![]() |
ท่านเป็นเจ้าคณะจังหวัดที่พระรักทั้งเมืองจริง ๆ ถึงเวลาเขาไปถวายสักการะกัน จังหวัดโน้นไปมีกระเช้าสวย ๆ มีซองหนา ๆ จังหวัดกาญจนบุรีไปนี่ถ้ามีมะนาว มีฟักทอง มีหน่อไม้ ฯลฯ ท่านจะชอบใจมาก ส่งเข้าโรงครัวทำอาหารเลี้ยงพระเลี้ยงเณร “ไม่ต้องเอาเงินมาให้กู พวกมึงก็ไม่ค่อยจะมีกันอยู่แล้ว”
ตอนนั้นอาตมาไปอยู่วัดท่าขนุนใหม่ ๆ ปี ๒๕๔๔ ก็ไปสักการะพระผู้ใหญ่ในช่วงพรรษาเหมือนกัน เอาซองใส่ปัจจัยไปถวายท่านพันเดียว ท่านส่งคืน ท่านบอก “เอาเก็บไว้ใช้ พวกแกมีค่ารถค่ารา มาให้เห็นหน้าข้าก็ดีใจแล้ว” ตอนช่วงนั้นก็ไปขออนุญาตท่านตั้งสำนักเรียนบาลี ท่านอาจารย์สมพงษ์ก็รี ๆ รอ ๆ กลัวท่าน ใคร ๆ ก็ว่าท่านดุ อาตมาก็เข้าไป “หลวงพ่อครับ ผมจะขออนุญาตตั้งสำนักเรียนบาลีที่วัดท่าขนุน ขอความเมตตาหลวงพ่อเซ็นหนังสืออนุญาตด้วยครับ” “ไม่ต้องเซ็น มึงไปตั้งเลย อะไรติดขัดมาบอกกู” ง่าย ๆ เลย ถึงเวลาไม่มีอาจารย์ ไม่มีอะไรให้บอก เดี๋ยวท่านหามาให้ รุ่นนั้นที่เรียนอยู่ก็คือท่านอาจารย์มหาเอ คราวนี้อาตมาไม่สบาย เป็นมาลาเรีย ตอนเรียนได้ที่หนึ่งก็จริง แต่ตอนสอบมาลาเรียกินสมอง...ไข้ขึ้น จากได้คะแนนเต็มตอนทดสอบตลอด พอถึงเวลาสอบจริงเหลือไม่ถึงครึ่ง ท่านอาจารย์มหาเอกินที่ ๒ ของห้องมาตลอด พอถึงเวลาคนอื่นเรียนไม่ไหว ต้องเลิกกลางคัน อาตมาต้องให้ท่านอาจารย์มหาเอมาเรียนต่อที่วัดปากน้ำ |
เวลาหลวงพ่อเจ้าคุณท่านออกตรวจวัด มีคนถวายรถเบนซ์ท่าน ท่านก็ลุยเข้าป่าเข้าดงไปเรื่อยเปื่อย เขาถามว่าหลวงพ่อเอารถอย่างนี้เข้าป่าหรือครับ ? “เออ...ก็เขาให้ไว้ใช้” คำว่า ก็เขาให้ไว้ใช้ของท่านก็คือ ในเมื่อพวกมึงให้กูใช้ กูก็ไม่ต้องมาระวังรักษา กูก็ใช้ของกูไปเรื่อย เจอพระเจอเณรเดินอยู่ข้างถนนก็จอด “เฮ้ย...ไปไหนกัน ?” ไปโน่นครับ ไปนี่ครับ “เออ...ไปทางเดียวกัน..ขึ้นมาเลย” พาไปส่งก่อน แล้วจะไม่ให้บรรดาพระทั้งจังหวัดรักท่านได้อย่างไร ?
ไม่ได้มีมาดของความเป็นเจ้านายเลย เหมือนอย่างกับเป็นเพื่อนกันมากกว่า หรือไม่ก็เหมือนหลวงปู่หลวงตา ปู่ย่าตาทวดของเราเอง ถึงเวลามาอบรมบาลีวัดไร่ขิง...ได้เจอทุกวัน อยู่ตั้งแต่เช้ายัน ๔ ทุ่มทุกวัน ไม่เคยหนี จนกระทั่งพวกเราเลิกกันหมดแล้วท่านถึงได้กลับวัด ตี ๔ ตี ๕ ออกจากวัดมาอีกแล้ว ทำอย่างกับวัดไร่ขิงกับเมืองกาญจน์อยู่ใกล้ ๆ แล้วคิดดูว่า ๔ ทุ่มกลับไปท่านได้นอนกี่ชั่วโมง ? ตอนเช้ากลับมาอีกแล้ว พอทำวัตรเช้าเสร็จก็วิ่งมาแล้ว |
ถึงเวลาไปก็ไม่ได้ไปมือเปล่า บางทีหอบมะนาวไปทีหนึ่ง ๒๐-๓๐ กิโลกรัม เอาไปช่วยโรงครัวเขา
เวลาประชุมคณะสงฆ์ หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสามพระยาก็ “เอ้า...หลวงพ่อวัดใต้มีอะไรจะพูดบ้าง ?” “พระเดชพระคุณจะให้ผมพูดเรื่องจริง หรือพูดเรื่องที่อยากฟัง ?” ถามก่อนเลย “เอาเรื่องจริงแล้วกันเจ้าคุณ แต่เบา ๆ หน่อยนะ” แล้วคิดดูว่าท่านอยู่ต่างจังหวัด เป็นพระเปรียญธรรม ๘ ประโยค แต่เป็นถึงเจ้าคุณชั้นธรรม ถ้าไม่ใช่ความสามารถจริง ๆ ใครจะเป็นได้ เป็นเจ้าคณะจังหวัดอยู่ ๓๖ ปีเต็ม ๆ เป็นตั้งแต่เป็นพระมหาไพบูลย์ เป็นพระวิสุทธิรังสี เป็นพระราชปัญญาสุธี เป็นพระเทพสุธี จนเป็นพระธรรมคุณาภรณ์ |
ไปสร้างโรงพยาบาลพนมทวน ก็เลยตั้งชื่อโรงพยาบาลเจ้าคุณไพบูลย์อุปถัมภ์ ท่านบอกว่า “ทำให้เขาหน่อยวะ ลูกหลานกูจะมาเข้าโรงพยาบาลในเมืองก็ไกล ต้องมาแย่งกับเขาอีก สร้างให้ตรงนั้นเลย” พระก็ไปกันทั้งจังหวัด ไปช่วยกัน ท่านก็บอกญาติโยมไปเลี้ยงอาหารกันหน่อย ไม่ขออะไรหรอก เงินก็ไม่เอา เอาอาหารไปเลี้ยงพระเณรก็พอ
ท่านตากแดดตัวดำปี๋เพราะไปเทปูนเอง แล้วพระเณรที่ไหนจะกล้าอู้ ถึงเวลาก็นุ่งสบงตัว อังสะตัว มีผ้าอาบเคียนหัว ทะมัดทะแมงอย่าบอกใครเลย ๖๐ กว่า ๗๐ ปี เทปูนเอง ไม่รู้กลางค่ำกลางคืนเป็นอย่างไร ร้องโอย ๆ บ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้ ? แต่กลางวัน แหม...คึกคักเข้มแข็ง เป็นตัวอย่างที่ดี บอกแล้วว่าอยู่ให้เขารักใคร่เกรงใจ จากไปให้เขาคิดถึง ก่อนหน้านี้กาญจนบุรีก็มีหลวงปู่ยิ้ม รุ่นถัดมาก็หลวงปู่เปลี่ยน วัดใต้ หลวงปู่ดี วัดเหนือ หลวงปู่สอน วัดทุ่งลาดหญ้า มายุคหลังนี้ใคร ๆ ก็บอกต้องหลวงพ่อไพบูลย์ ช่วยเขาทั่วไปหมด ปกติใคร ๆ ก็บอกว่าหลวงพ่อสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา ดุ...เด็ดขาดขนาดไหน ไปกับเจ้าคุณไพบูลย์อย่างกับปี่กับขลุ่ย คือคนทำงานจริงเหมือนกัน หลวงพ่อไพบูลย์ทำงานก็ไม่เคยเรียกร้องจะเอายศจะเอาตำแหน่งอะไร ทำไปเรื่อย ๆ ทำเพื่อพระเพื่อเณร ทำเพื่อชาวบ้านทั้งนั้น |
พวกเราเห็นว่ารถที่ท่านใช้เก่าโทรมเต็มทีแล้ว ตอนท่านอายุ ๗๒ ปี ก็ช่วยกันเรี่ยไรเงินคนละ ๕๐๐ บาท คนละ ๑,๐๐๐ บาท พระทั้งจังหวัด “ขอซื้อเบนซ์ถวายหลวงพ่อครับ” “เออ..ขอบใจ พวกมึงอุตส่าห์นึกถึงกู เอาไปสร้างโรงพยาบาลดีกว่าว่ะ”
สรุปว่า ๓ ล้านกว่าบาทอยู่กับโรงพยาบาลหมด “ไอ้คันนี้ซ่อมแล้วก็ยังพอไปไหว มึงไม่ต้องห่วงกูหรอก” ไม่ได้ห่วงหลวงพ่อหรอก แหม...เวลาเจ้าคณะจังหวัดของเราไปที่อื่นนี่ รถโทรมจะแย่ จะบอกท่านว่าผมขายหน้าเขาก็ใช่ที่..! |
"พอมารุ่นหลวงพ่อณรงค์ (พระเทพเมธากร) เป็นเจ้าคณะจังหวัดต่อ อาตมาซื้อรถเบนซ์ถวายท่านคันหนึ่ง ช่วงที่อยู่ก็ดูแลรถ คอยเติมน้ำมันให้ ท่านก็ใช้เพลิน พอท่านส่งอาตมาขึ้นไปอยู่วัดท่าขนุน ทางด้านนี้ใช้รถไปไม่ถึงเดือน ท่านต้องเอารถไปให้หลานใช้ บอกว่าสู้ค่าใช้จ่ายไม่ไหว ก็คือรถเบนซ์เวลาขับแล้วไม่รู้สึกว่าเร็ว เหยียบ ๑๖๐-๑๗๐ นิ่งอย่างกับรถอื่นขับแค่ร้อยเดียว คราวนี้พอเหยียบขนาดนั้นก็กินน้ำมันมาก สมัยที่อาตมาอยู่เช้าก็เติม เย็นก็เติม ท่านก็ไม่รู้ เพราะว่าอาตมาจ่ายคนเดียว เจอจ่ายเองแบบนั้นเข้าเลยไม่เอาอีกแล้ว
จำได้ว่าผู้การป๊อดเอาไปใช้ หลานท่านตอนนี้เป็นรองผู้กำกับสมุทรสาคร เดี๋ยววันงานศพก็น่าจะเจอหน้า ถามว่า "อาจารย์เล็กไม่เอารถคืนหรือ ?" "เอามาทำไม ก็ถวายท่านไปแล้ว แล้วอย่างผมขี่เบนซ์ได้ที่ไหน...ขี้กลากขึ้นตูดเปล่า ๆ" ความจริงไม่ใช่หรอก รถเบนซ์ รถบีเอ็ม รถยุโรป เครื่องปรับอากาศไม่ดี ดีแต่ฮีตเตอร์ ใครไปนั่งข้างหลังนี่ถ้าหากว่าปอดไม่ดี ก็เมารถหมด เพราะอากาศไม่พอหายใจ ลองไปใช้รถยุโรปแล้วไปนั่งข้างหลัง แหม...ประเภทมาดดี ๆ ต้องนั่งข้างหลัง มีคนเปิดประตูให้ ลงมาอ้วกแตก..ทุเรศฉิบหา..! ใช้ก็ใช้รถญี่ปุ่นราคาไม่กี่สตางค์ ซ่อมก็ง่าย วันก่อนพระครูศรีกาญจนวิสุทธิ์ (ท่านอาจารย์มหาไพรัช) เลขานุการเจ้าคณะจังหวัด “โห..อาจารย์เล็ก ผมไปงานที่สังขละฯ ทีเดียวหมดเป็นแสน” ถามว่าอะไรนะ ? “ผมใช้รถ...ง รถเสียช่างไปยกกลับมา เขาบอกว่าค่าซ่อมแสนหก..!” |
พระอาจารย์กล่าวว่า "แจ้งกับญาติโยมให้ทราบ วันนี้รับหนังสือกระโถนข้างธรรมาสน์ฉบับพิเศษ ตอน "หลากรสในพม่า" ๕,๐๐๐ เล่ม จะเอาไว้แจกในงานทำบุญ ๖๐ ปี ไม่รู้ว่าพอหรือเปล่า ? ส่วนนี้จ่ายไปหลายสตางค์อยู่ ค่าพิมพ์อย่างไม่มี ๆ เล่มหนึ่งก็ตก ๓๐-๔๐ บาท ยิ่งหนา ๆ หน่อยแล้วกระดาษปอนด์ ซ้ำยังพิมพ์สี่สีด้วยก็หนักเข้าไปอีก ไปแจกในงาน ถ้าใครอยากได้ก่อนตรงนี้จะขาย..!
อายุ ๖๐ ปีแล้ว โอกาสแต่งงานคงไม่มี ก็เลยเอาปกสีพ่อหม้าย สี่สีทั้งเล่ม..ไม่ต้องห่วง ถ้าบอกว่าขายเล่มละ ๑๐๐ บาท ยังนั่งนึกอยู่เลยว่ากูจะขาดทุนหรือจะกำไร ? คือทางบริษัทรับพิมพ์เขาก็ทึ่งว่าทางเราสั่งตั้ง ๕,๐๐๐ เล่ม เพราะว่าปกติยอดพิมพ์สูงสุดในปัจจุบันนี้ของหนังสือระดับ Best Seller คือ ๒,๐๐๐ เล่ม ขายหมดก็ถือว่าสุดยอด ของวัดท่าขนุนขายบ้างแจกบ้างไม่เคยมีเหลือ" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงบวชพระวันวิสาขบูชาที่ผ่านมา มีนาคไม่ได้บวช ๒ รูป ก็เลยเหลือแค่ ๘ รูป บอกแล้วว่าวัดท่าขนุนค่อนข้างจะเข้มงวด ไม่ได้โม้..เรื่องจริง คราวนี้ในเมื่อคุณไม่ค่อยเชื่อ ก็โดนเข้าไปแบบนั้น ก็เป็นอันว่าคงจะจำไปอีกนาน เพราะว่าส่วนใหญ่ก็มักจะไปบอกญาติบอกโยมว่าตัวเองจะได้บวช แล้วคราวนี้พอไม่ได้บวชก็แปลว่าหน้าแตก..!"
|
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวันที่ ๒๙ พฤษภาคม หลวงพ่อพระเทพมหาเจติยาจารย์ เจ้าคณะจังหวัดนครปฐม ท่านไปเยี่ยมศพท่านอาจารย์มหาสันติ พอบอกว่ารักษาการแทนเจ้าอาวาสที่นี่คือเด็กวัดท่าขนุน หลวงพ่อท่านก็ “โอ้โฮ...อาจารย์เล็ก หาคนคุณภาพแบบนี้มาจากไหน ? พวกที่ท่านส่งไปเรียนบาลีที่นครปฐมสุดยอดทั้งนั้นเลย แต่ละคนขยันขันแข็งสุด ๆ เรียนหนังสือก็เก่ง สอบได้ทุกปี ปฏิบัติธรรมก็ได้ นำชาวบ้านปฏิบัติก็ได้ เทศน์ก็ได้ เป็นพิธีกรก็ได้ ให้ไปเฝ้างานปฏิบัติธรรม ๑๕ วัน อยู่กันครบถ้วนไม่มีหนีเลย”
ก็กราบเรียนท่านว่า "หลวงพ่อครับ ส่วนใหญ่ท่านทั้งหลายเหล่านี้มา ท่านตั้งใจบวช แล้วนโยบายของผมก็คือ ต้องให้ได้นักธรรมเอกก่อน แปลว่าอย่างน้อยต้องอยู่กับผม ๓ ปี ระหว่าง ๓ ปีนี้ ถ้าคนเขาตั้งใจเอา จะได้รูปแบบที่มั่นคงไปเลย ทั้งการปฏิบัติ ทั้งการปริยัติ แล้วเมื่อได้รูปแบบมั่นคงไปแล้ว ก็เท่ากับว่าเขามีทางเดินที่ชัดเจน ถึงเวลาไปไหนก็เอาแนวทางนี้ไปใช้ คนไปลือกันว่าอย่าไปอยู่คณะ ๒ วัดพระปฐมเจดีย์ เพราะว่าคณะนี้เคร่งโคตร ๆ ไม่จริงหรอกครับหลวงพ่อ วัดผมทำอย่างนี้ทุกวัน ก็แค่สวดมนต์ทำวัตร บิณฑบาต นั่งกรรมฐาน ยากตรงไหน ? แต่พวกอื่นนั้นวัน ๆ พอเลิกจากเรียนหนังสือ ก็นั่งเล่นเกมกันบ้าง นั่งดูหนังกันบ้าง พอถึงเวลาสวดมนต์ทำวัตรก็ไม่เอา บิณฑบาตก็ไม่เอา โทรสั่งอาหารเดลิเวอรี่มาส่งยันกุฏิ ไม่ใช่พระผมไม่มีเงินนะ ผมให้เขาพอกินพอใช้เลย แต่เขาเก็บไว้บูชาวัตถุมงคล ประหยัด...ไปบิณฑบาต แล้วเก็บเงินไว้บูชาวัตถุมงคล..!" พระผู้ใหญ่ท่านชม อาตมาก็ปลื้มใจว่า เออ...ส่งลูกศิษย์ไปแล้วก็เรียกว่าเป็นเกียรติเป็นศรี สิ่งที่ทำก็ดีแก่ตัวเขาด้วย แล้วก็เป็นหน้าเป็นตาให้แก่ครูบาอาจารย์ด้วย ยิ่งปีนี้คณะ ๒ นี่กินขาดเลย เพราะว่าได้ประโยค ๕ มา ๒ รูป ได้ประโยค ๓ มา ๑ รูป ประโยค ๑-๒ อีก ๓ รูป" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันนี้พระที่อาตมาส่งเรียนปริญญาเอก ก็คือพระครูสมุห์ธรรพ์ณธร ธมฺมทินฺโน บางคนก็เรียกหลวงพี่หน่อย บางคนก็เรียกพระครูหน่อย ท่านจบปริญญาเอกสาขาพระพุทธศาสนา
จบปริญญาเอกส่วนใหญ่พวกเราเรียกด็อกเตอร์ รู้ไหมว่าด็อกเตอร์มีความหมายว่าอะไร ? ด็อกเตอร์คือหมอ หมออะไร ? หมอรักษาโรค โรคอะไร ? โรคเสื่อมทรามของสังคม จบมาแล้วภาษาอังกฤษเขาว่า Philosophy of doctor เป็นหมอในการรักษาสังคม เห็นอะไรไม่ถูกต้องต้องต่อสู้เพื่อความดีงาม ไม่ใช่ปล่อยปละละเลย เพราะว่าเป็นหน้าที่ของคุณโดยตรงแล้ว เดี๋ยวนี้พระมีโอกาสเรียนจบปริญญาเอกมากกว่าญาติโยม เหตุที่จบปริญญาเอกมากกว่าญาติโยมมีหลายสาเหตุด้วยกัน สาเหตุแรก คือแรงผลักดันให้เรียน พระภิกษุสามเณรส่วนใหญ่มาเรียนเพราะอยากเรียน ถึงขนาดลงทุนบวชเข้ามาเพื่อให้ได้เรียน อาตมาเป็นอาจารย์สอนอยู่วิทยาลัยสงฆ์พุทธปัญญาศรีทวารวดี วัดไร่ขิง (พระอารามหลวง) มีบางสาขาอย่างเช่นรัฐประศาสนศาสตร์หรือบริหารรัฐกิจ ฆราวาสมาเรียนกันมาก ปรากฏว่าแค่หนึ่งเทอมหรือสองเทอม ฆราวาสก็ล้มหายตายจากไปเกินครึ่งค่อนห้อง ตอนแรกเห็นเขารับรัฐประศาสนศาสตร์ห้องละ ๗๐ คน อาตมาตกใจ รับมาแบบนี้ สกอ.ตีตายห่..เลย..! เพราะเต็มที่ห้องหนึ่งต้องไม่เกิน ๓๕ คน ถ้าได้รับอนุมัติพิเศษก็ ๔๐ คน ไม่อย่างนั้นอาจารย์จะดูแลไม่ทั่วถึง รับมาได้อย่างไร ๗๐ คน ?? ผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการบอกว่า "ธรรมดา..พระอาจารย์ยังประสบการณ์น้อย พวกนี้ไม่เกินสองเทอมก็หายไปเกินครึ่ง" จริง ๆ ด้วย เทอมแรก ๗๐ คน เทอมที่สามเหลือแค่ ๒๒ คน..!" |
"พอถึงเวลาเรียน พระที่เรียนสาขานี้ก็ตั้งหน้าตั้งตาเรียน ตั้งหน้าตั้งตาทำการบ้านส่ง ทำรายงานส่ง ส่วนโยมนั่งคุยกันท้ายห้อง เล่นไลน์บ้าง แต่งหน้าบ้าง กินขนมบ้าง ต่างกันเหมือนฟ้ากับเหว ทุกสาขาที่พระเรียน ถ้าหากมีฆราวาสเรียนร่วมด้วย จะรู้สึกว่าความขยันขันแข็งของพระเป็นที่น่าชื่นใจมาก ท่านเรียนเพราะอยากเรียน เรียนเพราะอยากยกระดับตัวเอง แต่ฆราวาสที่พ่อแม่ทุ่มเทให้ทุกอย่าง แทบจะเรียนแทน กลับไม่อยากเรียน
ดังนั้น...ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมบ้านเราถึงถอยหลังลงคลองไปทุกที เพราะว่าคนปฏิเสธความรู้ ต้องการแค่ความฉาบฉวย โปรไฟล์ดี ๆ อัพสเตตัสบ่อย ๆ เดี๋ยวก็มีชื่อเสียงขึ้นมาเป็นเน็ตไอดอล ซึ่งเป็นเรื่องอะไรที่ไร้สาระสุด ๆ บางคนถึงขนาดต้องไปก็อปปี้รูปจากหนังสือมาไปอวดชาวบ้าน เคยเห็นภาพไหม ? ที่เอาฝารองนั่งชักโครกมาไว้แนบหน้าตัวเองให้เขาถ่ายรูป มองออกไปเหมือนนั่งเครื่องบิน เพราะหน้าต่างเครื่องบินก็กลม ๆ รี ๆ แบบนั้น" |
"ฉะนั้น...แรงผลักดันในการเรียนของพระภิกษุสามเณรเหนือกว่ามาก ต้องตั้งใจเรียนให้จบ เพราะไม่รู้ว่าจะหาปัจจัยมาเพื่อเรียนได้อีกสักเท่าไร ไม่มีเวลาที่จะอู้ ยกเว้นท่านที่หัวไม่ไหว เข็นไม่ไปจริง ๆ ซึ่งแต่ถึงเข็นไม่ไปก็จบ เพราะว่าท่านมาเรียนเพราะอยากเรียน แต่ฆราวาสพ่อแม่ทุ่มเทให้ทั้งชีวิต ไม่ค่อยจะตั้งใจเรียนกัน ก็จะอ้างว่ามาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ไม่เห็นเรียนปริญญาตรีจบ บิล เกตส์ ไม่เห็นต้องจบปริญญาตรี ก็มีเงินเป็นหมื่นเป็นแสนล้าน
จริง...อาตมาไม่เถียง ฟังดูแล้วหรู..ดูเท่มาก แล้วมึงใช่ไอ้สองคนนี้ไหม ? มนุษย์โลก ๕ พันกว่าล้านคน มี ๒ คนนี้ที่ประสบความสำเร็จเพราะเรียนไม่จบ แล้วคิดว่า ๒ คนใน ๕ พันล้านเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ ? แล้วคุณจะติดในจำนวนเปอร์เซ็นต์นี้ไหม ? จะอ้างอะไรให้ดูความเป็นจริงด้วย ออกจากทุ่งลาเวนเดอร์มาก่อน ? มาอยู่ในดงหนามโคกกระสุนก่อน แล้วจะรู้ว่าชีวิตจริง ๆ ลำเค็ญแค่ไหน" |
"ฉะนั้น...เป็นหน้าที่ของบุคคลที่เรียนจบมาในระดับนี้แล้ว ที่เขายกย่องให้เป็นหมอ คือหมอที่คอยรักษาเยียวยาสังคม อะไรที่ไม่ถูกไม่ควร ต้องต่อสู้เพื่อความถูกต้อง เพื่อความดีงาม บ้านเราผิดฝาผิดตัวเยอะมาก ดังจะเห็นว่าในระยะหลัง มีหมอมาเล่นการเมืองเยอะมาก เขาให้คุณมารักษาคน ไม่ได้ให้มาเล่นการเมือง ในเมื่อผิดฝาผิดตัวในลักษณะนี้ก็ลำบาก
โดยเฉพาะระบบการศึกษาบ้านเราแก้ไม่ตกหรอก คอรัปชั่นเยอะมาก สามารถคอรัปชั่นได้ทุกระดับ แค่อนุมัติงบประมาณช้าไป ๖ เดือน ๙ เดือนก็รวยไปตาม ๆ กันแล้ว เพราะว่าปัจจุบันนี้งบประมาณของกระทรวงศึกษาธิการมากที่สุดในประเทศไทย มากกว่ากระทรวงกลาโหมอีก แต่รั่วไหลกลางทางหมด ไม่จำเป็นที่จะต้องไปโกงอะไรเลย แค่กั๊กงบประมาณเอาไว้ ๖ เดือนก็ได้ดอกเบี้ยไป ๒ งวดแล้ว แล้วเงินเป็นพันเป็นหมื่นล้าน ดอกเบี้ย ๒ งวดเป็นเท่าไร ? ฝากประจำ ๓ เดือนได้ดอกเบี้ย ๒ งวด ดังนั้น..ไม่ต้องแปลกใจหรอก ว่าทำไมการศึกษาบ้านเราเอาดีไม่ได้" |
"สมัยอาตมายังเป็นพระในสังกัดกรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ กว่าจะนิตยภัตหรือที่เรียกว่าเงินเดือนพระ ๕๐๐ บาทจะออก ตั้ง ๘ เดือน ๙ เดือนกว่าจะได้สักที นี่เขาเรียกว่าไม่โกง เพียงแต่มาช้าหน่อย ขอให้ผมได้ดอกเบี้ยก่อน
แล้วอีกอย่างหนึ่งที่กระทรวงของเราไม่สามารถแก้ไขได้ ตั้งแต่รุ่นอาตมาแล้ว ก่อนหน้านี้ก็น่าจะมี คือเพื่อนที่สอบเข้า ม.ศ.๔ ม.ศ.๕ สมัยนั้นไม่ได้ ทุกคนเบนเข็มไปเรียนวิทยาลัยครู ซึ่งปัจจุบันคือมหาวิทยาลัยราชภัฏ แปลว่าอะไร ? แปลว่าเอาคนที่เหลือเลือกแล้วมาเป็นครู ส่วนพวกดี ๑ ประเภท ๑ ไปเป็นหมอ เป็นวิศวกร เป็นทหาร ในเมื่อเอาประเภทวัสดุคุณภาพต่ำ ผลิตออกมาจะเป็นสินค้าคุณภาพสูงก็เป็นไปได้ยาก" |
"ปัจจุบันนี้ครูเป็นหนี้กันแทบทั้งนั้น เงินเดือนไม่พอใช้ งบประมาณมากที่สุดในทุกกระทรวง แต่เงินเดือนครูไม่พอใช้ หล่นหายกลางทางเยอะ ประเทศเกาหลีใต้เงินเดือนครู ๒๐๐,๐๐๐ - ๒๕๐,๐๐๐ บาทนะ ไม่ใช่วอน ถ้าเป็นบ้านเราเงินเดือนครู ๒๐๐,๐๐๐ บาท ดูสิว่าจะแย่งกันมาเรียนครูไหม ? ประเทศสิงคโปร์อย่างไม่มี ๆ ครูเงินเดือน ๑๒๐,๐๐๐ - ๑๕๐,๐๐๐ บาท บ้านเราหรือ ? ๓๐,๐๐๐ ตามวุฒิ ดร.ยังยากเลย
อาตมาเองใช้วุฒิปริญญาเอก เงินเดือนจริงไม่บอกหรอกว่ารับเท่าไร อนาถมาก..ไม่พอให้เสียภาษี นึกเอาก็แล้วกันว่าภาษีขั้นต่ำปีละเท่าไร ปีหนึ่งไม่พอให้เสียภาษี สอนเพื่อการกุศล เพราะว่าอาตมาก็ไม่เคยรับเงินเดือน ถึงเวลาเซ็นเบิกออกมา ก็โยนเข้ากองทุนการศึกษาให้กับวิทยาลัยสงฆ์ไป คราวนี้ลาออกจากวิทยาลัยสงฆ์มา หลวงพ่อเจ้าคุณแย้ม ผู้อำนวยการวิทยาลัยสงฆ์ด่ากราดเลย บอกว่าอาจารย์ที่มีความรู้ความสามารถขนาดนี้ มีจิตเป็นกุศลขนาดนี้ ปล่อยให้ลาออกไปได้อย่างไร ? ผอ.ฝ่ายวิชาการ ผอ.ฝ่ายบุคลากรนั่งกันตาปริบ ๆ สักพักหนึ่งก็ตัดสินใจกราบเรียนว่า "หลวงพ่อเป็นคนเซ็นอนุมัติเองนะครับ" หลวงพ่อเจ้าคุณแย้มก็ยิ่งโมโหใหญ่ " ก็แน่ละสิ...มึงส่งอะไรมากูก็เซ็นหมดแหละ กูจะไปรู้หรือว่าเป็นใบลาออก ตั้งแต่นี้ไปมึงอย่าหวังเลยว่าจะลักไก่กูได้ กูจะอ่านทุกตัวอักษรเลย" หลวงพ่อเจ้าคุณแย้มท่านนักเลงบ้านนอก มีอะไรก็ว่ากันซื่อ ๆ ใจถึงพึ่งได้" |
"สรุปว่าอาตมาพ้นจากอาจารย์ของวิทยาลัยสงฆ์สุพรรณบุรี พ้นจากอาจารย์ของวิทยาลัยสงฆ์นครปฐม ตอนนี้เหลืออยู่ที่เดียวคือวิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรี ที่อาตมาเป็นประธานจัดหาทุนสร้างวิทยาลัยสงฆ์ ญาติโยมเก็บเงินไว้คนละ ๒,๕๐๐ บาท เดี๋ยวจะไปรบกวน
วิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรีให้เป็นเจ้าภาพ ห้องละ ๒๕๐,๐๐๐ บาท อาตมาขอ ๒,๕๐๐ บาท มีเหรียญสมเด็จองค์ปฐม รุ่นฉลอง ๖๐ ปี พระครูวิลาศกาญจนธรรม เนื้อเขียวเหล็กไหล ห้ามบูชาเกินกี่องค์ดี ? ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวหมด มีศรัทธามากก็ไปบริจาคที่นั่นเอง ถ้าบริจาคตรงนี้จะต้องกำหนดก่อนว่าห้ามเกินเท่าไร เพราะว่าเนื้อนี้เป็นเนื้อที่ทำยากมาก เนื่องจากเกิดจากอุบัติเหตุ ก็คือเขาเอาเหรียญไปล้างแล้วหล่น จมอยู่ในน้ำ ๒ วัน ไปงมขึ้นมาจากเหรียญทองแดงกลายเป็นเขียวปีกแมลงทับ งามสุด ๆ เขาเลยคิดว่า ถ้าไปแช่น้ำ ๒ วันแล้วจะเป็นอย่างนี้ ก็เลยลองไปแช่ดู ปรากฏว่าสนิมกิน แต่ถ้าไปแช่บ่อนั้นดันเป็นเนื้อเขียวเหล็กไหล น่าจะมีแร่ธาตุประเภทกรดกำมะถันอะไรอยู่ คาดว่าตรงนั้นมีทางน้ำใต้ดิน น่าจะไหลผ่านแม็กม่าใต้ดิน มีกรดกำมะถันปนอยู่ แช่แล้วเนื้อเขียวสวยมาก สวยกว่าเมฆสิทธิ์อีก แต่จริง ๆ แล้วเนื้อเดิมก็คือทองแดง ถามว่ากล้าแขวนไหม ? เท่าแผ่นยันต์เกราะเพชรแผ่นเล็ก ฉะนั้น..ถึงเวลาแล้วมาช่วยกันสร้างวิทยาลัยสงฆ์หน่อย อาตมารับผิดชอบอาคารหลังเดียวประมาณ ๕๐ ล้านบาท นิด ๆ หน่อย ๆ เดี๋ยวช่วยกันภาวนาคาถาเงินล้านก็ได้แล้ว" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "การกราบพระ อาตมากราบให้ดูอยู่ทุกวัน ก็ได้แต่ดูกัน บางคนถ่ายรูปไว้อีกต่างหาก ทำอย่างไรจะให้เรากราบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์จริง ๆ ไม่ได้สักแต่ว่าแปะ ๆ ให้ครบ ๓ ที แถมยังเซลฟี่ไปอวดชาวบ้านเขาอีก
กราบพระเท่ากับว่าเราปฏิบัติในพุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ ถ้ากำลังใจยึดมั่นจริง ๆ ความเป็นพระโสดาบันอยู่ห่างแค่เอื้อมเท่านั้น แต่สมัยนี้ส่วนใหญ่ที่เห็นก็คือแปะ ๆ ให้ครบ ๓ ครั้ง หรือไม่ก็กราบแบบกิ้งก่าผงกหัว รู้อยู่ว่ากิเลสเขาพยายามจะชักจูงเราให้ไปไกลจากความดี แทนที่จะฝืนเพื่อเอาความดีใส่ตัว ก็กลายเป็นว่าคล้อยตามกิเลสไป ก็เท่ากับว่าเราปรามาสพระรัตนตรัย" |
"การกราบพระของเราต้องกราบแบบเบญจางคประดิษฐ์ ๑ ศีรษะ ๒ ศอก ๒ เข่า สัมผัสพื้นพร้อมกัน ศอกต่อเข่า ไม่ใช่ศอกอยู่ข้างหน้าแข้ง กราบพระดี ๆ นี่บริหารร่างกายไปในตัวเลย
การทำบุญสามารถทำได้ทุกเวลา สำคัญอยู่ตรงที่เราทำเป็นไหม ? ถ้าหากว่าทำเป็น กาย วาจา ใจ ของเราทุกเวลาก็คือบุญ แต่ส่วนใหญ่ เราไปปล่อยให้ฟุ้งซ่าน โอกาสที่จะได้บุญ แค่กราบพระให้ได้บุญอย่างง่าย ๆ เราก็ยังทำไม่ได้ จะพาลกลายเป็นบาปไปอีกต่างหาก เพราะสักแต่ว่าแปะ ๆ ไปให้ครบ ๓ ที ต้องไปอินเดีย ไปศรีลังกา ไปดูว่าชาวพุทธที่นั่นเขาทำอย่างไร หรือไม่ก็ไปพม่า ประเทศพม่านี่เช้า ๆ คนเขาไปวัด สวดมนต์ ไหว้พระ นั่งสมาธิ ภาวนาจนกำลังใจทรงตัวแล้วค่อยไปทำงาน เลิกจากงานเข้าวัด สวดมนต์ ไหว้พระ ภาวนาจนกำลังใจทรงตัวแล้วค่อยกลับบ้าน ก็แปลว่าเตรียมพร้อมที่จะเอากำลังไปสู้กับงาน แล้วหลังจากนั้นก็สลัดทิ้งสิ่งที่รกอยู่ในหัวจนหมด กลับบ้าน อารมณ์ดี นอนหลับสบาย ไม่เครียด" |
"ศรีลังกาแต่งชุดขาวไปวัดทุกวันพระ ถึงไม่ได้ไปวัดก็แต่งชุดขาว ก็แปลว่าวันพระใหญ่ วันพระเล็ก ถ้าเห็นชุดขาวมา รู้เลยว่านี่คือชาวพุทธ
ประเทศอินเดีย ปี ๒๔๙๙ ดร.เอ็มเบดการ์ ชาวพุทธอินเดียเรียก บาบา สาเหบ พิมเรา รามจี บาบาก็คือท่านพ่อ นำชาวพุทธโดยเฉพาะพวกศูทร พวกจัณฑาล ๕๐๐,๐๐๐ คน ปฏิญาณตนนับถือพระรัตนตรัย โดยมีกฎเหล็ก ๒๒ ข้อ ไม่ใช่ศีล ๕ มากกว่าศีล ๕ ต้องละทิ้งลัทธิเดิมทั้งหมด ฉะนั้น...ถ้าเขาไม่มั่นใจชนิดมอบกายถวายชีวิต จะมีใครกล้าปฏิญาณ ? แต่อินเดียปัจจุบันนี้ ถ้าเราไปจะเห็นว่า คนอินเดียเวลาไปสถานที่ทางศาสนาพุทธ เขาไปเพื่อเป็นอนุสติ ถ้าไม่มีมัคคุเทศก์ หัวหน้าคณะต้องศึกษารายละเอียดว่า สถานที่นั้นมีความสำคัญเกี่ยวโยงกับพระพุทธศาสนาอย่างไร แล้วก็ไปสวดมนต์ ไหว้พระ นั่งสมาธิ ภาวนา แปลว่าเขาใช้เวลาในสถานที่แต่ละแห่งนานมาก" |
"ส่วนทัวร์ไทยเราลงไปถึงก็แตกพล่านไปหมด เซลฟี่ได้รูปที่พอใจแล้วก็อัพสเตตัส...จบ กลายเป็นพวกเราไปหาบาป ขณะที่เขาไปเอาบุญ ดังนั้น..เรื่องทั้งหลายเหล่านี้เห็น ๆ อยู่ว่า บ้านเราเป็นชาวพุทธแต่ปากเอาเสียมาก คนที่จะเป็นชาวพุทธทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งใจ นั้นมีน้อย
การปฏิบัติธรรมเขาให้ละตัวตน ส่วนพวกเรามีแต่เพิ่มตัวตน อัพเฟซฯ อัพไลน์ ขึ้นสเตตัสกันได้ทุกวัน ทุกชั่วโมง อาตมาถึงได้บอกว่า ตัวเองรับตราตั้งรองเจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิตอน ๑๐ โมง ๒๐ นาที พอ ๑๐ โมง ๒๔ นาที ข่าวไปทั่วโลกแล้ว มีคนช่วยอัพให้เรียบร้อย จนกระทั่งเพื่อนอาจารย์ มจร.เขายังพูดว่า "อาจารย์เล็กเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยที่ไม่เล่นเฟซฯ เล่นไลน์ แต่มีรูปลงเฟซฯ ลงไลน์มากที่สุดในโลก" |
พูดถึงรูปภาพประกอบคำสอนธรรมะ "เนื้อหาเยอะเกินไปไหม ? คุณจำไว้ว่าสมัยนี้คนไทยอ่านหนังสือไม่เกิน ๘ บรรทัด ตัดสั้น ๆ เอาเฉพาะเนื้อหาใจความ และต้องเป็นเนื้อหาใจความที่คนทั่วไปอ่านเข้าใจ ไม่ใช่เราอ่านเข้าใจ ขยายตัวให้ใหญ่หน่อยก็ได้ อย่ามาก เพราะว่าถ้ามาก แค่มองเขาก็หมดความสนใจ...กูไปละ..!
ส่วนใหญ่แล้วพวกเรามีพื้นฐานการปฏิบัติธรรมมาก่อน เราคิดว่าเราอ่านเข้าใจ แต่คนอื่นอ่านไม่รู้เรื่อง ต้องคิดอยู่เสมอว่าคนใหม่อ่านต้องรู้เรื่อง คนไม่มีพื้นฐานอ่านต้องรู้เรื่อง บางอย่างถ้าไม่รู้เรื่องจริง ๆ ปรับแก้เล็กน้อยเพื่อให้เขารู้เรื่องก็ปรับได้" |
"สมัยก่อนตอนทำหนังสือประวัติหลวงปู่ปาน หนังสือคู่มือกรรมฐาน ๔๐ ของวัดท่าซุง มีปัญหาอยู่ว่าลูกศิษย์หลวงพ่อเก่า ๆ หลายคน เคารพธรรมะเกินเหตุ ไม่กล้าแก้ไขต้นฉบับแม้แต่คำเดียว กระทั่งเสียงกระแอมกระไอยังถอดลงไปเลย ลักษณะอย่างนั้นปัญญาอ่อนชัด ๆ..! อะไรที่แก้ไขแล้วเนื้อความเดิมไม่เสีย ทำให้คนเข้าใจง่ายขึ้น เว้นวรรคตอนให้คนอ่านง่ายขึ้น ทำได้ทั้งนั้น แทนที่จะบาปกลับได้บุญเสียด้วยซ้ำไป
ส่วนพวกประเภทถอดไปทั้งดุ้น พอถึงเวลาคนอ่านรำคาญขึ้นมา พาให้นรกเกิดกับเขาอีก ถ้าไปเจอพวกนิติศาสตร์ทั้งแท่งนี่น่าเบื่อ เขาเรียกว่าประยุกต์ใช้ไม่เป็น คนจีนเขาบอกเอาไว้ว่า คนเก่งคือเรียนรู้ได้ตามที่อาจารย์สอน ส่วนบุคคลที่ประสบความสำเร็จในชีวิต จะต้องสามารถปรับสิ่งที่อาจารย์สอนไปใช้ในชีวิตจริงได้ แต่ถ้าอัจฉริยะนี่ให้บัญญัติใหม่เอง ไม่ต้องไปพึ่งพาอาจารย์ คาดว่าคนพูดต้องเป็นพุทธภูมิแน่นอน" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ทำตนเป็นเรือนว่าง ไม่มีหลังคา ไม่มีข้างฝา ใครขว้างอะไรมาก็เลยไป อาตมาสรุปได้ตั้งแต่ตอนประมาณพรรษา ๓ ว่า “วางก่อน สบายก่อน กูไม่เอาอะไรแล้ว”
พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ทำใจให้เหมือนกับแผ่นดิน แผ่นดินย่อมรองรับทั้งสิ่งที่สะอาดและไม่สะอาดโดยเสมอหน้ากัน ทำใจให้เหมือนกับสายน้ำ สายน้ำย่อมขึ้นเปี่ยมฝั่ง ไม่ว่าฝั่งไหนก็ขึ้นโดยเสมอหน้ากัน ทำใจให้เหมือนกับเปลวไฟ ย่อมไหม้ของที่สะอาดและไม่สะอาดโดยเสมอหน้ากัน ทำใจให้เหมือนกับสายลม ย่อมพัดไปยังสถานที่ต่าง ๆ ไม่ติดอยู่ ณ ที่ใด" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระสมเด็จแหวกม่านของหลวงพ่อกวย นอกจากดูเนื้อแล้วยังต้องดูอีกว่ามีจุดหรือเปล่า ? รุ่นนี้ปลอมได้สะเด็ดยาดมาก ตำหนิก็ปลอมได้ แต่ไม่คมชัดเหมือนกับของจริง ลองเล็ง ๆ ดู ถ้าหากว่าไม่มั่นใจก็วางเลย อย่าไปเสี่ยง โลภเมื่อไรโอกาสเจ๊งมีสูง
เล่นวัตถุมงคลนี่ข้อสำคัญที่สุด ต้องมีหลักธรรมของพระพุทธเจ้านำหน้า ห้ามโลภ อย่าเห็นแก่ของถูก ประเภทดี ๆ ถูก ๆ หายาก ไม่มีทางได้ง่าย ๆ หรอก วัตถุมงคลของท่านมีสักชิ้นก็พอ ขอให้เคารพท่านจริง ๆ เถอะ ประเภทประกาศตัวชัด ๆ ว่าข้าจะมาเกิดอีกไม่ค่อยมี เห็นมีก็หลวงพ่อคูณอีกรูป ข้าจะมาเกิดอีก จะมาสร้างบารมีต่อ" |
มีคนท้องมาทำบุญ "อาตมาค่อนข้างจะชอบคนท้องมาตั้งแต่ไหนแต่ไร สมัยไปเฝ้าไข้หลวงปู่มหาอำพันที่โรงพยาบาลทหารเรือ (โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า) มีเรือเอกหญิงยุวดี สุวรรณประดิษฐ์ เรียกชื่อเล่นว่าโอ ไอ้โอท้องใกล้คลอด คุยกับไอ้โออยู่ได้ทั้งวัน บรรดาพยาบาลนายเรือหญิงสาว ๆ ค้อนกันตากลับ "คนท้องคนไส้คุยอยู่นั่นแหละ ทีเราสาวโสดไม่มองเลย"
ทั้ง ๆ ที่เห็นว่าอาตมาเป็นพระนะ ก็เลยบอกว่า "อ๋อ...ที่ชอบคุยกับคนท้องเพราะมั่นใจว่าเขามีผัวแล้ว" ตอนนี้แม่โอเขาก็เลยแยกเขี้ยวแทน "ไม่รู้จักแม่ซะแล้ว" สรุปก็คือไปห่าง ๆ ดีกว่า เดี๋ยวกลายเป็นวัวพันหลัก ยิ่งมายิ่งใกล้ พวกพยาบาลเขาคุ้นเคยกับเรื่องแบบนี้ ไม่ถือไม่สาอะไร อาตมาเองก็คุยไปเรื่อยเปื่อย ไม่มีเขินไม่มีอายก็ไปกันใหญ่ อาตมาก็ไปแค่กรอบ คุณเล่นนอกกรอบเมื่อไร อาตมาก็เฉย แปลกใจว่าคุยกันได้เป็นเดือน ๆ ช่วงที่อยู่บ้านวิริยบารมียังมากันหลายครั้ง เกษียณกันหมดแล้ว นัดกันมา สมัยโน้นเป็นเรือเอก เป็นนาวาตรี อายุก็ต้องประมาณ ๔๐ ขึ้นทั้งนั้น อาตมาเองตอนนั้นก็ ๒๐ ปีกว่า ๆ ยังไม่ ๓๐ ปี ต่างกันเกือบครึ่ง เขามานี่เกษียณกันหมด เป็นคุณป้ากันหมดแล้ว ฉะนั้น...ในเรื่องของพระ จะไปรอให้โยมระวังแทนนั้นไม่ได้ เราต้องระวังตัวของเราเอง ต้องรักษาตัวเอง ระวังตัวเอง ต้องมีเส้นที่แน่นอน ใครล้ำเส้นก็เลิกคบ ถ้าไม่เด็ดขาดเขาจะใกล้เข้ามาเรื่อย เดี๋ยวแนวป้องกันก็พัง" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนพันเอกพิเศษเสนาะ จินตรัตน์ ตายแล้วฟื้นใหม่ ๆ มาเล่าให้คนอื่นฟังว่าตัวเองตายไปแล้วไม่มีน้ำกิน เพราะว่าไม่เคยทำบุญไว้ ไปขอคนอื่น ๆ กินก็ไม่ได้ พอหยิบขึ้นมาก็หายหมด
อาตมาไปบิณฑบาตเจอน้ำมาทีละโหลเลย ไม่ได้นึกเลยว่าพระต้องเดินตั้ง ๕ กิโลเมตร บ้านแรกมาหนึ่งโหล บ้านที่สองมาอีกหนึ่งโหล ก็ไม่ต้องไปไหนแล้ว ถามว่าการทำบุญแบบนั้นดีไหม ? ก็ดี..แต่ต้องใช้ปัญญาด้วย พระท่านยังต้องเดินอีกตั้งหลายกิโลเมตร ไม่ใช่ต้นทางเจอน้ำไปแล้ว ๒ โหล แล้วจะแบกอีท่าไหน ? สมัยนั้นพระวัดท่าซุงไม่มีลูกศิษย์เดินตาม ต้องดูแลตัวเองทั้งนั้น ทำแค่พอสมควร คนละขวด ถ้าจะเมตตาก็เอาขวดเล็กสุด ๒๐๐ ซีซีก็พอ ตอนที่เขาออกน้ำขวดละ ๒๐๐ ซีซีแล้วแจกบนรถทัวร์นี่ชอบใจมาก เอ็งเข้าใจคิด ขวดใหญ่ก็กินไม่หมด อุตส่าห์ย่อลงมาพอดี ๆ คราวนี้พวกเราประเภททำเผื่อ ทำเผื่ออีท่าไหน เผื่อจะไม่ได้ทำ เล่นกันทีละเป็นโหล เกินพอดีไปมาก อย่าลืมนะว่า..ส่วนเกินและขาดมีมาตั้งแต่โบร่ำโบราณสมัยพุทธกาล พอพระพุทธเจ้าเสนอทฤษฎีสายกลางคือความพอดีขึ้นมา ถึงได้ถูกใจคน" |
"พระองค์ท่านตรัสว่า เทฺวเม ภิกขะเว อันตา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ส่วนสุดทาง ๒ อย่างนี้
เทฺวเม อันตา เป็นส่วนสุด ๒ อย่าง อันตาคือที่สุด ปัพพะชิเตนะ นะ เสวิตัพพา ซึ่งบรรพชิตไม่ควรที่จะไปซ่องเสพเสวนาด้วย โย จายัง กาเมสุ คือ การเกี่ยวข้องกับกาม กามะสุขัลลิกานุโยโค เรียกว่ากามะสุขัลลิกานุโยค หิโน เป็นของหยาบ คัมโม เป็นของผู้ครองเรือน โปถุชชะนิโก เป็นของผู้หนาด้วยกิเลส อะนะริโย ไม่ใช่ความเจริญ อะนัตถะสัญหิโต ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ โย จายัง อัตตะกิละมะถานุโยโค อีกอย่างหนึ่งก็คืออัตกิลมถานุโยค ทุกโข ประกอบไปด้วยทุกข์ อะนะริโย ไม่ใช่ทางแห่งความเจริญ อะนัตถะสัญหิโต ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์" |
"ต่างกันตรงไหน ? พระองค์ท่านตรัสว่า กามะสุขัลลิกานุโยโค ไม่มีทุกโข
ทำไมกามสุขัลลิกานุโยคไม่ทุกข์หรือ ? ทุกข์...แต่คนเข้าใจว่ากามเป็นสุข เพราะฉะนั้น..ถ้าไปตรัสว่ากามเป็นทุกข์นี่ ใจคนจะค้าน เสร็จแล้วท่านก็เสนอ เอเต เต ภิกขะเว ดังนี้..ภิกษุทั้งหลาย อุโภ อันเต ในระหว่างทั้งสองนี้ อะนุปะคัมมะ มัชฌิมา ปะฏิปะทา ก็คือทางสายกลาง ตะถาคะเตนะ อะภิสัมพุทธา คือพระตถาคตเจ้าผู้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณค้นพบ ในเมื่อพระพุทธเจ้าตรัสมา ๒,๐๐๐ กว่าปี เป็นทฤษฎีที่นักปราชญ์ยุคนั้นยอมรับกันทั้งนั้น เราต้องยอมรับว่าคนยุคนั้นเก่งกว่าเรา แต่ปรากฏว่าถึงเวลาเรากลับไม่เอาทางสายกลางเสียเอง" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "เดือนที่แล้วไปบวชพระให้ที่วัดวังปะโท่ ด้วยความที่ว่าเวลามีน้อย อาตมาก็เลยให้บวชแบบเอสาหังฯ ปลัดนกก็นั่งตาปริบ ๆ "หลวงพ่อ...ผมลืมไปหมดแล้วครับ" บอกว่า "ไม่เป็นไรหรอก ก็สวดเหมือนกันนั่นแหละ เพียงแต่ว่าขั้นตอนต่างกัน เรื่องขั้นตอนเดี๋ยวผมจัดการเอง" จึงสวดจนเสร็จ อะไรวะ...พักเดียวลืมหมดแล้ว ของตู ๓๐ กว่าปีแล้วยังไม่ลืมเลย
พอหลวงพ่อวัดท่าซุงขอให้บวช ด้วยความที่เข้าใจว่าวัดท่าซุงเป็นวัดมหานิกาย ก็น่าจะบวชแบบอุกาสะฯ อาตมาก็ซ้อมขานนาคแบบอุกาสะฯ ไปเต็มที่เลย ปรากฏว่าไปถึงโน่น พระพี่เลี้ยงบอกว่า "วัดเราบวชแบบเอสาหังฯ" ก็ไปเปลี่ยนเอสาหังฯ อยู่ ๒ วัน พอท่องได้ ก็พอดีพี่เลี้ยงท่านบอกว่า "เฮ้ย...บวชหมู่ ต้องใช้ เอเต มะยัง ภันเตฯ" เจริญ...คราวนี้จะบวชแบบไหนขอให้บอก ท่องได้หมดแล้ว คนก็สงสัยอะไรนักหนา เขารู้หรือเปล่าว่าอาตมาบวชเสร็จก็เป็นคู่สวดได้เลย ถึงเวลาเขาต้องสวดญัตติใช่ไหม ? รูปละ ๓ รอบ รุ่นของอาตมาบวชตั้ง ๓๖ รอบ ก็เท่ากับ ๑๒ ชุด ชุดละ ๓ รูป สวดญัตติไป ๓๖ รอบ จำไม่ได้ก็บ้าแล้ว" |
"สมัยที่โยมพ่อตายก็เหมือนกัน พระท่านมาสวดพระอภิธรรม ๗ วัน พอสวดครบ ๗ วันอาตมาก็ได้พระอภิธรรมไปด้วย สรุปว่าสวดได้ตั้งแต่ก่อนบวช..!
หลวงพ่อวัดท่าซุงพอเห็นอย่างนั้น ท่านก็เล่าให้ฟังว่าท่านชอบดนตรีไทย แต่มีอยู่เพลงหนึ่งที่สมัยฆราวาส ครูเขายังไม่ยอมถ่ายทอดให้ ท่านก็ไปบวชเสียก่อน แต่พอบวชไปแล้ว เจอเขาจ้างวงนั้นแหละไปเล่นหน้าศพ ถึงเวลาเขาตีประโคมศพครั้งหนึ่งก็จำ จำได้เยอะเลย ตอนพระฉันเขาประโคมอีกครั้งก็จำได้เกินครึ่ง พอฉันเสร็จ ยถา สัพพีฯ เสร็จ เขาประโคมอีกครั้ง ท่านบอกว่าเสร็จข้า..จำได้หมดแล้ว" |
ถาม : เป็นอานิสงส์โดยตรงของการทำสมาธิไหมครับ ?
ตอบ : ถ้ามีพื้นฐานสมาธิมาแล้วจะจำอะไรได้ง่าย และจำแม่นมากอีกด้วย |
พระอาจารย์กล่าวว่า "สำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดดีเด่นนี่ ทางคณะกรรมการของจังหวัดกาญจนบุรีเขาให้วัดท่าขนุนสละสิทธิ์มา ๓ ปีติดกันแล้ว ก็คือขอเมื่อไรวัดท่าขนุนต้องได้ แต่เขาบอกว่าขอให้วัดอื่นแทนเถอะ เพื่อให้เขามีกำลังใจ
เอาไปเถอะ...อาตมาไม่ได้ต้องการหรอก ประเภทเงินหมื่นกว่าสองหมื่นแล้วต้องทำรายงานปีละ ๔ เล่ม ไตรมาสละ ๑ เล่มว่าคุณทำงานอะไรบ้างเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรม ตรงนี้เป็นเรื่องปกติเลยที่ต้องส่งรายงาน" ถาม : ตั้งแต่หลวงพ่อจัดงานบวชฟรี หลวงพ่อเริ่มมาตั้งแต่ปี ๒๕๔๙ ใช่ไหมครับ หรือก่อนหน้านั้น ? ตอบ : ก่อนหน้านั้น ตั้งแต่ปี ๒๕๔๔ แต่ไม่ได้เก็บงานไว้ รู้สึกจะเริ่มมามีงานเก็บประมาณปี ๒๕๔๘ ขอกลับไปดูอีกที ส่งรายงานทีไรคนรับก็บ่นทุกที อะไรจะบวชเยอะขนาดนี้ ไปหาคนที่ไหนมานักหนา ? |
วันก่อนหลวงพ่อเจ้าคณะจังหวัดนครปฐมบอก "โอ้โฮ...อาจารย์เล็ก ทำไมหาบุคลากรได้สุุดยอดขนาดนี้ พระที่คุณส่งไป เรียนบาลีก็เก่ง สนใจการเรียนไม่เคยทิ้ง ปฏิบัติธรรมก็ได้ นำปฏิบัติก็ได้ เป็นโฆษกก็ได้ เทศน์ก็เอา เอาทุกเรื่อง"
กราบเรียนท่านว่า "ผมไม่ได้หาครับหลวงพ่อ เขามากันเอง เขามีความสนใจด้านไหน ผมสนับสนุนหมด" ท่านบอกว่าท่านอยากได้บุคลากรแบบนี้ หายากมาก แต่ของเราส่งไป ใช้ได้ทุกรูปเลย ส่งไปคุมปฏิบัติธรรม ๑๕ วัน ไม่มีหนีเลย คนอื่นส่งไป เดี๋ยวหาย ๆ คนของเราเขารักการปฏิบัติธรรม ของวัดอื่นไม่ค่อยเอา พอไม่เอาก็หนีหมด ชุดนี้ถ้าหากว่ากลับมา ทางวัดก็มีกำลังขึ้นมาหน่อย เพราะว่าตอนนี้ที่มีอยู่ เขาเอาไปเป็นเจ้าอาวาสจวนจะหมดอยู่แล้ว วันก่อนหลวงพี่ชู้ต เขาขอไปเป็นรองเจ้าอาวาสวัดตะเคียนงาม ก็คือเตรียมว่าที่เจ้าอาวาส พระครูบ่าวก็มาเป็นเจ้าอาวาสวัดท่ามะขาม ต้องเอาวินัยธรกอล์ฟไปเป็นเจ้าอาวาสวัดพุทธมณฑลอรัญญิกาวาสแทน ปลัดตั้มก็ไปเป็นเจ้าอาวาสวัดห้วยปากคอก เดี๋ยวนี้หาเจ้าอาวาสไม่ได้ มาเล็งลงที่วัดท่าขนุนหมด ถ้าอายุพรรษาเริ่มได้ตามกติกาไม่รอดหรอก ต้องเป็นจนได้แหละ |
(พูดกับทิดกวาง) อย่างไรก็ขออนุโมทนาด้วย คุณมีส่วนอย่างมากเลยที่ทำให้เขาเป็นได้อย่างทุกวันนี้ ก็คือสิ่งที่คุณช่วยอบรมไป ทำให้เขารู้ตั้งแต่ต้นว่าบวชไปแล้วต้องทำอย่างไร สิ่งที่เขาได้ไป พอเขารักษาเอาไว้ ก็กลายเป็นแบบอย่างแก่คนอื่น
พระเณรอื่นเขาบอกต่อกันว่า "อย่าไปอยู่เลย..คณะ ๒ วัดพระปฐมเจดีย์ เคร่งฉิบหา.." ผมกราบเรียนหลวงพ่อจังหวัดนครปฐมท่านว่า “ไม่จริงหรอกครับ ที่วัดผมทำอย่างนี้ทุกวัน” สวดมนต์ ทำวัตร บิณฑบาต กรรมฐาน วัดของเราทำทุกวัน ส่วนของเขาประเภททำพอเป็นพิธี |
ปรึกษาเรื่องจัดรถตู้ไปวัด "เรื่องรถตู้มีอยู่ ๒ อย่างด้วยกัน อย่างแรกก็คือว่าเราจะทำเป็นการกุศลเหมือนเดิม หรือว่าจะทำเป็นการค้า ? (การกุศลครับ)
ถ้าการกุศลก็ยืนราคาเก่าเขาเอาไว้ ว่าวันหนึ่งเท่าไร สองวันเท่าไร สามวันเท่าไร แล้วรถหมุนเวียนระหว่างที่อยู่ที่วัด อย่างเช่นว่าที่เขาเคยจัด วิ่งจากในวัดออกไปหน้าวัดมีเหมือนเดิมไหม ? (เหมือนเดิมครับ) หรือไม่อย่างนั้นก็ลองดูก่อนว่าช่วงสองสามงานนี้เป็นอย่างไร อย่าให้ติดขัดก็แล้วกัน ไม่ใช่หายไปคนหนึ่ง มาแทน ๕ คน แล้วก็ยังไม่ได้เรื่อง" ถาม : ขอพรด้วยครับหลวงพ่อ ตอบ : ไปตะเกียกตะกายเอาเอง เอะอะก็จะขอพรจะง่ายไป ไม่ยอมให้ชีวิตลำบาก จะเอาสบายทีเดียว สร้างบารมีมาขนาดนี้แล้ว ไม่ลำบากนี่ก็ไม่สมกับบารมีสิวะ..! |
เรื่องของรถเป็นเรื่องของความสะดวกสบาย ถ้าทำต่อเนื่องไปสักระยะหนึ่ง อานิสงส์ตรงนี้จะกลายเป็นว่าทำอะไรก็สำเร็จง่ายกว่าคนอื่นเขา แต่ต้องทำบุญเป็นบุญจริง ๆ ถ้าทำเพื่อการค้า ทำเพื่อหวังกำไร อานิสงส์ตรงนี้จะไม่ได้
อำนวยความสะดวกให้คนอื่น ถือว่าเป็นส่วนของเวยยาวัจจมัยด้วย ก็คือขวนขวายเพื่อช่วยให้คนอื่นสำเร็จในการบุญการกุศล แล้วขณะเดียวกัน อานิสงส์พิเศษตรงที่ช่วยให้เขาได้รับความสะดวก ความคล่องตัว ถึงเวลาตัวเองทำอะไรก็จะสะดวก คล่องตัว เราจะเห็นว่าหลังจากคุณชยาคมน์ทำหน้าที่นี้มาระยะหนึ่ง ความคล่องตัวทุกอย่างก็เริ่มปรากฏ ทำอะไรก็ดูเหมือนกับว่าสะดวกไปหมด แค่บอกก็มีคนร่วมมือทุกประการ คราวนี้พวกเรามาแทนก็ต้องสะสมไปสักระยะหนึ่ง |
มีโยมเอาชามาถวาย "ชาอินเดียหรือชาซีลอน ส่วนใหญ่เขาทำเป็นชากลิ่นผลไม้ ฝีมือยังไม่ถึง ถึงเวลาทำไปแล้วบางทีกลิ่นสารเคมีออกมาเลย
เรื่องของใบชา ถ้ากลิ่นหอมต้องหอมธรรมชาติของเขา ญี่ปุ่นเอาข้าวคั่วใส่ลงไปด้วย เวลาฉันเข้าไปแล้วนึกถึงลาบเมืองไทย ส่วนชาที่อาตมาไม่สนใจเลยคือชากลิ่นมะลิ เพราะว่าไปกันไม่ได้ ฝรั่งเขาชอบ Jasmine Tea กันมาก แต่อาตมาว่าไปกันไม่ได้ คือกลิ่นชาหอมธรรมชาติ กลิ่นดอกไม้ก็หอมธรรมชาติ แต่สองอย่างเข้ากันไม่ได้เขาก็เอามาเข้ากัน ชานี่เราจะเปลี่ยนรสเปลี่ยนกลิ่นได้อย่างเดียวคือน้ำ ถ้าน้ำคนละแหล่งกัน บางทีรสกับกลิ่นจะเปลี่ยนไปตามแร่ธาตุที่อยู่ในน้ำนั้น ๆ พวกเราอาจจะสงสัยว่าชาหลงจิ่งคืออะไร ? บ่อมังกรก็ต้องน้ำบ่อนั้นเลย ถึงจะได้รสที่ดีที่สุด แต่คราวนี้พอมีชื่อเสียงขึ้นมา ไปที่อื่นก็เรียกหลงจิ่งเหมือนกันหมด แต่ไม่ได้เรื่องแล้ว คือหลงแต่ชา น้ำไม่ได้หลงตามไปด้วย ก็แบบเดียวกับเงาะโรงเรียน พอหลุดจากบ้านนาสารไป พอปลูกที่อื่นก็เปลี่ยนแปลงไปตามดินฟ้าอากาศ" |
"อย่างไปทองผาภูมิก็กลายเป็นเงาะทองผาภูมิ กลายเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง ดีกว่าเขา แต่ว่าสีสันไม่น่ากิน ออกเขียว ๆ เหลือง ๆ แต่ถ้าคนกินสักหน่อยก็จะหลงเสน่ห์ไปเลย เพราะว่าทั้งหวาน ทั้งล่อน ทั้งกรอบ แต่ถ้าดูสีสันภายนอก จะดูไม่ได้เลย ลูกเล็ก ๆ เขียว ๆ เหลือง ๆ หาแดงไม่ค่อยจะเจอ
ทำไมทุเรียนต้องนนทบุรี ? ทำไมลิ้นจี่ต้องตรอกจันทน์ ? ทำไมสับปะรดต้องศรีราชา ? เพราะว่าแร่ธาตุในดินเหมาะกับพืชผลชนิดนั้น ๆ ออกมารสชาติจะดีกว่าที่อื่น แต่ไม่ต้องไปประมูลกับเขานะ ลูกละสองแสนนั่นเขาตั้งใจทำบุญ ก็ให้เขาทำไปเถอะ ถ้าจะซื้อทุเรียนกิน ไปซื้อที่อื่นดีกว่า สมัยก่อนแตงโมต้องบางเบิด ไป ๆ มา ๆ เขาเอาไปขายริมถนนแถวรังสิตมาก ก็เลยกลายเป็นแตงโมรังสิต แต่จริง ๆ ไม่ใช่ของรังสิต เอาจากที่อื่นไปขายที่รังสิต" |
พระอาจารย์กล่าวกับโยม "อย่าไปจริงจังกับชีวิตมากแล้วจะดีเอง ในเมื่อไม่มีอะไรสมบูรณ์พร้อม ไปเรียกร้องความสมบูรณ์พร้อมก็ประเภทหาเรื่องทุกข์เอง"
|
พูดกับพระนักเรียนบาลี "เมื่อวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๖๒ หลวงพ่อเจ้าคณะจังหวัดนครปฐมชมพวกคุณเสียยกใหญ่เลย ว่าอาจารย์เล็กหาบุคลากรพวกนี้มาจากไหน ขยัน เรียนเก่ง เป็นงานทุกเรื่อง โฆษกก็ได้ เทศน์ก็ได้ นำปฏิบัติก็ได้ ไปเฝ้างานปฏิบัติ ไม่หนีอีกต่างหาก
ต่อไปห้ามหนี หนีนี่เสียชื่อหมด ท่านชมเอาไว้เยอะ กลายเป็นช่วยสร้างชื่อเสียงให้กับสำนักไปแล้ว" |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 09:14 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.