ถาม : ลูกศิษย์ของอาจารย์ คนหนุ่มคนสาวเยอะ ท่านอาจารย์ทำอย่างไร ?
ตอบ : ไม่มีอะไรหรอก เขาเป็นคนใฝ่ดีเอง ในเมื่อเขาใฝ่ดีเอง เราก็แนะนำเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ไป..แล้วเขาทำ..เขาได้ประโยชน์ เขาก็มาอยู่เรื่อย คนที่ได้ประโยชน์แล้วอยากจะให้เพื่อนฝูงได้ เขาก็ไปพามาอีก เป็นความดีของเขาเอง ผมแค่แนะนำเท่านั้น |
พระอาจารย์กล่าวกับญาติโยมที่อยู่ต่างประเทศว่า"จริง ๆ แล้ว การที่เราไปไกล บางทีก็ดีกว่า เพราะว่าเราไปแล้ว เราไม่รู้จะพึ่งอะไร ใจก็ต้องเกาะพระจริง ๆ
การที่เราอยู่ใกล้บางทีมีส่วนเสีย เกิดความประมาท คิดว่าอยู่ใกล้เมื่อไรก็ได้..เมื่อไรก็ได้ คนไกลเอาไปกินหมด เวลาลงไปปักษ์ใต้แถวสุไหงโกลกหรือยะลา ญาติโยมแถวนั้นเขาอยู่ในที่อันตราย เขาต้องพึ่งพระ เกาะพระจริง ๆ เท่ากับว่าโดนบังคับให้ปฏิบัติไปในตัว ความก้าวหน้าของเขาจะมีมากกว่าเรา กำลังใจเข้มแข็งกว่า เพราะอยู่กลางดงระเบิดขนาดนั้น" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "การสร้างรูปหล่อหรือว่าพระพุทธรูป ยิ่งสูงยิ่งใหญ่เท่าไร ยิ่งสร้างยากเท่านั้น เพราะว่าสัดส่วนผิดจากความเป็นจริง
อย่างเช่นว่ารูปหล่อที่สูง ยิ่งสูงมากท่อนบนก็ยิ่งต้องใหญ่ เพื่อที่จะไม่ให้หลอกตา ถ้าหากว่าเป็นขนาดปกติแล้วสูงมาก ๆ ท่อนบนจะเหลือเล็กนิดเดียว ก็ต้องทำข้างบนให้ใหญ่กว่าปกติ ถ้าหากว่าช่างไม่เข้าใจตรงจุดนี้ จะทำออกมาเป็นลักษณะที่ไม่งามไปเลย แต่ถ้าหากว่าช่างที่มีความเข้าใจ ท่านจะขยายสัดส่วนได้สวยมาก" |
ถาม : เราจะหยุดอิฏฐารมณ์กับอนิฏฐารมณ์ได้หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : หยุดได้.. ถาม : ไม่ให้มันเกิด ตอบ : เพียงแต่สติ สมาธิ ปัญญา ต้องสุดยอดเลย เพราะว่าทั้งอิฏฐารมณ์(อารมณ์ที่ชอบใจ)และอนิฏฐารมณ์(อารมณ์ที่ไม่ชอบใจ) เกิดจากการปรุงแต่งของใจเรา การปรุงแต่งจะเกิดขึ้นก็คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไปรับของนอกเข้ามา ถาม : แต่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไปรับของนอกมา มันก็ไม่ได้เสพโดยตรงนี่ครับ มันเป็นอย่างอื่นก่อน แล้วถึงจะเป็นอารมณ์พอใจหรือไม่พอใจ ตอบ : มันนำมาให้เรา..! ทำอย่างไรที่เราจะสักแต่ว่าเห็น สักแต่ว่าได้ยิน อันดับแรกสติ ต้องหยุดให้ได้ก่อน สมาธิเป็นกำลังที่จะรั้งม้าที่หน้าผาไม่ให้ตกลงไป แล้วก็ปัญญา ทำอย่างไรที่จะเลี้ยวหนีไปเสียได้ ถาม : เกิดเมื่อไรนี่คือจบเลยใช่ไหมครับ ? ตอบ : ลองดูก็แล้วกัน ว่าจบหรือเปล่า (หัวเราะ) ถาม : เวลาทำสมาธิแล้วทำอย่างอื่นไปด้วย ดูเหมือนว่าจะแบกไม่ไหว ต้องทำอยู่กับที่นิ่ง ๆ ตอบ : ให้นิ่ง ๆ ไปก่อน หลังจากสั่งสมกำลังพอแล้ว ต่อไปอยู่ในสภาพอื่นก็สามารถที่จะทำได้ |
ถาม : พักหลังนี่เวลาจะไปทำบุญ มักจะมีปัญหา บางทีก็รถเสีย
ตอบ : เตรียมตัวซ่อมไว้ก่อนเลย ถึงเวลาให้เข้าศูนย์ไว้ก่อน ดูซิว่าเขาจะมีปัญญาขวางเราไปได้เท่าไร จำเอาไว้ว่า มารสามารถใช้คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา บอกเขาไปเลยว่า มีปัญญาขวางก็ไป หมดท่าจริง ๆ เดินไปก็เอา..! อาตมาอยู่ที่พม่า ไปแล้วรถเสีย รอเขาซ่อม พอเสียครั้งที่สองอีก เห็นว่าจะไปไม่ทันก็ทิ้งรถเลย จ่ายค่ารถไป ๒,๒๐๐ ทิ้งเลย พอรถคันใหม่มา กระโดดขึ้นรถไปแน่บเลย ในขณะที่ทั้งหมดยังรออยู่ เขาก็งงมากว่า เราทิ้งค่ารถขนาดนั้นได้อย่างไร ? ค่ารถขนาดนั้นกับบุญของเรามันคนละเรื่องเลย ถาม : พอจะไป บางทีก็เกิดอาการไม่สบาย ตอบ : เหมือนกัน เขาเรียก ขันธมาร พอไปเข้าผับเข้าบาร์นี่แข็งแรง พอจะไปทำบุญก็เริ่มอาการปางตาย ถือว่าเป็นเรื่องปกติ อย่าไปโกรธไปเคืองแค้นเขา เขาทำหน้าที่ของเขา เราทำหน้าที่ของเรา เขามีปัญญาขวาง เราก็มีปัญญาไป |
ถาม : อารมณ์กระทบ เป็นไปได้ทั้งราคะโทสะ ในแง่ของตัวปฏิฆะ...(ไม่ได้ยิน)
ตอบ : เหมือนกัน จะว่าไปแล้ว โทสะมีพื้นฐานมาจากราคะ อย่าลืมว่าราคะคือ ยินดี อยากมีอยากได้ แต่ถ้าเจอของตรงข้าม เกิดไม่ยินดีขึ้นมา ก็จะเป็นโทสะทันที พื้นฐานเขาสืบเนื่องกันอยู่ หลวงพ่อท่านจึงได้เปรียบว่า เหมือนกับเก้าอี้สามขา คือ โลภ โกรธ หลง ถามว่าราคะอยู่ไหน ? ก็คือ โลภะ เพราะราคะ ไปเกิดความยินดี จึงเกิดโลภะอยากได้ พยายามตะกายหามาให้ได้ เป็นอย่างเดียวกัน ท่านบอกว่าเป็นเก้าอี้สามขา ถ้าหักขาเสียข้างหนึ่ง ที่เหลือก็ตั้งไม่ได้ กำลังก็จะเบาลง เพราะว่ากำลังในการตัดกิเลส ไม่ว่าโลภ โกรธ หลง นั้น เราใช้กำลังเท่ากัน เพียงแต่ว่าเราจะตัดตัวไหนก่อนเท่านั้นเอง แต่ขอบอกเอาไว้อย่างหนึ่งว่า ตั้งใจตัดตัวไหน ตัวนั้นจะมาลุยสุดชีวิตเลย ถาม : แต่ความเร็วของตัวโทสะ เร็วกว่าตัวราคะมาก..? ตอบ : อยู่ที่ว่าเราแพ้ตัวไหน ถ้าพื้นฐานเป็นโทสะจริตก็เสร็จโทสะก่อน ถ้าพื้นฐานเป็นราคะจริตก็เสร็จราคะก่อน ขึ้นอยู่กับว่าเราแพ้ทางตัวไหน ถาม : โทสะเป็นเพราะมานะ ตอบ : เต็ม ๆ มานะกับสักกายทิฏฐิ ถาม : (ไม่ได้ยิน) ตอบ : นี่เราเห็นแล้วนะ เพียงแต่ว่ากำลังของเรายังไม่พอที่จะหยุด เพราะฉะนั้น..ต้องอาศัยสมาธิให้มากขึ้น คราวนี้สติตามทันแล้ว..เห็นแล้ว แต่ยังหยุดไม่อยู่ ไหลลงเหวไปทุกที ดึงสุดชีวิตแล้ว แต่ม้าตกเหวไปเสียก่อน ต้องสร้างสมาธิให้มีกำลังมากขึ้น เพื่อที่จะช่วยดึงเอาไว้ ห้ามไว้ให้อยู่ ต่อไปก็ใช้ปัญญาเลี้ยวหลบ |
ถาม : โทสะจำเป็นไหมที่จะต้องไปแก้ด้วยตัวพรหมวิหารสี่ ?
ตอบ : ไม่จำเป็น อาตมาเจอมาเองแล้ว ราคะแก้ด้วยพรหมวิหารสี่ ตลกที่สุด ราคะเขาให้แก้ด้วยกายคตาสติ กับอสุภะกรรมฐาน อาตมาแก้ไม่ตก ไปแก้ตกด้วยพรหมวิหารสี่ ดังนั้น..เราอาจจะแก้โทสะด้วยอานาปานสติก็ได้ ในเมื่อมีสติมั่นอยู่กับลมหายใจเข้าออก โทสะก็เกิดไม่ได้ ถาม : สังเกตว่าพอไปแก้ที่ตัวมานะให้ลดลงแล้ว โทสะก็เบาลงไปด้วย ตอบ : ที่เบาลงก็คือ การกระทบน้อยลง เพราะตัวกูเล็กลง แต่ถ้าตัวกูอ้วนมาก ก็กระทบเยอะ |
พระอาจารย์กล่าวถึง พระเถระที่นิพพานในลักษณะแปลกกว่าท่านอื่น ๆ ว่า "พระราหุล พุทธปิโยรส ท่านไปนิพพานบนดาวดึงส์ ก็เลยเดือดร้อนเทวดาต้องทำศพให้
พระอานนท์ นิพพานกึ่งกลางแม่น้ำโรหิณี อธิษฐานเตโชธาตุเผาตัวเอง แล้วให้อัฐิธาตุตกไปสองฝั่ง จะได้ไม่ต้องแย่งกัน เพราะว่ากบิลพัสดุ์และเทวทหะอยู่กันคนละฝั่ง ทั้งสองเมืองเขาก็ขัดกันมาหลายทีแล้ว พระอานนท์กลัวว่าท่านเองจะเป็นชนวนให้เขารบกัน ก็เลยใช้วิธีนิพพานอยู่ตรงกึ่งกลางทั้งสองเมือง อีกท่านหนึ่งที่ประหลาดคือ พระพากุละเถระ (พา หรือ ทวา แปลว่าสอง พากุละ ก็คือ สองตระกูล) พระพากุละท่านนี้เป็นผู้เลิศในทางไม่มีโรค นอกจากความหิวตามปกติแล้ว โรคอื่นไม่มี เป็นบุคคลที่อายุยืนที่สุดที่บันทึกไว้ในพระไตรปิฎก ก็คือ นิพพานตอนอายุ ๑๕๐ ปี และไม่ได้นิพพานเพราะหมดอายุ แต่นิพพานเพราะเบื่อ ก็เลยเข้ากรรมฐานไปเฉย ๆ ในอดีตท่านสร้างวัจกุฎี ก็คือ ห้องส้วมถวายพระไว้ เป็นการปลดทุกข์ให้แก่ภิกษุสามเณร เกิดมาชาติใหม่ท่านก็เลยไม่มีทุกข์ในเรื่องของการเจ็บป่วย ยกเว้นการหิวแล้ว อย่างอื่นไม่เคยเป็นกับใครเลย สำหรับพระสูตรที่กล่าวถึงพระพากุละ ชื่อยากมากเลย มีชื่อว่า พักกุลัตเถรัจฉริยัพภูตสูตร แปลเป็นไทยว่า อัจฉริยะของพระพากุละเถระและธรรมอันน่าอัศจรรย์ พระโมคคัลลานะ นิพพานที่กาฬศิลา แต่กลับไปทูลลาพระพุทธเจ้าก่อน ทั้ง ๆ ที่โดนโจรทุบจนเละ ท่านใช้กำลังอภิญญาประสานร่างกาย ไปทูลลาพระพุทธเจ้า เสร็จแล้วจึงกลับมานิพพานตรงที่โจรทิ้งเอาไว้" |
ถาม : ถ้าอย่างนั้นคนที่ไม่มีโรคก็แสดงว่า..
ตอบ : สร้างปาณาติบาตมาน้อย และสร้างบุญประเภทนี้ไว้ (สร้างวัจกุฎี) |
พระอาจารย์กล่าวว่า " สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ สร้างพระกริ่งปวเรศจนดังระบือลือลั่น เขาคาดกันว่า พระองค์ท่านสร้างอยู่ระหว่าง ๓๐ - ๕๐ องค์ เท่านั้น แต่นับจากคนที่มีพระกริ่งปวเรศแล้วร่วมหมื่นองค์
ปี ๒๕๓๐ ในหลวงมีพระชนมายุ ๖๐ พรรษา พระองค์เสด็จเททองสร้างพระกริ่งปวเรศรุ่นสอง บางคนเรียกว่า พระกริ่งปวเรศน้อย ได้นิมนต์หลวงพ่อไปในงานพิธีพุทธาภิเษก ถือว่าเป็นพระกริ่งรุ่นเดียวที่หลวงพ่อฤๅษีมีโอกาสร่วมพิธีด้วย เพราะว่าของท่านเองไม่ได้สร้างเลย ช่วงนั้นราคาแพงมาก ๆ ในความรู้สึกของตัวเอง เพราะว่าชุดหนึ่งที่มีทั้งพระกริ่ง - พระชัยวัฒน์ เขาจำหน่าย ๕,๕๐๐ บาท ปี ๒๕๓๐ ราคา ๕,๕๐๐ ถือว่าแพงมาก ก็เลยมีได้แค่ชุดเดียว ไม่มีปัญญาจะกักตุน มาตอนหลังดังระเบิดเถิดเทิง ของปลอมเต็มบ้านเต็มเมืองเลย" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "พวกกิเลสนี้ต้องบอกว่าเขาสุดยอดเลย ถ้าเขาเปิดบริษัทค้าขาย สินค้าทุกตัวที่เขาเสนอมานี่ ขายไม่เหลือหรอก เพราะเขาเสนอแต่ของที่เราชอบทั้งนั้นเลย
รูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสนิ่มนวล ครบชุดเลย ใครเจอก็กระโดดใส่ทุกราย เพราะว่าเป็นสิ่งที่เราชอบอยู่แล้ว" |
ถาม : ที่บ้านมีคล้าย ๆ พวกร่างทรง แม่เขาอยากให้ทางฝ่ายภรรยาผมรับช่วงต่อ ภรรยาก็ไม่อยากรับ
ตอบ : รับได้ แต่เรายึดพระพุทธเจ้าเป็นใหญ่ ประกาศตนเป็นพุทธมามกะไปเลย "ข้าพเจ้าขอยึดพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่งตลอดชีวิต ไม่มีสรณะอื่นใดยิ่งไปกว่านี้อีกแล้ว.." ประกาศเสร็จ พอจะทำอะไรก็ตั้งนะโม ไหว้พระก่อน จะไม่มีปัญหาจ้ะ เพราะไม่มีอะไรสู้บารมีพระได้ รับไปเลย เขาจะได้ไม่เกลียดขี้หน้าเรา ส่วนรับไปแล้วเราจะจัดการอย่างไรอยู่ที่เรา ถาม : แล้วขันครู ? ตอบ : ไม่เป็นไร ถึงเวลาก็ลอยน้ำไป ไม่ต้องไปส่งต่อให้ใคร พอมีงานครู งานประจำปี เราก็ทำหลอกเขาไป ขันเราลอยน้ำไปนานแล้ว ถือว่าที่เราทำ เราก็ตั้งใจบูชาพระของเราไป ถาม : โกหกหรือเปล่า ? ตอบ : ไม่ได้โกหก แต่พลิกแพลงนิดหน่อย จะได้ไม่ขัดใจผู้ใหญ่ |
ถาม : คนที่บริกรรมไว ๆ และกำหนดความรู้สึกไป พอเผลอปุ๊บเขาจะสัปปะหงกเลย
ตอบ : สติขาด พอจิตเริ่มทรงตัวเป็นสมาธิอย่างหยาบ สติจะตามไม่ทัน ลักษณะเหมือนตกจากที่สูงวูบลงมา หรือเหมือนกับคนง่วง จะโงกไปทีหนึ่ง เพราะว่าสติขาด ตามอาการของสมาธิไม่ทัน ถ้ารู้ตัวก็เริ่มต้นใหม่ เอาจิตจดจ่ออยู่กับลักษณะนั้นไปเรื่อย ๆ โดยจี้ให้ติดมากกว่าเดิม ถ้าอย่างนั้นจะไม่เป็น แต่ถ้าหากหลุดเมื่อไรเป็นทันที ลองซ้อมดู สมัยก่อนมีอาจารย์ปถัมภ์ เรียนเมฆ ท่านใช้วิธีนึกถึงกงจักรหมุน ๆ แทน แล้วภาวนาว่าจักรเข้า ๆ ใช้ได้เหมือนกัน เพราะว่าสมาธิจดจ่ออยู่จุดเดียว ถ้าหากว่าคล่องตัวมาก ๆ เราสามารถทำพร้อมกันหลาย ๆ จุดในร่างกายได้ และชัดด้วย ถ้าหากถึงระดับนั้น จะเป็นพื้นฐานของกสิณควบกับสมาธิ ถ้าภาษาปฏิบัติเขาเรียกว่า กีฬาสมาธิ มีอะไรให้เล่น จะได้ไม่เบื่อ |
ขอบคุณกระทู้เก็บตกนี้ของคุณเถรีมากนะคะ
ทำให้ลูกศิษย์ที่อยู่ไกล ๆ อย่างพี่ทั้งหลาย ได้รับคำสอนอันมีค่าจากพระอาจารย์โดยตลอด ทุกเดือนที่ผ่านมาก็เฝ้านั่งคอยหนังสือกระโถนข้างธรรมาสน์ที่พระอาจารย์ส่งมาให้กลุ่มลูกศิษย์ที่เชียงใหม่เป็นประจำ หลายปีแล้วค่ะ ไม่มีอะไรจะให้คุณเถรี มีแต่ความชื่นชมและกำลังใจ พร้อมกับความรู้สึกขอบคุณ รับไว้หน่อยนะคะ |
อ้างอิง:
เข้าใจอารมณ์ของคนที่อยู่ไกลดีค่ะ เพราะเมื่อก่อนตอนเถรีเรียนที่เชียงใหม่ก็รู้สึกว่า โอกาสของตัวเองมีน้อยกว่าคนใกล้เหมือนกัน ดังนั้น ถ้าพอมีอะไรที่จะคลายความคิดถึงที่มีต่อพระอาจารย์และคำสอนของท่านได้ ก็พยายามจะนำมาให้อ่านเรื่อย ๆ ค่ะ |
มีท่านหนึ่งเป็นคนขี้สงสัยลังเล ปฏิบัติมานานเป็นสิบ ๆ ปีแล้ว แต่ก็ยังอยู่ที่เดิม พระอาจารย์ได้เมตตาบอกเขาไปว่า "คุณลองนึกถึงคนเดินทาง ถ้าเดินจ้ำ ๆ ๆ ไปข้างหน้าเลย เดี๋ยวก็ถึงที่หมายแล้ว แต่ถ้าเราเป็นประเภท นี่ก็ไม่ได้ นั่นก็ไม่ได้ จะไปเจออะไรไหม ? จะเป็นอย่างนั้นไหม ? จะเป็นอย่างนี้ไหม ? ก็เลยไม่ต้องเดินกันเสียที
วางกำลังใจผิด มัวแต่เสียเวลาสงสัยอยู่ ไม่อย่างนั้นของเรานี่ นับชั่วโมงบินแล้ว เขาไปกันถึงไหนกันแล้วก็ไม่รู้ ต้องบอกว่า เพราะการเสียเวลาคิดเรื่องไม่เป็นเรื่องของเรา ทำให้เสียเวลานาน ถ้าตายเสียก่อนก็ไม่ได้อะไรเลย..!" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "พวกที่หน้าตาดี เขาทำบุญไว้ดี แสดงว่าพื้นฐานเดิมมาจากพรหมวิหาร ๔ กับศีล
ถ้าพรหมวิหารดี..ศีลดี ก็ออกมาหน้าตาดี อย่างของอาตมา เป็นทหาร ฆ่าเขามาทุกชาติ อย่างไรก็เอาดีไปกว่านี้ไม่ได้หรอก" |
พระอาจารย์กล่าวถึงครูบาอริยชาติว่า "ครูบาอริยชาติท่านถวายประคำนิลมาเมื่อวันเกิดปีที่แล้ว ท่านน่ารักมาก มีอะไรก็ถวายมาอยู่เรื่อย ๆ ตัวจริง ๆ ยังไม่เคยเจอกันหรอก เจอกันแต่ในฝัน งานนี้(งานสืบชะตา)เดี๋ยวก็รู้ว่าคณะทำงานนิมนต์สายเหนือมาได้เท่าไร"
หมายเหตุ : ครูบาอริยชาติ ท่านเป็นพระเถระอีกรูปหนึ่ง ที่ทางเรานิมนต์มาในงานสืบชะตาค่ะ สำหรับประคำนิลนั้น พระอาจารย์เล็กได้เมตตามอบให้ทางทีมงานนำไปประมูล เพื่อหาปัจจัยสร้างสมเด็จองค์ปฐมวัดหนองหญ้าปล้องค่ะ ประคำนิลนี้ เรียกได้ว่าเป็นประคำสองพระอาจารย์เลยก็ว่าได้ ถ้าท่านใดสนใจ ต้องคอยติดตามข่าวจากทางทีมงานนะคะ |
พระอาจารย์เมตตาสอนว่า "จำไว้ว่าอย่าไปขัดพลังมวลชน หลักการของพระพุทธเจ้าข้อแรก...อย่าขัด ให้คล้อยตามไปก่อน แล้วยื่นเสนอในสิ่งที่ดีกว่า
เราต้องชี้แจงเหตุผลให้ชัดเจน ไม่ใช่ใช้ทิฐิไปเอาชนะ ถ้าใช้ทิฐิไปเอาชนะ จะเถียงกันไม่รู้จบ" |
พระอาจารย์สนทนากับหญิงตั้งครรภ์คนหนึ่งว่า "สมัยนี้เขาหาที่เกิดกันยาก บางทีเขาก็เลยแห่มาเป็นแฝดหลาย ๆ คน เนื่องจากวาระที่จะได้เกิดมีแล้ว แต่ที่เกิดไม่มี จึงต้องประดังกันมาที่เดียว อย่างกรณีแฝดแปดที่เป็นข่าว"
|
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 05:55 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.