![]() |
ถาม : เนกขัมมบารมี ต้องบวชเป็นพระเท่านั้นจึงจะสามารถเกิดได้หรือคะ ?
ตอบ : ไม่ได้เกี่ยวกัน...เนกขัมบารมีคือเว้นจากการมีคู่ ตั้งใจประพฤติในพรหมจรรย์ เราจะเป็นผู้หญิงหรือเป็นผู้ชายทำได้ทั้งนั้น ผู้หญิงรักษาศีล ๘ ก็เป็นเนกขัมบารมีแล้ว ถ้ารักษาศีล ๘ อย่างเดียวเห็นไม่ชัดก็โกนหัวบวชชีไปเลย..! |
ถาม : ภาวนาคาถาเงินล้านไปเรื่อย ๆ พอใจสบายเราควรทำอย่างไรต่อ ?
ตอบ : ยกใจไปกราบพระบนนิพพานสิจ๊ะ ถาม : ถ้าออกกำลังกายไปด้วย ภาวนาไปด้วย ? ตอบ : ได้...ควรทำให้ได้อย่างนั้น ทำงานทำการทุกอย่างให้อยู่กับการภาวนาให้ได้ เป็นสิ่งที่ต้องทำเลย ไม่ใช่ว่าถ้าทำแล้วกลัวว่าจะปรามาสพระ |
ถาม : เครียดเรื่องที่วัด ?
ตอบ : ตราบใดยังวิ่งหาอยู่ข้างนอกก็จะเครียดไปเรื่อย เรื่องจะจบต้องดูข้างใน ไม่ใช่ดูข้างนอก ถาม : เครียดเรื่องชีวิตประจำวัน ตอบ : ก็บอกแล้วว่ายังวิ่งข้างนอกอยู่ก็เครียดไปเรื่อย ต้องแก้ที่ข้างใน ถ้ารู้จักพออยู่ที่ไหนก็ได้ ถาม : (ไม่ได้ยิน) ตอบ : โดยหลักแล้วก็คือ เรื่องดีให้เปิดเผย เรื่องไม่ดีก็ปิดไว้ หลักการปกครองเขาเป็นอย่างนั้น เรื่องไม่ดีเรามาตีกันเอง เรื่องดี ๆ ยกประโยชน์ให้กับชาวบ้านเขาไป |
พระอาจารย์กล่าวว่า "อย่าไปคิดมีตัวเล็ก ๆ นะ ลูกคนอื่นน่ารักทุกคน พอเราเลี้ยงเองอยากจะบีบคอให้ตายวันละ ๓ รอบ ...(หัวเราะ)...
เด็ก ๆ เขามาตามบุญตามกรรมที่เนื่องกันมา คนไหนที่อาละวาดกับพ่อแม่ไว้มากก็จะได้รับคืนไปหลายเท่า เรื่องกรรมที่ทำกับพ่อแม่นี่เห็นทันตาจริง ๆ เห็นมาแทบทุกคน ตอนเด็ก ๆ ตัวเองแสบแค่ไหน ถึงเวลาตัวเองเป็นพ่อเป็นแม่แล้วโดนแสบกว่านั้นอีก ถ้าใครรู้ตัวว่าสร้างวีรกรรมไว้มาก พยายามเลี่ยงห่าง ๆ อย่าไปมีลูกเชียว ได้คืนแน่นอน..!" |
ถาม : การทำคาถาให้ขึ้น ขึ้นอยู่กับอะไร ?
ตอบ : สมาธิและการทำอย่างจริงจังสม่ำเสมอ ไม่ใช่ว่าภาวนาครั้งหนึ่งแล้วอีกเดือนค่อยมาเริ่มต้นใหม่ อย่างนั้นคงจะทำขึ้นอยู่หรอก ถาม : ต้องทำจิตให้เข้มแข็งหรือครับ ? ตอบ : ถ้าสมาธิทรงตัวก็เข้มแข็งเองแหละ ถ้าทำจิตแข็งได้โดยไม่ต้องใช้สมาธิได้ก็ดีสิ |
ถาม : พระเครื่องนี้ พี่ที่ทำงานบอกว่าแท้บ้างเก๊บ้าง แต่ในเว็บเขาบอกว่าเก๊หมดเลยครับ ?
ตอบ : พระหลวงปู่ปานอย่างหนึ่ง หลวงพ่อโตวัดระฆังอย่างหนึ่ง สองท่านนี้ให้พรไว้ว่า พระของท่านจะใหม่จะเก่า ทันท่านหรือไม่ทันท่านก็ตาม ถ้านึกถึงท่าน ก็มีอานุภาพเหมือนกัน เรื่องของวัตถุมงคลอย่าไปสงสัย สรุปง่าย ๆ ว่าถ้าสะสมวัตถุมงคลก็อย่าไปเข้าตลาดพระ อาตมาเองเห็นเขาให้บูชาพระหลวงปู่ทวดเนื้อว่านพิมพ์ใหญ่ ปี ๒๔๙๗ ราคาสองล้านห้าแสนบาท เห็นว่าของอาตมาสวยกว่าตั้งเยอะ ให้ลูกศิษย์เอาไปลองแหย่ดู เขาให้แค่แสนเดียว..! เล่นพระอย่าเล่นด้วยหู เขาให้เล่นด้วยตา พยายามศึกษาให้รู้จริงเข้าไว้ พอถึงเวลารู้จริงก็เหมือนเรารู้จักต้นไม้ เรารู้จักว่านี่ต้นมะขาม ต่อให้ต้นใหญ่ต้นเล็กต้นแก่ต้นอ่อน เราดูก็รู้ว่านี่คือต้นมะขาม ไม่ต้องไปฟังใคร ถึงเขาจะบอกว่ามะม่วง เราก็มั่นใจว่านี่เป็นมะขามอย่างแน่นอน ท่านเจ้าคุณอาจารย์พระราชปริยัติโมลี (โสภา เขมสรโณ ป.ธ.๙) วัดพระงาม จังหวัดนครปฐม ท่านบอก "ตอนแรกกูก็ไม่ได้คิดจะดูพระกับใครหรอก เห็นเขาส่องพระ กูยังตำหนิเขาเลย ไป ๆ มา ๆ พอเขาเอาพระมาให้ โดนปลอมไปหลาย ๆ องค์ ชักรำคาญ มัวแต่อาศัยตาคนอื่นก็เกรงใจ ดูเองก็ได้วะ" พอตำแหน่งท่านใหญ่ขึ้นก็มีคนเอาพระเครื่องมาถวายอยู่เรื่อย พูดง่าย ๆ ว่าผู้ใต้บังคับบัญชาหวังประโยชน์ก็เอาพระมาถวาย ปรากฏว่าพอเอาไปให้เซียนดู เป็นของเก๊อยู่เรื่อย ท้ายสุดท่านก็เลยดูเองดีกว่า |
ถาม : หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดชนะสงครามก็เหมือนกันครับ
ตอบ : ตอนสมัยที่ท่านยังอยู่ เวลาไปหาหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดชนะสงคราม อาตมามักจะเอาพระไปถวายท่านด้วย พอกราบเรียนท่านว่าผมไม่มั่นใจว่าแท้หรือเปล่า เพราะดูไม่เป็น ท่านนั่งสอนให้เป็นชั่วโมง โยมเห็นว่าอาตมาไม่กลับออกมาเสียที คิดว่ากลับออกไปทางอื่นแล้ว ตอนไปเปิดงานที่วัดไร่ขิง มีคนถวายพระเครื่อง หลวงพ่อสมเด็จฯ ท่านรอจนงานเขาเสร็จ มีเวลาว่างแล้วท่านก็นั่งส่อง พระที่จะทำความสะอาดเก็บกวาดสถานที่ เห็นหลวงพ่อสมเด็จฯ ท่านนั่งส่องพระอยู่ก็ "หลวงตา..! เขากลับกันหมดแล้ว ยังจะมานั่งส่องพระอยู่อีก" พอท่านเงยหน้าขึ้นมา พระก็เข่าอ่อนร่วงอยู่ตรงนั้นแหละ หลวงตาที่ว่ากลายเป็นหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดชนะสงคราม..! |
ถาม : เวลาปฏิฆะเกิด เราเอาวิปัสสนาญาณเข้าไป ตอนแรกมันก็ขาด สักพักก็คิดขึ้นมาอีกแล้วครับ เป็นอย่างนี้อยู่บ่อย ๆ ?
ตอบ : ทำไปเรื่อย ๆ จนกำลังเราเหนือกว่า กดทับเอาไว้ได้ แต่ก็ยังอยู่ เผลอเมื่อไรก็มาอีก แต่ระยะเวลาที่ชนะจะได้นานขึ้นไปเรื่อย ๆ |
ถาม : พระพุทธชินราชกับสมเด็จองค์ปฐมต่างกันอย่างไรครับ ?
ตอบ : แสดงว่าคุณเล่นพระเครื่องไม่ได้แน่ องค์ใหญ่ขนาดนั้นยังไม่เห็นความต่างอีก สมเด็จองค์ปฐมมุมพระโอษฐ์แทบจะไม่มี ลักษณะเต็มอิ่มเลย แต่พระพุทธชินราชมุมพระโอษฐ์จะเห็นชัดมาก คุณลองไปสังเกตดู พิมพ์พระเครื่องมีมากกว่านั้นอีก นี่องค์ขนาด ๔ ศอกยังไม่เห็นความต่างก็เลิกคุยได้เลย ..(หัวเราะ).. |
พระอาจารย์กล่าวว่า "การออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ถือว่าเราทำหน้าที่ การที่ทำหน้าที่ของตนให้ดีนั้น ถือว่าปฏิบัติตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้า ถ้าอยากรู้ว่าหน้าที่ของตนมีอย่างไร ให้ไปดูในสิงคาลกสูตร พระสุตตันตปิฎก พระพุทธเจ้าตรัสกับสิงคาลมาณพที่ไปไหว้หน้าไหว้หลัง ไหว้บนไหว้ล่างอยู่ตลอดทุกวันว่า
"มาณเว..ดูกร..มาณพ เธอกำลังทำอะไรอยู่ ?" มาณพทูลว่า "ก่อนพ่อจะตายท่านสั่งให้ไหว้ทิศทั้ง ๖ ทุกวัน" พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า "สิ่งที่เธอทำเป็นความดี ที่ทำตามที่พ่อสั่ง แต่ถ้าเป็นทิศทั้ง ๖ ในความหมายของตถาคตจะเป็นอย่างนี้..." แล้วพระองค์ก็บอกว่า ทิศเบื้องบนคือสมณชีพราหมณ์ ทิศเบื้องล่างคือข้าทาสบริวาร ทิศเบื้องหน้าคือบิดามารดา ทิศเบื้องหลังคือบุตรภรรยา ทิศเบื้องขวาคือครูบาอาจารย์ ทิศเบื้องซ้ายคือมิตรสหาย ทรงบอกว่าแต่ละทิศเราต้องทำหน้าที่อย่างไรบ้าง ฉะนั้น..การทำหน้าที่ของเราให้ดีก็คือการปฏิบัติธรรม โดยเฉพาะถ้าเป็นคนตรงไปตรงมา ถึงเวลาไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ทำตามหน้าที่ของเราเท่ากับเป็นการฝึกในสัจจบารมี คนที่มีสัจจบารมีเป็นคนตรงไปตรงมา ทำหน้าที่ทุกประการอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะจะเป็นคนตรงเวลามาก ถ้าใครไม่ตรงเวลาแสดงว่าสัจจบารมียังพร่องอยู่" |
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ลูกศิษย์ท่านพระครูสังฆรักษ์คณิศรนิมนต์ให้ไปนั่งปรกตอนหล่อระฆัง เขาบอกว่างานเริ่มประมาณ ๔ โมงเย็น อาตมาก็ไปก่อนเวลาหน่อย ไปถึงประมาณบ่ายสองโมง ปรากฏว่าได้ขึ้นธรรมาสน์เกือบสองทุ่ม เพราะว่างานของเขามีการสวดชินบัญชร ๑๐๘ จบก่อน ไม่รู้ว่านานเท่าไร รู้แต่ว่าคนสวดเกือบจะเป็นลม ...(หัวเราะ)... พุทธาภิเษกเสร็จ กลับไปถึงวัดสี่ทุ่มกว่า
โดนไปงานเดียวนี่เข็ดเลย ต่อไปงานไหนที่ควบคุมเวลาไม่ได้จะไม่ไปอีก ลืมตาขึ้นมาบนธรรมาสน์ ตอนแรกนึกว่าจะลงไปกราบหลวงพ่อราชรัตนมุนี เจ้าคณะจังหวัดนครปฐม ปรากฏว่าท่านอันตรธานไปตอนไหนก็ไม่รู้ สรุปง่าย ๆ ก็คือ ท่านไหนที่เผ่นได้ก็เผ่นกันหมดแล้ว เหลือแต่อาตมากับพรรคพวกไม่กี่คนที่อยู่จนงานเขาเสร็จ เห็นประโยชน์อยู่อย่างหนึ่งก็คือเรื่องของสมาธิ ในเมื่อตั้งเวลาว่าให้งานเขาเสร็จแล้วค่อยถอนสมาธิ สมาธิจะไม่ยอมถอนออกมาหรอก อยู่อย่างนั้นแหละ พอเลิกเมื่อไรถึงถอนออกมา ให้ลงจากธรรมาสน์ได้ เรียกว่านั่งกันจนลืมโลกไปเลย อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า จิตฺตํ ทนฺตํ สุขาวหํ จิตที่ได้รับการฝึกดีแล้ว ย่อมนำสุขมาให้ ในเมื่อเราซักซ้อมกำลังใจเอาไว้ สามารถเข้าออกสมาธิตามเวลาที่ต้องการได้ อย่างน้อย ๆ กิเลสต่าง ๆ ก็กินเราไม่ได้ชั่วคราว ตราบใดที่ไม่ออกจากสมาธิมาแส่หาเรื่อง เราก็เดือดร้อนน้อยหน่อย" |
"ดังนั้น..แม้ว่าในขั้นต้น ๆ ของการปฏิบัติ เราทรงสมาธิได้คล่องตัว สามารถหลบหลีกหนีกิเลสได้ แต่ถ้าใครมีปัญญาประกอบมาก พิจารณาเห็นโทษของกิเลส เข้าถึงสาเหตุว่าแต่ละอย่างเกิดจากอะไร แล้วเราไม่ไปแตะต้องสาเหตุของกิเลสนั้น ๆ กิเลสก็ไม่เกิด ถ้าอย่างนั้นกำลังสมาธิก็จะเป็นตัวหนุนเสริมปัญญาในการตัด ละ กิเลสเหล่านั้นลงไปได้
นั่งสบายใจเฉิบอยู่บนธรรมาสน์ รอว่าเมื่อไรจะเสร็จ อาตมาไม่ได้ร้อนไปด้วย เพราะจะขึ้นนั่งปรกแต่ละทีนี่เล็งแล้ว เล็งด้านที่อยู่เหนือลม พอถึงเวลาลมพัดจากข้างหลังไปข้างหน้า ความร้อนก็มาไม่ถึง รูปไหนไปอยู่ทิศที่เป็นใต้ลม กว่าจะเสร็จก็แทบจะกลายเป็นเนื้อย่างรมควัน..! โบราณเวลาจะแสดงธรรม พระพุทธเจ้าทรงจะแนะนำว่าให้เว้นจาก อุปปริ วาตัง อย่าไปนั่งเหนือลม เพราะถ้าเราลืมอาบน้ำสัก ๓ วัน คนฟังได้กลิ่นคงเป็นลมตายไปเสียก่อน แม้กระทั่งการแสดงธรรมพระพุทธเจ้ายังให้สังเกตทิศทางลม การหล่อพระก็เลยยิ่งจำเป็น ต้องรีบสังเกตทางลมก่อน เพราะว่าปะรำพิธีหล่อพระจะร้อนมากทุกที่ ลมพัดไปทางด้านไหน อาตมาก็ไปนั่งทิศตรงกันข้ามเดี๋ยวนั้นเลย" |
"พรานล่าสัตว์เวลาจะเข้าไปล่าสัตว์ก็ต้องดูให้ตัวเองอยู่ใต้ลม คือให้ลมพัดจากสัตว์มาหาเรา กลิ่นของเราไปไม่ถึง สัตว์จะได้ไม่หนี อาจจะใช้ฝุ่นโรยเพื่อดูทางลมก็ได้ ถ้าหาฝุ่นไม่ได้ก็ให้อมนิ้วมือตัวเองแล้วยกขึ้น ลมมาด้านไหนด้านนั้นจะเย็นกว่า อมเฉพาะนิ้วนะ ไม่ใช่อมทั้งกำปั้น ...(หัวเราะ)... เป็นเคล็ดลับเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างหนึ่ง
ส่วนใหญ่แล้วสัตว์กินหญ้าจะจมูกไวมาก พวกนี้เชื่อจมูกมากกว่าตา ถ้าจมูกได้กลิ่นจะหนีทันที แต่ถ้าตาเห็นแล้วเรายืนนิ่ง ๆ บางทีเขาก็มองเฉย ๆ ได้ยินนักสัตวศาสตร์เขาบอกว่า พวกสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีกระดูกสันหลังอย่างเก้ง กวาง วัว ควาย จะเห็นภาพเป็นสีขาวดำ ในเมื่อเห็นภาพเป็นขาวดำ ถ้าเรายืนเฉย ๆ เขาก็ไม่มั่นใจว่าตอไม้หรือเปล่า แต่ถ้าได้กลิ่นเขาจะหนีทันที แต่จะว่าหนีก็ไม่ใช่ อาตมาอยู่ในป่าบางทีเจอวัวแดงเป็นฝูง ประมาณสิบกว่าตัว เขาเห็นตอนแรกก็ชะงัก อาตมาก็ชะงัก เพราะพระกับวัวเขาลือกันมาแต่ไหนแต่ไรแล้วว่า วัวไม่ชอบสีจีวรพระ อาตมาจึงต้องทำใจดีสู้วัว ยื่นมือไปให้ ตัวหน้าก็ยื่นจมูกมาดม ดมเสร็จก็ร้องบอกเพื่อน เพื่อนก็เดินมาดม สรุปว่าวัวทั้งฝูงมาดมมือจนหมดแล้วก็ไป แสดงว่าเขาดมดูแล้วว่าไม่น่าจะมีอันตราย พวกพรานป่าล่าสัตว์ต้องกินเนื้อสัตว์เป็นอาหาร ซึ่งจะมีกลิ่นตัวสัตว์อยู่ ที่พระพุทธเจ้าทรงห้ามไม่ให้พระฉันพวกเนื้อเสือโคร่ง เสือเหลือง เสือดาว ราชสีห์ หมี งู ฯลฯ เพราะถ้าฉันเข้าไปแล้วกลิ่นตัวจะเป็นกลิ่นของสัตว์ชนิดนั้น เวลาเข้าไปในเขตของเขา เขาจะเห็นเป็นสัตว์แปลกหน้าไปบุกรุกถิ่นเขา แล้วจะไล่ทำร้ายไปให้พ้นเขต แต่ส่วนใหญ่แล้วคนเราเวลาโดนทำร้ายมักจะตายเสียก่อน ที่พระพุทธเจ้าตรัสห้ามฉันเนื้อ ๑๐ อย่าง สาเหตุหนึ่งเพราะว่าถ้าฉันไปแล้วอาจจะโดนสัตว์ทำร้ายได้ทีหลัง" |
ถาม : ดิฉันไปถวายของที่วัดสายพระป่า แต่ท่านไม่รับของหลังจากฉันเช้าแล้ว ?
ตอบ : ถูกต้องแล้วจ้ะ ถาม : เหมือนกับเราทำบาป เพราะเราไม่รู้ว่าท่านไม่รับอาหาร อย่างพวกบะหมี่แห้ง ? ตอบ : ไม่มีอะไรหรอก พระธรรมยุตท่านเคร่งครัดต่อพระวินัย หลังมื้ออาหารแล้วท่านจะไม่รับอาหารที่มาทีหลัง เพราะว่าในธุดงควัตรจะมีบอกว่าห้ามภัตร คืออาหารที่ตามมาหลังจากฉันแล้ว ท่านกลัวว่าจะผิดศีลตรงนี้ ท่านก็เลยไม่รับ ถ้าวัดไหนที่ท่านไม่ได้สมาทานธุดงควัตรตรงนี้ท่านก็รับได้ ส่วนใหญ่แล้วถ้าเป็นพระป่าสายหลวงปู่มั่น ท่านจะถือธุดงควัตร คราวนี้เราไม่รู้ก็ไม่เป็นไร ถวายไปท่านไม่รับ เราก็เอาไปถวายวัดที่รับเสียก็หมดเรื่อง ถาม : ท่านรับแล้วค่ะ แต่ท่านก็ตกใจ ตอบ : เจออาหารยังตกใจ ถ้าเจอสาว ๆ เข้าคงจะยุ่ง เห็นใจท่านเถอะ แสดงว่ายังบวชไม่นาน ตบะยังสู้อาหารไม่ได้..! ถาม : เหมือนกับเราทำบาป เพราะเราไม่รู้ว่าท่านไม่รับอาหาร เราบาปไหมคะ ? ตอบ : ไม่เป็นไรหรอก เจตนาเราดีตั้งแต่ต้น กลัวพระจะอด อุตส่าห์เอาอาหารไปถวาย |
ถาม : เอาจีวรผ้าไหมอย่างดีไปถวายท่าน ท่านต่อว่าเลย ว่าเอาผ้าขาวมาถวายก็พอ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่พระป่าท่านเย็บย้อมจีวรด้วยตัวเอง ดังนั้นถ้าเห็นคำว่า "พระป่า" "วัดป่า" หรือวงเล็บท้ายชื่อวัดมี “ธ” แปลว่า ธรรมยุต เอาผ้าขาวไปถวายก็พอ ที่เหลือเดี๋ยวท่านจัดการเอง แล้วถ้าหลังเก้าโมงเช้าไปแล้ว ก็อย่าเอาอาหารไปถวาย เพราะท่านคงฉันไปแล้ว เราทราบทีหลังก็ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ |
ถาม : ช้างป่าที่โดนด่าแล้วรู้ นี่เป็นเพราะว่าเขาฉลาด ?
ตอบ : อันนั้นผีรู้...ส่วนใหญ่ช้างป่าจะมีผีดูแลอยู่ บางทีก็ไม่ใช่ผีแต่เป็นเทวดา ถึงจะเป็นพวกภุมมเทวดาหรือรุกขเทวดาก็ตาม แต่ท่านมีความเป็นทิพย์ ด่าเขาไกลแค่ไหนเขาก็ได้ยิน แล้วก็รู้ด้วยนะว่าใคร ด่าดีนักใช่ไหม ? ว่าแล้วช้างก็ไปกวาดเรียบ |
ถาม : ผมยังมีความกังวลใจเวลามีผู้โมทนาบุญผม เพราะบางทีผมหล่อพระแล้วผมก็ด่าคน ผมอยากให้คนอื่นโมทนาบุญแบบบริสุทธิ์ไม่มีอกุศลกรรมของผมเจือปน ?
ตอบ : คนอนุโมทนาเขาไม่โง่หรอก เขาเอาแต่ที่ดี ๆ ส่วนที่ไม่ดีของเรา เราก็รับต่อไปเถอะ อย่าลืมว่า คำว่า "บุญ" ก็คือความดี ความงาม ความเป็นกุศล ความสุข ในเมื่อเขาโมทนาบุญ แปลว่าเขาเลือกแต่ความดี ความงาม ความเป็นกุศล ความสุข เขาไม่ได้เลือกที่คุณกำลังด่าคน เพราะฉะนั้น..จงกลุ้มต่อไป เขาเองสบายไปแล้ว |
ถาม : จะมีวิธีปฏิวัติความเชื่อของคนได้บ้างหรือไม่ครับ ? เพราะว่าพ่อแม่ผมเชื่อและศรัทธาในร่างทรง ตอนแรกผมก็ว่าจะปล่อย พอตอนหลังเขาก็ปรามาสพระ มีครั้งหนึ่งที่ผมก็เอามีดหมอถอนโบสถ์วัดปรังกาสีกับพระขรรค์โสฬสไป เขาไม่กล้ามองหน้าผม แต่พ่อแม่ผมก็ยังศรัทธาเขาอยู่ ?
ตอบ : มีสองอย่าง...อย่างที่หนึ่ง..ทำตัวของเราเอง ก็คือ พยายามสร้างอภิญญาสมาบัติให้เกิดขึ้นให้ได้ ในเมื่อเรายังอภิญญาให้เกิดขึ้นได้ ในความเป็นฆราวาสเราสามารถทำให้พ่อแม่ดูได้ พอพ่อแม่เห็นแล้วก็เกิดความเชื่อ ความเลื่อมใสขึ้นมา เราค่อยไปเปลี่ยนแนวความเชื่อของเขา ส่วนวิธีที่สอง...อย่าไปยุ่งกับเขาเลย ทางใครทางมัน |
ถาม : แม่ย่านางรถ ถ้าเราไม่ได้ทำพิธีบวงสรวง ท่านจะมาไหมคะ ?
ตอบ : ปกติต้องเชิญถึงจะมาได้ ถาม : ปกติแม่ย่านางต้องเป็นผู้หญิงหรือเปล่าหรือเป็นผู้ชายก็ได้ ? ตอบ : ไม่แน่...เจอนายมาเยอะแล้ว ถาม : แม่ย่านาง ท่านจะต้องตามติดพาหนะไปหรือคะ ? ตอบ : เป็นงานของท่าน ในเมื่อเป็นงานของท่าน ถึงเวลาท่านก็ต้องไปด้วย ถาม : ปกติท่านจะมีขอบเขตของท่าน ถ้าออกไปนอกเขต ก็ถือว่าท่านยังตามไปได้ ? ตอบ : ไปได้ เพราะรถเป็นเขตของท่าน ถาม : ถ้าเราเช่ารถ รถมีแม่ย่านางอยู่แล้ว หนูจะเชิญแม่ย่านางของหนูไปได้ไหมคะ ? ตอบ : มีอยู่แล้ว ก็เป็นหน้าที่เขา ใครจะไปยุ่งด้วยเล่า ? |
ถาม : ตอนแรก ๆ ก็เห็นว่าต่อมใต้สมองเป็นตัวสั่งให้ร่างกายเคลื่อนไหว แต่พอผ่านไปสักระยะเห็นว่าไม่ใช่สมองสั่ง ?
ตอบ : ใจสั่ง..สมองรับคำสั่งจากใจ แล้วไปบังคับประสาทให้ทำงาน ถาม : แต่ใจนักวิทยาศาสตร์เขาไม่เชื่อถือ ? ตอบ : เขาไม่เห็น ไม่เห็นไม่พอ ยังไม่เชื่ออีกด้วย ถาม : สรุปว่าหนูผิดหรือเปล่า ที่เห็นว่าตัวเริ่มไม่ใช่สมอง ? ตอบ : อย่าลืมว่าพอฝึกไปตอนท้าย ๆ ใช้คำว่า อยากยืน อยากเดิน อยากนั่ง แล้วพอพิจารณาเข้าจริง ๆ เป็นความอยาก แต่ว่าเป็นความอยากที่ละเอียดมาก เราไม่รู้เพราะสติสมาธิไม่พอ มองไม่เห็น เมื่อละเอียดพอที่จะเห็นเข้าจริง ๆ แล้วที่แท้เราก็อยากทำนั่นเอง ถาม : ฝึกไปเรื่อย ๆ เราจะสั่งได้ไหม หรืออยู่ที่ตัวเรา ? ตอบ : ได้..ทุกอย่างอยู่ที่ใจเรา ทั้งหมดเริ่มจากใจ |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 09:14 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.