กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนตุลาคม ๒๕๕๘ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=4631)

เถรี 12-10-2015 18:36

ถาม : การภาวนาคาถาเงินล้านแบบ ๑๐๘ จบ กับนั่งภาวนาสักครึ่งชั่วโมงแบบไหนจะดีกว่ากันครับ ?
ตอบ : อยู่ที่ว่าแบบไหนสมาธิดีกว่ากัน คาถาไม่ใช่สักแต่ว่าท่องให้คล่อง ๆ ปากเท่านั้น ต้องได้สมาธิด้วยผลถึงจะเกิด

เถรี 12-10-2015 19:16

พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้เดือนหนึ่งอาตมามีรายจ่ายเกี่ยวกับพระนิสิตประมาณ ๘-๙ หมื่นบาท เดือนหน้านี่ค่าเทอมออกจะตกประมาณ ๘ แสนบาท ไปหนักตรงปริญญาเอกค่าเทอม ๙ หมื่นบาท แล้วของวัดท่าขนุนเรียนอยู่ตั้ง ๓-๔ คน มีปริญญาโทอีกตั้งเยอะ

ที่วัดอื่น ๆ เขาไม่ค่อยส่งพระเรียน มักจะไปยัดเยียดให้วัดที่มีกำลังเพราะอย่างนี้แหละ..รายจ่ายมาก มีบางท่านบอกว่ากฐินผมทั้งปียังได้ไม่ถึงแปดหมื่นบาทเลย อาจารย์เล็กจ่ายลูกน้องเดือนหนึ่ง ๘-๙ หมื่นบาท ไม่ได้คิดจะไปคุยอวดเขาหรอก เขาถามเองว่าส่งพระเรียนรายจ่ายเยอะไหม ? บอกว่าตั้งเงินเดือนให้ท่านไป อะไรเล็กน้อยท่านก็จ่ายเอง ถ้าค่าเทอมท่านก็มาเอาที่ผม ถามว่าประมาณเดือนละเท่าไร ? ก็เลยตอบท่านไป เล่นเอาทำท่าจะเป็นลมไปตาม ๆ กัน

แต่น่าเสียดายว่าพระภิกษุสามเณรของทองผาภูมิส่วนใหญ่แล้วขาดความพยายาม อาตมาตั้งทุนการศึกษาให้พระวัดอื่น ๑๐ ทุน ไม่มีใครมารับเลย คือจะจ่ายให้ทุกเดือน ขอให้ไปเรียนเท่านั้น แต่ไม่เอากันเลย จนกระทั่งท้ายสุด พระวัดท่าขนุนรำคาญ ก็เลยไปเรียนกันเอง อุตส่าห์ตั้งให้แล้วไม่เรียนกัน เรียนเองก็ได้วะ..!

ปีนี้มีท่านวิชาญ สิริสมฺปนฺโน มาจากวัดท่ามะเดื่อ ของพระครูสมจิตร พระอุปัชฌาย์ขาประจำของวัดท่าขนุน ไปเรียน ปปส. อยู่ที่วัดใต้ มักจะเข้าเรียนสาย เพื่อน ๆ ก็ถามว่าจะเช็คขาดไหม ? อาตมาบอกว่าเอ็งไม่ต้องเช็คหรอก เพราะข้ารู้ว่าท่านมาไกลแค่ไหน วัดท่านอยู่ไกลกว่าข้าอีก วัดท่านยังเลยวัดท่าขนุนไปอีก ๒๐ กว่ากิโลเมตร จากวัดท่าขนุนลงมาถึงวัดใต้ก็ ๑๔๐ กิโลเมตรแล้ว ท่านเอง ๑๖๐ กว่ากิโลเมตร เลยขึ้นไปทางด้านปิล็อก ขอให้มาเรียนเท่านั้นแหละ ไม่เช็คขาดหรอก มาสายหน่อยก็ได้ เพราะชั่วโมงแรกส่วนใหญ่ท่านมาไม่ทัน

ขอให้มีความเพียรในการเรียนเท่านั้นแหละ ครูบาอาจารย์ท่านสนับสนุนอยู่แล้ว จะไปบีบคั้นอะไรกันนักหนา ให้มาตรงเวลาตลอดได้ที่ไหน ไม่ใช่นักเรียนประจำนี่ครับ ขนาดนักเรียนประจำอยู่หอข้างห้องเรียน บางทียังป่วยมาไม่ไหวเลย"

เถรี 13-10-2015 13:58

พระอาจารย์สนทนากับพระลูกวัดที่ไปเรียนบาลี "เรื่องเก็งข้อสอบนั้นดูได้ แต่อย่าไปใส่ใจมาก คือเรียนแล้วควรจะรู้ให้ครบ ไม่ใช่ไปเลือกท่องเฉพาะที่เก็งไว้ เลือกท่องเฉพาะที่เก็ง ถ้าไม่ออกก็เจ๊งทุกราย

ปีแรกที่มหาเอท่านสอบ ตอนช่วงเช้าวันสอบผมก็โทรไปหาท่าน เพื่อจะบอกว่าออกตรงไหน แต่ว่าเป็นเรื่องของเวรของกรรม เพราะว่าท่านไม่รับโทรศัพท์ คือท่านปิดโทรศัพท์เพื่อที่จะตั้งหน้าตั้งตาท่องหนังสือ ผมก็เลยฝากข้อความไว้ แล้วท่านมาเปิดหลังจากสอบเสร็จแล้ว โมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยง ตั้งแต่นั้นมาผมเลิกบอกข้อสอบเลย"


ถาม : ตอนนี้บอกใหม่ได้นะครับ
ตอบ :...(หัวเราะ)... ไม่เอาแล้ว ได้ด้วยความสามารถตัวเองภูมิใจกว่า เป็นห่วงท่าน อุตส่าห์บอกไป ปรากฏว่าท่านก็ดีจริง ๆ ปิดโทรศัพท์ท่องหนังสือ

เถรี 13-10-2015 14:04

ความจริงพระวัดท่าขนุนของเรา ส่วนใหญ่แล้วจะมีการศึกษาทางโลกมาก่อน อย่างไม่มีเลยในปัจจุบันนี้ก็จบ ม.๖ ในเมื่อเป็นอย่างนั้นจึงพอไปแข่งกับบรรดาเด็กต่างด้าวได้ อาตมาใช้คำว่า "ไปตบเด็ก" บางคนจบปริญญาโทจากต่างประเทศ ส่วนเด็กพม่า เด็กกะเหรี่ยง บางทีกว่าจะปั้นหนังสือไทยได้สักบรรทัดหนึ่งปาไปครึ่งชั่วโมง กลายเป็นว่าคุณภาพต่างกัน วัดอื่นเขาจะมาว่าวัดท่าขนุนก็ไม่ถูก

ท่านปัญญาเป็นอย่างไรบ้าง ? อักขระเลขยันต์นี่เข้าใจขึ้นเยอะเลย
ว่ามาจากไหน..ใช่ไหม ? คุณไม่ได้เจตนาเรียนบาลี แค่จะหนีคนเท่านั้นเอง แต่ไหน ๆ เรียนแล้วก็เอาให้เต็มที่ เขามาก็ปฏิเสธเขาได้ แหม...ไม่ใช่ประเภทปฏิเสธคนไม่เป็น ท้ายสุดก็ต้องหนีเขา ถ้าอย่างนั้นคุณก็ต้องหนีไปทั้งชาติ ผมเองนั่งรับสังฆทาน ถ้าหมดเวลาผมก็ลุกเลย ประเภทเพิ่งมา "เดี๋ยวก่อน ๆ" นี่ผมไม่ได้ยินหรอก จะเจริญศรัทธาต้องมีปัญญาประกอบด้วย ดูว่าอะไรเหมาะอะไรควร ไม่ใช่เรียกใช้ตูก็ไปกับเขาเรื่อย ไม่มีเวลาจะภาวนา ไม่มีเวลาจะพักผ่อน ท้ายสุดต้องหนีมาเรียนหนังสือ

ผมนึกถึงตัวเองเหมือนกัน ช่วงเรียนหนังสือเป็นช่วงพักผ่อน อยู่กับวัดนี่งานสารพัด บางคนบอกว่าอาจารย์ขยันเรียนจริง ๆ ไม่เคยขาดเลย บอกไปว่านี่แหละเวลาพักผ่อนของผม

เถรี 13-10-2015 14:24

ถาม : กราบเรียนถามหลวงพ่อปรีชา วัดเขาอิติสุคโต ว่าหลวงพ่อไม่เรียนเอกต่อหรือครับ ท่านบอกว่า "โอ๊ย..ไม่เอาหรอก ไม่ใช่อาจารย์เล็ก..ท่านพระนักเรียน" ?
ตอบ : ชวนท่านตั้งแต่แรกแล้ว ท่านบอกว่า “อาจารย์เล็กไปเรียนคนเดียวเถอะ ผมไม่ไหวหรอก” อาตมาเองก็ไม่ใช่พระนักเรียนนะ มาสายปฏิบัติเหมือนกัน เพียงแต่ทำตามที่พระพุทธเจ้าท่านสอน อนากุลา จ กมฺมนฺตา เอตมฺมํคลมุตฺตมํ ทำอะไรไม่คั่งค้างจึงจะเป็นอุดมมงคล ไปเรียนให้ค้าง ๆ คา ๆ ทำไม ? ก็ลุยให้จบไปเลย

เรื่องการเรียนสำคัญที่สุดตรงสมาธิ ทิ้งสมาธิไม่ได้เด็ดขาดเลย ทิ้งเมื่อไรนี่จะท้อ ฉะนั้น..ต้องภาวนาสู้กันเลย

เถรี 13-10-2015 14:33

สมัยที่ผมเรียนบาลี ตอนแรกผมก็ไม่รู้เรื่องเหมือนกัน ตอนบิณฑบาตก็ท่องบาลีไปด้วยทุกเช้า ถึงเวลาก็เขียนใส่ซองปัจจัย โยมเขาถวายปัจจัยใส่ซองมา ซองเปล่าเหลือก็เสียดาย เก็บ ๆ ไว้ ถึงเวลาเขียนศัพท์ใส่แล้วก็เดินไปท่องไป เดี๋ยว ๆ ก็ล้วงขึ้นมาดู ญาติโยมคงคิดว่าพระรูปนี้มีสาวส่งจดหมายมาทุกวัน

ท่องไป ๆ แล้วรู้สึกเหมือนมีอะไรแตกโป๊ะข้างในหัว แล้วเข้าใจหมดเลย เข้าท่าดีเหมือนกัน ค่อย ๆ เรียนไป อย่างน้อย ๆ ก็เป็นมหาให้ได้ เอามากไม่ได้ สัก ๓-๔ ประโยคก็ยังดี แต่ที่ยากที่สุดก็ ๓-๔ ประโยคนั่นแหละ เพราะเป็นพื้นฐานที่ต้องหากินไปยันประโยค ๙ เลย แล้วประโยค ๗-๙ จะศึกษาเรื่องฉันท์ต่าง ๆ ซึ่งปัจจุบันนี้คนเก่งจริง ๆ มีน้อยลงไปเรื่อย ๆ แล้ว

หลวงพ่อบุญมา ท่านเจ้าคุณพระธรรมวโรดม วัดเบญจมบพิตร ก็มรณภาพไปแล้ว หลวงพ่อวัดราชโอรสตอนนี้เป็นพระมหาโพธิวงศาจารย์ ก็อายุกาลผ่านวัยไปเยอะแยะขนาดนั้นแล้ว คนเก่ง ๆ ล่วงลับไปเรื่อย คนใหม่ไม่หมั่นฝึกฝน ก็หาที่เก่งจริงได้ยาก

เถรี 13-10-2015 14:36

ถาม : การพกตะกรุดมหาสะท้อน ?
ตอบ : อย่าให้ต่ำกว่าเอวก็พอ ถ้าอยู่กับตัวอย่าให้ต่ำกว่าเอว

ถาม : ถ้าอยู่ในกระเป๋า ?
ตอบ : ถ้าอยู่ในกระเป๋าก็ไม่เป็นไร

เถรี 13-10-2015 14:38

พระอาจารย์เล่าว่า "เพื่อนพระเขาบอกว่าอาจารย์เล็กบ้า มีรถดี ๆ ไม่ขี่ เที่ยวไปไล่แจกวัดอื่นเขา มีใครขี่รถทีละ ๕ คันได้บ้างล่ะ ? ก็ได้ทีละคันเท่านั้น เหลือแล้วจะเอาไว้ทำอะไร ก็เอาไปแจกวัดอื่นเขา"

เถรี 13-10-2015 15:15

ถาม : แก้วจักรพรรดิของวัดท่าซุง องค์เล็กของท่านปู่ องค์ใหญ่ของท่านย่าหรือครับ ?
ตอบ : องค์ใหญ่ของท่านปู่ องค์เล็กของท่านย่า อย่าสลับกันสิวะ..!

เถรี 13-10-2015 15:57

พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อช่วงเข้าพรรษาใหม่ ๆ แม่ชีขนบรรดาผ้าไตรและเครื่องสังฆทานไปถวายวัดไกล ๆ หลายคันรถ หลายวัดก็น่าสงสารเพราะว่าไทยธรรมต่าง ๆ ไม่ค่อยจะมี บางทีผ้าจีวรก็เก่าจนเปื่อยเลย ถามว่าทำไมท่านไม่ไปอยู่วัดที่เจริญ ? บางท่านก็ติดที่ติดถิ่น ก็บ้านอยู่ตรงนั้น บวชก็ต้องอยู่ใกล้บ้านตัวเอง คราวนี้พอเป็นที่กันดาร ญาติโยมไปทำบุญกันลำบาก จึงไม่ค่อยมีอะไร

วัดท่าขนุนมีหน้าที่ไล่แจกปีละครั้ง ที่ขำ ๆ ก็คือตั้งความหวังไว้สูง ถวายอาสนะวัดละ ๕ ที่ แต่หาพระครบ ๕ รูปยากมากเลย บางวัดมี ๒-๓ รูปนี่เยอะมากแล้ว ส่วนใหญ่ก็เป็นหลวงปู่หลวงตาอายุมาก ๆ บวชเฝ้าวัด แบบเดียวกับวัดหนองบัวสมัยก่อน พอพระอาจารย์แสงหนีมาอยู่เมืองไทย ทางด้านโน้นไม่ใครดูแลวัดก็จับสลากกัน ปรากฏว่าหลวงตาอินทร์พานจับได้ก็ต้องบวชเฝ้าวัด

หลวงตาอินทร์พานมรณภาพไปแล้ว หลวงตาเย็นก็มรณภาพไปแล้ว ครูบาญาณก็มรณภาพไปแล้ว
บรรดาตัวละครในบันทึกเที่ยวพม่า ล่วงลับกันไปเป็นแถว ๆ "

เถรี 14-10-2015 11:32

ถาม : ตกลงว่าหลวงตาเย็นท่านได้สึกไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ได้สึก...มรณภาพในผ้าเหลือง อาตมาถวายปัจจัยสร้างเมรุลอยให้วัดของครูบาญาณ เขาทำโมทนาบัตรมาให้ใหญ่มาก

คนบ้านหนองบัว สองแคว บ้านใหม่สามพระยา บอกว่าครูบาอาจารย์ใหญ่ของเรา ถ้าทำให้น้อยหน้าก็อายบ้านอื่นเขา อาตมาถามว่าแล้วเมรุลอยราคาเท่าไร ? เขาบอกว่า “สี่แสนบาท” เออ...เอาไป สี่แสนบาทถ้าเป็นเงินพม่าก็เอา ๒๗ คูณเข้าไป อาตมาเป็นเจ้าภาพเขาก็เลยทำโมทนาบัตรมาให้ เป็นสี่สีใบใหญ่เกือบเท่าเตียงนอน ใส่กรอบมาเสร็จสรรพ แต่ความจริงมีรายจ่ายหลายอย่างที่ไม่มีความจำเป็นต้องจ่าย แต่เขาก็ไปจ่าย อย่างเช่นทำซองบอกบุญพิมพ์สี่สี แล้วฎีกาข้างในเป็นกระดาษแข็งเดินทอง
แพงเปล่า ๆ ต้องบอกว่าคุณทำได้อลังการสมเกียรติครูบาอาจารย์มาก แต่จ่ายมากไปโดยใช่เหตุ พอถึงเวลาคนก็เอาไปทิ้ง ซองใส่เงินกลับมาพอฉีกก็ต้องทิ้งอีก

จะไปว่าอะไรได้ ในเมื่อเขามีความคิดแต่ไม่มีสตางค์ ถึงเวลาได้สตางค์ไปก็ทำกันบรรลัยวายวอดหมด เมรุลอยทำสวย ๆ
เป็นวิมาน ๙ ยอดสี่แสนกว่าบาท วันสุดท้ายก็เผาไปพร้อมศพ

ครูบาญาณเป็นพระผู้ใหญ่ใจดีมาก ๆ ไม่ถือเนื้อถือตัวกับใครเลย ที่ขำที่สุดคือ
ตอนที่ถวายเครื่องตัดหญ้าให้ท่าน ท่านเก็บไว้ห้องนอนข้างเตียงเลย เพราะว่าของวัดหนองบัวพอถวายไปแล้ว พวกทหารขอยืมเอาไปตัดหญ้าที่ค่ายแล้วทำพัง ครูบาญาณท่านกลัวเขาจะมายืม ก็เลยเอาซ่อนไว้ข้างเตียงเลย

ด้วยความที่ค่านิยมเปลี่ยน จากที่แต่เดิมโยมเป็นคนสร้างโบสถ์วิหารการเปรียญถวายวัด ก็กลายเป็นพระต้องมาสร้างกันเอง ครูบาญาณท่านทำแทงค์น้ำ ฉาบปูนไปฉาบปูนมาก็ขว้างเกรียงทิ้ง บ่น “บักห่าเอ๊ย..กูหนีมาบวชเพราะขี้คร้านทำงาน ต้องมาทำหนักกว่าเก่าอีก” ...(หัวเราะ)...

เถรี 14-10-2015 11:39

ถาม : เวลาคนเหาะกับหายตัว ที่จริงก็เป็นการทำให้ธาตุสี่ที่ประกอบขึ้นแบบไม่ใช่แท่งทึบ แทรกไปไหน ๆ เหมือนกันใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่..ถ้าเราอธิษฐานให้ลอยไปช้า ๆ จะเป็นเหาะ แต่ถ้าเราตั้งใจไปถึงปลายทางเลยจะเหมือนกับหายตัว เพราะไปเร็วจนตามองไม่ทัน ยกเว้นว่าหายตัวด้วยอำนาจของนีลกสิณ อันนั้นต้องเรียกว่ากำบังตัว เพราะว่าอยู่ตรงนั้นแหละ แต่จะมองไม่เห็น ส่วนที่ทำให้ธาตุ ๔ เป็นช่องแล้วลอดไปได้ นั่นเป็นอากาสกสิณ

เถรี 14-10-2015 11:58

ถาม : หนูฝึกอาโลกกสิณแล้วรู้สึกว่าในอกมีสายใยอยู่กับดวงกสิณ แล้วพอเราทำไปเรื่อย ๆ นั่งสมาธินิ่ง ๆ แล้วก็ยิ่งมารวมกันเป็นดวง สว่างขึ้นเรื่อย ?
ตอบ : ทำไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งสว่างจ้าเหมือนกับเรามองดวงอาทิตย์ด้วยตาเปล่า ไปบรรเลงต่อ กำลังจะดีแล้ว

ถาม : เวลาไปในที่มืดแม้ว่าเราไม่ได้เปิดไฟก็สว่าง ไปในที่ไม่มีแสงสว่างก็สว่าง ?
ตอบ : เป็นเรื่องปกติจ้ะ

ถาม : แล้วแยกออกเป็นผู้ดูกับจิต มีผู้ดูแล้วก็มีจิต แม้ว่าจิตวุ่นวายสับสนแต่ก็ไม่ใช่เรา ?
ตอบ : อันนั้นเป็นอาการทำงานของจิต ตัวจิตจริง ๆ ก็คือที่ดูอยู่นั่นแหละ

ถาม : แล้วทำสมาธิแล้วมีไฟลุกขึ้นมา ?
ตอบ : เอาอย่างเดียวก่อน อย่าเพิ่งไปสนใจกับไฟ จับแสงสว่างในอกของเราให้สว่างเต็มที่ก่อน เอาให้ได้ขนาดเหมือนกับมองดวงอาทิตย์ด้วยตาเปล่า

ถาม : หนูไม่ต้องไปสนใจอย่างอื่น ?
ตอบ : ไม่ต้องไปสนใจอย่างอื่น อะไรมาพักเอาไว้ก่อน ไปนอนรอก่อน เดี๋ยวถึงคิวแล้วค่อยมา

ถาม : ถ้าทำสมาธิแล้วพอเห็นดวงนี้ แล้วก็มีสิ่งแปลกปลอมนั้นทำให้รู้สึกอึดอัด ?
ตอบ : ไม่ต้องไปสนใจ อยู่กับการภาวนาของเราไป ถ้าหากว่าต้องการให้สิ่งเหล่านั้นหมดไปเร็ว ก็ไปศึกษาเรื่องของสังโยชน์ ๑๐ แล้วพยายามตัดละกิเลสตามนั้น ถ้าหากว่าหมดกิเลส สิ่งแปลกปลอมก็จะหมดไปเอง

เถรี 14-10-2015 12:00

ถาม : แม้แต่ครอบครัวพี่น้องต้องวางให้หมดใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด รักแต่ไม่ต้องผูกพัน ถึงเวลาก็ต่างคนต่างไป ไม่ใช่ไปตัดเขาทิ้ง ยังต้องทำหน้าที่ของเราอยู่

ถาม : หนูขอลาไปภาวนาต่อนะคะ ?
ตอบ : เชิญจ้ะ ขอให้ประสบความสำเร็จมาก ๆ เวลาได้ยินโยมที่ปฏิบัติแล้วเริ่มได้ผลดีมาเล่าผลการปฏิบัติให้ฟังก็ชื่นใจหน่อย อย่างน้อยที่สอน ๆ ไปก็ไม่หายไปไหน ยังมีคนทำได้อยู่

เถรี 14-10-2015 12:14

มีโยมเอาภัตตาหารมาถวาย "ไอ้เจ้าไก่ตัวนี้มาจากไหนหว่า ? เล่นมาทวงส่วนกุศลเลย กลัวจะไม่ได้บุญ เอาลงไปให้แม่ครัวเขาจัดลงสำรับ เดี๋ยวจะลงไปงับหัวมัน ...(หัวเราะ)...

ต้องบอกว่าคนกับสัตว์เหมือนกัน คือบางคนก็มีความกล้าที่จะเรียกร้องสิทธิของตัวเอง บางคนก็ไม่กล้า ไอ้เจ้านี่ก็เหมือนกัน ถึงเวลาโผล่หน้ามา “กูจะเอา”
เลย โมทนาความดีไป ได้ไปเป็นเทวดาก็บุญโขแล้ว

สัตว์เลี้ยงถ้ากำลังเกาะคนจะไปเกิดเป็นคน ถ้าหากว่าเกาะพระจะไปเกิดเป็นเทวดา เจ้าของเลี้ยงอยู่ทุกวัน เขาก็ไม่รู้หรอกว่าเลี้ยงตัวเองเอาไว้ขาย"

เถรี 14-10-2015 12:21

ถาม : มโนมยิทธิตรงนี้แก้อย่างไรครับ ถ้าแวบขึ้นมา แต่ตอบไม่ถูก ?
ตอบ : ให้เชื่อความรู้สึกแรก ส่วนใหญ่จะไปเอ๊ะ พอเอ๊ะก็เจ๊งเลย ตูก็เอ๊ะมาเยอะแล้ว อีกทีก็ไปใช้ตรรกะแบบทั่ว ๆ ของเราไปคิดเอาเองว่าไม่น่าจะใช่ ต้องเชื่อความรู้สึกแรกอย่างเดียวเลย

ถาม : เอาอันแรกเลยหรือครับ ?
ตอบ : อันแรกไว้ก่อน ถ้าเถียงขึ้นมาเมื่อไรก็พังเมื่อนั้น

เถรี 14-10-2015 19:02

ถาม : เวลาผมบอกบุญ บอกว่าหมดเวลาปิดวันนี้ ถ้ามีคนโอนเงินมาไม่บอกที่มาที่ไปให้ผม...?
ตอบ : ก็เป็นความซวยของคุณเอง ต้องไปสืบหาให้ได้ว่าเป็นใคร แล้วตั้งใจทำบุญเรื่องอะไร แล้วไปจัดการให้เขาตามนั้น

ถาม : ผมบอกว่าให้โอนก่อน ๑๑ โมงครับ ?
ตอบ : ไปคุยกับท่านปู่นายบัญชีข้างล่างแล้วกัน ไปร้องทุกข์ตรงนั้น ไม่ต้องมาร้องทุกข์กับอาตมา..!

เถรี 14-10-2015 19:12

ถาม : ปกติจะดูแลคุณแม่อยู่ที่บ้าน ตอนนี้คุณแม่นอนอยู่ที่โรงพยาบาล แกขาดสติ มีอาการโวยวายลูกคนที่ดูแลแก ขี้ระแวงลูก ลูกคนอื่นแกรับไม่ได้ แกยอมรับลูกชายได้คนเดียว แต่ว่าต้องทำงาน ไม่มีเวลาค่ะ ไม่ทราบว่าคุณแม่เป็นอย่างไรบ้างคะ ?
ตอบ : ส่งถึงมือหมอแล้วไม่ต้องถาม เป็นเรื่องธรรมดาถ้าวาระกรรมมาถึง บางคนจำคนในบ้านไม่ได้สักคน นี่ยังอุตส่าห์จำได้คนหนึ่ง

ถาม : เข้าหน้าแกไม่ได้เลยค่ะ แกเห็นหน้าแล้วจะระแวงเลยค่ะ ?
ตอบ : เรื่องปกติ ให้หมอเขาจัดการไป

ถาม : แล้วเราจะทำอย่างไรคะให้ท่านมีสติกลับมาดีขึ้น ?
ตอบ : นั่นเป็นหน้าที่หมอรักษา ถามพระจะช่วยอะไรได้เล่า ? คนเราถ้าต้องการรักษาสติไว้ ต้องมีการภาวนาเป็นปกติ พอภาวนาสติมั่นคง ต่อไปก็หลงลืมได้ยาก แต่คราวนี้แม่ของคุณไม่มีพื้นฐานทางนี้มา สติขาดไปแล้วกลายเป็นจำใครไม่ได้ แล้วจะไปแก้อีท่าไหน ? จะไปสอนให้แกภาวนาตอนนี้ก็ไม่ทันรับประทาน ปล่อยหมอเขารักษาตามอาการไป ช่วยได้แค่ไหนก็แค่นั้น คนทุกคนมีกรรมเป็นของตัวเอง ถึงเวลาแล้วเราอาจจะแย่กว่าท่านก็ได้ ฉะนั้น..อะไรที่ทำเพื่อท่านได้ก็ทำให้เต็มที่ไป

เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัดอย่างไรก็ไม่รู้ เดี๋ยวเรื่องโน่นเดี๋ยวเรื่องนี้ประเดประดังเข้ามา ให้รู้ว่าชาติก่อนเราเล่นเขาไว้เยอะทีเดียว ถึงเวลาเขาเลยตามมาเอาคืน

เถรี 14-10-2015 19:19

ถาม : จะไปฝึกอภิญญาค่ะ จะทำได้ไหม ?
ตอบ : ถ้ารักจะฝึกอภิญญาแล้วมัวแต่สงสัยว่าจะทำได้ไหม อย่าไปฝึกให้เสียเวลาเลย กำลังใจยังไม่พอ

ถาม : ทำไปเลยหรือคะ ?
ตอบ : ทำไปเลยไม่ต้องถาม

ถาม : แล้วขั้นตอนในการทำ ?
ตอบ : ไปดูคู่มือกรรมฐาน ๔๐ ของวัดท่าซุง ชอบใจตรงไหนก็ทำไปเลย

ถาม : แล้วของเก่า ?
ตอบ : ค่อย ๆ ภาวนาไป ถ้ากำลังใจเพียงพอ ทุกอย่างที่เคยทำได้จะกลับมาเอง แต่ถ้าของเก่ากลับมาแล้ว กำลังใจของเรายังยอมรับกฎของกรรมไม่ได้ก็ยังใช้ไม่ได้อยู่ดี เพราะเดี๋ยวก็ไปฝืนกฎของกรรม ทำให้ยุ่งไปหมด

ถาม : ทำอย่างไรจึงจะยอมรับกฎของกรรม ?
ตอบ : พิจารณาเยอะ ๆ ยอมรับให้ได้ว่าเราเกิดมาต้องทุกข์อย่างนี้ ธรรมดาเป็นอย่างนี้ ถ้าเห็นธรรมดาไม่ได้ ก็ยอมรับกฎของกรรมไม่ได้

เถรี 14-10-2015 19:38

ถาม : หนูปรารถนาครูบาอาจารย์สอนกสิณค่ะ ?
ตอบ : ทำ...ติดขัดตรงไหนแล้วมาถาม

ถาม : ไม่ได้ติดขัดค่ะ แต่กำลังเยอะ จนเกิดความกลัวในกำลัง ?
ตอบ : จงกลัวต่อไป กลัวแล้วฝึกไปทำอะไรวะ ?

ถาม : ไม่ได้ฝึกค่ะ เป็นขึ้นมาเอง ลองเพ่งกระดาษทิชชู่เป็นความรู้สึกว่าไฟลุกที่กระดาษทิชชู่จริง ๆ ค่ะ แล้ววิญญาณก็ปรากฏตัวต่อหน้า รู้สึกว่ากำลังแรงมาก โยมต้องทำอย่างไรเจ้าคะ ?
ตอบ : ถ้าเราทำได้จริง ๆ สั่งแค่ไหนก็เป็นแค่นั้น สั่งให้เผาเสื้อผ้าคน แค่ขนสักเส้นหนึ่งก็ยังไม่ไหม้เลย แล้วกลัวไปทำซากอะไร ?

ถาม : อยากฝึกเจ้าค่ะ รับเป็นศิษย์ได้ไหมเจ้าคะ ?
ตอบ : ก็บอกแล้วว่าไปทำ ติดขัดตรงไหนแล้วค่อยมาถาม


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 01:04


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว