กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=3612)

เถรี 22-12-2012 19:32

"เขาคงตั้งอกตั้งใจทำเหมือนกับเป็นผลงานชิ้นเดียว ออกมางามมากเลย พวกเทวดา ๘ เซียนนี่..อย่างกับวาดออกมาด้วยพู่กันจีนของจิตรกรมือหนึ่งเลย ความประณีตของเขาอยู่ตรงที่เขาเลือกสีพลอยมา อย่างคลื่นทะเลเขาก็ใช้ไพลิน มีสีเข้มสีจางเรียงไล่ระดับกันมาดูเหมือนกับคลื่นจริง ๆ เราเองคงไม่มีอารมณ์ไปไล่เฉดสีขนาดนั้น

สมัยฆราวาสไปไหนพกเงินไปเยอะเกินไม่ได้หรอก..ใช้หมด จะใช้แค่ไหนก็เอาไปแค่นั้น ตอนเป็นพระหมดอารมณ์กับข้าวของไปเยอะแล้ว แต่ของบางชิ้นก็ถูกใจจริง ๆ"

เถรี 23-12-2012 08:34

ถาม : อาการปวดหัวครึ่งเสี้ยว หนูต้องรักษาอย่างไรคะ ?
ตอบ : ห้ามเครียด

ถาม : ยิ่งคิดก็ยิ่งเครียดค่ะ ?
ตอบ : ทำกรรมฐานบ่อย ๆ จะช่วยได้เยอะเลยจ้ะ

เถรี 23-12-2012 08:50

ถาม : ถ้ามีคนทำไสยศาสตร์เรา....(ไม่ชัด)...
ตอบ : เรื่องนี้ต้องถามคนทำ ถ้าเป็นอาตมา ขืนทำมา ๕ ปีแบบนี้ เขาหงายเก๋งไปนานแล้ว..!

ภาวนาให้กำลังใจของเราทรงตัวไว้ เอาให้ได้ปฐมฌานขึ้นไป พวกไสยศาสตร์จะเจ๊งหมด ไม่ต้องไปเสียเวลาไปแก้ให้ยาก จะมีปัญหาอยู่อย่างเดียวคือพวกไสยศาสตร์ชนิดที่กินเข้าไป เพราะที่กินเข้าไปเป็นเลือดเป็นเนื้อของเรา ซึ่งแก้ได้ยาก ให้กรอกน้ำมันชาตรีตามเข้าไป สายอื่นเขาอาจจะแก้ยาก แต่สายของเราหลวงพ่อวัดท่าซุงทำไว้ให้แล้ว กินน้ำมันชาตรี..กรอกตามเข้าไปเลย

เถรี 23-12-2012 09:37

ถาม : หลานค่ะ มีอาการคัน เหงือกบวมมากเลย ?
ตอบ : แพ้ยาอะไรหรือเปล่า ?

ถาม : มีสเตียรอยด์สะสมในร่างกายเยอะ ?
ตอบ : ให้เอาหัวไชเท้าต้มน้ำเปล่าแล้วกิน ถ้าต้มน้ำเปล่าแล้วกินไม่ได้ ให้ทำเป็นแกงจืดก็ได้ กินน้ำแกงจืดหัวไชเท้าเข้าไปเยอะ ๆ ถ้าทำเป็นแกงจืดอย่าใส่เค็มมาก กินน้ำไปเยอะ ๆ จะล้างพวกยาในร่างกายออกมาได้ ทดสอบดู..ใครที่กินยาแก้อักเสบ เวลาฉี่ออกมาจะมีกลิ่นยา ลองกินน้ำหัวไชเท้าเข้าไปสักแก้ว จะฉี่ออกมาเป็นน้ำเปล่าเลย ฤทธิ์ของหัวไชเท้าจะเข้าไปล้างยาออกมาหมด ไปลองดูได้เลย

ถ้ากินน้ำต้มเปล่า ๆ แล้วรสชาติพิลึก จะทำเป็นแกงจืดก็ได้ เอาหัวไชเท้าสักหัวก็พอ ใส่น้ำพอประมาณ พอต้มเดือดทิ้งไว้ให้เย็น แล้วกรอกเข้าไปเลย กิน
ได้วันละ ๓ ลิตรยิ่งดี

ถาม : กินสักกี่วันคะ ?
ตอบ : ๔ วันก็ได้ พอรู้สึกว่าโรคเก๊าท์หายเจ็บก็พอ เพราะเก๊าท์เป็นตัววัดเลย ปกติกินสัก ๒ วันก็จะดีขึ้นแล้ว เพียงแต่ว่ากินให้มากหน่อย ได้สักวันละ ๓ ลิตรเลย

เถรี 23-12-2012 09:45

พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของกำลังใจ ถ้าเรารักษาให้ทรงตัวต่อเนื่องได้นาน ๆ ความผ่องใสจะมีมาก อะไรเกิดขึ้นจะรู้ล่วงหน้าก่อน แม้จะรู้ล่วงหน้าไม่นาน รู้ล่วงหน้าสักพักก็ยังดี อย่างน้อย ๆ ก็พอที่จะป้องกันอันตรายได้

เดือนที่แล้วขากลับไปจากที่นี่ ทำเอาโชเฟอร์เครียดแทบตาย เพราะอาตมาบอกเขาว่าอย่าเบรกรถกะทันหัน จะโดนรถชนท้าย เขาก็ระวัง อาตมาบอกเขาว่าไม่ต้องระวังหรอก รถที่จะชนท้ายเป็นรถมิตซูบิชิ ปรากฏว่ามีรถมิตซูบิชิวิ่งตามอยู่เป็นชั่วโมงเลย เล่นเอาเครียดแทบตาย คันนั้นก็เหมือนตั้งหน้าตั้งตาจะตามมาชน กว่าจะแยกทางกันได้ แหม..เล่นเอาเครียด ตามมาจ่อท้ายอยู่ตลอดทาง

บางอย่างถ้าวาระกรรมที่ไม่หนักก็บอกได้ ถ้าวาระกรรมหนักก็บอกไม่ได้ ได้แต่รอให้เหตุการณ์เกิดขึ้น ถึงรู้ไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะรู้แล้วบอกไม่ได้"

เถรี 23-12-2012 10:32

ถาม : งานเยอะจนไม่มีเวลาภาวนา ทีนี้เราก็ไม่รู้ว่าจะวัดการปฏิบัติของเราได้อย่างไร ?
ตอบ : เอานิวรณ์ ๕ เป็นหลัก ถ้านิวรณ์กินใจเราได้ถือว่าเจ๊งแล้ว

ถาม : ถ้าเราทำงานจนไม่มีเวลาคิดเรื่องรัก โลภ โกรธ หลง แต่ไปฟุ้งเรื่องการงานแทน ?
ตอบ : ถือว่าฟุ้งซ่านเหมือนกัน เอาเป็นว่าเวลาทำงานให้กำลังใจอยู่กับงาน ถ้าเวลาว่างให้รีบดึงเข้ามาหากรรมฐาน ไม่อย่างนั้นถ้าเผลอ เดี๋ยวฟุ้งแล้วจะไปยาว เพราะช่วงที่เราเผลอ เขาดึงเราไปได้แล้วจะเอาคืนยาก

ถาม : ถ้าเวลาทำงานเราก็ใช้วิธีว่าอยู่กับปัจจุบัน และเราทำงานเพื่อถวายพุทธศาสนา ตายตอนนั้นเราก็ไปพระนิพพาน เพราะเราไม่มีเวลาอื่นให้ทำแล้ว ?
ตอบ : ได้..แต่ว่าใจของเราอย่าทิ้งพระ อย่าทิ้งความดีก็พอ อย่างน้อย ๆ ทำไปแล้วแบ่งกำลังใจส่วนหนึ่งเกาะภาพพระเอาไว้

ถ้ามีเวลาให้บันทึกประจำวันไว้ด้วยนะ เราจะได้เห็นแนวคิดและพัฒนาการของตัวเอง เวลามาอ่านทวนจะจับได้ว่าเราเองออกนอกลู่นอกทางไปตอนไหน ? แล้วเลี้ยวกลับเข้ามาตอนไหน ? เพียงแต่จะต้องว่ากันตรง ๆ พูดง่าย ๆ คือว่า เป็นอย่างไรให้เขียนไปตามนั้น อย่าไปปรุงแต่งเพื่อตั้งใจให้คนอื่นอ่าน ไม่อย่างนั้นก็จะไม่ใช่พัฒนาการของตัวเอง

ตอนนี้มารเขากำลังขวางเราอยู่ ไม่ให้เราทำความดี
เขากลัวว่าเราจะได้ดีเร็ว เราก็ต้องพลิกแพลง

สรุปว่าแม่ไม่ต้องดูแลแล้วใช่ไหม ? นึกถึงพระครูน้อย กลับไปอยู่วัดหนองบัว แม่ก็ป่วยหนัก พอกลับมาดูแม่ แม่ก็หาย พอไปใหม่แม่ก็ป่วยอีก สรุปแล้วแม่เป็นโรคห่างลูกไม่ได้..!

เถรี 23-12-2012 10:35

เห็นเด็ก ๆ แล้วก็นึกถึงการปฏิบัติช่วงแรก ๆ ยังไม่รู้ทิศรู้ทางมั่วไปหมดอย่างนี้แหละ เสร็จแล้วพอเขาพัฒนาขึ้นมา กลายเป็นเดินได้ พูดได้ ทำอะไรได้ ความก้าวหน้าก็มีเป็นลำดับ การปฏิบัติของเราก็เหมือนกับเด็ก ๆ นี่แหละ เริ่มมาแล้วก็ค่อย ๆ โตขึ้น เพียงแต่ว่าอย่าให้ตายนิ่ง ถ้าตายนิ่งไม่มีความก้าวหน้า ก็เหมือนเด็กที่โดนดองไว้ ไม่โตสักที ต้องพัฒนาตัวเองไปเรื่อย ๆ ถึงจะใช้ได้

เถรี 23-12-2012 14:23

ถาม : ลูกเขาเห็นผีค่ะ ?
ตอบ : เรื่องปกติ เห็นได้ดีกว่าไม่เห็นจ้ะ คนฝึกแทบตายกว่าจะเห็นได้ เราเห็นได้ถือเป็นเรื่องปกติ ให้เราตั้งใจว่าบุญกุศลที่เราทำมาตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ มีเท่าไรขออุทิศให้เขา ให้เขาโมทนา เราจะได้รับประโยชน์ความสุขเท่าใด ขอให้เขาได้รับด้วย

ส่วนใหญ่พวกนี้มาอยากได้บุญ อย่าไปคิดว่าเราไม่เคยทำ เราอาจจะเคยทำมาในชาติก่อน ๆ หรือเมื่อหลายปีที่แล้วก็ได้ เพราะเขารวมกันอยู่ไม่ได้ไปไหน

ถาม : ลูกเขากลัวค่ะ ?
ตอบ : ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอกลูก ผีก็เหมือนกับคนจน คนจนก็แค่แต่งตัวไม่สวยเท่านั้นเอง

เถรี 23-12-2012 14:41

ถาม : เวลาที่เราใช้มโนมยิทธิ เราจะทราบได้อย่างไรว่าเรารู้ถูกหรือเปล่า ?
ตอบ : ซ้อมกับสิ่งที่สามารถพิสูจน์ได้ เช่น เรากำหนดใจว่าเช้านี้ออกจากบ้าน จะเจอใครก่อน ? ผู้หญิงหรือผู้ชาย ? อย่าเพิ่งไปใส่รายละเอียดมาก ถ้าทายถูก ต่อไปค่อยเพิ่มรายละเอียดว่า จะเจอผู้หญิงหรือผู้ชาย ใส่เสื้อผ้าสีอะไร ?

ถ้าถูกบ่อย ๆ ก็จำไว้ว่าเราทำกำลังใจไว้อย่างไร ? ต่อไปทำกำลังใจเท่านั้นแล้วรู้ได้ก็ถือว่าถูก ให้ซ้อมก่อนจ้ะ ไปใช้ทีเดียว เดี๋ยวออกทะเลหมด

ไปซ้อมบ่อย ๆ ไปซ้อมจนมั่นใจ แล้วใช้อารมณ์ใจแค่นั้นแหละ

เถรี 23-12-2012 14:43

ถาม : หนูใช้มโนฯ แล้วไม่ไปไหนค่ะ ?
ตอบ : ไม่ต้องไปไหนหรอกจ้ะ นึกถึงพระได้ก็ใช้ได้แล้ว

การที่เราตายแล้วจะไปดีหรือไปไม่ดี อยู่ที่ว่าใจเราเกาะอะไร ไม่ใช่ว่าถึงเวลาแล้วจะต้องไปไหน ถ้าใจเราเกาะความดีได้ ก็จะไปสุคติเองแหละ ตอนมีชีวิตอยู่ไปไม่ได้ก็ช่างเถอะ ตอนตายไปได้ก็แล้วกัน

เถรี 23-12-2012 14:52

ถาม : ตอนนอนจะมีเสียงดัง มาหลอกให้เรากลัว...?
ตอบ : ลักษณะนี้แค่มาทดลองดูว่าเราจะกลัวไหม ?

ถาม : แต่บ่อยมากเลยค่ะ ?
ตอบ : บอกเขาว่า ถ้ามาอีกต้องให้หวยด้วยนะ ถ้ามาแค่นี้จะโกรธ..! ไม่มีอันตรายหรอกจ้ะ เขามาซ้อมกำลังใจเราเล่น กลัวเราจะไม่นึกถึงความดี

เถรี 23-12-2012 15:03

พระอาจารย์กล่าวว่า "ทิดป๊อปนี่เสียชาติเกิด แพ้ปากตัวเอง ภาษิตจีนเขาบอกว่า โรคภัยเข้าทางปาก เภทภัยออกจากปาก คนจีนเขาว่าอะไรเจ็บจริง ๆ

โรคภัยเข้าทางปาก ตรงกับภาษาอังกฤษที่ว่า you are what you eat คุณกินอะไรคุณก็เป็นอย่างนั้น ทีนี้คุณป๊อปเขาเป็นเบาหวาน ไม่ยอมเว้นของแสลง ให้ไปแก้ตัวใหม่..ทำยาขมิ้นชันกับหญ้าแพรก กินสามวันเว้นเจ็ดวัน เอาให้ได้สามครั้ง ๑ เดือนพอดี ระหว่างนั้นห้ามกินกะปิกับของหวาน ดูซิว่าอดของหวานเดือนหนึ่งจะตายไหม ?

ขมิ้นชันเท่าหัวแม่มือกับหญ้าแพรกหนึ่งกำมือ โขลกให้ละเอียดละลายด้วยน้ำปูนใส กรองให้ได้ถ้วยชาโดยประมาณ เยอะกว่านิดหน่อยก็ได้ กินก่อนอาหารเช้าสักครึ่งชั่วโมง กินวันละถ้วยติดกันสามวัน แล้วก็เว้นไปเจ็ดวัน แล้วก็กินสามวันอีก ทำให้ครบ ๓ ครั้ง จะได้เวลาเดือนหนึ่งพอดี ไม่ใช่พอบรรเทาลงก็กินกระจายอีกเหมือนเดิม"

เถรี 23-12-2012 15:19

พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยที่รู้จักกันใหม่ ๆ หลวงพี่จวบ วัดโพธิ์สุทธาวาส กับหลวงพี่กฤษณ์ วัดท่าพระ อาตมาจำสลับกันทุกที หุ่นท่านคล้าย ๆ กัน หลวงพ่อพระครูสุรินทร์ส่งหลวงพี่จวบไปอยู่วัดโพธิ์สุทธาวาส ไปเป็นเจ้าอาวาส เป็นไปเป็นมาขวางประโยชน์คนอื่นเยอะ เขาไม่อยากให้อยู่

คนมีรัก โลภ โกรธ หลงเต็มตัว เขาไม่สนใจหรอกว่าพระหรือโยม ถ้าไปขวางผลประโยชน์เขาเก็บหมด ต้องบอกว่าเขาได้ประโยชน์ตอนมีชีวิตอยู่ พอตายแล้วจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ถึงตอนนั้นก็แก้ตัวไม่ทันแล้ว

จะว่าไปแล้วทางด้านสายธรรมยุติ บุคลากรที่ทันหลวงปู่มั่นล่วงลับดับขันธ์ไปเกือบหมดแล้ว แต่ด้วยความที่เขาเอื้อเฟื้อ สนับสนุนและยกย่องซึ่งกันและกัน ทำให้สายของหลวงปู่มั่นยังมั่นคงอยู่ได้ แต่ว่าสายของหลวงพ่อวัดท่าซุงเราขาดตรงจุดนี้ ก็เลยทำให้ไม่เป็นปึกแผ่น ในเมื่อไม่เป็นปึกแผ่นแน่นหนา ความที่จะเป็นที่พึ่งของญาติโยมก็ยาก

นี่ถือว่าปรารภสู่กันฟังเฉย ๆ ใครไม่เป็นปึกแผ่นก็ช่าง อาตมาก็พยายามทำของอาตมาไปเรื่อย ๆ ทุกวันนี้ขนาดไม่เป็นปึกไม่เป็นแผ่นยังวิ่งจนไม่มีเวลา โดยเฉพาะเดือนพฤศจิกายน กฐินอย่างเดียวอาตมาวิ่งแทบตาย จะอยู่ใกล้ ๆ กันหน่อยก็ไม่ได้ อยู่ไกลจนสุดหล้าฟ้าเขียว อย่างที่เจ้าคณะภาคท่านถามว่า ทำไมแต่ละคนอยู่ไกลขนาดนั้น"

เถรี 24-12-2012 08:47

พระอาจารย์กล่าวว่า "ตามอรรถกถาจารย์ท่านอธิบายไว้ว่า ถ้าเด็กไม่เคยเจอคน ไม่เคยได้ยินเสียงคนเลย เขาจะพูดเป็นภาษาบาลี ต้องบอกว่าตามธรรมชาติของคนเรา เช่น อะมะ แปลว่า ข้าแต่แม่ ก็คือเสียงอ้อแอ้ของเด็กนั่นเอง ภาษาบาลีเป็นทั้งภาษาของพรหมเทวดา เป็นทั้งภาษาที่พระพุทธเจ้าทรงใช้ในการแสดงธรรม และเป็นภาษาของมนุษย์ยุคต้นกัป"

เถรี 24-12-2012 08:52

ถาม : เวลาที่เราภาวนาให้มีสติอยู่กับปัจจุบัน แล้วค่อยลดสมาธิมาพิจารณา ก็มักจะฟุ้งเรื่องอื่นไปพร้อม ๆ กัน เทียบกับเวลาที่เราเจอกิเลส แต่เราไม่มีสมาธิ ตรงไหนที่เราจะพิจารณาได้ทันกว่ากัน ?
ตอบ : ต้องมีสมาธิ เพราะสมาธิจะหยุดสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นลงก่อน แล้วเราถึงมีโอกาสดูให้ชัดเจนว่าสิ่งนั้นคืออะไร แล้วจึงจะแก้ไขไปตามเพลง

ถาม : แต่มักจะหลุดออกมาฟุ้งทุกที ?
ตอบ : ถ้าหยุดไม่ได้ก็เห็นไม่ชัด เพราะฉะนั้น..เรื่องของสมาธิจึงได้จำเป็นมาก ต้องทำให้ทรงตัวให้ได้

เถรี 24-12-2012 09:03

ถาม : มโนกรรม วจีกรรม กายกรรม อันไหนโทษหนักกว่ากัน ?
ตอบ: ถ้าคิดด่าพระอรหันต์ในใจกับชกชาวบ้านธรรมดา มโนกรรมที่คิดด่าพระอรหันต์ย่อมหนักกว่า ขึ้นอยู่กับว่าคุณทำกรรมนั้นกับใคร

ถาม : แล้วแต่กรณีใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ใช่

เถรี 24-12-2012 09:24

พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าเอาขิงแก่ทุบให้แตกหน่อย ห่อด้วยผ้าขาวบางแล้วต้มน้ำเปล่า ต่อให้หนาวจนจะแข็งตายในหิมะ กรอกน้ำต้มขิงนี้เข้าไปยังกระดิกได้

เพียงเฉียบหมอชื่อดังของจีนโบราณ เขาทดสอบยาทุกชนิด กินพืชพันธุ์ทุกชนิดเพื่อวิเคราะห์ธาตุแล้วเอามาเป็นยา จนกระทั่งหน้าตาตัวเองกลายเป็นสีเขียวคล้ำไปหมด เพราะว่าพิษสะสมอยู่ในร่างกาย

ส่วนที่เป็นพิษบางทีก็ต้องใช้ในการขจัดพิษด้วยกัน อย่างตำรายาไทยมีอยู่อย่างหนึ่งก็คือ ใช้รากระย่อมฝานบาง ๆ คั่วพอแห้งแล้วต้มในลูกมะพร้าวอ่อน ใช้สักประมาณหยิบมือหนึ่ง ผ่ามะพร้าวอ่อน เปิดขึ้นมาใส่ระย่อมลงไปแล้วต้มให้เดือด กินเพื่อรักษาโรคมาลาเรียได้

ระย่อมเป็นยาพิษ แต่พอร่างกายได้รับพิษ จะรีบส่งไปที่ตับเพื่อทำลาย กลายเป็นเอาตัวยาไปเล่นงานเชื้อมาลาเรียที่หลบอยู่ในตับ ฉะนั้น..ถ้าพอเหมาะพอดี ยาพิษก็ใช้เป็นยารักษาโรคได้ แบบเดียวกับที่เขาทำเซรุ่ม ก็คือเอาพิษไปแก้พิษ"

เถรี 24-12-2012 09:33

พระอาจารย์เล่าว่า "เรื่องของแม่นาคพระโขนงเกิดขึ้นราว ๆ รัชกาลที่ ๓ สมัยก่อนเวลาเขาเกณฑ์เลข คือบรรดาผู้ชายจะสักเลขไว้ที่ข้อมือข้อแขน บอกสังกัดกรมกองไว้ ถ้าหลวงปู่บุดดายังอยู่ไปขอดูได้ หลวงปู่บุดดาท่านก็ต้องสักเลขเหมือนกัน

เขาเกณฑ์ผู้ชายไปเป็นทหารอยู่ครึ่งปี กลับมาทำนาที่บ้านครึ่งปี ช่วงที่พ่อมากไปเป็นทหารแม่นาคท้องแล้ว กว่าจะครึ่งปีกลับมาทางด้านนี้ก็คลอดลูกตายไปเรียบร้อยแล้ว

เวลาไปขอหลวงปู่บุดดาดูสักเลข จะมีบอกว่าเป็นคนที่เท่าไร พ.ศ.ที่เท่าไร แต่ไม่ได้บอกกรมกองเหมือนสมัยเก่า สมัยเก่าถ้าหนีเกณฑ์ เวลาเขาดูแขนก็รู้ว่าสังกัดไหน หลวงปู่บุดดาท่านเป็นทหาร สมัยหนุ่ม ๆ ท่านหล่อมาก มีสาว ๆ ไปหาถึงที่ ท่านก็บอก "กลับไปเถอะ..ฉันเป็นทหารตัวเมียจ้ะ"

สมัยอาตมาอยู่ชายแดน มีพรรคพวก ๓ - ๔ คนก็สร้างวีรกรรม มีสาว ๆ มาหาก็เอาไปฝากไว้กับแม่ชีที่วัด พวกก็โห่กันทั้งกองร้อย เจอพวกนอกคอก ๓ - ๔ คนนี้ทำเสียสถาบันหมด คือทหารชายแดนไม่ค่อยได้เห็นผู้หญิงเลย บางคนบอกว่า "กูเห็นควายสวยขึ้นทุกวัน..!"

แต่ทหารจะเปลี่ยนกำลังทุก ๔ เดือน พวกผู้หญิงชาวบ้านแถวนั้นก็ต้องหาผัวใหม่ทุก ๔ เดือน เป็นความจำเป็นในการหากินอย่างหนึ่งของเขา เพราะแถวชายแดนเขาค้าของหนีภาษี ค้าของเถื่อนกัน โดยเฉพาะสินค้าที่เป็นยุทธปัจจัย ถ้าตัวเองมีผัวเป็นทหาร ถึงเวลาเวรของผัวตัวเองเมื่อไรก็ขนของผ่านด่านได้ เขาหากินกันแบบนี้ เขาก็เลยต้องเปลี่ยนผัวกันบ่อยหน่อย

ทหารเขาเปลี่ยนกำลัง ๔ เดือนครั้ง ป้องกันไปสร้างอิทธิพลในพื้นที่ ถ้าไปอยู่นาน ๆ รู้จักคนมาก เดี๋ยวจะมีอิทธิพลมาก จึงต้องเปลี่ยนกันทุก ๔ เดือน"

เถรี 24-12-2012 09:50

มีเด็กมาขอพรให้สอบเข้าแพทย์ศิริราชได้ พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "หลายคนที่ไม่ใช่เด็กเรียน คือเด็กที่ไม่ได้ทุ่มเทกับการเรียนจริง ๆ สอบเข้าแล้วต้องออกแต่กลางคันก็มี น่าเสียดายเหมือนกัน เพราะความอดทนไม่พอ เพราะฉะนั้น..เรื่องการเรียนอย่าทิ้งสมาธิ ถ้าทิ้งสมาธิแล้วจะท้อ เพราะว่ากำลังไม่พอ ถ้ามีสมาธิช่วยแล้วหนักแค่ไหนก็สู้ได้

กลับไปต้องเปลี่ยนไปนั่งกรรมฐานก่อนนอนครึ่งชั่วโมง ตื่นนอนครึ่งชั่วโมง เอากำลังไว้สู้ ภาวนาคาถาท่านปู่พระอินทร์ทั้งครึ่งชั่วโมงเลยก็ได้ สหัสสะเนตโต เทวินโท ทิพจักขุง วิโสทายิ อิกะวิติ พุทธะสังมิ โลกะวิทู ภาวนาไปเรื่อย เอาให้ทะลุปรุโปร่งแตกฉานทุกวิชาเลยก็ได้

"โลกะวิทู" ของพระพุทธเจ้านี่ท่านรู้แจ้งโลก ก็คือดวงดาวดวงนี้ Planet earth โลกคือดวงดาวอื่น ๆ ทั้งหมด โลกคือภพภูมิอื่น ๆ ทั้งหมด โลกคือสรรพสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ดังที่พระรัฐบาลเถระท่านว่า “โลกคือหมู่สัตว์ อันชรานำไป ไม่ยั่งยืน” อยู่ไม่ได้หรอก ท้ายสุดก็เก่าแก่ เสื่อมสลายตายพังหมด

“โลกคือหมู่สัตว์ ไม่มีผู้ป้องกัน ไม่เป็นใหญ่เฉพาะตน” ไม่สามารถที่จะเป็นอิสระ อย่างน้อย ๆ จะต้องมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งผูกมัดอยู่ จะเป็นครอบครัว หน้าที่การงาน ทรัพย์สมบัติ แม้กระทั่งท้ายสุดก็ตัวตน ผูกมัดตนเองอยู่ หลุดพ้นไม่ได้"

เถรี 24-12-2012 09:53

“โลกคือหมู่สัตว์ พร่องอยู่เป็นนิตย์ ไม่รู้จักอิ่ม เป็นทาสแห่งตัณหา” เกิดความอยากทุกชนิด อยากมี อยากได้ อยากเป็น ไม่อยากมี ไม่อยากได้ ไม่อยากเป็น

อยากมี อยากได้ อยากเป็นก็ของดี ๆ ไม่อยากมี ไม่อยากได้ ไม่อยากเป็นก็ของไม่ดี เราเอาคำ "โลกะวิทู" มาใช้ตรงท้ายคาถา สรุปง่าย ๆ ว่ารู้ทุกเรื่อง

สิบนิ้วเท่ากัน ถ้าคนอื่นทำได้เราต้องทำได้ ถ้าคนอื่นทำได้เราต้องทำได้ดีกว่า กดดันไปหรือเปล่า ? อาตมาเองมักจะคิดอย่างนั้น ก่อนหน้าช่วงเรียนระดับประกาศนียบัตรและปริญญาตรีก็ไม่เท่าไร เพราะมีแต่พวกที่เรียนมาด้วยกันตั้งแต่แรก เราเรียนดีกว่าเขาก็ถือว่าปกติ พอมาเรียนปริญญาโท มีคนจากที่อื่นเขาเข้ามาเรียนกับเราด้วย แข่งไปแข่งมาอาตมาก็ยังได้ที่ ๑ อยู่"


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 09:03


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว