![]() |
กำลังนอนเพลิน ๆ ประมาณ ๔ ทุ่ม เจ้าประคุณเถอะ...ใครสับหมูวะ ? เสียงก๊อก ๆ ๆ ๆ สงสัยเลิกเวรตอนดึกแล้วมาทำอาหารกิน แต่คราวนี้เขาคงไม่คิดหรอกว่าอาตมาจะหูไวขนาดนั้น แต่คิดว่าถ้าคนนอนไว ๆ หน่อยคงได้ยินหมดทั้งโรงแรม อาตมาก็เลยออกมาดู ตั้งใจจะมาด่าซะหน่อย..!
ปรากฏว่าโผล่ออกมา หิมะกำลังตก เออ...ถ้าอย่างนั้นเอ็งทำไปเถอะ ข้าไม่ไปด่าหรอก...หนาว เป็นอะไรที่ตลก ๆ อยู่เหมือนกัน คือ ๔ ทุ่มกว่าแล้วแต่เขาไม่ได้เกรงใจใครเลย หิวขึ้นมาก็ทำกินของเขา แล้วคนแถวนั้นเขาทำเส้นหมี่เอง นวดแป้งแล้วก็ดึงทบ...ดึงทบ สักพักเดียวเท่านั้นเองเป็นเส้นหมี่ยาวยืดเต็มไปหมดเลย ใครจะกินแบบนั้นก็ได้นะ พวกที่ออกไปกินมื้อเย็นกัน ๓ - ๔ คนนี่เขาเจอกันแทบทุกวัน ถึงเวลาเขาทำให้ดูเลย ดึงเส้นหมี่เสร็จก็สับ โยนลงหม้อ ต้มเสร็จก็คีบขึ้นมา พวกกินมื้อเย็นนี่เขามีประสบการณ์เยอะ ไหนจะหม้อไฟ ไหนจะหมี่ร้อนทำสดให้ดู ...(หัวเราะ)... |
ไปงานนี้อาตมาไม่ได้ติดโน้ตบุ๊กไปด้วย เพราะมีประสบการณ์ตั้งแต่ไปปากีสถานว่า พวกเครื่องใช้ไฟฟ้า แม้กระทั่งกล้องถ่ายรูป ถ้าอากาศต่ำกว่า ๕ องศาเซลเซียสมักจะไม่ทำงาน ขาดใจตายเอาเฉย ๆ จนกว่าจะไปที่อุ่นหน่อย ถึงจะยอมทำงาน ก็เลยมีเวลาภาวนาเยอะ มีเวลาคุยกับเจ้าที่เจ้าทางมากขึ้น ไม่อย่างนั้นก็ต้องตั้งหน้าตั้งตาพิมพ์หนังสือ
มางวดนี้ก็เลยคิดว่าเวลามีน้อย เราไม่มีเวลาที่จะเขียนให้ญาติโยมอ่านกัน จึงใช้วิธีเล่าให้ฟังแบบนี้ |
ช่วงเช้าส่วนใหญ่แล้วอาตมาชอบออกไปเดินดูบ้านดูเมืองเขา ส่วนที่ชอบใจที่สุดก็คือพวกประตูหน้าต่าง เขาแกะสลักเป็นลายทิเบตสวย ๆ เก่า ๆ บางหลังนี่เป็นโลหะเลย ประมาณพวกหล่อสัมฤทธิ์หรือทองเหลือง พอยิ่งใช้เก่าก็ยิ่งสวย
ศิลปะพวกนี้คาดว่าอีกไม่นาน พวกสะสมของเก่าโดยเฉพาะจากพวกยุโรปหรืออเมริกาเข้าไป อาจจะไปขอซื้อเขาแล้วขนกลับบ้าน ก็คือประตูก็เก่าเต็มทีแล้ว..ใช่ไหม ? พอถึงเวลาเขาอยากได้เงินเอาไปเปลี่ยนใหม่ พวกนี้เขาก็มาขอซื้อก็ขายเลย อะไรประมาณนั้น |
อาหารเช้าทุกแห่งเหมือนกันหมด ข้าวต้ม ผัดผัก ไข่ต้ม ไข่ต้มนี่ขาดไม่ได้เลย แต่โรงแรมนี้ดีตรงที่มีไข่เจียวให้ หลายคนบอกว่ารอดตายไปที เพราะว่าอย่างอื่นที่เหลือกินไม่ได้ โดยเฉพาะพวกผัดผัก ผัดถั่วงอก ถ้าใช้ตะเกียบไม่เป็นก็ไม่ได้กินหรอก โดยเฉพาะใช้ตะเกียบกินข้าวต้ม อาตมานี่พุ้ยมาตั้งแต่เด็ก คนอื่นคีบถั่วเป็นนานกว่าจะได้สักเม็ดหนึ่ง อาตมาคีบไปทีสามเม็ดสองเม็ด คนอื่นเขาก็สงสัยว่าคีบได้อย่างไร ? ต้องใช้แรงให้พอดี ถ้าใช้แรงมากเกินไปก็คีบไม่อยู่
เสร็จแล้วก็ออกเดินทางกัน ก่อนเดินทางก็ยังมีพวกที่กินข้าวต้มไม่ถนัด เห็นเขามีพวกซาลาเปาขาย วิ่งลงไปขอซื้อ ซาลาเปาเมืองจีนไม่อร่อย เมืองจีนส่วนใหญ่เป็นพวกไส้หมูสับ แต่ว่าจะเน้นไขมัน ก็เลยมันแผล็บไปหมด แล้วก็เป็นหมั่นโถวที่เป็นก้อนแป้งนึ่งเฉย ๆ พวกเราไม่เคยชินก็กินยาก อาตมาเองไม่ได้ใส่ใจหรอก เอ็งจะเป็นอะไรก็ส่งมาเถอะ |
ด้วยความที่เป็นการเดินทางของวันที่ ๒ ที่ไปถึง จึงปรับระบบได้แล้ว ไม่เหมือนวันแรกที่เราไปถึงตอนเที่ยงคืนกว่า วันนี้ก็เลยออกเดินทางเร็ว ไปถึงจุดพัก ตรงนั้นเขาเรียกว่า แม่น้ำน้ำมนต์ เพิ่งจะ ๘ โมงกว่าเท่านั้นเอง แต่เจ้าประคุณรุนช่องเอ๊ย....อากาศ ๒ - ๓ องศาเซลเซียสแล้วเราไปยืนอยู่ตรงแม่น้ำ ลมแรงอย่าบอกใครเลย คือถ้าธรรมดาก็ไม่หนาวเท่าไร แต่ถ้ามีลมเมื่อไรก็ปางตายเลย บางคนหนาวจนหน้าเต้นได้
แม่น้ำตรงนั้นก้อนหินจะมีสลักคาถา เน้น ๆ เลยก็พวกโอม มณี ปัทเม หุม เต็มไปหมดทั้งแม่น้ำเลย แล้วก็มีนักท่องเที่ยวบางคนโดนชาวบ้านด่า เพราะว่าลงไปเหยียบหินเพื่อถ่ายรูป ดันไปเหยียบก้อนที่เขาสลักคาถาเอาไว้ |
คราวนี้ตามแหล่งเที่ยวก็จะมีของขายเป็นปกติ มีห้องน้ำให้เข้า ของขายหลัก ๆ แถวนั้นที่เห็นมีทุกร้าน อย่างหนึ่งก็คือเนื้อจามรีตากแห้ง เป็นเนื้อจามรีใส่พริกเสฉวน แต่ละเส้นที่ตากแห้งแล้วหยิบขึ้นมานี่ พริกติดอยู่เป็นร้อยเม็ดเลย
ถาม : เขากินพริกเพื่อให้ร้อนหรือเปล่าคะ ? ตอบ : เขากินเพื่อให้ร้อน เพราะว่าที่นั่นอากาศหนาว ส่วนพวกเราไปก็ประเภทกินกันจนปากแดง จมูกแดง ขี้มูกยืด แต่ก็ยังไม่หายหนาวสักที พวกของขายหลัก ๆ ที่มีอยู่ ก็จะเป็นพวกประคำ เป็นประคำไม้ ประคำเขาจามรี ประคำกระดูกจามรี ประคำเทอร์คอยส์ ประคำอำพัน ส่วนใหญ่ก็อย่างว่าแหละ...เป็นของทำเทียมเลียนแบบทั้งนั้น |
เส้นทางที่เราวิ่งไปนั้นไกล จึงต้องมีการจอดรถเป็นระยะ ๆ พวกเราสงสัยมากว่าตรงนี้มีอะไร รถถึงได้จอดอยู่เต็มไปหมด เหมือนอย่างกับเขามีงานเลี้ยงหรืออะไร ปรากฏว่าเป็นทุ่งหญ้า มีแม่น้ำไหลผ่าน เป็นนาข้าวเก่า ๆ คนเขาลงไปถ่ายรูปวิวกัน ซึ่งก็ไม่ค่อยมีอะไรน่าดูหรอก เพราะว่าน้ำก็ขุ่น ภูเขาก็เหลืองกรอบไปหมดแล้วเพราะความหนาว
สรุปว่าเขาอยากลงไปยืดเส้นยืดสายกัน เพราะว่านั่งรถนานเกินไป แล้วก็ดันมีคนเอาม้ามาให้เช่าอยู่ ๒ ตัว ใครอยากไปออกกำลังแก้หนาวขี่ม้าก็ได้ แต่อาตมาว่าน่าจะหนาวหนักขึ้นไปมากกว่า ตรงนี้พวกเราลงไปแล้วหาที่เข้าห้องน้ำไม่ได้อีกด้วย จะให้ไปนั่งปล่อยกลางทุ่งก็ยังทำใจกันไม่ได้ |
ถัดจากนั้นหน่อยหนึ่งไปเจอรถเกิดอุบัติเหตุ ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นรถพระหรือรถฆราวาส เพราะเห็นมีพระทิเบตรูปหนึ่งไปยงโย่ยงหยกอยู่กับรถเขาด้วย เขากำลังเอารถขึ้นรถเทรลเลอร์เพื่อที่จะขนกลับ ด้วยความที่ประเทศจีนจำกัดความเร็วรถที่ ๖๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง เจออุบัติเหตุหลายครั้ง แต่ไม่มีประเภทคนตาย อย่างเก่งก็รถพังหน้ายุบอะไรประมาณนั้น เพราะว่าความเร็ว ๖๐ กิโลเมตรชนไปก็ไม่หนักหนาเท่าไร
ไม่เหมือนบ้านเรา ให้ขับ ๙๐ ก็ล่อเป็น ๑๒๐ บางคนก็เล่นไป ๑๖๐ - ๑๘๐ บ้านเขาก็มีเตือนนะ ทางโค้งบางแห่งเขาก็มีอนุสาวรีย์ตีนผี เอารถพัง ๆ ไปตั้งเอาไว้ให้ดูว่า ถ้าคุณประมาทแล้วจะเป็นอย่างนี้ ประเทศจีนก็มีจ่าเฉยเหมือนกับบ้านเรา แต่จ่าเฉยเมืองจีนไม่เฉย ยืนนิ่ง ๆ ก็จริง แต่ในมือเป็นกล้องวงจรปิด รถวิ่งผ่านกี่คันถ่ายไว้หมด ก็ถึงได้ว่าจ่าเฉยเมืองจีนไม่เฉยจริง |
ถนนหนทางเขาก็คดเคี้ยวไปเรื่อย ถึงเวลาวิ่งไปประมาณชั่วโมงกว่าก็ต้องจอดพักเข้าห้องน้ำกัน จุดที่จอดพักตรงนั้นน้ำดี ห้องน้ำสะอาดมาก เพราะว่าเขาปล่อยน้ำจากภูเขาพุ่งผ่านห้องน้ำไปเลย ห้องน้ำของเขาจะเป็นรางยาว ๆ ทะลุถึงกันทุกห้อง แล้วก็มีที่กั้นอยู่หน่อยหนึ่ง ถ้าหากว่าไม่มีน้ำนี่ บางทีเขาถ่ายหนักถ่ายเบา ก็จะกองอีเหละเขะขะอยู่อย่างนั้น แต่ว่าตรงนั้นถือว่าสะอาดเลย เพราะว่าน้ำพุ่งพรวดเดียวทะลุทุกห้อง
เข้าไปก็คนละหนึ่งหยวน ตอนแรกก็ว่าคนเก็บเงินอยู่ไหน พอเข้าเสร็จออกมาเขามายืนรอเก็บเงิน ที่แท้เป็นคนขายของที่อยู่ด้านข้างนั่น แล้วก็มีบริการล้างรถ แต่ขอโทษเถอะ...ถ้ารถบ้านเราไปล้างก็น้ำตาไหล เขาใช้แปรงขัดพื้นแบบด้ามยาว ขัดรถให้ทั้งคัน ล้างเสร็จแล้วรถลายพร้อยเลย...! สรุปว่าถ้าใครขับรถไปนี่อย่าให้เขาล้างนะ ล้างฟรีด้วย แต่ขอโทษเถอะ...ได้นั่งร้องไห้กันบ้าง แปรงขัดพื้นด้ามยาว ที่หน้ากว้างสักศอกหนึ่ง แล้วด้ามยาวสัก ๒ เมตร ดันเอาแปรงแบบนั้นมาขัดรถ วิ่งผ่านไปถึงจุดพักที่หมู่บ้านซ่งหรง ตรงนี้เขามีรูปปั้นขบวนคาราวานสินค้าที่เดินทางระหว่างเฉิงตูกับลาซาที่ใช้ถึงเวลา ๒ ปี ซึ่งเขาก็จะมีรูปคนแบกสินค้า มีหมาทิเบต มีจามรี มีเด็ก มีผู้ใหญ่ พูดง่าย ๆ ว่า ๒ ปีนี่ ถ้าหากว่าคลอดลูกแล้วเอาเข้าคาราวานไปด้วย ขากลับก็วิ่งเองได้แล้ว |
ไปถึงตอนนั้นก็ ๑๐ โมงกว่า นึกว่าเขาจะเข้าภัตตาคาร ปรากฏว่าวิ่งเลยไปอีกเกือบชั่วโมง วิ่งไปถึงอีกเมืองหนึ่ง มัคคุเทศก์บอกให้คนขับชะลอรถ เพราะว่าการจราจรหนาแน่น คนหลายร้อย แน่นไปหมด ถามว่างานอะไร ? เขาบอกว่างานแต่ง
โทรศัพท์เข้าไปที่ภัตตาคาร สักพักหนึ่งก็ตีหน้าประหลาดบอกกับพวกเราว่า แม่ครัวที่ภัตตาคารโดนงานแต่งเขาดึงตัวไป เพราะฉะนั้น..ไม่มีใครทำอาหารกลางวันให้พวกเรา ให้ไปหากินที่อื่นเอา เออ...เรื่องอย่างนี้ก็เกิดได้เหมือนกัน จึงต้องวิ่งเลยมาอีกจุดหนึ่ง ไปเข้าภัตตาคารตรงนั้นแทน ก็อย่างว่า...ด้วยความที่ไม่พร้อม จากที่มีกับข้าว ๘ อย่าง น้ำแกง ๑ ก็เหลือแค่หมี่น้ำชามเดียว เพราะว่าไม่ได้จองเขาเอาไว้ ที่จองเอาไว้ก็ดันโดนงานแต่งดึงตัวไปเสียนี่ |
สิ่งหนึ่งที่สังเกตเห็นก็คือ ปั๊มน้ำมันบ้านเขาไม่เหมือนกับบ้านเรา ปั๊มน้ำมันบ้านเขาไม่มีห้องน้ำแบบบ้านเรา เขามีใช้งานกันเองห้องเดียว ถ้าคิดจะไปอาศัยนี่ไม่ต้องเลย เพราะว่าบางทีเข้าไปก็ผงะออกมา
แต่ว่าน้ำมันของเขามีหลายเกรด เท่าที่ดูมาก็มี ๙๒, ๙๕, ๙๘ บ้านเรามีแต่ ๙๑, ๙๕ แล้วเขามีน้ำมันที่ใช้สำหรับอากาศที่ติดลบ คิดว่าน่าจะราคาแพงกว่าปกติ เขาจะมีป้ายติดอยู่ว่าลบ ๑๐ องศา ลบ ๒๐ องศา คงจะมีสารป้องกันไม่ให้น้ำมันแข็งตัว ราคาก็น่าจะแพงขึ้นตามอุณหภูมิของเขาที่มี |
คราวนี้ช่วงนั้นเป็นเขาพับผ้า วนไปวนมาจนเวียนหัว คือภูเขาไม่สูงพอที่จะทำอุโมงค์ แต่ก็ดันไม่เตี้ยพอที่จะทำถนนตรง ๆ ก็เลยต้องประเภทเลื้อยไปตามยอดเขา วิ่งไปเป็นชั่วโมง
พอผ่านจุดอันตรายไป เขาก็จะมีจุดที่มีวิวเขาพับผ้าสวย ๆ ให้ถ่ายรูป ปรากฏว่าลงไปแล้วมีหนุ่มสาวกำลังยึดสถานที่ไว้ถ่ายพรีเวดดิ้ง คราวนี้ก็รอไปเถอะ ๑๕ นาทีที่เขาให้เราเข้าห้องน้ำมันไม่พอ คนจีนถ้าเขาจะถ่ายรูปแล้วเราไปยืนเกะกะเขา เขาจะผลักเราออกเลย แต่คราวนี้หนุ่มสาวถ่ายพรีเวดดิ้ง กำลังหวานแหววอยู่เลย จะไปผลักออกก็ไม่ได้ จึงรอจนหมดเวลาก็ไปโดยไม่ได้ถ่ายมุมที่ตั้งใจไว้ |
วิ่งต่อไปจนถึงจุดพักรถอีกแห่งหนึ่งซึ่งมีร้านขายของ ต้องบอกว่าเป็นหลักเป็นฐานเป็นงานเป็นการมาก ตรงนั้นเขาจะมีแท่งหินใหญ่ที่บอกความสูงของพื้นที่เอาไว้ว่าเป็นความสูงเท่าไร แล้วก็มีกงล้อมนต์ที่ทำเหมือนกับเจดีย์ ๙ ชั้น ๗ ชั้นอะไรของจีน ให้พวกเราไปหมุน แล้วก็มีลักษณะเหมือนกับเป็นวัดเล็ก ๆ ให้เข้าไปไหว้พระไปทำบุญได้ ทางด้านข้างเป็นร้านขายของที่ระลึกที่ปน ๆ กับพวกร้านสะดวกซื้อ
คราวนี้สิ่งหนึ่งที่ตั้งเป็นข้อสังเกตเลยก็คือ ร้านพวกนี้ของคนจีน หลัก ๆ เลยจะมี ๒ อย่าง อย่างแรกคือใบชา อย่างที่สองคือสมุนไพรจีน พอเราเห็นเราจะรู้ว่านี่ร้านคนจีน คือใบชากับสมุนไพรจีน บ้านเราทำอย่างไรที่จะมีอย่างเขาได้บ้าง ที่เดินเข้าไปแล้วให้รู้ว่านี่คือสินค้าไทย อาตมาเองมีนิสัยซื้อของด้วยกล้อง ชอบอะไรก็ถ่าย ปรากฏว่าไปถ่ายรูปสมุนไพรในนั้นไม่ได้..เขาห้าม ของบางอย่างน่าจะราคาแพง โดยเฉพาะพวกตังทั้งแห่เช่า ที่พวกเราเรียกว่าถั่งเช่า ตังก็หน้าหนาว แห่ก็หน้าร้อน ตังทั้ง...ฤดูหนาวเป็นหนอน แห่เช่า...ฤดูร้อนเป็นหญ้า |
พอถึงจุดนั้นแล้ว เราจะเดินทางต่อก็ง่ายแล้ว เพราะว่าจะมีจุดสำคัญให้เราจอดถ่ายรูปเป็นระยะ ๆ ไป ช่องเขาคาซาลา ใครผ่านก็ต้องแวะถ่ายรูป เพราะว่าความสูง ๔,๗๐๐ กว่าเมตร เกือบ ๆ ๔,๘๐๐ เมตร ไปจนกระทั่งถึงเมืองหลี่ถัง ถามว่าตรงนี้สำคัญอย่างไร ? เป็นบ้านเกิดของดาไลลามะองค์ที่ ๖
|
คราวนี้ตรงนอกเมืองมีวัดน้อย ในเมืองเป็นวัดใหญ่ เขาไม่จอดให้เราถ่ายรูปตรงนอกเมือง ทั้ง ๆ ที่แสงแดดกำลังดีสุด ๆ เลย เราลองนึกถึงว่า วัดหน้าตาแบบทิเบต หลังคาสีทองอร่ามแล้วแสงลงพอดี แต่เขาไม่จอดให้เราถ่ายรูป โดยเฉพาะมีเจดีย์เรียงรอบวัดเป็นร้อย ๆ เลย เขาพาวิ่งเข้าไปในเมือง ไปที่วัดใหญ่
วัดใหญ่เพิ่งโดนไฟไหม้ไปไม่นาน อยู่ระหว่างบูรณะ อาคาร ๒ หลังบูรณะขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว แต่พวกข้าวของเครื่องใช้ข้างในกำลังทำอยู่ พระพุทธรูปก็เพิ่งจะหล่อเสร็จ กำลังจะปิดทอง ส่วนอีกหลังหนึ่งก็โดนปิดตายสนิทไปเลย อาตมาย่องเข้าไป เสียงทำงานอีโล้งโช้งเช้งไปหมด แล้วอากาศก็ค่อนข้างหนาว ต้องเดินเร็ว ๆ หน่อย เพราะว่าหนาวมาก พอเราถ่ายรูปบริเวณวัดเสร็จ คุณตั้วที่เป็นหัวหน้าทัวร์บอกว่า เขาจะพาไปถ่ายรูปมุมสวย แล้วพาเดินออกทางด้านหน้าวัด ลัดขึ้นไปบนเนินเขา เป็นมุมสวยจริง ๆ เห็นวัดชัดเจนทั้งวัด แต่ว่าแดดหมดแล้ว ที่แน่ ๆ มีลวดหนามกั้นไว้ คุณตั้วบอกว่า สงสัยเขากั้นเพราะพวกผมนี่แหละ คราวที่แล้วแหกเข้าไปถ่ายรูปมา พวกเราเห็นมุมไหนสวยก็ไป ไม่ได้ดูหรอกว่าเป็นของใคร ในเมื่อเข้าไม่ได้ก็ต้องกลับ |
ช่วงทางกลับมีหมาอยู่ตัวหนึ่ง เป็นหมาเล็ก ๆ หมาพื้นเมือง แต่ขนยาว หมาขี้เหงา ไปเล่นที่ไหนมาไม่รู้ มีแต่เม็ดหญ้าติดเต็มทั้งตัวไปหมด แล้วอ้อนสุด ๆ เจอใครนี่วิ่งมาสวัสดีกับเขาหมด เสียดายว่าเราไม่มีเหลืออะไรให้กิน ถ้าหากว่ามีของเหลืออยู่ ไอ้นี่กินอ้วนแน่
ด้วยความที่เป็นช่วงเย็นแล้ว พวกสัตว์เลี้ยงกำลังกลับคอก มีจามรีมา ด้วยความที่เป็นทางเดินของเขา แล้วเราไปแย่งเดิน ก็เลยมีบางคนในคณะโดนจามรีไล่ขวิด..! |
ไปพักโรงแรมที่อยู่นอกเมือง ค่อนข้างจะเงียบ สิ่งที่ชอบใจของโรงแรมนี้ก็คือมีโมเดลรูปจามรี มีทั้งแบบขนสีขาว ขนสีดำ ตั้งโชว์อยู่ เข้าไปถามเขาว่าราคาเท่าไร เขาบอกว่าไม่ขาย เป็นของโชว์ แต่ถ้าจะซื้อ ร้านฝั่งตรงข้ามเขามีขาย
หลังจากที่เข้าห้องพัก อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย อาตมาก็ออกเดิน ทั้ง ๆ ที่อากาศไม่ชวนให้เดิน อันดับแรกหนาวและลมแรงมาก อันดับที่สองพื้นที่สูง เดินแล้วเหนื่อยง่าย เดินตลอดถนนเลย เขาบอกฝั่งตรงข้ามมี ก็เดินจนตลอดสาย ไม่เห็นมี มีแต่พวกห้างสรรพสินค้า พวกภัตตาคาร เดินย้อนกลับมาอีกฝั่งหนึ่งก็ไม่มี ถึงได้เห็นว่าบางคนเช่าร้านไว้หลายแห่ง พอเราเดินไปดูฝั่งโน้นเขาก็วิ่งเข้ามาเตรียมขายของให้เรา พอเราเดินกลับมาฝั่งนี้ เขาก็ขี่มอเตอร์ไซค์วิ่งข้ามมาเตรียมขายของให้เรา สรุปแล้วคนเดียวมีหลายร้าน เดินจนกระทั่งสุดถนน เพิ่งจะรู้ว่าเขาคงบอกปัดเราเฉย ๆ ประมาณว่าไม่อยากจะขาย กว่าที่อาตมาจะกลับมา ทางด้านนี้พวกกินข้าวเย็นเขาก็นั่งเฝ้าโต๊ะกัน โดยเฉพาะน้องตุ๊กตา (มาลีรัตน์ นาคทอง) นั่งเฝ้าจาน รู้สึกจะเป็นลักษณะเหมือนกับต้มยำปลาบ้านเรา ชามเกือบเท่ากาละมัง ไปเมืองจีนนี่ต้องทำใจเลยนะ แต่ละชามใหญ่จริง ๆ อาตมาเห็นว่าตัวเองไม่มีส่วนร่วมกับเขาด้วย เดินมองดูเขารอบหนึ่งก็กลับขึ้นที่พักดีกว่า เก็บแรงเอาไว้ ไม่รู้พรุ่งนี้เขาจะพาเราไปต่อที่ไหน |
สรุปว่าวันที่สองของเราวิ่งผ่านสถานที่สำคัญหลายแห่ง แต่ไม่รู้ว่าตัวเมืองตั้นปาคือตรงไหน รู้แต่ว่าเราไปพักที่เมืองถ่ากง โรงแรมเขียนภาษาอังกฤษ อ่านว่าไคมาน แต่ไม่รู้ชาวบ้านเขาอ่านว่าอะไร หลังจากนั้นก็จะท่องจำขึ้นใจเลยว่า เจอจามรีที่ไหนให้ซื้อไว้ก่อน อย่าไปหวังซื้อที่โรงแรม เขามีอยู่ ๓ ตัว เก็บไว้โชว์ลูกค้าเฉย ๆ เขาบอกด้วยว่ามีแบบเป็นขนจามรีแท้ด้วย ราคาจะแพงกว่าขนเทียม แต่เขาไม่มั่นใจว่าเราจะเอาเข้าประเทศได้ไหม เพราะว่าเป็นชิ้นส่วนของสัตว์ป่า
สรุปว่าวันที่ ๑๘ หมดไปอีกหนึ่งวัน ไปได้แค่นั้นแหละ นั่งรถกันจนตูดด้าน แต่ละวันนั่งกันทีครึ่งค่อนวันตลอด ได้ลงไปยืดเส้นยืดสายถ่ายรูปก็ตามสถานที่สวย ๆ สถานที่สำคัญ บริษัทนี้เขาเน้นเรื่องการถ่ายรูป พวกเราเองก็ไม่ได้เน้นช็อปปิ้งอยู่แล้ว ในเมื่อเขาเน้นถ่ายรูป ก็เลยลองถามเขาดูว่ารับพระด้วยไหม ? แต่หลังจากที่อยู่ร่วมกันไป ๔ - ๕ วันแล้วอาตมาเตือนเขานะ บอกว่า คุณตั้ว..เห็นอาตมาเป็นแบบนี้แล้ว อย่าหลงกลไปรับพระอื่นนะ เพราะอะไรรู้ไหม ? คนอื่นเขาไม่อยู่ง่ายกินง่ายเหมือนอาตมา ถ้าหากว่าไม่ฟัง เจอเข้าก็คงจะสาหัส |
พระอาจารย์กล่าวกับโยมที่บูชาประคำไป "ซื้อประคำไปต้องขยัน เพราะว่าประคำจะขี้ฟ้อง ถ้าเจ้าของไม่ขยันใช้ หน้าตาจะดูไม่ได้เลย แต่ถ้าเจ้าของขยันใช้บ่อย ๆ จะเงาวับ ใครเห็นก็อยากได้
แต่อย่าไปเจอแบบของทิดเฟิร์สที่เมืองจีนนะ เส้นนั้นเป็นของเก่า น่าจะร้างเจ้าของมาหลายสิบปี ทิดเฟิร์สซื้อได้ก็นิมนต์หลวงพ่อใช้ประเดิมก่อน อื้อหือ...โดนดูดจนเกือบตาย ก็คือมาอยู่กับอาตมาครึ่งชั่วโมง หน้าตาต่างกับครั้งแรกเหมือนฟ้ากับเหวเลย ของเขาทิ้งร้างมานาน พลังงานหมด แล้วด้วยความที่เขาเคยโดนอัดพลังเข้าไปเยอะ เพราะว่าเจ้าของเดิมเป็นผู้ปฏิบัติ ประมาณพวกพระลามะผู้ใหญ่ ถึงเวลาก็เหมือนคนท้องใหญ่ หิวมาก กินกระจายเลย" |
(พูดถึงหลวงปู่รินโปเช เจ้าของประคำ) "เจอหน้าแล้วใช่ไหม ? ผอมมาก ผอมจนไม่น่าเชื่อ แต่ด้วยความที่ท่านเป็นคนทิเบตแท้ ก็เลยสูง ผอม ๆ ดำ ๆ ท่านมาหาอาตมาตั้งนานแล้ว ท่านดีใจว่าวัตถุของท่านมีคนเอาไปใช้ในการปฏิบัติธรรม ท่านใส่ชุดจีวรสีแดงคล้ำ ๆ
ของพวกนี้ อาตมาเองเจอจนเบื่อ ไม่รู้ว่าจะเล่าอะไร คนที่ไม่เคยเจอก็คัน อยากเจอ ถ้าเอ็งเจอแบบข้าสักวันจะใจหาย ลืมตาตื่นขึ้นมา มายืนจ้องอยู่ข้างเตียง เพราะว่าบางท่านมาก็ไม่พูดไม่จาไม่อะไรเลย ถามว่าธุระอะไร ? เป็นใคร ? มาจากไหน ? ไม่ตอบสักเรื่อง ยืนจ้องสักพักหนึ่งก็ไป อย่างนั้นก็ต่างคนต่างไปก็แล้วกัน" ถาม : แบบนี้ก็ของเลือกคนสิครับ ? ตอบ : เขาบอกว่าวัตถุมงคลทุกชิ้นมีเจ้าของ เป็นเรื่องจริงเลย เพราะว่าบางชิ้นอาตมาลงเว็บไว้ ไม่มีใครแลหรอก พอถึงเวลาเจ้าของเขามาพรึ่บเดียวก็ไปเลย คนที่ประเภทเห็นมาตั้งนาน แล้วก็ไม่ได้นึกอยากได้ พอเจ้าของเขามาเอาไป ตอนนี้นึกอยากขึ้นมา แล้วจะไปหาที่ไหน ? อย่างเมื่อวานมีดหมอหลวงพ่อเดิมลง ๒ เล่ม มาถึงโยมก็ยกพรึ่บไปเลย มีดหมอหลวงพ่อเดิมหาง่าย ๆ ซะเมื่อไร คนเป็นเจ้าของเขาก็มานั่งเฝ้า คนไม่ใช่เจ้าของก็ไม่ต้องรอหรอก ไม่ได้เจอสักที |
ถาม : โพธิปักขิยธรรม ควรจะทำข้อไหนก่อนคะ ?
ตอบ : เลือกเอาได้เลย เพราะว่ามีเป็นชุด ๆ สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ มรรค ๘ เริ่มที่มรรค ๘ แล้วก็เอาสติปัฎฐาน ๔ คราวนี้ก็อยู่ที่เราชอบว่าจะทำอย่างไหนต่อไป |
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีใครรู้บ้างว่าศาลา ๑๐๐ ปีหลวงปู่สาย มีท้าวมหาราชเฝ้าอยู่ทั้ง ๔ ทิศเลย อาตมาหย่อนท่านลงไปในบล็อกเสา แล้วก็เทปูนลงไปเลย ไม่ได้อยู่โคนเสานะ อยู่เกือบ ๆ ยอดเสา
ที่บ้านวิริยบารมีนั้น อาตมาบรรจุพระรอด ๑ องค์ กับเขี้ยวเสือหลวงปู่ปาน วัดบางเหี้ย" |
พระอาจารย์พูดกับโยม "แปลกใจว่า...หลวงพ่อคุยโน่นคุยนี่แล้วก็ทำงานไปเรื่อย คือหงุดหงิดตรงที่ทำไม่ได้ ทำได้อย่างไร ทรงอารมณ์ทำงานไปด้วย คุยไปด้วย"
|
โยมเอาน้ำขิงมาถวายพระอาจารย์ "เห็นหรือยังว่าพระอาจารย์เป็นคนที่กินยาง่ายแค่ไหน กินเข้าไปหัวหูร้อนไปหมด
ความจริงเขาเอาไว้ให้ผู้หญิงกิน เพื่อแก้มะเร็งอะไรพวกนั้น เพราะว่าช่วยเพิ่มความดันโลหิต ตรงจุดไหนที่เลือดไปเลี้ยงไม่ถึง จะเป็นเนื้อร้ายได้ กินเข้าไปก็จะได้หาย นี่ดันทำมาให้พระฉัน ของร้อนฉันเข้าไปนี่ ถ้าสมาธิไม่ดีก็คึกตายเลย สักพักหนึ่งก็หน้าแดงหูแดง เพราะว่าร้อนข้างใน ถ้าใครเป็นความดันสูงอย่าไปกินยาตำรานี้ เพราะว่าขิงร้อนมาก จะทำให้ความดันสูงมากขึ้น อาตมาค่อนข้างจะความดันทุรังต่ำก็เลยกินได้ หมอเขาตรวจอาตมาหลายทีแล้ว เขาสงสัยมากบอกว่าไม่น่าเชื่อว่าอายุขนาดนี้แล้ว เส้นเลือดหัวใจไม่มีตีบตันสักเส้น ก็เลยบอกกับหมอไปว่ามีนิสัยค่อนไปทางฉันเจ ก็คือชอบผักมากกว่าเนื้อ ในเมื่อไม่ค่อยจะกินเนื้อ ก็เลยไม่รู้ว่าจะไปหาอะไรมาอุดตัน ไขมันยังไม่ค่อยจะมีเลย ส่วนพรรคพวกเพื่อนฝูงอายุขนาดนี้ ผ่าตัดเส้นเลือดหัวใจไปหลายคนแล้ว" |
"มีอยู่รายหนึ่ง วันก่อนเกือบจะเป็นอัมพาต ถามว่าทำไม ? เส้นเลือดตีบ แล้วชาไปซีกหนึ่ง ยังดีที่หมอเขาหาสาเหตุเจอเร็ว จะว่าไปแล้วพระฝ่ายปกครองต้องดูแลลูกคณะ ถ้าตั้งใจทำงานให้ดีจริง ๆ แล้วมักจะเครียด โดยเฉพาะตรงโน้นก็มีเรื่อง ตรงนี้ก็มีเรื่อง
ตอนนี้เจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิ ให้อาตมาไปแก้ไขปัญหาที่ตำบลชะแล เขต ๒ เจ้าอาวาสโดนร้องเรียนว่าเมาสุรา ถามว่ามีหลักฐานไหม ? ไม่มี..แต่ท่านได้ยินกับหู เพราะว่าโทรไปหาตอน ๒ ทุ่มกว่า จะบอกท่านว่ามีกิจนิมนต์ ท่านเมาจนพูดไม่รู้เรื่อง ถามว่ารู้ได้อย่างไรว่าเมา ? เสียงคนเมาไม่เหมือนกับคนปกติอยู่แล้ว ก็เลยเรียนท่านว่า หาหลักฐานมาให้สักหน่อย อัดเสียงอัดคลิปอะไรมาก็ได้ ท่านบอกว่าจ้างเด็กไปแล้ว เด็กเข้าไม่ถึง ถามว่าทำไม ? ที่วัดนั้นหมาเยอะ นับเป็นคุณูปการของการเลี้ยงหมา วัดท่าขนุนหมาเกือบ ๓๐๐ ตัว หมาวัดท่าขนุนใจดี โดยเฉพาะถ้าถือไก่ปิ้งไป จะแห่มาหมด อาตมาไปนี่หมาบางตัวตะกายยันหัวเลย นาน ๆ เจอทีเขาคิดถึงมาก" |
พระอาจารย์กล่าวกับญาติโยมที่ถวายผ้าไตรว่า "อาจจะสงสัยว่าทำไมจีวรถึงมีปากกาเหน็บมาด้วย ก็คือให้ปากกาไปพินทุผ้า การพินทุเป็นการทำเครื่องหมายว่าเราใช้ผ้าผืนนี้แล้ว ถึงเวลาไปปนกับคนอื่นจะได้จำได้ว่าเป็นของเรา"
|
พระอาจารย์เล่าว่า "อาตมาไปเมืองจีน ๑๐ วัน น้ำหนักกระเป๋า ๖.๘ กิโลกรัม มีแต่คนบอกว่าขอเฉลี่ยน้ำหนัก สรุปแล้วของคนขอเฉลี่ยน้ำหนัก ชั่งแล้วได้ ๒๑ กิโลกรัมกว่า ๆ ยังอยู่ในเกณฑ์ที่เขาให้ผ่านได้ ก็เลยไม่ต้องเฉลี่ย
พวกเราส่วนใหญ่ไปต่างประเทศแล้ว กระเป๋าจะออกลูกออกหลานมา ๒ ใบ ๓ ใบ ของอาตมาไม่มี ไปนานแค่ไหนก็แค่นั้น ส่วนใหญ่จะหนักตรงหนังสือ ติดหนังสือไปอย่างน้อย ๒ เล่ม งวดนี้ไม่ได้เอาโน้ตบุ๊กไปทำงาน หนังสือ ๒ เล่มก็เลยหมดตั้งแต่วันที่ ๒ ท้ายสุดไม่มีอะไรจะทำ อันดับแรกก็ภาวนาตามที่กำหนดในแต่ละวันจนครบ อันดับที่สองก็นั่งคุยกับผีบ้าง นั่งคุยกับตัวเองบ้าง เป็นพระก็ลำบาก โยมเขาไม่ยอมนอนด้วย ทุกคนถวายความสะดวกให้หลวงพ่อ นอนไปเถอะ..ห้องมหึมานอนอยู่คนเดียว ขนาดไปกับพระด้วยกัน เขายังหนีกันหมด กลัวอะไรก็ไม่รู้ ? งวดหน้าพระไปอินเดียด้วยกัน ๔ - ๕ รูป เดี๋ยวจะดูว่าจะทิ้งให้อาตมานอนคนเดียวอีกหรือเปล่า ?" |
"กลับจากเมืองจีนมาอาตมาน้ำหนักขึ้นไป ๒ กิโลกรัม โห...กินกระจายทุกมื้อ มะระดิบผัดไข่นี่กินอยู่คนเดียวทั้งจาน ไม่มีใครช่วยกินเลย พวกเราไม่คุ้นกับมะระดิบ รสขม ๆ ไม่รู้ว่าคนจีนมีสูตรอะไร ผัดไข่ด้วยมะระดิบ พออาตมาไปถึงเจ้าที่ท่านก็ชี้...จานนี้เลย จะได้แก้ไข้ได้ จึงฟาดหมดจานคนเดียว
อีกวันหนึ่งอยู่ภัตตาคาร เขามีกระเทียมดองมาให้โต๊ะละ ๑๐ หัว อาตมาคนเดียวฟาดไป ๘ หัว..! ถามว่ากินเข้าไปอย่างนี้ไม่เหม็นตลบไปทั้งคันรถหรือ ? เขาบอกว่ารับประกันไม่เหม็น เอาวะ...ในเมื่อเจ้าที่รับประกัน ก็กินให้ดู เออ...ไม่มีกลิ่นจริง ๆ ไม่น่าเชื่อเลย กินกระเทียมดองไป ๘ หัว ไม่มีกลิ่นเลย เออ...ท่านทำได้ เรื่องนี้ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ปกติกระเทียมดองกินไปสักเม็ดสองเม็ดก็เป็นเรื่องแล้ว นี่กินไป ๘ หัวใหญ่ ๆ เพราะว่าไม่ค่อยสบาย ท่านบอกว่าให้กินเข้าไป ไข้จะได้ลดลง เรื่องพวกนี้ผีเขาไม่เสียเวลามาหลอกอาตมา ถึงเวลาท่านบอกอะไรอาตมาก็ทำอย่างนั้น ไม่ใช่พวกเราไปเจอกระเทียมดองก็ฟาดโลด ถึงเวลากลิ่นตลบไปทั้งคันรถ พวกจะได้ด่าเอา แก่แล้วเราต้องเจียมตัว ผีบอกอะไรเชื่อไปทุกเรื่อง ให้กินมะระดิบก็กิน กินกระเทียมดองก็กิน เออ...แข็งแรงจริง ๆ นะ ไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับใคร เปิดหน้าต่างนอนได้ทุกคืน ทั้ง ๆ ที่อากาศหนาวจนติดลบ ฮีตเตอร์ไม่ใช้ เข้าไปถึงห้อง ถ้าหาที่ปิดไฟไม่ได้นะ จะชักบัตรออก พอชักคีย์การ์ดออก ไฟจะดับหมดทั้งห้อง" |
"โยมเขาบ่นว่า อาตมาท้องแบนติดสันหลังแล้วน้ำหนักขึ้นมาได้อย่างไร ๒ กิโลกรัม ? ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าขึ้นมาได้อย่างไร รับประกันว่าน้ำหนักขึ้น อาจจะเดินเยอะเกินไป มวลกล้ามเนื้อแน่นขึ้นก็เป็นได้
ที่เขาบอกว่าระยะทาง ๖ กิโลเมตรนั้น จริง ๆ แล้ว ๑๐ กว่ากิโลเมตร ก็คือถ้าดาวเทียมวัดจะขีดเป็นเส้นตรง ๆ ส่วนตอนที่เราเดินนั้นขึ้น ๆ ลง ๆ ทีนี้โยมหลายคนติดพวกแก็ดเจ็ตต่าง ๆ ไป ซึ่งวัดได้ว่าระยะทางเท่าไร ความสูงเท่าไร อุณหภูมิเท่าไร บางคนเขาก็สงสัย ว่าอาตมาบอกได้อย่างไรว่าอุณหภูมิเท่าไร ? ก็ขอดูจากโยมเท่านั้น สรุปว่าถ้าไปเดินแบบนั้น ไม้เทร็กกิ้งน่าจะเกะกะเปล่า ๆ ก็คือมือควรที่จะใช้ช่วยยึดช่วยจับ ไม่ใช่ไปถือไม้ ส่วนอาตมาแบกกระบอกน้ำไป ๒ กระบอก ก็ประมาณ ๓ ลิตร แล้วก็ข้าวกล่องอีก ๒ กล่อง เอาไปเผื่อชาวบ้านเขา ปรากฏว่าไม่ได้กิน ต้องแบกกลับมา แล้วเป้ที่ใช้ประจำอยู่ที่เมืองไทย พอไปที่โน่นแล้ว ความหนาวทำให้หูพลาสติกกรอบหมด หูสอดเชือกก็เลยหัก จากที่หูหัก จึงต้องเอาเชือกมาผูกแทน สรุปว่าสุดท้ายโยมประมูลไป ไม้เทร็กกิ้งก็เอา รองเท้าก็เอา เป้ก็เอา กลายเป็นว่าถ้าไม่ซื้อของนี่อาตมารวยกลับมาเลย" |
"อาตมาไปอินเดียตั้งใจว่าจะไม่แลกเงินไป ยอมขาดทุน เพราะว่าเงินไทยใหญ่กว่าอินเดียอยู่หน่อยหนึ่ง ถ้าเราใช้ธนบัตรไทยแทนนี่เขาจะดีใจมาก อย่างของเรา ๗๕ หรือ ๘๐ สตางค์ เท่ากับของอินเดีย ๑ รูปี เงินเราจะใหญ่กว่าเขาหน่อย ฉะนั้น...ถ้าใช้ธนบัตรไทยนี่เขายิ้มหวานเลย ส่วนใหญ่เพื่อความสะดวก แลกเป็นธนบัตรของเขา แลกไปทีไม่ต้องมากหรอก ๒,๐๐๐ - ๓,๐๐๐ บาทก็พอ"
|
"ส่วนเด็กโรงเรียนพระสุธรรมยานเถระที่เฉิงตู เพิ่งจะลาหลวงตาไปไม่นาน หลวงตาก็ไปเยี่ยมแล้ว อะไรจะใจร้อนปานนั้น แต่ขอบอกก่อน...เอ็งอยู่ ๔ ปี ข้าก็คงไปเยี่ยมแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น"
|
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนทำอะไรเร็ว อย่าเผลอไปเบื่อคนทำช้า เราต้องเข้าใจว่าแต่ละคนสร้างบารมีมาไม่เหมือนกัน ในเมื่อกำลังบารมีไม่เท่ากัน ก็มีช้ามีเร็วต่างกันบ้าง"
|
พระอาจารย์กล่าวว่า "อีกประมาณ ๙ วัน จะถึงงานลอยกระทง งานลอยกระทงของที่วัดมีบวชพระ มีตามประทีป ๑๐,๐๐๐ ดวง ตอนนี้งานตามประทีปวัดท่าขนุนกลายเป็นแหล่งเที่ยว โดยเฉพาะลอยกระทงเป็นช่วงไฮซีซั่นของนักท่องเที่ยว ถึงเวลาก็จะมีนักท่องเที่ยววิ่งไปช่วยกันจุดเทียน บอกว่ารอให้ ๖ โมงเย็นก่อนค่อยจุด ไม่ได้หรอก เล่นจุดกันตั้งแต่ ๔ - ๕ โมงเย็น
พระเราก็รอวันแรม ๒ ค่ำ จะเป็นวันสอบนักธรรมชั้นโท ชั้นเอก ก่อนหน้านี้มีสอบนักธรรมชั้นตรีด้วย แต่เนื่องจากว่าเว้นระยะจากออกพรรษานาน ระยะเวลาตั้งแต่ออกพรรษาจนลอยกระทงนานเป็นเดือน พระใหม่ที่ลงชื่อสอบนักธรรมชั้นตรี จึงมักจะสึกหาลาเพศไปเสียเยอะ ทางแม่กองธรรมสนามหลวงต้องปรับให้มาสอบก่อนออกพรรษาประมาณหนึ่งอาทิตย์ ก็ทำให้พระใหม่ได้ศึกษาอย่างน้อยก็นักธรรมชั้นตรี" |
"โดยเฉพาะในส่วนของคิหิปฏิบัติ คือการปฏิบัติตัวของฆราวาส คำว่า คิหิ ก็คือ บ้าน ที่เราเรียกว่าเคหะ การปฏิบัติตัวของชาวบ้าน อย่างเช่นว่าการคบมิตร มีมิตรแท้ ๔ ประเภท มิตรเทียม ๔ ประเภท การปฏิบัติตนต่อทิศทั้ง ๖ อย่างเช่นว่าทิศเบื้องบน ทิศเบื้องล่าง ทิศเบื้องหน้า ทิศเบื้องหลัง ทิศเบื้องซ้าย ทิศเบื้องขวา
เบื้องบนก็สมณชีพราหมณ์ เบื้องล่างก็ข้าทาสบริวาร เบื้องหน้าก็พ่อแม่ เบื้องหลังก็ลูกเมีย เบื้องขวาครูบาอาจารย์ เบื้องซ้ายก็มิตรสหาย ได้ศึกษารู้ว่าทางพระพุทธศาสนาเรา พระพุทธเจ้าสอนให้ปฏิบัติต่อคนทั้งหลายเหล่านี้อย่างไรบ้าง อย่างปฏิบัติตนต่อพ่อแม่ ท่านบอกไว้ว่า ท่านเลี้ยงเรามา เราเลี้ยงท่านตอบ เชื่อฟังคำสั่งสอนของท่าน ทำตัวสมควรแก่การรับมรดก เมื่อท่านตายบำเพ็ญกุศลไปให้ท่าน บางอย่างเราก็คิดถึงบ้าง ไม่คิดถึงบ้าง แต่พระพุทธเจ้าทรงบอกไว้หมดแล้ว" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวานนี้พระที่ท่านเรียนบาลี ๘ รูป สูงสุดกำลังเรียนประโยค ๖ ต่ำสุดกำลังเรียนประโยค ๑ - ๒ ถามว่ามีใครพร้อมเป็นเจ้าอาวาสบ้างไหม ? ไม่มีเลย เขาบอกยังอยากเรียนอยู่ คือเดี๋ยวนี้วัดไหนขาดเจ้าอาวาส ก็จะไปขอกับวัดท่าขนุน"
|
"เมื่อเดือนที่ผ่านมา ทางด้านผู้ใหญ่บ้านทุ่งนางครวญ คุณลำแพน สุภรศรี ก่อนนี้เป็นกำนัน หมดวาระแล้วกลับมาผู้ใหญ่บ้าน เขามาขอพระ คือพระวัดท่าขนุนต้องบอกว่าท่านรักดีใฝ่ดี ไปอยู่ที่ไหนก็สร้างชื่อเสียงให้ทางวัด
มีอยู่ช่วงหนึ่งอาตมาส่งพระวัดท่าขนุนไปเป็นเจ้าอาวาสวัดทุ่งนางครวญ ชื่อจริง ๆ ก็คือวัดธุดงค์สมเด็จ กับวัดคลิตี้บน หรือวัดทุ่งเสือโทน ท่านก็เอาแบบของวัดท่าขนุนไปใช้ ก็คือสวดมนต์ ทำวัตร บิณฑบาต กรรมฐาน ตามปกติของเรา แต่ในสายตาชาวบ้านเขาเห็นว่าเคร่งครัด เขาชอบ ขนาดลาออกจากเจ้าอาวาสมาตั้งหลายปี ถึงเวลาวัดแถวนั้นมีงาน เขาก็ยังมาขอตัวพระวัดท่าขนุนไปให้ชาวบ้านเขาทำบุญ คราวนี้เขาอยากได้รูปเก่าก็คือพระครูบ่าว ซึ่งย้ายวัดมา ๔ วัดแล้ว ใครก็อยากได้ ปัจจุบันนี้เป็นเจ้าอาวาสวัดท่ามะขามอยู่ เขาบอกว่า ถ้าอย่างนั้นก็มอบภาระให้หลวงพ่อหาพระไปให้ มีแต่คนเกี่ยงไม่อยากเป็นเจ้าอาวาส เพราะว่าภาระมาก เจ้าอาวาส ชื่อโบราณเรียกว่า สมภาร (สม + ภาระ) เสมอด้วยการแบกงาน เพราะฉะนั้น..อาตมาจึงต้องสละเลขานุการรองเจ้าคณะอำเภอไปให้ เอาเลขาฯ เก่งไป เดี๋ยวต้องหาเลขาฯ วัดรูปใหม่ แต่เลขาฯ รองอำเภอให้ท่านเป็นต่อ" |
ถาม : เราจะต้องทำอาหารจีนที่ต้องผสมเหล้า จะมีบางกรณีที่เขาไม่เข้าใจค่ะ มีผลต่อการท่องคาถาเงินล้านไหมคะ ?
ตอบ : อย่างอื่นก็คงไม่มี แต่ถ้ารับยันต์เกราะเพชรไปก็เจ๊ง บอกเขาไปสิว่าแพ้แอลกอฮอล์ กินไม่ได้หรืออะไรก็ว่าไป ถาม : เขาไม่เชื่อค่ะ ? ตอบ : เขาจะไม่เชื่อก็เรื่องของเขา ถือว่าอธิบายแล้ว เชื่อไม่เชื่อเรื่องของเขา ปัญหาเรื่องของคนรักษาศีล กับไม่รักษาศีล ต้องบอกว่าเป็นปัญหาโลกแตก กำลังใจอยู่คนละระดับกัน ห่างกันมากด้วย เพราะว่าจากบุคคลที่ไม่มีศีล ต้องไปถึงบุคคลที่มีศีลแล้วศีลขาด บุคคลที่มีศีลแล้วศีลขาดแล้วค่อยไปถึงบุคคลที่มีศีลบริสุทธิ์ ต่างกันชนิดคูณร้อยก็ห่างกันเป็นหมื่น ในเมื่อกำลังใจคนละระดับกัน สิ่งที่เราต้องทำก็คือทำใจ ทำใจว่าถ้าเราตั้งหน้าตั้งตา ให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ก็ต้องมีคนว่าเราบ้าอย่างแน่นอน อาตมาเองก็โดนมาตั้งแต่เด็ก ถึงได้เคยบอกกับพวกเราว่า ถ้าปฏิบัติธรรมไปแล้วยังไม่มีใครว่าเราบ้า แสดงว่ายังเอาดีไม่ได้ ยังไม่จริงจัง ถ้าจริงจังเมื่อไรเขาจะว่าเราบ้าเมื่อนั้น |
ช่วงเด็ก ๆ อาตมาเองก็ถูกพ่อแม่พี่น้องว่าบ้า ครูบาอาจารย์ก็ว่าบ้า เพื่อนร่วมชั้นเรียนก็ว่าบ้า ตอนที่ควรจะเสียมากที่สุดคือตอนที่เป็นทหาร เพราะว่าเพื่อนฝูงด่าอยู่ทุกวัน เหล้าก็ไม่กินกับเขา บุหรี่ก็ไม่สูบกับเขา เที่ยวซ่องก็ไม่ไปกับเขา เพื่อนก็ด่าว่า "อะไรก็ไม่เป็นสักอย่าง มึงไปหากระโปรงมานุ่งไป..!"
เรื่องพวกนี้ต้องบอกว่าขึ้นอยู่กับความเข้มแข็งของกำลังใจ อย่างพวกเราถ้าเพื่อนทั้งรุ่นชี้หน้าว่าอยู่คนเดียวก็คงจะรับไม่ได้ แต่อาตมาไม่ให้เขาด่าฝ่ายเดียว จึงด่าพวกเขาคืนไปบ้าง บอกเขาว่า "ไอ้เรื่องพวกนี้กูห้ามใจตัวกูเองได้ พวกมึงห้ามใจตัวเองไม่ได้สักคน พวกมึงนั่นแหละที่ควรจะไปหากระโปรงมานุ่ง..!" ถ้ามั่นใจว่าสิ่งที่เราทำเป็นความดี บางทีก็เกรงใจโลกไม่ได้ เพราะว่าการสร้างความดีเป็นการทวนกระแสโลกอยู่แล้ว แต่ว่าส่วนมากพวกเราจะคิดมากและปล่อยวางไม่ได้ เจอมาก ๆ เข้าก็จะเครียด เครียดไปทำไม ? เครียดก็ด่าคืนไปบ้างสิ..! |
พอพวกเราทนปากเขาไม่ได้ ก็มีอยู่ ๒ อย่าง อย่างแรกก็คือแปลกแยกกับสังคม แต่ถ้าเรามั่นคงก็ไม่มีปัญหาอะไร เหมือนกับหินใหญ่กลางสายน้ำ น้ำมาถึงก็แหวกออกข้างไปเอง ประการที่สองคือกลับไปชั่วกับเขาแต่โดยดี ซึ่งร้อยละ ๘๐ - ๙๐ เป็นอย่างนั้น ทนปากคนไม่ได้ก็ต้องไหลตามเขาไป
เรื่องพวกนี้ก็ต้องบอกว่าเป็นของยากในของยาก บุคคลจะได้เกิดเป็นมนุษย์ก็แสนยาก ได้เกิดเป็นมนุษย์แล้วพบพุทธศาสนาก็แสนยาก ได้พบพุทธศาสนาแล้วจะได้ฟังธรรมก็แสนยาก ฟังธรรมแล้วจะน้อมนำมาปฏิบัติก็แสนยาก ปฏิบัติแล้วจะเกิดผลอย่างใจก็แสนยาก ไปกี่แสนแล้วก็ไม่รู้ ? น่าจะถึงล้านแล้ว ฉะนั้น...ท่านใดที่ทวนกระแสขึ้นฝั่งก็ถือว่าเป็นบุคคลผู้พ้นแล้ว จึงได้รับการยกเอาไว้ในที่สูง เป็นปูชนียบุคคล เป็นบุคคลที่ควรแก่การเคารพบูชา |
จำได้ว่าเมื่องานศพของพระครูสุกิจกาญจนโสภิต นั่งอยู่กับท่านอาจารย์มหาวิสูตร วิสุทฺธิปญฺโญ ป.ธ. ๙ รองเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี ฟังพระท่านสวดว่า อะถายัง อิตะรา ปะชา ตีระเมวานุธาวะติ ด้วยความที่แปลออก จึงเห็นภาพคนกำลังวิ่งไปวิ่งมาเลาะชายฝั่ง แต่ข้ามน้ำไม่ได้สักที
กัณหัง ธัมมัง วิปปะหายะ สุกกัง ภาเวถะ ปัณฑิโต ฉะนั้น...ผู้รู้จึงควรที่จะละในธรรมอันดำก็คือฝ่ายไม่ดี ปฏิบัติในธรรมอันขาวก็คือฝ่ายดี คราวนี้ท่านเอามาสวดในงานศพ จริง ๆ แล้วก็คือตั้งใจให้พวกเราฟัง แต่คราวนี้พวกเราฟังแล้วไม่เข้าใจ แปลไม่ออก คนแปลออกอย่างอาตมาก็เลยนั่งถกกับท่านอาจารย์มหาวิสูตร ฟังไปฟังมาเห็นคนวิ่งไปวิ่งมาเลาะชายฝั่งข้ามไม่ได้สักที จะว่าไปก็น่าสงสารมาก ไปนึกถึงนิมิตก่อนบวช ว่าอยู่ในเขตที่เขากั้นจำกัดอยู่ แต่ดูแล้วที่เขากั้นเป็นแค่ลวดหนามธรรมดาสูง ๔-๕ ชั้น ปีนง่ายจะตาย ทำไมไม่ข้ามกันวะ ? ว่าแล้วอาตมาก็ขี้เกียจเบียดกับเขา จึงปีนข้ามไปอยู่ฝั่งโน้น ที่เห็นหลวงปู่หลวงพ่อท่านอยู่กัน ไปนั่งสบายไม่ต้องแออัดยัดเยียดกับใคร ได้นิมิตอย่างนั้นไม่นานก็ได้เวลาบวชพอดี ก็เลยทำให้เข้าใจว่าเรื่องพวกนี้ต้องมีการสั่งสมในระยะเวลาหนึ่ง สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ก็ค่อย ๆ งวด ค่อย ๆ เข้มขึ้น แล้วท้ายสุดก็ทำให้เราไม่สนใจโลก รู้ว่าอะไรดีก็ทำ รู้ว่าอะไรชั่วก็ละ แต่สำหรับบุคคลที่มีปัญญาก็พยายามที่จะทำให้โลกช้ำน้อยที่สุด หรือถ้าปัญญามาก โลกไม่ช้ำธรรมไม่เสียได้เลยก็ยิ่งดี |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 01:13 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.