กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านเติมบุญ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=65)
-   -   เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๒ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=6678)

เถรี 24-07-2019 17:27

“กัมมวิปากชาฤทธิ์คือฤทธิ์ที่ติดตัวมา เขาบอกว่าเป็นกัมมวิปากชาฤทธิ์ ชาวลับแลทุกคนจะมีฤทธิ์นี้ ก็เลยถามเขาว่า “ลองแข่งกันไหม ?” คืออยากจะรู้ว่าฤทธิ์โดยกำเนิด กับฤทธิ์ที่เกิดจากการฝึกอย่างของเรา ต่างกันมากหรือเปล่า ? เขาบอกว่าถ้าแข่งกันเฉย ๆ ไม่สนุก ขอมีเดิมพันหน่อย ก็ถามเขาว่าจะเดิมพันอะไร ? เขาหยิบถุงเงินให้ดู เป็นเหรียญเงินใหญ่ ๆ น่าจะเป็นรูปของควีนอลิซาเบธที่หนึ่งของอังกฤษ เป็นเหรียญเงินใหญ่ ๆ ทั้งถุงเลย

เขาบอกว่า “ถ้าท่านชนะ ผมให้หมดเลย แต่ถ้าท่านแพ้ ให้ท่านพาพระอีก ๔ รูป รวมท่านแล้วเป็น ๕ รูป เข้าไปให้ผมทำบุญ ๑ วัน” อาตมาเคยได้ยินว่าวันหนึ่งของเขาเท่ากับ ๑ ปีของเรา ก็เลยไม่ตกลง เพราะไม่แน่ใจว่าเราจะสู้เขาได้ เนื่องจากว่าพวกนี้เขาเป็นฤทธิ์โดยกำเนิด เท่ากับว่าเขาซ้อมอยู่ทุกวัน ส่วนของพวกเราถ้าสนิมขึ้นนี่เจ๊งแน่เลย

ก็เลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้นไม่ตกลง เพราะว่าโอกาสแพ้มีมาก เขาก็เลยเปิดทางเข้าให้ดู คือถ้าไปถึงหลังวัดแล้วจะมีซอกเขาไป ข้ามไปจะเป็นลำห้วยแห้ง ข้ามลำห้วยแห้งไปก็เป็นเขตของเขา เขาบอกว่าถ้าท่านจะไป เปลี่ยนใจเมื่อไร ให้พาพวกมายืนอยู่ที่ห้วยแห้งฝั่งนี้ แล้วเรียกเขา เขาจะมารับ จนป่านนี้อาตมายังไม่ได้ไปเลย เกิน ๒๐ ปีแล้ว”

เถรี 24-07-2019 17:29

“ตรงส่วนนี้ทำให้เข้าใจว่า ชาวลับแลจริง ๆ เขาก็คือคนเหมือนกับพวกเรานี่แหละ เพียงแต่ว่ากำลังบุญยังไม่พอที่จะเป็นเทวดา แต่ก็ดีเกินกว่าที่จะมาอยู่ร่วมกับพวกเรา ก็เลยต้องมีเขตต่างหากของตัวเอง แต่ทึ่งตรงที่ว่าฤทธิ์โดยกรรมวิบากของเขา เขาสามารถปรากฏตัวตรงจุดไหนก็ได้ที่ต้องการ ลักษณะเหมือนกับอภิญญา เขาบอกว่า วันพระเขาก็เลยออกมาทำบุญหากุศลใส่ตัว

เรื่องนี้ก็ไปพบที่วัดหลวงปู่ครูบาไชยวงศ์ วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม ที่วัดหลวงปู่ครูบาไชยวงศ์จะมีชาวลับแลออกมาทำบุญเสมอ แต่ว่าพอชาวบ้านตามไป เขาก็จะหายไปเฉย ๆ เหมือนอย่างกับเดินตามไม่ทันนี่แหละ เพียงแต่หายไปต่อหน้าต่อตา ก็คงจะลักษณะเดียวกัน คือเขาใช้ฤทธิ์อำนาจนี้เพื่อที่จะไปให้พ้นจากพวกเรา หลวงปู่ครูบาไชยวงศ์บอกว่าให้สังเกต ชาวลับแลนั้นถ้ามาทำบุญ เขาจะมีกล้วยมาด้วย กล้วยน้ำว้าธรรมดานี่แหละ แต่ไม่ธรรมดาตรงที่ว่า เครือหนึ่งจะมีอย่างน้อย ๑๓ หวี หวีหนึ่งจะมีอย่างน้อย ๑๖ ลูก..!

ล่าสุดเมื่อปีที่แล้ว อาตมาไปเจอที่วัดห้วยน้ำอุ่นของหลวงปู่ครูบาบุญยัง ลูกศิษย์รุ่นแรกของหลวงปู่ครูบาไชยวงศ์ ที่ท่านส่งให้ไปดูแลวัดห้วยน้ำอุ่น แล้วท่านก็ทำจนเจริญ ท่านจัดงานสืบชะตา อาตมาเองก็ไปเป็นพระเถราจารย์นั่งภาวนาให้ท่าน ปรากฏว่าลืมตาขึ้นมา กล้วยตรงหน้าเครือสูงท่วมหัวเลย..! มีเกิน ๒๐ หวี ก็เลยบอกน้องเล็ก จำไม่ได้ว่าน้องเล็กได้ถ่ายรูปมาหรือเปล่า ? บอกว่านี่ของลับแล ไม่ใช่ของชาวบ้านหรอก ของบ้านเรามีถึง ๑๐ หวีก็เก่งตายชักแล้ว จำไว้นะ…อย่างน้อยเครือหนึ่งมี ๑๓ หวีขึ้นไป หวีหนึ่งอย่างน้อยมี ๑๖ ลูก”

เถรี 24-07-2019 17:48

“มีอยู่เที่ยวหนึ่งธุดงค์อยู่ที่ป่าลึกของเมืองกาญจน์ ไม่มีอะไรจะกิน เสบียงหมด เจอโยมเดินหาบของกินสวนมา อะไรรู้ไหม ? ส้มตำเดลิเวอรี่..! หาบส้มตำ เหมือนกับพร้อมที่จะวางขายที่ไหนก็ได้ แล้วเขาก็ทำส้มตำถวายพระ อาตมาก็ตั้งหน้าตั้งตาฉัน ฉันไปก็มองไป ท้ายสุด ยถา สัพพีฯ เสร็จก็ต่างคนต่างไป กูจะไม่พูดเรื่องนี้กับเขา เพราะว่าเดี๋ยวจะอด..!

เพราะว่าที่เขาหาบมา มีมะละกออยู่ลูกเดียว โตเต็มหาบเลย อีกด้านหนึ่งเป็นเครื่องใช้ไม้สอย ครกกระบากสากกะเบือที่เขาเอาไว้ทำส้มตำนี่แหละ แต่อีกด้านหนึ่งใส่มะละกอมาลูกเดียว เห็นก็รู้ว่าผิดปกติ แต่พูดไม่ได้ เพราะว่าถ้าพูดแล้วจะอด ...(หัวเราะ)... เพราะฉะนั้น..ตั้งหน้าตั้งตากินก่อน เพราะว่าเคยพูดมากจนอดมาแล้ว..!

โดนกับตัวเองมาจนจำเป็นบทเรียนเลยว่า ถ้าอะไรผิดปกติอย่าเพิ่งพูด มะละกอเขาก็ลูกอ้วน ๆ สั้น ๆ นี่แหละ แต่ทำไมถึงใหญ่เต็มหาบ ? ถ้าไม่ใช่ของที่ออกมาจากลับแล ไม่มีทางที่จะใหญ่ได้ขนาดนั้น

ถ้าใครอยากดู ที่วัดพระธาตุศรีจอมทองมีเม็ดข้าวชาวลับแล เม็ดเดียวโตเกือบเท่ากล้วยหอม..! หลวงปู่ทอง วัดพระธาตุศรีจอมทอง ท่านเก็บไว้ให้ดู นั่นพระมหาเถระรัตตัญญูอีกรูปหนึ่ง ปัจจุบันท่านเป็นสมเด็จพระราชาคณะ ชั้นหิรัญบัฏเหมือนกัน สมณศักดิ์ที่พระพรหมมงคล”

เถรี 24-07-2019 17:51

“ที่ว่าพูดจนอดกินก็คือ สมัยที่อยู่เกาะพระฤๅษี ออกบิณฑบาตทุกเช้า เดินขึ้นเขาไปห้ากิโลฯ กว่า..! ก็คือเข้าป่าลึกไปดี ๆ นี่เอง พยายามซักซ้อมมโนมยิทธิไว้ทุกวันตามที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสั่ง กำหนดใจดูว่าวันนี้ใครใส่บาตรเป็นคนแรก ผู้หญิงหรือผู้ชาย หน้าตาเป็นอย่างไร ใส่เสื้อผ้าสีสันแบบไหน เดินไปเกือบจะถึงเขตหมู่บ้านเขาแล้ว ห่างไม่ถึงร้อยเมตร มีผู้หญิงคนหนึ่งใส่ผ้าเก่า ๆ ดักใส่บาตรอยู่เป็นคนแรก

ด้วยความเคยชิน ถึงเวลาเปิดบาตรแล้วก้มหน้า เพราะว่าพระเขาห้ามมอง ให้มองดูได้แต่ในบาตร ปรากฏว่าตอนก้มมองเห็นผ้าสวย ๆ แลบซ้อนผ้าเก่าขึ้นมา ก็เลยปิดบาตร บอกว่า “เดี๋ยว..อย่าเพิ่งใส่บาตร คุยกันก่อน ถามจริง ๆ ว่าเธอเป็นใครมาจากไหน ?” เขาก็เลยแสดงตนให้ดู ปรากฏว่าเป็นรุกขเทวดาอยู่แถวนั้น แต่บุญน้อยมาก จะมาทำบุญเพิ่มบุญให้ตัวเอง ก็ดูรูปร่างหน้าตาสะสวย แต่ว่าเนื้อหนังเหมือนของพวกเรา แสดงว่าบุญน้อยจริง ๆ เพราะว่าพวกนางฟ้าเทวดายิ่งบุญมากเท่าไร เนื้อจะใสมากเท่านั้น นั่นขนาดจน ๆ นะ แม่เจ้าประคุณใส่เข็มขัดทองเส้นเกือบเท่าฝ่ามือ..!

ก็เลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้นผลบุญทั้งหมดที่เราทำมาตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ ขออุทิศให้แก่เธอ ขอให้เธอโมทนา เราจะได้รับประโยชน์ความสุขเท่าไร ขอให้เธอได้รับด้วย แม่เจ้าประคุณก็โมทนาสาธุ แทบจะกลายเป็นแก้วทั้งตัว แล้วก็ไปเลย..! พอได้บุญแล้วดันไม่ใส่บาตร ตั้งแต่นั้นมาก็จำเลยว่า ต้องใส่บาตรเสียก่อนแล้วค่อยให้เขา ไม่อย่างนั้นไม่ให้หรอก..!”

เถรี 24-07-2019 17:52

“เจตนาเขาก็คือมาสร้างบุญ ในเมื่อได้บุญแล้ว เขาก็ไปเลย ดังนั้น..ต่อไปถ้าทุกคนเจอลักษณะอย่างนี้ จำไว้เลยนะ อย่าพูดมาก สงสัยให้หุบปากไว้ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะเหมือนกับญาติโยมที่หลงทางอยู่ในป่า ไปเจอบ้านชาวบ้าน มีคุณยายแก่ ๆ แต่ว่าหน้าตาผ่องใส เรียกลูกเรียกหลานมา ช่วยกันทำอาหารเลี้ยง แต่กลุ่มนั้นเขาฉลาด เขาเห็นว่าผิดปกติเขาไม่พูดอะไร ขอบอกขอบใจ กินตามที่เขาเลี้ยงนั่นแหละ แล้วก็นอน ตื่นขึ้นมาอยู่ใต้ต้นตะเคียน แต่ว่าตอนนอนนั้นนอนอยู่บนบ้าน ...(หัวเราะ)...

ตอนเขาเลี้ยง ตอนเขาหาที่นอนให้นั่นอยู่บนบ้านเขา ถึงแม้ว่าจะเป็นกระต๊อบเก่า ๆ ในป่าก็เถอะ ตอนตื่นมาดันอยู่ใต้ต้นตะเคียน ...(หัวเราะ)... แต่คณะนี้เก่งนะ พอเห็นผิดปกติเขาสะกิดกันเลย ห้ามพูด มีอะไรว่ากันตามมารยาท ห้ามสงสัย ห้ามถาม เขาน่าจะมีบุญเนื่องกันมาก่อน รุกขเทวดาถึงได้มาสงเคราะห์ ถ้าลักษณะอย่างนั้นต่อให้นอนอยู่กลางดงเสือดงช้างก็ปลอดภัย”

เถรี 24-07-2019 18:50

“พระธุดงค์ที่เข้าป่ามักจะมีประสบการณ์อย่างนี้อยู่มาก มีอยู่รายหนึ่งต้องปีนต้นไม้ลง เพราะว่ามีโยมในป่านิมนต์ไปทำบุญ ดันไปหวังดีปรารถนาดีอีท่าไหนไม่รู้ ไปสวดภาณยักษ์เข้า ท่านบอกว่าเรือนชานบ้านช่องหายหมดเลย ตัวเองนั่งอยู่บนคาคบต้นยาง..!

แล้วต้นยางสูงจากพื้นเกือบ ๓๐ เมตร โตตั้ง ๓-๔ คนโอบ ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ท้ายสุดต้องยอมสละจีวรตัวเอง ฉีกจีวรเป็น ๓ ชิ้นแล้วต่อกัน เสร็จแล้วก็เอากระติกน้ำมาผูกปลายจีวร แล้วเหวี่ยงอ้อมต้นไม้ จนกระทั่งสามารถจับปลายสองข้างได้ ก็รั้งข้อมือตัวเอง
ทำเป็นบ่วงแล้วค่อย ๆ ไต่ลงมา เพราะว่าต้นไม้ตรงแหน็ว ไม่มีกิ่ง ไปมีกิ่งอยู่บนยอด ถ้าท่านไม่มีสติแล้วไม่รู้ว่าจะแก้ไขปัญหาอย่างไร ก็มีสองอย่าง ไม่ตกลงมาตาย ก็คงจะอดตายอยู่บนนั้นแหละ..!

ดังนั้น..เวลาสวดมนต์ในป่า อย่าไปสวดบทภาณยักษ์ภาณพระ ไปสร้างความสุขความเจริญให้ชาวบ้านก็จริง แต่ผีเขาอยู่ไม่ได้ ...(หัวเราะ)… ถึงเวลาเขาไป บ้านหายไปกลายเป็นต้นไม้ตามเดิม

หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเคยเล่าเรื่องผีทำบุญนี่แหละ ท่านบอกว่าเขาก็นิมนต์พระทำบุญตามปกติ ถึงเวลาพระไป ก็เป็นเรือนชานบ้านช่อง มีบันไดขึ้นบ้าน มีอะไรเหมือนปกติ แต่ผิดปกติตอนสวดถึงบทวิรูปักเขฯ “วิรูปักเขหิ เม เมตตัง เมตตัง เอราปะเถหิ เม ฯ” ท่านบอกว่าชาวบ้านลุกขึ้นรำกันทั้งบ้านเลย ไม่รู้ว่าจังหวะมันมากหรืออย่างไร..!”

เถรี 24-07-2019 18:52

“ทีนี้พอไปขึ้น “นักขัตตะยักขะภูตานัง” ท่านบอกว่าบ้านหายทั้งหลังเหมือนกัน แต่นี่ไม่ใช่ต้นไม้ใหญ่ ไปอยู่บนกอไผ่ ลงไม่ได้เพราะว่าเป็นไผ่หนาม..! ต้องตะโกนเรียกชาวบ้านกันเสียงแหบเสียงแห้ง ชาวบ้านก็เลี้ยงควายอยู่ในทุ่งไกลลิบโน่น จนกระทั่งชาวบ้านเขาได้ยิน มาดูใกล้ ๆ เห็นเข้า ก็เอามีดเหน็บฟันเข้าไป กว่าจะเข้าไปถึงโคนไผ่ กว่าจะเลาะให้ท่านลงมาได้ก็ล่อไปครึ่งค่อนวัน..!

จำกันไปจนวันตายเลยว่า อย่าไปสวดพวกบทวิปัสสิสฯ นักขัตตะฯ เพราะว่าผีเขากลัว พระอาจารย์สำราญ วัดเขาวงพระจันทร์ ท่านสวดวิปัสสิสฯ ไปไล่ผี ท้ายสุดขุนด่านทนไม่ได้ เล่นเสียน่วมคากุฏิเลย ไล่ได้แต่ผีเล็ก ๆ ระดับอินทกะอย่างขุนด่านนี่ไล่ไม่ได้ โดนเข้าไปเต็ม ๆ..!

เพราะฉะนั้น..ที่ผีจ้างหนังที่ไปดูที่คำชะโนดนั่น ไม่ใช่เรื่องแปลก ผีก็อยากดูเหมือนกัน ตอนที่ผิดปกติก็คือว่า หนังสนุกแค่ไหน คนดูก็นั่งเงียบ..ดูอย่างเดียว แล้วตอนจ่ายค่าหนังให้ เป็นเหรียญบาทล้วน ๆ ไอ้เหรียญที่เขายัดปากเมื่อก่อนเผานั่นแหละ เขาไปรวบรวมกันมาจ่ายเป็นค่าดู”

เถรี 24-07-2019 19:04

“เรื่องพวกนี้นานไปวิทยาศาสตร์น่าจะไล่ทันเข้าไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวนี้พวกกล้อง พวกทีวีวงจรปิดมีความละเอียดคมชัดมากขึ้น จับภาพแปลก ๆ พวกนี้ได้มากขึ้น แต่บางอย่างเขาก็ยังอธิบายไม่ได้

อย่างที่มีคนเขาสงสัยว่า ทำไมเขานอนดิ้นได้ขนาดนั้น ทุกคืนข้าวของในห้องกระจายหมด ก็ไปติดวงจรปิด ปรากฏว่าภาพที่ออกมาตลกมาก ก็คือเขานอนอยู่ ผ้าห่มโดนกระชากพรืดไปจากตัว ไม่เห็นคนกระชากหรอก แต่ผ้าโดนกระชากไปทั้งผืน ถ้าไม่มีวงจรปิดเป็นที่ยืนยันก็คิดว่าตัวเองทำเอง”

เถรี 24-07-2019 20:31

พระอาจารย์กล่าวว่า “เมื่อเช้าดูรูปที่คุณบิ๊กถ่ายเอาไว้ตอนงานสืบชะตา ดู ๆ แล้วก็เออ..บ้าดี..! ถามว่าบ้าตรงไหน ? คือถ่ายรูปแล้วหามุมปกติยาก ไม่เสยขึ้นก็กดลง ไม่กดลงก็ตะแคงข้าง เอียงซ้าย เอียงขวาไปหมด ถ่ายปกติอย่างชาวบ้านไม่ได้หรืออย่างไรวะ..?! ดูแล้วเวียนหัว แต่ก็แปลกดี เพราะว่ามุมไม่เหมือนกับชาวบ้านเขา

แต่ว่ามีอยู่ ๒ รูปที่ตรงกับของคนอื่น ก็คือตอนที่ขึ้นนั่งบนซุ้ม เปลวเทียนผิดปกติ ได้ดูกันหรือเปล่า ? เปลวเทียนยาวเป็นคืบเลยนะ เขาจะบอกว่ายังมีไฟอยู่หรือเปล่า ? ...(หัวเราะ)...”

เถรี 24-07-2019 20:34

ถาม : ได้รูปพระโพธิสัตว์มัญชุศรีมาจากเนปาล ปกติเถรวาทกับมหายานต่างกันเยอะไหมครับ ?
ตอบ : เอาแค่พวกเทพพิทักษ์พระพุทธศาสนา ของเราก็สู้เขาไม่ได้แล้ว ของเขามีสารพัดรูปแบบ พูดง่าย ๆ ก็คือ คุณจะอยู่ภพไหนภูมิไหน ถ้าหากว่ามานี่ เขาเอามาช่วยงานหมด

ถาม : ไม่จำเป็นต้องเป็นภุมมเทวดาเหมือนเรา ?
ตอบ : ไม่จำเป็น จะเป็นพวกอสุรกาย เปรต หรืออะไร หลงเข้าไป โดนปราบได้ก็เอามาใช้งานหมด ส่วนใหญ่ทางด้านทิเบต - เนปาล ก็จะเป็นรูปพระธยานิพุทธเจ้าทั้ง ๕ ท่าน ท่านมิลาเรปะ หรือไม่ก็ดาไลลามะองค์ที่ ๕ ที่แน่ ๆ ก็คือมันดาลา หรือมณฑลสุขาวดีพุทธเกษตร

เถรี 24-07-2019 20:37

ถาม : หนูเปลี่ยนมาเป็นพุทธได้ไม่นาน พยายามฝึกสมาธิ ดูจิต ดูกาย บางทีก็รู้สึกเหมือนพอทำได้ บางทีก็รู้สึกว่ายาก ?
ตอบ : ก็เราไปทำของยากเข้า ฝึกใหม่ ๆ เอาสมาธิภาวนา ดูแค่ลมหายใจเข้าออกก่อน อยู่แค่ตรงนี้ จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ หายใจเข้า...ตามดูไปจนสุด หายใจออก...ตามดูไปจนสุด ถ้าเราเผลอคิดถึงเรื่องอื่นเมื่อไรก็ดึงกลับมาตรงนี้ เอาแค่ตรงนี้ให้ได้ก่อน เราทำข้ามขั้นไปเยอะ เหมือนกับเด็กหัดใหม่แล้วไปเรียนปริญญาเลย

ถาม : ยังแยกธาตุแยกขันธ์ไม่ได้ ?
ตอบ : ไม่ต้องไปแยก เอาแค่ลมหายใจแค่นี้ก่อน จนกระทั่งอารมณ์ใจทรงตัว รู้สึกนิ่งเบาสบาย รัก โลภ โกรธ หลง ไม่เกิด แล้วค่อยมาต่อ แบบนี้เขาเรียกว่าเรียนเกินระดับตัวเอง

เถรี 24-07-2019 20:50

พระอาจารย์กล่าวว่า “เรื่องของพระภูมิเจ้าที่ บางคนก็เรียกว่าเจ้าที่เฉย ๆ ปัจจุบันนี้เราไม่ค่อยให้ความสำคัญกับท่าน เกิดจาก ๒ สาเหตุด้วยกัน สาเหตุแรกก็คือ อ้างว่าไม่มีเวลา สาเหตุที่สองคือ หาคนรู้จริงทำให้ไม่ได้ พระภูมิเจ้าที่นั้นถ้าหากว่าเราตั้งศาล บวงสรวงบอกกล่าวท่านถูกต้อง อันตรายต่าง ๆ ที่ไม่เกินวิสัยจะเข้ามาในเขตไม่ได้ เพราะว่าท่านจะช่วยกันให้ โดยเฉพาะบรรดาพวกผีเร่ร่อน หรือว่าบรรดาพวกคุณผีคุณคนที่เกิดจากอำนาจไสยศาสตร์

สมัยที่อาตมายังเป็นฆราวาส ตั้งศาลให้พี่ชายตัวเอง พี่เขาเปิดอู่รถ ถึงเวลาเข้าก็บอกท่าน ถึงเวลาออกก็บอกท่าน ซอยที่บ้านมีแต่พวกยาเสพติด ลักเล็กขโมยน้อยสารพัด แต่ของที่บ้านไม่มีหาย ทั้ง ๆ ที่ไม่มีรั้วบ้าน

แต่หลังจากที่บวชมาน่าจะเป็นพรรษา กลับบ้านไปเห็นว่ารอบบ้านมืดไปหมด ยกเว้นสว่างอยู่ที่ศาลพระภูมิประมาณ ๒ ตารางเมตรเท่านั้น ก็เลยถามพระภูมิท่านว่าเป็นเพราะอะไร ? ท่านบอกว่าพี่ชายไปเอาของไสยศาสตร์เข้ามา ก็คงประมาณว่าเอามาช่วยให้กิจการดีนั่นแหละ คราวนี้ในเมื่อเจ้าของบ้านเอาเข้ามาเอง พระภูมิก็กันไม่ได้ ท่านก็ได้แต่รักษาตัวเอง ก็เลยสว่างอยู่แค่รอบ ๆ ศาล นอกนั้นก็มืดไปทั้งบ้าน”

เถรี 24-07-2019 20:52

“จนกระทั่งออกจากวัดท่าซุงไปอยู่เกาะพระฤๅษี อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี พอไปพักอยู่ที่นั่นคืนที่สอง เจ้าที่ท่านก็มาหา ท่านบอกว่าท่านเป็นอากาสเทวดา ชาวบ้านแถวนี้เรียกท่านว่าพ่อปู่ดำ ถามท่านว่ามีหลักฐานอะไรที่ยืนยันเรื่องนี้ได้บ้าง ? ท่านบอกว่า มีศาลของท่านอยู่ที่บริเวณก่อนถึงนิคมสหกรณ์ทองผาภูมิ พวกคนงานรู้ดีทุกคน แล้วถามท่านว่า “แล้วพ่อปู่มามีธุระอะไร ?” ท่านบอกว่า ตรงนี้ยังอยู่ในเขตพื้นที่การดูแลของท่าน ช่วยตั้งศาล ๔ เสา ๖ เสา ๘ เสาอะไรก็ได้ ให้ท่านสักหลังหนึ่ง ท่านจะได้ช่วยดูแลให้

ถามท่านว่าเอาศาลแบบไหน ? ท่านก็บอกว่า เป็นศาลประมาณ ๖ เสา หลังคาเขียว ๆ ก็ถามต่อว่าเป็นศาลไม้ทรงไทย หลังคาสังกะสีเขียว ๆ ใช่ไหม ? ท่านบอกว่าไม่ใช่ อาตมาก็นึกไม่ออกว่าหน้าตาเป็นอย่างไร ก็เลยบอกว่า เอาอย่างนี้แล้วกัน ถ้าวิ่งผ่านตรงไหนมี พ่อปู่สะกิดให้ที ท่านก็ตกลง

อาตมาก็เลยไปคุยกับหัวหน้าศูนย์จัดการต้นน้ำ ถามว่าแถวนี้มีเจ้าที่เป็นเจ้าพ่อชื่อว่าพ่อปู่ดำไหม ? ท่านก็บอกว่ามี ถามว่าศาลอยู่ที่ไหน ? ท่านบอกว่าห่างจากที่นี่ไป ๗ กิโลเมตร แสดงว่ารัศมีดูแลไกลมาก ๗ กิโลเมตรยังคุมถึง ก็เลยขอให้ช่วยพาไปดูที่ศาลหน่อยว่ามีจริงหรือเปล่า ? ปรากฏว่ามีจริง ๆ”

เถรี 24-07-2019 20:53

“คราวนี้ก็มีปัญหาตรงที่ว่า แล้วจะหาศาลมาตั้งให้ท่านได้อย่างไร ? ปรากฏว่ามีอยู่วันหนึ่ง กำลังนั่งรถเพลิน ๆ ผ่านไปทางอู่ทอง จะออกด่านช้าง เพื่อไปเข้าบ้านไร่ แล้วก็หนองฉาง มาวัดท่าซุง วิ่งก่อนจะเข้าตัวเมืองอู่ทอง เสียงพ่อปู่ดำบอกว่า ซ้ายมือมีศาลที่ต้องการ ก็เลยต้องบอกโชเฟอร์ให้เลี้ยวเข้าไปดูหน่อย ปรากฏว่าเป็นศาลคอนกรีตหลังใหญ่ มี ๖ เสา แล้วหลังคาเขียวของท่านไม่ได้เขียวเฉย ๆ แต่เป็นสีเขียวเหลือบทอง

ไปถามราคาเขาว่าเท่าไร ? เขาบอกว่า ๑๒,๐๐๐ บาท แต่เนื่องจากว่าช่วงนี้เป็นช่วงราคาตก เพราะว่าในพรรษาเขาไม่ตั้งศาลกัน ถ้าพระอาจารย์จะเอาจริง ๆ คิดค่าส่งไปถึงทองผาภูมิด้วย ๙,๐๐๐ บาท ก็เลยบอกให้เขาไปส่งหน่อย สรุปก็คือศาลหลังเดียว ขึ้นรถกระบะเต็มท้ายรถเลย

จากนั้นก็ไปตั้งศาลให้ท่านที่ปลายเกาะ ถึงเวลามีอะไรก็จุดธูปบอกกล่าว จัดงานที่เกาะพระฤๅษีนี่สบายใจได้ ต่อให้เมฆดำมืดมาติดหัว ฝนก็ไม่ตก ต้องรอจนกว่างานจะเสร็จแล้วค่อยว่ากัน”

เถรี 24-07-2019 20:55

พระอาจารย์กล่าวว่า “เมื่อวันที่ ๒๑-๒๓ มิถุนายนที่ผ่านมา เป็นช่วงเข้าด้ายเข้าเข็ม เพราะว่าต้องตั้งเมรุลอย ต้องลองไฟ เพื่อเตรียมงานพระราชทานเพลิงศพพระมหาสันติ โชติกโร ป.ธ. ๙ อดีตเจ้าคณะอำเภอห้วยกระเจา และอดีตเจ้าอาวาสวัดท่ามะขาม

ด้วยความมั่นใจว่าฝนไม่ตก แต่สิ่งที่เกิดขึ้นนั้น ถ้าไม่ใช่คนที่ชินจริง ๆ คงฝ่อตายทุกราย เพราะว่าเมฆมืดติดหัวยังไม่พอ กลิ่นฝนมารอบทิศเลย จนกระทั่งหลวงพ่อพระครูวิสุทธิ์สิทธิคุณมาถามว่า “กำหนดการเผาจริงกี่โมง ?” บอกท่านว่า “สองทุ่มครับ” ท่านบอกว่า “ถ้าพร้อมแล้วก็เผาเลย ถ้าฝนลงเดี๋ยวจะยุ่ง”

ก็เลยถามเจ้าหน้าที่ เมื่อทุกฝ่ายพร้อม ก็เริ่มพิธีเผากันตอน ๑๘.๓๐ น. จากเดิมที่ตั้งเอาไว้ ๒๐.๐๐ น. เผาเสร็จเที่ยงคืนกว่า จนกระทั่งตอนเช้าประมาณ ๐๖.๓๐ น. ไปเก็บกระดูกทำพิธีสามหาบ พอเก็บกระดูกเสร็จ ทำบุญเสร็จ ฝนก็เริ่มลง ก่อนหน้านั้น ๓ วัน ๓ คืน ไม่มีแม้แต่หยดเดียว ทั้ง ๆ ที่ฟ้ามืดล้อมอยู่รอบวัด ที่น่ากลัวคือกลิ่นฝนมารอบข้างเลย แสดงว่ารอบวัดตกหมดแล้ว

พอวันที่ ๒๔-๒๕ มิถุนายน ฝนก็กระหน่ำท่วมกรุงเทพฯ เขาว่าไม่ท่วมไม่ใช่หรือ ? มีแต่น้ำรอระบาย..! ต้องบอกว่าเล่นไปเสีย ๔๑ จังหวัด แสดงว่า ๓ วันที่อั้นเอาไว้ เล่นคืนทีเดียวคุ้มเลย”

เถรี 24-07-2019 20:58

พระอาจารย์กล่าวว่า “พระอาจารย์มหาอุดรบอกว่า วันเสาร์ห้านี้ ท่านพลโทที่เป็นประธานงานของท่านจะขึ้นไปที่วัดด้วย ไม่เป็นไร...ไปเถอะ แล้วก็จะรู้ว่าชาวบ้านธรรมดาเยอะกว่า..! โดยเฉพาะไปวัดท่าขนุนนี่ยุติธรรมมาก นั่งแบกับดินเหมือนกันหมด คุณหญิงคุณนาย นายพลนายพันก็ต้องกองกับพื้นเหมือนกันหมด

บางรายไปครั้งเดียวเข็ด เพราะรู้สึกว่าไม่สมกับเกียรติยศของตัวเอง ปกติเขาจะต้องมีเก้าอี้รับแขกอย่างงามมาต้อนรับ วัดท่าขนุนให้ลงไปช่วยกันถูพื้นศาลา นั่งไถกันคนละทีสองที...สะอาดเอี่ยม..!

ถ้าหากว่าศัพท์วัยรุ่นสมัยนี้เขาเรียกว่า “เยอะ” ถ้าใครที่ “เยอะ” อย่าไปวัดท่าขนุน เพราะว่าเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนไม่ “เยอะ” ใครมา “เยอะ” ด้วย โดนด่าแน่นอน..!”

เถรี 24-07-2019 20:59

“เมื่อหลายเดือนก่อนทางผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ ๙ จะขึ้นไป ทหารก็ขึ้นไปจัดการนี่นั่น พอชี้นิ้วสั่งพระ อาตมาก็ด่าเลย “มึงจะให้เกียรติเจ้านายมึงขนาดไหนก็ตาม เจ้านายมึงยังต้องไหว้พระอยู่ มึงอย่าเสือกทะลึ่งมาสั่งพระ..!” พวกนี้ไปที่อื่นไม่เคยโดน คือบางรายเขาจะเอาแต่งานตัวเอง ลืมไปว่าที่นี่คือวัด เพราะฉะนั้น..เขาเคารพเกรงกลัวเจ้านายเขา แต่ลืมไปว่าเจ้านายเขามาเพื่อมาไหว้พระ ดันทะลึ่งมาชี้นิ้วสั่งพระ ต้องช่วยเตือนสติสักหน่อย บังเอิญอาตมาเตือนสติค่อนข้างจะแรงด้วย..!

มีหลายงานที่อาตมาไป ประธานทางฝ่ายพระก็คือหลวงพ่อเจ้าคณะจังหวัด ประธานฝ่ายฆราวาสก็คือผู้ว่าฯ ปรากฏว่าบรรดาหน่วยราชการและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น แห่ไปหาผู้ว่าฯ อะไร ๆ ก็ให้ผู้ว่าฯ ก่อน ยังดีที่ผู้ว่าฯ ไม่บ้าจี้ ผู้ว่าฯ ท่านหันมานิมนต์หลวงพ่อเจ้าคณะจังหวัดก่อน เพราะว่าเจ้าคณะจังหวัดก็คือผู้ว่าราชการจังหวัดของพระ

ผู้ว่าราชการจังหวัดส่วนใหญ่ถึงเวลามีงานมีการอะไร ก็ต้องเข้าหาเจ้าคณะจังหวัด เพื่อประสานงานขอความร่วมมือจากคณะสงฆ์ แต่พวกสารพัดหน่วยงานกลัวแต่ผู้ว่าฯ แล้วก็ลืมพระไป ต้องบอกว่าลำดับความสำคัญผิดตั้งแต่ต้น ตรงจุดนี้เป็นที่น่าอนาถใจมาก เพราะแสดงให้เห็นชัดว่า เขาไม่เห็นความสำคัญของพระพุทธศาสนาเลย ให้ความสำคัญแต่กับผู้บังคับบัญชาตัวเอง แล้วที่พบมาก็เริ่มมีมากขึ้นเรื่อย ๆ”

เถรี 24-07-2019 21:02

พระอาจารย์กล่าวว่า “วันที่ ๖ ตุลาคม ซึ่งปกติเป็นวันรับสังฆทานและสอนกรรมฐานที่บ้านเติมบุญ อาตมาจะหายไปประมาณครึ่งค่อนวัน เพื่อเอาผ้าป่าไปทอดให้สร้างวิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรี ในฐานะประธานจัดหาทุนสร้างวิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรี ก็เลยทิ้งงานเขาไม่ได้

ส่วนกำหนดการที่จะมาที่บ้านเติมบุญของเรานั้น กำหนดข้ามปี แต่ทางวิทยาลัยสงฆ์นั้นเกิดตั้งแต่ดำริของหลวงพ่อพระธรรมคุณาภรณ์ หรือหลวงพ่อเจ้าคุณไพบูลย์ อดีตเจ้าคณะจังหวัดเก่า เขาก็เลยเอาวันเกิดของท่าน คือวันที่ ๖ ตุลาคม เป็นวันวางศิลาฤกษ์ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น อาตมาก็ต้องสละงานของตัวเอง

เพราะฉะนั้น..ญาติโยมท่านใด ถ้าหากว่าจะทำบุญ หรือว่าจะร่วมเดินทางไป ก็คอยดูในเว็บวัดท่าขนุนหรือเว็บพลังจิต ถ้าเขาจัดรถก็แห่กันไปหน่อย ถ้าเขามีอาหารเลี้ยง ก็ไปช่วยกินคืนให้ที เพราะว่าอาตมาคงต้องจ่ายหลายสิบล้าน..! จากที่นี่ถ้ารถวิ่งจากบ้านเติมบุญไปก็ประมาณ ๑ ชม. เพราะว่าอยู่ตรงข้างโรงเรียนบ้านห้วยสะพาน เขตอำเภอพนมทวน เราวิ่งจากนี่ไปทางสุพรรณบุรี เลี้ยวซ้ายเข้าสี่แยกนพวงศ์ ทางด้านที่ทะลุออกมาบางเลน กำแพงแสน ก็เข้าพนมทวนแล้ว

ถ้าไปไม่ถูก สมัยนี้ถ้ามีรถยนต์ส่วนตัวก็เปิด Google Maps "พี่กู" พาไปถูกทุกที่ แต่บางที่พาไปนี่ เจ้าประคุณพาวิ่งไปเป็นชั่วโมง แต่หาห้องน้ำไม่ได้..! เพราะว่าพาเข้าป่าเข้าดงไปเรื่อย แต่ว่าไปเร็ว ต้องยอมรับว่าเขาเก่ง วิ่งไป ๆ ใจหาย ไปอยู่กลางดงอ้อย มองไปทางไหนไม่เห็นอะไรนอกจากต้นอ้อย ก็ต้องไปตามแผนที่อย่างเดียว

แต่ว่าสถานที่สร้างวิทยาลัยสงฆ์อยู่ข้างถนนใหญ่ ไม่ต้องกลัวว่าจะต้องหายเข้าไปอยู่ในไร่อ้อยหรือในป่าหรอก..!”


เถรี 24-07-2019 21:03

พระอาจารย์กล่าวว่า “พระไตรปิฎกพอนานไปต้องมีอรรถกถาจารย์มาแปลความ ว่าคำนี้แปลว่าอะไร พอนาน ๆ ไปก็ต้องมีฎีกาจารย์มาแปลอรรถกถาจารย์ ว่าคำนี้แปลว่าอะไร พอนาน ๆ ไปก็มีเกจิอาจารย์มาอธิบายฎีกาจารย์ ว่าคำนี้แปลว่าอะไร เพราะว่ายุคสมัยเปลี่ยนไป คำที่นิยมใช้ก็เปลี่ยนไป ถึงเวลาพอไปรุ่นต่อไป เขาจะไม่เข้าใจว่าแปลว่าอะไร

อย่างเช่นคำว่า “กิ๊ก” แปลว่าอะไร ? อรรถกถาจารย์ก็ต้องมาอธิบายว่า “กิ๊ก” เป็นยิ่งกว่าเพื่อนแต่ไม่ใช่แฟน..! ก็ต้องอธิบายกันเป็นชั้น ๆ ไปแบบนี้”


เถรี 24-07-2019 21:05

“คำสแลง เขียนคล้ายกับแสลง ก็คือคำศัพท์ที่เกิดขึ้นใหม่ ไม่ตรงกับเนื้อหาใจความเดิม แต่ความหมายเป็นอย่างนั้น บางคำตอนสมัยอาตมาเด็ก ๆ หาที่มาไม่ได้ ผ่านไป ๓๐-๔๐ ปี กว่าจะเจอว่ามาจากไหน อย่างสมัยอาตมาเขามี “นางกะแหร่ง” เคยได้ยินไหม ? พอถึงเวลาดูหนัง ก็จะมีนางเอก ส่วนตัวร้ายเขาเรียกว่านางกะแหร่ง อายุ ๔๐ กว่า ไปพม่าแล้วถึงรู้ว่าเป็นภาษาพม่า แปลว่า อีตอแหล..!

คำศัพท์บางอย่างยุคสมัยเปลี่ยน ทำให้รุ่นหลังไม่เคยได้ยิน ก็แปลไม่ออก ต้องอธิบายซ้อนอธิบายกันไปเรื่อย ๆ สมัยนี้เขาก็ไม่ค่อยใช้ตอแหลกันแล้ว..ใช่ไหม ? เขาใช้สตรอว์เบอร์รี่..!”

ทาสสุธรรม 24-07-2019 21:15

อ้างอิง:

ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ เถรี (โพสต์ 241826)
พระอาจารย์กล่าวว่า “เมื่อวานหลวงปู่ปวง สมณศักดิ์ คือ พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ สมเด็จพระราชาคณะ ชั้นหิรัญบัฏ วัดศรีโคมคำ จังหวัดพะเยา ท่านมรณภาพด้วยอายุ ๑๐๒ ปี พรรษา ๘๒

ต้องบอกว่าเป็นพระเถระที่อาวุโสพรรษาสูงสุดในประเทศของเรา แต่ยังไม่ทำลายสถิติ สถิติเดิมเป็นของหลวงปู่สี ฉนฺทสิริ วัดเขาถ้ำบุญนาค อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ ท่านมรณภาพอายุ ๑๒๘ ปี พรรษา ๘๘ คนเราจะอยู่ให้ได้ ๘๘ ปีก็ยากแล้ว นี่เฉพาะที่บวช ๘๘ ปี..!

หลวงปู่สีท่านเคยบวชตามประเพณี เสร็จแล้วก็สึกมามีครอบครัว มีลูกมีเมีย ทำมาหากินเหมือนคนอื่นเขา จนอายุ ๔๐ ปี ท่านเห็นว่าแก่มากแล้ว ลูกเมียครอบครัวก็ไม่เดือดร้อนอะไรแล้ว จึงขอไปบวช กะว่าจะตายในผ้าเหลือง ท่านอยู่มาอีก ๘๘ ปี หลวงปู่มรณภาพ อายุ ๑๒๘ ปี อาตมาตอนนั้นยังไม่ได้เศษอายุท่านเลย”

ด้วยความเคารพครับ ควรเป็น “พระราชาคณะ” สมเด็จพระราชาคณะ ไม่มีชั้นหิรัญบัฏครับ

เถรี 25-07-2019 08:17

โยมถวาย Flash drive สื่อธรรมะ ๖๐ ปี พระอาจารย์จึงกล่าวว่า “เอาสิ่งที่อาตมาสอนมาถวายให้อาตมาฟัง ดูแปลก ๆ เหมือนกันนะ..! แต่ก็ดี..ไม่อย่างนั้นตัวเองก็ไม่มี เดี๋ยวจะลงลายเซ็นแล้วเอาไปขายต่อแพง ๆ..!”

เถรี 25-07-2019 08:21

ถาม : การชำระพระไตรปิฎกคือการแปลพระไตรปิฎกตั้งแต่เริ่มต้นใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่ ถ้าสังคายนาพระไตรปิฎกก็คือการทบทวนเนื้อหาให้ถูกต้อง ไม่มีผิดพลาด ส่วนใหญ่ต้องมีเหตุ เช่น ความเข้าใจผิดเพี้ยนกันในระหว่างหลักการปฏิบัติ ก็ต้องมาทบทวนว่าของเก่าที่ถูกต้องเป็นอย่างไร การชำระพระไตรปิฎกในปัจจุบัน ส่วนใหญ่ได้แค่แก้คำผิด

แต่ชำระพระไตรปิฎกในปัจจุบัน ชำระให้ตาย ไอ้ที่ผิดจนกระทั่งกลายเป็นถูกไปแล้วก็มี ถ้าพวกเราไปสวดมนต์วัดท่าขนุน จะเห็นว่า “อัญชะลิกะระณีโย” แต่พวกเราจะเคยชินกับอัญชลี “อัญชะลิ” มาตามพระไตรปิฎก มาตามบาลี เพราะว่าถ้าใช้อัญชลีจะไม่สามารถที่จะแปลได้ เนื่องจากว่าผิดวิภัตติ ผิดสระ

ต่อให้แก้ในพระไตรปิฎกบาลีถูกก็ตาม ถึงเวลาคนสวดร้อยละ ๙๙ ก็ยังอัญชลีกันอยู่นั่นแหละ อัญชลีเป็นรากศัพท์อีกคำหนึ่งที่แยกออกมาต่างหาก หมายถึงพนมมือ คราวนี้ในเรื่องของศัพท์ภาษาบาลี จะมีการเข้าวิภัตติ ถึงเวลาเขาจะรู้ว่าคำนี้ควรแปลว่าอะไร อย่างเช่นว่าถ้าเป็นทุติยาวิภัตติ ก็จะต้องแปลใจความอย่างหนึ่ง ตติยาวิภัตติแปลโดยใจความเป็นอีกอย่างหนึ่ง

เถรี 25-07-2019 08:24

ถาม : การสังคายนาพระไตรปิฎกคือทำทั้งหมด หรือเฉพาะบางบท ?
ตอบ : ถ้ามีสาเหตุที่เข้าใจไม่ตรงกันเมื่อไร ถ้าเห็นว่าสมควรก็รวมกันสังคายนาขึ้นมา เพราะฉะนั้น..การสังคายนาพระไตรปิฎกที่ได้รับการยอมรับจริง ๆ ก็คือการสังคายนาครั้งที่ ๑ หลังพระพุทธปรินิพพาน ๓ เดือน การสังคายนาครั้งที่ ๒ หลังปรินิพพานแล้ว ๑๐๐ ปี การสังคายนาครั้งที่ ๓ หลังการปรินิพพานแล้ว ๓๒๕ ปีโดยประมาณ

นอกนั้นส่วนใหญ่แล้วสาเหตุยังไม่เพียงพอ อย่างเช่นการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๔ ที่ลังกาทวีป นำโดยพระมหินทเถระ ต้องบอกว่าเป็นการสวดสาธยายทบทวนพระไตรปิฎก ให้บรรดาพระภิกษุที่บวชที่นั่นได้ฟังกัน เพราะว่าเขาบวชกันทีเป็นร้อยเป็นพัน แต่ว่านักวิชาการบางท่านก็จัดให้เป็นการสังคายนาพระไตรปิฎก

การสังคายนาครั้งที่ ๔ และ ๕ ทำที่ลังกาทวีป หรือที่ภาษาบาลีเรียกว่า “ตัมพปัณณิทวีป” ส่วนครั้งที่ ๖ เขาว่าทำที่ประเทศพม่า เนื่องในวาระ ๒,๕๐๐ ปีหลังปรินิพพาน พระไทยรูปหนึ่งที่ได้รับเชิญเข้าไปในงานฉัฏฐสังคายนา ก็คือพระมหาเกี่ยว อุปเสโณ ซึ่งสมณศักดิ์สุดท้ายของท่านก็คือ สมเด็จพระพุฒาจารย์ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ท่านบอกว่า “ท่านเล็กเอ๋ย..หกเดือนไม่ได้ไปไหนเลย อยู่แต่ไอ้กะบ้าเอนั่นแหละ จนจะบ้าตามมันอยู่แล้ว” วัน ๆ อยู่กับตัวหนังสืออย่างเดียว

เถรี 25-07-2019 08:26

ถาม : จัดเมื่อปีไหนครับ ?
ตอบ : พ.ศ. ๒๔๙๙ แต่คราวนี้ที่เขานับเป็น พ.ศ. ๒๕๐๐ เพราะว่าหลายประเทศเขานับวันแรกที่พระพุทธเจ้าปรินิพพาน พอครบรอบปีก็นับเป็น ๑ ปี ส่วนประเทศไทยนับครบรอบปีปรินิพพานเป็น พ.ศ. ๑ ก็เลยช้ากว่าเขา ๑ ปี ของเขา พ.ศ. ๒๔๙๙ ของเราจริง ๆ ก็คือ พ.ศ. ๒๕๐๐ นั่นแหละ

เถรี 25-07-2019 08:45

พระอาจารย์กล่าวว่า “เวลาคนอยู่รวมกันเป็นพันหรือหลายพันจะเห็นว่า มนุษย์เราล้างผลาญทรัพยากรอย่างมหาศาลเลย แค่กินข้าวเหลือคนละเม็ดสองเม็ดเท่านั้นแหละ เศษอาหารเป็นถัง ๆ เลย ถึงเวลาแม่ชีเขาล้างผ่านที่กรอง เขาก็เทใส่รวมกัน ไม่น่าเชื่อว่าเศษอาหารจะเป็นถัง แล้วเราลองคิดดูว่า มนุษย์โลกของเรา ถ้าหากว่ายังใช้ทรัพยากรขนาดนี้ แล้วยังไม่จำกัดการเกิดอีก ทรัพยากรจะพอไหม ?

แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วปัจจุบันนี้เขาพยายามที่จะคิดหาว่า การปลูกพืชผักที่เป็นอาหาร ทำอย่างไรจะใช้พื้นที่เท่าเดิม แล้วปลูกได้มากกว่าเดิม ? มีการตัดต่อพันธุกรรม มีการค้นหาพันธุ์ใหม่ ๆ แต่โอกาสที่จะเป็นไปได้ก็ยาก เพราะว่าความอุดมสมบูรณ์ของดินน้อยลงไปเรื่อย ๆ ยกเว้นบรรดาท่านทั้งหลายที่ทำในลักษณะเศรษฐกิจพอเพียง ไม่ได้ทำเพื่อการค้า ถ้าลักษณะอย่างนั้นเขาค่อย ๆ ปรับปรุงดินได้ ไม่ว่าจะเป็นการปลูกปอเทือง แล้วไถกลบฟื้นดิน หรือว่าการปลูกพืชหมุนเวียนเพื่อให้ผลัดกันใช้สารอาหาร”

เถรี 25-07-2019 08:48

“เมื่อสองวันที่ผ่านมา มีข่าวว่าคนอินเดียเป็นร้อยล้านกำลังอดน้ำ ประเทศอินเดียนั้นหาน้ำยากตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้ว บรรดากุมภทาสีก็คือ พวกทาสหญิงที่มีหน้าที่ตักน้ำ ไปหาน้ำเข้าบ้านอย่างเดียว เดินกันทีหนึ่งครึ่งค่อนวันกว่าจะถึงแหล่งน้ำ ตักแล้วก็เอาเทินหัวมา อาตมาไปเนปาลเห็นชาวบ้านไปรุมอยู่รอบบ่อ ๑๐–๒๐ คน น้ำก้นบ่อสูงประมาณครึ่งนิ้ว ไปยืนรอจนน้ำสูงพอที่จะถึงขอบถัง เวลาเอียงถังแล้วน้ำจะพอไหลเข้าถังได้ ตักขึ้นมาก็เทใส่คนโทน้ำ หม้อน้ำทองเหลืองทองแดงของตัวเอง รอตักไปเถอะ กว่าจะได้พอก็เป็นวัน..!

ท่านวิปัสสี เจ้าอาวาสวัดมุนิวิหารที่อาตมาเอากฐินปลดหนี้ไปให้ ท่านบอกว่าคนรวยของเนปาลนิยมให้ทานด้วยน้ำ พอถึงเวลาก็ซื้อน้ำมาเทลงในอ่างน้ำสาธารณะที่มีก๊อกอยู่ ถ้าใครโชคดีเจอคนรวยซื้อน้ำมาใส่ ก็ไปเปิดเก็บเข้าบ้านตัวเอง ถ้าช้าคนอื่นก็เอาไปหมด

จะว่าไปแล้ว น้ำจืดแต่ละปีที่เกิดจากฝนตกนั้นมหาศาล แต่ว่าการบริหารจัดการไม่ดี ทำให้ไม่สามารถที่จะเก็บกักเอาไว้ใช้งานได้จนครบรอบปี ใครมีที่มีทาง ถ้าจะทำแหล่งน้ำ ขอให้รู้ไว้เลยว่า แหล่งน้ำจะเล็กจะใหญ่ หน้ากว้างหน้าแคบแค่ไหนก็ตาม น้ำจะระเหยออกวันละ ๑ เซนติเมตรโดยประมาณ ถ้าจะทำแหล่งน้ำให้มีน้ำครบปี อย่างน้อยก็ต้อง ๓๖๕ เซนติเมตร หรือถ้าประมาทหน่อยว่ามีฤดูฝน ๓–๔ เดือน ก็เอาสัก ๓ เมตรก็ได้ อีก ๖๕ เซนติเมตรไม่ต้องไปคิด”

เถรี 25-07-2019 08:57

พระอาจารย์กล่าวว่า “สำหรับวันบวงสรวงไหว้ครูและเป่ายันต์เกราะเพชรตามสายกรรมฐานของเรา โดยเฉพาะการฝึกมโนมยิทธิ จะต้องมีเครื่องบูชาครูทุกครั้ง คราวนี้ถ้าหากว่าเราจัดบูชาครูทุกครั้ง บางเวลาก็ไม่สะดวก ก็ใช้วิธีจัดเครื่องบวงสรวงใหญ่ถวายท่านปีละครั้ง เป็นการไหว้ครูประจำปี คราวนี้ในเมื่อทางวัดจัด เราก็ไปร่วมด้วย ทำบุญร่วมด้วยสัก ๕ บาท ๑๐ บาท เครื่องบวงสรวงก็เป็นของเราไปด้วย

ปัจจุบันนี้ในส่วนของเครื่องบวงสรวง ต้องบอกว่าเบาแรงเบาเงินของอาตมาไปมาก เพราะว่าพระมหานันทวัฒน์ เขมธมฺโม เปรียญธรรม ๖ ประโยค วัดปากน้ำภาษีเจริญ ท่านรับภาระแทนมาหลายปีแล้ว อย่าลืมว่าการสืบชะตานั้น เขาคิดมูลค่าทั้งหมด ๕๕๐,๐๐๐ บาท พอเขาไปเจอชุดบวงสรวงของท่านมหาเข้า เขาถามว่าชุดนี้กี่แสน ? อาตมาบอกว่าไม่ได้จ่ายสักบาทเดียว

เรื่องของบายศรีบวงสรวงเป็นงานที่เหนื่อยมาก ทำล่วงหน้าหลายวันแต่ใช้แค่พักเดียว แค่ชั่วธูปเทียนหมด โบราณเขาถึงได้บอกว่า “เหมือนบายศรีเมื่อมีงานท่านถนอม เจิมแป้งหอมน้ำมันให้หรรษา ครั้นเสร็จงานท่านทิ้งลงในคงคา ก็ลอยไปลอยมาเป็นใบตอง” โดนรื้อทิ้งแล้วก็ไม่เป็นต้นบายศรี ..(หัวเราะ)..”


สุธรรม 25-07-2019 10:25

อ้างอิง:

ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ทาสสุธรรม (โพสต์ 241852)
ด้วยความเคารพครับ ควรเป็น “พระราชาคณะ” สมเด็จพระราชาคณะ ไม่มีชั้นหิรัญบัฏครับ


:4672615: คำเรียกอย่างเป็นทางการคือ "สมเด็จพระราชาคณะชั้นหิรัญบัฏ" ครับ ไม่เป็นทางการเรียกว่า "รองสมเด็จ" หรือบางทีก็เรียกว่า "พระราชาคณะชั้นพรหม" ครับ

เถรี 25-07-2019 17:23

พระอาจารย์กล่าวว่า “เดือนนี้ปล่อยปลาช่อนไป ๑๖ กิโลกรัม ปลาดุก ๔๕ กิโลกรัม ปลาหมอ ๑๑ กิโลกรัม แล้วก็ควาย ๒ ตัว รวมทั้งหมด ๕๖,๐๙๐ บาท ที่เน้นปล่อยควาย ไม่ใช่อย่างที่ทุกคนคิด เพราะว่าถ้าเกิดมาโง่คงจะแก้ได้ยาก ปล่อยควายให้ตายก็แก้ไม่ได้..! ที่อาตมาเน้นการปล่อยควาย เพราะว่าบ้านเราควายน้อยลงไปเรื่อย ๆ แล้วอาจจะเป็นเพราะว่าเป็นการผสมพันธุ์สายเลือดชิด ก็เลยทำให้ควายตัวเล็กลงไปเรื่อย ๆ

สมัยอาตมาเด็ก ๆ ควายแต่ละตัวสูงท่วมหัว ไม่ใช่เป็นเพราะว่าเราตัวเล็กแล้วเห็นว่าควายตัวใหญ่ เพราะว่าน้ำหนักยืนยันได้ ตัวเล็ก ๆ ก็ ๘๐๐–๙๐๐ กิโลกรัม ตัวใหญ่หน่อยก็ ๑,๐๐๐–๑,๒๐๐ กิโลกรัม สมัยนี้ควายตัวหนึ่งน้ำหนักถึง ๔๐๐–๕๐๐ กิโลกรัม ถือว่าใหญ่มากแล้ว ควายบ้านเราน้อยลงไปเรื่อย ๆ ถ้าเราไม่พยายามปล่อยเอาไว้ เดี๋ยวก็หมด

ความฝันสมัยเด็ก ๆ ของอาตมาคืออยากเป็นเด็กเลี้ยงควาย เป็นความฝันที่ยิ่งใหญ่มาก ไม่รู้หรอกว่านั่นเป็นวิสัยที่ข้ามชาติข้ามภพมา ด้วยความที่เป็นแม่ทัพนายกองคุมทหารมาแทบทุกชาติ พอถึงเวลาเห็นเด็กเลี้ยงควาย พกไม้ตะพด ห้อยหนังสติ๊ก สะพายย่าม คุมควายฝูงเบ้อเริ่ม รู้สึกว่าเท่สุด ๆ เวลาคนอื่นอยากเป็นทหาร อยากเป็นตำรวจ อยากเป็นหมอ ไม่เอาหรอก อาตมาอยากเป็นเด็กเลี้ยงควาย ...(หัวเราะ)...

เพิ่งจะมาเข้าใจหลังจากฝึกกรรมฐานแล้ว ว่าเป็นสัญญาเดิมที่ข้ามชาติข้ามภพมา เป็นผู้นำกองกำลังมาตลอด ถึงเวลาเห็นเขาสามารถพาควายทั้งฝูงไปได้ ก็เลยชื่นชม อยากจะเป็นเด็กเลี้ยงควายบ้าง”


เถรี 25-07-2019 17:26

พระอาจารย์กล่าวว่า “พระอาจารย์บ๊ะท่านสั่งให้ฉันชาให้ได้วันละสองกาใหญ่ ๆ ก็เลยต้องมานั่งกรอกให้ตัวเองอยู่ทุกวัน ชาอะไรก็ได้ให้เป็นชาก็แล้วกัน แล้วสั่งด้วยว่าเวลาชง ห้ามแช่เกิน ๒ นาที ไม่อย่างนั้นสารที่อยากให้รักษาโรคจะเปลี่ยนไป ถ้าแทนนินออกมา ก็จะท้องผูกแทน แทนนินเป็นสารที่มีรสฝาด ถ้าหากว่าฉันเข้าไปเยอะ ๆ จะท้องผูก”

เถรี 25-07-2019 17:27

พระอาจารย์กล่าวว่า “อาตมาคงจะเหมือนกับโยมแม่นั่นแหละ บอกให้อยู่เฉย ๆ ไม่เคยอยู่ได้ คนเคยทำงาน บอกว่าอยู่เฉย ๆ แล้วรำคาญ หางานทำไปเรื่อย ๆ ท้ายสุดก็ไปโดนรถชน เพราะว่ากวาดบ้านแล้วเอาขยะไปทิ้ง ถนนซอยที่บ้านก็ไม่ได้ใหญ่ แต่มอเตอร์ไซค์ก็บิดกันกระจาย ท้ายสุดเขาหลบคนอื่นแล้วมาชนแม่ ความขยันทำให้เจ็บตัวได้ คราวนี้ก็ได้พักแล้ว พักระยะยาวเพราะว่าโดนมอเตอร์ไซค์ชนสะโพกหลุด

ถึงเวลาไปโรงพยาบาล หมอบอกให้นอนนิ่ง ๆ จะได้ต่อกลับไปตามเดิมได้ นิ่งได้ไม่ถึงครึ่งวันก็ลุกเข้าห้องน้ำแล้ว ทั้งหมอทั้งพยาบาลโวย แม่บอกว่า “ก็ยังไปได้” ก็จริง..ยังไปได้ก็ไป เพียงแต่ว่าไปสภาพไหน เขย่งขาเดียวยังอุตส่าห์ไป จะว่าคนแก่ดื้อก็ไม่ใช่ คนเคยทำงานแล้วอยู่เฉยไม่เป็น ให้อาตมาไปนั่งนิ่ง ๆ ก็ตายเหมือนกัน วัน ๆ ต้องทำนั่นทำนี่ไปเรื่อย”


เถรี 25-07-2019 17:36

โยมถวายซองทำบุญ พระอาจารย์กล่าวว่า “เห็นแล้วอยากเหวี่ยง หน้าซองขนาดนี้ไม่เขียน เขียนแต่ข้างใน ถ้าเมื่อครู่ไม่ได้เหลือบเห็นก็ยัดลงถังสังฆทานไปแล้ว ทำอะไรให้เหมือนชาวบ้านชาวเมืองเขาหน่อย จะได้เป็นขี้ปากชาวบ้านเขาน้อยลง..!

พอ ๆ กับคุณสุเมธ สมประดีกุล หรืออดีตพระสุเมธ ฉฬภิญโญ เวลาทำบุญเขาจะต้องเขียนธนบัตรทุกใบ ถ้าเป็นอาตมาสมัยก่อนจะถามว่า มึงจะเขียนไปทำส้น..อะไร..!? แต่สมัยนี้เลิกถามแล้ว ถามไปก็เท่านั้น สันดานแก้ไม่หาย ก่อนหน้านี้อาตมาบอกว่า เหมือนอย่างวิสัยหมา หมาไปไหนก็เยี่ยวรดเสาทำเครื่องหมายไปเรื่อย นี่เขาต้องทำเครื่องหมายแบงค์ทุกใบเหมือนกัน

ของบางอย่างเป็นวาสนา ภาษานักประพันธ์เขาเขียนสวยมาก วาสนาที่ตัดไม่ขาด ภาษาไทยแท้เขาว่า “สันดาน” สันดานมาจากบาลีว่า สนฺตติ แปลว่า ความสืบเนื่อง ชาติแล้วชาติเล่าเป็นอย่างนั้น ก็เลยไม่สามารถจะแก้ไขได้ เพราะว่าเคยชิน แบบเดียวกับพระปิลินทวัจฉะ"


เถรี 25-07-2019 17:38

“พระปิลินทวัจฉะเป็นพระมหาสาวกที่ได้รับเอตทัคคะทางด้านเป็นที่รักของเทวดา ไปไหนพรหมเทวดาห้อมล้อมกันเป็นร้อยเป็นพัน แต่ท่านอยู่ร่วมกับชาวบ้านเขาไม่ได้ เพราะชาวบ้านเขาว่าท่านพูดจาหยาบคาย ก็คือปกติท่านเรียกคนอื่นว่า “ไอ้ถ่อย” ถึงเวลาก็ “เฮ้ย..ไอ้ถ่อย เป็นอย่างไรบ้าง ?” เกิดจากการที่ท่านเคยเกิดเป็นพราหมณ์ต่อเนื่องมา ๕๐๐ ชาติ อยู่ในตระกูลพราหมณ์ที่ถือว่าสูงที่สุด แม้แต่พระมหากษัตริย์ยังต้องเคารพกราบไหว้ ก็เลยเห็นคนอื่นเป็นคนต่ำไปหมด

หรือก็เหมือนนกุลปิตา นกุลมาตา สองท่านเมื่อเจอพระพุทธเจ้า ตรงเข้าไปกอดเลย ถามว่า “ลูกไปไหนมา หายไปนานขนาดนี้ ?” ท่านเคยเกิดเป็นพ่อแม่ของพระพุทธเจ้าต่อเนื่องมา ๕๐๐ ชาติ คนอื่นเขาตกอกตกใจ พระพุทธเจ้าท่านเห็นเป็นเรื่องปกติ”


ถาม : ทำไมท่านถึงไม่ได้เป็นพุทธมารดาคะ ?
ตอบ : ชาติสุดท้ายต้องสร้างบารมีมาเกิดเป็นพุทธมารดาโดยเฉพาะ ถ้าสร้างไม่ถึงก็เป็นไม่ได้ พระพุทธมารดาเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดในโลก นอกจากมีเบญจกัลยาณีแล้วยังต้องประกอบไปด้วยอิตถีลักษณะที่งามสมบูรณ์อีก ๖๔ อย่าง ไม่สูงเกิน ไม่ต่ำเกิน ไม่อ้วนเกิน ไม่ผอมเกิน ไม่ขาวเกิน ไม่ดำเกิน สารพัดที่จะกำหนด ถามว่าทำไม ? อย่างเช่นว่า ถ้าช่วงตัวยาวเกิน ถึงเวลาพระโพธิสัตว์จะกินนมก็ต้องยืดคอ เดี๋ยวเด็กคอยาว ทำให้เสียพุทธลักษณะไป

ดังนั้น...ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ที่จะเกิดเป็นพุทธมารดา ก็ไปเป็นในชาติอื่นแทน นกุลปิตากับนกุลมาตาเป็นฆราวาสที่ได้รับเอตทัคคะทางเป็นผู้คุ้นเคยยิ่งของพระพุทธเจ้า

เถรี 25-07-2019 17:49

ถาม : ตอนที่เราจับภาพพระหรือดวงแก้ว ถ้าภาพที่เห็นไม่ตรงกับของจริง แล้วในแต่ละครั้งที่เราทำก็ไม่เหมือนเดิม ?
ตอบ : ถ้าหากว่าไม่เหมือนของจริง ก็ลืมตาดูใหม่ เมื่อตั้งใจจับภาพพระหรือภาพดวงแก้ว ถ้าไม่เหมือนเดิม โอกาสที่จะได้ดีก็ยาก อย่างน้อยก็ต้องยึดของเก่าไว้ก่อน ทีนี้การจับภาพของเรา ส่วนใหญ่ใช้นึกเอา ไม่ได้ใช้ของจริง ให้ย้อนกลับไปหาของจริง

ถาม : เวลาใช้ของจริง พอทำไปสีกลายเป็นขาวขุ่น ?
ตอบ : ขอให้เหมือนเดิม จะสีอะไรก็เรื่องของเขา เพราะว่าสีสันขึ้นอยู่กับกำลังสมาธิตอนนั้น

ถาม : ถ้าขนาดไม่เท่าเดิมละครับ ?
ตอบ : ขนาดไม่จำเป็น แต่รูปร่างต้องเป็นของเก่าตามต้นฉบับ

ถาม : ใหญ่น้อยก็ได้ เป็นสีอะไรก็ได้ แต่เป็นทรงเดิม ?
ตอบ : ส่วนใหญ่ก็คือ ต้องสีเดิมทรงเดิม ยกเว้นสมาธิขึ้น สีจะเปลี่ยน แต่ว่าทุกอย่างจะเหมือนเดิม

เถรี 25-07-2019 17:50

ถาม : เราจับลูกแก้วที่มีรูปพระ ถือเป็นพุทธานุสติหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : สำคัญที่คุณนึกถึงพระหรือเปล่า ? ถ้าไม่ได้นึกถึงพระ ก็เป็นแค่อาโลกกสิณ ถ้านึกถึงพระด้วยก็มีส่วนของพุทธานุสติอยู่

เถรี 25-07-2019 17:51

ถาม : พระนิพพานนี่อุปจารสมาธิก็ไปได้หรือครับ ?
ตอบ : อุปจารสมาธิได้แค่เห็นเท่านั้น

เถรี 25-07-2019 17:53

ถาม : เวลาที่จับภาพดวงแก้วหรือภาพพระ จับไว้ที่กลางกาย ไว้ที่ส่วนต่าง ๆ ของกาย ไว้ที่พระนิพพาน มีความแตกต่างกันอย่างไรบ้างครับ ?
ตอบ : ะไว้ที่ไหนก็ได้ การที่เราไว้ใน ไว้นอกเป็นส่วนของกีฬาสมาธิ ก็คือเราซักซ้อมไว้ให้เกิดความคล่องตัว จะได้ไม่เบื่อหน่าย เพราะว่าถ้าอยู่ที่เดียว บางคนนิสัยขี้เบื่อ ส่วนจะไว้ที่ไหนก็ตามไม่ได้สำคัญ สำคัญตรงผลของสมาธิ

ถาม : ตอนแรกเราไว้ที่จมูก ทรงไปได้ระยะหนึ่ง แล้วก็ทรงไม่ได้ ก็เลยย้ายไปที่อื่น แล้วก็ทรงได้ อย่างนี้ถือว่ายังใช้ได้ไหมครับ ?
ตอบ : ก็บอกแล้วว่าไม่ได้มีความสำคัญ สำคัญตรงที่เราทรงสมาธิได้ไหม ? จะย้ายไปตรงไหนก็ย้ายไปเถอะ

เถรี 25-07-2019 17:55

ถาม : อย่างถ้าเราเคยจับภาพพระมาก่อน พอมาจับดวงแก้วก็ทำได้ระดับหนึ่ง เวลาเกิดเหตุการณ์อะไรก็ตาม แก้วนี้ก็จะมา แต่ว่าบางทีถ้าจวนตัวสุด ๆ ภาพพระจะแทรกขึ้นมา อย่างนี้ถือว่าโอเคหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ไม่ตั้งแต่แรกแล้ว เพราะว่ากรรมฐานกองไหนก็ตาม ต้องทำให้ถึงที่สุดก่อน แล้วค่อยเปลี่ยนกอง คุณยังไม่ทันจะได้เต็มที่ก็เปลี่ยนไปเรื่อย ชาตินี้เอาดีได้ก็เก่งตายห่..!

เถรี 25-07-2019 17:58

ถาม : ถ้าเราภาวนาแล้วรู้สึกว่าลมหายใจไม่มี อย่างไรเราก็ไม่ตายใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ก็ไม่แน่ ถ้าทรงฌานอยู่ กำลังของฌานรักษาก็อยู่ได้ แต่ถ้าหากว่าสภาพร่างกายไม่ไหว จิตหลุดออกไปเลย ก็อาจจะตาย เพียงแต่ว่าการปฏิบัติธรรมทุกอย่างเขาให้แลกกันด้วยชีวิต ไม่อย่างนั้นเรื่องแค่นี้ยังกลัวตายอยู่ ก็ไม่ต้องไปคิดว่าจะสำเร็จหรือไม่

ถาม : ถ้าตายตอนนั้นอย่างไรก็คุ้มใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ก็ไม่แน่เหมือนกัน ตอนขาดใจตายดันไปนึกถึงนรกก็ช่วยไม่ได้ อาสันนกรรมเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนที่สุดว่าใจสุดท้ายจะเกาะอะไร เพราะว่าแค่เสี้ยววินาทีเดียว

ถาม : ต่อให้เราสร้างความเคยชินมามาก ๆ ?
ตอบ : ขนาดคนได้อภิญญายังร่วงเลย คุณจะชินกว่าเขาหรือ ? คุณไม่สงสัยเลยหรือว่าทำไมชั้นจาตุมหาราช เทวดามากมายจนนับไม่ถ้วน ? นั่นทรงฌานได้ทั้งนั้น แล้วก็หลุด

ถาม : ไม่ใช่ว่าท่านตั้งใจที่จะหลุดเพื่อไปรับตำแหน่งใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเป็นคุณจะเอาไหมเล่า ? แทนที่จะไปกินเงินเดือนปริญญาตรี ปริญญาโท กูก็ขอแค่อัตรา ป.๔..!


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 09:18


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว