กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๔ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=2996)

เถรี 25-11-2011 13:23

"ยังมีมีดหน้าลูกไก่ มีดหน้าลูกไก่นี่เหมือนทรงอีโต้ คล้าย ๆ หัวลูกไก่ แล้วก็มีมีดซุย มีดปาดตาล มีดปาดตาลก็ลักษณะทรงมีดหมอ โคนใบจะเล็กแล้วก็ไปกว้างตรงช่วงปลาย บางคนเขาเรียกท้องปลิง คือมีลักษณะเหมือนท้องปลิง เอาไว้ปาดงวงตาลสำหรับทำน้ำตาล ต้องไปโยกงวงตาลให้ช้ำก่อน แล้วก็ปาด พอถึงเวลาน้ำตาลก็จะไหลออกมา




ส่วนมีดซุยเป็นมีดที่มีลักษณะของด้ามคล้าย ๆ ปืน ด้ามจะโค้งลง เวลาจับก็ลักษณะเหมือนจับด้ามปืน




นอกจากนี้ยังมีเสือซ่อนเล็บ จะเป็นมีด ๒ เล่มที่สวมเข้าหากัน เวลาเราถืออยู่ก็เหมือนไม้ท่อนสั้น ๆ พอชักออกมากลายเป็นมีดคู่"
http://upic.me/i/ui/nccm1.jpg
เสือซ่อนเล็บ

เถรี 25-11-2011 13:42

1 Attachment(s)
"สมัยก่อนอาตมาจะแจกปืนให้ลูกสาว สมัยนี้ได้แต่แจกมีด อย่างน้อย ๆ เขาจะได้มีอะไรไว้ป้องกันตัว อาตมาบอกไว้ว่าถ้าฉุกเฉินนี่จิ้มไว้ก่อนเลย เดี๋ยวหลวงพ่อไปประกันตัวให้ อย่ามัวแต่กลัวอยู่ พวกคนชั่วกลัวใครซะที่ไหน มักตั้งใจก่อคดีอยู่แล้ว

http://i498.photobucket.com/albums/r...h/420J2-17.jpg
มีดพับทรงมีดขว้าง ด้ามเขากวาง (มีดบ้านจ่าตุ่ม)


อย่างโมโม่ที่เพิ่งกลับจากอังกฤษมา โดนแย่งโทรศัพท์ เขาเล่าว่าโดนคนร้ายล็อกคออยู่ข้างหลัง แล้วบังคับเอาโทรศัพท์ ก็เลยต้องให้ไป ถ้าเป็นอาตมานี่ผู้ร้ายลงไปกองกับพื้นแล้ว โดนล็อกคออยู่ก็แค่เบี่ยงตัวนิดเดียว แล้วฟาดท่อนแขนกลับหลังจะผ่าหมากพอดี ผู้ร้ายก็นึกว่าเราดิ้นตามปกติ แต่ไม่ได้ดิ้นหรอก ตั้งใจจะให้ผู้ร้ายดิ้นแทน..!

ถ้าหากคนที่เป็นในวิชาการต่อสู้จะไม่มีอะไรอันตรายเลย โดยเฉพาะคนไหนเอามีดมาจ่อคออาตมานี่เท่ากับหาเรื่อง ลองนึกดูว่า คนเอามีดมาจ่อคอนี่ดูน่ากลัวมาก แต่ความจริงไม่มีอะไรน่ากลัวหรอก เป็นอาตมาจะต่อยสวนเลย เพราะถ้าเขาจะแทงเราได้ เขาต้องชักมีดกลับก่อน

คนที่ใช้มีดเป็นเขาจะไม่ยื่นไปสุดแขน เขาจะกำมีดอยู่ระดับเอวหรือระดับอก ถ้าพวกนั้นน่ากลัวแน่ แสดงว่าเขาใช้มีดเป็น ถ้าประเภทยื่นมาจี้คอหอย เราก็ยิ้มหวานแล้วก็ชกเปรี้ยงเลย ไม่ต้องกลัวหรอก เขาทำอะไรเราไม่ได้ เพราะระยะแทงไม่มี สุดแขนไปแล้ว

พวกที่เอาปืนมาจ่ออยู่ในรัศมีมือ รัศมีตีนเท่ากับหาเรื่องเดือดร้อน ถ้าคนที่เขาใช้ปืนเป็น เขาไม่มาอยู่ในรัศมีมือรัศมีตีนหรอก"

http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1322203256
มีดด้ามมุกเล่มแรกของจ่าตุ่ม เป็นหอยมุกทั้งชิ้นมาทำด้าม ไม่มีรอยประกบ

เด็กเมื่อวานซืน 25-11-2011 13:57

ขออนุญาตเพิ่มเติมรูปนะครับ

http://i117.photobucket.com/albums/o...of100_0166.jpg

เล่มบนกับเล่มกลาง เป็นดาบหน้าลูกไก่ฝีมือช่างไทยสมัยอยุธยา

http://i117.photobucket.com/albums/o...i/100_0158.jpg

ส่วนเล่มนี้ จะเป็นดาบหน้าลูกไก่ที่เป็นฝีมือของช่างไทยเชื้อสายลาวที่อพยพเข้ามาอยู่อยุธยา ปัจจุบันเราจะรู้จักกันในนามของ บ้านอรัญญิก

เด็กวังวน 25-11-2011 13:57


มีดพร้าของทางใต้จะเป็นแบบนี้ครับ

เถรี 27-11-2011 10:31

1 Attachment(s)
"เราเป็นผู้หญิงเรี่ยวแรงเราน้อย เราจึงต้องรู้จุดอ่อนของผู้ชายไว้บ้าง อย่างกำปั้นซัดเปรี้ยงเข้าไปที่คอหอยเลย ผู้ชายโดนเข้าไปก็ชักเหมือนกัน ไปต่อยที่อื่นไม่ไหวหรอก หรือไม่ก็ทิ่มลูกตาไปเลย ถ้าต่อยทีเดียวแล้วยังไม่สะใจ ก็เตะผ่าหมากซ้ำเข้าไปอีก กระทืบไปร้องไป “ว้าย..ช่วยหนูด้วย ๆ” กว่าคนจะมาช่วยคนร้ายก็น่วม..!

"คุณปูเป้" หรือที่เขาเรียกกันว่า "เซียนเป้" ตั้งแต่ย้ายจากบ้านอนุสาวรีย์มา ไม่เห็นยายเป้โผล่มาเลย ช่วงที่ยายเป้ได้มีดจ่าตุ่มไปใหม่ ๆ เขาเอาไปจี้แท็กซี่ แถมได้ออก จ.ส.๑๐๐ ด้วย..! เขาขึ้นรถ แล้วไปเจอกระเป๋าเงินตกอยู่ในรถแท็กซี่ ในกระเป๋าน่าจะมีเงินเยอะเพราะใบอ้วนเลย ยายเป้บอกแท็กซี่ให้เลี้ยวไปสถานีตำรวจ แต่แท็กซี่ไม่ยอมไป คาดว่าคงอยากจะได้เอาไว้เอง ยายเป้เลยชักมีดจี้ “จะไปดี ๆ หรือไม่ไป..!” สรุปว่ายายเป้ได้ออก จ.ส. ๑๐๐ เป็นพลเมืองดี เก็บกระเป๋าในรถแท็กซี่ได้แล้วเอาไปคืน หารู้ไม่ว่าเอาไปคืนด้วยวิธีไหน

วันนั้นแม่เจ้าประคุณก็พกอีเหยี่ยวไปด้วย เป็นมีดพกที่ด้ามเป็นรูปนกเหยี่ยว ใบมีดยาว ๗ นิ้ว ใบมีดขนาดนั้นน่ากลัวมาก โดยเฉพาะมีดบ้านจ่าตุ่ม คมพอ ๆ กับมีดโกนทุกเล่ม พวกเราไม่ต้องไปสร้างวีรกรรมอย่างนั้นนะ ถ้าแท็กซี่ไม่ยอมไปเราก็ลงรถแล้วหาคันใหม่ไปโรงพักก็ได้"

http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1322376819
มีดพกศิลป์ ด้ามรูปนกเหยี่ยว ฝีมือบ้านจ่าตุ่ม

เถรี 27-11-2011 10:56

พระอาจารย์กล่าวว่า "ดีปักเป้ามีพิษมาก พวกยาสั่งจะเอาดีปักเป้าเป็นส่วนประกอบด้วย มีดีนกยูง ดีหนู ดีงูเห่า ดีปักเป้าทะเล ฯลฯ (หัวเราะ) บอกต่อไม่ได้เดี๋ยวเอาไปทำยาสั่งกัน

พอทำยาสั่งเสร็จแล้ว เราต้องการจะสั่งว่าให้ตายด้วยของอะไร ก็เอาของชนิดนั้นผสมลงไปด้วย ถ้าเขากินของอย่างอื่นร่างกายก็เป็นปกติ แต่ถ้าเขาไปกินของที่ผสมเข้าไปเมื่อไรจะเป็นพิษทันที แล้วจะตายแบบหาสาเหตุไม่เจอ แต่ดูง่าย..เพราะว่าเล็บจะกลายเป็นสีม่วงเข้ม

ถ้ารู้ตัวว่าโดนยาสั่งให้ใช้รากฟักข้าว รากตำลึง และรากรางจืด ทั้งหมด ๓ อย่าง โขลกรวมกันใส่เหล้ากรอกปากไป จะแก้ได้ แต่ถ้าไม่มีอยู่ใกล้มือมีสิทธิ์ตายก่อน คนโบราณเขาจะจับถอนผมแล้วเอามาแตะกับเล็บ ถ้าผมดูดเล็บติดก็แสดงว่ายังแก้ได้ ถ้าหากว่าผมไม่ดูดแสดงว่าพลังชีวิตหมดแล้ว โอกาสตายมีเกินร้อย

สมัยก่อนทางด้านภาคตะวันออกยาสั่งจะแรงมาก เพราะว่ามาจากฝั่งเขมร จนกระทั่งรัชกาลที่ ๕ ตัดสินพระทัยทำหมุดสัมฤทธิ์เป็นหลักเขต เอาไปตอกไว้น่าจะที่แถวชลบุรี พระองค์ตั้งสัตยาธิษฐานด้วยอำนาจบุญบารมีของพระองค์ท่าน ห้ามไม่ให้ยาสั่งผ่านเขตนี้ ถ้าผ่านเข้ามาเมื่อไรขอให้เสื่อมฤทธิ์ ท่านตั้งใจช่วยเหลือประชาชน หากว่าใครไปสืบหาได้ว่าพระองค์ท่านตอกหลักนี้ไว้ตรงไหนช่วยมาบอกที อาตมาจะได้ไปดู

รู้สึกว่าหลักนั้นทำด้วยสัมฤทธิ์ คือโลหะ ๓ อย่างผสมกัน บวกกับการอธิษฐานจิตของบุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็นพระมหาโพธิสัตว์ กำลังของความดีท่านสูง การอธิษฐานของท่านก็เลยกลายเป็นอธิษฐานฤทธิ์ ฤทธิ์ที่เกิดจากการตั้งใจมั่น"

เถรี 27-11-2011 11:21

"เช่นเดียวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน พระองค์ท่านสร้างสมเด็จจิตรลดาหรือพระกำลังแผ่นดิน ไม่ได้เข้าพิธีพุทธาภิเษกที่ไหนเลย พระองค์ท่านผสมเอง พิมพ์เอง อธิษฐานแล้วก็แจก ตอนนี้ในท้องตลาดองค์หนึ่งราคาเป็นล้าน

อาตมาได้มาองค์หนึ่ง แต่เจ้าของเขาไม่ยอมให้หนังสือรับรองที่ทางสำนักพระราชวังออกให้ เขาขอเก็บหนังสือรับรองไว้เป็นเกียรติประวัติของตระกูล ส่วนพระยอมถวายให้ แล้วก็ให้เหรียญรัชกาลที่ ๕ เหรียญใหญ่มาหนึ่งเหรียญ เลี่ยมทองมาเลย เขาบอกว่าในตลาดมีแต่ของปลอมทั้งนั้น เอาของที่ตกทอดมาตามตระกูลของเขาดีกว่า แท้แน่นอน

ช่วงนั้นอาตมาตั้งใจจะเอาไว้ทำน้ำมนต์ มีทั้งพระพุทธรูป พระกริ่งวัดสุทัศฯ แผ่นยันต์ทำน้ำมนต์ของหลวงพ่อวัดท่าซุง เหรียญทำน้ำมนต์ของหลวงปู่ครูบาไชยวงศ์ เหรียญรัชกาลที่ ๕ และเหรียญรัชกาลที่ ๙ เพราะถ้าเราอาศัยบารมีของพระอย่างเดียว บางอย่างพระท่านก็ต้องยอมรับกฎของกรรม แต่บุคคลที่เป็นพระโพธิสัตว์ เพื่อสงเคราะห์คนอื่น ถึงตนเองต้องยอมรับกรรมแทนท่านก็ยอม ก็เลยต้องอาศัยกำลังของพระโพธิสัตว์ท่านด้วย

http://statics.atcloud.com/files/com...1_original.jpg
สมเด็จจิตรลดา ด้านหลังปิดทอง

ทรงมีพระราชดำรัสแก่ผู้รับพระราชทานว่า "ให้ปิดทองที่หลังองค์พระปฏิมาแล้วเอาไว้บูชาตลอดไป ให้ทำความดีโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใด ๆ"

เถรี 27-11-2011 11:30

"เหรียญพระมหาชนก ตอนนั้นอาตมาไม่มีปัญญาที่จะบูชาเหรียญทองคำ ก็เลยได้แต่เหรียญเงินใหญ่มา ขนาดนั้นราคายังตั้ง ๕,๐๐๐ บาท มาพร้อมกับหนังสือฝีมือวาดของอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์กับคณะ มีอาจารย์ประหยัด พงษ์ดำ เป็นต้น มาช่วยกันวาดภาพพระมหาชนก

เหรียญมหาชนก..ในหลวงท่านบอกใบ้ให้ว่า ปัจจุบันพระองค์ท่านกำลังสร้างวิริยบารมี โดยการพากเพียรช่วยเหลือชาวบ้าน อาตมาจะแต่งกลอนเฉลิมพระเกียรติถวาย ในวโรกาสทรงเจริญพระชนมายุ ๘๔ พรรษา พอเริ่มได้บรรทัดเดียวก็แต่งต่อไม่ได้เลย...ต้องจบ จบเพราะสงสารพระองค์ท่าน ไปต่อไม่ได้

เมื่อเลือกกำเนิด.........พ่อเลือกเกิดเพื่อคนไทย
พระชนม์ ๗ รอบผ่านไป........พ่อยังเหนื่อยยากตรากตรำ..ฯลฯ


แต่งต่อไม่ได้เลย อยู่มาจนป่านนี้พระองค์ท่านยังสบายไม่ได้"

http://www.pramool.com/classified/attach/L05552-0.jpg
เหรียญมหาชนก

เถรี 27-11-2011 18:18

พระอาจารย์เล่าว่า "ตอนยังเป็นฆราวาสอยู่ อาตมาเอากฐินไปทอดที่วัดใหม่ศรีสุพรรณ อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ ได้เงินกฐินสามหมื่นกว่าบาท แต่ทางเขาต้อนรับคณะกฐินของเราอย่างต่ำก็สามหมื่นบาท ตกลงแล้วเขาจะเหลืออะไร ?

เงินสามหมื่นกว่าบาทช่วงนั้นถือว่ายังเยอะอยู่ เพราะว่าตอนนั้นทองคำบาทละสองพัน เขาต้อนรับคณะของอาตมาด้วยการเลี้ยงขันโตก มีฟ้อนเล็บ มีลอยโคม มีภาพยนตร์

คนเหนือมีอัธยาศัยดีมาก ๆ พอคณะของเราไปถึงเขาก็ลงขันโตกทันที มีสาวจากคุ้มต่าง ๆ ใกล้บ้านมาต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง จะมานั่งประกบกันเลย ที่ขำที่สุดก็คือสาว ๆ แห่กันมาลงโตกของอาตมา ๓-๔ คน โตกข้าง ๆ นี่ว่างเลย ตอนนั้นอาตมาเพิ่งจะอายุ ๒๒-๒๓ ปี ส่วนโตกอื่นอายุเกิน ๖๐ ปีแล้ว อีกอย่างก็คือตอนนั้นอาตมายังเป็นทหารอยู่ด้วย ยังเป็นคนในเครื่องแบบอยู่

เพราะว่าคนเหนือมีอัธยาศัยดีมากนี่แหละ จึงดึงให้คนย้อนกลับไปเที่ยวอีก เป็นแบบเดียวกับสาราณียธรรม ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านสอนว่าให้ปฏิบัติต่อกันด้วยเมตตา ๑ เมตตาต่อกันด้วยวาจา ๑ เมตตาต่อกันด้วยใจ ๑ แบ่งปันลาภที่ได้มาให้ผู้อื่น ๑ ประพฤติศีลเสมอกัน ๑ มีความเห็นร่วมกัน ๑

พูดง่าย ๆ ก็คือ คิดก็ให้คิดถึงเขาในด้านดี ๆ พูดก็ให้พูดถึงเขาในด้านดี ๆ ทำกับเขาในด้านดี ๆ แบ่งปันลาภที่ได้มาให้แก่คนอื่น นี่คือสาราณียธรรม ธรรมอันเป็นเครื่องยังความระลึกถึงกัน"

เถรี 27-11-2011 18:26

"ครั้งนั้นได้เพื่อนมาเยอะเลย เพราะตอนไปเที่ยวต่อนั้น รถไปเสียที่เวียงป่าเป้าตอนกำลังจะขึ้นเชียงราย ตรงจุดที่รถเสียนี่ไม่ว่าจะขึ้นเชียงรายหรือลงเชียงใหม่ก็ระยะทางร้อยกว่ากิโลเมตรเท่ากัน จึงตัดสินใจว่าลงเชียงใหม่ดีกว่า เพราะมั่นใจว่าได้วัสดุมาซ่อมรถแน่ ต้องค้างกลางทางอยู่วันหนึ่งกับอีกหนึ่งคืน

อาตมาในฐานะทหารเตรียมพร้อมเสมอ จึงพกเสบียงไป คนอื่นไม่พกอะไรไปเลย อาตมามีขนมปังแถวหนึ่ง แยมขวดใหญ่และน้ำดื่ม ตอนที่ผ่านเชียงใหม่ก็ซื้อข้าวหลามไปอีกมัดใหญ่ คนอื่นช่วยกันกินกระจายเลย..! เพราะจุดที่รถเสียต้องเดินไป ๓๐๐ เมตรจึงเจอเพิงขายก๋วยเตี๋ยวเล็ก ๆ มีอยู่เพิงเดียว แล้วคนลงจากรถไปตั้ง ๗๐-๘๐ คน

แม่ค้าขายหมดทุกอย่างที่ขวางหน้า ลูกตัวเองต้องนั่งร้องไห้เพราะไม่มีอะไรกิน ท้ายสุดอาตมาก็เอาหมูปิ้งให้ป้าสายกิน ป้าสายเป็นอิสลามนะ..! อาตมาบอกว่า “ป้ากินเถอะ ดีกว่าเป็นลม” ป้าเขาก็ไม่รู้ไม่ชี้กินไป เขาบอกว่าถ้าไม่บอกว่าเป็นหมูก็กินได้..!

เถรี 27-11-2011 18:33

"ในขณะที่ตัวเองมีของอยู่แค่นั้นแล้วยังแบ่งให้คนอื่นเขาได้ ก็เลยได้น้ำใจตอบแทนมา มีแต่คนถามหา อาตมานี่ถ้าเข้าไปแถวโรงหนังอุดมสุขกินฟรีได้ทุกร้านเลย เพราะครั้งนั้นแม่ค้าแถวหน้าโรงหนังอุดมสุขไปกันเยอะ เขาเรียกว่า วนฺทโก ปฏิวนฺทนํ ผู้ไหว้ย่อมได้รับการไหว้ตอบ เราให้เขา ๆ ก็ให้เราตอบ

หลายรายก็ยังคบหาสมาคมกัน จนกระทั่งบวชถึงได้เลิกติดต่อกันไป เพราะอาตมาไม่ได้มีนิสัยโทรหาโยม ถ้าไม่มีธุระอย่าหวังจะได้เห็นเบอร์โทรโผล่ไปเลย บางคนเขารู้จักใครเขาก็โทรไปตลอด ดีตรงที่ว่าได้ต่อสายสัมพันธ์ไว้ แต่ไม่ใช่นิสัยอาตมา นิสัยของอาตมานี่ถ้าโทรไปเมื่อไร แปลว่าคุณกำลังจะเดือดร้อนแล้ว..!

ถึงขนาดพระผู้ใหญ่ท่านยังเคยออกปาก “ไอ้คุณนี่ก็ดีนะ..ถ้ามาเมื่อไรก็แสดงว่ามีเรื่อง ปกติดีไม่เคยโผล่หัวมาเลย ส่วนไอ้พวกไร้สาระมาเฝ้าเช้า เฝ้ากลางวัน เฝ้าเย็น ไม่ยอมไปสักที ผมรำคาญจะตาย..!” นี่พระผู้ใหญ่ท่านออกปากเองเลย ท่านบอกว่า “ไม่มาหาผมแปลว่าคุณมีงาน ผมไม่ได้ว่าอะไร ผมดีใจเสียอีกที่คุณทำงานเพื่อพระศาสนา”

ในเรื่องของการเสียสละให้ปันต่อผู้อื่น หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านใช้คำว่า "ปฏิปทาสาธารณประโยชน์" อย่างในปัจจุบันที่เห็นชัด ๆ ก็เรื่องน้ำท่วม ในหลวงท่านว่า ถ้าใช้คำว่า "เสียสละ" จะให้ได้ยาก เพราะรู้สึกว่าเราต้องเสีย ให้ตัดคำว่า "เสีย" ออก เหลือแค่ "สละ" ก็จะให้ง่ายกว่า แต่ถ้าเอา ส.เสือ ออก เหลือแต่ "ละ" คราวนี้ให้ได้ทุกอย่างเลย จะเห็นว่าตัวหนังสือคำเดียวในหลวงท่านยังสามารถแยกแยะได้ถึงขนาดนี้"

เถรี 28-11-2011 18:55

พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนไปแจกของที่ศาลายา เจอพวกที่ทำงานตรงเป็นไม้บรรทัด ปรับงานเฉพาะหน้าไม่เป็นเลย คือเขาไปแจกเฉพาะจุด แต่ละจุดรายงานว่ามากี่คนเขาก็ให้แค่นั้น แล้วคนที่เขาต้องพายเรือออกมาปากซอยตั้งครึ่งค่อนซอย เพื่อมาหาอาหาร เขาขอข้าวกล่องดันไม่ให้ บอกเขาไปว่าไม่มี เพราะเขาไม่ได้อยู่ในกลุ่มที่จะแจก ต้องบอกว่าปรับงานเฉพาะหน้าไม่เป็น

มียามที่ ม.มหิดลศาลายา เขาขอข้าว ๓ กล่อง บอกไปว่า “จ่ายไปแล้ว ๓๕ กล่อง อยู่ข้างใน เข้าไปเอาแล้วกัน” กว่าที่เขาจะลุยน้ำเข้าไปเอาข้าวกล้องข้างในได้ ต้องลำบากแค่ไหน? ในมหาวิทยาลัยกว้างตั้งเท่าไร แล้วยามเขาก็ต้องเฝ้าอยู่ที่ประตู เขาจะลุยเข้าไปอย่างไร ? เขาก็ต้องทำหน้าที่ของเขา

พวกตรงเป็นไม้บรรทัด ถ้าเป็นทหารตายหมด..! เวลาทหารออกรบต้องปรับตามเหตุการณ์เฉพาะหน้า ไปตามตำราอย่างเดียวก็ไปเป็นปุ๋ยอยู่ที่ชายแดน..! การตรงไปตรงมานั้นดี แต่ว่าต้องเหมาะสมกับกาละเทศะด้วย ขนาดกฎหมายเขายังมีนิติศาสตร์กับรัฐศาสตร์เลย"

เถรี 28-11-2011 19:12

พระอาจารย์กล่าวว่า "คนที่เป็นโรคเก๊าท์ วิธีรักษาที่ง่ายที่สุดคือดื่มน้ำอุ่นเยอะ ๆ โรคนี้เกิดจากผลึกของกรดยูริค ที่มีลักษณะแหลม ๆ เหมือนเข็ม พอไปอยู่ในข้อในเข่าเยอะ ๆ เข้า ก็จะทิ่มเนื้อจึงทำให้เจ็บ ปวด บวม

ให้ดื่มน้ำเยอะ ๆ เพื่อจะไปละลายกรดพวกนี้ออกมา ใครที่กินพวกไก่ พวกอาหารทะเลเข้าไป พอหลังอาหารสักชั่วโมงก็เริ่มดื่มน้ำชั่วโมงละแก้ว สาเหตุที่ให้ดื่มน้ำอุ่นเพราะถ้าไปดื่มน้ำเย็นเดี๋ยวจะจับไข้เสียก่อน"

เถรี 28-11-2011 19:29

ถาม : บางทีช่วงทำวัตรจะรู้สึกว่าเหมือนมีกำลังส่งมา แล้วทำให้รู้สึกว่าอยากในสิ่งที่ไม่เคยอยากมาก่อน เช่น อยากฉันชา อยากเคี้ยวหมาก สงสัยว่าทำไมช่วงหลังเป็นบ่อยคะ ?
ตอบ : ทำไม่รู้ไม่ชี้ไว้ ต้องบอกไปว่าอายุยังน้อย ยังแก่ไม่พอ ให้หาสัญลักษณ์อื่นมาแทน

ระวังไว้...เผลอเมื่อไรจะกลายเป็นร่างทรง อย่างอาตมาปฏิเสธเด็ดขาด หมากก็ไม่เอา แว่นตาก็ไม่เอา ยานัตถุ์ก็ไม่เอา ท่านถามว่าแล้วไม้เท้าจะเอาไหม ? ตอนนั้นตอบว่าเอาหรือไม่เอาก็โดนแน่ เงียบดีกว่า

ถาม : การเป็นร่างทรงมีข้อเสียอะไรคะ ?
ตอบ : ไม่มีข้อเสียอะไรหรอก แต่เสียเวลาการปฏิบัติของตัวเอง ถ้าเราต่อรองเป็นก็ดี แต่คราวนี้สิ่งที่ทำกลายเป็นว่า เขาเอาร่างของเราไปสร้างบารมี ส่วนที่เสียง่ายก็คือถ้าขาดสติสัมปชัญญะ ถึงเวลาแล้วชื่อเสียงลาภยศมา จะกลายเป็นว่าคิดว่ากูเก่ง แล้วจะไปหลงในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข พอความหลงในลาภ อยากเด่น อยากดัง อยากมีบริวารมาก ๆ เกิดขึ้น ท่านก็ไม่สงเคราะห์อีก

คราวนี้พอคนมาหาก็เริ่มมั่ว ถ้ามั่วถูกก็ดีไป ถ้ามั่วผิดก็เสียหาย เรื่องพวกนี้ต้องระวัง บอกท่านไปว่ายังแก่ไม่พอ ขออีก ๕๐ ปีข้างหน้าแล้วค่อยมา บางอย่างมีกรรมเนื่องกัน ท่านเองท่านก็คงใจร้อน รอเกิดใหม่ก็ช้า จึงอาศัยคนที่เนื่องกันมา หรือไม่ท่านก็คงประเภทกลัวเกินกว่าที่จะมาเกิด "มากูก็ลำบาก ไม่มาดีกว่า อาศัยคนอื่นแบบนี้แหละ”

เถรี 28-11-2011 19:40

พระอาจารย์กล่าวว่า "หนังสือกรรมฐาน ๔๐ ของหลวงพ่อวัดท่าซุง ถ้าเป็นเล่มเก่า ๆ จะมีอยู่ตอนหนึ่งที่เขาตัดออก เพราะว่าท่านกล่าวถึงคณะปฏิวัติ เกี่ยวข้องกับประเด็นทางการเมือง ทำให้คนไปตำหนิว่าหลวงพ่อวัดท่าซุงเป็นพระการเมือง จึงทำให้หายไป ๔ หน้า

อาตมาอ่านหนังสือรุ่นเก่า บางทีก็จะบอกว่าอยู่หน้าไหนในหนังสือเล่มใหม่ที่พวกเราอ่าน ก็ต้องลบหน้าที่เขาตัดออก เพราะว่าหนังสือรุ่นใหม่จะหายไป ๔ หน้า"

เถรี 28-11-2011 19:50

ถาม : คนสมัยก่อนเขาห้ามเผาศพวันศุกร์ใช่ไหมครับ?
ตอบ : เขาห้ามเผาวันศุกร์ สมัยก่อนถ้าวันเผาตรงกับวันศุกร์เขาจะเลื่อนวัน ส่วนใหญ่เขาจะเลื่อนเป็นวันพฤหัสบดี เขาจะไม่เอาวันเสาร์ เพราะถ้าไปเจอคนที่ตายวันอังคารแล้วเผาวันเสาร์ เขาว่าผีจะเฮี้ยน

ถาม : แล้ววันพระเล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าพระท่านไม่ติดลงโบสถ์ก็พอได้ แต่ต้องเป็นวันพระเล็ก ถ้าวันพระใหญ่เวลาเผามักจะเป็นเวลาพระลงโบสถ์พอดี คนโบราณเขาจะเว้นวันพระกับเว้นวันศุกร์ ที่เว้นวันศุกร์ เพราะเป็น "วันสุข" ไม่ใช่ "วันเศร้า" ส่วนที่เว้นวันพระนั้น ความจริงไม่ใช่อะไรหรอก เดี๋ยวพระท่านจะทำกิจของสงฆ์ไม่ได้

เถรี 29-11-2011 08:22

เวลาไปพม่าบางทีก็ทำใจไม่ถูกเหมือนกัน เพราะบางทีกะเวลากลับเอาไว้พอดี แต่ดันไม่ได้กลับ เพราะเขาบอกว่า “วันนี้วันจม ไม่วิ่งรถ” แล้วเป็นอย่างนี้ทั้งท่ารถ อาตมาจะไปบังคับเขาได้อย่างไร วันไม่ดีเขาไม่วิ่งกัน

ตั้งแต่ไปพม่ามาไม่เคยเจออุบัติเหตุ ทั้ง ๆ ที่พม่าขับรถพิลึกพิลั่นมาก ถนนที่นั่นแคบ เวลารถจะวิ่งสวนกันต้องลงข้างทางคนละล้อ อาตมาเผลอชักแขนหลบทุกที แต่เขากะจังหวะได้ โดยเฉพาะรถวิ่งกลางคืน พอห่างกันสัก ๑๐๐-๒๐๐ เมตรเขาจะสาดไฟสูงใส่กัน ๓-๕ ครั้ง พอวิ่งเข้ามาใกล้สัก ๕๐ เมตร จึงค่อยดับไฟหน้าพร้อม ๆ กัน ถ้าเป็นบ้านเราก็ชนกันเละ..! แล้วพอรถวิ่งมาเกือบจะสวนกัน ต่างคนต่างก็สาดไฟสูงใส่กันอีก แล้วจะไปมองอะไรเห็น ?

ถ้าจะด่าคนขับนี่ไม่ต้องไปด่าหรอก เพราะเขาทำอย่างนั้นกันทั้งประเทศ ถามว่าทำไมทำอย่างนั้น ? เขามองว่าเวลาหลบกันจะได้เห็นชัด ๆ จะไปเห็นชัดกับแมวอะไร จากที่วิ่งมามืด ๆ แล้วไปสาดไฟสูงใส่อย่างกะทันหัน ถ้าเป็นอาตมาจะไม่เห็นอะไรเลย เพราะตาพร่าไปหมด

เถรี 29-11-2011 08:31

ถาม : น้ำมนต์งานเป่ายันต์เกราะเพชรกับน้ำมนต์รักษาโรค ท่านอธิษฐานเหมือนกันไหมครับ ?
ตอบ : ไม่เหมือนกัน...น้ำมนต์รักษาโรค อธิษฐานรักษาโรคทั้งคนและสัตว์ ส่วนน้ำมนต์งานเป่ายันต์เกราะเพชร อธิษฐานให้ทำลายสิ่งที่ไม่ดีได้

ถาม : แล้วพระโพธิสัตว์องค์ไหนที่รับหน้าที่นี้โดยเฉพาะครับ ?
ตอบ : ได้ทั้งนั้น..อาตมาเจอหน้าใครก็ขอให้ช่วย ต้องบอกว่าทุกท่านรับหน้าที่นี้โดยเฉพาะ..!

เถรี 29-11-2011 09:44

ถาม : เวลาโยมฝึกมโนยิทธิ พอขึ้นไปบนพระนิพพาน จับภาพพระแล้วจะเห็นเป็นรูปวิมานแทน อย่างนี้ถูกไหมคะ ?
ตอบ : ได้..ทำอย่างไรก็ได้ ให้รู้ว่าตรงหน้าเรานี้คือพระนิพพาน จะเป็นภาพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้ จะเป็นภาพวิมานของพระพุทธเจ้าก็ได้ หรือจะเป็นภาพพระนิพพานทั้งหมดเลยก็ได้

ถาม : ........(ไม่ได้ยิน) โยมสงสัยจริง ๆ
ตอบ : อย่างไรก็ได้ เพราะว่าอย่างแรกคือเราเกาะแค่นั้นเอง การเกาะทำให้เป้าหมายชัดเจน แต่พอถึงเวลาจริง ๆ แล้วจะต้องปล่อย ไม่ได้เกาะ

ถ้าถามว่าถูกไหม ? ถ้าอาตมาตอบว่าไม่ถูกโยมก็แย่สิ เพราะช่วงแรกในการปฏิบัติต้องเกาะกันทุกคน เหมือนการขึ้นที่สูงเราก็เกาะราวบันได แต่พอถึงห้องข้างบนแล้วโยมได้เกาะราวบันไดอีกหรือเปล่าจ๊ะ ? ถึงตอนนั้นปล่อยหมดแล้ว

ฉะนั้น...ที่ถามว่าตอนแรกถูกไหม ? ไม่ถูกสักรายหรอก แต่ต้องเกาะเพื่อที่กำลังใจจะได้มั่นคง และเป็นนิมิตหมายที่ชัดเจน หลังจากเต็มที่แล้วก็จะปล่อยเอง ขอให้เกาะอยู่ในด้านดีก็พอ อย่าไปขี้สงสัยมาก ขี้สงสัยมักจะไม่ค่อยได้อะไรหรอก ต้องทำแบบโง่ ๆ ถึงจะได้ดี

เถรี 29-11-2011 09:59

ถาม : ทำไมกายทิพย์ต้องมีการคิด อย่างเทวดาทำไมจึงต้องคิด ?
ตอบ : แล้วทำไมถึงต้องไม่คิด ? เขาก็เป็นชีวิตรูปแบบหนึ่ง ถ้าไม่มีการนึกคิดปรุงแต่ง ก็ไปนิพพานหมดแล้วสิจ๊ะ ?

อย่าถามอะไรที่เกินกว่าความรู้ของตัวเอง อาตมาอธิบายไปก็เหนื่อยเปล่า เราปฏิบัติเพื่อขจัดความฟุ้งซ่านออกจากจิต ให้จิตมีสภาพนิ่ง สงบ เพื่อที่ปัญญาจะได้เกิด มองเห็นทางออกจากทุกข์ได้ ไม่ใช่ยิ่งปฏิบัติแล้วยิ่งฟุ้งซ่าน คิดไปได้ทุกเรื่อง ประเภทนั้นเขาเรียกว่าฉลาดเสียเปล่า ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด ไปฉลาดในเรื่องที่ไม่ควรจะฉลาด แต่เรื่องที่ควรจะฉลาดกลับโง่..!


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 09:16


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว