กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๗ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=4240)

เถรี 20-11-2014 18:51

ถาม : ตอนนั้นนั่ง ๆ อยู่ก็เห็นว่าร่างกายเราเหมือนถุงอุจจาระ เหมือนกับว่าเราเห็นเป็นปกติ ?
ตอบ : ตอนนั้นเป็นการเห็นด้วยปัญญา เขาเรียกว่า วิปัสสนาญาณ วิ แปลว่า วิเศษ แจ้ง ต่าง , ปัสสนา แปลว่าการเห็น รวมแล้วแปลว่า เห็นอย่างวิเศษ เห็นอย่างแจ่มแจ้ง เห็นต่างไปจากปกติ

ฉะนั้น..ต้องพยายามรักษาอารมณ์อย่างนั้นเอาไว้ จะได้ไม่โดนกิเลสหลอก ถ้ารักษาไว้ไม่ได้ก็โดนหลอกไปเรื่อย

เถรี 21-11-2014 16:34

พระอาจารย์เล่าว่า "หลวงป๋าวิวัฒน์นอนโรงพยาบาลยาวเลย มะเร็งกระดูกเวลาออกอาการ แปลว่ากระดูกโดนกินผุหมดแล้ว"

เถรี 21-11-2014 17:51

ถาม : การขายเครื่องปรับอากาศหรือบริษัทผลิตเครื่องปรับอากาศมาขายไปใช้ในวัด หรือว่าไปใช้ในผับในบาร์คนกินเหล้ากัน ?
ตอบ : ถ้าเขาทำแล้วมาให้วัดใช้ฟรี ๆ เป็นบุญ แต่ถ้าเขาทำแล้วเอามาขายนี่ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก เพราะว่าทางวัดได้ตอบแทนด้วยการจ่ายเงินไปแล้ว

ถาม : แล้วการขายให้พวกที่เอาไปทำไม่ดี จะเป็นบาปไหมครับ ?
ตอบ : อยู่ที่คนเอาไปใช้ อาวุธใช้เป็นเครื่องป้องกันตัวก็ได้ เอาไปฆ่าเขาก็ได้ ขึ้นอยู่กับคนที่เอาไปใช้ ฉะนั้น..คนขายไม่มีบุญไม่มีบาปอะไรกับเขาหรอก ยกเว้นว่ายุว่า เอาไปแล้วไปยิงกบาลเขา นั่นถึงจะมีโทษ เรามีหน้าที่ขายก็ขายไป ไม่ได้ข้องเกี่ยวกับบุญบาปของใคร

ถาม : แล้วที่พระพุทธเจ้าตรัสเกี่ยวกับมิจฉาวณิชชา ?
ตอบ : ในส่วนที่พระองค์ท่านตรัสท่านไม่ได้บอกว่าเป็นบาป แต่บอกว่าพุทธมามกะไม่ควรทำ เพราะว่าชวนให้คนอื่นเข้าใจผิดได้ง่าย อย่างเช่น ขายอาวุธ ขายยาพิษ เหมือนคุณสนับสนุนให้เขาไปฆ่าคนอื่นนี่ แต่ความจริงไม่ได้เกี่ยวกันเลย อยู่ที่คนเอาไปใช้ แต่คนที่เข้าใจผิดจะไปว่าเขาอย่างนั้น

เถรี 21-11-2014 17:55

ถาม : การเอาเหล้าไปให้เจ้านาย จะบาปไหมครับ ?
ตอบ : การให้เหล้าคนอื่นเป็นการให้ทานที่ไม่มีอานิสงส์ ยกเว้นว่าเราตั้งใจว่าเอาไปแล้วคุณต้องกินนะ มีการกำชับกำชาด้วย ถ้าอย่างนั้นเราก็จะมีส่วนผิดไปด้วย แต่ถ้าหากว่าให้ไปเฉย ๆ เป็นทานที่ไม่มีอานิสงส์ พระพุทธเจ้าตรัสกับพระภิกษุเกี่ยวกับประวัติของพระเวสสันดร เล่าว่าพระเวสสันดรให้ทานทุกอย่าง แม้กระทั่งให้สุราแก่นักเลงสุรา พระอานนท์กราบทูลถามว่า สุราเป็นสิ่งที่ผิดศีล แล้วให้ไปจะมีบุญมีบาปอย่างไร ? พระองค์ท่านตรัสว่าเป็นทานที่ไม่มีอานิสงส์ เพราะว่าให้ไปคนกินก็ไปทำผิดเสียเปล่า ๆ แต่ว่าที่พระองค์ท่านเจตนาให้ เพราะว่าต้องการให้ทุกอย่างที่คนเขาชอบใจ นักเลงเหล้าให้อย่างอื่นก็ไม่ชอบใจ นอกจากให้เหล้า พระองค์ท่านก็เลยให้ไปด้วย

ฉะนั้น..ถ้าหากว่าได้มาเราให้ต่อได้ แต่อย่าไปกำชับว่า "ให้แล้วต้องกินนะ ไม่อย่างนั้นฉันจะเสียใจมาก" ถ้าแบบนี้ก็ผิดเต็ม ๆ


ถาม : แล้วคนขายสุราบาปไหมครับ ?
ตอบ : คนขายไม่บาป อย่าไปตั้งใจว่าเราขายเพื่อให้เขากินให้เมา คิดเสียว่าเราทำงานของเรา แต่อย่างที่ว่านั่นแหละว่า ทำให้คนเข้าใจผิดได้ง่าย พระพุทธเจ้าไม่ทรงสรรเสริญ ถึงได้บอกว่าเป็นอาชีพที่พุทธมามกะไม่ควรทำ

ถาม : โดยเจตนา ถ้าเราให้ไวน์เพื่อรักษาสุขภาพ ?
ตอบ : ถ้าเพื่อสุขภาพจริง ๆ แล้วได้ แต่คนส่วนใหญ่มักจะกินเกินขนาด เขาให้กิน ๑ แก้ว เราก็ไปล่อเสีย ๓ ขวด ๕ ขวด..!

เถรี 21-11-2014 17:58

ถาม : คนเป็นครู สอนเด็ก ๆ มีจิตวิญญาณของความเป็นครู อย่างนี้เขาจะได้บุญไหมครับ ?
ตอบ : นั่นเป็นส่วนของธรรมทานเลย ได้บุญของธรรมทานไปด้วย แต่ว่าเป็นธรรมทานบริสุทธิ์แค่ไหนเท่านั้น ถ้าเป็นธรรมทานบริสุทธิ์คือหลักการปฏิบัติธรรมแท้ ๆ นี่อานิสงส์ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์เต็ม ส่วนที่เหลือก็ลดหลั่นลงไปแต่ว่าได้ธรรมทานแน่นอน

ถาม : แล้วการขายยารักษาโรคละครับ ?
ตอบ : ถ้าเราขายยายังไม่ได้อะไร เพราะว่าเขาต้องมาซื้อจากเรา แต่ถ้าเราเป็นหมอยาอย่างสมัยก่อน เขาจ่ายยาให้ รักษาด้วยเมตตา ได้อานิสงส์ไปเต็ม ๆ อย่างสมัยอาตมาเด็ก ๆ คนไข้บางคนอาการหนัก แล้วยาสมุนไพรไม่ใช่ปุบปับออกฤทธิ์เหมือนสมัยใหม่ บางทีต้องกินต่อเนื่องกันไป ๑๐ วันหรือครึ่งเดือนถึงจะออกฤทธิ์เต็มที่ คราวนี้คนมาเงินทองก็ไม่มี เจ็บได้ป่วยมา หมอเขาก็รับให้กินให้อยู่ รักษาพยาบาลจนหาย บางทีเงินไม่มีจริง ๆ ก็ให้ค่ารถกลับบ้านด้วย ถ้าลักษณะอย่างนั้นได้อานิสงส์ไปเต็ม ๆ เพราะคุณเป็นหมอตั้งใจรักษาโรค

แต่สมัยนี้ความตั้งใจตรงนั้นไม่มี เขาขายเพื่อที่จะเอากำไร ในเมื่อเป็นอย่างนั้น เรื่องผลบุญที่จะได้จากการรักษาคนอื่นด้วยยาก็เลยไม่มี

เถรี 21-11-2014 17:59

ถาม : พระนิพพานเที่ยงหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าเถียงกันเรื่องที่ต่างคนต่างไม่สามารถพิสูจน์ได้ ก็พูดกันไม่รู้จบ เอาเป็นว่าทำถึงเมื่อไรก็รู้เองดีกว่า

เถรี 21-11-2014 18:01

ถาม : ใจเที่ยงไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าสภาพจิตใช้คำว่าเที่ยง ไม่มีเที่ยงแน่นอน เพราะว่ามีการเปลี่ยนแปลงเสวยอารมณ์ไปเรื่อย ๆ

ถาม : ใจเราฆ่าแล้วไม่ตายใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ตายแต่ร่างกาย ใจอยู่ในลักษณะเปลี่ยนรูปเปลี่ยนขันธ์ไปตามบุญตามกรรม

เถรี 21-11-2014 18:02

ถาม : กำลังใจตกครับ ?
ตอบ : ไปตั้งใจทำใหม่เลย ของเคยทำแล้วก็ทำได้อีก เพียงแต่ว่าทำได้แล้วอย่าเปิดโอกาสให้กิเลสลุยเข้ามาอีก

เถรี 21-11-2014 18:02

ถาม : มีตะกรุดมหาสะท้อน (ไม่ชัด) ?
ตอบ : ไม่ต้องไปกังวลตรงนั้น คิดดี พูดดี ทำดีเข้าไว้ สิ่งที่ดีย่อมย้อนกลับมาหาเราเอง

เถรี 21-11-2014 18:07

พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของธรรมทานระยะหลังนี่ต้องระวัง เพราะว่าคำสอนผิด ๆ มีเยอะ วันก่อนในเว็บพลังจิตอาตมาเพิ่งจะปิดกระทู้ไปกระทู้หนึ่ง ประเภทพระโสดาบันยังเสื่อมได้ ในเมื่อพระโสดาบันของแกเสื่อมได้ ข้าก็เลยจัดการให้เสื่อมไปเลย..!

อริยะ แปลว่า ผู้เจริญโดยส่วนเดียว ในเมื่อเจริญขึ้นก็ย่อมไม่มีวันตกต่ำ เขาดันเก่งกว่าพระพุทธเจ้า ส่วนอีกรายหนึ่งกำลังคิดอยู่ว่าจะเฉ่งดีหรือไม่ดี เพราะเขาแกล้งบ้า คราวนี้เขาชักจะเล่นแรงขึ้น เขาบอกว่าไปคาราโอเกะ แล้วอยากจะชวนเจ้าชายสิทธัตถะมาเต้นด้วย กำลังพิจารณาความประพฤติอยู่ มีมาอีกสัก ๒-๓ กระทู้เดี๋ยวได้โดนแน่..!"

เถรี 21-11-2014 18:10

พระอาจารย์กล่าวว่า "ความจริงมีฎีกานิมนต์ถึงหลวงพ่อครูบาสนิท ถึงตุ๊พ่อสิงห์ แต่ว่ามีโยมคนหนึ่งบอกว่าเขาไปทั่วประเทศอยู่แล้ว เขาอาสาไปส่งให้ ไม่อย่างนั้นว่าจะฝากคุณติ๊กไป ปีหน้าวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ จะหล่อพระประธานในศาลา ตั้งใจว่าจะนิมนต์ท่านไป

มีส่วนหนึ่งที่นั่งปรกคุมธาตุทั้ง ๘ ทิศ อีกส่วนหนึ่งก็เจริญชัยมงคลคาถาตอนหล่อพระ ทีนี้ต้องส่งฎีกาแต่เนิ่น ๆ เพราะเดี๋ยวท่านรับงานคนอื่นแล้วจะไปไม่ได้

มีสายทางแม่กลองอยู่ท่านหนึ่งที่ยังไม่เคยนิมนต์ไปวัด แต่รู้จักกันมานานแล้ว ก็คือ หลวงพ่อพระมหาสุรศักดิ์ วัดประดู่ (พระครูพิศาลจริยาภิรม) น่ารักมาก นั่งเคี้ยวหมากทั้งวัน สมัยก่อนพระที่เคี้ยวหมาก ท่านเคี้ยวไปภาวนาไป ลักษณะว่าอิริยาบถและสัมปชัญญะ จับการเคลื่อนไหวของร่างกาย จิตจะได้ไม่เคลื่อนไปที่อื่น ก็ใช้วิธีเคี้ยวหมากไปภาวนาไป ถึงเวลาหมากจืดคายออกมานี่ เอาไปแขวนคอได้เลย ขลังแล้ว"

เถรี 21-11-2014 18:22

ถาม : (โยมแจ้งว่าหลวงพี่โอป่วย)
ตอบ : ตอนไปเยอรมันท่านก็ป่วยหนักเข้าโรงพยาบาลไปครั้งหนึ่ง จะว่าไปท่านก็อายุมากแล้ว เพราะท่านอายุมากกว่าท่านเจ้าคุณเจ้าอาวาสอีก อาตมากับเจ้าคุณเจ้าอาวาสนี่ต่างกันรอบหนึ่งพอดี เพราะฉะนั้น..อายุตัวเองบวกไป ๑๒ ก็จะได้อายุท่าน

อาตมา ๕๕ ปี ของท่านก็ต้อง ๖๗ ปีแล้ว หลวงพี่โอท่านแก่กว่าอีก หลวงพี่โอนี่รุ่นไล่เลี่ยกับหลวงตาวัชรชัย น่าจะประมาณ ๗๐ แล้ว ทางด้านพี่วิรัชก็ ๖๔-๖๕ ปี หลวงตาชลอก็ไล่ ๆ กัน


ถาม : เป็นกล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแรง ?
ตอบ : แสดงว่าน่าจะเป็นเส้นเลือดบางส่วนตีบ อาการเจ็บไข้ได้ป่วยของพระจริง ๆ แล้ว ทำให้เรารู้ว่าตัวเองมีต้นทุนเท่าไร เหตุการณ์ฉุกเฉินอย่างหนึ่ง การเจ็บไข้ได้ป่วยอย่างหนึ่ง กำลังใจที่ทำไว้จะมารวมตัวกัน ทำให้เรารู้ว่าเรามีต้นทุนเท่าไร ? เพียงพอหรือเปล่า ? ตายตอนนี้เราจะไปพระนิพพานได้จริงไหม ? จะบอกชัดเลย

ถาม : เคยไม่สบายแล้วรู้สึกว่าอยากตาย ?
ตอบ : ถ้าอยากตายยังไปพระนิพพานไม่ได้หรอก บางคนปฏิบัติธรรมมาถึงระดับที่รู้สึกว่าอยากตาย อาตมาขอยืนยันว่า ดีไม่ดีลงข้างล่างไปเลย เพราะตัวอยากตายนี่จิตหมอง ต้องทำไปปัญญาเห็นแจ้ง ไม่มีความปรารถนาในร่างกาย แต่ก็ไม่ได้คิดจะตาย จะอยู่ในลักษณะอยู่ก็ได้ตายก็ดี ถ้าอยู่เรายังได้สร้างบุญสร้างบารมี ถ้าตายเราก็ไปนิพพาน กำลังใจจะอยู่ในระหว่างอยู่ก็ได้ตายก็ดี ไม่จำเป็นต้องไปอยากตาย

พุทธภูมิก็เป็นนะ แล้วต้องเป็นมากกว่าด้วย ไม่ใช่ว่าพุทธภูมิไม่แตะอารมณ์พระอริยเจ้าเลย พุทธภูมินี่เน้นอารมณ์พระอริยเจ้ามากกว่าปกติสาวกหลายเท่า เพราะถ้ารู้ไม่ละเอียดก็สอนคนอื่นไม่ได้ พุทธภูมิเขามีกำลังใจเทียบเท่าพระโสดาบัน เทียบเท่าพระอนาคามี เทียบเท่าพระอรหันต์ได้

เถรี 21-11-2014 18:28

(โยมกำลังอ่านหนังสือกระโถนข้างธรรมาสน์) "อย่าอ่านมาก อ่านแล้วจะติด ท่านอาจารย์ดร.มนตราบอกว่า รับหนังสือจากอาตมาไป ก่อนนอนคิดว่าเปิด ๆ ดูสักหน้าสองหน้า ปรากฏว่าอ่านจนหมดเล่มเลย อย่างหนังสือที่ไปพม่า ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน ถ้าหากว่ามุมมองของเราเห็นเป็นเรื่องสนุก ก็ไม่รู้สึกว่าลำบาก แต่ถ้าคนอื่นไปอาจจะร้องจ๊าก ว่าลำบากขนาดนี้ยังหัวเราะได้อีก ขึ้นอยู่กับมุมมองของเรา ขึ้นอยู่กับกำลังใจของเรา คนที่ไปด้วยกันต้องกำลังใจใกล้เคียงกัน ไม่อย่างนั้นแล้วไปไม่รอดหรอก ลำบากหน่อยก็ขอกลับแล้ว มีบางช่วงที่ออกธุดงค์ก็บาดเจ็บสาหัสเลย

เมื่อล่าสุดก็ ๕-๖ วันที่ผ่านมา พอเริ่มเดินบิณฑบาต อาตมาก็โดนตะขาบกัดตั้งแต่ต้นทางเลย เพราะว่าเดินออกจากวัด จะต้องผ่านป่าอยู่ช่วงหนึ่งแล้วถึงขึ้นถนน ตะขาบกำลังออกหากินหรือจะกลับบ้านก็ไม่รู้ ? ไปเหยียบเข้าเลยโดนตั้งแต่ต้นทาง กว่าจะเดินกลับถึงวัดก็ ๕ กิโลเมตรเห็นจะได้ ก็เดินไปเรื่อยหน้าตาเฉย

มาถึงวัดแล้วพระลูกศิษย์เขาเห็นขาบวมขนาดนั้นอาจารย์ยังไปได้อีก จึงบอกไปว่า “ก็อย่าไปคิดซีวะว่าเจ็บ” สภาพร่างกายของเรา กับใจ กับความรู้สึกสุขทุกข์ เป็นคนละส่วนกัน ถ้าหากว่าภาวนาไปจนใจสงบมาก ๆ จะแยกออกเอง จะเห็นชัดเลยว่านี่ร่างกายส่วนร่างกาย ตัวผู้รู้ก็รู้ นิ่ง ชัดเจนอยู่ เวทนาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เจ็บปวด เมื่อยขนาดไหนก็ตาม ก็เป็นส่วนของเวทนาทางร่างกาย ถ้าแยกออกได้ชัด ๆ ต่อไปเกิดอะไรขึ้นกับร่างกาย ก็จะไม่รู้สึกห่วงใย เพราะรู้ว่าเป็นคนละส่วนกัน"

เถรี 21-11-2014 18:37

ถาม : ศาลพระภูมิตั้งอยู่ทิศตะวันตกเฉียงใต้ ?
ตอบ : เอาให้แน่ ๆ นะ ต้องอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของตัวบ้าน

ถาม : ใช่ครับ จะถอนครับ ต้องทำอย่างไร ?
ตอบ : ถ้าจะถอนต้องตั้งศาลใหม่ก่อนให้ถูกทิศ แล้วก็อัญเชิญท่านไปที่ศาลใหม่ก่อน แล้วค่อยถอนของเก่า ไม่ใช่ไปรื้อบ้านท่านก่อนแล้วสร้างทีหลัง ช่วงนั้นท่านจะไปอยู่ที่ไหน ? จริง ๆ แล้วท่านไม่ได้อยู่ที่ศาลหรอก แต่ว่าควรทำให้ถูกต้อง ตั้งใหม่ก่อนแล้วค่อยรื้อของเก่า

ถาม : ถอนศาลนี่ใช้มีดหมอแล้วก็คาถาถอนโบสถ์ได้ไหมครับ ?
ตอบ : อันนั้นเขาไม่เรียกว่าถอนศาล เขาเรียกว่าไล่เจ้าที่เลย โอ้พระเจ้า..! ปกติเขาทำน้ำมนต์ธรณีสาร หรือไม่ก็ทำน้ำมนต์ถอนโบสถ์ แต่เราถ้าคิดว่าเชิญท่านขึ้นศาลใหม่ด้วยความเคารพ แล้วขออนุญาตรื้อก็รื้อไปเลย เพราะจะให้ไปทำครบพิธีบางทีก็สวดไม่เป็น แหม..เล่นใช้มีดหมอแล้วล่อคาถาถอนโบสถ์ อันนั้นไล่กันชัด ๆ ระวังท่านจะไล่เราบ้างนะ..!

เถรี 21-11-2014 18:40

ถาม : ศาลพระภูมิมีท่านท้าวมหาราชได้ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้ามีท้าวมหาราชนี่ยิ่งกว่าศาลพระภูมิอีกนะ แต่เพียงแต่ว่าเป็นหมู่บ้านที่มีศาลรวมหรือเปล่า ?

ถาม : ที่บ้านเองค่ะ ?
ตอบ : ถึงเวลาจุดธูปไหว้พระก็นึกถึงท่านด้วย บอกกับท่านว่าถึงเวลาเราไหว้พระก็เท่ากับเราแสดงความเคารพท่านด้วย ขอให้ท่านมาโมทนาบุญ ก็เท่ากับเราระลึกถึงท่านอยู่ตลอดเวลาเหมือนกับมีศาลของตัวเอง

เถรี 21-11-2014 19:40

พระอาจารย์กล่าวว่า "งานอุปสมบทหมู่ถวายหลวงปู่สายที่ผ่านมา ได้พระทั้งหมด ๑๑๒ รูป ปรากฏว่านาคทุกคนได้รับคำชมจากพระอุปัชฌาย์อาจารย์ว่ามีความคล่องตัว เข้าใจขั้นตอนการบวชและท่องขานนาคได้พร้อมเพรียงกันดีมาก เรื่องนี้ถือว่าเป็นความดีของทิดกวาง

เมื่อตอนทิดกวางยังบวชอยู่ อาตมาเองก็สอนในสิ่งที่พระควรจะทำ ควรจะเป็น เมื่อท่านสึกไป ท่านก็ว่า ปกติแล้วเรื่องอย่างนี้ที่อื่นไม่เคยได้ยินเขาสอนกัน ผู้ที่บวชเข้ามาอาจจะทำผิดทำพลาดได้ ก็เลยขออนุญาตทำหน้าที่แทนอาตมา ถึงเวลามีการบวชหมู่ของทางวัด ไม่ว่าจะช่วงมาฆบูชา วิสาขบูชา เข้าพรรษาหรือว่าลอยกระทง ก็จะอาสาไปเป็นพี่เลี้ยงฝึกซ้อมให้ โดยเฉพาะการบวชหมู่ครั้งนี้ เขานัดฝึกซ้อมกันเป็นเดือน ให้ไปท่องกันเองให้คล่อง แล้วมาจับคู่ฝึกให้พร้อมเพรียงกัน

ฉะนั้น..พระอุปัชฌาย์อาจารย์จึงชมว่า ทุกคนมีความคล่องตัวและมีความเข้าใจพิธีกรรมมาก ทำให้ไม่ช้า สามารถบวชเสร็จแล้วก็สวดมนต์ฉลองพระใหม่ พร้อมกับฉันเพลได้ทัน

อาตมานึกว่าบวชชุดหนึ่ง ถ้าคู่สวดคล่อง ๆ ก็ใช้เวลาประมาณ ๒๐ นาที ๑ ชั่วโมงได้ ๓ ชุด บวชอย่างน้อย ๑๒ ชุด ก็ใช้เวลาประมาณ ๔ ชั่วโมง ถ้าบวช ๖ โมงเช้าก็ไปเสร็จเอา ๑๐ โมงเป็นอย่างต่ำ ดังนั้น..จึงเป็นเรื่องที่ว่า ถ้านาคไม่คล่องตัวก็จะลากระยะเวลายาวขึ้นไปอีก เท่าที่ผ่านมาวัดท่าขนุนยังไม่มีเรื่องให้ขายหน้าพระอุปัชฌาย์อาจารย์ เพราะอาตมาบังคับว่า ถ้าท่องขานนาคไม่ได้ก็ไม่ให้บวช"

เถรี 21-11-2014 19:44

"ช่วงก่อนบวชหมู่ มีโยมคนหนึ่งพาลูกชายมาขอบวช กำหนดว่าจะบวชวันนั้นวันนี้ อาตมาบอกว่าโยมกำหนดได้ แต่ถ้าลูกชายขานนาคไม่ได้อาตมาก็ไม่ให้บวช ตกลงว่าเขาเลยย้ายไปบวชวัดอื่น เพราะว่าต้องการความแน่นอน

ความจริงแล้วการขานนาค คือการที่ผู้บวชเข้าไปร้องขอต่อพระอุปัชฌาย์อาจารย์และคณะสงฆ์ ให้ยกตนเองขึ้นเป็นอุปสัมบันในพระพุทธศาสนา ต้องกล่าววาจาด้วยตนเอง ร้องขอด้วยตนเอง ไม่ใช่ให้คนอื่นสอนให้ทีละประโยค ทีละคำ ไปนึกถึงหลวงปู่จันทา ถาวโร วัดป่าเขาน้อย อ.วังทรายพูน จ.พิจิตร ท่านไม่รู้หนังสือ อยากจะบวชก็ต้องไปอยู่วัดซ้อมขานนาค ให้พระพี่เลี้ยงบอกทีละประโยคแล้วก็ท่องตาม ใช้เวลาอยู่ ๗ เดือนเศษ กว่าจะจำได้หมด

เมื่อพระบวชไปแล้ว อาตมาก็แนะนำแล้วว่า อานิสงส์ในการบวชนั้นมหาศาลมาก ให้อธิษฐานขอสิ่งดี ๆ ในชีวิตของตนเอง ปรากฏว่าพ่อเจ้าประคุณสึกแล้ว จำนวนหนึ่งตามอาตมาลงไปทอดกฐินปลดหนี้ที่ปักษ์ใต้ ไปเห็นเขาตักมัจฉาพาโชคกัน เลยไปอธิษฐานขอรางวัลใหญ่ที่นั้น ได้จักรยาน ได้เตียงนอน ได้พัดลมกันมาหมด จนเขาต้องปิดร้านไปเลย เพราะรางวัลใหญ่ไม่มีแล้ว สรุปว่าบวชมาแทบตายต้องการแค่นั้นแหละ..!"

เถรี 21-11-2014 19:46

"ตอนแรกอาตมาอยู่ในที่พักก็สงสัยว่าเสียงอะไรเฮ ๆ บอกพระที่ติดตามว่า ไปดูทีว่ามีอะไรกัน สักพักหนึ่งก็กลับมาแจ้งให้ทราบว่า บรรดาทิดไปตักมัจฉาพาโชค อธิษฐานขออะไรก็ได้อย่างนั้น พอตักได้อย่างที่ขอก็เฮกันใหญ่ คนมีเงินเป็นล้านไปซื้อจักรยานคันเดียว ไม่ได้ก็ให้รู้ไป แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า พอไปซื้อจักรยานแล้ว เงินที่เหลือก็ไม่พอซื้ออย่างอื่น

ที่บวชไป พอถึงเวลาอาตมาอบรมต่อเนื่องอยู่ ๗ วัน มีหลายท่านบอกว่า ไปบวชที่อื่นไม่มีใครเขาบอกอย่างนี้เลย ทำผิดก็ผิดเป็นโทษเฉพาะตัวไป บวช ๓ วันแรกก็ให้ฉันที่หอฉัน เพราะว่าพระเป็นร้อย ๆ ไปบิณฑบาตญาติโยมจะลำบาก ก็ปรากฏว่าโยมเขาขอร้องมาว่าอยากใส่บาตรพระเยอะ ๆ อาจารย์นำพระออกบิณฑบาตสักหน่อย ก็เลยว่าถ้าอย่างนั้นขอรบกวนวันเดียว ขอไปบิณฑบาตข้าวสารอาหารแห้งวันที่ ๔ คือบวชวันที่ ๑๖-๑๗-๑๘ วันที่ ๑๙ ก็ไปบิณฑบาต พอโยมเห็นพระเดินเป็นแถวเป็นร้อย ๆ ก็เกิดศรัทธา

บางคนเห็นตรงนั้นก็วิ่งไปหาซื้อของมาใส่ตอนนั้นเลย บางคนก็เข็นของมาทั้งรถเข็น บอกว่าใส่ไม่ไหว ขอถวายอาจารย์คนเดียวแล้วกัน ช่วยเอามือแตะรับหน่อย เดี๋ยวที่เหลือจะช่วยยกขึ้นรถของทางวัดให้ มีไม่กี่รายที่สามารถใส่ได้ตั้งแต่รูปที่ ๑ ถึงรูปที่ ๑๕๐ กว่าได้ เพราะว่าพระที่วัดแต่เดิมก็เกือบ ๔๐ รูป บวชเข้าไปอีก ๑๑๒ ดังนั้น..ใส่ไม่ถึงท้ายสักราย เพราะว่าถ้าใส่คนละชิ้นก็ ๑๕๐ ชิ้นเห็นจะได้ บะหมี่สำเร็จรูปลังหนึ่งเพิ่งจะมีแค่ ๓๐ ซองเอง บวชพระเยอะ ๆ พอถึงเวลาสึกไม่ค่อยจะดี เพราะสึกทีเยอะ ๆ พระเก่าเห็นก็เลยสึกตามไปด้วย..!"

เถรี 21-11-2014 19:50

"ช่วงออกพรรษาญาติโยมก็ไปปฏิบัติธรรมกัน วันรุ่งขึ้นตักบาตรเทโวฯ กับทอดกฐินสามัคคี ช่วงเช้าก็เป็นการตักบาตรเทโวฯ ตอนบ่ายก็ทอดกฐินสามัคคี อาตมาสั่งให้แม่ชีแจกของแห้งให้หมดคลัง เพราะว่าวันตักบาตรเทโวฯ จะมาอีกมหาศาลเลย ปรากฏว่าส่วนใหญ่ที่ให้ของไปก็เป็นหน่วยป่าไม้และ ตชด.

โดยเฉพาะบรรดาหน่วยป่าไม้ต่าง ๆ ในทุ่งใหญ่นเรศวร และศูนย์สงเคราะห์เด็กชาวเขาของแม่ชีแจ๊ก ก่อนหน้านี้เลี้ยงเด็กไว้ ๘๐ กว่าคน ตอนนี้เด็กที่อยู่ประจำมีประมาณ ๓๐ คน เพราะว่าที่เหลือเข้ามาเรียนต่อในกรุงเทพฯ แม่ชีคนเดียวสู้ได้ กำลังใจถึงมาก เพียงแต่ว่าเด็กช่วงวัยรุ่นกินมาก รายจ่ายเรื่องอาหารจะสูงเป็นพิเศษ อาตมาบอกว่าให้ไปขนที่วัดท่าขนุนได้เลย ของหมดเมื่อไรให้ไปเอาได้ทันที แล้วก็มอบให้ท่านอาจารย์อังกุระเอาข้ามไปทางวัดตองไว ไปมอบให้บรรดาวัดวาอารามทางฝั่งพม่าที่เขาลำบากยากจน โดยเฉพาะบรรดาผ้าไตรต่าง ๆ ที่มีมากเป็นพิเศษ ก็ส่งไปให้ ปรากฏว่าเพิ่งจะโละผ้าไตรได้หมดคลัง ช่วงกฐินน่าจะเข้ามาเกิน ๓๐๐ ไตรอีกแล้ว กลายเป็นว่ายิ่งให้ก็ยิ่งเพิ่ม

พอตักบาตรเทโวฯ เสร็จ พวกแม่ชีแจ๊กและพวกป่าไม้ก็มาขนไปอีกรอบหนึ่ง รู้สึกว่ายุบไปหน่อยเดียว พอมาอีกไม่กี่วันก็บวชพระร้อยกว่ารูป แล้วไปบิณฑบาตข้าวสารอาหารแห้งอีก ตอนนี้ก็ล้นคลังเหมือนเดิม ต้องไล่แจกไปเรื่อย ๆ มีญาติโยมหลายคนพอเห็นแล้วก็มาขอ บอกว่าจะเอาไปแจกที่โน่น มอบให้ที่นี่ อาตมาบอกว่าไม่ให้ เขาก็ถามว่าแล้วทำไมคนโน้นคนนี้ให้ได้ บอกไปว่า “ที่ให้ไปเพราะอาตมามั่นใจว่า เขาเอาไปช่วยเหลือคนอื่นจริง ๆ แต่ของคุณเป็นใครอาตมาก็ไม่รู้จัก อยู่ ๆ มาขอ ถ้าเอาไปขายอยู่ในตลาดนัดอาตมาก็ไม่อาจจะทราบได้ เพราะฉะนั้น..ถ้าไม่ใช่รู้จักมักคุ้นกันจริง ๆ แล้วจะไม่ให้” บอกไปอย่างนั้น เหมือนกับเลือกที่รักมักที่ชังแต่ไม่ใช่ เป็นการป้องกันการทุจริต

คนที่เขามีเจตนาดีจริง ๆ อาจจะมีแต่น้อย ไม่อยากจะพลาดแบบวัดอื่น ๆ ที่พอไปขอเสร็จแล้วไปขายถูก ๆ ในตลาดนัด เปิดร้านขายในตลาดนัดเลย เสียค่าร้าน ๒๐ บาท ขายได้ตั้งหลายพัน เพราะของขอมาเฉย ๆ"

เถรี 21-11-2014 19:51

พระอาจารย์กล่าวว่า "กฐิน ๓ วัด วัดท่าขนุน ๑,๓๕๐,๐๐๐ บาท วัดพุทธบริษัทกับเกาะพระฤๅษีได้ที่ละ ๑๗๐,๐๐๐ บาท ความจริงของเขาได้ไม่ถึง แต่อาตมาตัดจากของท่าขนุนให้ไปเพื่อให้ลงท้ายเป็นเลขกลม ๆ ที่ท่าขนุนได้มาก เพราะว่าเจ้าภาพ ๓ - ๔ รายระบุว่าถวายเฉพาะวัดท่าขนุนแห่งเดียว"


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 00:32


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว