัฏฐกุณฑลีเทพบุตรคิดว่า "ตอนลูกมีชีวิตอยู่ พ่อขี้เหนียวไม่ยอมแม้แต่จะจ่ายเงินเป็นค่ารักษา พอตอนนี้แม้ล้อรถทองคำหรือแก้วมณีก็ยอมให้"

เถรี 29-01-2011 14:37

"มัฏฐกุณฑลีเทพบุตรบอกว่า "ข้าพเจ้าอยากได้พระอาทิตย์กับพระจันทร์มาเป็นล้อรถ" อทินนกปุพพกพราหมณ์โกรธ "แกจะบ้าหรือเปล่า ? ใครที่ไหนจะสามารถเอาพระอาทิตย์กับพระจันทร์มาเป็นล้อรถได้" มัฏฐกุณฑลีเทพบุตรบอกว่า "ถ้าข้าพเจ้าบ้า ท่านก็บ้ายิ่งกว่า ข้าพเจ้าอยากได้พระอาทิตย์กับพระจันทร์มาเป็นล้อรถ เพราะข้าพเจ้ามองเห็นพระอาทิตย์กับพระจันทร์ แต่ท่านร้องไห้คร่ำครวญอยากจะให้ลูกชายที่ตายกลับฟื้นขึ้นมา ตอนนี้ท่านมองเห็นลูกชายของท่านหรือไม่ ?"

อทินนกปุพพกพราหมณ์จึงได้สติว่า มาณพผู้นี้พูดเป็นภาษิตดี จึงสอบถามว่าเป็นใครมาจากไหน มัฏฐกุณฑลีเทพบุตรจึงบอกว่า "ข้าพเจ้าคือบุตรชายของท่าน หลังจากสิ้นชีวิตแล้วไปเกิดเป็นเทวดา มีวิมานทองคำ" อทินนกปุพพกพราหมณ์ก็แปลกใจ "ในชีวิตของเจ้าไม่เคยทำความดีอะไรเลย แล้วไปเกิดเป็นเทวดา มีวิมานทองคำได้อย่างไร ?"

มัฏฐกุณฑลีเทพบุตรบอกว่า "ข้าพเจ้านึกถึงพระนามของพระสมณโคดมก่อนตาย ด้วยอานิสงส์นี้จึงทำให้ได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์" อทินนกปุพพกพราหมณ์ยังไม่เชื่อ มัฏฐกุณฑลีเทพบุตรจึงแนะนำว่า "ถ้าอย่างนั้นขอให้ท่านพ่อนิมนต์พระสมณโคดม พร้อมกับพระภิกษุ ๕๐๐ รูป มาฉันภัตตาหารที่บ้าน แล้วสอบถามเอาเองแล้วกัน"

เถรี 29-01-2011 14:47

"ด้วยความอยากรู้จริง ๆ อทินนกปุพพกพราหมณ์จอมตระหนี่ จึงยอมลงทุนเลี้ยงภัตตาหารพระพุทธเจ้าพร้อมกับพระภิกษุ ๕๐๐ รูป เมื่อเลี้ยงภัตตาหารเสร็จเรียบร้อย อทินนกปุพพกพราหมณ์จึงเข้าไปกราบทูลถามพระพุทธเจ้าว่า "ข้าแต่พระสมณโคดมผู้เจริญ บุคคลที่ไม่เคยสร้างคุณความดีอะไรมาก่อนเลย เพียงนึกถึงแต่พระนามของพระองค์ เมื่อตายแล้วไปสวรรค์ มีอยู่บ้างหรือไม่ ?"

พระพุทธเจ้าตรัสว่า "พรามหณะ..ดูก่อนพราหมณ์ บุคคลที่ไม่เคยสร้างความดีอื่นใดเลย นอกจากนึกถึงนามของตถาคต เมื่อตายแล้วได้ไปสุคติโลกสวรรค์นั้น ไม่ได้มีแค่ร้อยแค่พัน หากแต่มีเป็นโกฏิ" แล้วท่านก็ตรัสว่า "พราหมณ์ก็ได้เจอลูกชายของท่านเองมาแล้วไม่ใช่หรือ ? "

อทินนกปุพพกพราหมณ์ก็ยอมรับ พระพุทธเจ้าจึงเรียกมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรพร้อมกับวิมานทองคำมาเป็นเครื่องยืนยัน อทินนกปุพพกพราหมณ์เกิดความเลื่อมใส จึงปวารณาตนนับถือพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต

มีอยู่ประเด็นหนึ่งก็คือ มัฏฐกุณฑลีเทพบุตรทำชั่วมาตลอดชีวิต แล้วอานิสงส์อะไร ที่ทำให้พระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดในวินาทีสุดท้าย ? ตรงจุดนี้ในพระไตรปิฎกไม่ได้กล่าวถึง อรรถกถาก็ไม่ได้กล่าวไว้ แต่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านถามตรงต่อพระ

พระพุทธเจ้าตรัสว่า ในอดีตมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรเคยสร้างพระพุทธรูปเอาไว้ อานิสงส์ในการสร้างพระพุทธรูปในอดีตตามมาทันในชาตินี้ ในวินาทีสุดท้ายพอดี

ดังนั้น..พวกเราที่ตั้งใจร่วมสร้างสมเด็จองค์ปฐมกับคณะของคุณหมอนพพรหรือท่านอาจารย์สมปอง ถ้าเป็นนิสัยของอาตมาก่อนนี้ก็จะอธิษฐานว่า
"ก่อนตายขอให้พระรูปพระโฉมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ อย่าได้คลาดเคลื่อนไปจากใจของข้าพเจ้าเลย" อธิษฐานเผื่อเหนียวไว้ก่อน เกิดอยู่ ๆ ก่อนตายภาพสาวสวย ๆ โผล่มา คงจะได้เกาะผิดที่ จึงต้องใช้วิธีอธิษฐานขออย่าให้ภาพพระเคลื่อนไปจากใจ ตรงนี้อนุญาตให้ทุกคนเลียนแบบได้"

เถรี 29-01-2011 23:40

ถาม : ในขณะที่จิตก่อนตาย นึกถึงภาพศพที่เป็นอสุภกรรมฐาน จะไปดีหรือไม่คะ ?
ตอบ : อาจจะได้ไปเกิดเป็นพรหมก็ได้ เพราะถ้านึกได้แสดงว่าสมาธิต้องทรงตัว สมาธิทรงตัวในลักษณะที่นึกถึงอย่างนั้นได้ ก็ต้องเป็นปฐมฌานขึ้นไป

เพราะฉะนั้น..ถ้าการเห็นภาพศพเละ ๆ นั้น เกิดจากสมาธิที่ทรงตัว ตายไปอาจจะได้กำไรมากกว่ากว่าที่คิด ถ้าตอนนั้นใช้ปัญญาต่ออีกนิดหนึ่งว่า เกิดกี่ชาติก็เป็นอย่างนี้ เราอย่าเกิดอีกเลย ไปนิพพานดีกว่า..ก็จบ

เถรี 29-01-2011 23:48

ถาม : โยมหยิบของของแม่ไปใส่บาตร โดยไม่ได้ขออนุญาตแม่ก่อน แต่แม่ก็ไม่ว่าอะไร ผิดหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ไม่ผิดหรอกจ้ะ หยิบไปเยอะ ๆ ทำเสร็จก็บอกท่านไปด้วย บอกว่า "ทำบุญให้แล้วแล้วจ้ะ" ถ้าแม่ถามว่า "ทำไมทำอย่างนั้น ?" ให้บอกไปว่า "เห็นแม่ไม่มีเวลา ก็เลยช่วยทำแทนให้"

ถาม : ปกติเราส่งเงินเดือนให้แม่ทุกเดือน เราก็เลยทำบุญในนามของแม่ไปด้วย ทำเป็นของแม่ได้เลยไหมคะ ?
ตอบ : ได้จ้ะ แต่ควรที่จะบอกให้แม่โมทนา เพราะคนเป็นหรือคนตายก็ตาม ควรจะบอกให้เขารู้ เพื่อที่จะได้โมทนา

ถาม : นึกว่าทำบุญให้แม่ก่อน แล้วเราค่อยทำบุญตามหลังอีกที
ตอบ : จะทำก่อนทำหลังก็ได้ แต่เมื่อทำเสร็จแล้ว ให้กลับไปบอกแม่ บอกว่าเราได้ทำบุญให้แม่แล้ว ขอให้แม่โมทนาด้วย

เถรี 29-01-2011 23:56

ถาม : อย่างไหนจึงจะเรียกว่าละสิ่งของได้ ?
ตอบ : มีก็ใช้ ไม่มีก็ไม่ไปดิ้นรนหามา สูญหายไปก็ไม่เสียอกเสียใจ ได้มาใหม่ก็ไม่ยินดีจนเกินการณ์

ถาม : อย่างที่คนเขาเอามาให้เองละครับ แล้วเราไม่รับ
ตอบ : เขาถือว่าเสียมารยาท รับไว้เถอะ โดยเฉพาะถ้าผู้ใหญ่ให้ของ ให้รับไว้ก่อน ถ้าเราไม่รับ แทนที่ผู้ใหญ่เขาจะเห็นว่าเราไม่โลภ กลับจะไม่ใช่ บางท่านจะเห็นว่าเราอวดดี ถ้าผู้ใหญ่มองเราในแง่ไม่ดี ต่อไปจะเจริญยาก..!

สมัยก่อนอาตมาก็ไม่รับเหมือนกัน เพราะไม่อยากได้จริง ๆ แต่ปรากฏว่าหลวงพ่อวัดท่ามะขาม ตอนนั้นท่านเป็นเจ้าคณะจังหวัดอยู่ ท่านเตือนว่า "ถ้าผู้ใหญ่ให้ของ ให้รีบรับไว้ก่อน ถ้าไม่รับ เดี๋ยวท่านจะมองเราในแง่ไม่ดี กลายเป็นว่าท่านจำฝังใจแล้วต่อไปเราจะลำบาก"

ตั้งแต่ท่านเตือนมา ต่อไปเมื่ออาตมาเจอใครให้ของก็จะรับไว้ก่อนเสมอ ไปเจอบางท่านแทนที่จะให้ท่านให้ก่อน เราก็ขอท่านก่อนเลย รู้อยู่ว่าท่านเต็มใจให้ ก็แกล้งขอ ทำท่าว่าอยากได้เป็นนักหนา ท่านก็ปลื้มใจที่มีสิ่งที่เราอยากได้ เมื่อท่านให้มาแล้ว เราก็แบกขึ้นรถไปแจกที่อื่นต่อ

เถรี 30-01-2011 00:10

พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของวัตถุมงคล ไม่ว่าจะเป็นวัดไหนก็ตาม มักจะมีอาถรรพ์ก็คือ มีคนจองไว้แล้วแต่ไม่มารับ มักจะมีอยู่รายสองรายที่ไม่มารับหรอก

ตอนนี้อาตมาต้องเก็บพระกริ่งพิชัยสงคราม รุ่น ๑ เอาไว้ ๖ องค์ จากราคา ๑,๐๐๐ บาท ในปี ๒๕๔๔ เดี๋ยวนี้ในเว็บเขาแย่งกันประมูล สู้ราคากันถึง ๔๐,๐๐๐-๕๐,๐๐๐ บาทก็มี คนเขาอยากจะได้ แต่เจ้าของก็ไม่มารับเสียที แล้วจองไว้คนเดียวตั้ง ๖ องค์..!

สู้หญิง (ณญาดา ศราภัยวานิช) ไม่ได้นะ หญิงเขาประกาศชัดว่า ถ้าถึงเวลาแล้วไม่มารับ กลายเป็นของกลางไปเลย ถือว่าท่านตั้งใจสละทรัพย์เพื่อการบุญโดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน"

ถาม : ในความเป็นพระทำอย่างนั้นได้ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเป็นพระไม่ควร เพราะว่าตอนที่เขาจอง เขาตั้งใจอยากได้ของ เรามีหน้าที่อย่างเดียวก็คือ เก็บเอาไว้จนกว่าเขาจะมารับ

สมัยที่อาตมาทำหน้าที่อยู่ที่ศาลานวราชบพิตร วัดท่าซุง ที่นั่นจะมีตู้เก็บของโดยเฉพาะ เป็นตู้ ๕ ชั้น ข้าวของอัดแน่นเต็มตู้ ญาติโยมมาแต่ละคน เราก็จะบอกว่า "เมื่อคราวที่แล้วลืมข้าวของอะไรหรือเปล่า ? ให้ไปดูในตู้ ถ้าเป็นของโยมก็ช่วยรับคืนไปด้วย" บอกให้ไปดู แต่ของไม่เคยลดลงเลย ครั้งต่อไปก็มากขึ้นไปอีก..เยอะขึ้นอีก กระเป๋าถือบ้าง รองเท้าบ้าง ของใช้ส่วนตัวบ้าง

เถรี 30-01-2011 00:15

ระเบียบของพระโดยตรงถือเป็นศีลเลยนะ พระพุทธเจ้าทรงกำหนดไว้เลยว่า ข้าวของของญาติโยมที่ตกอยู่ในวัด พระต้องเก็บรักษาไว้จนกว่าเจ้าของจะมารับคืน ไปยึดของเขาเองเฉย ๆ จะโดนปาราชิก ขาดความเป็นพระโดยไม่รู้ตัว ปาราชิกนี่ขาดจากความเป็นพระเลย ถึงยังห่มเหลืองอยู่ก็ไม่นับว่าเป็นพระ

ถาม : แล้วถ้ามันนานมาก ?
ตอบ : นั่นนะสิ..นานมากเลย นานจนกระทั่งกระเป๋าบางใบขึ้นรา..! ตอนนี้ที่วัดท่าขนุน มีอยู่รายหนึ่งเขาลืมพระเลี่ยมทองเอาไว้ จนป่านนี้ก็ยังไม่มารับ เป็นพระเลี่ยมทององค์หนึ่ง พระเก่าราคาสูงด้วย แล้วก็มีเหรียญใหม่เอี่ยมอยู่เหรียญหนึ่ง

อีกรายหนึ่งเป็นกระเป๋าสตางค์ มีแต่เงินล้วน ๆ ไม่มีหลักฐานอื่นอะไรเลย ก็ยังเก็บรออยู่จนถึงทุกวันนี้ ของใครถ้ารู้ตัวให้ไปทวงคืนก็แล้วกัน แล้วยังมีพระสำคัญที่ใช้ประจำตัวอีกองค์หนึ่ง เลี่ยมกรอบอย่างดีเลย นี่ทำหล่นไว้ที่หน้าถ้ำตอนงานออกนิโรธกรรมของครูบาเหนือชัย อาตมาเก็บเอาไว้รอเจ้าของอยู่เหมือนกัน

เถรี 30-01-2011 00:19

ถาม : ท่านได้ศึกษาศาสตร์พยากรณ์มาบ้างหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : หัดดูอยู่ระยะหนึ่ง เป็นพวกเลข ๗ ตัว พอแม่นมาก ๆ ก็ต้องทิ้ง เพราะคนมากวนไม่เลิก ตอนแรกหลวงพ่อบอกให้ไปลอง ๆ ไว้บ้าง "ของเขาจริงนะ" ก็เลยลองดู ปรากฏว่าแม่นจริง ๆ ที่ว่าแม่นเพราะแรก ๆ เราก็ดูคนรอบข้างเราก่อน

เถรี 30-01-2011 00:21

พระอาจารย์กล่าวว่า "พระพุทธรูปปางห้ามสมุทรนั้น ส่วนใหญ่ที่เขาสร้าง เขาถือเคล็ดว่า สิ่งที่ไม่ดีไม่งามต่าง ๆ จะโดนหยุดเอาไว้หมด สิ่งที่ไม่ดีจะมาไม่ถึงตัวเรา"

เถรี 30-01-2011 00:23

พระอาจารย์กล่าวว่า "อตีตํ นานวาคเมยฺย ไม่ควรที่จะครุ่นคิดถึงอดีต นปฺปฏิกงฺเข อนาคตํ ไม่ควรจะฟุ้งซ่านไปถึงอนาคต ปจฺจุปฺปนฺนญฺจ โย ธมฺมํ ตตฺถ ตตฺถ วิปสฺสติ ต้องอยู่กับปัจจุบันเท่านั้นจึงจะรู้แจ้ง มีบอกไว้อยู่ในภัทเทกรัตตสูตร"

เถรี 30-01-2011 14:05

ถาม : ไปเรียนมโนมยิทธิ แล้วเขาให้นึกภาพพระจุฬามณี แต่เราไม่เคยเห็นมาก่อน ?
ตอบ : ให้เรากำหนดความรู้สึกทันทีเดี๋ยวนั้นเลยว่า ตรงหน้าเราคือพระจุฬามณี แล้วความรู้สึกนั้นว่ามีลักษณะเป็นอย่างไร ให้อธิบายไปตามความรู้สึกนั้น ถ้าเราเห็นมาก่อนบางทีก็เป็นอุปาทาน คือไปยึดเอาของเก่ามาตอบ ไม่เคยเห็นมาก่อนนั่นแหละ..จึงจะถูก

"ต้องเชื่อความรู้สึกแรก" พวกเรามักจะลืมคำสอนนี้ไป ความรู้สึกแรกเป็นอย่างไร ให้ตอบไปตามนั้นก่อน แรก ๆ ก็จะไม่เห็นภาพ แต่พอได้รับการยืนยันจากครูฝึกแล้ว ความมั่นคงของกำลังใจมีมากขึ้นเรื่อย ๆ สภาพจิตจะนิ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ พอนิ่งไปถึงระยะหนึ่งภาพก็จะปรากฏขึ้นเอง พอมาถึงตอนนี้ก็จะเริ่มเสียอีก เสียตรงที่ว่า พอภาพปรากฏแล้วเราอยากจะเห็นให้ชัด เราก็จะไปเพ่ง

มโนมยิทธิเราต้องส่งจิตไปให้ถึงตรงจุดนั้น เราจึงจะเห็นสิ่งนั้นได้ ทันทีที่เราไปใช้สายตาเพ่ง เราต้องนึกถึงตา คือ นึกถึงร่างกายซึ่งเป็นการดึงจิตกลับมาสู่ร่างกาย ภาพนั้นก็จะหายไป กลายเป็นว่า ทันทีที่เราเห็นภาพ พอเพ่งจะให้ชัด ภาพก็หาย พอทำใจสบาย ๆ ภาพก็ปรากฏอีก พอเพ่งอีกก็หายอีก

บางคนจะติดอยู่ขั้นตอนนี้เป็นปี ๆ เลย จนกว่าจะทำใจได้ว่า ก่อนหน้านี้ถึงเห็นหรือไม่เห็น เราก็รู้ได้ถูกต้องแล้ว เราจะเห็นหรือไม่เห็นก็ช่างเถอะ ถ้าทำใจอย่างนี้ได้ ภาพจะปรากฏอยู่ได้นาน แรก ๆ ต้องบ้าตามไปก่อน เขาไปทางไหนเราไปด้วย รู้สึกอย่างไรตอบไปตามนั้น กลับไปซ้อมใหม่..เอาให้เก่งให้ได้...

เถรี 30-01-2011 14:09

ถาม : ตอนที่ฝึกมโนมยิทธิใหม่ ๆ ภาพที่เห็นไม่มีความสว่าง แต่เป็นสีทึบ ๆ ไม่สว่าง เป็นเพราะว่าวิปัสสนาของเราไม่เพียงพอใช่ไหม ?
ตอบ : มีอยู่สองอย่างด้วยกันคือ ถ้าสภาพจิตยังหยาบอยู่ก็จะเห็นอย่างนั้น หรือไม่ก็ใจเราชอบอย่างนั้น ก็จะเห็นอย่างนั้น ความเคยชินของจิตยังไปยึดของเก่าอยู่ ในเมื่อไปยึดของเก่าอยู่ก็ยังเห็นเหมือนเดิม

ถาม : ถ้าเราใช้การอธิษฐานให้ภาพสีทึบนั้น เปลี่ยนเป็นประกายพรึกจะได้หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ให้ทดลองอธิษฐานตรงนั้นเลย ถ้ากำลังจิตสะอาดพอก็จะสว่างขึ้น หรือไม่ก็ให้พิจารณาวิปัสสนาญาณตอนนั้นเลย ให้เห็นชัดเจนว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ถ้าสภาพจิตยอมรับอย่างแท้จริง ก็จะสว่างแจ่มใสขึ้นเอง

เถรี 30-01-2011 22:48

ถาม : อย่างการพิจารณาธาตุสี่ ถ้าเราไม่เคยฟังธรรมจากพระพุทธเจ้ามาก่อน ไม่ได้มโนมยิทธิมาก่อน เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเรามีจิต เราคือจิต ?
ตอบ : อย่างเวลาโดนตีแล้วเราก็เจ็บ โดยธรรมชาติต้องคิดว่าเป็นเราอยู่แล้ว..ใช่ไหม ? ในเมื่อปัญญาเราไม่ถึง เราก็จะยึดว่าร่างกายนี้เป็นเราตั้งแต่แรกแล้ว เพิ่งจะเกิดมา แค่กินไม่ได้อย่างใจ ก็ขัดใจแหกปากร้องไห้จ้าแล้ว ทั้ง ๆ ที่ยังไม่รู้เรื่องอื่นอะไรเลย

ถาม : ทำไมเราไม่คิดว่า จิตเกิดจากการที่มีพวกสารเคมีมารวมตัวกัน พอเราตายไป สารเคมีที่เป็นจิตก็ตายไปด้วย ?
ตอบ : เพราะว่าปัญญาที่รู้แจ้งหรือวิปัสสนาที่จะเห็นอย่างชัดแจ้งไม่มี ยังโดนอวิชชาหรือความมืดมิดบดบังอยู่ เราจึงจำเป็นต้องอาศัยแสงแห่งพระธรรมที่พระพุทธเจ้าสาดส่องมาให้ ขับไล่อวิชชาให้ถอยไป จะได้เห็นความเป็นจริง คิดอย่างที่คุณว่ามาก็ได้ แต่ไม่ตรงกับความเป็นจริง จึงไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง

ความจริงแล้ว เรายึดตั้งแต่ก่อนที่จะมาเกิดอีก เพราะถ้าไม่ยึดเราก็ไม่ต้องมาเกิด ลองไปไล่ปฏิจจสมุปบาทดู อวิชชาปัจจะยา สังขารา เพราะว่าอวิชชา คือ ความไม่รู้หรือรู้ไม่หมด จึงทำให้เกิดการปรุงแต่ง สังขาระปัจจะยา วิญญาณัง เมื่อเกิดการปรุงแต่ง ก็เกิดประสาทรับความรู้สึกขึ้นมา

วิญญาณะปัจจะยา นามะรูปัง ในเมื่อมีประสาทรับความรู้สึก เราจะลอยอยู่เฉย ๆ ก็ไม่ได้ จึงต้องมีนามรูปเป็นเครื่องอาศัย นามะรูปะปัจจะยา สะฬายะตะนัง ในเมื่อมีนามรูปก็ต้องประกอบด้วยอายตนะ ก็คือ เครื่องสำหรับรับรู้รับสัมผัส ภายใน ๖ ภายนอก ๖ ภายใน ก็คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ภายนอก ก็คือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมณ์

สะฬายะตะนะปัจจะยา ผัสโส ในเมื่อมีอายตนะก็ต้องมีสัมผัส ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายได้สัมผัส ใจครุ่นคิด ผัสสะปัจจะยา เวทะนา ในเมื่อรับสัมผัสเข้ามา ก็จะเกิดความชอบใจ ไม่ชอบใจ หรือ เฉย ๆ ความสุขความทุกข์ก็เกิดขึ้น หรือความไม่สุขไม่ทุกข์ก็เกิดขึ้น

เถรี 30-01-2011 23:00

เวทะนาปัจจะยา ตัณหา ในเมื่อเกิดความรู้สึกชอบใจขึ้นมาก็คือกามตัณหา เลือกแต่ที่ตัวเองชอบก็เป็นภวตัณหา ผลักไสในสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบก็เป็นวิภวตัณหา

ตัณหาปัจจะยา อุปาทานัง ในเมื่อมีความอยากทั้งดีและไม่ดี คำว่าอยากดี ก็คืออยากตามสภาพ อยากไม่ดี ก็คือไม่อยากเป็นไปตามนั้น ซึ่งก็คือความอยากนั่นเอง ทำให้เกิดอุปาทานคือความยึดมั่นถือมั่น ยึดแล้วเกิดอะไร ? อุปาทานะปัจจะยา ภะโว ก็เกิดภพคือที่เกิด พอยึดรากก็งอกลงไปแล้ว จึงต้องมีที่ให้เกิด

ภะวะปัจจะยา ชาติ ในเมื่อมีที่เกิด ก็ต้องเกิด ชาติปัจจะยา ชะรามะระณังโสกะปริเทวะทุกขโทมนัสสุปายาสา เกิดมาก็แก่ ทุกข์โศกร่ำไร เศร้าโศกเสียใจ ปรารถนาไม่สมหวัง กระทบกระทั่งไม่ชอบใจ เป็นต้น

ถ้าเราไล่ตามปฏิจจสมุปบาท เราจะเห็นชัดเจนเลยว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสอนเรามา เพราะความไม่รู้ของเรานั่นแหละ ทุกอย่างจึงได้เป็นอย่างในปัจจุบัน ขณะนี้เราก็ยังรู้บ้าง ไม่รู้บ้าง และไม่รู้เสียมากกว่า เราก็จะไปสงสัยว่า ทำไมพระพุทธเจ้าไม่สอนแล้วเราไม่รู้จักคิดเอง ? ก็เพราะว่าความมืดบอดของดวงปัญญายังมีมากอยู่ อวิชชายังบดบังอยู่ เราเสียท่ามาตั้งแต่ก่อนเกิดแล้ว จะไปคิดอะไรได้ทัน..!

ถาม : ถ้าตอนนี้เราเห็นว่า เกิดความอยากและไม่อยากเกิดขึ้น จำเป็นที่จะต้องสาวกลับขึ้นไปขนาดนั้นเลยหรือครับ ?
ตอบ : จะสาวกลับไปก็ได้ หรือไม่ก็พิจารณาให้เห็นว่าเป็นทุกข์เป็นโทษอย่างไร แล้วเกิดความเบื่อหน่ายคลายกำหนัด จิตก็จะถอนออกมาเหมือนกัน ถ้าเราไม่ได้มาสายพุทธภูมิโดยตรง ไม่ต้องไปไล่รายละเอียดขนาดนั้นก็ได้

แค่คบร่างกายนี้ชาติเดียว ต่อไปไม่เอาอีกแล้วก็พอ นาน ๆ อาตมาถึงจะพูดของยากเสียที ปกติขี้เกียจอธิบาย
ปฏิจจสมุปบาท เพราะคนอธิบายเองก็ยังเข้าใจไม่ชัดเลย..!

เถรี 30-01-2011 23:11

ถาม : แค่ฟังก็รู้สึกว่าไกลเหลือเกินครับ
ตอบ : อาตมาขี้เกียจอธิบาย เพราะพูดละเอียดไม่ได้ ถ้าพูดละเอียดก็สามวันสามคืน เอาแค่ผิว ๆ พอให้เข้าใจว่ามีที่มาที่ไปอย่างนี้

จริง ๆ แล้ว ถ้าเราจะเอาอีก ก็ยังมีอดีตเหตุและปัจจุบันผล อดีตเหตุ คืออวิชชาที่พาให้เราเกิด ปัจจุบันผล ก็คือเรื่องของตัณหา ความทะยานอยาก

ปัจจุบันเหตุ ก็คือตัณหาและอุปาทาน ทำให้เกิดอนาคตผล ก็คือชาติชรามรณะฯ ยิ่งคิดยิ่งละเอียด เสียเวลาคิด ไม่ใช่งานของเรา เป็นงานของพระพุทธเจ้า

ถึงเวลาที่เราไล่ปฏิจจสมุปบาท เราส่วนมากไล่ลงมาด้านเกิดอย่างเดียวเท่านั้น ยังต้องมีการไล่ย้อนกลับให้ไปด้านดับ ในเมื่อเราเลิกเกิด--->ภพก็ไม่มี เพราะเราไม่เอา ในเมื่อไม่มีภพ--->ตัณหาตัวอยากก็ไม่มี..ไล่ไปจนถึงท้ายสุด แม้แต่อวิชชาก็ไม่มี ขึ้นหน้าแล้วต้องถอยหลังเป็นด้วย

อย่างวันก่อนที่อธิบายว่า ไม่รู้จักพระนิพพานแล้วเราจะเข้าใจได้อย่างไรว่าพระนิพพานมีจริง ? ก็ในเมื่อเราไล่อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ว่าไม่มีแล้ว ก็ต้องไล่ย้อนกลับมา สิ่งที่เป็นนิจจัง สุขขัง อัตตา ก็มีอย่างแน่นอนคือพระนิพพาน แค่นี้ก็จบแล้ว เพียงแต่ว่าปัญญาต้องถึง ถ้าปัญญาไม่ถึงก็จะไปยึดเป็นนิจจัง สุขขัง อัตตา ที่ไม่ใช่ปรมัตถธรรม

เถรี 31-01-2011 00:28

ถาม : แล้วอารมณ์ใจที่อยากในการทำความดี กับอารมณ์ใจในการอยากทำความชั่ว อารมณ์อยากสำหรับผมคือลักษณะการกระเพื่อมของจิต ซึ่งบางครั้งผมก็รู้สึกว่าการตัดก็เหมือนกัน เพียงแต่ตัดอันนี้แล้วไปทำความดี ตัดอันนี้แล้วไปทำความชั่ว เราต้องหยุดทั้งคู่ ?
ตอบ : สมมติข้าวสารกระสอบหนึ่ง เราแบกเพื่อไปไว้ยังที่หมาย อย่างเช่นเถ้าแก่สั่ง เราใช้กำลังเท่าไรในการแบก ? กับข้าวสารกระสอบหนึ่งที่เราแบกโดยการขโมยมา เราใช้กำลังเท่าไรในการแบก ? ก็ใช้กำลังเท่ากัน เพียงแต่เราจะใช้ไปทางไหนเท่านั้นเอง

แรก ๆ ก็ต้องละชั่วทำดีไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งท้ายสุด เว้นทั้งดีทั้งชั่วแล้ว ไม่เอาทั้งสองอย่าง รู้ว่าดีก็ทำเพราะโลกนิยมว่าดี รู้ว่าชั่วก็ละเพราะโลกเขาไม่นิยมสรรเสริญ

ถาม : แต่การที่ใจสั่งในการทำความดีหรือทำความชั่ว ก็ทำให้เกิดความรู้สึกไม่สบายใจ
ตอบ : แน่นอน ต่อให้สร้างความดีก็ต้องทุกข์ ต้องเหนื่อย ต้องตะเกียกตะกายทำเช่นกัน

เถรี 31-01-2011 00:32

ถาม : แล้วทำไมคนถึงชอบทำความชั่วมากกว่า ?
ตอบ : เพราะเราสะสมความชั่วมานับชาติไม่ถ้วน ทำให้มีความชำนาญมากกว่า ความชั่วล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่เราปรารถนาทั้งนั้น มารเขาวางบ่วงที่เราชอบไว้ทั้งนั้น ถึงขนาดฝังไว้ในดีเอ็นเอเลย

เพราะเป็นสัญชาตญาณไปแล้ว การกิน การนอน การสืบพันธุ์ พอถึงเวลาก็จะถูกผลักดันโดยสัญชาตญาณ ให้ตะเกียกตะกายไปหามา พอไม่สามารถจะหามาสนองความต้องการของตนเองได้ ก็เพิ่มความพยายามมากขึ้น คราวนี้จะถูกกฎหมายหรือไม่ถูกกฎหมาย ถูกศีลธรรมหรือไม่ถูกศีลธรรม ก็อยู่ที่หิริโอตัปปะของเราแล้ว

อย่างวันแรกที่อธิบายว่า ถ้ายังเป็น ปริยุฏฐานกิเลส ก็แค่คุกรุ่นอยู่ในใจ แต่ถ้าละเมิดศีลละเมิดธรรมเมื่อไร จะเป็นวีติกมกิเลสทันที

เถรี 31-01-2011 00:35

ถาม : อย่างการพิจารณาตัวกายคตาหรืออสุภะ เราพิจารณาโดยใช้จินตนาการของเราเองในการพิจารณา กับการที่เราเห็นภาพของจริง ทั้ง ๆ ที่มีความคล้ายคลึงกัน การยอมรับของใจกับภาพที่เห็น ทำไมจึงมีความแตกต่างกันครับ ?
ตอบ : จินตนาการเราได้แค่ภาพ แต่ถ้าของจริง ได้รูป รส กลิ่น ครบเลย..!

ถาม : อย่างภาพในอินเตอร์เน็ตกับภาพศพจริง ก็หน้าตาเหมือนกัน ?
ตอบ : ความชัดเจนยังไม่พอ โดยเฉพาะไม่มีกลิ่นให้เป็นที่รังเกียจ ยกเว้นว่าคุณเป็นประเภทสุดยอดทิพจักขุญาณ หรือในอดีตฝึกกสิณมา อย่างนั้นความชัดจึงจะได้เท่ากันกับของจริง จะรู้สึกรังเกียจพอ ๆ กัน

เถรี 31-01-2011 00:41

ถาม : การที่จิตเราสั่นสะเทือน เกิดขึ้นตอนไหน ?
ตอบ : การสั่นสะเทือนของจิต เริ่มตั้งแต่เริ่มรับรู้ น่าจะต้องไปดูในพระอภิธรรม ท่านอธิบายไว้ว่า สภาพจิตของเราเหมือนกับแมงมุมที่อยู่กลางใย พอสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากระทบอายตนะ ก็เหมือนกับแมลงลงมากระทบใยแมงมุม ใยแมงมุมเกิดการสั่นสะเทือน แมงมุมจึงรับรู้

ในเมื่อรับรู้แล้วก็กำหนดว่า มาจากทิศไหน ? เป็นอะไร ? ย่องเข้าไปดู จนจับเหยื่อได้ ใส่ปากเคี้ยวกิน ลิ้มรสเสร็จเรียบร้อย แล้วกลับเข้ามารออยู่ที่เดิม ก็คือ อาการทุกอย่างที่จิตไปเสวยสิ่งที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รับเข้ามา เพราะฉะนั้น..ต้องเกิดสัมผัสสั่นสะเทือนขึ้นมาก่อน จึงจะรับรู้ได้

เถรี 31-01-2011 00:46

ถาม : วันนั้นฝันว่าตกลงมา ตอนแรกใจก็สะเทือน พอคิดถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ใจก็นิ่งกลับเข้ามาใหม่ จึงเห็นว่าการที่ใจเราสั่น ก็เหมือนกับอาการเวลาที่เกิดความอยากในการทำบุญ หรืออยากในการทำบาปก็ตาม เป็นลักษณะเดียวกัน ?
ตอบ : ก็ได้บอกไปแล้วว่า ถ้าลองว่าไปแบกข้าวสาร ไม่ว่าจะด้วยจุดมุ่งหมายอะไร ก็หนักเหมือนกัน

ถาม : จุดสำคัญจริง ๆ ก็คือ ต้องการให้หยุด หยุดการสั่น
ตอบ : หยุด ละ เลิกการนึกคิดปรุงแต่งในทุกอย่างก็จบ

เถรี 31-01-2011 00:58

ถาม : ถ้าเราพิจารณาเห็นแล้วว่า...... (ไม่ได้ยิน) ไม่รู้ทำถูกหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เราจะเห็นหรือไม่เห็นก็ตาม ให้ดูอยู่อย่างเดียวว่า สิ่งนั้นใช้ในการตัดละกิเลสได้หรือไม่ ? นั่นคือเป้าหมายใหญ่ที่สุด

พอญาณเครื่องรู้เกิดขึ้น เราคิดอะไรก็จะแตกฉานไปหมด แต่จะแตกแขนงกว้างออกไปเรื่อย ๆ โดยที่เราเผลอลืมไปว่า สิ่งที่เราคิดนั้น ไม่ได้ใช้ประโยชน์ในการตัดกิเลสเลย เราแค่เข้าใจสภาวะว่าเป็นอย่างไรเท่านั้น เพราะฉะนั้น..คุณต้องนึกย้อนกลับมาอีกที ว่าตรงนั้นช่วยในการตัดกิเลสได้หรือเปล่า ?

ระวังไว้ว่า..จะเป็นแค่ญาณในอุปกิเลส คือรู้อย่างเดียว รู้กว้างออกไปเรื่อย ๆ แล้วหาจุดลงไม่ได้

ถาม : แต่ก็เห็นว่า เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป นะครับ
ตอบ : ขั้นตอนนี้เราต้องพิสูจน์ทราบด้วยตัวเองแล้วว่า เราสามารถเอามาใช้ตัดกิเลสได้หรือเปล่า ? ถ้าใช้ตัดกิเลสไม่ได้ ก็จบเห่..!

ระวังให้ดี..เวลาญาณเกิดขึ้น คิดอะไรก็เข้าใจแตกฉานไปหมด สร้างยานอวกาศได้เป็นลำเลย รู้ได้ขนาดนั้นจริง ๆ นะ..ขอยืนยัน

ถาม : แม้กระทั่งว่าเป็นญาณแยกแยะธาตุสี่ จนกระทั่งเรารู้สึกว่าร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา แต่ยังไม่สามารถที่จะตัดกิเลสได้ทันที ?
ตอบ : ถ้าจิตเรายังไม่ยอมรับ ก็ยังใช้ไม่ได้ ต้องย้ำแล้วย้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีกไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งจิตยอมรับจริง ๆ ว่านี่ไม่ใช่ของเรา เกิดรังเกียจเต็มที ไม่เอาอีกแล้ว

เถรี 31-01-2011 09:49

พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องกามราคะว่า "เมื่อครู่มีเรื่องที่น่าสนใจ ท่านผู้กำลังเป็นตำนาน เขาบอกว่า จากการดำเนินชีวิตที่ผ่านมา สิ่งที่ไม่ดีอะไรก็ตาม สามารถใช้วิธีเลิกหักดิบได้เลย ไม่ว่าจะเป็นเหล้า เป็นบุหรี่ เป็นยาบ้า แต่ทำไมเรื่องกามราคะหักไม่สำเร็จ ? สงสัยจะหักผิดที่..! ถ้าหักถูกที่คงเลิกได้แล้ว

เรื่องอื่นเป็นสิ่งที่เราไปเสาะหาเข้ามาในชีวิต แต่กามราคะเป็นสัญชาตญาณที่ฝังอยู่เบื้องลึกของจิตใจ ต่อให้ใจเราไม่ต้องการ สภาพร่างกายก็คอยบังคับ คอยกวนอยู่เสมอ ดังนั้น..วิธีแรกให้เลี่ยงมันก่อน

วิธีของหลวงปู่หล้า วัดภูจ้อก้อ รู้ว่ารบแล้วไม่ชนะแล้วอย่าไปรบ แต่ให้หลบ ท่านบอกว่า "รู้จักเป็นนักหลบเสียบ้าง อย่าเป็นนักรบอย่างเดียว" รบไปแล้วตาย ยังไปรบอยู่ถือว่าโง่..!

ในเมื่อหลบได้แล้ว เราก็เพาะสร้างกำลังของเรา คือ สมาธิให้ทรงตัว ถ้าสมาธิทรงตัว จะกดรัก โลภ โกรธ หลงให้นิ่งสนิทได้ชั่วคราว โดยเฉพาะกามราคะคือส่วนของรัก

ในเมื่อกดมันนิ่งได้ชั่วคราว เราก็ซักซ้อมตัวสมาธิให้คล่องตัว ให้คล่องตัวขนาดที่เราตั้งใจจะทรงสมาธิเมื่อไรก็ได้เมื่อนั้น คราวนี้ก็เป็นคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อกันแล้ว

เหลือแต่ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นทุกข์เห็นโทษว่า มันก่อทุกข์ก่อโทษ สร้างเวรสร้างภัยให้เราจนเกิดนับชาติไม่ถ้วนถึงปัจจุบันนี้ ควรที่จะพอกันทีหรือยัง ? ถ้าเราเห็นว่าควรที่จะพอกันทีแล้ว จิตก็จะเห็นว่า ควรจะเบื่อหน่ายคลายกำหนัด ถอนความต้องการตรงจุดนั้นออกมา

ถ้าถึงเวลานั้นแล้ว เราจึงจะชนะมัน ไม่ใช่ว่าจะไปใช้วิธีหักดิบ ไม่ถูกหรอก ยกเว้นหักถูกที่..! ความจริงเขาก็สงสัยถูก กำลังใจเขาเข้มแข็งมากนะ อยากจะเลิกอะไรเขาเลิกได้ทุกอย่าง แต่ทำไมเลิกราคะจึงเลิกไม่ได้"

เถรี 31-01-2011 09:55

"เมื่อครู่ที่กล่าวถึงเรื่องของกามราคะว่า ถ้าหักถูกที่ก็จบไปแล้ว จริง ๆ ไม่จบนะจ๊ะ เพราะถ้าเราศึกษาประวัติศาสตร์จีนดู จะเห็นว่าบรรดาขันทีต่าง ๆ ที่โดนจับตัดอวัยวะเพศทิ้ง แต่กำลังผลักดันทางเพศ ก็เปลี่ยนไปในเรื่องบ้ายศบ้าตำแหน่งแทน

ท้ายสุดก็สะสมอำนาจ กลายเป็นซ่องสุมกำลังส่วนตัวบ้าง ควบคุมฮ่องเต้เพื่อบัญชาการให้ได้อย่างใจตนเองบ้าง เพราะฉะนั้น..เรื่องของอารมณ์ทางเพศ เป็นปกติของการเกิดมามีสภาพร่างกายอย่างนี้ ในเมื่อเรามีร่างกาย รัก โลภ โกรธ หลง ที่เป็นสมบัติของร่างกายก็ต้องแสดงออกเป็นปกติธรรมดา

สำคัญตรงที่ว่า ทำอย่างไรที่เราจะไม่ไปให้ความสนใจ ถ้าใจของเราไม่ไปร่วมมือนึกคิดปรุงแต่งด้วย ราคะก็จะไม่สามารถที่จะเจริญงอกงามได้ อย่างที่เคยบอกไปแล้วว่า ถ้าลวกเส้นก๋วยเตี๋ยวแล้วใส่น้ำเปล่ามาให้ ใครจะไปอยากกิน ? เพราะไม่เป็นรสเป็นชาติ แต่ถ้าเราไปเติมน้ำส้ม เติมน้ำปลา ใส่หมูสับ ใส่กระเทียม ใส่พริกไทย อะไรต่อมิอะไรลงไปเยอะแยะ ยิ่งใส่ก็ยิ่งอร่อย เราก็อยากกินไม่เลิก

ดังนั้น..สิ่งที่สำคัญที่สุด ไม่ว่าจะรัก โลภ โกรธ หลง อะไรก็ตาม สำคัญตรงที่ว่าจิตเราไปร่วมปรุงแต่งด้วยหรือเปล่า ? ถ้าหากว่าหยุดการปรุงแต่งได้ ดังที่บอกแล้วว่า อวิชชาปัจจะยา สังขารา อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร คือ การปรุงแต่ง ถ้าเราไม่ปรุงแต่งเสียอย่าง กิเลสก็ไม่สามารถจะก้าวหน้างอกงามต่อไปได้ ก็จะโดนตัดจบลงแค่นั้น"

เถรี 31-01-2011 10:03

ถาม : อย่างนี้การที่เราเห็นว่าคนนั้นสวย แล้วไม่ได้คิดต่อ เป็นสักแต่ว่าเห็นหรือยัง หรือที่เห็นว่าสวยเราปรุงไปแล้ว ?
ตอบ : ปรุงแต่งไปเรียบร้อยแล้ว ถ้าเห็นว่าสวยก็ไปไกลแล้ว หยุดไม่ทันหรอก ต้องสักแต่ว่าเห็น ไม่ได้ไปคิดว่าสวยหรือไม่สวย ชอบใจหรือไม่ชอบใจ เป็นของเราดีหรือไม่ ต้องไม่มีการคิดแบบนี้ ถ้ามีเมื่อไรแสดงว่าไม่ทัน โดนกิเลสจูงจมูกไปแล้ว ถ้าเกินกว่านั้นราคะก็จะกำเริบ

ถาม : อย่างสมัยก่อนที่ท่านทำ ท่านใช้กำลังของสมาธิ หรือใช้อะไรจัดการ ?
ตอบ : ใช้หลาย ๆ อย่าง บางทีสมาธิก็ไม่เอาเลย บางครั้งเราทรงสมาธิต่อเนื่องกันเป็นเดือน ๆ เหมือนกับเราชาร์จแบตเตอรี่จนเต็ม จนหม้อจะระเบิด ไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อไปได้ ถึงขนาดต้องขออนุญาตหลวงพ่อนั่งรถทัวร์มากรุงเทพฯ

ไม่ได้มาทำอะไรหรอก นั่งรถมาถึงกรุงเทพฯ พอลงที่สถานีขนส่งหมอชิต (เก่า) ก็สั่งอาหารมาฉัน เสร็จเรียบร้อยแล้วก็นั่งรถกลับ ออกจากวัดประมาณแปดโมงกว่า มาถึงหมอชิตก็ราว ๆ เพล แค่ให้สภาพจิตพ้นไปจากความเคยชินเดิม ๆ ในทุกวัน พอได้มองฟ้ามองดิน เห็นทุ่งนาเขียว ๆ จิตก็เริ่มผ่อนคลาย จึงเริ่มภาวนาได้ใหม่

ไม่อย่างนั้นเหมือนกับแบตเตอรี่ที่เต็มจะระเบิดอยู่แล้ว สมัยนั้นยังต้องใช้วิธีนี้ช่วยเลย ดังนั้น..ในเรื่องของการปฏิบัติ ต้องมีการเปลี่ยนอิริยาบถบ้าง เปลี่ยนสถานที่บ้าง เพื่อไม่ให้จิตของเราคุ้นชิน

ที่พระท่านจำเป็นจะต้องธุดงค์ ส่วนหนึ่งก็คือว่า เพื่อไม่ให้จิตคุ้นชินกับสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง จนกระทั่งลดความแหลมคมลงไป ไม่อย่างนั้นถ้าเคยชินเมื่อไร จะนอนหลับสบาย ไม่อยากจะลุกขึ้นมาภาวนา แต่ถ้าเป็นสถานที่ไม่คุ้นชิน ไม่รู้ว่าจะมีอันตรายอะไรหรือเปล่า จิตเราจะตื่นอยู่ตลอดเวลา

เถรี 31-01-2011 13:59

ถาม : เรื่องกามราคะ มีบทความเขาเขียนว่า สมอไทยเป็นผลไม้ที่พระพุทธเจ้าบัญญัติให้เป็นยา เพราะว่าสมอไทยบำรุงทุกอย่าง ยกเว้นอย่างเดียว คือ ไม่บำรุงกำหนัด นอกจากไม่บำรุงแล้วยังลดอีกด้วย
ตอบ : ดูท่าจะไม่จริง เพราะอาตมาก็ฉันมาหลายหาบแล้ว..! ในเรื่องของสมอ พระพุทธเจ้าท่านต้องการให้เป็นยาถ่าย ถ้าร่างกายหมักหมมนาน ๆ แล้วไม่ถ่าย บรรดาโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ จะเกิดขึ้นง่าย พระพุทธเจ้าท่านบัญญัติให้ฉันสมอ เห็นว่าเจตนาเดิมเพื่อเป็นยาถ่าย

มีอยู่อย่างหนึ่ง ไม่ทราบว่าผู้หญิงซึ่งมีกายวิภาคต่างกับผู้ชาย จะเป็นด้วยหรือเปล่า ? ก็คือ ถ้าท้องผูกอุจจาระแข็ง ก็จะไปเบียดท่อปัสสาวะให้ระคายเคือง แล้วอวัยวะเพศของผู้ชายจะตื่นตัวได้ง่าย

พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่า อวัยวะเพศจะตื่นตัวด้วยเหตุ ๕ ประการ คือ

๑. ปวดอุจจาระ
๒. ปวดปัสสาวะ
๓. โดนบุ้งคัน
๔. โดนลมพัด
๕. โดนกระตุ้น

เพียงแต่ว่าจิตของท่านไม่ได้มีความต้องการทางเพศ แต่เป็นไปโดยอัตโนมัติตามประสาทร่างกายเท่านั้น

เถรี 31-01-2011 14:04

เพราะฉะนั้น..กายวิภาคของผู้หญิงกับผู้ชายไม่เหมือนกัน ถ้าท้องผูกไม่ได้ถ่ายบ่อย อาจจะกลายเป็นว่า ไปกระตุ้นให้อวัยวะเพศให้ตื่นตัวได้ง่าย คราวนี้ก็เจริญ..! กว่าจะระงับลงได้ บางทีก็ต้องเดินจงกรมกันเป็นวัน

อย่างหลวงปู่ชา วัดหนองป่าพง ลูกศิษย์ท่านบอกว่า จะไม่เขียนเรื่องพวกนี้ในประวัติของท่านได้ไหม ? หลวงปู่ชาบอกว่า "ถ้าไม่เขียนก็ไม่ต้องเขียนเลย ถ้าจะเขียนก็เขียนให้เขารู้เลย ว่าของจริงเป็นอย่างไร" ท่านบอกว่าถึงขนาดท่านนุ่งผ้าตามปกติไม่ได้ ทันทีที่กระทบผ้าอวัยวะเพศก็แข็งตัวเลย ท่านต้องตลบผ้าสบงพันเอวแล้วก็เดินจงกรม ต้องสู้กันถึงขนาดนั้น

เพราะฉะนั้น..เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ กว่าที่ครูบาอาจารย์จะสู้ผ่านมาได้ แล้วมาเป็นครูบาอาจารย์ให้เรากราบ ให้เราไหว้ ถ้าเป็นนักรบก็แผลทั้งตัว ไม่มีใครหรอกที่จะอยู่ดีมีสุข หรือปราศจากบาดแผลมาก่อน แต่ละท่านยับเยินมาจนกระทั่งเย็บกันชนิดที่เข็มหลง เข็มหลง ก็คือ ไม่รู้จะเย็บไปทางไหน แผลซับแผลซ้อนเต็มไปหมด

ถาม : ถ้าเกิดว่าบาดแผลน้อยแสดงว่ายังใช้ไม่ได้ ?
ตอบ : ต้องให้เยินกว่านี้หน่อย ตอนนี้ยังเยินไม่พอ..!

เถรี 31-01-2011 16:35

เรื่องกามราคะไม่ได้ขึ้นอยู่กับอาหาร หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านพิสูจน์มาแล้ว ท่านบอกว่า ตอนแรกก็คิดว่าเป็นเพราะอาหาร แต่จริง ๆ แล้ว สำคัญที่สุดก็คือใจ ถ้าใจไม่ปรุงแต่ง กามราคะก็เกิดไม่ได้

ท่านบอกว่าท่านฉันเจ มังสวิรัตินะ..ฉันอย่างชนิดที่ยิ่งกว่าเจทั่ว ๆ ไป ก็คือ เขี่ยเอาแต่ผักอย่างเดียว ฉันโดยไม่บอกใคร บางวันหาผักไม่ได้จริง ๆ ท่านก็เอาหัวหอมจิ้มน้ำปลา ฉันแบบนั้นอยู่สามปี ท่านว่านอกจากกามราคะจะไม่ลดลงแล้ว ยังงอกงามเป็นปกติอีกด้วย

ท่านจึงได้มั่นใจว่า ไม่ได้เป็นที่อาหาร แต่เป็นที่ใจปรุงแต่ง อาตมาถึงได้บอกว่า รัก โลภ โกรธ หลง โดยเฉพาะกามราคะเป็นสมบัติของร่างกาย สำคัญว่าจิตใจของเราไปนึกคิดปรุงแต่งหรือเปล่า ? ถ้าเราไม่ไปนึกคิดปรุงแต่งด้วย ไม่มีใครไปให้ความร่วมมือ ราคะก็เฉาอยู่ตรงนั้น อย่างเก่งก็อยู่ได้ไม่นาน ส่วนใหญ่แล้วเราไปช่วยคิด จินตนาการล้ำเลิศไปเป็นช่องเป็นฉาก กว่าจะรู้ตัวก็ลูกสามลูกสี่เข้าไปแล้ว..!

เถรี 31-01-2011 16:41

ถาม : ถ้าเกิดว่าเราไปเห็นคน แล้วเรารู้สึกว่าเขาน่ารัก แต่เป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบ เป็นการปรุงแต่งหรือไม่ ?
ตอบ : เป็นการปรุงแต่งไปตั้งนานแล้ว เพราะสติกับปัญญายังไม่ทัน มีอยู่ครั้งหนึ่ง หลายปีเต็มทีแล้ว หลังจากที่อาตมาไปอยู่ทองผาภูมิ ตอนนั้นยังต้องนั่งรถเมล์เพื่อที่จะมารับสังฆทานที่บ้านอนุสาวรีย์ จึงต้องออกจากทองผาภูมิตั้งแต่เช้า พอออกตั้งแต่เช้า จึงเห็นนักเรียนกำลังจะไปโรงเรียน เดินมาเป็นแถว

เด็กผู้หญิงวัยรุ่นบางคนหน้าตาแจ่มใส น่ารักจริง ๆ เลย ความรู้สึกก็ไปคิดว่า "เออ..เด็กนี่น่ารักดีนะ" พอคิดแค่นั้นเอง ภาพอสุภกรรมฐานเก่า ๆ ที่เคยฝึกไว้ก็โผล่ขึ้นมาตรงหน้าแทน จากที่เห็นว่าน่ารักก็เลยเกือบจะอาเจียน ยังดีว่าห้ามไว้ทัน ไม่อย่างนั้นคงจะเป็นเรื่อง

ถ้าราคะก็ต้องแก้ด้วยอสุภกรรมฐานและกายคตาสติ ถ้าโทสะต้องแก้ด้วยพรหมวิหารสี่หรือวรรณกสิณสี่ ถ้าโลภะก็ต้องแก้ด้วยทานบารมีและจาคานุสติ ต้องซ้อมเอาไว้ให้คล่อง ถึงเวลาจะได้ช่วยป้องกันเราได้ทัน

คราวนั้นเท่ากับอสุภกรรมฐานมาช่วยชีวิตอาตมาเอาไว้เลย เพราะเผลอตัวจริง ๆ ไม่ได้คิดไปในเรื่องกามราคะเลย แต่ใจไปคิดแล้วว่าเด็ก ๆ หน้าตาเขาแจ่มใสน่ารักดี เหมือนกับชื่นชมเขาเฉย ๆ โดยที่ไม่รู้ว่า นี่คือส่วนหนึ่งของราคะ ตอนนั้นจิตเราปรุงไปแล้ว โดยสติกับปัญญาตามไม่ทัน แต่อสุภกรรมฐานเขารู้ เขาเป็นคู่ศึกกันอยู่ พอเห็นคู่ต่อสู้ก็โดดเข้าใส่เลย

เถรี 31-01-2011 16:43

:4672615: เก็บตกเดือนมกราคมหมดแล้วค่ะ :4672615:
โชคดีที่ไม่ถึง ๑๑ หน้า
:msn_smilies-11:


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 21:16


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว